เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 8 มกราคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ วันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมคือวันเด็กแห่งชาติ แต่ว่าปีนี้เด็กเฉาไปหน่อย เพราะว่าเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ รอบใหม่ โดยเฉพาะเชื้อโอไมครอนกำลังระบาดแรง ทำให้บรรดาโรงเรียนต่าง ๆ ต้องงดจัดกิจกรรมวันเด็ก เพียงแต่ว่าที่โรงเรียนทองผาภูมิวิทยานั้น กระผม/อาตมภาพต้องไปมอบอาคารหอพักนักเรียนบ้านไกล ๒ ชั้นให้กับทางโรงเรียน ก็เลยมีกิจกรรมเล็ก ๆ เพราะว่าที่มาร่วมงานก็คือ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียน กับเด็กนักเรียนที่จะมาพักในหอพักนั้นเท่านั้น

    หลังจากนั้นกระผม/อาตมภาพก็วิ่งยาวไปโน่นเลย MCC Hall เดอะมอลล์งามวงศ์วาน เพื่อไปรับรางวัลครุฑสุบรรณกายกับรางวัลเพชรรัตนชาติ แม้ว่าช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา แต่ละปีรับอยู่ประมาณ ๘ รางวัล ๑๐ รางวัล แต่ปีนี้ยังสงสัยอยู่ว่า ๒ รางวัลนี้มาอย่างไร ?

    ปรากฏว่าไปเจอบุคคลคุ้นเคยเข้า ก็คือ ดร.เอกกฤต นารายณ์รักษา ที่เคยพาคณะมาทำบุญที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ ปรากฏว่าท่านเป็นหนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกผู้เข้ารับรางวัล ก็ถึงได้เข้าใจว่าทำไมรางวัลนี้จึงตกมาถึง เพราะเท่ากับว่าหนึ่งในคณะกรรมการได้เดินทางมาดูถึงสถานที่จริงแล้ว แล้วก็ยังทำให้เด็กของโรงเรียนทองผาภูมิวิทยาอีกคนหนึ่ง ก็คือ น้องบัว (นางสาวอัจฉานันท์ วงศรีรัตนชัย) ก็พลอยได้รางวัลครุฑสุบรรณกาย สาขาเยาวชนดีเด่นไปด้วย

    รางวัลสองรางวัลนี้น่ารักมาก เนื่องเพราะว่าผู้จัดนำไปให้หลวงปู่พัฒน์ วัดห้วยด้วน (พระราชมงคลวัชราจารย์) ทำการปลุกเสกมาก่อน เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าใครได้รางวัลนี้ไปก็ "กระดี๊กระด๊า" น่าเสียดายที่รางวัลที่งามสุด ๆ อย่างรางวัลครุฑสุบรรณกาย และได้รับการปลุกเสกมาจากพระเถระระดับหลวงปู่พัฒน์นั้น มีผู้ได้รับทั่วประเทศแค่ ๙๘ รูป/คน

    ส่วนรางวัลรางวัลเพชรรัตนชาติ ก็ได้รับอยู่ ๑๓๘ คน ถ้าหากว่ามีการประกาศล่วงหน้าก่อนว่ามีรางวัลปลุกเสก น่าจะมีคนส่งประวัติขอรับกันมากกว่านี้ แต่ก็เป็นเรื่องยาก เพราะถ้าประกาศล่วงหน้าก่อนว่าจะเอารางวัลเข้าพิธี เพื่อที่หลวงปู่พัฒน์ท่านเสกให้ เกิดหลวงปู่ท่านไม่ว่างขึ้นมา หรือสุขภาพไม่ดีพอ เจ้าภาพก็จะ "เสียรังวัด" ไปอีก ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของบุคคลที่ได้รับรางวัลไปก็แล้วกัน

    ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีชื่อเสียงขนาดนั้น เพราะว่าบรรดาผู้ที่เข้ารับรางวัล ทั้งพระทั้งโยม มาทักทาย มาขอถ่ายรูป พูดง่าย ๆ ว่ามากจนเวียนหัว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    แต่คราวนี้ในส่วนของรางวัลนั้น เนื่องจากว่าตัวประธานผู้มอบรางวัล ก็คือ ม.ล.วันชัย นวรัตน เลขาธิการสมาคมผู้ผลิตและดำเนินรายการวิทยุและวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย มาช้า อาจจะติดงานที่อื่น หรือไม่ก็รถติด เนื่องจากว่าสถานที่บริเวณนั้นยังมีการจัดงานวัดเด็กอยู่ แต่มีการคัดกรองที่เข้มงวดมาก แม้ตัวกระผม/อาตมภาพฉีดวัคซีนมาแล้ว ๓ เข็ม ก็ยังต้องไปลงทะเบียน ไปให้เขาตรวจสอบ มีพยาบาลมารอตรวจด้วยชุดเครื่องมือ ATK อยู่ ก็ต้องบอกว่าทางเจ้าภาพจัดงานได้ค่อนข้างจะเข้มงวด

    และที่น่าชมเชยอย่างยิ่งก็คือทั้ง ๒ รางวัลนั้น ให้พระภิกษุรับต่อเนื่องกันไปเลย คำว่ารับต่อเนื่องกันไปเลยก็คือ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลครุฑสุบรรณกายหรือว่ารางวัลเพชรรัตนชาติ ถ้ารอโยมที่รวม ๆ กันแล้วเป็นร้อยรับไปตามลำดับ แล้วค่อยขึ้นรับรางวัลใหม่ ก็น่าจะเสียเวลาอีกเป็นชั่วโมง แต่ว่าทางผู้จัดให้พระรับทั้ง ๒ รางวัลไปก่อนเลย ก็คือใครได้รับรางวัลครุฑสุบรรณกายก็รับไป ใครได้รับรางวัลเพชรรัตนชาติก็ต่อแถวรับไป มีกระผม/อาตมภาพคนเดียวที่วิ่ง ๒ รอบ ก็คือจากที่นั่งหมายเลข ๗ ที่กลายเป็นหมายเลข ๑ ของครุฑสุบรรณกาย ก็วิ่งไปนั่งที่หมายเลข ๕ ของเพชรรัตนชาติอีกรอบ

    เหตุที่หมายเลข ๗ เป็นหมายเลข ๑ ก็เพราะว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่รับ ๖ อันดับแรกของรางวัลครุฑสุบรรณกายนั้น ส่วนใหญ่เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ แล้วก็ไม่ได้ส่งตัวแทนมา คาดว่าทางผู้จัดคงต้องนำไปถวายถึงวัด แต่ตัวกระผม/อาตมภาพเอง มีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งว่า เมื่อคนอื่นให้รางวัลเรา เราต้องไปรับด้วยตัวเอง

    ตรงจุดนี้บางคนก็คิดไม่เหมือนกัน ที่คิดไม่เหมือนกันก็คือ ไปรับรางวัลเอง เสียเวลาด้วย รถติดด้วย เหนื่อยมากด้วย อย่างครูตูน (นางวารุณี พรมฝ้าย) ที่พาน้องบัวไปรับรางวัล จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพเดินทางกลับ ถามน้องบัวว่าได้กินข้าวกลางวันหรือยัง ? ก็ยังไม่ได้กินเลย เพราะว่าไปถึงก็ประมาณเที่ยง รีบไปลงทะเบียนแล้วก็ไปนั่งรอ บ่ายสองกว่ายังไม่ได้กินข้าวกลางวัน ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นลมไปก่อนหรือเปล่า ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    ตรงจุดนี้แสดงออกให้เห็นว่า ในส่วนของการรับรางวัลนั้น คนอื่นให้เกียรติเรา เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำและมอบรางวัลให้มา เราก็ควรที่จะให้เกียรติเขาในลักษณะของ วนฺทโก ปฏิวนฺทนํ ก็คือผู้ไหว้ควรที่จะได้รับการไหว้ตอบ

    ปกติแล้วปีนี้มีอีกรางวัลหนึ่งที่จะได้รับ แต่ว่าต้องเดินทางลงไปรับถึงจังหวัดชุมพร กระผม/อาตมภาพถึงได้ปฏิเสธทางเจ้าภาพไปว่า ปีนี้ติดงานช่วงรับรางวัล ขออนุญาตผ่านไปก่อน เพราะว่ามีนิสัยก็คือ ถ้าเขาให้ เราควรที่จะไปรับด้วยตนเอง แล้วก็มีงานอื่นคาอยู่ เดินทางไปถึงชุมพรกลับขึ้นมาไม่ทันงานเขาแน่ จึงต้องปฏิเสธไป ถ้าหากว่าปีอื่น ๆ คุณเห็นว่าสมควรให้มา แล้วตรงกับระยะเวลาที่ว่าง ก็จะลงไปรับด้วยตนเอง

    อีกรางวัลหนึ่งที่เขาจะให้ ถ้าหากว่าการพิจารณาของปีนี้ผ่าน ก็คือรางวัลเพชรราชธานีของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี รางวัลนี้คาดว่า ถ้าหากว่าตรงกับงานอื่นก็อาจจะต้องส่งตัวแทน หรือไม่ก็แจ้งให้เขามอบให้คนอื่นแทน

    บุคคลเราไม่จำเป็นต้องไปแสดงให้คนอื่นเขาเห็นว่าสูงศักดิ์ มีศักดิ์ศรี มีราคา เพราะโบราณบอกว่า ข้าวเม็ดลีบ รวงมักจะตั้งตรง แต่ว่าข้าวที่เป็นเมล็ดสมบูรณ์ รวงจะอ่อนค้อมลงเสมอ ก็คือลักษณะของการที่สอนให้พวกเราอย่าได้ยึดถือในสักกายทิฐิ ความเป็นตัวกูของกู และมานะ ยึดมั่นว่ากูดีกว่า กูเก่งกว่า เป็นต้น เนื่องเพราะว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ตาม ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องแสดงศักยภาพความสามารถของตนเองในด้านใดด้านหนึ่งออกมา


    ตรงจุดนี้สมัยที่กระผม/อาตมภาพรับราชการทหารอยู่ ขออนุญาตเอ่ยปากเลย ก็คือสิบตรีสำอางค์ นันมี เพื่อนทหารทุกคนเรียกว่า "ไอ้มึน" ที่เรียกว่า "ไอ้มึน" เพราะแต่ละวัน แกก็มักจะนั่งตาลอยอย่างกับคนหิวกัญชา ไม่กระตือรือร้นอะไรกับชีวิตเลย

    ดังนั้น..เมื่อมีการบรรจุทหารลงหน่วยงาน รายชื่อสิบตรีสำอางค์ส่งไปถึงใครก็โดนปฏิเสธหมด พอมาถึงกระผม/อาตมภาพเห็นเข้าก็เอาตัวมา เนื่องเพราะว่าการดูแลทหารในช่วงนั้น ยังอยู่ในระดับผู้บังคับหมู่ หนึ่งหมู่ประกอบไปด้วย ผู้บังคับหมู่ รองผู้บังคับหมู่ พลทหารสื่อสาร พลทางสาย พอเครื่องยิงลูกระเบิด แล้วที่เหลือก็เป็นพลปืนเล็ก

    กระผม/อาตมภาพจะยัดตำแหน่งอื่นให้ก็ใช่ที่ เพราะโดยเฉพาะพวกพลสื่อสารต่าง ๆ ซึ่งสำคัญสุด ๆ ถ้าการสื่อสารโดนตัดขาด มีสิทธิ์ "ละลาย" ทั้งหมู่ คำว่าละลายก็คือ โดนข้าศึกโจมตีเข่นฆ่าจนกระทั่งไม่เหลือใครเลย..! จะให้ตำแหน่งพลปืนเล็กก็ไม่ได้ เพราะว่าในหน่วยทหารระดับหมู่ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยรบที่เล็กที่สุด มีความคล่องตัวที่สุดและสำคัญที่สุดนั้น

    พลปืนเล็กก็คือบุคคลที่ถือไรเฟิลจู่โจม เป็นกำลังที่สำคัญที่สุด ถือว่าเป็นกำลังหลักในการปะทะกับข้าศึก ดังนั้น...ก็มีอยู่ตำแหน่งเดียวที่ควรจะให้ลงก็คือพลเครื่องยิงลูกระเบิด ถ้าไม่ใช่ประเภทที่หนักหนาสาหัสจริง ๆ ตำแหน่งนี้ไม่มีโอกาสได้ลงไม้ลงมือกับใคร
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    ระเบียบของทหารนั้นเข้มงวดมาก ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ ต้องรอคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเดียว คนยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจะยิงได้ก็ต่อเมื่อผู้บังคับบัญชาอนุญาตเท่านั้น ซึ่งตรงจุดนี้เป็นจุดอ่อนที่ใหญ่หลวงมาก มัวแต่รอให้อนุญาต อาจจะโดนข้าศึกรุมตีตายกลายเป็นศพแล้ว..!

    ดังนั้น...เมื่อรับเอาตัวของสิบตรีสำอางค์ นันมีมา แล้วบรรจุลงตำแหน่งพลเครื่องยิงลูกระเบิด พูดง่าย ๆ ก็คือให้เขามีที่ลง ไม่ได้หวังการช่วยเหลือจากเขาเลย ปรากฏว่าปีนั้นจำเป็นต้องเข้าฝึกหมู่ ตอน หมวด ก็คือการบังคับบัญชาหน่วยทหารตั้งแต่ระดับหมู่ ระดับตอนที่ใหญ่กว่าหมู่ และระดับหมวด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นหน่วยรบหลักของกองทหาร และเป็นการฝึกโดยใช้อาวุธจริง..!

    ทหารเราจะมีการฝึกโดยใช้อาวุธจริงทุกปี อันดับแรกก็คือให้เกิดความเคยชินว่า เวลารบจริง ๆ แล้วเป็นอย่างไร อันดับที่สองก็คืออาวุธกระสุนที่จะหมดอายุ ก็จะได้ "จำหน่าย" ได้ ใช้ไปในการฝึกซ้อม ไม่ต้องทิ้งให้เสียเปล่า

    อย่าถามว่ามีตายไหม ? ตายทุกปี..! ถ้าหากว่าคุณปฏิบัติได้ถูกต้องตามที่ฝึกมา ก็แปลว่าปลอดภัย แต่ถึงปฏิบัติถูกต้อง ถ้ามีอุบัติเหตุก็ตายได้อีก อย่างเช่นรุ่นน้องชื่อ พลทหารสมพงษ์ พินิจมนตรี เจอเอ็ม. ๖๐ เข้าที่ไหล่ ทะลุตลอดลำตัว ขาดสะพายแล่งอย่างกับขวานจาม..!

    ถ้าอยากรู้ว่าเอ็ม. ๖๐ หน้าตาเป็นอย่างไร ? ก็คือปืนกลที่มีกระสุนเป็นสาย ๆ ที่ "ไอ้แรมโบ้" ถืออยู่นั่นแหละ เพราะว่าเป็นการฝึกลอดวิถีกระสุน ซึ่งเป็นการใช้กระสุนจริง แล้วการใช้กระสุนจริง เขาจะตั้งปากลำกล้องสูงจากพื้นประมาณ ๓๐ เซนติเมตร พูดง่าย ๆ ก็คือมีที่ให้ไปได้

    แต่ว่าพลทหารสมพงษ์ พินิจมนตรี น่าจะถึงฆาต เพราะว่าการที่จะบุกฝ่าเข้าไปจนถึงรังปืนกลนั้น ตลอดระยะทางจะมีระเบิดอยู่ตลอดแนว ปรากฏว่าการกดระเบิดตูมหนึ่ง ตอนที่พลทหารสมพงษ์เข้าไปใกล้ ไม่มีอันตรายจากระเบิด แต่มีงูแมวเซาตัวหนึ่งพุ่งพรวดออกจากรูมาตรงหน้า พลทหารสมพงษ์ตกใจงู จึงผวาลุกขึ้น..หงายตึงไปเลย..! เพราะว่าปืนยิงอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือถึงปฏิบัติถูกต้องตามหลักการฝึกแล้วก็จริง ก็ยังมีดวงซวยพาให้ตายได้..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    เมื่อข้าศึกสมมติเข้าตีหนัก กระผม/อาตมภาพก็สั่ง "ยิงฉาก" คำว่ายิงฉากนี่ ทหารทุกนายจะมีจุดยิงของตนเองโดยเฉพาะ ยิงเฉพาะเป้าหมายจุดนั้น ต่อให้ข้าศึกโผล่มาข้างตัวก็ไม่ใช่หน้าที่เรา นั่นเป็นหน้าที่ของเพื่อน เพราะว่าถ้าหากว่าเราหลุดจากการยิงฉากของตนเอง อาจจะเป็นช่องว่างให้ข้าศึกบุกเข้ามาได้

    ปรากฏว่าเสียงเครื่องยิงลูกระเบิดรัวเหมือนกับปืนระบบยิงออโตเมติก เพราะว่าทันทีที่สั่งยิงฉาก สิบตรีสำอางค์ นันมี ซึ่งพกเครื่องยิงลูกระเบิดและมีกระสุนอยู่ ๓ สาย สายละ ๖ นัด คือ ๑๘ นัด แปลว่ามีระเบิดอยู่ในมือ ๑๘ ลูก..! หมู่สำอางค์ยิงอย่างไรไม่รู้ เหมือนระบบออโตเมติก กระสุนตกอยู่หน้าแนว บึม ๆ ๆ ๆ แทบจะไม่ขาดเสียงเลย ไม่มีข้าศึกคนไหนฝ่าแนวเข้ามาได้เลย หมู่ปืนเล็กของเราคว้าเอารางวัลที่ ๑ ในการฝึกมาได้ เพราะฝีมือของหมู่สำอางค์ที่ใคร ๆ ก็ไม่ต้องการและเรียกว่า "ไอ้มึน"..!

    กระผม/อาตมภาพไปแอบถามทีหลังว่า "ทำไมมึงถึงใช้เครื่องยิงลูกระเบิดได้ขนาดนี้วะ ?" เขาบอกว่า "ผมเล่น "อีโบ๊ะ" มาก่อนครับ" คำว่า "อีโบ๊ะ" คือปืนลูกซองตราควายที่คนไทยเราผลิตกันเอง ระบบเหมือนกันเปี๊ยบเลย เพียงแต่เครื่องยิงลูกระเบิดนั้นใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย ประมาณกระบอกข้าวหลาม และใส่ลูกกระสุนขนาดประมาณถ่านไฟฉาย ๓ ท่อน นั่นกลายเป็นความชำนาญเฉพาะตัวที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ หลังจากนั้นมาสิบตรีสำอางค์ก็เปล่งประกาย กลายเป็นคนที่ทหารทั้งหน่วยแย่งกันดึงตัว แต่เขาไม่ไปกับใคร จะไปกับกระผม/อาตมภาพเท่านั้น เพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่มีใครต้องการเขาเลย

    ตรงจุดนี้ที่เล่าให้ฟังก็คือว่า คนเราทุกคนมีคุณค่าอยู่ในตัว แต่อยู่เมื่อไรที่คุณค่านั้นจะแสดงออกมา จึงก็ต่อเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสมเท่านั้น เพราะฉะนั้น...ใครที่รู้สึกน้อยใจ เสียใจ ทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จสักที เราต้องมาคิดว่ายังไม่ใช่เวลาของเรา น้ำค่อย ๆ หยดทีละหยด ๆ กว่าที่จะเต็มตุ่มเต็มไห บางทีก็นานมาก


    ผมมักจะยกตัวอย่างเสมอ ก็คือหลวงปู่พูล (พระมงคลสิทธิการ) วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ท่านเกิดผิดยุค มีความสามารถเท่าไร ยุคที่ท่านเพิ่งบวชใหม่ ๆ ก็หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ผงาดทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่จังหวัด และที่ใกล้เคียงกัน ความสามารถเป็นที่ยอมรับพอกัน ก็หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม

    ถัดจากรุ่นนั้นมาก็ยังมีหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม กว่าจะมาถึงยุคของท่านนี่ก็อายุ ๙๐ ปี ก็คือท่านอายุยืนมาก จนท่านอื่นมรณภาพกันหมดแล้ว มีระยะช่วงเวลาสั้น ๆ แค่ ๓ - ๔ ปี "ดังระเบิดเถิดเทิง" กลายเป็นพระเกจิอาจารย์ในฝันของคนทั้งประเทศเลย..!
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    เพราะว่าท่านมรณภาพลงไป ไม่ว่าจะเป็น วัน เดือน ปี ในการมรณภาพ เวลาในการมรณภาพ หมายเลขรถที่ขนสังขารท่านกลับวัด แม้กระทั่งหมายเลขฝาโลง หวยออกหมดเลย..! ทุกวันนี้ส่วนหนึ่งไปกราบสังขารหลวงพ่อพูลนั้น ไปเพื่อไปขอหวยกัน..!

    แล้วไปนึกถึงหลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง (พระพรหมมงคล) ท่านอายุ ๙๐ กว่า เกือบร้อยนะครับ ท่านให้ข้อคิดว่า "อดได้ ทนได้
    รอได้ เย็นได้ ดีได้" ลองดูว่าพวกเราจะอายุยืนขนาดหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม หรือว่าหลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทองหรือเปล่า ? แต่ละท่านอยู่ ๙๐ กว่าปีทั้งนั้น แล้วสิ่งที่สรุปมาก็คือประสบการณ์ชีวิตของท่านแท้ ๆ "อดได้ ทนได้ รอได้ เย็นได้ ดีได้"

    ที่เรียนบอกกับพวกเราตรงนี้ก็เพราะว่า สิ่งต่าง ๆ ที่
    กระผม/อาตมภาพทำมา ก็ต้องบอกว่าค่อนชีวิต เริ่มมาผลิดอกออกผลในช่วงนี้ ก็เลยทำให้หน่วยงานต่าง ๆ มอบรางวัลให้มากในระยะนี้ และขณะเดียวกัน บุคคลที่รู้จักก็มากขึ้นทุกที ตรงจุดนี้มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี

    สิ่งที่ดีก็คือ เรื่องราวดี ๆ ต่าง ๆ จะเข้ามาในชีวิตได้ง่ายขึ้น ส่วนที่ไม่ดีก็คือตกเป็นเป้าสายตาคนอื่น ขยับตัวลำบากมาก เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะแวะเข้าห้องน้ำที่สถานีบริการน้ำมันไหน ต้องมีคนรู้จักวิ่งมากราบ วิ่งมาไหว้ บางคนถึงกับขนาดออกปากว่า "ไปวัด ๓ ครั้ง ๔ ครั้ง ไม่เคยเจอหลวงพ่อเลย โชคดีจริง ๆ ที่ได้มาเจอที่นี่" กระผม/อาตมภาพเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร "กูปวดฉี่จะราดอยู่แล้ว ยังต้องรอมึงกราบก่อนอีก..!" เป็นต้น

    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...