คลังเรื่องเด่น
-
สาธุ! ตำนาน"พระอุปคุตเถระ" ผู้อาศัยอยู่ใต้ทะเล แต่จะขึ้นมาปกป้องเมื่อเกิดเภทภัยกับพุทธศาสนา!
สาธุ! ตำนาน"พระอุปคุตเถระ" ผู้อาศัยอยู่ใต้ทะเล แต่จะขึ้นมาปกป้องเมื่อเกิดเภทภัยกับพุทธศาสนา!
" ตำนานพระอุปคุตชนะมาร "
ท่านเกิดหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ประมาณ พ.ศ. 218 ปี แต่ไม่ทราบภูมิเดิมของท่านละเอียดว่าเป็นบุตรของใคร เกิดในวรรณะอะไร และที่ไหน จากการสันนิษฐานตามตำนาน พระเถระอุปคุต น่าจะเป็นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแล้วบำเพ็ญเพียร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ สำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร เป็นที่เล่าลือมาจนทุกวันนี้ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่าท่านเนรมิตเรือนแก้ว (กุฏิแก้ว) ขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล) แล้วก็ลงไปอยู่ประจำ ที่กุฏิแก้วตลอดเวลา เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ หรือมีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือ ด้วยความเต็มใจเสมอ
เรื่องราวก็มีอยู่ว่า เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 2 หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชย์สมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานกล่าวว่า ได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูป... -
สุดยอดพระคาถา "พุทธ นะฤาชา" หลวงปู่ศุข มอบให้ หลวงพ่อสำเนียง โอรสในเสด็จเตี่ยฯ ใช้คุ้มครองป้องกันภัย
สุดยอดพระคาถา "พุทธ นะฤาชา" หลวงปู่ศุข มอบให้ หลวงพ่อสำเนียง โอรสในเสด็จเตี่ยฯ ใช้คุ้มครองป้องกันภัย
ให้ตั้งนะโม 3จบ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ )
นะฤาชา กุติยะ ปัญจะลือ โสภะกัญจะ สะวะรัง วะรัง ฤามะหันตา นะมามิหัง
กรีนิ อักขรานิ ชาตานิ อุณาโลนาถัง เพชรตังโหติ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ สัตถุโน
พุทโธ. (จบ)
พระคาถานี้ใช้ภาวนา เป็นเมตตามหานิยม ก็ได้ ใช้ทางคงกระพัน ก็ได้ กันภูติผีปีศาจก็ได้ เป็นทั้งมหาอำนาจ ก็ได้ ใช้ได้ 108 ประการ แล้วแต่อธิษฐานเอา
พระคาถานี้หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้ถ่ายทอดให้หลวงพ่อสำเนียง อยู่สถาพร
ท่านเป็นพระโอรสของ เสด็จเตี่ย - กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ กับ หม่อมทองนุ่น เกิดเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2460 ที่วังไชยา ก่อนที่หลวงพ่อสำเนียงจะถือกำเหนิดมาดูโลกนั้น นายเอม อยู่สถาพรเป็นพระสหายของเสด็จเตี่ย ได้เล่าให้หลวงพ่อฟังว่า
ขณะที่หม่อมแม่ทรงพระครรภ์ได้ 2 เดือน เสด็จเตี่ยได้รับคำสั่งจากทางราชการให้ไปรับเรือหลวงพระร่วงที่ต่างประเทศ จึงได้พาหม่อมแม่ไปฝากไว้กับ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ซึ่งท่านเป็นพระอาจารย์ของเสด็จเตี่ย... -
หลวงปู่ศุขปราบผี!! สมภารวัดตายไม่ละกิเลสเป็นผีหวงวัด หาใครปราบไม่ได้กลายเป็นวัดร้าง เจอทีเด็ดหลวงปู่! แค่นิดเดียว ผีหายกระเจิง!!
หลวงปู่ศุขปราบผี!! สมภารวัดตายไม่ละกิเลสเป็นผีหวงวัด หาใครปราบไม่ได้กลายเป็นวัดร้าง เจอทีเด็ดหลวงปู่! แค่นิดเดียว ผีหายกระเจิง!!
พระครูวิมลคุณากร (หลวงปู่ศุข ) วัดปากคลองมะขามเฒ่า
"ชีวประวัติของหลวงปู่ศุข"
(ภูมิลำเนา - ชีวิตก่อนบวช ) หลวงปู่ศุข ท่านอยู่ในละแวก วัดมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ปัจจุบันยังมี ลูกหลานของท่านอยู่ที่บ้านใต้วัดปากคลองมะขามเฒ่าอีกหลายคน หรือแม้แต่ร้านค้าขายภายในบริเวณวัดเองก็ยังมี หลวงปู่ศุข ท่านใช้นามสกุล เกศเวชสุริยา อีกสกุลหนึ่ง ท่านเป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้อง 9 คน ด้วยกัน เมื่อหลวงปู่ศุข อยู่ในวัยฉกรรจ์ ท่านได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ทำมาหากินค้าขายเล็กๆน้อยๆ โดยยึดลำคลองบางเขน ซึ่งมีปากคลองเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้จังหวัดนนทบุรีลงมา ปัจจุบันอยู่ข้างทางเข้าวัดทางหลวง เป็นที่ทำมาหากิน คลองบางเขนนี้ทอดขึ้นไปเชื่อมกับคลองรังสิต เมื่อก่อนนี้เป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมทางน้ำ ที่สำคัญ และกว้างขวางเป็นอย่างมาก เมื่อการคมนาคมทางบกเจริญขึ้น การสัญจรทางน้ำก็หมดความสำคัญลง ปัจจุบันคงจะตื้นเขินไปแล้วก็ได้ เพราะขาดการทนุบำรุงที่ควร หลวงปู่ศุข... -
การบูชาสักการะขอพร ท้าวสักกะเทวราช(พระอินทร์เจ้าฟ้า ตำรับอ.อุรคินทร์)
การบูชาสักการะขอพร ท้าวสักกะเทวราช(พระอินทร์เจ้าฟ้า ตำรับอ.อุรคินทร์)
สำหรับใครที่ถูกใส่ร้ายหรือติดขัดในเรื่องการทำงาน ทำดีแล้วไม่ได้ดี หรือชีวิตยากลำบาก โดนกลั่นแกล้ง นอกจากหมั่นทำบุญแล้วการไปกราบขอพรพระอินทร์ ซึ่งเป็นเทพที่ต้องช่วยเหลือผู้เดือดร้อนเสมอก็จะช่วยได้ โดยการไหว้พระอินทร์ตำรับนี้ทางเพจพุทธคุณได้นำมาจากตำราพระเวทย์๑๐๘พิิศดารของท่าน อ.อุรคินทร์ วิริยบูรณะ เห็นว่ามีประโยชน์ผมเลยขอนำลงมาฝากกัน ทั้งเพจพุทธคุณ และเว็บพลังจิตนะครับ
การเตรียมเครื่องบูชา มีดังนี้
๑.กล้วย(เคล็ดเพื่อทำอะไรได้ง่ายๆ) อ้อย(อ้อยเคล็ดหวานชื่น) มะพร้าว เป็นผลไม้สวรรค์แทนการสักการบูชาสูงสุด
๒. พวงมาลัยเจ็ดสีเจ็ดศอก ถ้าไม่ได้ใช้ดาวเรืองล้วนสี่พวง
๓. หมากพลู๕คำ เงิน๑๕บาท
๔.ธูป๕ดอก เทียนขาว๑คู่(เทียนแท้ก็ได้)
เมื่อเสร็จแล้วให้นำเครื่องบูชาทั้งหมดใส่ ให้จุดธูปเทียน บูชาก่อน
ตั้งนโมสามจบ กล่าวดังนี้
โอม ตรา(อ่านว่าตา)จาระ อินทระ มวิตาระ มินทรัม หเว หเว สุหะวัยยะ สุระอินทะรัม มัณนะยามิ ศักระ ปรุหูตะ อินทะรัม สวสิตตะ โน มัฆะวา ธาตะวินทะรัช โอม อินทรายะ นมัสสายะ วันทามิ สุขัง ภะวันตุเม
สาธุ อุกาสะ... -
มารมาทดสอบ
มารมาทดสอบ
มารมีหน้าที่ขัดขวางการทำความดีทั้งหลายทั้งปวงของเรา ถ้าถามว่าเขาขวางในการทำความดี เขาจะมีเวรกรรมหรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่าไม่มี เพราะว่านั่นเป็นหน้าที่ และการขวางของเขานั้น ก็ไม่ใช่ว่าขวางไม่ให้เราสร้างความดี แต่เป็นการขวางในลักษณะทดสอบว่า ความดีของเราได้ระดับเพียงพอที่จะก้าวข้ามไปสูงกว่าเดิมหรือยัง
มารนั้นแฝงอยู่ในทุกลมหายใจเข้าออก มารเดินบนทางแห่งความดีนี่แหละ พอถึงจุดสุดท้าย มารดึงท่านออกนอกทางก้าวเดียว ก็ลงเหวไปกับมารทันที...!
ต้องใช้สติสัมปชัญญะมาก ๆ ประกอบด้วยปัญญารู้เท่าทันมารให้ได้ ถึงรู้ช้าหน่อยก็ขอให้รู้แล้วกัน พยายามมุ่งลัดตัดตรงไปตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่ตายเข้าพระนิพพานเพียงไร อย่าไว้วางใจอะไรทั้งนั้น มารยังรอท่านอยู่...!
๑ เมษายน ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
อ่านเนื้อหาฉบับเต็มที่ได้
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=522
ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม -
การปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะเกิดความสงสัย และการตอบคำถามของพระอาจารย์
การตอบคำถามของพระอาจารย์
พระอาจารย์กล่าวว่า “ในการปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะเกิดความสงสัย ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่ามาคิดดูอีกทีว่า ถ้าเราไม่สงสัยแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติสมาธิภาวนา เราจะได้รับคำตอบเกือบทุกคำตอบที่สงสัยอยู่แล้ว เพียงแต่ทำให้จริง ๆ เท่านั้น ก็จะเหลือการรวบรัดตัดเข้าหาความเป็นพระอริยเจ้าในตอนท้าย ที่จำเป็นจะต้องสงสัยไว้บ้างว่าเรามาถูกทางหรือไม่
ดังนั้น ปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติ ส่วนใหญ่ถ้าเราตั้งใจทำจริงก็จะมีคำตอบในตัวอยู่แล้ว แต่พวกเรามักจะสงสัยแล้วเอาแต่ถาม ถามแล้วถ้าคนตอบไปตอบเกินคำถาม เราก็จะไปฟุ้งซ่านอีก ว่าถึงเวลาเราทำแล้วจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ อย่างที่ท่านตอบหรือเปล่า ก็เลยพาให้เสียประโยชน์หนักเข้าไปอีก
หลายคำถามจะเห็นว่าอาตมาตอบสั้นนิดเดียว เพราะถ้าอธิบายมากเมื่อไรก็จะเอาไปสงสัยต่อ แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ก็ไปวิ่งหาคำตอบกันต่อไป”
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๘
ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
หมายเหตุ : ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต -
เสียงธรรม ธรรมะของ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ราชมานิต
###ธรรมะทุกอย่างมีลิขสิทธิ์ ห้ามใช้ในการเชิงพาณิชย์ ห้ามดัดแปลงแก้ไขหรือตัดต่อแต่อย่างใด อนุญาตเผยแพร่ต่อเป็นธรรมะทานเท่านั้น###
วัตถุประสงค์หลัก
จัดทำขึ้นมาโดยเน้นสื่อธรรมะที่สามารถดาวน์โหลดได้ เพื่อแจกให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายไม่มีประมาณ ช่วยให้ธรรมะขยายออกไปวงกว้างให้มากที่สุด
1.(เพื่อนักภาวนา) พยายามเน้นธรรมะที่นำไปใช้เพื่อการดับทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การฝึกสติและธรรมะจากพระอริยะเจ้า” ทั้งหลายเพื่อให้นักภาวนาทุกท่านมีเส้นทางธรรมที่ชัดเจน และมีครูอาจารย์ไว้เสริมกำลังใจยามท้อแท้
2.(เพื่อชาวพุทธทั่วไป) รวบรวมสื่อธรรมะบันเทิงที่ง่ายต่อการศึกษา เช่น นิยาย, การ์ตูน, คลิปวีดีโอ ฯลฯ เพื่อเสริมสร้างศรัทธาแก่ชาวพุทธทั่วไป เป็นอีกมุมจิ๋วที่ช่วยให้พระศาสนามีความเข้มแข็งแม้สักน้อยนิดก็ยังดี
3.จัดทำเพื่อธรรมทานเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อการพาณิชย์ เรี่ยไร หรือเพื่อชื่อเสียงใด ๆ ไม่มีเจตนาอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากเพื่อทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา
หากสื่อธรรมเรื่องใด สงวนลิขสิทธิ์หรือเจ้าของไม่อนุญาติ
โปรดกรุณาแจ้งมายัง ผู้ดูแลเว็ปบอร์ด และจะอนุญาติให้ผู้ดูแลเว็ปบอร์ดลบออกได้ทันที -
คำถามของสุภัททะ ไขความจริงในพระพุทธศาสนา
คำถามของสุภัททะ ไขความจริงในพระพุทธศาสนา
“พระองค์ผู้เจริญ คณาจารย์ทั้งหกคือ ปูรณะกัสสปะ มักขลิโคศาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธะกัจจายนะ สัญชัย เวลัฏฐบุตร และนิครนถ์นาฏบุตร เป็นศาสดาเจ้าลัทธิที่มีคนนับถือมาก เคารพบูชามาก ศาสดาเหล่านี้ยังจะเป็นพระอรหันต์ หมดกิเลสหรือประการใด”
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
“เรื่องนี้หรือสุภัททะที่เธอดิ้นรนขวนขวายมาหาเราด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด”
พระศาสดาตรัสทั้งยังหลับพระเนตรอยู่ แล้วทรงตรัสแก่สุภัททะว่า
“อย่าสนใจกับเรื่องนี้เลย สุภัททะ เวลาของเราและของเธอเหลือน้อยเต็มทีแล้ว จงถามสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เธอเองเถิด”
“ถ้าอย่างนั้น... ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหาสามข้อ คือ รอยเท้าในอากาศมีอยู่หรือไม่ สมณะภายนอกศาสนาของพระองค์มีอยู่หรือไม่ สังขารที่เที่ยงมีอยู่หรือไม่”
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
“สุภัททะ รอยเท้าในอากาศนั้น ไม่มี ศาสนาใดไม่มีอริยมรรคมีองค์ ๘ สมณะผู้สงบถึงที่สุด ในสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔ ก็ไม่มีในศาสนานั้น ศาสนาใดมีอริยมรรคมีองค์ ๘ ในศาสนานั้นมีสมณะผู้สงบถึงที่สุดทั้ง ๔ ประเภทนั้นสังขารที่เที่ยงนั้นไม่มีเลย สุภัททะ ปัญหาของเธอ มีเท่านี้หรือ"... -
"อำนาจของใจ" (สมเด็จพระญาณสังวร)
"อำนาจของใจ"
" .. "อำนาจใจเป็นใหญ่ได้ทุกยุคทุกสมัย" แต่ความยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ของอำนาจใจ
ต้องสำคัญที่ "ความดีความไม่ดี" ใจจะไม่มีอำนาจตามลำพัง
- อำนาจความดี จะทำให้ใจดีและใจที่ดีจะให้เกิดผลสำเร็จที่ดี
- อำนาจความไม่ดี จะทำให้ใจไม่ดีและใจที่ไม่ดีจะให้เกิดผลสำเร็จที่ไม่ดี
"ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจเป็นไปเช่นนี้" ไม่มีเป็นไปอย่างอื่น .. "
"แสงส่องใจ" วันอาสาฬหบูชา ๒๕๕๐
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ -
"หลวงปู่ดู่" ยืนยัน! "หลวงปู่เทพโลกอุดร" มีจริง! ในสมัยอยุธยา จำพรรษาที่ "วัดกุฎีดาว"
"หลวงปู่ดู่" ยืนยัน! "หลวงปู่เทพโลกอุดร" มีจริง! ในสมัยอยุธยา จำพรรษาที่ "วัดกุฎีดาว"
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก เล่าเรื่องหลวงปู่โลกอุดร
อีกหนึ่งครูบาอาจารย์ที่ผู้คนนับถือท่านทั่วทั้งแผ่นดินคือพระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก หลวง ปู่ดู่ ท่านบวชเรียนกับหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ จ.อยุธยา เมื่อบวชแล้วท่านก็ตั้งใจทำพระกรรมฐานออกธุดงค์ จนสำเร็จจิตได้อภิญญาเป็นที่ปรากฏ เกียรติประวัติของท่านนั้นเป็นที่นับถือกันว่าท่านคือภาคหนึ่งของ “พระศรีอริยเมตรตรัย” ที่ลงมาบำเพ็ญบารมี และท่านคือภาคหนึ่งของ “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ลงมาสร้างบารมี ถ้าท่านผู้อ่านเพิ่งรู้จักหลวงปู่ดู่จากข้อเขียนของข้าพเจ้าอาจไม่เชื่อ แต่ผู้เขียนขอกล่าวว่าองค์หลวงปู่ดู่นั้นเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าผู้บำเพ็ญบารมีมาเต็มแล้ว ท่านคือองค์เดียวกันกับหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดและเป็นองค์เดียวกันกับพระศรีอริยะเมตรตรัย ทั้งนี้มีครูบาอาจารย์ที่ยืนยันในคุณงามความดีของท่านได้แก่ หลวงปู่บุดดา ถาวโร หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร หลวงปู่โง่น โสรโย หลวงพ่อเกษม เขมโก หลวงปู่จำเนียร วัดต้นเลียบ... -
ร่วมไขปริศนา.."หลวงปู่อิเกสาโร" คือ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ภิกษุลึกลับที่มีอายุยืนยาว หรือไม่? หรือเป็น "พระอริยะจากแดนมังกร"
ร่วมไขปริศนา.."หลวงปู่อิเกสาโร" คือ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ภิกษุลึกลับที่มีอายุยืนยาว หรือไม่? หรือเป็น "พระอริยะจากแดนมังกร"
หลวงปู่อิเกสาโร พระอภิญญาผู้ทรงฤทธิ์
ในบรรดาผู้นับถือหลวงปู่โลกอุดรนั้นคงมีจำนวนไม่น้อยที่เคยเห็นภาพพระอริยเจ้านั่งเข้าฌานสมาบัติจนเหลือแต่โครงกระดูก ภาพปริศนานี้เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก เพราะต่างเชื่อว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านหนึ่ง ซึ่งแต่งคนต่างเชื่อถือต่างๆ กันไป บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “หลวงปู่โลกอุดร” บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “ศิษย์เอกของหลวงปู่เทพโลกอุดร” บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “พระมหากัสสปะ” ผู้เลิศทางด้านธุดงควัตร เป็นพระภิกษุสมัยพุทธกาล บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “พระอริยะเจ้าท่านหนึ่งมาจากแดนจีน” ทั้งหมดนี้จะได้นำมาเล่าให้สู่ท่านฟังในครั้งนี้ว่าท่านคือใครมีข้อมูล เกี่ยวกับท่านอย่างไรบ้าง
จากกระแสแรก เชื่อว่าท่านคือ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” นั้น กระแสความเชื่อนี้มาจากกลุ่มความเชื่อที่ว่านี่คือร่างหนึ่งของหลวงปู่โลกอุดร โดยเชื่อหลวงปู่โลกอุดรมีด้วยกันสามร่าง ร่างแรกเรียกว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร ร่างที่สองคือหลวงปู่อิเกสาโร... -
"นินทาสรรเสริญ เหมือนอิฐกับทองคำ" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
"นินทาสรรเสริญ เหมือนอิฐกับทองคำ"
" .. จึงยกเป็นตัวอย่างมา "ความนินทาก็ดี ความสรรเสริญก็ดี" เอาส่วนหยาบ ๆ นี้ออกมาให้โลก เพราะโลกทั้งหลายรู้กันทั่วหน้า "เอาอิฐก้อนนี้มาน้ำหนัก ๑๐ กิโล เอาทองคำแท่งนี้มาน้ำหนัก ๑๐ กิโล" โลกจะโดดใส่ทองคำผึงเลย อิฐไม่เหลียวไม่เหลือบมอง จะโดดใส่ทองคำทั้งนั้น นี่โลกของกิเลสเป็นอย่างนี้ด้วยกันทั้งหมด
ทีนี้เรื่องของธรรมไม่เป็นอย่างนั้น พลิกปั๊บ อิฐก้อนนี้น้ำหนัก ๑๐ กิโล เอายกดูซิ ๑๐ กิโล เราต้องใช้กำลังถึง ๑๐ กิโลยก เอ้า ทองคำนี้ก็น้ำหนัก ๑๐ กิโล ต้องใช้กำลังยกทองคำถึง ๑๐ กิโล "ทั้งสองนี้มีน้ำหนักเท่ากัน ไม่ว่าจะยกอิฐ ไม่ว่าจะยกทองคำ น้ำหนักมีเท่ากัน"
แล้วทำไงจะดีล่ะ "ไม่ยกทั้งหมด ไม่หนักทั้งนั้นสบายเลย" นั่นแหละจิตที่ไม่ยกทั้งหมด ไม่รับทั้งหมด "ขึ้นชื่อว่าสมมุติ ไม่ว่าทองคำ ไม่ว่าก้อนอิฐ เป็นสมมุติด้วยกัน มีน้ำหนักเท่ากัน"
"ปล่อยเสียหมดโดยสิ้นเชิง นั้นคือวิมุตติ ไม่ยึดอะไรเลย" นี่สอนท่านทั้งหลายสอนด้วยความไม่ยึดนะ มันจ้าอยู่นี้มาแล้ว .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2100&CatID=2 -
“กัลยาณมิตร” เกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
คงเคยได้พบ ได้เห็น หรือได้ยินได้ฟัง กันมาแล้วบ่อย ๆ ที่เมื่อใครคนใดคนหนึ่งคิดพูดทำที่ผิดพลาด ที่ไม่สมควรแก่ภาวะฐานะ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นต้นว่าเป็นผู้ไม่มี “กัลยาณมิตร” จึงไม่มีผู้ยับยั้งผู้ให้พ้นความผิดความเสียหาย ที่จะเกิด เพราะคิดพูดทำที่ผิด ที่ไม่สมควร ที่ไม่น่าทำให้เกิดขึ้น ที่จะต้องไม่เกิดขึ้น แม้มี “กัลยาณมิตร” บอกกล่าวให้รู้ความควรไม่ควร
ที่จริง “กัลยาณมิตร” จะเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้
“กัลยาณมิตร” ต้องเกิดขึ้นด้วยความพร้อมเพียงยอมรับทั้งสองฝ่าย
“กัลยาณมิตร” จะเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้
แม้คนดีมีปัญญาสักคนหนึ่งจะมีความหวังดี
ปรารถนาจะช่วยคนดีคนใดคนหนึ่งให้พ้นจากภัยพิบัตินานาประการ
ก็ย่อมไม่อาจทำได้ แม้อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความเข้าใจคำว่า “กัลยาณมิตร”
: แสงส่องใจ อาสาฬหบูชา ๒๕๔๙
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=22412 -
"โปรดเปรตที่ภูหล่มขุม" (หลวงปู่ไม อินทสิริ)
"โปรดเปรตที่ภูหล่มขุม" (หลวงปู่ไม อินทสิริ)
เรื่องคนที่ทำผิดศีลผิดธรรมเนี้ยนะ ไปพักอยู่ที่วัดภูหล่มขุม ใครเคยได้ยินหรือเปล่าภูหล่มขุม ตะวันออกภูจ้อก้อหลวงปู่หล้า ช่วงนั้นไปเที่ยวธุดงค์แวะขึ้นไปพักไปอยู่บนยอดเขาไปนั่งภาวนาอยู่นั้น คิดว่าจะนั่งไปถึงเที่ยงคืนก็จะพัก เอากรดไปกลางไว้แล้วก็ไปนั่งอยู่บนยอดเขา อากาศมันเย็นๆ นั่งอยู่บนภูเขา พอนั่งจิตของเรามันก็สงบ พอสงบโอ๊ยมีคน...คานขึ้นมาจากตีนเขาหนะ ขึ้นมาเยอะทั้งผู้หญิงผู้ชายมีแต่คนรุ่นเก่า พอขึ้นมาใกล้ๆ แอ๊ะคนอะไรเป็นตัวเป้นตนอยู่แต่หัวนิเป็นหน้าหมู เป็นปากหมู แต่มือและแขนนิเป็นของคนปากเปื่อยลิ้นเปื้อย ขึ้นมากราบ เขาก็อยู่ห่างจากตนเสานั้นอ่ะ ก็ก้าวเข้ามาใกล้ ก็เลยถาม พวกโยมเป็นอะไรกัน? เขาบอกว่า โอ๊ย…ท่านอาจารย์พวกโยมมีกรรม กรรมอะไร? ด่าพระกรรมฐาน ไล่พระกรรมฐาน สมัยนั้นอ่ะ พระกรรมฐานรุ่นหลวงปู่มั่น มีลูกศิษย์ลูกหาไปกรรมฐานแถวนั้นอ่ะ รุ่นเก่าๆทั้งนั้น พวกนี้ทำไมถึงไปด่า ตอนนั้นอ่ะเขามีมาเผยแผ่ศาสนานั้นใหม่(ไม่ขอเอ่ยชื่อศาสนา) เขาไปปลุกระดมให้ด่าพระ บางคนก็ไปสอนศาสนานั้น พอไปสอนพวกนี้มันก็ไปด่าพระไล่พระหนี้ พระไปบิณฑบาต ก็ไม่ใส่บาตรให้... -
สติปัฏฐาน พระธรรมเทศนา หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
สติปัฏฐาน
พระธรรมเทศนา
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
เบื้องหน้าแต่นี้เป็นต้นไปเป็นเวลานั่งสมาธิภาวนา ให้พากันนั่งขัดสมาธิเอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือข้างขวาวางทับมือข้างซ้าย ตั้งกายให้เที่ยงตรง หลับตานึกภาวนาพุทโธพร้อมกับลมหายใจเข้าหายใจออก ในขณะที่เรานั่งสมาธิภาวนานี้จงรวมจิตใจเข้ามาในบริกรรมภาวนานี้หรือในการได้ยินได้ฟังอุบายธรรมต่าง ๆ เมื่อเสียงเข้าไปถึงที่ไหนรู้สึกในใจที่ไหน ก็ให้รวมจิตใจลงไปที่นั้น ที่นี้แหละที่เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันธรรม เป็นธรรมที่ปฏิบัติ ผู้ใดรวมใจของตนเข้าไปภายในปัจจุบันย่อมถึงซึ่งความไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน จิตใจที่อ่อนแอท้อแท้จะได้แข็งแรงขึ้นด้วยสติความระลึกได้ในการบริกรรมในการฟังธรรมสตินี้ก็เกิดขึ้นจากใจเหมือนกัน เกิดขึ้นจากดวงจิตดวงใจดวงที่รู้อยู่ฟังอยู่เจริญอยู่บริกรรมอยู่ เกิดขึ้นจากที่นี้เองเรียกว่าสติความระลึกได้ เมื่อสติความระลึกได้มีความรู้สึกอยู่ในใจในตัว ดวงสตินี้ก็ยังให้จิตในที่รู้อยู่นี้แหละตั่งมั่นสงบระงับไม่แส่ส่ายไปกับสังขารวิญญาณกริยาอาการของจิต
ดวงจิตดวงใจจะได้รวมได้สงบเข้ามาอยู่ในจิตใจของตนจริง มีสติทุกเวลา สตินี้สำคัญมาก... -
อุปมาโทษของกามตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้มีอยู่ 10 ประการ
อุปมาโทษของกามตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้มีอยู่ 10 ประการ
1. กามเปรียบเหมือนสุนัขหิวแทะท่อนกระดูกเปื้อนเลือด คือ ยิ่งแทะ ยิ่งเหนื่อย อร่อยแต่ไม่เต็มอิ่มเหมือนความสุขทางเนื้อหนัง ไม่เคยอิ่มจริงๆ สักที สุขแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็หิวกามอีก
2. กามเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งหรือเหยี่ยวคาบบินมา คือ ต้องถูกแย่งชิงโดยนกกาตัวอื่น ต้องต่อสู้ปกป้องตลอดเวลา มีทรัพย์มากก็กลัวโจรแย่งชิง มีคนรักก็ต้องคอยหึงหวง ยิ่งสวย ยิ่งหล่อก็ยิ่งมีคนอยากแย่งชิง
3. กามเปรียบเหมือนคนถือคบเพลิงที่ทำด้วยหญ้าลุกโพลงเดินทวนลมไป คือ ถือได้ไม่นานก็ต้องทิ้งไป มิฉะนั้นจะไหม้มือ แถมถูกควันไฟรมเอาตลอดเวลาที่ถือ เหมือนยศถาบรรดาศักดิ์ มีไว้ก็เหนื่อยในการรักษา กลัวคนเลื่อยจากเก้าอี้ ต้องเอาใจเจ้านาย เอาใจประชาชน
แต่สุดท้ายก็ต้องสละทิ้งหมด
4. กามเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงอันร้อนแรง คือ ที่ใดมีรัก ที่นั้นก็มีทุกข์ ใจเหมือนไฟเผาผลาญตลอดเวลา รักมากก็ทุกข์มาก
5. กามเปรียบเหมือนความฝัน คือ เห็นแต่ความสุข แต่ไม่เคยพบจริงๆ เหมือนชีวิตคู่ที่วาดหวังจะมีความสุขข้างเดียว แต่พอพบความจริง... -
หลวงปู่ดู่ กับ หลวงตาพระมหาบัว
หลวงปู่ดู่ กับ หลวงตาพระมหาบัว
จากหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ทำให้อาจารย์ศุภรัตน์ปราถนาที่จะได้กราบนมัสการท่านอาจารย์มหาบัวเป็นอย่างยิ่ง แต่หาโอกาศยาก ได้ต่ส่งปัจจัยไปร่วมบุญกับท่าน พร้อมกับเรียนถามข้อข้องใจ ท่านมีเมตตาเขียนตอบเป็นลายมือขององค์ท่านเอง มีใจความว่า "มรรคผลนิพพานยังคงมีอยู่ไม่ได้สูญหายไปไหน ตราบใดที่ยังมีผู้ปฎิบัติธรรม"
เพื่อนอาจารย์ศุภรัตน์ทำงานอยู่ที่ จ.อุดรธานี เมื่อมีโอกาสไปเยี่ยมเยือน ได้ไปนมัสการ และฟังธรรมจากท่าน ครั้งหนึ่งทางวิทยาเขตมีการไปทัศนศึกษา โดยพาอาจารย์ไปดูงานที่อุดร อาจารย์จึงปรึกษากับผู้อำนวยการ จะพาคณะไปนมัสการ ทางผู้อำนวยการไม่ขัดข้อง แต่มีอาจารย์บ้งท่นไม่เห็นด้วย อ้างว่าจะเสียโปรแกรมอื่นแต่ผู้อำนวยการยืนยันจะไป
เมื่อคณะอาจารย์ไปถึงวัดหลังจากท่านฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว เห็นท่านนั่งบนศาลหลังจากผู้อำนวยการนำคณะอาจารย์กราบเรียบร้อย ท่านอาจารย์เอ่ยขึ้นว่า "วันนี้เราก็มีธุระที่ต้องไปทำแต่เห็นเป็นคณะใหญ่จะมากราบ อันที่จริงเราก็มีโปรแกรมเหมือนกันกับพวกท่าน ดังนั้นถ้าโปรแกรมบางอันที่ไม่เหมาะสมก็ตัดไปเสียบ้าง"พวกอาจารย์นั่งเงียบ... -
อัศจรรย์อำนาจจิตพระป่า! หลวงปู่บุญฤทธิ์ระลึกชาติ เห็นตนเองและพระป่าหลายรูปเคยเป็นฤาษี ได้หลวงปู่ชอบเมตตา ไขอดีตชาติให้ถึง4ชาติ!!!
อัศจรรย์อำนาจจิตพระป่า! หลวงปู่บุญฤทธิ์ระลึกชาติ เห็นตนเองและพระป่าหลายรูปเคยเป็นฤาษี ได้หลวงปู่ชอบเมตตา ไขอดีตชาติให้ถึง4ชาติ!!!
ชีวประวัติ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ - โคกมน บ.โคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
เขียนบันทึกโดย..ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท…
ตอน ระลึกชาติให้ลูกศิษย์..
( ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ )
คืนวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ท่านพาเฮียเม้ง ( คุณกวงเม้ง แซ่เล้า ) พี่ชายเฮียเม้ง โยมดำ ( คนขับรถให้เฮียเม้ง) มิสเตอร์จอน (เป็นฝรั่งชาวแคนนาดาเคยบวชอยู่กับหลวงปู่หล้าวัดภูจ้อก้อ และเคยไปอยู่จำพรรษาปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงตามหาบัวที่วัดป่าบ้านตาดหลายปีก่อนที่จะลาสิกขา ) เข้ามาพักกับหลวงปู่ชอบที่กุฏิโรงเก็บรถ...
หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านกราบเรียนหลวงปู่ชอบว่า ตอนกระผมอยู่วัดป่าบ้านใหม่ แม่ฮ่องสอน กระผมนิมิตเห็นตัวเองเป็นฤษีเดินจงกรมอยู่บนอากาศเหนือเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า ในนิมิตนั้นกระผมเห็นท่านพระอาจารย์เป็นฤษีดาบส เห็นท่านพระอาจารย์ลีวัดอโศการาม ( ท่านพ่อลี ธัมมธโร ) ท่านทอง ( หลวงพ่อทอง วัดอโศการาม ) ท่านไพบูลย์พะเยา ( พระอาจารย์ไพบูลย์... -
ต่อสู้มาร
(ต่อสู้มาร)
"เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมาทำสมาธิหรือผู้ที่จะมาบำเพ็ญความดี จึงจำเป็นต้องต่อสู้มานับตั้งแต่เราคิด เราคิดว่าจะมาทำสมาธิอยู่ทีบ้านก็ต้องต่อสู้แล้ว ว่าเราจะมาดีหรือไม่มาดี ในที่สุดเมื่อเราแพ้ก็ไม่มา แต่ถ้าเราชนะก็มา ก็หมายความว่าชนะไปขั้นหนึ่ง
เมื่อชนะแล้ว มาถึงกลางทาง ก็ยังต้องลังเลและสงสัยว่า เราจะไปดีหรือไม่ไปดี กลับบ้านซะดีกว่าหรือไง อย่างนี้ก็เรียกว่าต่อสู้กันใหม่อีก
เช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้าของเรา ในครั้งที่พระองค์เป็นสิทธัตถะ
เมื่อเสด็จออกจากมหาราชวังถึงกลางทาง ก็มีพญามารมาดัก บอกว่า อย่าไปเลยสิทธัตถะ ท่านกลับไปอีก ๗ วันเท่านั้น ท่านก็จะได้เป็นเจ้าจักรพรรดิแล้ว ท่านจะออกไปบวชทำอะไร
พระพุทธ…พระสิทธัตถะในขณะนั้นจึงได้กล่าวกับพญามารบอกว่า
ดูก่อน พญามาร น้ำลายที่เราบ้วนออกไปแล้ว เราจะไม่เอามันกลับคืนมาอีก พระองค์ก็ชนะไป
พวกเราก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อเราชนะกลางทางแล้วก็มาถึงสถานที่
เมื่อมาถึงสถานที่ก็ยังคิดว่า เราจะเอาอย่างไร เมื่อเราเอาได้ก็ได้ เอาไม่ได้ เรากลับซะเรอะอย่างนี้ มันก็เกิดขึ้นในจิต แต่ในขณะนั้นเราก็ได้ต่อสู้ ในที่สุด มัน…เราก็สามารถนั่งสมาธิได้ ก็ถือว่าชนะ... -
อย่าลืม!! ทำบุญแล้ว กรวดน้ำให้ "พญานาค" รับอานิสงส์ตั้งแต่ชาตินี้ ! เรื่องเล่าจากตำนาน"อุรังคธาตุ"
อย่าลืม!! ทำบุญแล้ว กรวดน้ำให้ "พญานาค" รับอานิสงส์ตั้งแต่ชาตินี้ ! เรื่องเล่าจากตำนาน"อุรังคธาตุ"
เราทุกคนทราบกันดีว่า หลังจากทำบุญทำทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่สมควรทำคือ การอุทิศบุญกุศล ให้แก่ผู้ล่วงลับ และเจ้ากรรมนายเวร แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า เราสามารถกรวดน้ำให้แก่ "พญานาค" ได้อีกด้วย
เรื่องนี้คุณทิพยจักร เข้าของผลงานหนังสือด้านความเชื่อหลายต่อหลายเล่ม ได้เล่าไว้ ถึงความน่าสนใจ ใน นิทานอุรังคธาตุ
ว่ามีการกล่าวถึง การบุญกรวดน้ำแก่ พญานาค ด้วย ดังนี้
.......... ในตำนานพระอุรังคนิทาน อันเป็นตำนานที่ว่าด้วยการเสด็จมาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามายังสุวรรณภูมิเพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนา โปรดท้าวพระยามหากษัตริย์ โปรดพญานาคทั้งหลาย มีคติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำบุญแล้วอุทิศให้พญานาค ซึ่งมีเรื่องเล่าไว้ดังนี้ครับว่า
มีผู้ชายคนหนึ่งรูปไม่งามตัวดำอ้วน แต่มีจิตใจดีคอยทำหน้าที่ดูแลพระอรหันต์สองพระองค์ ชื่อมหาพุทธวงศา กับมหาสัชชะดี พระอรหันต์ทั้งสองนี้มาจากกรุงราชคฤห์ พระอรหันต์ทั้งสองได้ตั้งชื่อให้ชายผู้นี้ว่า บุรีจันอ้วยล้วย
นายบุรีจันอ้วยล้วย มีความรู้ในการทำนาปี นาปรัง... -
วรรคทองของหลวงปู่แหวน... อดีตผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ปัจจุบันต่างหากคือของจริงที่อยู่ในมือเรา!!
วรรคทองของหลวงปู่แหวน... อดีตผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ปัจจุบันต่างหากคือของจริงที่อยู่ในมือเรา!!
ใกล้ตาย จึงนึกถึงพระ มีทุกข์มาถึง จึงนึกถึงพระศาสนา บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว มักไม่เห็นคุณพระศาสนา มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจ ให้ประพฤติทุจริตผิดศีลธรรมอยู่เป็นประจำนิสัย
เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มีนั่นแหละ จึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว
ทำความดีให้เป็นที่อยู่ของจิตความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรคคือ ทางดำเนินไปของจิต มันจึงจะเห็นผลของความดี ไม่ใช่เวลาใกล้จะตาย จึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้วให้ไปรับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดทั้งหมด เหตุว่าคนเจ็บ จิตมัวติดอยู่กับเวทนา ไฉนจะมาสนใจไยดีกับศีลได้เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะระลึกได้เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิตแล้ว แต่ส่วนมากใกล้ตายแล้วจึงเตือนให้รักษาศีล ส่วนคนตายแล้วไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้นร่างกายจิตใจจะไม่รับรู้ใดๆ แล้ว... -
ในหลวง ร.๙ สอนฝึก"สติ" ความดีง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้ทันที
ในหลวง ร.๙ สอนฝึก"สติ" ความดีง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้ทันที
สติคือธรรมะแห่งปัจจุบันขณะ
การทำดีนั้นมีหลายอย่าง อย่างที่ท่านทำดีโดยที่ได้ร่วมกุศลเป็นเงินเพื่อที่จะแผ่ไปช่วยผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากนั้นก็เป็นการกระทำที่ดีอย่างหนึ่ง การกระทำที่ดีอีกอย่างที่ได้กล่าวก็คือ มีความปรองดองสามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อุดหนุนกัน แล้วก็ไม่เบียดเบียนกัน โดยเฉพาะอย่างหมู่คณะที่ตั้งขึ้นมาอย่างนี้ก็ช่วยกันในทางวัตถุและในทางจิตใจ ความสามัคคีนี้ก็เป็นการทำดีอย่างหนึ่ง
การทำดีอีกอย่างซึ่งจะดูลึกซึ้งกว่า คือปฏิบัติด้วยตนเอง ปฏิบัติให้ตัวเองไม่มีความเดือดร้อน คือพยายามหันเข้าไปในทางปัจจุบันให้มาก
อย่างง่ายๆ ก่อน คือพิจารณาดูว่า ตัวเองกำลังคิดอะไร กำลังทำอะไร ให้รู้ตลอดเวลา แล้วรู้ว่าทำอะไร อย่างนี้เป็นวิธีอย่างหนึ่งที่จะทำให้ไม่มีภัย ถ้าเราคอยระมัดระวังตลอดเวลา ให้รู้ว่าตัวทำอะไร ให้รู้ว่าการทำนี้เราทำอะไรตลอดเวลา ก็จะไม่ผิดพลาด เพราะว่าโดยมาก ความผิดพลาดมาจากความไม่รู้ในปัจจุบัน บางทีเราก็เผลอ
สมมติว่า มีใครมาพูดอะไรไม่ดี เราก็โกรธ ถ้าโกรธแล้ว มันก็เป็นผลที่ไม่ดีต่อไป... -
"การคอยรับบุญ" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
"การคอยรับบุญ"
" .. "การคอยรับบุญของผู้อื่น เหมือนดื่มน้ำติดก้นแก้ว" ดื่มเท่าไรก็ไม่อิ่มสักที "คนมีสติธรรม ปัญญาธรรม ย่อมฉลาดที่จะสร้างบุญด้วยตัวเอง" เหมือนการเติมน้ำใส่แก้ว หิวเมื่อใดดื่มได้ชื่นใจฉันนั้น .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน -
อดีตชาติขององค์ท่านหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ
“...มนุษย์มีเกิดมีตาย สัตว์เดรัจฉานมีเกิดมีตาย เทวดามีเกิดมีตาย
พรหมมีเกิดมีตาย รวมแล้วโลกอันนี้มีเกิดมีตาย ไม่มีเต็ม เวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดไป เป็นทุกข์อยู่ตลอดไป เป็นภพเป็นชาติยืดยาวด้วยเชื้อเกิดเชื้อตาย
ภาวนาแล้ววิชชาเกิดพอรู้จักได้การเกิดตายของเจ้าของ เห็นโทษเห็นภัยของการท่องเที่ยวเกิด แก่ เจ็บตาย เป็นภพเป็นชาติ เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย ไม่มีอะไรจะยั่งยืนถาวร...”
“...เกิดตายมาของผู้ข้าฯ จะนับตั้งแต่ชาติชีวิตที่เคยได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์
- เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ๗ ชาติ อยู่เพชรบูรณ์ ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันมาตรัส ๓ หมื่นปี
- มาเกิดเชียงใหม่
- ไปเกิดอยู่สิบสองปันนาสิบสองจุไทย ก่อนพุทธศาสนา ๒๘,๐๐๐ ปี
- มาเกิดอยู่มุกดาหาร เป็นกษัตริย์ ๗ ชาติ ราษฎร ๕ ชาติ ก่อนพุทธศาสนา ๑๓,๐๐๐ ปี
- เกิดปราจีนบุรี เป็นเจ้านาย ๔ ชีวิต ก่อนพุทธศาสนา ๖,๕๐๐ ปี
- เกิดอยู่ลพบุรี เป็นราษฎร ๓ ชีวิต เป็นกษัตริย์ ๕ ชีวิต ก่อนศาสนา ๓,๐๐๐ ปี
- ไปเกิดอยู่พาราณสี
- เกิดอยู่กรุงกบิลพัสดุ์ เป็นเจ้าสีหนุราช
- เกิดกุสินารา เป็นพันธุละเสนาบดี
- เกิดอยู่เนปาล บวชเป็นฤาษี มีหมู่ ๕๐๐ ฤาษิณี ๒๕๐ ตน ฤาษี ๒๕๐... -
พบเปรตจมูกเหมือนงวงช้าง เพียงค่าด่าพระสงฆ์ผู้ปาราชิกในใจ
ครั้งนี้มีวิญญาณที่น่าสนใจเพิ่มมาอีก ขอยกตัวอย่างโดยไม่เอ่ยนามของวิญญาณนั้น และได้ไปพิสูจน์มาแล้ว
ก่อนหน้านั้น วิญญาณนั้นมีตัวตนเคยมีชีวิตเป็นคนมาก่อน วิญญาณตนแรกน่าแปลก ตัวผอมหัวโต ลำตัวเน่าเหม็น ตัวมันเหม็นมากจริงๆ จมูกเหมือนงวงช้างดูดกินแต่ของเน่าเหม็น ได้ถามชื่อสกุล บ้านเลขที่ ตำบล ได้ความว่าตายมา ๘๔ ปี ได้มาทนทุกข์อยู่ในวัดนี้ จึงถามว่าไปทำอะไรมาจึงมีรูปร่างดังที่เป็นอยู่
วิญญาณตนนั้นตอบ “เป็นมโนกรรมเจ้าค่ะ คือได้เดินผ่านกุฏิพระผู้ปาราชิก ท่านแอบมีภรรยาขณะดำรงสมณเพศนั่งฉันอาหารอยู่ ได้นึกโกรธอยู่ในใจแล้วคิดว่า "ให้มันยัดห่าเข้าไปทำไม พระแบบนี้" แล้วถ่มน้ำลายลงพื้น
เพียงเท่านี้ไม่คิดว่าจะตกระกำลำบากเช่นนี้ ได้แบ่งกรรมของพระรูปนั้นมาใส่ตัวโดยแท้ เพราะเราไม่รู้จึงได้กระทำลงไป ต้องทนทุกข์เช่นนี้ จะไปก็ไม่ได้ ต้องทนเจ็บปวดทรมานมานานเหลือเกิน พระคุณเจ้าโปรดเมตตากระผมด้วย กระผมเข็ดแล้ว ต่อไปจะไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นอีก”
อยากบอกใครก็บอกไม่ได้ น่าคิดนะ แม้พระจะหมดสภาพแล้วตามพระวินัย แต่ไปตำหนิเข้าแม้จะไม่ได้เปล่งวาจาก็ตาม ก็ปรากฏผลกรรมตอบสนองทั้งๆ ที่ตัวไม่ได้ทำ เพียงไปยุ่งเรื่องคนอื่น... -
"พระพุทธศาสนาไม่มีเสื่อม" (สมเด็จพระญาณสังวร)
"พระพุทธศาสนาไม่มีเสื่อม"
" .. คุณของพระศาสนาที่สุดประเสริฐในโลกคือ "พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาที่ผู้รู้จริง" รู้ถูกต้องย่อมรู้ชัดว่า มีคุณสมบัติดั่งเพชรแท้ น้ำงามบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซนต์ ไม่มีวัตถุแปลกปลอมใด
"ไม่มีความสกปรกเศร้าหมองใด จะสามารถแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเพชรได้แม้แต่น้อย" ได้แต่เพียงห้อมล้อมอยู่ภายนอกเท่านั้น ดังนั้นที่มีการกล่าวว่า พระพุทธศาสนาเศร้าหมองแล้ว เสื่อมแล้ว จึงเป็นการกล่าวผิดอย่างสิ้นเชิง
"พระพุทธศาสนาไม่มีเศร้าหมอง พระพุทธศาสนาไม่มีเสื่อม"
ผู้แวดล้อมหรือ "พุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่ประพฤติผิดศีลธรรมวินัย ขาดเมตตากรุณา" เช่นนี้ที่เป็นผู้สกปรก เศร้าหมองและเสื่อม "คือเสื่อมจากความดีงามความเจริญรุ่งเรืองความร่มเย็น"
"ผู้ทำความเสื่อมความเศร้าหมอง จึงจะเป็นผู้เสื่อมผู้เศร้าหมอง" พระพุทธศาสนาไม่ได้ทำความเสื่อมความเศร้าหมองใด ๆ แม้แต่น้อย "พระพุทธศาสนาจึงไม่เสื่อม ไม่เศร้าหมองแม้แต่น้อย" ขอให้ช่วยกันถือหลักนี้ไว้
"เมื่อมีผู้ทำบาปทำอกุศล ทำความสกปรกเศร้าหมองผิดศีลผิดธรรมวินัยมีมากมายขึ้นเพียงไร" ก็ให้รู้ว่าเขาเหล่านั้นทำตัวเขาเองให้สกปรกเศร้าหมอง... -
"คนพาล เข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตอยู่แม้จนตลอดชีวิต เขาย่อมไม่รู้ธรรม เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกงฉะนั้น"
"คนพาล เข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตอยู่แม้จนตลอดชีวิต เขาย่อมไม่รู้ธรรม เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกงฉะนั้น"
พุทธวจนะในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีพระเจ้าปัญหารูปหนึ่งที่มีความประพฤติและความรู้ไม่เหมาะสมนั่นก็คือ พระอุทายี ซึ่งพระอุทายีเป็นต้นบัญญัติเรื่องที่ว่า ท่านเคยนำอุบาสิกาท่านหนึ่งไปนั่งสนทนากันในที่ลับตา คือในกุฎิ ซึ่งก็พอดีว่านางวิสาขามหาอุบาสิกามาพบเห็นเข้าจึงได้กล่าวเตือน สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือ ท่านอุทายีกล่าวตอบว่า "โยมยุ่งอะไรด้วย"
เมื่อพระนางวิสาขามหาอุบาสิกาได้ยินเช่นนั้นจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติเป็นข้อห้ามภิกษุพูดเจรจากับสตรีสองต่อสอง หากจะเจรจาด้วยควรมีพระหรือสามเณรรูปอื่นอยู่ด้วย
อีกหนึ่งกรณีก็คือ ท่านอุทายีเป็นผู้มีฝีมือในการเย็บจีวร ครั้งหนึ่งมีภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติของท่านมาขอให้เย็บจีวรให้ ท่านก็เย็บให้อย่างดี ภิกษุณีผู้ไม่รู้ความก็นำไปสวมใส่ บรรดาภิกษุที่มักน้อยต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอุทายีจึงได้เย็บ จีวรให้ภิกษุณีเล่าเรื่องนี้ความทราบถึงพระพุทธองค์ พระองค์จึงตรัสติเตียนว่า
"ดูก่อนโมฆะบุรุษ ภิกษุที่มิใช่ญาติ... -
ความประทับใจของคนไทยในเรื่องราว ในหลวงรัชกาลที่10 กับพระอริยสงฆ์ในอดีต
ความประทับใจของคนไทยในเรื่องราว ในหลวงรัชกาลที่10 กับพระอริยสงฆ์ในอดีต
เป็นความประทับใจที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา ของเรื่องราวน่าประทับใจของ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่พระองค์ท่านทรงเปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพ และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อทรงแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในด้านต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาที่ได้ผ่านมา
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2526 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งในขณะนั้นทรงมีพระอิสริยยศ เป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมอาการอาพาธหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ณ วัดดอยแม่ปั๋ง ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
และอีกครั้งเมื่อ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2545 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งในขณะนั้นทรงมีพระอิสริยยศ เป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร... -
2อริยะแห่งศรีสะเกษ พบกันทางจิต บทสนทนาของหลวงปู่หมุน พูดถึง "รูปคนในแบ๊งค์" ทำเอาหลวงปู่สรวงเลิกเผาเงิน
2อริยะแห่งศรีสะเกษ พบกันทางจิต บทสนทนาของหลวงปู่หมุน พูดถึง "รูปคนในแบ๊งค์" ทำเอาหลวงปู่สรวงเลิกเผาเงิน
ลูกศิษย์ลุกหาที่บูชาหลวงปู่สรวง ต่างทราบกันดีทว่า หลวงปู่สรวง ท่านได้ฉายาว่า "ขรัวขี้เถ้า เผาแหลกลาญ" โยมถวายเงินเป็นฟ่อน ท่านก็โยนเงินลงกองไฟเสมอๆ ท่านให้เหตุผลว่า
"เงินมันไม่ดี มันเป็นกิเลส"
จากข้อมูลที่ได้ฟังมา เพื่อจัดหนังสือเผยแพร่ประวัติครูบาอาจารย์ ทั้ง 2 รูป "หลวงปู่หมุน" และ "หลวงปู่สรวง"
สรุปเรื่องการเลิกเผาเงินของหลวงปู่สรวง ได้ดังนี้
1. ตอนหลวงปู่สรวงมาวัดป่าหนองหล่ม ปกติแล้วท่านจะเผาเงินที่โยมเอามาถวายลงกองไฟ แต่ครั้งนั้น ท่านกลับไม่เผา
ท่านทำพิธีอธิษฐานจิตวัตถุมงคล (รุ่นเสาร์5 บูชาครู) โดยจับสายสิญจน์ที่พาดผ่านกองไฟ เกิดเหตุอัศจรรย์! ท่ามกลางสายตานับสิบๆคู่ คือ สายสิญจน์ที่พาดผ่านกองไฟ ไม่ไหม้ไฟ!!!
หลวงปู่สรวงทำพิธีไม่นาน ท่านก็กลับ...
ช่วงเวลาที่หลวงปู่หมุนท่านมา ก็มีคนนั่งเฝ้ากันอยู่เต็มไปหมด จนกระทั่งท่านกลับ หลวงปู่หมุนก็ยังคงอยู่ที่กุฏิเป็นปกติ
ลูกศิษย์ของหลวงปู่หมุน จึงเข้าไปกราบเรียนหลวงปู่หมุนว่า
"เมื่อครู่ หลวงปู่สรวงท่านมา แต่กลับไปแล้ว"... -
ปฏิบัติแบบโง่ๆ - คำสอนหลวงปู่ดู่
"ปฏิบัติแบบโง่ๆ" นับเป็นเวลาที่ค่อนข้างยาวนานทีเดียว กว่าที่คำพูดที่หลวงพ่อดู่เคยพูดสอนว่า ในเวลาปฏิบัติสมาธิภาวนา ให้ปฏิบัติแบบโง่ๆ นั้น จะค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ การอ่านมาก รู้มาก บางครั้งก็เป็นดาบสองคม
เพราะในด้านหนึ่ง การรู้มาก ก็ช่วยให้สามารถมองเห็นเส้นทางเดิน รวมทั้งเห็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังล่วงหน้า ฯลฯ
แต่อีกด้านหนึ่ง ความรู้มากนั้น ก็จะมาเป็นตัวอุปสรรคเสียเอง เช่น เผลอคิดว่าความรู้ (รู้จำ) นั้นเป็นปัญญา (รู้จริง) เกิดเป็นทิฏฐิมานะ ปิดกั้นการดูดซับความรู้จากภายนอก
ที่สำคัญในขณะปฏิบัติจิตภาวนานั้น ความรู้มากนี้ก็กลายเป็นสิ่งรุงรังในจิตใจ ใช้ความคิดผิดกาลเทศะ จนกลายเป็นตัวสร้างนิวรณ์บ้าง คิดไปล่วงหน้าตามประสาคนรู้มากบ้าง คอยใส่ชื่อเรียกให้กับสภาวะต่างๆ ที่กำลังประสบบ้าง คอยสงสัยนั่นนี่บ้าง
การรับรู้หรือสัมผัสจึงไม่เป็นไปอย่างตรงไปตรงมา แล้วเจ้าตัวก็ยังสำคัญตัวว่ากำลังคิดพิจารณาหรือมองดูสภาวะต่างๆ ตามความเป็นจริง ทั้งๆ ที่ของจริง "นิ่งเป็นใบ้"
พอจิตเข้าไปปรุงแต่งจนรุงรังไปหมดแล้ว จึงยากที่จะถอยออกมาให้เห็นไปตามสภาวะที่มันเป็นอย่างธรรมชาติ...
หน้า 390 ของ 412