เวรกรรมมีจริง

นี่ก็แปลความหมายคนละเรื่องแล้ว

คำตอบแบบปัด ขอไปทีเมื่อจวนตัว มันไม่จำเป็นเลย

นี่ก็หงายทิฏฐิให้ทราบแล้ว ไหนล่ะอุปธิ ไม่เที่ยง ตัณหา

มันเหมือนสั่งเกาเหลา หยิบอะไรติดมือมาได้ ก็ยัดลงกระฉอน เขย่าลวกน้ำร้อนซะสองที

ก็ส่งให้รับประทานกันเลย ถูกไหม ^^

 

..............ปล่าวหรอกผมไม่อยากสรุปอะไรที่เป็นความเห้นตัวเองให้มากนักในที่นี้....อ้างอิงจากพระสูตรหรือตำราเป็น พื้นไว้นะดีแล้วสำหรับผม.................ไม่ใช่พี่นี่ องอาจในธรรม...โช๊ะ โช๊ะ ต้อง อย่างนี้ อย่างนี้......สำหรับผม มองว่า แค่ใหนถึงจะพอดี

 

คุยกับ เจ่ปุณฑ์ ยังได้ความรู้

ได้ประสบการณ์หลากหลาย เพราะเจ่ปุณฑ์ พูดตรงไปตรงมา ตามจริง

บางอย่างมัน คลิกที่ใจเราเอาไปใช้ได้ อย่างเรื่อง คนภาวนามี2แบบ

พวกมีสมาธิแนบแน่นกับความสงบ กับมีสมาธิแนบแน่นกับความคิด

แค่นี้ ก็คลิกแล้ว แต่คุยกับนิวรณ์ มาหลายปี มีแต่มึน เรื่องที่ถามก็ตอบไม่ตรง

บางทีก็เล่นตัวไม่ยอมตอบ เรื่องที่ไม่ได้ถามไม่ได้อยากรู้ ก็ตอบจัง

 

ผมฟังนานาจัง รู้เรื่องนะ เข้าใจด้วยครับ

 

คุณต้องฟังธรรมะของพระท่านให้เข้าใจ จิตตั้งมั่น ไม่ใช่ สมาธิ
จิตตังมั่น เป็นผลอันเกิดจาก จิตมีสมาธิ

หากคุณฟังธรรมของพระท่านไม่ขาด ไม่มักง่าย ไม่ทอดธุระ จะ
พึงจำได้ว่า พระท่านจะพูดถึง "ธรรมเอก" ก่อน

ธรรมเอก นั้น ผู้ที่เป็น สมถะยานิก สามารถทำให้มีขึ้นได้ไม่ยาก
ไม่ลำบาก เมื่อมี ธรรมเอกแล้ว สภาวะขณะนั้นจะเรียกว่า มีจิตตั้งมั่น
ในการพิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่ง จะตั้งได้ทั้งวัน
และ บางคนตั้งได้ 3 เดือน( ตามคำบรรยายของพระ )

แต่ บุคคลที่ไม่ได้เป็น สมถะยานิก จะมี ธรรมเอก ได้อย่างไร จะทำ
อย่างไรให้ ธรรมเอกปรากฏ ตั้งได้ทั้งวัน ตั้งได้ 3 เดือน ตรงนี้จึง
เริ่มเข้ามาสู่การพิจารณา มูลจิต นิวรณ์ หรือ เจตสิกธรรมไปตรงๆ

พิจารณาแล้ว ไมได้เอาที่ พิจารณามูลจิตได้ พิจารณานิวรณ์ได้ พิจรารณา
เจตสิกธรรมเป็นดวงๆ ได้

เป้าหมาย ยังคงอยู่ที่ ทำเพื่อให้ ธรรมเอก ปรากฏ

เป้าหมาย ยังคงอยู่ที่ ทำเพื่อให้ ธรรมเอก ปรากฏ

เป้าหมาย ยังคงอยู่ที่ ทำเพื่อให้ ธรรมเอก ปรากฏ

เมื่อธรรมเอกปรากฏ จึงเอาจิตชนิดนี้ไป พิจารณาธรรมะ พระท่านพูดอย่างนี้เสมอ

 

คุณพูด เหมือนคนไม่เข้าใจเรื่องสมาธิ

คุณนั่นแหละคับแคบ เอาคำว่า ธรรมเอก ของครู มาล๊อคเข้าทางของตัวเอง

เอามาเหมาว่า พระท่านพูดว่า ต้องมี ธรรมเอก ปรากฏก่อน

เรื่องธรรมที่พระท่านสอน มีทั้งทั่วไปและเฉพาะบุคคล คุณไปเหมาเอาคำพูดพระ

แล้วไปครอบว่ามีงั้นมีงี้ คนไม่ได้ฌาณ ทำอะไรก็ผิดสิ ปฏิบัติธรรมอะไรไปก็ผิดหมด

เราเลิกคุยกับคุณนิวรณ์แล้วนะ เพราะในความเห็นเราคุณคับแคบและมั่วมาก

ไม่ใช่เราจะหนีหรือชิ่งนะ แต่คำพูดคุณนิวรณ์ ไม่มีประโยชน์กับเราเท่านั้น

พูดมากไปก็เป็นช่องให้คุณนิวรณ์ก่อกรรมไม่รู้จบ

คำแนะนำของเรานะ คุณนิวรณ์ ควรไปทำคุณธรรมที่พร่องอยู่ให้เต็มเสียก่อน

ค่อยมาคิดชี้แนะคนอื่น ขนาดอ่านธรรมะของพระอาจารย์ ยังเอามาใช้ผิดประเภทเลย

เสียหายต่อพระอาจารย์หลายแสนเลยนะเนี่ย

 

คุณนั้นแหละ พยายามบิดเบือน อย่างเรื่อง ธรรมเอก คุณก็ยังงมโข่ง
เห็นเป็นเรื่อง ทำฌาณ นี่แปลว่าไม่เคยใส่ใจคำสอนของพระเลย

เพราะอะไร

เพราะตัวเอง อาศัยคำสอนของพระบ้าง ของพระพุทธองค์บ้าง อาศัย
ว่า มีสิทธิเสรีในการตีความตามใจตน ตนปฏิบัติอย่างไรก็เอาไปสนับ
สนุนตนว่า ที่ตนปฏิบัติอยู่นั้นถูกต้อง เสร็จแล้วเที่ยวเอาสิ่งที่ตนตีความ
ไปสนับสนุนการตีความของตน

ซึ่ง จะทำการพูดกับ เพื่อนๆ ก่อนว่า เราเห็นอย่างนั้น เราทำอย่างนี้

พอเพื่อนๆถามว่า จริงหรือ

คุณก็จะ ค่อยยกเอา ธรรมะมาบังหน้าตน เพื่อสนับสนุนตนว่าทำถูก

ตีความถูก

แต่พอถามว่า

ทุกวันนี้ สงัดจากามฉันทะ สงัดจากนิวรณ์ เป็นผลจากการภาวนาที่
ถูกต้องแล้วหรือยัง

กับอ้ำอึ้ง ไม่เปิดเผย

ทั้งๆที่ หากทำจริง ประพฤติจริง นี่ก็เกือบ 5ปีแล้วที่ผมรู้ว่าคุณฟัง
ธรรมมาจากครูคนเดียวกัน ( ครูคนอื่นยกไว้ ถ้ามี ย่อมมากกว่า5ปี)
แล้ว ผล!!! เกิดขึ้นหรือยัง

ผลที่สงัดจากกามฉันทะ ผลที่สงัดจากนิวรณ์ เกิดขึ้นหรือยัง

ถ้าเกิดขึ้นแล้ว ธรรมเอก ย่อมปรากฏ เป็นวิบาก และ ต้องรู้ ไม่ใช่ไม่รู้

 

เข้าใจว่าไง บ้าง

 

คุณนี่เหลือเกินเลยนะ ชอบใส่สีตีไข่ไม่เลิก

ฉันใส่ใจอ่านเฉพาะเรื่องที่ฉันสนใจ หนังสือธรรมของหลวงพ่อฉันก็ไม่ได้อ่านทุกเล่ม

เทศน์ของหลวงพ่อฉันก็ไม่ได้ฟังทุกซีดี

ฉันแค่ได้รับการในแนะนำเทคนิคการฝึกดูจิตจากหลวงพ่อ เท่านั้น

อย่ามาเหมาว่าฉันจะรู้เรื่องที่ท่านสอน ทุกเรื่อง

แล้วที่จะมาคาดคั้นให้ชั้นตอบเรื่อง นี้ เพื่ออะไร

"สงัดจากามฉันทะ สงัดจากนิวรณ์ เป็นผลจากการภาวนาที่ถูกต้อง"

ในเมื่อคนที่ได้สภาวะนี้ อย่างน้อยต้องปฐมฌาณขึ้นไป ถ้าเป็นปุถุชนก็ต้องได้

รูปฌาณ ไม่งั้น ก็ต้องได้พระโสดาบันขึ้นไป ซึ่งฉันก็ไม่ได้ทั้งสองอย่าง

บอกคุณไปหลายรอบแล้ว คุณมาจะมาถามทำไมอีก

เรื่อง "ธรรมเอก ย่อมปรากฏ เป็นวิบาก และ ต้องรู้ ไม่ใช่ไม่รู้"

เราไม่ได้รู้กับคุณ ว่าธรรมเอกของคุณคืออะไร ที่เรารู้คือปัญญามันมีเอง

ปัญญาความรู้ความเข้าใจ จากสุตตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา

เราเข้าใจ และใส่ใจแต่แบบนี้ ปัญญาไขปัญหาแก้ปัญหาในเรื่องที่ติดข้อง น่ะมี

แต่ธรรมเอกที่คุณเรียก หรืออะไรที่เป็นรูปนิมิต เราไม่มี ถ้าคุณไม่เข้าใจ ก็ปล่อยวางไปเหอะ

มีหลายอย่างที่เกิดกับเราแต่ถามใครไม่ได้ เราเรียกไม่ถูกก็มี พูดมากก็เสีย

เพราะพูดไปอย่างหนึ่ง คนอื่นก็เข้าใจผิดไปอีก ปฏิเวธมันต่างกันมันชี้กันไม่ได้หรอก

เรื่องการยกธรรมมาสอบทานกับการปฏิบัติของตัวเอง มันต้องมีอยู่แล้ว

เพราะคนอื่นเขาแย้งเรา หรือเห็นต่างกันก็มี เราก็มีข้ออ้างอิงการกระทำของเรา

ถ้ายกมาผิดก็แย้งไป แต่ถ้าไม่แย้งแล้วมากล่าวดิสเครดิตกันแบบนี้มันไม่งาม

เพราะคนที่ฝึกปัญญาอบรมสมาธิมันมีแนะนำกันน้อย ส่วนมากพูดกันแต่เรื่อง

ความสงบ เราจะหาใครพึ่งในนี้ได้มีแต่ต้องพึ่งตนเอง ขนาดนี้ยังมีคุณไม่เห็นด้วยเลย

และอีกอย่างคุณน่าเกลียดตรงไหนรู้ไหม ตรงที่ชอบพูดให้คนอื่นเสียหาย

 

ธรรมเอก เขาคงหมายถึงธรรมของเอกวีร์ ผู้นี้นี่เอง ^^

ธรรมอื่น ผิดหมด ว่างั้น

ก็คิดเสียว่า เขาเอาผลปฏิบัติ ตามที่เขาเข้าใจมา มาส่งการบ้านให้เรา ต้องการเป็นที่ยอมรับ ก้เท่านั้นครับ ^^

ไม่มีอะไรเกินนี้

 

หมาน่ารัก ตายแระ

 

หมายถึง หมาน่ารัก ตายหมดแล้วหรอ :'(

ความน่ารัก ความร่ำไร ก็ไม่เที่ยงเน๊อะ

 

เข้าใจตามความหมายของตัวอักษรครับ ตามที่เคยฟังมา อ่านมา ปฏิบัติมาครับ
และจะเฉเมื่อเอามารวมกับความรู้สึกที่ มี นานาจัง ร่วมกับความรู้สึกตัวเอง
ตรงนี้ หากน้อมมาพิจารณาในตนได้ จะเข้าใจธรรมภายนอก ธรรมภายในได้ครับ
ทีนี้ก็จะเป็นในส่วน ของการพิจารณา คุณ โทษ ต่อครับ ว่ากันต่อที่
เพียร ศีล สมาธิครับ แม้ภาวนาเป็น ก็เป็นทุกข์ครับ

 

เฮ้ออะไร ก็ไม่เที่ยง ๆ แล้วตัวเอง เคยเห็นความไม่เที่ยง ไหมหนอ
หมาเคยเห็นไหมจ๊ะ

 

อยากลอง ให้อ่านตรงนี้สักหน่อย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"อานนท์ เมื่อเธอรู้ว่ากำลังหายใจเข้า เมื่อเธอรู้ว่ากำลังหายใจออก
แล้วเธอจะไม่ทุกข์ "

หมายความว่า เมื่อเราภาวนาเป็น จะเห็นทันทุกข์แล้ว

 

อยู่ตรงหน้า อยู่นัยตา อยู่ในใจ อยู่กับดิน อยู่กับน้ำ อยู่กับลม อยู่กับความร้อน

อยู่ในทุกทีที่ปัญญาส่องไปถึง ^^

 

สงสัยเขาติดใจเรื่อง คนไม่มีสมาธิระดับฌาณ ฝึกวิปัสสนากรรมฐานไม่ได้มั้ง

ทั้งๆที่หลวงพ่อก็สอนว่าทำได้ตั้งแต่ขณิกสมาธิเป็นต้นไป

วิปัสสนาญาณ1 ไม่จำเป็นต้องได้ฌาณ ก่อน ก็คงจะเห็นต่างกัน

แถมยังเรื่อง ปัญญาเจตสิกในปุถุชน อีก ก็เข้าใจต่างกัน

ปัญญาอบรมสมาธิ อีก คงไม่เข้าใจว่าเราทำอะไร

คุยไปก็ไม่ได้คลายความสงสัยหรอก เพราะมีแต่ทิฏฐิ ไม่ได้มีปัญญารู้

คนเราถ้ามันรู้เรื่องเดียวกันมันก็คุยกันรู้เรื่อง แต่ถ้ามีวาระซ่อนเร้นมันเข้าใจกันยาก

เอกวีร์ เขามีพระสัพพัญญุตาญาณส่วนตัวมั้ง ถึงได้รู้ถูกทุกเรื่องรู้ทุกจริตของคนอื่น

สามารถวินิจฉัยได้ถูกต้องได้ทุกโลกธาตุ

 

ถ้ายังสำคัญตัวว่า อยู่ตรงไหน ก็อยู่ไปสำคัญตัว อย่างเพิ่งไปพูดว่า
มันไม่เที่ยง เดี่ยวหมาจะเดี้ยง สะก่อน

 

นานาจัง ต้องเข้าใจในวาระที่กล่าวด้วยครับ
จริงๆผมจะกล่าวเพิ่มเติม และลองถามซ่อนในส่วนของคำตอบที่ว่า
ใช่ครับ ผมทำสมถะอยู่ ตรงนี้มีนัยยะซ่อนที่ผู้ภาวนาผ่านจะทราบครับ ว่าหมายถึงอะไร จึงขอละไม่กล่าวสำหรับผู้ไม่เห็นครับ

ในส่วนอานาปานสติ เป็นหนึ่งชัดเจนครับ

 

ธรรมมะ ต้องตรงไปตรงมา กล่าวอะไร ต้องให้ชัดเจน