โชคเหนือเมฆ-กำไลเหนือดวง- มูลนิธิเทียนฟ้า 2497 - วัตถุมงคล หลวงปู่พิศดู-ครูบากฤษดา

สวัสดียามเย็นครับป๋า

 

สวัสดียามเย็นครับป๋า

 

สวัสดียามค่ำครับป๋า

 

สวัสดียามบ่ายครับป๋า

 

25 ตุลาคม 2020 ·
#เรื่องพระเวทวิทยาคม.. ( ตอนที่ 11 )
เรื่องราวลี้ลับต่างๆ และเรื่องของอภิญญาจิต เป็นเรื่องที่มีอยู่จริง แต่คนธรรมดาทั่วไปยากที่จะพิสูจน์ มีแต่พระอริยเจ้า พระอภิญญา และผู้ที่ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังจนสำเร็จคุณวิเศษเท่านั้นจึงจะทราบได้ด้วยตนเอง..
เรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดรเอกอัครอรหันต์อจินไตย เป็นเรื่องที่เล่าขานกันมานาน ท่านเป็นพระในตำนานที่มีตัวตนอยู่จริง และมีผู้พบเห็นจริง พระอริยสงฆ์องค์สำคัญหลายรูปในอดีตก็เป็นลูกศิษย์ของท่าน จนมีเรื่องให้เล่าขานมากมาย..
หลวงปู่พิศดูก็เป็นหนึ่งในพระอริยะที่ได้พบหลวงปู่เทพโลกอุดรด้วยกายเนื้อและกายทิพย์ และยังได้เคยร่วมธรรมยาตราไปกับหลวงปู่เทพโลกอุดรหลายครั้ง ซึ่งรายละเอียดนั้นเป็นเรื่องเหนือวิสัยของลูกศิษย์ หลวงปู่ท่านจึงมิได้เปิดเผยให้ทราบมากนัก
แต่สำหรับเรื่องราวในบางส่วนที่ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์จากหลวงพ่อรูปหนึ่ง(ท่านขอให้สงวนนามไว้) ได้เล่าประสบการณ์ที่ท่านได้มาอยู่กับหลวงปู่พิศดูที่วัดเทพธารทองให้ฟังดังนี้..
" อาตมามีความเคารพศรัทธาในหลวงปู่เทพโลกอุดรมาก และตามศึกษาประวัติและเรื่องราวของท่านมานานหลายปีแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยได้พบเหตุอัศจรรย์หลายๆอย่าง ส่วนหลวงปู่พิศดูตอนนั้นอาตมายังไม่เคยรูปจักท่านมาก่อน แต่มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อปี 2544 ได้มีโยมคนหนึ่งนำของมาถวายอาตมา โยมผู้นี้บอกว่า.. หลวงปู่พิศดูฝากให้นำของนี้มาถวาย อาตมาก็แปลกใจเพราะไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน แต่ทำไมท่านถึงฝากของมาให้ ก็เลยสอบถามถึงวัด และที่อยู่ของหลวงปู่พิศดู จึงได้ทราบว่าท่านอยู่ วัดเทพธารทอง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี..
เวลาได้ผ่านไปจนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งเป็นช่วงต้นปี 2545 อาตมาได้ฝัน(นิมิต) #ว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรมาบอกว่า.. #ท่านจะไปอยู่กับหลวงปู่พิศดูที่วัดเทพธารทอง 3 วัน..
วันรุ่งขึ้นอาตมาจึงตัดสินใจเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่พิศดูที่วัดเทพธารทองทันที เมื่อไปวัดเทพธารทองครั้งแรก ก็ทำให้ปีติใจเป็นที่สุดในชีวิต ที่ได้พบกับหลวงปู่พิศดู และที่สำคัญที่สุดนั้น #อาตมาได้พบกับหลวงปู่เทพโลกอุดรด้วยกายเนื้อ #ท่านมาอยู่กับหลวงปู่พิศดูจริงๆตามที่ได้นิมิต แต่การมาของท่านในครั้งนี้ท่านได้มาในรูปของพระภิกษุชรารูปหนึ่งในวัยใกล้เคียงกับหลวงปู่พิศดู รูปร่างสันทัดสมส่วน แต่มีเท้าที่ใหญ่กว่าคนปกติมาก ( ตรงนี้เป็นเอกลักษณ์ ที่ท่านแสดงให้ทราบ ) และกายของท่านจะมีกลิ่นหอมออกมาตลอดเวลา ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งหอม เป็นกลิ่นที่หอมเย็นจับจิตจับใจมาก
การมาของหลวงปู่เทพโลกอุดรในครั้งนี้ ท่านมาเยี่ยมหลวงปู่พิศดู เพราะในช่วงนั้นหลวงปู่พิศดูท่านตั้งใจจะทิ้งขันธ์ เพราะร่างกายของท่านไม่ค่อยดี( เนื่องจากตรากตรำในการปฏิบัติแบบอุกฤษฎ์มามาก ) ไม่ว่าใครจะอาราธนาอย่างไรท่านก็ไม่สนใจ จนหลวงปู่เทพโลกอุดรต้องมาหาและชวนให้หลวงปู่อธิษฐานต่ออายุเพื่อช่วยงานพระศาสนาต่อไป.."
การมาของหลวงปู่เทพโลกอุดรด้วยกายเนื้อในครั้งนั้น หลวงปู่พิศดูท่านก็ได้แสดงออกถึงความเคารพยิ่ง โดยท่านได้จัดธรรมมาสน์เป็นที่นั่งที่เหมาะสมให้กับหลวงปู่เทพโลกอุดร ส่วนหลวงปู่พิศดูจะนั่งต่ำลงมา การสนทนาของท่านทั้งสองนั้น เป็นการสนทนาแบบไม่เปิดเผย เพราะเป็นการสนทนากันในแบบ จิต สู่ จิต คือสนทนาด้วยการนึกคิดแทนคำพูด แทบไม่ใช้คำพูดใดๆ(เป็นเรื่องลับเฉพาะ) โดยท่านจะทราบวาระจิตของกันและกันได้ ส่วนการฉันอาหารนั้นก็มีเป็นปกติ แต่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านจะฉันน้อยมาก เพียงคำสองคำพอเป็นพิธีเท่านั้น ในยามดึกสงัดท่านก็ไม่ค่อยพักผ่อนหลับนอนแต่อย่างใดอีกด้วย ซึ่งเมื่อครบกำหนด 3 วันแล้วหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านก็หายไปแบบไม่มีใครทราบว่าท่านไปทางไหน..
เรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดรนี้เป็นเพียงหนึ่งในพระอริยสงฆ์ในตำนานที่หลวงปู่พิศดูมีความเกี่ยวพันธ์ด้วยเท่านั้น จริงๆแล้วยังมีอีกหลายท่านมากที่หลวงปู่พิศดูเคยพบและกล่าวถึง..
ครูบาอาจารย์หลายๆท่านที่รู้จักองค์หลวงปู่พิศดู ได้กล่าวตรงกันไว้ว่า..
" หลวงปู่พิศดูเป็นพระที่กว้างขวางในความเป็นทิพย์มาก ทั่วทั้ง 3 แดนโลกธาตุท่านถึงได้หมด เพียงแต่ท่านเป็นพระที่ไม่โอ้อวดตน และปิดเรื่องได้เงียบ อันเป็นจริตวิสัยเฉพาะตัวของท่าน ถ้าท่านเป็นพระที่เปิดเผยมากกว่านี้สักหน่อย ก็คงจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลมากแล้ว เพราะประสบการณ์ทางจิตและประสบการณ์ชีวิตของท่านไม่ได้แพ้ใครเลย สิ่งที่เรารับรู้ในเรื่องของท่าน ยังไม่ได้เศษเสี้ยวหนึ่งของทั้งหมดเลย.."
(sira pop)

 

สวัสดียามเที่ยงครับป๋า

 

สวัสดียามเย็นครับป๋า

 

Sira Pop
#วิชาถอดถอนอาถรรพ์..
ในอดีตองค์หลวงปู่พิศดูท่านมีความสนใจและศึกษาวิชาอาคมต่างๆ มาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะท่านเกิดที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา อันเป็นรากกำเนิดของวิชาไสยศาสตร์มนตรา
ด้วยความเฉลียวฉาด ประกอบกับเป็นผู้มีความสนใจและความจำดีเลิศ ท่านจึงเรียนรู้ได้รวดเร็วและแตกฉาน ไม่ว่าวิชาใดๆท่านก็เรียนรู้ได้ทั้งหมด ท่านเคยบอกว่า..
" เรื่องไสยศาสตร์นี่เราทำได้ดีเสียด้วย ไม่ได้แพ้ใครเลย.."
แม้แต่บวชเป็นพระภิกษุแล้วก็ยังคงได้ศึกษาอยู่บ้าง ภายหลังพอได้เข้าสู่ทางธรรมอย่างเต็มตัว หันมาเอาดีฝักใฝ่ในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง
องค์หลวงปู่ท่านมีภูมิรู้ในสรรพวิทยาคมมากมาย รวมถึงวิชชาชั้นสูงแปลกๆ ที่ท่านได้เข้าไปศึกษามาจากแดนลี้ลับโดยการนำพาของหลวงปู่เทพโลกอุดร และพระอุปคุต เป็นการยากที่เราจะไปล่วงรู้และทราบได้หมด และท่านไม่ค่อยแสดงให้ใครรู้ ท่านชอบวางตัวธรรมดาๆ ให้คนเห็นว่าท่านเป็นพระไม่มีอะไร และชอบอยู่แบบสมถะวิเวก สมัยก่อนวันๆท่านจะอยู่กับสุนัข แมว ไก่ และจะสวดมนต์ เดินจงกรมนั่งภาวนา ทั้งวันทั้งคืนไม่ค่อยนอนจำวัด.. แต่ถ้ามีลูกศิษย์คนไหนมีเรื่องเดือดร้อนมาให้ช่วยเหลือท่านจะช่วยเต็มที่
มีอยู่ครั้งนึง มีลูกศิษย์ได้เข้ามาหาท่านแล้วบอกท่านว่า ที่บ้านของเพื่อนเขาเป็นอะไรไม่รู้ รอบๆบริเวณบ้าน พื้นดินนั้นจะปริแตก และมีสิ่งแปลกปลอมคล้ายๆกับเป็นน้ำเลือดน้ำหนองผุดขึ้นมาจากใต้ดินทุกวัน และมีกลิ่นเหม็น ตั้งแต่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ครอบครัวก็ประสบปัญหาต่างๆนาๆ ธุรกิจการงานก็ไม่ดี คนในบ้านก็เจ็บไข้ตามกัน ทุกคนกลัวมาก ไปหาหมอดู ร่างทรง และที่วัดอื่นๆก็ไม่ได้ผล..ฯลฯ ไม่ทราบว่าเป็นอะไร.. จึงอยากขออาราธนานิมนต์หลวงปู่ไปช่วยเพื่อนด้วย..
พอองค์หลวงปู่ได้ฟัง และพิจารณาดังนั้นแล้ว ท่านก็บอกว่า..
" พาเราไปที่นั้นหน่อย "
พอไปถึง เจ้าของบ้านเห็นเพื่อนพาพระมาโปรดก็ดีใจ เข้ามากราบที่เท้า และเล่าเหตุการณ์ให้ฟังโดยย่อ และขอร้องให้องค์หลวงปู่ท่านช่วย พอหลวงปู่มาเห็นสถานที่ ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรมาก บอกเพียงว่า
" ถูกกระทำคุณไสย "
และสั่งให้เตรียมน้ำใส่ภาชนะมาให้ท่านแล้วตั้งไว้เฉยๆ ส่วนท่านก็ถือไม้เท้า และเดินสวดมนต์ให้รอบๆบริเวณบ้านประมาณ 3 รอบ ปรากฏว่าตรงบริเวณพื้นที่ๆมีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้นนั้น ได้มีควันพวยพุ่งคล้ายๆควันไฟบางๆระเหยขึ้นมา พอท่านเดินสวดมนต์เสร็จ ท่านก็สั่งให้เอาน้ำที่เตรียมไว้ไปรดรอบๆให้ทั่วบริเวณ ( หลวงปู่ท่านแทบไม่ได้แตะต้องน้ำนั้นเลย แต่ท่านใช้จิตเสกน้ำมนต์ให้เรียบร้อยแล้ว )
เสร็จแล้วท่านก็มอบไม้เท้าที่ท่านถือมา สั่งให้วางบูชาไว้ที่หน้าบ้าน เพียงแค่นี้ (ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับท่าน..)
นับตั้งแต่วันนั้นมาสิ่งแปลกปลอมก็หายไป ไม่ปรากฏมีขึ้นอีกเลย ชีวิตและการงานในครอบครัวทุกอย่างก็คืนสู่ความเป็นปกติ
ซึ่งนอกจากหลวงปู่ท่านจะทำพิธีถอนอาถรรพ์ดังกล่าวให้แล้ว ท่านยังทำพิธีป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้กลับมาเกิดขึ้นอีก เรียกได้ว่าหลวงปู่ท่านช่วยทั้งถอดถอน ทั้งป้องกันเสร็จสรรพ และท่านยังสามารถพลิกฟื้นชะตาชีวิตคนทั้งบ้านให้กลับดีขึ้นมาอีกด้วย..

 

สวัสดียามบ่ายครับป๋า

 

สมเด็จมรดกธรรมยังมีไหมครับ

 

ยังมีเก็บไว้อยู่ครับ

 

#สายสิญจน์ตะกรุดของหลวงปู่พิศดู ปี 2549-2550 ที่หลวงปู่ท่านได้แจกให้กับญาติโยม เป็นสายสิญจน์ชนิดเดียวกันกับที่หลวงปู่ใช้รัดที่ต้นแขนของตัวท่านเอง ปัจจุบันแทบไม่พบเห็นเลย
***ความเชื่อส่วนตัว สายสิญจน์และตะกรุดนี้น่าจะมีพุทธคุณในด้านการคุ้มครองปัดเป่าสิ่งไม่ดีและช่วยปรับพลังให้สมดุลช่วยเกื้อหนุนด้านสุขภาพ***
#ลูกแก้วมณีสารพัดนึก
ลูกแก้วมณีสารพัดนึก เป็นหนึ่งในวัตถุมงคลที่อยู่กับองค์หลวงปู่เป็นเวลานานสมัยท่านอยู่ที่กุฎิหลังเก่าและยังเป็นวัตถุมงคลที่หลวงปู่สำเร็จโดยวิสุทธิ์ธรรม(ธรรมอันบริสุทธิ์) นอกจากนี้หลวงปู่ยังได้ตั้งองค์พระซ้อนอยู่ในลูกแก้ว เปรียบเหมือนเป็นพระ 1 องค์ ถือเป็นของสูงได้เลย
(sira pop)

 

รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับ หลวงปู่พิศดู ธัมมจารี วัดเทพธารทอง

#อาหารทิพย์(อีกเรื่อง..)
เรื่องอาหารทิพย์ของหลวงปู่พิศดู นอกจากข้าวที่เทวดา และชาวบังบดมาใส่บาตรท่านแล้ว ยังมีอาหารที่หลวงปู่ท่านเสกขึ้นมา หรือนำมาจากทึ่ใดไม่มีใครทราบ บางครั้งเป็นอาหารชั้นเลิศ ยังร้อนๆ สดใหม่ บางครั้งก็มีผลไม้นอกฤดูมาให้กิน โดยท่านเอาออกมาจากในกลดที่นอนจำวัด ทั้งที่ท่านไม่เคยออกไปไหน และเวลานั้นก็ไม่มีใครนำมาถวาย เรื่องนี้มีลูกศิษย์หลายคนมากที่เคยเจอ ( ส่วนใหญ่ก็ยังมีชีวิตกันอยู่ ) ซึ่งผู้เขียนเคยลงไว้บ้างแล้ว..
แต่วันนี้ขอเล่าเรื่องอาหารทิพย์อีกประเภทหนึ่ง ที่หลวงปู่ท่านเป็นผู้ปรุงแต่งขึ้นด้วยมือของท่านเอง
ลูกศิษย์ที่เคยเข้าไปกราบหลวงปู่ที่วัดบ่อยๆ โดยเฉพาะศิษย์ที่ถวายการอุปัฏฐาก ต้องได้เคยเห็นหลวงปู่ท่านเป็นผู้ปรุงแต่งอาหารขึ้นด้วยมือของท่านเอง ส่วนใหญ่ที่เห็น จะเป็นข้าวคลุก น้ำปลาบ้าง น้ำตาลอ้อยบ้าง น้ำพริกบ้าง ฯลฯ โดยหลวงปู่จะเป็นผู้ลงมือทำด้วยองค์ท่านเอง โดยใช้ช้อนหรือบางทีก็ใช้มือเปล่าๆคลุกเลยก็มี ท่านทำโดยความสำรวม คลุกไปก็เสกไป ใช้เวลาสักพัก เมื่อสำเร็จแล้วท่านก็จะตั้งเอาไว้ก่อน จะยังไม่ฉันทันที ก็เพื่อถวายข้าวนี้เป็นพุทธบูชาก่อน จนเมื่อรู้สึกหิวแล้วท่านจึงค่อยลงมือฉัน ท่านบอกไว้ว่า..
" ถ้าไม่หิวแล้วไปฉัน ไม่ได้.. หิวแล้วไม่ฉัน ก็ไม่ได้.."
หลวงปู่ท่านถือปฏิบัติแบบนี้มาตั้งแต่บวชใหม่ๆ คือท่าน ฉัน(กิน)เพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อฉัน(กิน)
เมื่อเวลาฉันข้าว ท่านก็จะฉันเพียงเล็กน้อยเพื่อพอพยุงสังขารเท่านั้น ไม่ได้ฉันมาก ถ้านับคำได้ก็ไม่เกิน สิบคำ เท่านั้น บางครั้งก็ไม่ถึง เสร็จแล้วท่านจะส่งให้ลูกศิษย์ได้แบ่งกันกินต่อไป ท่านมักจะบอกว่า..
" ข้าวเสก(ข้าวทิพย์) กินเป็นมงคล.."
" อธิษฐานกินเป็นยาก็ได้.."
แต่ว่าความอัศจรรย์ มันเกิดจากตรงที่ว่า รสชาติของอาหารนี่เอง อาหารที่หลวงปู่ลงมือปรุงขึ้นเอง จะมีรสที่อร่อยมากๆ บางทีอร่อยแบบผิดปกติ ทั้งๆที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้กับการทำอย่างง่ายๆ และไม่ได้มีวัตถุดิบอะไรที่พิสดารอะไรเลย แต่รสชาติอร่อยละมุนละมัย อย่างที่ไม่เคยกินที่ไหน เคยได้ทดลองทำตามก็ไม่อร่อยเหมือนท่านทำ
บางรายเคยอธิษฐานกินเป็นยา สามารถบรรเทาและรักษาโรคบางอย่างได้ เช่น โรคที่เกิดจาก คุณผี คุณคน ลมเพลมพัด หรือโรคที่หาสาเหตุไม่เจอ ฯลฯ เป็นต้น บางรายได้กินแล้วโชคดี ได้โชคลาภก็มี
เป็นเรื่องที่อธิบายยาก แต่ก็เป็นเรื่องจริง สามารถสอบถามลูกศิษย์ใกล้ชิดดูได้ โดยเฉพาะผู้ที่ดูแลอุปัฏฐาก
พอมาเล่าให้หลวงปู่ท่านฟัง ท่านมักจะบอกว่า
" ก็ข้าวเสก ก็ต้องอร่อยสิ.."
" คาถาได้ผล.. โหะๆๆ(หัวเราะ) "
ลูกศิษย์บางคนที่เห็นในคุณค่า จึงต้องแบ่งข้าวทิพย์นี้ ตากแห้งเก็บไว้บูชา หรือทำมวลสารสร้างพระก็มี..

 

รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับ หลวงปู่พิศดู ธัมมจารี วัดเทพธารทอง
#พระปัจเจกที่มีบริวาร..
หลายๆท่านก็คงทราบกันอยู่แล้วว่า องค์หลวงปู่พิศดูท่านบำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล มายาวนานนับหลายอสงไขยกัป บารมีธรรมของท่านถึงระดับปรมัตถ์ จริตวิสัยของท่านค่อนข้างเป็นอะไรที่เฉพาะตัวแบบชัดเจน โลดโผนในเรื่องอภิญญาสมาบัติแบบสุดขั้ว.. ก่อนที่จะจบภพชาติด้วยการถอนความปรารถนา สำเร็จพระอรหันต์เข้าพระนิพพานแล้วในชาตินี้..
ส่วนมากผู้ที่ปรารถนาพระปัจเจกภูมิ ท่านจะบำเพ็ญบารมีธรรม น้อมเข้ามาใส่ตัวโดยถ่ายเดียว ไม่ค่อยได้ตามโปรดใคร จึงไม่ค่อยมีบริวาร เมื่อได้ตรัสรู้พระโพธิญาณเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว มีพระญาณอันกว้างไกล สว่างไสว แต่ไม่ค่อยได้ตรัสสอนธรรมที่ได้นั้นแก่บุคคลทั่วไปเป็นสาธารณะ เพราะไม่มีจริตจะสอนใคร แต่ท่านจะเลือกสอนแต่ผู้มีปัญญาที่พอจะรับธรรมเหล่านั้นได้เท่านั้น..
แต่สำหรับองค์หลวงปู่พิศดู ท่านเคยเมตตาเปิดเผยความลับเรื่องหนึ่งให้ฟังว่า..
" ส่วนใหญ่พระปัจเจกท่านจะไม่ค่อยมีบริวาร.. แต่เราเป็นพระปัจเจกที่มีบริวาร.."
เหตุผลเรื่องนี้ ผมก็เคยได้ยินมาตอนที่มีผู้ปฏิบัติท่านหนึ่งพาคณะเดินทางมาสอบถามปัญหาธรรมกับองค์หลวงปู่ท่าน มีอยู่คำถามหนึ่งที่โยมผู้นั้นได้ถามหลวงปู่ท่านว่า..
ในอดีตหลวงปู่เคยปรารถนาเป็นพุทธภูมิมาก่อนหรือเปล่า..??
หลวงปู่อมยิ้ม แล้วตอบกลับไปว่า..
" อืมมม.. ก็มีปรารถนามาบ้าง.."
ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดเมื่อจับต้นชนปลายจากในหลายๆเรื่องราว ประกอบกับได้ทราบความจากครูบาอาจารย์ที่ผมนับถือที่สุดอีกองค์หนึ่ง ได้เมตตาบอกมา ก็ทำให้ตีแตกไขความลับในคำกล่าวที่องค์หลวงปู่ได้กล่าวไว้ว่า..
" เราเป็นพระปัจเจกที่มีบริวาร.." ได้ดังต่อไปนี้..
ก่อนที่ หลวงปู่ท่านจะตั้งความปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน(ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง) มายาวนานหลายภพชาติ ก่อนที่จะมาปรารถนาซึ่งพระปัจเจกพุทธภูมิในภายหลัง และได้ลาปัจเจกพุทธภูมิแล้วในชาตินี้ เป็นชาติภพสุดท้ายแห่งการเกิด ซึ่งเรื่องนี้ท่านครูบาอาจารย์ของผมจึงได้บอกว่า..
" หลวงปู่พิศดูท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมา ก่อนที่จะปรารถนาพระปัจเจกภูมิ ท่านถึงมีบริวาร และผู้ที่เคารพศรัทธาในองค์ท่านมากมาย นับวันยิ่งเพิ่มขึ้นๆ..."
ดังคำที่หลวงปู่มักกล่าวอยู่เสมอว่า..
" เราไม่ได้อยากดัง แต่ก็ต้องดัง.. "
" ถ้าเวลาจะดังไม่ต้องโฆษณา จะดังเดี๋ยวก็ดังเอง.. "
หลวงปู่พิศดูถือเป็นพระยุคเก่า เรื่องราวของท่าน และวัตถุมงคลที่ท่านสร้าง สิ่งที่ท่านอธิษฐานธรรมไว้ให้ ก็ถูกนำมาเผยแพร่กันในยุคนี้ อันเป็นประโยชน์มากมาย ต่อพระพุทธศาสนา วัดในเครือ และศาสนิกชนทั้งหลาย จนมีผู้คนให้ความสนใจกันมากในปัจจุบัน และจะให้ความสนใจกันอีกมากในอนาคต..
หลวงปู่พิศดูท่านไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ก็ถือว่าเกือบจะบรรลุเป้าหมายสูงสุด หรือใกล้ความเป็นจริง(ถ้าท่านไม่ลาปัจเจกพุทธภูมิเสียก่อน) หลวงปู่ท่านจึงมีบารมีธรรมที่สูงสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว เพราะได้บำเพ็ญสั่งสมบารมีพิเศษไว้แต่กาลก่อนมาก เมื่อถึงเวลาที่คนจะรู้จักท่าน อะไรก็ฉุดไม่อยู่ ด้วยประสบการณ์ต่างๆที่มีผู้เคยเจอกับท่านมา และประสบการณ์ของวัตถุมงคลของท่านที่มีผู้เอาไปใช้บูชาแล้วได้ผลดีตามมา หลายท่านชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจริงๆ บางท่านสามารถเปลี่ยนนิสัยส่วนตัว หรือลดอารมณ์ในด้านลบลงไปได้มาก ก็เพราะเข้ามาศรัทธาและบูชาองค์หลวงปู่ หรือใช้วัตถุมงคลของท่านก็มีมาก กล่าวได้ว่า #สามารถพลิกชะตาชีวิตได้จริงๆ ทุกอย่างสำคัญที่ศรัทธาเป็นที่ตั้ง จริงๆครูบาอาจารย์ท่านดีทุกองค์ ต่างแต่ว่าแต่ละองค์ท่านจะมีวาสนาบารมีไปในทางไหนเท่านั้น..
แต่สำหรับผมที่ได้รับสัมผัสและรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับองค์หลวงปู่พิศดูมาเป็นเวลา 10 กว่าปี ผมว่าหลวงปู่พิศดู ท่านครบเครื่องทุกอย่างในองค์เดียวกันอย่างแท้จริง..
https://www.facebook.com/รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับ-หลวงปู่พิศดู-ธัมมจารี-วัดเทพธารทอง-833009540130100

 

ประคำมหาวิเศษ ของหลวงปู่พิศดู
เป็นเรื่องของผู้ใหญ่บ้านท่านหนึ่งใน จ.จันทบุรี เล่าให้ฟังว่าสมัยตอนหลวงปู่ยังอยู่ที่วัด ช่วงนั้นเขาได้ประสบปัญหาเรื่องเงิน จึงได้มาทำบุญกับองค์หลวงปู่อยู่เสมอ วันนั้นหลวงปู่ท่านก็ถอดประคำที่ท่านใส่อยู่ให้ไป โดยบอกว่าให้ยืมใส่ จะทำให้ดีขึ้น ร่ำรวย พอได้ประคำพวงนั้นมาก็นำมาบูชาและใส่สวดมนต์ บางครั้งก็ใส่ไปเล่น บาคาร่า ด้วยต้องการเสี่ยงโชคในทางลัด ปรากฏว่าทุกครั้งที่ใส่ไปเล่นนั้น ได้ทุกครั้งไม่เคยเสียเลย จนกระทั่งได้เงินมาเป็น สิบล้าน ทำให้หมดหนี้สิน และมีเงินพอที่จะทำธุรกิจของตัวเอง พูดง่ายๆว่าตั้งตัวได้เลย ธุรกิจก็เป็นไปด้วยดีเสมอมา ประกอบกับตนได้ทำทำบุญกับพระอริยะสงฆ์อย่างองค์หลวงปู่อยู่เสมอ พอได้เงินอย่างที่ตั้งใจไว้ก็หยุดเล่นการพนัน พอผ่านไปได้สักระยะ องค์หลวงปู่ท่านก็มรณะภาพลง จนกระทั่งผ่านไปไม่นานก็ได้ฝันเห็นหลวงปู่มาบอกว่า " ให้เอาประคำที่ยืมมาไปคืนให้วัด แต่ถ้าอยากได้ไว้บูชา ก็ค่อยขอกลับมาอีกก็ได้ แต่ต้องเอาไปคืนที่วัดก่อนจะได้ไม่ติดหนี้สงฆ์.."
เรื่องประคำ(มหาลาภ)นี้ผมเคยฟังมาประมาณ 3 คนแล้ว โดยบอกตรงกันว่า ใส่ประคำขององค์หลวงปู่แล้วทำให้โชคดีมากๆ โดยเฉพาะเรื่องการเสี่ยงโชค ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากๆ เพราะปกติแล้วของพระอริยสงฆ์นั้นจะใช้ในทางนี้ไม่ค่อยได้ เพราะว่าผิดทาง(และไม่ได้ส่งเสริมให้เล่นด้วย) แต่กลับมีคนใช้ประคำขององค์หลวงปู่ในทางนี้ได้ ผมเคยสอบถามและขอดูพวงประคำของท่านเหล่านั้น ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกคือว่า สร้อยประคำของบุคคลทั้งสามคนที่ใส่ในการเสี่ยงโชคนั้น มักเป็นประคำชนิดเดียวกันทั้งสิ้น กล่าวคือ..เป็นประคำเมืองจีนเส้นใหญ่ๆ เม็ดใหญ่ๆ และมีภาษาจีนหรือไปก็เป็นรูปพระโพธิสัตว์อยู่ตามเม็ดประคำทั้งนั้น แทบไม่มีประคำในรูปแบบอื่นเลย และแต่ละท่านนั้นก็ได้รับไป ต่างกรรมต่างวาระเวลาทั้งสิ้น
ส่วนประคำในรูปแบบอื่นๆ หลวงปู่ท่านมักจะอธิษฐานในด้านป้องกันภัย ปราบโรคต่างๆ ท่านบอกว่าเป็นประคำของพระไภสัชยคุรุพุทธเจ้า หรือใช้ในการภาวนาประกอบด้วย จะได้ผลดีมากๆ
เรื่องประคำนี้ยังมีประสบการณ์อีกมากมายสุดที่จะกล่าวได้
บางคนโดนต้นไม่ใหญ่ล้มทับตัวแบบเต็มๆ ก็รอดมาได้โดยที่ไม่เป็นอะไรเลย
บางคนใช้เลื่อยเครื่องตัดต้นไม้ พลาดโดนเลื่อยเครื่องตัดไม้โดนตัดขา กางเกงขาดกระจุยแต่ไม่เข้าไม่มีเลือดซึมเลยด้วย เพียงแค่ขาชาเท่านั้น
บางคนรถหมุนหลายรอบลงข้างทางไปแต่ไม่ได้รับอันตรายเลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าท่านใดมีประคำที่องค์หลวงปู่ท่านมอบให้อยากจะให้ท่านเก็บเอาไว้ใช้เถิดครับ มีของดีต้องเอามาใช้ หลวงปู่ท่านชอบประคำมากๆ ถึงขนาดสั่งให้ไปหามาเสกแจกอยู่เสมอๆ อย่าให้ขาดช่วง แม้บางครั้งท่านยังสั่งให้เอาท่อนไม้เทพธาโรที่ท่านเสกเอาไว้ไปกลึงเป็นประคำมาให้ท่านเลย(ประคำชุดนี้มีโค๊ดกำกับ ท่านบอกว่า.." ถึงไม่ค่อยสวยแต่คุณภาพสูง " และสำหรับประคำไม้เทพธาโรนี้ชุดนี้ท่านจะหวงเป็นพิเศษ เวลาเราได้ไปแล้วถ้าหากเอาไปเก็บไว้ ถ้าท่านไม่เห็นเราใส่ประคำท่านก็จะถามแล้วว่าประคำอยู่ไหน บางคนบอกว่าอยู่ในรถ ท่านก็จะไล่ให้ไปเอามาใส่ " มีของดีต้องเอามาใช้สิ.."
แม้แต่ตอนที่องค์หลวงปู่ท่านเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตามคำอาราธนาของลูกศิษย์ชุดอุปัฏฐาก ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ ท่านก็จะสั่งให้เอาประคำติดย่ามไปด้วยเสมอ และท่านก็มักจะใส่ไว้ที่คอตลอด ถ้าเอาติดมาหลายเส้นท่านก็จะแจกให้กับหมอและพยาบาล และผู้ที่มากราบเยี่ยมด้วย สาเหตุที่ต้องนำประคำมาด้วยท่านบอกว่า
" (ประคำของหลวงปู่ ท่านอธิษฐาน) เป็นประคำปราบโรค เป็นประคำพระไภสัชยะคุรุพุทธเจ้า เป็นของสำคัญ.. "
" ถึงไม่ค่อยสวยแต่มีคุณภาพสูง.."
" แต่ประโยชน์ที่สุดแล้ว ต้องการให้ไปใช้สวดมนต์ภาวนาได้ จะดีที่สุด.."
(สิรภพ)