เพื่อการกุศล *★.• เปิดตำนาน มนต์เสน่ห์เขมรสูงโบราณ สายวิชา "กรูเปรี๊ยะออง" *♡ มนต์พญาลิ้นทอง ♡* อ.โอม •.★*

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Amata_club, 4 สิงหาคม 2010.

  1. misu

    misu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +3,172
    อันนี้ก็ไม่ทราบครับ...ผมก็แสดงความเห็นตามความรู้ที่ครูอาจารย์สอนมา...เช่นพระที่ไปเอาดินหรือใบโพธิ์..จากสถานที่วัดพุธคยา ประเทศอินเดีย..มาเป็นของที่ระลึกหรือเอามาบูชา..ตรงนั้ถือว่าเอาของสงฆ์มาด้วยครับ... แต่พระพุทธเจ้าสอนว่าเจตนาเป็นใหญ่เจตนาคือศิล...อันไหนที่เราผาติกรรมชำระหนี้สงฆ์ได้ก็ทำ
    ...หากอันไหนไม่มีพระดูแลอย่างรายการที่ 13 ก้ออธิฐานชำระหนี้สงฆ์ใ์ห้มากเกินมูลค่าที่มากกว่าของที่เราหยิบไป...ก้ออาจทำได้เพราะเจตนามาเพื่อความเป็นมงคล และพระที่สร้างนั้นก้อต้องออกมาให้บูชาเงินเข้าัวัด..ถวายเป็นของสงฆ์..ทั้งหมด..ทุกบาททุกสตางค์...ไม่หักค่าใช้จ่าย...ดังนั้นผู้ที่บูชาไป...ย่อมไม่เป็นหนี้สงฆ์ครับ..มีแต่บุญครับ

    ลองฟังความเห็นท่านอื่นดูอีกที่ครับ..ขอบคุณครับ
     
  2. ooi2211

    ooi2211 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +2,987
    อันนี้ตามที่เคยทราบมานะครับ จะขอฟรีหรือผาติกรรมจากสงฆ์ ต้องขอกับเป็นพระทั้งวัด ไม่ใช่แค่ ๔ รูปครับ
    แต่ถ้ามีการตั้งตัวแทนขึ้นมาก็ขอได้จากท่านเดียวนั้นเลย

    กรณี ๔ รูปคือเวลาเราถวายทาน ทานนั้นเป็นสังฆทานทันที
    ถ้ามีองค์เดียวแต่เราต้องการถวายเป็นสังฆทาน ให้พระองค์นั้นท่านเป็นตัวแทนรับได้ครับ

    ในปัจจุบันโดยมากมักให้เจ้าอาวาสเป็นตัวแทนสงฆ์อย่างที่คุณ misu ว่าครับ

    ถ้าเข้าใจผิดต้องขออภัยครับ

    น่าจะต้องขอเป็นลายลักษณ์อักษรกันยกใหญ่เลยครับ
    ถ้าเป็นผมก็อธิษฐานกับพระพุทธเจ้า พรหมเทวดา ครูบาอาจารย์แล้วไปชำระหนี้สงฆ์ทีหลังครับ

    พระอาจารย์เคยบอกว่าถ้าเกรงว่าของที่ได้มาจะทำให้ติดหนี้สงฆ์ แล้วเราไม่ทราบมูลค่าเพราะเป็นของโบราณ
    ให้ไปถวายสังฆทานด้วยพระพุทธรูปอย่างน้อย ๕ นิ้วขึ้นไป ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้า คิดเป็นราคาหรือประมาณไม่ได้
     
  3. misu

    misu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +3,172
    ครับ..โมทนาสาธุครับ:cool::cool::cool:
     
  4. นายธนา

    นายธนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2009
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +1,938
    ผมขอขอบพระคุณมากครับสำหรับความห่วงใยและคำชี้แนะต่างๆของคุณ เขี้ยวตัน, คุณmisu และคุณฅนโคกว่าน

    ก่อนอื่นผมต้องขอโทษต่อญาติธรรมและเพื่อนๆสายบุญทุกท่านที่อาจทำให้เกิดความวิตกหรือกังวลว่าจะเป็นหนี้สงฆ์ติดตัวท่านไปหรือไม่อย่างไรถ้านำมวลสารที่ผมได้จากวัดต่างๆมาผสมเป็นมวลสารเพื่อสร้างขุนแผนเสน่ห์นางจันแล้วท่านบูชาไป

    ก่อนอื่นเลยในเหตุผลเริ่มแรกเดิมทีที่ต้องการรวบรวมมวลสารพิเศษจากวัดต่างๆก็คือที่วัดแคนอกได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์โบสถ์และผมได้เห็นเศษปูนเศษอิฐและชิ้นส่วนต่างๆกองรวมกันไว้รอทิ้งขยะ ซึ่งในใจของผมคิดว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ถ้าปล่อยให้ทิ้งไปก็จะสูญเปล่าเป็นเพียงเศษอิฐเศษหินธรรมดาเท่านั้นแต่ถ้านำเศษอิฐเศษหินเหล่านั้นมาเป็นมวลสารเพื่อสร้างขุนแผนเสน่ห์นางจันก็จะดีกว่า เพราะสิ่งของเหล่านั้นคงสิทธิ์ในตัวอยู่แล้วและเพื่อประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาต่อไป
    ในความเป็นจริง ทุกๆวัดผมได้อธิษฐานขอต่อเบื้องหน้าพระประธาน นมัสการพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์และขอต่อบรรพบุรุษ พระภูมิเจ้าที่ เทวดาผู้ปกปักรักษาณ.สถานที่แห่งนั้นและด้วยบารมีของครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา ทั้งอาจารย์แทนและอาจารย์โอมขอให้ได้มวลสารเพื่อที่จะนำมาสร้างขุนแผนเสน่ห์นางจันเพื่อหาทุนในการสร้างโบสถ์ที่วัดโพธิ์ศรีธาตุ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อที่จะสืบทอดและจรรโลงพระพุทธศาสนาสืบต่อไปและมวลสารที่ได้มาทั้งหมดจะไม่ขอเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวแม้แต่น้อย ขอได้โปรดอนุญาตแก่ผมด้วยเทอญ

    นี่คือคำอธิฐานขอของผมเพื่อให้ทุกคนได้สบายใจและไม่ใช่การอธิบายเหตุผลให้ผมดูดีหรือพ้นจากผิดหนี้สงฆ์ เพราะเมื่อตายไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณมาตรฐานตัดสินความดีความชั่วไม่ได้อยู่ที่ข้ออ้างหรือเหตุผลใดๆแต่อยู่ที่แรงผลักดันและจุดมุ่งหมายของการกระทำเพราะจะมีแค่ถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว ขาวหรือดำ ไม่มีคำว่าน่าจะหรือสีเทา

    ต่อจากนี้ไปผมจะทยอยไปแต่ละวัดที่ได้นำมวลสารมาเพื่อถวายพระประจำวันเกิดขนาด 5นิ้วเพื่อชำระหนี้สงฆ์ต่อไป สำหรับที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามมีข้อปฏิบัติที่ทำกันคือนำไปถวายต่อหน้าพระแก้วมรกตจากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่พนักงานกรมวังนำไปเก็บรักษาต่อไปและที่พุทธสถานเชิงท่าหน้า-หน้าโบสถ์ก็ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่เหมือนกันผมก็จะนำไปถวายที่โบสถ์ที่ประจำอยู่ที่นั่นครับ

    ขอบพระคุณมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กรกฎาคม 2014
  5. tuangthunya

    tuangthunya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,483
    ค่าพลัง:
    +4,666
    สวัสดีค่ะท่านพี่จขกท. ,ท่านพี่วิปัสสนู
    และทุก ทุกท่านค่ะ
    เราเข้าใจเจตนาของท่านค่ะ และจะไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆให้ยุ่งยากลำบากใจค่ะ สำหรับเรื่องนี้ เราอยากให้ท่านพี่ จขกท.และท่านพี่วิปัสสนู เข้ามาตัดสินในเรื่องนี้ด้วย ดีที่สุด เพราะท่านพี่ทั้งสองได้ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์และสามารถสอบถามได้อย่างแน่นอน

     
  6. tuangthunya

    tuangthunya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,483
    ค่าพลัง:
    +4,666
    ใบโพธิ์ จากพุทธคยา ประเทศอินเดีย ถ้าหากหล่นจากต้นลงสู่พื้นดิน โดยที่ไม่ได้เด็ดมาจากต้น ถือว่าบาปไหมค๊ะท่านพี่ เพราะว่าข้าพเจ้าก็ได้รับใบโพธิ์นี้มาจากท่านที่เดินทางไปมาแล้วเหมือนกันค่ะ หากเจตนาเราดีพร้อมคำอธิษฐานขอ ณ จุดๆนั้นและสถานที่นั้นๆ เพื่อนำมาบูชาเป็นสิริมงคลต่อไปค่ะ

     
  7. ooi2211

    ooi2211 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +2,987
    สาธุครับคุณธนา

    ถวายสังฆทานพระพุทธรูป ทำที่เดียวก็ได้ครับ ถือว่าเหมาคืนทีเดียว
    ของที่นำมาทำมวลสารก็คงไม่มีมูลค่ามากเท่าไหร่
    เมื่อเทียบกับรูปจำลองพระพุทธองค์ที่ถวายเป็นสมบัติพระศาสนา :cool:
     
  8. Amata_club

    Amata_club เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    27,064
    ค่าพลัง:
    +52,162
    อนุโมทนาด้วยครับ _/\_
     
  9. Amata_club

    Amata_club เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    27,064
    ค่าพลัง:
    +52,162
    คุณเขี้ยวตัน คุณmisu คุณฅนโคกว่าน โมทนาสาธุครับ

    นับว่าเป็นเรื่องที่ดีครับที่ได้นำเรื่องดีๆ มาบอกกล่าว เนื้อหาทั้งหมดก็น่าจะได้อ่านกันครบถ้วนแล้วนะครับ

    หลายๆ ท่านอาจจะเคยไปวัดและขอมวลสารจากทางวัดบ้างก็ขออนุญาติเจ้าอาวาส บ้างก็ขอพระสงฆ์บางรูปที่อยู่ในวัด บ้างก็ชำระหนี้สงฆ์ บ้างก็ทำหนังสือเป็นทางการ บ้างก็อธิษฐานถึงเจตนาในการนำไปใช้หรือเคารพบูชา และการผาติกรรม

    ทั้งหมดทั้งมวลผมมองที่เจตนาที่ดีเป็นหลัก พิธีกรรม รู้หรือไม่รู้ รู้แล้วทำ รู้แล้วไม่ทำเป็นเรื่องลอง ดังเช่นในครั้งนี้ได้มีพี่ๆ เพื่อนๆ ได้แนะนำกันมา

    ในครั้งนี้ก็ดีด้วยเจตนาและการอธิษฐานเป็นที่ตั้ง แต่หากยังเป็นกังวล ครบหรือไม่ครบ ถูกหรือไม่ถูก คุณ นายธนา ก็ถวายสังฆทานพระพุทธรูปที่วัดใดวัดหนึ่งแล้วน้อมจิตอธิษฐานเพื่อให้ครบถ้วนไม่เป็นกังวลหรือเกิดข้อสงสัยกับตัวเราเองก็ได้ครับ ( ไม่ต้องย้อนกลับไปทำทุกวัด )

    สำหรับคุณ tuangthunya ก็ให้ดูที่เจตนาเช่นเดียวกัน ว่าเราเก็บใบโพธิ์ที่ร่วงลงมาเพื่ออะไร เพื่อน้อมสักการะบูชาด้วยเจตนาดีในขณะนั้น หรือเก็บไปขายซึ่งเป็นเจตนาที่ไม่ดี หรือทำร้ายต้นโพธิ์ให้ชำรุดเสียหายนี่คือสิ่งสำคัญครับ หากเราเก็บใบโพธิ์ที่ร่วงหล่นด้วยเจตนาที่ดีในขณะนั้นเพื่อนำมาสักการะบูชา ก็ไม่ต้องชำระหนี้สงฆ์หรือผาติกรรมครับ
     
  10. ooi2211

    ooi2211 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +2,987
    การชำระหนี้สงฆ์

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

    [​IMG]

    ผู้ถาม : ทำกรรมอะไรถึงลง อเวจี คะ.?

    หลวงพ่อ : อเวจีนี่ทำกรรมหนักมากมันจึงจะลง ก็มีอนันตริยกรรม อาจิณกรรม ขโมยของสงฆ์ ของสงฆ์ นี่แตะนิดเดียว ลงอเวจีเลยนะ แม้แต่เศษเล็ก ๆ

    (เรื่อง อนันตริยกรรม เช่น ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ยุให้สงฆ์แตกกัน เป็นต้น พระยายมมาบอกหลวงพ่อว่า "ทุกคนอย่าได้ทำเด็ดขาด ท่านช่วยไม่ได้เลย" ส่วน อาจิณกรรม เช่น แม่ครัวทุบหัวปลา แกงเป็นประจำ เป็นต้น สำหรับ ขโมยของสงฆ์ หลวงพ่อได้ยกตัวอย่างให้ฟังดังนี้)

    หลวงพ่อ : มีญาติพระเจ้าพิมพิสาร เป็นทายกในตอนต้นก็ดี ซื่อตรงต่อการบุญการกุศล แต่มาตอนกลาง ๆ มือถึงท้ายมือไม่ค่อยดี เริ่มหยิบแล้วทีแรกก็เป็น ทายก ต่อมาก็เลยเป็น ทายัก ของอะไรดี ๆ ก็ยังเอาไปเสียบ้าง เอาไว้ให้ลูกให้เมียเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสียบ้าง ของที่เขาจะถวายสงฆ์ เขาตั้งใจจะทำอาหารถวายสงฆ์ เนื้อ ดี ๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง แกงดี ๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง

    บางทีไม่ยกของสด ไอ้ของที่สำเร็จรุปที่เขาไม่ทันจะถวายพระ ก็ยักเอาไว้เสียบ้าง ญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นทายักแบบนี้ ตายแล้วลงนรกสิ้นระยะเวลา ๑ กัป พ้นจากนั้นแล้ว ก็มาตก ยมโลกียนรก คือ ผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม แล้วก็มาตกยมโลกีนรกตามลำดับมาเป็น เปรต ๑๑ จำพวก สุดท้ายก็เป็น เปรตพวกที่ ๑๒ สมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้

    จำไว้ด้วยนะ ของสมบัตินิดหนึ่งน่ะ แม้จะเป็นก้อนดินก้อนหนึ่ง กระเบื้องหัก ๆ ก้อนหนึ่งก็ตาม ถ้าเราถือเอาเข้าบ้านด้วย อาการของขโมย เสร็จ..สะเด็ดไม่เหลือ ลูกหมากรากไม้ที่มีอยู่ในวัด เราจะไปขอเด็กขอพระไม่มีประโยชน์ ของสงฆ์สงฆ์ต้องประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้วตกลงกันว่ายังไง ต้องปฏิบัติตามนั้น ขายหรือให้ใครต้องปฏิบัติตามนั้นนะ

    แม้แต่ "ดอกไม้บูชาพระ" ก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ปลูกยังมีชีวิตขอเฉพาะท่านได้ ถ้าท่านผู้ปลูกตายไปแล้วหรือสึกไปแล้ว อันนี้เป็นของสงฆ์ ต้องเป็นเรื่องของสงฆ์วินิจฉัย ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้ให้ หรือไปขอเก็บเด็กวัดอันนี้ไม่ถูกต้อง ลงอเวจี

    และอีกเรื่องหนึ่ง กากะเปรต สมัยที่เกิดเป็น "กา" แย่งข้าวในขันที่เขานำไปจะถวายพระ ข้าวสุกนั้นเขานำไปยังไม่ถึงพระ ยังไม่ใช่ของสงฆ์ จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้วกรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ตายไปแล้วไปลง อเวจี แล้วแถมมาเกิดเป็น เปรต

    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาติแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ....?

    หลวงพ่อ : ถ้าอาหารที่พระให้ต้องเป็นของญาติโยมที่ถวายเฉพาะองค์นั้น ไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือเป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้ นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์

    ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระ ที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปกินบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง บางทีกินอาหารที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาติแล้วไม่มีโทษ (สำหรับโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร)

    แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉยๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอแล้วยกไปเลย พระยังไม่ทันอนุญาติ ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม ถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระมีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์

    และอาหารถวายพระพุทธรูป ก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี เพราะเป็นพุทธานุสสติด้วย เป็นพุทธบูชาด้วย แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม อาตมาคิดว่าทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน หลายวัดหรือส่วนใหญ่ ทายกมักจะเอาอาหารดีๆ และมากๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป

    เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว ต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นแดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น ลูกศิษย์พระพุทธรูป แต่ประการใด

    รวมความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือของในวัดทุกประการที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ดอกไม้ ผลไม้ในวัดเศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่นเล็กๆ น้อยๆ บ้าง จงอย่าคิดว่าไม่มีบาป แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน

    เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาติ อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้ รับมาได้ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์

    และอีกประการ หนึ่ง วัดร้างที่ไม่มีพระอยู่ แต่มีสภาพเป็นวัด กับที่ของสงฆ์ที่เป็นไร่นาไปแล้ว ไม่มีสภาพเป็นวัด ถ้าเราไปนำมานิดเดียวแม้แต่หญ้าต้นเดียว เขาถือว่า เป็นหนี้สงฆ์ อันนี้อันตรายมาก สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็แนะนำให้คน ชำระหนี้สงฆ์ บาทสองบาทสลึงสองสลึง บางคนไม่มีเงืนเอามาทำงานแทน ทำอะไรก็ได้ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอาค่าแรง

    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ พระเครื่อง ที่เขาไปขโมยมาแล้วเราเอามาห้อยคอ อย่างนี้จะบาปไหมครับ..?

    หลวงพ่อ : เดี๋ยวก่อน..พูดเรื่อง พระเครื่อง ก่อนพระที่คุณห้อยน่ะ ไม่มีเครื่องหรอก.. พระเครื่องต้องอย่างฉันนี่เดินได้ วิ่งได้ ใช่ไหม...อย่างนั้นเขาไม่เรียก "พระเครื่อง" เขาเรียก "พระห้อย" เขาขโมยมาจากใครล่ะ..?

    ผู้ถาม : ก็ไม่ทราบแน่ครับ อาจจะขโมยเจาะกรุมาก็ได้ครับ

    หลวงพ่อ : เสร็จ..ไอ้นี่พังแน่..!

    ผู้ถาม : อย่างนี้จะบาปไหมครับ......?

    หลวงพ่อ : รับของโจรมันก็บาปซิ

    ผู้ถาม : แต่ถ้าเราไม่ทราบนี่คงไม่เป็นไรนะครับ

    หลวงพ่อ : เราไม่ทราบก็บาป เราทราบก็บาป ไอ้บาปนี้เขาแปลว่า "ชั่ว" คนไปขโมยมาจากกรุ กรุมันเป็นของสงฆ์ ลักษณะของอาการมันเป็นของชั่ว ถ้าเราเอาของชั่วมาอยู่กับเราก็ชั่วด้วย อย่างใน "มงคลสูตร" ข้อหนึ่ง ท่านบอกว่า "อะเสวะนา จะ พาลานัง" อย่าคบคนพาล ถึงแม้นตัวราจะไม่พาล ถ้าเราเดินกับคนพาลเขาก็คิดว่าพาลไปด้วย" และท่านก็มีข้อเปรียบเทียบ ท่านบอกว่า

    "ใบตองนี่ ไอ้ความเน่าของเนื้อสัตว์มันจะไม่ซึมลง แต่ว่าถ้าเราเอาใบตองห่อของเน่า แล้วเอา ของเน่าทิ้งไปแต่กลิ่นเน่าเหม็น มันยังติดใบตองอยู่" "ทีนี้การรับของโจร ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ ก็ต้องถือว่าเราร่วมมือด้วยโดยไม่เจตนา ก็ต้องเอาเหมือนกัน"

    ผู้ถาม : ของหนูก็มีพระที่ขโมยมาเหมือนกันค่ะ เป็นพระบูชาแต่ว่าอยากเอาไว้ที่บ้านเอาไว้บูชา ถ้าเราชำระหนี้สงฆ์จะได้ไหมคะ..?

    หลวงพ่อ : ทีนี้วิธี "ชำระหนี้สงฆ์" เขาให้มีค่าเสมอของเดิมนะ เสมอของเดิมหมายความว่า ไม่ใช่พระรุ่น แบบนี้ เหมือนกับอย่างเขาเล่นกันนะ เขาไม่ใช้นะ ไปดุว่าที่ร้านเจ๊กหน้าตักขนาดนี้เขาขายเท่าไร แล้วเอาเงินไป ชำระหนี้สงฆ์ตามราคานั้น ถ้ามากกว่านั้นไม่เป็นไรนะ เท่านั้นก็ใช้ได้ เอาไปวัดใดวัดหนึ่งขอชำระหนี้สงฆ์ ขอมอบเงินจำนวนนี้และขอเอาพระไปบูชา ก็เท่านี้แหละ

    เป็นอันว่าไม่มีอะไรผิด (ใครก็ตามได้รู้อย่างนี้ก็ใจเสียแล้ว เวลาไปเอามาไม่รู้เท่าไหร่ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ก็มีคนหัวดี กล้าถามหลวงพ่อว่า ถ้าจะชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมด ตั้งแต่ที่เคยทำมาตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันนี้ จะทำอย่างไร เราจึงได้รู้เรื่องการสร้าง "พระชำระหนี้สงฆ์" ขึ้นมา)



    [​IMG]

    การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์

    ผู้ถาม : แล้วเรื่อง พระชำระหนี้สงฆ์ มีความเป็นมาอย่างไรครับ...?

    หลวงพ่อ : เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ฉันไปที่ศรีราชา ญาติโยมเขาถามเรื่อง "พระชำระหนี้สงฆ์" ถ้าหลายๆ ชาตินี้เราไม่รู้เอาอะไรมาบ้าง ถามว่าจะทำอย่างไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอตอบไม่รู้ก็เห็นพระท่านลอยมา ท่านบอก

    "ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็นเงินเท่าไรก็ไม่พอ ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอก" พระหน้าตัก 4 ศอก ถือว่าเป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า "พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้วๆ มาถือเป็นการหมดกันไป"

    ฉันพูดแล้วก็กลับมาวัด ต่อมาพวกนั้นก็มาถามใหม่ว่า "สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน" ฉันก็ไม่รู้อีกซิ ก็นึกถึงท่าน ท่านก็มาใหม่ ท่านบอกว่า

    "ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ" หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่า ถ้าสร้างใหม่อีกนะ สร้างหนี้ใหม่ต่อเป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ

    ผู้ถาม : ถ้าหากว่าเรามีสตางค์น้อยๆ แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ....?

    หลวงพ่อ : ถ้าเรามีสตางค์น้อยๆ ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า "ชำระหนี้สงฆ์" คือว่าไม่ได้จำกัด ทำไปเรื่อยๆ ให้ใจสบาย บาทสองบาทตามกำลังที่พึงทำได้ เขาไม่ได้เกณฑ์ว่าจะสร้างพระ หลวงพ่อปานท่านทำอย่างนี้มาก่อน เรื่องสร้างพระนี่เขาถามก็บอก ท่านมาบอกอัตรานี้โละกันเลยนะ คือไม่ใช่จะเกณฑ์ให้ไปสร้างพระเพราะทุนไม่พอใช่ไหม เราก็ทำไปเรื่อยใจสบาย มีสตางค์รับเงินเดือนมาทีทำ 5 บาท ใส่ซองถวายพระบอก "ขอชำระหนี้สงฆ์"

    ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิด ท่านลงนรกเอง ไม่ต้องห่วง ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย เงินชำระหนี้สงฆ์มันมีค่ากว่าเงินสังฆทานและวิหารทาน ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้เป็นส่วนกลาง อันตรายกับพระ แต่ช่างเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไป ใช่ไหม....?"

    ผู้ถาม : ถ้ามีญาติโยมเอาเงินไปถวายพระ แต่ก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง ให้ญาติโยมไปออกดอกออกช่อบ้าง อยากทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบหรือไม่เจ้าคะ...?

    หลวงพ่อ : เขาถวายเป็นของ สงฆ์ใช่ไหม เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร แต่คนในวัดเแาไปปลูกบ้าน เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม เขาถวายอานิสงส์ มันได้ตั้งแต่ถวาย มีอานิสงส์ครบถ้วน นั่นเขาครบ 100 เปอร์เซ็นต์เลยนะ คนอื่นเอาไปใช่ไหม อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ อานิสงส์ มันได้ตั้งแต่เริ่มให้ ยิ่งให้ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้นเวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม ขณะที่พระรับก็เกิดธรรมปิติอิ่มใจ อานิสงส์มันเพิ่ม แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษคนนั้นลงอเวจีแน่

    ผู้ถาม : โอ้โฮ...หนักถึงขนาดนั้นเลยหรือครับหลวงพ่อ.....?

    หลวงพ่อ : ยังเบานะ ถ้า 2-3 คราว ลงโลกันต์..!

    ผู้ถาม : นี่ดีนะ...ที่สึกออกมาก่อน ไม่งั้นไปอยู่ใต้พระเทวทัตแน่ๆ

    หลวงพ่อ : ใต้พระเทวทัตน่ะไม่มีความทุกข์นะ ความทุกข์มันอยู่แค่อเวจี ต่ำกว่าอเวจีก็ไม่ถึงโลกันต์

    อ้างอิงจาก : หนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญญาธรรม" ฉบับพิเศษ เล่ม 1
     
  11. ooi2211

    ooi2211 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +2,987
    การชำระหนี้สงฆ์​


    พระอาจารย์เล่าว่า "ที่วัดท่าขนุนตอนนี้บริษัทรับเหมากำลังเจาะเสาเข็มกันอยู่ อาตมาเองก็เพิ่งทำพิธีลงเสาเอกไปเมื่อวันที่ ๒๗ ที่ผ่านมา แต่เป็นที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ก็คือพวกคนงาน ถึงเวลาก็ลงไปกวาดเหรียญเงิน เหรียญทอง เหรียญในหลวง แก้วแหวนอะไรต่าง ๆ ไปคนละหอบสองหอบ อาตมาก็ไม่รู้จะบอกเขาไปทำไม ว่าสิ่งที่ตัวเขาเองทำนั้นจะเดือดร้อนสาหัสทีหลัง

    ญาติโยมจำนวนมากยังไม่ทราบว่า การที่เข้าวัดเข้าวา แล้วนำเอาสิ่งต่าง ๆ ไปนั้นเป็นหนี้สงฆ์ คำว่า "หนี้สงฆ์" ถ้าเราไม่รู้โทษก็จะไม่รู้สึกว่าหนัก ขอบอกว่าหนี้สงฆ์จะมากจะน้อย เขาปรับโทษอเวจีอย่างเดียว เพียงแต่ว่าจะอยู่นาน อยู่เร็วกว่ากันเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนหนี้สงฆ์ที่เราเป็นอยู่ การเป็นหนี้สงฆ์ถ้าไม่ได้ชำระหนี้ บุญทั้งหมดที่ทำมาเป็นหมันหมด เพราะว่าเขาจะเอาลงไปปิ้งเล่นที่อเวจีก่อน..!

    อาตมาสงสารพวกคนงานชุดนั้น แต่รู้ว่าบอกไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าบอกไปจะเป็นโทษหนักกับเขาอีก เพราะกลายเป็นว่ารู้แล้วยังขืนทำ ถ้าไม่บอกก็ให้เขาทำ ๆ ของเขาไป โทษยังไม่หนักเท่านั้น เขาอาจจะได้ทอง ได้เงินไปขายเพื่อยังชีพ สร้างความสุขสบายให้แก่ตัวเองก็ได้แค่พักเดียว พอถึงเวลาความเดือดร้อนมาถึงจะแก้ตัวก็ไม่ทันแล้ว เพราะส่วนใหญ่ไปรู้เอาตอนตาย

    ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเราเองที่พอจะรู้ ก็พยายามแนะนำลูกหลานญาติโยมของตนเองให้เข้าใจในเรื่องของการเป็นหนี้สงฆ์ คนโบราณสมัยก่อนจิตใจละเอียดมาก บรรดารุ่นปู่ย่าตายาย เวลาจะไปวัด จะบอกลูกหลานให้หยิบดินที่บ้านก้อนหนึ่งใส่หาบไปด้วย พอไปถึงก็ไปโยนไว้ในวัด เพราะเขาถือว่าการเดินเข้าวัด ทำให้มีเศษดินจากวัดติดเท้าไป ในเมื่อเศษดินจากวัดติดเท้าไปเท่ากับว่าเป็นหนี้สงฆ์

    คนโบราณที่ใจละเอียดก็เลยใช้วิธีชำระหนี้สงฆ์โดยการเอาดินจากบ้านก้อนหนึ่ง จะก้อนเล็กก้อนใหญ่ก็อยู่ที่ลูกหลานจะหยิบให้ ใส่หาบที่เอาภัตตาหารไปถวายพระ ถึงเวลาก็เอาไปโยนไว้ในวัด ถือว่าใช้หนี้กันไป แล้วอีกส่วนหนึ่งที่โบราณท่านทำอยู่เป็นประจำ ก็คือการขนทรายเข้าวัด เขาก็ถือว่าการติดหนี้สงฆ์นั้น แต่ละปีจะทำการใช้หนี้ด้วยการขนทรายเข้าวัด สมัยก่อนทรายไม่ได้ซื้อหากันง่ายอย่างในสมัยนี้ อยากได้ทรายต้องไปงมเอาในแม่น้ำ ต้องดำน้ำลงไปตักขึ้นมาทีละถังครึ่งถัง แล้วแต่ว่าใครจะสามารถตักได้เท่าไร"


    "อย่างสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคทำการก่อสร้าง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า หลวงปู่ปานต้องดำงมทรายเอง ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักว่า "เหนี่ยง" หน้าตาเป็นอย่างไร แมลงเหนี่ยงเป็นแมลงชนิดหนึ่ง บางคนเรียกว่าแมลงตับเต่า เอามาคั่วเกลือกินอร่อยดี ดำจนขึ้นเงา เพราะฉะนั้น..สมัยก่อนอะไรที่ดำ ๆ เขาจะไม่บอกว่าดำเหมือนอีกา เขาจะบอกว่าดำเป็นเหนี่ยง ท่านบอกว่า “หลวงปู่ปานนี่ดำทรายทุกวัน ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย” ว่าอย่างนั้น

    แสดงว่าสมัยก่อนที่เราจะซื้อจะหาทรายกันเพราะมีเครื่องดูดนั้น คนโบราณเขาใช้วิธีดำไปตักทรายกัน แล้วก็เอาใส่หาบ หาบไปวัด ไปก่อเจดีย์ทรายถวายเป็นพุทธบูชา แล้วอีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ ได้ชำระหนี้สงฆ์ที่ตนเองติดหนี้เอาไว้ เนื่องจากว่าเข้าวัดเข้าวาแล้ว ได้เหยียบย่ำเอาดินทรายติดเท้าไป มาระยะหลัง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำว่า ถ้าอยากจะชำระหนี้สงฆ์ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ถ้าสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอกแล้วไม่ปิดทอง ชำระหนี้ได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าปิดทองด้วย ชำระได้ทั้งคณะ จะกี่ร้อยกี่พันคนก็ได้ถ้าร่วมกันทำ

    ญาติโยมส่วนใหญ่เข้าวัดแล้วไม่มีความรู้ เพราะว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ไม่รู้ ไม่ได้อบรมมา รุ่นเราก็ไม่รู้ ถึงเวลาจึงไม่ได้อบรมต่อ ลูกหลานก็ยิ่งไม่รู้หนักเข้าไปอีก ฉะนั้น..ถึงเวลาเข้าวัดแล้ว ชอบใจอะไรก็หยิบไปเรื่อย เห็นดอกไม้สวยเด็ดดอกไม้ เห็นผลไม้สุกเก็บผลไม้ เป็นต้น สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นทำให้เราเป็นหนี้สงฆ์ทั้งนั้น และโดยเฉพาะบรรดาลูกหลานที่เป็นพระยิ่งไม่เข้าใจ ก็ยิ่งมีการแสดงออกที่ทำให้พ่อแม่เป็นหนี้สงฆ์หนักขึ้นไปอีก ก็คือญาติโยมเขาถวายอะไรมา ก็ขนกลับบ้านไปให้พ่อแม่"



    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี วันที่ ๓๑ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
    ที่มา : เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖
     
  12. ooi2211

    ooi2211 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +2,987
    [​IMG]


    หลวงพ่อปาน ชำระหนี้สงฆ์
    โดย หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง


    ต่อไปจะมาเล่าเรื่อง "ใช้หนี้สงฆ์" ให้ฟัง เรื่องใช้หนี้สงฆ์น่ะ สมัยนี้หาฟังกันยากเหลือเกิน พระขนาดไหนก็ตาม ไม่ค่อยจะมีใครพูดกัน เทศน์ก็ไม่เคยฟัง ใครพูดให้ฟังก็ไม่เคยฟัง ได้ฟังอยู่สำนักเดียวคือหลวงพ่อปานเท่านั้น หลวงพ่อปานนี่พูดทุกปี ทำทุกปี พอถึง ๑ ปี คือขึ้นต้นปีใหม่ เข้าพรรษาใหม่ ๆ ท่านประกาศขอซื้อของสงฆ์ คำว่าซื้อของสงฆ์นี่ท่านซื้อไม่ไผ่ ซื้อผลไม้ ซื้อดอกไม้ที่มีในวัด ในสมัยนั้นค่าของเงินสูง ท่านขอซื้อปีละ ๑๐๐ บาท ก็ซื้อไม้ทั้งหมด ซื้อผลไม้ทั้งหมด ซื้อดอกไม้ทั้งหมดปีละ ๑๐๐ บาท ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิ์ของสงฆ์ที่จะพึงใช้ จะใช้ได้ต้องเอาเงินจำนวนนั้นไปใช้ในงานก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์ แล้วต่อแต่นั้นไปท่านชวนพระชำระหนี้สงฆ์ ตัวท่านเองก็ชำระหนี้เหมือนกัน

    มาว่ากันถึงการ "ซื้อของสงฆ์" ก่อน บรรดาลูกหลานทั้งหลาย หาที่ฟังยาก คือว่ามีโอกาสได้ฟังยาก ไอ้เรื่องการซื้อของสงฆ์หรือว่าการ "ชำระหนี้สงฆ์" เวลานี้ฉันกำลังสร้างกุฏิชำระหนี้สงฆ์อยู่ เพราะรื้อกุฏิของสงฆ์ไป ๒ หลัง ฉันสร้างให้หลังเดียว แต่ว่าคุณค่ามีความคงทนดีกว่า การอยู่อาศัยได้สบายกว่า ๒ หลังที่รื้อไปพระอยู่ได้ ๕ องค์ยังลำบากเพราะห้องแคบ ฉันสร้างให้หลังเดียวเป็นกุฏิตึก อยู่ได้ ๖ องค์แบบสบาย ห้องกว้างกว่า แล้วก็มีศาลาดินเป็นเฉลียงข้างหน้า นั่งพักเล่นสบาย แถมส้วมให้อีก ๔ ห้อง บริเวณทั้งหมดเทพื้นคอนกรีตให้พระเดินสบาย ตั้งน้ำประปาเข้าไว้ให้พระใช้สบาย แสดงว่าฉันทำมามากกว่าของเก่า ดีกว่าของเก่า เป็นการชำระหนี้

    ลูกหลานอาจจะสงสัยว่ากุฏิพระ พระรื้อ ทำไมต้องชำระหนี้ ก็ขอบอกว่า ทรัพย์สินที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่ได้สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างถวายพระพุทธเจ้า คำว่าของสงฆ์นี่น่ะต้องหมายถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะมาถือสิทธิ์ว่าเป็นของฉัน จะเป็นสมภารองค์ไหน สมเด็จองค์ไหน เจ้าคณะองค์ไหน พระสังฆราชองค์ไหนก็ตาม จะมาชี้ว่าสมบัติของสงฆ์นี่เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว นี่ลงนรกหมด ลุงพุฒิไม่ยอมแน่ ใช่ไหมลุงพุฒิ

    ลุงพุฒิ(พระยายมราช)หันมายิ้ม บอกว่า ว่าเสียหลายรายการแล้ว รายการที่มีตำแหน่งใหญ่ ๆ ที่ไม่เคารพสิทธิ์ในสงฆ์นั่นแหละ ว่าเสียหลายรายการแล้ว เอาเสียเยอะ เยอะเพราะเผลอคิดว่าโตแล้วทางนรกจะเว้น เรื่องนรกนี่เขาไม่เว้นใครหรอก ลุงพุฒิน่ะแกชอบกับฉันมาก สมัยเป็นมนุษย์เรียกว่าเพื่อนกันเลยก็ได้ แล้วเป็นเกี่ยววันพันดองกัน เคยล้อเคยเล่นกัน แกยังบอกว่าการเว้นในเรื่องกฎของกรรมนี้ไม่มี ถ้าว่าฉันไม่ดี แกก็เข็นเอาลงนรกเหมือนกัน ยังงั้นใช่ไหมลุง แกบอกว่าใช่ นั่นถูกแล้ว เรื่องกฎของกรรมไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวก็ส่วนตัว กฎของกรรมก็กฎของกรรม

    หลวงพ่อปานซื้อของสงฆ์ เพราะของเหล่านี้มันอยู่ในวัด ท่านเป็นประมุขของวัด ความจริงเราจะคิดกันอย่างเรา ๆ ก็คิดว่าท่านควรมีสิทธิ์ ท่านจะให้ใครก็ได้ ท่านจะกินจะใช้ยังไงก็ได้ แต่ทว่าตามพระวินัยแล้วไม่มีสิทธิ์ ของในวัด ถ้าพระองค์ไหนปลูกไว้ ถึงเขาสึกแล้วก็ตาม เขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ ถ้าหากว่าเจ้าของยังบวชอยู่ มีอำนาจให้ใครได้ กินเองได้ ถ้าว่าเขาตาย เขาสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็นทายาท กินใช้เองน่ะไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เหมือนของหลวง

    เวลาจะกินจะใช้ต้องประชุมสงฆ์กัน สงฆ์ทั้งหมดต้องประชุมอนุมัติ ว่าเราจะกินจะใช้ของประเภทนี้ด้วยวิธีการอย่างไร ถ้าหากว่าพระองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม เด็กก็ตาม ฆราวาสก็ตาม กรรมการวัดก็เถอะ ไปถือสิทธิ์ว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่ในวัด จะกินลูกไม้ลูกไหนก็ได้ จะเด็ดดอกไม้ดอกไหนก็ได้ จะโค่นต้นไม้ต้นไหนก็ได้ ไม้ลำไหนก็ได้ หน่อไม้หน่อไหนก็ได้ เอามาใช้เอามากินเป็นส่วนตัวโดยสงฆ์ไม่ลงมติอนุมัติ อย่างนี้มีโทษขั้นไหน ลุงพุฒิ อเวจีมหานรก แกร้องบอกมาว่า อเวจีมหานรก ฟังไว้ให้ดีนะลูกหลานที่รักนะ

    หลวงพ่อปานซื้อ ซื้อแบบไหน ท่านบอกว่า ต้นไม้ก็ดี ต้นเล็ก ๆ ไม่ใช่โค่นต้นใหญ่ เช่น ไม้ลำหรือว่าหน่อไม้บางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นส่วนเล็กส่วนน้อย หรือว่าลูกไม้ก็ตาม ดอกไม้ก็ตาม ถ้ามีใครจะเด็ดเอาไปดม เอาไปบูชาพระ จะเอาไปกิน เอาหน่อไม้ไปกินเป็นบางส่วน หรือลำไม้บ้าง มีคนมาลักไม้บ่อย ๆ ที่หลังวัด เขาเคยมาตัดไม้ลำบ่อย ๆ สมัยนั้นมีกอไผ่มาก ท่านบอกว่าส่วนเล็กน้อยประเภทนี้ฉันของซื้อ ขอซื้อสงฆ์ด้วยจำนวน ๑๐๐ บาท เพื่อเป็นการป้องกันโทษของบุคคลผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระสงฆ์ก็สาธุ เป็นอันว่า เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี ที่ได้กินมะม่วงบ้าง ฝรั่งบ้าง ผลไม้ที่มีอยู่เยอะ ใครอยากกินอะไรก็เอามากินได้ตามชอบใจ เพราะหลวงพ่อปานท่านซื้อแล้ว พอท่านซื้อท่านก็ให้สิทธิ์ ท่านอนุญาต ว่าพวกเธอน่ะ อยากจะฉันมะม่วง อยากจะฉันฝรั่ง อยากจะฉันอะไรก็ตาม นิมนต์ตามสบาย ฉันซื้อแล้ว ฉันซื้อสงฆ์แล้ว นี่ท่านซื้อเพื่อกันพวกฉันนะ กันพวกเด็ก ๆ หรือว่ากันคนอื่นเลว

    เรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถึงวันเข้าพรรษาคนทำบุญมาก ท่านก็ประกาศแก่คนทุกคนว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ของสงฆ์ตกอยู่ที่ไหน เรียกว่า ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ อย่างวัดร้างที่ปรากฏว่าเป็นดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัดก็มี หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัดแต่อยู่ในป่าในดงก็ตาม หรือวัดที่มีพระก็ตาม เราจะไปนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น จะเป็นต้นหญ้าสักต้น ไม้หักสักอันก็ตาม เขาถือว่าของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็ ซวยขนาดหนัก

    แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขั้นขุมที่ ๗ มาแล้ว ขุมนี้หนักมาก รองจากอเวจีมหานรก เพราะอะไร เพราะบุกรุกที่ดินของวัด แต่ว่าวัดก็เป็นวัดร้าง ไม่รู้ว่าเป็นวัดร้างแค่นี้นา แค่นี้ตกนรกขุมที่ ๗ ไม่มีเจตนาโกง ซื้อต่อจากคนอื่นเขา แต่เขาก็ไม่ให้อภัย เรื่องนี้เป็นของยากนะ จะถือว่ามันไม่ผิดกฎหมายผิดอะไรฉันไม่รู้หรอก สำนักพญายมเขาไม่เกี่ยวนะ กฎหมายกฎระเบียบอะไรที่ชาวโลกมีกิเลสสร้างขึ้นน่ะ เขาไม่เกี่ยว

    ท่านก็บอกว่าคนเราทั้งหมดนี่นะจะรู้ได้ยังไง ไม้ลอยมาหน้าบ้าน เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของเอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมันมาจากวัดก็เป็นไม้ของสงฆ์ ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นหญ้าต้นฟางที่มันอยู่กลางทุ่ง สถานที่นั้นอาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าสภาพของวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมด แม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็บาป แล้วโทษเอาของสงฆ์หนักมาก เรียกว่า ขั้นอเวจีขั้นเดียว มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี

    แล้วท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ด้วยจำนวนเท่าไร เท่าไรก็ตามเอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ คือ วัดร้างที่ปรากฏมีเป็นวัดก็ตามหรือไม่ปรากฏเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตามวัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ทราบค่าราคาของ คือว่าเป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าทั้งหลายชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ขอให้สาธุขึ้นให้พร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่ ถ้าพระทั้งหมดสาธุพร้อมกันเป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่าค่อยๆ ทำไป เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก เพราะว่าเรื่องสงฆ์นี่นะลำบากมาก

    มีเรื่องเล่ามาในสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระพุทธกัสสป น่ากลัวจะไม่ใช่ซี เป็นสมัย พระวิปัสสีทศพล โน่น สมัยพระวิปัสสีนั่นมีพระอยู่ ๔ องค์ เวลานั้นข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหา ข้าวที่จะกินเข้าไม่พอ ข้าวส่วนตัวไม่มี ก็มีข้าวสารของสงฆ์ ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้วก็มาหุงเลี้ยงเพื่อน คิดในใจว่าถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่ เราก็จะชำระหนี้สงฆ์ คือว่าเราจะใช้หนี้ให้

    แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้ พระ ๔ องค์นั่นตาย ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่าจะชำระหนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ ตายแล้วไปไหน ปรากฏว่าไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรก สิ้นพันปีนรก เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว ตกนรกบริวารผ่านมา ๔ ขุม แล้วยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม มาเป็นเปรต เปรตนี้จัดเป็น ๑๒ ระดับ ระดับที่ ๑ ถึงระดับที่ ๑๑ ไม่มีโอกาสที่จะได้โมทนาบุญของชาวบ้านที่ให้ ระดับที่ ๑๒ ที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต ตอนนั้นมีโอกาส

    ในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่ ๑ ถึง ๑๑ ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์ ถามท่านว่าเมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินน้ำเสียที เห็นน้ำเข้าวิ่งไป น้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง เห็นข้าวอยากจะกินวิ่งเข้าไปก็ปรากฏว่าเป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก กินไม่ได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อไรพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลก ในตอนนี้แหละญาติของเจ้าชื่อว่า พระเจ้าพิมพิสาร จะบำเพ็ญกุศล แล้วเธอหมดทุกคนได้รับโมทนา ก็จะพ้นทุกขเวทนาเสียที

    เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน จนกระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ พระเจ้าพิมพิสารถวาย พระเวฬุวันมหาวิหาร แล้วถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เมื่อถวายทานแล้วก็ไม่ได้กรวดน้ำ ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้ ตอนนั้นมันเป็นการทำบุญครั้งแรก ยังไม่รู้ว่าทำบุญกรวดน้ำกันได้ผล เปรตทุกคนที่คอยอยู่ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา เห็นพระเจ้าพิมพิสารไม่กรวดน้ำให้ก็เดือดร้อน

    กลางคืนเข้ามาในพระราชนิเวศน์พระเจ้าพิมพิสารก็ไม่เห็นตัว เป็นพระโสดาบัน แต่ท่านไม่เห็นตัว ก็เลยร้อง เมื่อร้องขึ้นมาพระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ แปลกใจว่าเสียงอะไรไม่ทราบมาร้องกึกก้อง ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสารตกใจ ในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้า ไปถามว่าเมื่อคืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร มันร้องกรี้ดกร้าด ๆ ตามในพระราชฐาน ไม่เคยได้ยินพระพุทธเจ้าข้า ก็เล่าความนั้นให้ทราบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เปรตเป็นญาติของพระองค์ ต้องการโมทนาบุญ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้วไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้ คำว่าอุทิศแปลว่าเจาะจงนะ อุทิศนี่นะเขาแปลว่าเจาะจงให้เฉพาะ

    พระเจ้าพิมพิสารจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมดไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์ ตอนนี้เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จก่อนจะโมทนาพระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ ใช้คำว่า อิทัง โน ญาตินัง โหตุ แปลเป็นความว่า ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า เท่านี้ละนะ กรวดน้ำครั้งแรก เปรตทั้งหลายเหล่านั้นตั้งท่าคอยอยู่แล้ว ได้รับโมทนา เมื่อโมทนาแล้วร่างกายทิพย์หมด มีความอิ่มเอิบ มีความสวยสดงดงาม ร่างกายเป็นเทวดา แต่ว่าเป็นเทวดาชีเปลือยไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีผ้านุ่ง เพราะอะไร เพราะว่าในสมัยก่อนที่จะตาย ไม่เคยทำบุญถวายผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อร่างกายสวยแต่ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีกางเกง นี่มันก็แย่เหมือนกัน ก็เดือดร้อน

    ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร แสดงตัวให้ปรากฏ แต่ว่าตอนยืนสงสัยว่าจะยืนหันหลังให้ คงไม่ยืนหันหน้าให้หรอก คงจะอายเหมือนกัน พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจว่า คนอะไรสวยก็สวย แต่แก้ผ้า ไม่มีเสื้อไม่มีผ้า ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา แต่ไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน เขาก็มีแต่ร่างกายสวย ผ้าไม่มี พระเจ้าพิมพิสารถามว่า ทำอย่างไรเขาจึงจะได้ผ้า ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้ เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้น และพอได้เครื่องประดับแล้วเทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฏ แล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็เลยไม่รบกวนอีก

    นี่เล่าถึงเรื่องของสงฆ์ให้ฟังนะ ว่ามีเจตนา "ขอยืม" ยังมีโทษขนาดนี้ แต่ถ้าหากว่าเราไปเอามาโดยไม่ขอยืมจะมีโทษขนาดไหน เอาละ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย สำหรับวันนี้ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ลูกหลานทุกคน สวัสดี.

    จาก หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน โสนันโท (พระครูวิหารกิจจานุการ) วัดบางนมโค

    ที่มา หลวงพ่อปาน ชำระหนี้สงฆ์ โดย หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  13. ooi2211

    ooi2211 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +2,987
    เยอะหน่อยแต่อ่านเพลินครับ เป็นเรื่องสำคัญที่ครูบาอาจารย์ท่านให้ความสำคัญมาก ๆ ครับ (good)
     
  14. misu

    misu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +3,172
    โมทนาสาธุครับ คุณธนา..ขอเจตนาที่เป็นบุญจงกลายมาเป้นสิ่งที่ทำให้มีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมครับ :cool::cool:
     
  15. วิปัสสนู

    วิปัสสนู เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    8,621
    ค่าพลัง:
    +16,861


    ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ...สาธุ...
     
  16. วิปัสสนู

    วิปัสสนู เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    8,621
    ค่าพลัง:
    +16,861

    ขอบพระคุณกับข้อแนะนำดีๆ กับเจตนาดีๆด้วยนะครับ...

    ขออนุโมทนา...สาธุ...ครับ...(deejai)
     
  17. วิปัสสนู

    วิปัสสนู เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    8,621
    ค่าพลัง:
    +16,861

    ในทางพระพุทธศาสนาเรานั้น เจตนาเป็นเครื่องบ่งชี้การกระทำ หากเรามีเจตนาดีกระทำเพื่อบุญเพื่อกุศล เพื่อสืบพระศาสนา ก็เรียกได้ว่ามีเจตนาที่เป็นบุญแล้วครับ...

    ส่วนการกระทำที่เกิดจากเจตนาที่เป็นบุญ แต่อาจล่วงละเมิดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครูบาอาจารย์ผู้รู้ ท่านก็เมตตาชี้แนะวิธีแก้ไข เพื่อให้หลุดพ้นจากโทษภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นไว้ให้เราเช่นกันครับ...

    อย่างในครั้งนี้คุณธนา เริ่มจากเจตนาที่เป็นบุญ ตั้งสัจจะอธิษฐาน เพื่อสืบทอดพระศาสนา จนได้มวลสารต่างๆมาอย่างน่าแปลกใจ(อัศจรรย์) ก็น่าจะเป็นเพราะแรงอธิษฐานของคุณธนานั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษา และเทพยาดาทั้งหลายได้รับรู้ถึงเจตนาที่เป็นบุญ และดลบันดาลให้สำเร็จดังเจตนาที่ตั้งใจไว้ หากว่าสิ่งที่คุณธนาทำนี้จะเกิดเป็นโทษภัยใหญ่หลวง ก็คงจะไม่สามารถหามวลสารต่างๆนี้มาได้อย่างง่ายดายอย่างนี้เป็นแน่ครับ

    และยิ่งถ้าคุณธนาตั้งใจว่าจะไปทำบุญเพื่อเป็นการชำระหนี้สงฆ์ดังที่ครูบาอาจารย์ท่านชี้แนะเอาไว้ ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้บุญที่ทำในครั้งนี้ เป็นบุญที่เต็ม ที่บริสุทธิ์เพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก

    ทำด้วยเจตนาที่ดี ทำแล้วสบายใจ เมื่อใจสบายก็เกิดเป็นบุญ ใจเต็มก็บุญเต็ม...

    ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ...สาธุ...
     
  18. Amata_club

    Amata_club เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    27,064
    ค่าพลัง:
    +52,162
    ก็น่าจะเป็นที่เข้าใจทั้งหมดแล้วนะครับ และผมเองในฐานะเจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้ติดใจอะไรใดๆ ทั้งหมดชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยเจตนาและการกระทำที่บริสุทธิ์ซึ่งผมเองยึดถือเป็นเรื่องหลักในการทำความดีต่างๆ และขอให้จบเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้

    การทำดี คนทำเท่านั้นที่รู้
     
  19. Amata_club

    Amata_club เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    27,064
    ค่าพลัง:
    +52,162
  20. Amata_club

    Amata_club เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    27,064
    ค่าพลัง:
    +52,162
    Update แบบโครงสร้าง
    รายละเอียดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างฐานล่าง(ลีน)
    ทำป้ายผ้าใบเพื่อประชาสัมพันธ์งานบุญ 1
    ทำป้ายผ้าใบเพื่อประชาสัมพันธ์งานบุญ 2
    ทำป้ายผ้าใบเพื่อประชาสัมพันธ์งานบุญ 3สัญญาจ้างขุดเจาะเสาเข็ม
    Update ตอกเสาเข็มฐานรากพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ วัดป่าโพธิ์ศรีธาตุ 78 ต้น 1
    Update ตอกเสาเข็มฐานรากพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ วัดป่าโพธิ์ศรีธาตุ 78 ต้น 2
    เบิกจ่ายค่าเสาเข็มครั้งที่ 3 (48 ต้นสุดท้าย)
    เบิกจ่ายค่าเสาเข็มครั้งที่ 4 (48 ต้นสุดท้าย)
    พระอาจารย์สมชาย ร่วมทำบุญ
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (มิถุนายน)
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (มิถุนายน)
    สถาปนิกออกแบบพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (กรกฏาคม 2554) 1
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (กรกฏาคม 2554) 2
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (กรกฏาคม 2554) 3
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (กรกฏาคม 2554) 4
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (กรกฏาคม 2554) 5
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (กรกฏาคม 2554) 6
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (กรกฏาคม 2554) 7
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (สิงหาคม 2554) 1
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (สิงหาคม 2554) 2
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (สิงหาคม 2554) 3
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (สิงหาคม 2554) 4
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (สิงหาคม 2554) 5
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (สิงหาคม 2554) 6
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (สิงหาคม 2554) 7
    UPDATE บัญชีกลางเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (กันยายน 2554) 1
    Update บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (กันยายน 2554) 2
    Update บัญชีบุญเพื่อพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (กันยายน -ตุลาคม 2554)
    Update บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (ตุลาคม 2554) 1
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (ตุลาคม 2554) 2
    UPDATE บัญชีกลางเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (ตุลาคม 2554) 3
    UPDATEบัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (ตุลาคม 2554) 4
    ทอดกฐิน 2554 1
    ทอดกฐิน 2554 2
    ทอดกฐิน 2554 3
    ทอดกฐิน 2554 4
    ทอดกฐิน 2554 5
    ยอดกฐินที่ทอด ณ วัดโพธิ์ศรีธาตุ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2554
    บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ เดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2554
    บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ เดือนมกราคม 2555
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 1
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 2
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 3
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 4
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 5
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 6
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 7
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 8
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 9
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 10
    รายละเอียดบัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ เมษายน 2555
    ทอดผ้าป่า 2555 1
    ทอดผ้าป่า 2555 3
    ทอดผ้าป่า 2555 4
    ทอดผ้าป่า 2555 5
    ทอดผ้าป่า 2555 6
    Update บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ ประจำเดือนพฤษภาคม 2555 1
    Update บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ ประจำเดือนพฤษภาคม 2555 2
    Update บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ ประจำเดือนพฤษภาคม 2555 3
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 11
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 12
    การก่อสร้างในส่วนของคานคอนกรีต 13
    งานกฐิน บรรจุกรุ รูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ 11/11/55 1
    งานกฐิน บรรจุกรุ รูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ 11/11/55 2
    พิธีปลุกเสกสีผึ้งสามพราย
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (กุมภาพันธ์ 56)
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (เมษายน 56)
    UPDATE บัญชีบุญเพื่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ (กรกฎาคม สิงหาคม 56)
    ทอดผ้าป่า 2556


    รายละเอียดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ สูง 49 เมตร ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน

    อนุโมทนาด้วยครับ _/\_
     

แชร์หน้านี้

Loading...