ใครศรัทธา หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด มาพูดคุยกันครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย คุณสนุก, 4 พฤศจิกายน 2010.

  1. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    บันไดสู่สวรรค์

    ในการสร้างบันไดทางขึ้นศาลาหลวงพ่อดำ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการก่อสร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนเขาปูน แต่ก็นับว่าพบปัญหาและอุปสรรคกันพอสมควร เพระผู้ที่ริเริ่มมิใช่ช่างจึงทำไปตามความคิดและกำลังความสามารถเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อเจอก้อนหินใหญ่ขวางหน้าก็ต้องใช้กำลังทุบตีให้หินแตกเพื่อวางแนวขั้นบันได เมื่อบันไดสูงขึ้นการขนวัสดุอุปกรณ์ขึ้นไปก็เริ่มยุ่งยากขึ้น ชาวบ้านหลายคนที่มีความรู้และฝีมือทางช่างก็เข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะช่วงเย็นหลังจากเลิกงานประจำวันของตัวเองแล้ว บันไดยิ่งสูงขึ้นคนที่เข้ามาช่วยเหลือก็เพิ่มมากขึ้น ทำกันไปสนุกกันไปจนมืดค่ำ พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ เห็นผู้ใหญ่มาช่วยกันก็มาช่วยบ้าง ดังนั้นบางคืนจึงมีคนมาช่วยถึงศาลาแล้วยก็หยุดไว้ไม่ไหว เนื่องจากมีผู้ศรัทธาบริจาควัสดุเพิ่มขึ้นและผู้สละแรงงานมาช่วยก็เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นขั้นบันไดจึงสูงเลยศาลาหลวงพ่อดำขึ้นไปอย่างไม่สามารถฉุดรั้งได้

    ความศรัทธาของผู้ที่มาช่วยงานด้วยเห็นความมุ่งมั่นของท่านอาจารย์แก้วที่นำคณะลงมือทำงานเอง หิวถึงปูนเอง โบกปูนเอง ทำให้ทุกคนมีกำลังใจในการทำงาน จึงร่วมมือกันอย่างแข็งขัน ไม่ย่อท้อ ข่าวการสร้างบันไดขึ้นเขาปูนเอง ทำให้ผู้ที่ทราบข่าวเดินทางมาร่วมงานบุญด้วยการบริจาคเงินและวัสดุก่อนสร้างก็เพิ่มมากขึ้นตามแรงศรัทธา บันไดก็แหวกป่าแหวกหินผาพุ่งขึ้นไปสู่ยอดเขาปูนจนถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่อาศัยของเทวดาสองพี่น้องตามที่ชาวบ้านบอกเล่าต่อๆ กันมาคือ องค์พี่เป็นเสือ องค์น้องเป็นงู ในถ้ำนี้มีช่องลึกลงไปในภูเขา เดินเข้าไปได้ไกล ท่านอาจารย์แก้วได้พิจารณาเห็นว่าที่ถ้ำนี้เงียบสงบดี จึงได้ย้ายที่พำนักจากศาลาหลวงพ่อดำมาสร้างเพิงพักขึ้นใหม่ที่หน้าถ้ำนี้ และหาเวลาสงบเข้าไปทำสมาธิในถ้ำ ซึ่งทราบภายหลังว่าท่านอาจารย์ได้พบหรือประสบเหตุการณ์แปลกๆ หลายสิ่งหลายอย่าง

    ดังได้กล่าวว่า แรงศรัทธาที่ชาวบ้านเริ่มมีต่อท่านอาจารย์แก้ว ทำให้มีผู้บริจาควัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นจนคณะทำงานทำกันไม่ทัน ใกล้กับถ้ำมีทางแคบ ๆ ที่พอจะเดินเลียบไปข้างๆ ภูเขาได้ จึงได้มีการปรับพื้นที่ลานแคบๆ เป็นบริเวณพักเหนื่อยและใช้พักผ่อนชมทิวทัศน์เบื้องล่าง และจากบริเวณนี้มีช่องทางที่สามารถทำบันไดขึ้นไปสู่ยอดเขาได้เป็นสามสาย การก่อสร้างบันไดสู่ยอดเขาจึงเป็นผลสำเร็จในขั้นต้น นี้จึงเสมือนการบุกเบิกสร้างพระธาตุบนยอดเขาปูนในโอกาสต่อไป บันไดนี้เปรียบเสมือนบันไดสู่สวรรค์นั่นเอง
     
  2. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    เนื้อที่พี่บอกยังกับ 97 ส่งมาหาดใหญ่ให้ส่องบ้าง :d
     
  3. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    อ่านเจอมาค่ะ....

    [​IMG]

    ไม่ว่าวันที่ 5 ธันวาคม จะเวียนผ่านมาสักกี่รอบ เรายังสามารถพบศิลปินหน้าใหม่ๆ ที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนภาพได้เสมอ

    สมพงษ์ จันท้วม ช่างเขียนอิสระ ซึ่งเปิดร้านเขียนรูปขาย อยู่ที่ชั้น 1 ห้างเจเจมอลล์ จตุจักร ก็เป็นคนหนึ่งที่เขียนภาพพระบรมสาทิสลักษณ์มาหลายสิบปี และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2555 เขาก็เขียนภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ขึ้นมาใหม่อีกภาพ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนการถวายความจงรักภักดี และถวายพระพร ดังเช่นที่เคยทำ

    “5 ธันวาคม ปีนี้ ผมจะต้องเขียนอีกหนึ่งภาพ แนวคิดคือ ทรงถือดินสอ สะพายกล้อง ประครองแผนที่ มีวิทยุสื่อสาร อันเป็นอุปกรณ์คู่พระวรกายขณะทรงงาน และจะเขียนตัวเลขรหัสจริงๆ ซึ่งติดอยู่บนวิทยุสื่อสารของพระองค์ลงไปในภาพด้วย

    ทดลองวางท่าทาง วางสีที่จะใช้เขียนเอาไว้แล้ว อยากให้คนที่ได้ชมภาพนี้รู้สึกว่า แม้พระองค์จะทรงเหน็ดเหนื่อยมากแค่ไหน แต่เป็นการเหน็ดเหนื่อยที่มีความสุขที่สุด เพราะได้ทรงงานเพื่อประชาชน”

    • ภาพในหลวงประทับอยู่ในใจ
    ศิลปินหนุ่มใหญ่วัย 48 ปีคนนี้เป็นชาวสุโขทัย เข้าสู่วงการช่างเขียนภาพสีน้ำมัน ตั้งแต่อายุได้ 18 ปี โดยเริ่มเรียนกับช่างเขียนมืออาชีพแถวๆ ท่าพระ ฝั่งธนบุรี ขณะที่ยังช่วยงานที่ร้านของญาติ จากนั้นก็ได้ฝึกฝนและพัฒนาทักษะในการเขียนรูปเพิ่มเติมจากอาจารย์ท่านอื่นๆ อีกหลายท่าน

    “จบ มศ.3 เข้ามากรุงเทพ มาพักอยู่ที่ร้านซ่อมโทรทัศน์ แถวบางยี่ขัน ย่านฝั่งธน และฝึกเขียนภาพ เวลามีงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ผมจะเดินข้ามสะพานมาฝั่งพระนคร เห็นภาพในหลวงแล้วมีความประทับใจ จึงทำให้อยากเขียนภาพของพระองค์ท่านมาตั้งแต่ตอนนั้น

    พระองค์ท่านทรงอยู่ในใจของทุกคน เมื่อก่อนผมเขียนภาพที่ทรงมีหยดเหงื่อที่พระนาสิก เขียนบ่อยจนเป็นที่จดจำ เพราะผมประทับใจในเรื่องที่ทรงงานหนักเพื่อประชาชน ขณะที่กษัตริย์ประเทศอื่นใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย”

    • ขอพระองค์ ทรงพระเกษมสำราญ

    แต่ในระยะหลังภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ที่สมพงษ์เขียน มีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากเขาต้องการให้พระองค์ท่านที่ปรากฏอยู่บนภาพเขียนของเขา อยู่ในพระอิริยาบถที่ดูมีความสุขมากกว่า

    “งานศิลปะ เราจะเสนออย่างไรก็ได้อยู่แล้ว ใช่หรือเปล่า ดังนั้น ไม่ว่าปัจจุบันพระองค์ท่านจะทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายมากเท่าใด แต่ภาพเขียนของผม ต้องสื่อว่าพระองค์ท่านทรงพระเกษมสำราญ และเขียนด้วยสีสันที่ดูสดใส

    เช่นภาพหยดเหงื่อที่ผมเคยเขียนมาหลายครั้งมาก แต่ครั้งนี้เขียนขนาดไม่ใหญ่มาก เขียนเพราะนึกถึงภาพของพระองค์ท่านที่ปรากฏตามสื่อ ขณะประชวรอยู่ที่โรงพยาบาล หรือในเวลาที่เสด็จพระราชดำเนินลงมาทอดพระเนตรแม่น้ำเจ้าพระยา

    ขณะที่ในใจผมคิดว่า พระองค์คงจะทรงเหน็ดเหนื่อยและทุกข์พระทัยมาก แต่ผมก็เลือกที่จะไม่เขียนภาพนี้ด้วยบรรยากาศที่เศร้าหมอง ต้องการเขียนพระพักตร์ให้ดูสดใส มีแสงสีเหลืองมากระทบที่พระพักตร์

    และในส่วนของหยดเหงื่อที่พระนาสิก แทนที่จะเขียนเป็นสีขาว ผมกลับเลือกที่จะเขียนด้วยสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพ สีแห่งความเหน็ดเหนื่อยเพื่อปวงประชา”

    หรือตัวอย่างภาพที่มีสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ อยู่ในภาพด้วย ผมได้ภาพต้นแบบมาจากเว็บไซต์ประมูลภาพเก่า ตอนแรกที่เห็นตกใจว่า พระบรมฉายาลักษณ์(ภาพถ่าย)ของพระองค์ท่าน ภาพนี้มีด้วยหรือ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ก็ทรงดูสดใส เหมือนกำลังเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง มีคนปรบมือให้ ผมรู้สึกและจินตนาการไปถึงขนาดนั้น ก่อนจะเขียนภาพนี้ขึ้นมา

    นานๆจะได้เห็นพระองค์ท่านทรงพระเกษมสำราญอย่างนี้สักที แถมยังมีพระราชินีเสด็จพระราชดำเนินตามมาอย่างสดชื่น ดูแล้วมีความสุขมาก พอผมเจอภาพต้นแบบตอนกลางคืน ตื่นเช้าออกจากบ้านไปที่ร้าน ก็ลงมือเขียนทันทีเลย”


    • ภาพเทิดพระเกียรติทรงครองราชย์ 65 ปี
    ส่วนอีกภาพ สมพงษ์เพิ่งเขียนขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีแห่งการครองราชย์ ครบ 65 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นภาพที่เขาต้องการเขียน เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติ

    “ผมมีโอกาสที่จะร่วมเทิดพระเกียรติพระองค์ได้เพียงเท่านี้ เพราะผมไม่สามารถที่จะมีเวลาไปไหนต่อไหนได้ ผมเอาเฟรมขนาด 60 x 80 เซนติเมตร มานั่งสเก็ตช์ ตามข้อมูลที่ได้มาจากหนังสือเก่า เปิดดูฉลองพระองค์ ชุดเครื่องราชย์ และพวกเหรียญตราอะไรต่างๆ เพื่อป้องกันความผิดพลาด แล้วเขียนรูปนี้เป็นภาพพระองค์ท่านขนาดครึ่งพระองค์ มีพระพักตร์ตรง ทรงยศเต็ม และทรงมงกุฎ

    แต่ผมไม่ได้เขียนรายละเอียดต่างๆให้ดูละเอียดมากนัก เพราะถ้าละเอียด ภาพอาจจะดูแข็งไป แต่เขียนตามแบบของพระพักตร์ในช่วงขึ้นครองราชย์จริงๆ สเก็ตช์มาเลย ทรงแว่นอันนี้ และฉลองพระองค์ชุดนี้ สีขาวขลิบทอง แล้วพวกเหรียญตราต่างๆก็ทรงเหรียญเหล่านี้จริงๆ กระทั่งเขียนเสร็จตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม พอดีเลย”

    • ดำเนินชีวิตตามคำ “พ่อ” สอน
    ในฐานะช่างเขียนที่ประกอบอาชีพด้วยการเขียนภาพขาย ซึ่งในบรรดาภาพเหล่านั้นมีภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ด้วย สมพงษ์ยังกล่าวให้ฟังว่า นอกจากพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้ว พระองค์ท่านยังทรงมีอิทธิพลต่อเขาในด้านการดำเนินชีวิตด้วย

    “ผมเชื่อว่าหากพ่อทุกคนพยายามสอนลูกตัวเองอย่างไร พระองค์ท่านก็เช่นนั้น ทรงเปรียบเหมือนพ่อของประเทศ ผมเชื่อว่าทรงต้องการให้เราเป็นคนดี ทำมาหากินโดยสุจริต ไม่เบียดเบียนคนอื่น ตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาทักษะ และความสามารถของตัวเองให้ดีที่สุด เท่าที่จะดีได้

    ผมจึงตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเอง ไม่หยุดที่จะศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนรูป เพราะว่าศิลปะมันไม่มีจบสิ้น คนทำงานศิลปะต้องไม่หยุดที่จะศึกษา”

    • ทำงานด้วยแรงบันดาลใจ
    นอกจากภาพพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมพงษ์ยังถูกว่าจ้างให้เขียนภาพพระเกจิชื่อดังหลายรูป ขณะที่บางภาพเขาเขียนขึ้นจากความศรัทธาที่มีต่อพระรูปนั้นๆโดยตรง

    “ภาพพระภาพแรกที่เขียนคือ ท่านพุทธทาส เพราะมองว่าท่านเป็นสุดยอดของพระที่มุ่งเน้นสอนธรรมะอย่างเดียว ไม่คิดเอาปัจจัยอะไรเลย และยังเขียนสองพระเกจิชื่อดังอย่าง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) หรือสมเด็จโต กับ หลวงปู่ทวด ส่วนภาพพระภาพอื่นๆ เขียนเพราะมีลูกค้ามาจ้าง ส่วนพระสามรูปแรกที่กล่าวมา เขียนเพราะใจปรารถนา เขียนด้วยแรงบันดาลใจ

    ผมเขียนภาพท่านพุทธทาสภาพหนึ่ง ขณะมองดอกบัว และเขียนด้วยความรู้สึกที่อยากจะเขียน พอเขียนจบเซ็นชื่อปุ๊บ ลูกค้ามาขอซื้อเลย ทั้งที่สีก็ยังไม่แห้ง ลูกค้าพูดว่า “ผมยืนมองพี่เขียนรูปนี้ ผมประทับใจมาก ผมขอซื้อได้ไหม พี่คิดผมเท่าไหร่” ผมตกใจมาก เพิ่งวางพู่กันเองนะ ราคาสองหมื่นห้า เขาไม่ต่อสักคำ ผมอยากบอกว่า นี่แหละคือความสุขที่ตามมาจากการทำงานด้วยแรงบันดาลใจ ทำด้วยความชอบ

    ศิลปินรุ่นพี่ (หงษ์จร เสน่ห์งามเจริญ) เขาบอกผมมานานว่า ถ้าอยากเขียนภาพอะไรสักภาพหนึ่ง ก่อนจะเขียนให้ไปหาหนังสือมาอ่าน อยากจะเขียนพุทธทาส ไปอ่านหนังสือท่าน เพื่อให้ทุกอย่างในภาพมันมีที่มาที่ไป ซึ่งอันนี้ผมก็รู้มาว่า ศิลปินหรือช่างเขียนฝรั่ง เขาก็ทำอยู่แล้ว และผมก็ทำอย่างนั้นตลอดมา

    ตอนเขียนสมเด็จโตผมก็ไปศึกษา เมื่อยิ่งศึกษาก็ยิ่งรู้ใหญ่ ท่านเป็นพระที่ใครๆก็รู้สึกปลอดภัยเมื่อมีท่านอยู่ใกล้ๆ ขณะที่บางคนจะรู้สึกอบอุ่น มั่นใจ เวลามีหลวงปู่ทวดอยู่ด้วย
    ผมจึงเอาอารมณ์แบบนี้มาเขียนภาพ ดังนั้น ภาพทุกภาพของผมจะมีความรู้สึกอย่างนี้ให้ผู้ชมได้รู้สึกตาม ถ้าพวกเขาสามารถสัมผัสสิ่งที่ผมถ่ายทอดลงไปในภาพได้ ผมจะภูมิใจมาก”

    • ทุกอย่างให้เดินสายกลาง
    หากว่า พุทธศาสนิกชนถูกแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ดีที่สุด ดีปานกลาง และไม่ดีเลย สมพงษ์กล่าวว่า ช่างเขียนรูปเช่นเขา น่าจะจัดอยู่ในระดับที่ 2

    “ผมเป็นแบบกลางๆ ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนที่ดีที่สุด ยังเป็นปัจเจกชนอยู่ เป็นบุคคลธรรมดา มีรัก โลภ โกรธ หลง มีต้องการ ยังไม่หลุด แต่ผมศรัทธาในศาสนาพุทธ เพราะผมคิดว่าเป็นศาสนาที่ธรรมชาติที่สุด

    ไม่มีศาสนาไหนเลยที่สอนได้ธรรมชาติเท่าศาสนาพุทธ เพราะเป็นศาสนาที่เกิดมาจากการศึกษาธรรมชาติของเจ้าชายสิทธัตถะ มันถึงมีคำว่า “ธรรมะ” เกิดขึ้น และทุกวันนี้ที่ธรรมชาติมันเปลี่ยนไป เพราะว่าการกระทำของคนที่อยู่ในธรรมชาติ

    มีคำหนึ่งที่ผมชอบที่สุด ที่เป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธ ในความรู้สึกผมคือ ทุกอย่างให้เดินสายกลาง ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงคิดได้อย่างไร คนเขาปฏิบัติกันมาเป็นพันๆปี และพระพุทธเจ้าสอนมาสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว สุดยอดมาก”
    (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย เกสรา)

    ที่มา

    Dhamma and Life - Manager Online - รายงานพิเศษ : ขอพระองค์ ทรงพระเกษมสำราญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ธันวาคม 2012
  4. anusart34

    anusart34 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    509
    ค่าพลัง:
    +868
    สวัสดีครับ แวะมาทักทาย

    ก่อนเดินทางกลับบ้าน จ.นราธิวาส พรุ่งนี้เช้าครับ

    หลับฝันดีนะครับ
     
  5. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    กราบหลวงพ่อทวดค่ะ

    เมื่อเช้า 10.00 น. นัดเจอกับน้อง anusart34 ที่สถานีขนส่ง หาดใหญ่

    *ฝากสติกเกอร์หลวงพ่อทวด จำนวนหนึ่ง ไปจ.นราธิวาส ค่ะ

    ทราบว่า รถไปถึงนราธิวาส อีก 3 ชม.
    แวะจอดให้ทานข้าว ที่ปัตตานี
    ได้มีโอกาสพูดคุยกับน้อง....

    ได้ชมพระ
    พระหลวงพ่อไกร ลำพญา ยะลา
    พระหลวงพ่อทวด 5 แชะ ฯลฯ

    น้องanusart34 ..แขวนของขลังเต็มคอเลย..:d
    *หลวงพ่อทวดคุ้มครอง...เดินทางปลอดภัยค่ะ...
     
  6. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ป้องกันหินจากการระเบิด

    การก่อสร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนเขาปูนนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องเอาชนะกันให้ได้ก็คือ หิน ด้วยเขาปูนนั้นเป็นภูเขาหินล้วนๆ ที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่เต็มก็ล้วนแต่งอกออกมาจากซอกหินซึ่งซากพืชได้ทับถมมาเป็นเวลานานจนกลายเป็นดินอุดมสมบูรณ์ให้พืชพันธุ์เจริญเติบโต แต่จะหาที่ราบหรือแอ่งดินแท้ๆ แทบไม่มีเลย ที่เป็นลานกว้างๆ อยู่บ้างก็คือ ที่ราบบนแผ่นหินนั่นเอง ดังนั้นการก่อบันไดจากตีนเขาขึ้นไปสู่ยอดเขานั้นอุปสรรคที่สำคัญของงานที่ทำคือ การทุบตีหินที่กีดขวางให้หมดไปนั่นเอง แต่งานที่หนักและเป็นปัญหามากนั้นต่างก็พ่ายแพ้แก่ความมานะพยายามของท่านอาจารย์และคณะอย่างหมดสิ้น ดังนั้นช่วงเวลาที่กำลังงานส่วนหนึ่งกำลังผจญกับหินเพื่อบุกเบิกทางสู่ยอดเขาปูนนั้น กำลังงานที่เหลือเหลือก็ช่วยกันปรับปรุงตากแต่งบริเวณลานหน้าถ้ำเพื่อลาดพื้นสำหรับเป็นที่รับแขก ซึ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่พวกผู้หญิงจะเป็นแรงงานสำคัญในการทุบตีหินให้ย่อยโดยการใช้ฆ้อน ส่วนพวกผู้ชายก็บุกเบิกเปิดทางขึ้นไปสู่ยอดเขา ซึ่งก็ลำบากมากขึ้นทุกที เนื่องจากส่วนยอดของเขาปูนนี้ล้วนแต่เป็นยอดเขาแหลมทั้งสิ้น แต่เมื่อบันไดขั้นสุดท้ายถึงยอดเขาทุกคนก็ดีใจกันเพราะงานขั้นแรกสำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว งานอื่นที่คิดจะทำต่อไปถือว่าค่อยว่ากันใหม่

    บนยอดเขาปูนดังได้เคยกล่าวมาแล้วว่าเป็นยอดเขาหินแหลมคม มองไปทางไหนก็ล้วนโขดหิน จะหาลานที่ราบๆ ไม่เจอเลย จึงมองภาพไม่ออกว่าจะวางฐานพระธาตุไว้ตรงไหน วิธีการเดียวเท่านั้นที่จะทำได้คือตัดยอดเขาให้ต่ำลงเพื่อให้มีลานเพียงพอที่จะตั้งฐานพระธาตุได้ ทุกคนช่วยกันคิดว่าจะตัดยอดเขาหินนี้อย่างไร เพราะการตัดยอดเขาแหลมๆ ลงให้เป็นที่ราบนั้นต้องทุบยอดทิ้งหลายเมตรทีเดียว การจะใช้ฆ้อนทุบตีโตยค่อยทุบค่อยตัดไปเรื่อยๆ น่าจะใช้เวลานานมาก แต่ขณะที่ต่างก็คิดนั้นต่างก็ทำไปด้วย แล้วแต่ใครจะคิดทำวิธีใด ที่ก้อนใหญ่มากก็ใช้ไฟเผาให้ร้อนก่อนแล้วทุบด้วยฆ้อน โดยใช้ยางรถยนต์เป็นเชื้อในการเผา แล้วต่างก็ช่วยกันทำไปเรื่อยๆ แม้จะช้ามากแต่ก็จำเป็นต้องทำ ท่านอาจารย์แก้วพิจารณาแล้วเห็นว่า หากการตัดยอดเขาเพื่อปรับพื้นที่ให้ราบยังดำเนินอยู่แบบนี้คงจะสำเร็จได้ยาก จึงได้หารือไปยังกองทัพภาคที่ 4 เพื่อการระเบิดหิน ซึ่งทางกองทัพก็คงไม่สามารถดำเนินการอะไรให้ได้ตามระบบของทางราชการ จึงเพียงแต่เป็นการรับรู้และให้จัดการกันเอง ท่านอาจารย์แก้วและคณะพรรคพวกจึงได้ร่วมกันคิดวางแผนเพื่อการระเบิดหิน ซึ่งก็มีอุปสรรคหลายประการ เริ่มตั้งแต่การจัดซื้อระเบิดซึ่งมีราคาแพง และหาบุคคลที่มีความชำนาญในการระเบิด และที่สำคัญที่สุดในการระเบิดนี้ คือสะเก็ดหินที่จะแตกตัวออกและกระเด็นไปไกลด้วยแรงระเบิดรอบๆ ตัวโดยเฉพาะบนยอดเขาซึ่งไม่มีอะไรปิดบังหรือป้องไว้ได้ สะเก็ดหินก็จะกระจายไปรอบ ๆ เขาปูน อาจจะเกิดอันตรายต่อวัด โรงเรียน และหมู่บ้านรอบ ๆ เขาปูนได้ จึงเป็นเรื่องที่วิตกกันอยู่ในใจของคณะที่มาช่วยงานทุกฝ่าย

    วิโรจน์ เพียรเจริญ
    17 พฤศจิกายน 2534
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ธันวาคม 2012
  7. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,029
    [​IMG]
     
  8. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,029
    [​IMG] [​IMG]

    มีสติ หูไว ตาไหว ระวังเขา ระวังเรา ปลอดภัยในการเดินทางทุกท่าน
     
  9. anusart34

    anusart34 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    509
    ค่าพลัง:
    +868

    สวัสดีครับ ดีใจมากครับ วันนี้ ได้พบปะ พูดคุยกับพี่นวล พี่นวลมอบ สติกเกอร์หลวงพ่อทวดมาให้แจก พี่น้องทหาร

    อนุโมทนาด้วยครับ

    นั่งคุยกับพี่นวล เป็นชั่วโมงเลย อิอิอิอิ ก่อนเดินทางกลับบ้าน

    (พี่นวลใจดีมาก จะพาไปเลี้ยงข้าวด้วย แต่ผมรีบกลับ เพราะ คนเยอะ กลัวรถหมด ตอนนี้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2012
  10. anusart34

    anusart34 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    509
    ค่าพลัง:
    +868
    สติกเกอร์ หลวงปู่ทวด ได้รับมอบ (จาก....พี่นวล ที่ใจดี)

    มาให้แจกพี่น้องหาร ที่ นราธิวาส

    ก่อนอื่น ก็ติดรถที่บ้าน ก่อนเลย 2 คัน ครับ


    [​IMG]
     
  11. ardtip

    ardtip Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +62
    ขอสอบถามหน่อยครับว่า พระหลวงปู่ทวด สก ที่จำหน่ายที่ศาลหลักเมือง กทม เป็นของแท้ไหม
     
  12. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สวัสดียามเย็นค่ะ...

    ต่อ....

    ป้องหินจากการระเบิด

    ท่านอาจารย์แก้วมิได้ท้อถอยและระย่อต่อปัญหาที่ทุกคนวิตก ด้วยมีจิตสำนึกอยู่ตลอดว่า ทุกอย่างจะทำได้และทำสำเร็จจึงได้จัดหาคนมีฝีมือในการระเบิดหิน ซึ่งปรากฎว่ามีอยู่หลายคนในละแวกบ้านเขาปูนส่วนเรื่องสะเก็ดระเบิด ท่านอาจารย์ได้บอกสมาชิกที่มาช่วยงานว่ามิต้องวิตก ท่านจะมิให้เกิดอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น การทดลองระเบิดหินนัดแรกจึงเกิดขึ้น ปรากฎว่าเหตุการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปก็ปรากฎต่อทุกคนที่จ้องรอดูผลคือ เมื่อระเบิดได้ถูดจุดขึ้นสะเด้ดหินส่วนใหญ่จะกระเด็นสูงขึ้นจากระดับเดิมเล็กน้อยแล้วตกคลุมลงมาทั้วบริเวณที่ระเบิด จากระเบิดลูกที่หนึ่ง ลูกที่สอง และลูกที่สาม และลูกต่อ ๆ ไปก็จะเป็นในลักษณะเดียวกัน เป็นที่น่าอัศจรรย์สำหรับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นอย่างยิ่ง การเจาะและระเบิดหินในช่วงนี้ได้กระทำต่อกันเป็นเวลาเกือบปี คือเริ่มเดือนพฤศจิกายน 2528 ไปเสร็จสิ้นเดือนสิงหาคม 2529 หมดระเบิดไปกว่าหมื่นนัด มูลค่ากว่าล้านบาท ในแต่ละวันมีสมาชิกขึ้นไปช่วยงัด กลิ้ง เกลี่ย และเก็บหิน ไม่ต่ำกว่า 50 คน จนเมื่อเห็นว่า ได้พื้นราบเพียงพอที่จะตั้งฐานพระธาตุ งานที่ผ่านมาในช่วงนี้ถือว่าเป็นงานที่ยุ่งยากและลำบากที่สุด แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี ทุกคนก็มีความสุขสมหวังและภาคภูมิใจกับความสำเร็จ

    ผู้เขียนรับฟังเรื่องราวการระเบิดหินเพื่อตัดยอดเขาปรับพื้นที่บนยอดเขาปูน จากปากคำของชาวบ้านละแวกเขาปูนแล้วก็ยังไม่คลายสงสัย ด้วยการขุดเจาะระเบิดหินนั้นจากที่รับรู้มาโดยทั่วไปนั้น สะเก็ดหินจากแรงระเบิดนั้นจะกระจายออกไปไกลมาก แต่การที่สอบถามชาวบ้านละแวกเขาปูนปรากฎว่า ไม่มีบุคคลหรือสถานที่ใด ๆ รอบเขาปูนได้รับอันตรายจากสะเก็ดหินแต่อย่างใด เมื่อมีโอกาสจึงได้เรียนถามท่านอาจารย์แก้วถึงสิ่งที่ชวนสงสัยนั้น แต่ท่านอาจารย์ก็พูดให้ชวนสงสัยยิ่งขึ้นว่า ที่เขาปูนนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มีเทพดาปกปักรักษาอยู่ ท่านอาจารย์เองก็บอกว่า ไม่รู้ซิว่าทำไมหินจึงไม่กระเด็นไปไกล ท่านเองก็เพียงแต่รู้หรือมั่นใจว่ามันจะไม่กระเด็นไปไกลจนเกิดอันตรายดังที่กลัวกัน ท่านอาจารย์เล่าว่า การจุดระเบิดบางจุดผู้จุดระเบิดเองไม่ยอมจุด เพราะบริเวณนั้นมีสิ่งของเครื่องใช้หลาย ๆ อย่างมิได้เคลื่อนย้ายออกไปให้พ้นรัศมีของการระเบิด แต่ท่านอาจารย์เกิดความมั่นใจว่าสะเก็ดหินจะไม่กระจายไปทางด้านนั้น แต่จะแตกออกมาอีกด้านหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรเป็นอันตราย แต่ผู้จุดระเบิดก็ยังไม่กล้าจุดด้วยกลัวจะเกิดความเสียหายจนท่านอาจาย์ต้องให้การรอบรองว่า "จุดได้เลย พ่อท่านรับรองเองว่าไม่เป็นไร ถ้าผิดพลาดอย่างไรพ่อท่านแก้วจะรับผิดชอบเอง" มือระเบิดจึงกล้าจุ และปรากฎว่าเมื่อระเบิดแล้วหินแตกละเอียดไปด้านเดียว แต่อีกด้านหนึ่งซึ่งมีสิ่งของวางอยู่นั้น หินกลับแตกเป็นก้อนใหญ่ไปพิงต้นไม้ โดยมิได้เป็นสะเก็ดเล็กสะเก็ดน้อยแต่อย่างใด ท่านอาจารย์บอกว่าเกิดความเชื่อมั่นโดยท่านเองรู้สึกเช่นนั้น

    อนึ่ง เกี่ยวกับการระเบิดหินนั้น มีเรื่องเล่ากันมากมายจากผู้ร่วมงาน ด้วยเป็นช่วงระยะเวลาหลายเดือน และการระเบิดมีแทบทุกวันวันละหลาย ๆ ครั้ง จึงมีผู้เห็นความอัศจรรย์ หรือสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้หลายอย่าง เช่น หลาย ๆ คนเห็นภาพลวงตาว่า ทุกครั้งที่ระเบิดจะมีมือใหญ่มาป้องหินไว้มิให้สะเก็ดหินกระเด็นไปถูกบ้านเรือนหรือวัดที่อยู่ข้างล่าง ซึ่งปรากฎว่าการระเบิดหินตั้งแต่นัดแรกถึงนัดสุดท้ายจำนวนกว่าหมื่นนัดนั้น ยังไม่เคยมีใครหรือสิ่งใด ๆ ได้รับผลเสียหายจากการระเบิดหินเลย ผู้เขียนเองจึงมั่นใจว่า ด้วยกายทิพย์ของท่านอาจารย์แก้งเอง และเทวดาบนเขาปูนที่ได้ปกป้องภัยจากสะเก็ดหินเล่านั้นไว้
     
  13. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    บันไดสวรรค์

    การก่อบันไดทางขึ้นเขาปูนดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น นับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นสำหรับการสร้างสิ่งอื่นที่ต่อเนื่อง การก่อบันไดจากตีนเขาทีละขั้น ๆ จนถึงยอดเขาถือเป็นความเพียรพยายามตามเป้าหมายหรือสิ่งมุ่งหวัง แต่ภายหลังการบรรลุเป้าหมายในขั้นแรกแล้ว งานสำคัญที่ตามมาคือ การระเบิดหินตัดยอดเขา การระเบิดกว่าพันห้าร้อยครั้งบริเวณยอดเขาที่ไม่มีพื้นราบรองรับหินที่แตกจากการระเบิด ทำให้ชิ้นส่วนหนึงกลิ้งจากยอดเขาสู่เบื้องล่างก้อนแล้วก้อนเล่าเป็นร้อยก้อนพันก้อน ดังนั้นช่วงระยะเวลาที่ไม่ยาวนานนักก็ได้พบเห็นทางสายใหม่ที่เกิดจาการเลื่อนไหลของสะเก็ดหินจากยอดเขาที่ไหลกลิ้งลงไปยังตีนเขา เป็นทางสีขาวทอดยาวตรงดิ่งลงไปดุจทางสวรรค์อันสวยงาม ท่านอาจารย์แก้วพิจารณาแล้วเห็นว่า ถ้าทำบันไดจากยอดเขาลงไปก็จะได้ทางสายใหม่อีกทางหนึ่ง จึงตั้งชื่อทางสายใหม่ที่ยังไม่ได้สร้างนี้ว่า "บันไดสวรรค์"
    ความพร้อมหลาย ๆ อย่างได้เกิดขึ้นในช่วงนี้ ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคปูนซิเมนต์ ทราย เหล็ก แรงงาน ที่มาช่วยในแต่ละวันก็มากท่านอาจารย์เลยแยกแรงงานออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเจาะระเบิดหินทำลานตั้งฐานพระธาตุ อีกฝ่ายหนึ่งสร้างบันไดต่อ โดยเริ่มบันไดขั้นแรกจากยอดเขาลงไปข้างล่าง ปูน ทราย น้ำ ส่ง ขึ้นทางบันไดสายแรก บันไดจากสวรรค์ก็ทอดลงไปเรื่อยๆ ทีละขั้นทีละขั้น บริเวณใดที่มีที่ราบเป็นลานกว่างก็ทำเป็นช่วงพักตอนหนึ่ง โดยจะสร้างเป็นศาลาพักผ่อนหรือพักเหนื่อย รวมแล้วเป็นสองหลัง จากการที่ระยะนี้มีงานที่ต้องทำทั้งสองด้านพร้อม ๆ กัน การใช้วัสดุ และแรงงานก็จำเป็นต้องเพิ่มด้วย แต่เป็นที่อัศจรรย์ว่าแรงงานชาวบ้านที่มาช่วยงานในตอนเย็น ๆ นั้น แรกเริ่มก็มเพียงห้าสิบหรือร้อยคนต่อวัน และทำงานกันตั้งแต่สามโมงเย็นถึงสองทุ่มสามทุ่มก็เลิก แต่ตอนหลังคนกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นจากร้อยเป็นหลายร้อย และในช่วงหลัง ๆ ก็นับพันคน และการทำงานก็เพิ่มเวลาขึ้น โดยเลิกงานกันถึงเที่ยงคืนหรือตีหนึ่งส่วนเรื่องวัสดุนั้นก็นับเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงคือ เมื่อขาดทราย ทรายก็มา ขาดปูน ปูนก็มา ขาดเหล็กเส้น เหล็กเส้นก็มา ทุกอย่างมีมาตามขั้นตอนความจำเป็นในการใช้งาน เสมือนกับการรับเหมาของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่การก่อสร้างที่เขาปูนนี้ทั้งคนและของมาด้วยแรงศรัทธา ท่านอาจารย์เองแทบจะหาเวลาพักผ่อนไม่ได้ ทั้งวันทั้งคืนต้องถือไมโครโฟนเพื่อการกำกับงานให้คนที่มาร่วมกันทำงานอย่างทั่วถึง ผู้ร่วมงานหลายคนคุยให้ผู้เขียนฟังว่า เขาทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และมากันทุกคืนเป็นเดือน เล่ากันว่า หากรถทรายขนาดหกคิวมาเทลงที่ตีนเขาไม่เกินครึ่งชั่วโมง ก็จะไปอยู่บนยอดเขาทั้งหมด ด้วยพวกเขาใช้บาตรพระเก่า ๆ ซึ่งเก็บมาจากวัดต่าง ๆ ทั่วอำเภอพรหมคีรี นับเป็นพัน ๆ ใบ บรรจุทรายแล้วส่งต่อ ๆ กันไป เป็นความร่วมมือร่วมใจกันทำงานที่พวกเขามีความสุขและภาคภูมิใจมากในชีวิตนี้

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1160969.jpg
      P1160969.jpg
      ขนาดไฟล์:
      282.9 KB
      เปิดดู:
      159
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ธันวาคม 2012
  14. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    เสาหลักชัย พระบรมธาตุ
    การก่อสร้างพระธาตุชัยมณีศรีฆะโลก และสิ่งที่ประกอบพระธาตุหลายสิ่งหลายอย่างบนเขาปูนได้มีบุคคลที่ร่วมทำงานกับท่านอาจารย์มาแต่ต้น ได้บันทึกประวัติการก่อสร้าง วัน เวลา และบุคคลที่เข้ามาช่วยเหลือ ผู้บริจาค ผู้รับเหมา ฯลฯ ซึ่งเป็นรายละเอียดที่ได้รวบรวมไว้เป็นหลักฐานในการก่อสร้างแต่ละระยะ ผู้เขียนเองได้มาสืบสาวราวเรื่องเอาภายหลัง ดังนั้นจึงซอกแซกสอบถามท่านอาจารย์แก้วและผู้ร่วมงานถึงเกร็ดต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบและเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงต่างๆ โดยมิได้เน้นในลักษณะการบันทึกประวัติศาสตร์ก่อสร้างแต่อย่างใด เพื่อจะรวบรวมเรื่องราวที่มิได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ให้ท่านผู้สนใจรับรู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับท่านอาจารย์แก้ว โดยสรุปเป็นสิ่งอันละพันละน้อยเพื่อเล่าสู่กันฟังมากกว่า

    เสาหลักชัยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านอาจารย์แก้วได้สร้างความตกตะลึงหรืองุนงงสงสัยแก่ผู้ร่วมงานสร้างพระธาตุ ดังได้กล่าวมาแล้วแต่ตอนต้นว่า เมื่อบันไดขั้นสุดท้ายถึงยอดเขาปูน งานใหญ่ที่จะพบข้างหน้าคือการปรับพื้นที่ยอดเขา หินที่แหลมคมให้เป็นที่ราบและเพียงพอแก่การวางฐานพระธาตุ ในการนี้การเจาะหินวางระเบิดและแยกหินเป็นงานด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งทำบันไดลง สำหรับกลุ่มแรกที่ระเบิดหินตัดยอดเขานั้นเมื่อได้เริ่มงานไประยะหนึ่ง ทางท่านอาจารย์แก้วได้บอกคณะทำงานว่า เสาหลักชัยของพระธาตุที่จะสร้างฝังอยู่ในหินบนยอดเขานี้ ใครฟังแล้วก็คงจะค้านว่าจะเป็นไปได้อย่างไรกันที่จะมีเสาหลักชัยฝังอยู่ในเนื้อหิน แต่คณะทำงานก็ทำงานกันต่อไป ขุดเจาะและระเบิดหินลงไปเรื่อย ๆ จาก 2 เมตร 4 เมตร 6 เมตร 8 เมตร แต่เมื่อตัดยอดเขาปูนลงไปประมาณเมตรที่ 10 ท่านอาจารย์จึงบอกให้คณะทำงานระมัดระวังในการระเบิดหินเพราะเสาหลักชัยฝังอยู่ในระดับนี้ การระเบิดหินในระดับ 10 เมตร จึงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เมื่อการระเบิดแต่ละครั้งสิ้นสุดลงคณะทำงานกันก็จะเก็บกวาดแยกหินที่ทับถมผิวหน้าออก แต่ก็ยังไม่พบหินหลักชัย จนหลายคนไม่เชื่อว่าจะมีเสาหลักชัยอยู่ในหินแน่ ๆ ผู้จุดระเบิดคนหนึ่งได้อาราธนาว่า ถ้าเสาหลักชัยมีจริงและศักดิ์สิทธิ์แล้วขอให้ระเบิดที่เขาจุดนี้ด้าน ปรากฎว่าการระเบิดอีกสามครั้งต่อมา ระเบิดด้านทั้งสามครั้ง ท่านอาจารย์แก้วได้ทำสมาธิพิจารณาและบอกคณะญาติโยมว่า ให้ไปเอาน้ำจากบ่อน้ำวัดเอกและวัดโท ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอพรหมคีรีมาทำพิธีเสกและประพรม ในที่สุดสิ่งที่ทุกคนอยากพบอยากเห็นก็เป็นประจักษ์แก่สายตา เมื่อเสาหลักชัยได้ถูกค้นพบท่ามกลางก้อนหินอื่อน ๆที่กระจายกันอยู่ เป็นเสาหินเนื้อละเอียดแตกต่างจากหินทั่วไปบนเขาปูน มีลักษณะแปดเหลี่ยม ยาวประมาณหนึ่งฟุตมีตัวหนังสือจารึกอยู่ที่เสาหลักชัย ผู้รู้บอกว่าเป็นภาษาขอม อ่านว่า "นะยะสะ" นอกจากนั้นยังพบกระเบื้องจากหม้อดินเผาบรรจุกระดูกแลเถ้าถ่านปนอยู่ด้วย ซึ่งเสาหลักชัยนี้ได้นำไปทำพิธีวางศิลาฤกษ์หลักชัยตรงศูนย์กลางของพระธาตุ และในงานพิธีนี้มีพุทธศาสนิกชนหลั่งไหลกันมาร่วมพิธีเป็นหมื่นๆ คน สำหรับระเบิดที่จุดแล้วด้านสามลูกนั้น หลักจากพบเสาหลักชัยแล้ว เมื่อจุดก็ระเบิดเป็นปกติทั้งสามลูก

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1160959.jpg
      P1160959.jpg
      ขนาดไฟล์:
      336 KB
      เปิดดู:
      222
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ธันวาคม 2012
  15. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สัตว์เดียรฉานมาร่วมบริจาค

    เมื่อการปรับพื้นที่บนยอดเขาปูนได้ลานกว้างเพียงพอแก่การสร้างฐานพระธาตุแล้ว โดยเนื้อที่ราบขณะนั้นได้ความกว้างประมาณ 21 เมตร ยาว 50 เมตร แบ่งเป็นที่ตั้งพระธาตุมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 เมตร วางเสารเอกไว้ จุดศุนย์กลางเหนือเสาหลักชัยเป็นเสากลม เส้นผ่าศูนยืกลางหนึ่งเมตร รอบๆ เสาหลักชัยขนาบด้วยก้อนนาก เงิน ทอง หนักก้อนละ 14 บาท เป็นลักษณะสามเส้า และช้างแกะสลักด้วยไม้สักสี่เชือกเป็นนิมิตว่าช้างสี่เชือกนี้จะเป็นกำลังที่มหาศาล ในการนำทรัพย์สินเงินทอวงมาสร้างพระธาตุ ภายในบ่อเสาเอกบรรจุแก้วแหวนเงินทองจำนวนมาก

    [​IMG]


    ก่อนวันฝังเสาหลักชัย ท่านอาจารย์แก้วและคณะกรรมการเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนที่หลั่งไหลมาจากที่ใกล้ที่ไกลได้ร่วมบริจาคทรัพย์สินเงินทองเพื่อฝังไว้เหนือเสาหลักชัยใต้เสาเอก และเทปูนทับฝังเป็นรากฐานของพุทธศาสนาสืบไปนั้น ปรากฎการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือ เวลา 3 วัน 3 คืน ที่เปิดโอกาสให้ผู้มีจิตศรัทธาได้บริจาค ปรากฎผู้คนที่หลั่งไหลกันมาได้ถอดเครื่องประดับกายที่เป็นแก้วแหวนเงินทองพวกเครื่องประดับต่างๆ เช่น สร้อยคอ แหวน ต่างหู กำไล เหรียญ ธนบัตร มากมาย ท่านอาจารย์แก้วเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า การร่วมมือร่วมใจกันสร้างพระธาตุนั้นมีทั้งเทวดา มนุษย์ และรวมถึงสัตว์เตียรฉานด้วย เมื่อรวบรวมของมีค่าทั้งหมดที่บริจาค เฉพาะทองคำอย่างเดียวหนักถึง 30 กิโลกรัม ทุกอย่างที่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคไว้ บัดนี้ก็สงบนิ่งอยู่ใต้ฐานพระธาตุชัยมณีศรีฆะโลก ที่พวกเราสักการะอยู่นั่นเอง

    อนึ่งในค่ำวันหนึ่ง ในช่วงของการหลั่งไหลมาร่วมกันบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาดังกล่าวนี้ ที่อาคารโรงครัวซึ่งเป็นอาคารหลักแรกของเขาปูน ซึ่งสร้างไว้เพื่อเตรียมอาหารสำหรับคณะที่มาช่วยงาน และเป็นที่พักพิงสำหรับผู้ที่ต้องค้างที่เขาปูนในช่วงการก่อสร้าง ปรากฎว่าได้มีตั๊กแตนใบไม้ตัวหนึ่งคลานขึ้นมาจากใต้ถุนโรงครัว ไต่มาตามเสาและคลานมาตามพื้นครัว คาบเหรียญสลึงมาหนึ่งเหรียญ แล้วางลงที่พื้นครัวต่อหน้าบุคคลหลายๆ คนที่อยู่ในโรงครัว แล้วคลานกลับไปที่เสาแล้วบินหายไป ชาวเชียงใหม่คนหนึ่งที่มาช่วยงานท่านอาจารย์สร้างพระธาตุเป็นผู้เก็บเหรียญนั้นไว้ โดยใส่ไว้ในถุงพลาสติก ในตอนเช้ามีการกล่าวถึงการคาบเหรียญมาร่วมบริจาคของตั๊กแตน ผู้ที่เก็บเหรียญไว้จึงเอาถุงเหรียญที่เก็บไว้มาให้พรรคพวกดู ปรากกฎว่าในถุงพลาสติกที่ใส่เหรียญนั้น เมื่อเทเหรียญออกมากลับมีเหรียญเพิ่มขึ้นเป็นสี่เหรียญ เป็นที่อัศจรรย์กันยิ่งนัก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1160958.jpg
      P1160958.jpg
      ขนาดไฟล์:
      238.6 KB
      เปิดดู:
      214
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ธันวาคม 2012
  16. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    คนธรรพ์ช่วยสร้างพระธาตุ

    การก่อสร้างพระธาตุขัยมณีศรีฆะโลก และองค์ประกอบอื่นๆ อันเป็นบริวารของพระธาตุ ซึ่งได้กล่าวมาแต่ตอนต้นแล้วว่า ท่านอาจารย์แก้ว ปุญญภาโค ได้ลงไม้ลงมือด้วยตนเองตลอดระยะเวลาของการก่อสร้าง แม้งานบางอย่างมีผู้รับเหมารับช่วงไปแล้ว แต่เนื่องจากการสร้างของช่าง ท่านอาจารย์ไม่มีแบบแปลนให้ ดังนั้นภาระหนักจึงตกอยู่กับท่านอาจารย์โดยตลอด มีผู้บอกกล่าวผู้เขียนว่า แม้พ่อท่านจะมีรูปร่างผอมบางแบบนั้นก็จริง แต่เรื่องงานแล้วหนุ่ม ๆ สู้แทบไม่ได้เชียวละ หลายคนบอกผู้เขียนว่า บางวันท่านอาจารย์ก่ออิฐรอบองค์พระธาตุหมดเป็นหมื่นก้อน ผู้เขียนถามว่ารุ้ได้อย่างไรว่าก่อได้เป็นหมื่น ใครคอยนับอยู่หรือ ปรากฎว่าผู้เล่าคำนวณจากจำนวนอิฐที่ลำเลียงจากข้างล่างขึ้นข้างบน ซึ่งชาวบ้านต่อแถวส่งขึ้นไปประมาณได้ว่าหมื่นก้อนตามจำนวนที่สั่งมา แต่ปรากฎว่าในช่วงนั้นเป็นที่ทุกคนพักงานกัน ท่านอาจารย์เห็นว่างๆ ก็ก่อไปพลางๆ ก็ปรากฎว่าอิฐหมดกอง เรื่องนี้ผู้เขียนก็อดถามท่านอาจารย์ไม่ได้ว่า เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อคนธรรมดาก่ออิฐวันหนึ่งๆ เต็มี่แล้วไม่จะเกินพันก้อน แต่นี่เป็นหมื่นก้อน ท่านอาจารย์บอกว่าเป็นเรื่องจริง แต่ท่านไม่ได้ทำคนเดียวกหรอก มีมนุษย์ร่างใสมาช่วยท่านกันเยอะแยะ ซึ่งมนุษย์ร่างใสในความหมายของท่านอาจารย์แก้วก็หมายถึงเทวดาและคนธรรพ์ นั่นเอง

    นอกจากนี้ท่านอาจารย์ยังเล่าว่า บางครั้งเงินทองขาดมือ แต่จำเป็นต้องใช้จ่ายเป็นค่าช่าง หรือค่าของเมื่อครบวาระที่กำหนดจะต้องชำระ และเงินบริจาคก็มีไม่มีเพียงพอ แต่อาจารย์ ก็ต้องเข้าไปเอาของมีค่าจากในถ้ำซึ่งเทวดาหรือคนธรรพ์ได้เตรียมไว้ให้ ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้ได้นำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงิน เพื่อนำมาใช้จ่ายตามที่จำเป็น ซึ่งพ่อค้าหลายคนในตลาดนครศรีธรรมราชรับแลกเปลี่ยนไว้ อนึ่งในปัจจุบันนี้หากพุทธศาสนิชนที่ได้มาชมพุทธสถานบนเขาปูน มักมีความสงสัยและสอบถามท่านอาจารย์อยู่เสมอ ๆ ในเรื่องการสร้างพระธาตุชัยมณีศรีฆะโลกว่าท่านอาจารย์สร้างอย่างไร เพียงสองสามปีก็แล้วเสร็จ ทั้งที่ดูงานก่อสร้างทั้งหมดแล้วน่าจะใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี ท่านอาจารย์มักชี้แจงอยู่เสมอว่า "ที่พ่อท่านทำได้เพระได้เทพทั้งหลายช่วยสร้าง และในการสร้างพระบรมธาตุนั้นพ่อท่านออกแบบและก่อสร้างเอง ทั้งๆที่ไม่เคยก่อสร้างอะไรมาก่อน แต่สถานที่แห่งนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงทำได้สำเร็จในเวลานั้น เฉพาะองค์พระธาตุนั้นใช้เวลาเพียงสี่เดือนกับยี่สิบวันเท่านั้น แต่ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พระธาตุองค์นี้ต้องใช้อิฐกว่าสองล้านก้อน มีความหนาถึงหนึ่งเมตร วัดรอบนอกได้สิบเก้าวากว่า และสูงยี่สิบเอ็ดวาเก้าศอกเก้านิ้ว ที่ทำได้สำเร็จขนาดนี้ คงเป็นเพราะได้เทพทั้งหลายมาช่วยด้วยนั้นเอง "
     
  17. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,029
    [​IMG][​IMG]
     
  18. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,029
    [​IMG] [​IMG]
     
  19. ล้างใจ

    ล้างใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    7,268
    ค่าพลัง:
    +24,819
    [​IMG]
     
  20. ล้างใจ

    ล้างใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    7,268
    ค่าพลัง:
    +24,819
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...