เรื่องเล่า ตื่นนอน ตอนสายๆ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 30 มิถุนายน 2010.

  1. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +13,166
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทานพลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่ ห้า ภาพพิเศษ (เรียนแบบซีรีส์เกาหลี)

    เวลาที่ละครเกาหลีมีเรื่องราวที่งอกออกมาจากละครฉบับเต็ม เขาจะเรียกส่วนขยายนี้ว่าภาคพิเศษอะนะคะ กะทิเลยขออนุญาตเลียนแบบ อิอิ


    สืบเนื่องจากในตอนที่ห้าของนิทานพลังอธิษฐานของกะทิ ได้มีการกล่าวถึงความฝันต่างๆ ของกะทิ อยู่ด้วยส่วนหนึ่ง นอกเหนือไปจากเรื่องเสมา...พลังของเสมา อยู่ด้วย


    ทั้งนี้กะทิเธอจะขอเพิ่มเติมในส่วนของความฝัน ในตอนต่อภาคพิเศษนี้ เหตุเพราะเมื่อคืนก่อน สดๆ ร้อนๆ กะทิเธอได้ฝันประหลาด ที่ไม่น่าว่าจะเป็นไปได้ และต้องการหาคำตอบ


    ประเด็นก็คือ เหล่าผีๆ ทั้งหลายนั้น จะกลัวแสงสว่างหรือธาตุไฟ ดังจะเห็นได้จากนิทานที่ได้กล่าวถึงว่า กะทิเธอถูกดูดจากความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกไปสู่โบสถ์วิหารอันอบอุ่น แต่เมื่อเธอก้าวออกไปจากโบสถ์วิหารนั้น วิญญาณของเธอถูกดึงกลับไปยังด้านนอกที่มีความหนาวเย็นยะเยือกอยู่ร่วมกับเหล่าวิญญาณอื่นที่ใส่เสื้อผ้าขาดวิ่นภายใต้บรรยากาศสีเทาโดยรอบอีกครั้ง


    ดังนั้นเมื่อพวกเราอยู่ในที่สว่าง หรือเมื่อฝันร้ายแล้วเราไปเปิดไฟนอน เราจะรู้สึกปลอดภัยอันเป็นสัญชาติญาณของเราในการปกป้องตนเองจากพลังมืดอะนะคะ


    ความฝันของกะทิ

    ในคืนวันที่ 01/09/2014 กะทิฝันประหลาดว่า ได้วิ่งหนีบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็น กะทิเธอพยายามหลบทุกวิถีทาง และรวมถึงใช้ไฟฉายส่องไปให้บรรยากาศสว่าง แต่ถ่านไฟฉายก็หมดไปหลายก้อน ก็ยังไม่ได้ผล รวมไปถึงวิธีการสวดมนต์อย่างที่เคยๆ อีกด้วย (งานเข้าละสิ บทสวดมนต์ที่เคยใช้ได้ก็เอาไม่อยู่ เป็นไปได้ด้วยรึ?)


    ที่น่าแปลกไปกว่านั้น ผู้ที่กะทิเธอวิ่งหนีนั้น หลังจากวิ่งหนีมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถึงได้ปรากฎตัวให้เห็น (เดิมกะทิหนีโดยไม่เห็นตัวของเขาค่ะ แต่จะรู้สึกได้ว่าเขามีตัวตน เหมือนอย่างเช่น ยกตัวอย่างนะคะ ถ้าเราเอาผ้าห่มคลุมหมอนเอาไว้ เราก็จะรู้ว่าหมอนอยู่ใต้ผ้าห่มชิมิคะ? แต่ถ้าเราเห็นว่าผ้าห่มโป่งพองอยู่ แต่ปรากฎว่าภายในนั้นกลับไม่มีอะไรหนะคะ ประมาณนี้อะนะคะ


    คนๆ นี้ในขณะที่กะทิสวดมนต์ ในท่าคุกเข่ากดศีรษะแนบลงบนเตียง เขาก็มานอนข้างๆ โดยเบียดพลักผ้าห่มเป็นรอยนูนกั้นระหว่างเราทั้งสอง กะทิเห็นรอยที่เขาเบียดเข้ามาใกล้กะทิ ทำให้รู้และสัมผัสได้ว่า มีสิ่งที่วิ่งตามกะทิอยู่จริง เพราะรอยเบียดของผ้าห่มที่เห็นนั้น เขาบอกประมาณว่า “มันไม่ได้ผลหรอก”


    จากนั้นกะทิก็หนีมาในช่องทางแคบๆ มีหลังคาชนิดใสกันฝนได้อยู่ด้านบนทางแคบนี้ (แต่ฝนไม่ได้ตกนะคะ) มาถึงตรงนี้เมื่อกะทิมองดูเขา จะเห็นรองเท้าบู๊ทยาวถึงเข่าสีดำขัดมันวาวสะอาดสวย เขาพูดต่อไปว่า “ฉันไม่กลัวแสงแดดหรอก”



    ไม่ทันที่คำพูดนี้ของเขาจะจบลง แสงสว่างด้านนอกก็ส่องเข้ามาเป็นลำแสง ส่งลงมาในจุดที่เขายืนอยู่ และปรากฎให้เห็นธงชาติไทยจากบริเวณคอไปจนถึงเข่า(เหนือรองเท้าบู๊ท) ปลิวไสวด้วยแรงลม(ซึ่งไม่รู้ว่ามันพลิ้วได้ยังไง ในเมื่อตอนนั้นไม่มีลมเข้ามาเลยนะคะ) ธงชาติไทยผืนนั้นสะอาดใหม่ และพริ้วสวยงามมาก แต่กะทิไม่เห็นใบหน้าของเขาค่ะ


    สรุป ความแปลกของความฝันในครั้งนี้ของกะทิเธอ

    1. มีวิญญาณที่ไม่กลัวแสงสว่างอยู่ด้วยรึนี่?

    2.มีวิญญาณที่ไม่กลัวบทสวดมนต์อยู่ด้วยรึนี่?

    3.มีวิญญาณที่ไม่กลัวทั้งแสงสว่างและบทสวดมนต์อยู่ด้วยรึนี่? ........แล้วเช่นนี้ หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นเช่นนี้อีกเราจะทำยังไง?



    กะทิตื่นขึ้นมาพอดีหลังจากเห็นเช่นที่ว่าข้างต้น ซึ่งมันเป็นเวลาเช้า 6 โมงกว่า แสดงว่า ช่วงที่กะทิฝันน่าจะเป็นช่วงประมาณ ตี3-ตี4 ไปจนถึงรุ่งเช้า ซึ่งช่วงเวลาเช่นนี้ คนโบราณเขาถือว่ามันเป็นลาง หรือใกล้กับความจริงในระยะใกล้ (หัวโบราณเหมือนกันนะกะทิ) กะทิเธอก็เลยเขียนไปถามกับคุณหมอสุวิ และได้คำตอบมาประมาณนี้นะคะ


    ก่อนจะเข้าคำตอบของหมอกะทิต้องขอย้อนเล่าให้ฟังก่อนว่า ก่อนหน้านี้กะทะมีปัญหามักปวดตัว เพลีย เหนื่อย เป็นหวัดแบบภูมิแพ้ เบาบ้างหนักหน่วงสาหัสทรมานบ้าง บางทีก็ปวดหัว บางทีก็วูบ(ถูกดูดพลังไปกระทันหันอย่างไม่ได้ตั้งตัว) เป็นอย่างนี้สลับกันไป ตั้งแต่ไปคบ พูดคุยกับพี่สาวในอดีตชาติ ตั้งแต่เมื่อช่วงประมาณกลางหรือปลายปี 2013 จำไม่ได้แน่ชัด ซึ่งในที่นี้ขอสมมติชื่อของเธอว่า พี่ดอกแก้วนะคะ นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่กะทะถูกริบทรัพย์สิน (อุปกรณ์ทางมิติที่กะทิมีอยู่แล้วมาแต่เดิมตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันที่ได้รับมอบมาจากคุณหมอสุวิ และจากพระรูปหนึ่งทางมิติ) การถูกรีบริดรอนบุญบารมี ฯลฯ นอกเหนือไปจากอาการป่วยเจ็บต่างๆ อีกด้วย (ทั้งหมดนี้จะค่อยๆ นำไปขยายความในนิทานในตอนต่อๆ ไปละกันค่ะ)


    หลังจากที่กะทิตัดสินใจตัดสัญญากรรมทุกสิ่งอย่างจากพี่ดอกแก้วในชาติปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้าที่ได้กราบเท้าขอขมาและขออโหสิกรรมจากเธอในอดีตชาติที่กะทิได้เคยล่วงเกินเธอทุกสิ่งอย่าง และต่างคนต่างให้อภัยกันจบเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว เราก็มาสู่การคุยโน้นนี่นั่นทางสังคมโลกมนุษย์บ้าง เรื่องราวทางมิติบ้าง ฯลฯ จนกระทั่งเกิดปัญหาต่างๆ ข้างต้นกับกะทะ จนกะทะไปต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงได้ตัดสัมพันกับเธอ


    เหตุเนื่องจากว่าในอดีตชาติครั้งหนึ่งนั้นพี่ดอกแก้วเคยได้ถวายหัวใจแด่อสูร (ซึ่งอดีตก่อนหน้าของอดีตชาติโน้นอีกที เธอเคยรัก จนถึงขั้นเคยแอบหนีตามอสูรมาจากครอบครัว) ซึ่งในตอนแรกที่พี่ดอกแก้วบอกกะทะว่า ที่เธอมีความสามารถต่างๆ ในการมองผ่านทางมิติ เหตุเป็นเพราะว่าเธอเคยถวายหัวใจแด่อสูร


    เมื่อกะทะเธอได้ทราบดังนั้น กะทะก็ตกใจเล็กน้อย เพราะส่วนตัวของกะทะเอง เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ กะทิเธอเคยฝันว่าได้ถวายดวงจิตแด่พระสงฆ์รูปหนึ่งไป แต่พี่ดอกแก้วกลับบอกว่าตัวเองถวายหัวใจให้กับผู้อื่นเช่นกัน แต่ไม่ได้เป็นอย่างเช่นกะทิ



    ถึงแม้กะทะได้ยินดังนั้น ก็ยังพยายามเฉยไว้นะคะ เพราะว่าอสูรเนี่ย ใช่ว่าจะมีแต่ไม่ดีนะคะ ก็เหมือนมนุษย์หนะคะ ไม่ใช่ว่ามีแต่มนุษย์ไม่ดีชิมิคะ? มนุษย์ดีๆ ก็มีเนอะ ดังนั้นอสูรที่ฝึกบำเพ็ญบารมีสำเร็จก็มีเช่นกันค่ะ และเพราะในอดีตชาติของอดีตชาติในหลายภพ และหลายชาติ เราทั้งสองคนนี้ ต่างก็ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดที่เคยร่วมบุพกรรมกันมาหลายต่อหลายครั้ง(แต่ตอนนี้ได้ขอขมาอโหสิกรรมตัดกรรมกันไปเรียบร้อยดังกล่าวข้างต้นแล้ว)


    แต่กะทะไม่คิดว่า ในชาติปัจจุบันเธอจะค่อยๆ ถูกอสูรกลืนกินไปจนไม่เหลือความเป็นตัวตนของเธอหลงเหลืออยู่อีกเลย ในตอนหลังๆ มาหนะค่ะ (ซึ่งเรื่องนี้ทางมิติในการที่จิตวิญญาณใดจะมาใช้ร่างมนุษย์เป็นๆ มีให้เห็นอยู่มากมายค่ะ บางท่านเนี่ย อยู่กับสามวิญญาณอาศัยในร่างเดียวกะทะก็เคยเห็นกับตาตัวเองมาแล้ว(รวมทั้งหมอสุวิผู้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย))



    กลับมาเข้าเรื่องกันต่อนะคะ....


    หลังจากที่กะทิตัดสัมพันธ์กับพี่ดอกแก้วไป โดยตัดการคุยเชื่อมต่อผ่านระบบโลกออนไลน์และโทรศัพท์ทุกระบบ อสูรทั้งหลายกลับไม่ได้หยุดที่จะยุ่งเกี่ยวกับกะทะเธอด้วย พวกเขายังตามมารุมทำร้าย ทำให้เจ็บป่วย ดูดพลังไป เป็นอย่างนี้สลับกันไป ถูกริบอุปกรณ์ทางมิติ ถูกรีบริดรอนบุญบารมี ฯลฯ ผ่านมิติ ดังกล่าวข้างต้น จนสุดท้ายกะทะต้องคิดหาทางทุกวิถีทางด้วยการประกาศความเป็นไท (เช่นพระนรศวร) ผ่านอำนาจพระปฐม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระพุทธศาสนา ฯลฯ และรวมถึงคุณหมอสุวิคอยดูแล้วช่วยเหลืออะนะคะ


    ดังนั้นแม้กะทะจะไม่ได้ติดต่อกับพี่ดอกแก้วแล้ว แต่บุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับพี่ดอกแก้ว ก็ยังตามมาที่กะทะอยู่ ด้วยเหตุบุพกรรมเก่า(ที่ความจริงเราก็ต่างได้ขอขมาอโหสิกรรมตัดกรรมจากกันไปแล้ว)


    คำเฉลยความฝันของกะทะ จากคุณหมอสุวิในคราวนี้ก็เช่นกันค่ะ (ยังไม่ค่อยจะพ้นพวกเขาสักที) มีอสูรเข้ามาเกี่ยวข้องก็ด้วยความสัมพันธ์ของพี่ดอกแก้วที่มีต่ออสูร และความสัมพันธ์ที่พี่ดอกแก้วเธอเคยมีร่วมกับกะทะในอดีตชาติ


    คุณหมอตอบมาว่าดังนี้ค่ะ...(บางคำกะทะจำต้องขอสงวนไว้นะคะ คุณหมอขอไว้ค่ะ)


    เขาผู้นั้น เป็นอสูร มาจากทางทิศๆ หนึ่ง(ขอสงวนชื่อนะคะ ...เอาเป็นว่า ที่ได้สมญาว่า สวรรค์แห่งทะเลทราย) มากันจำนวน ๑๘ ท่าน(แต่ปรากฏให้กะทะเห็นในฝันนี้เพียงท่านเดียว)


    ที่เห็นเขาใส่เสื้อคลุมธงชาติไทย ก็เพื่อบอกว่า ตนเป็นคนไทยนะ(พวกเดียวกันนะ) พวกเขาศึกษา คัมภีร์ยุทธจากคัมภีร์(ชื่อคัมภีร์) ๕ เล่ม ผู้ที่มีความรู้จากคัมภีร์นี้ จะไม่กลัวแสงแดด(นี่คือพลังพื้นฐานของหนูกะทิ จากองค์(ที่กะทะนับถือเป็นทั้งพ่อทั้งครู)) พวกเขาไม่กลัวอำนาจมนต์ตราใดๆในศาสนาพุทธ


    พวกเขามาเพื่อเสาะหาคัมภีร์ ของเขาที่หายไป และเข้าใจว่าคัมภีร์นี้ อาจจะอยู่ที่ตัวกะทะ โดยอาจมีผู้นำมาให้กะทะเธอรักษาไว้ หรือมีผู้เอามาซ่อนไว้


    แต่เดิม ผู้ที่ได้ศึกษาคัมภีร์และเก็บรักษาไว้นี้คือ พี่ดอกแก้ว(นามสมมติดังกล่าวนะคะ) แต่นางเกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย ไม่อาจรักษาคัมภีร์ไว้ได้ (พวกอสูรจำพวกหนึ่งนำคัมภีร์ไป) และมีผู้นำไปไว้ที่ทิศๆ หนึ่ง(ที่ได้สมญาว่า สวรรค์แห่งทะเลทราย)


    และไม่นานมานี้ คัมภีร์นั้นก็หายไปอีกครั้ง พวกเขาจึงส่งคนมาตามหากันให้เป็นที่คึกครื้น และเข้าใจว่า คัมภีร์นี้ได้กลับคืนมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ(หรือก็คือพี่ดอกแก้ว) แต่เมื่อหาไม่เจอ ก็มองคนรอบข้าง และก็มาลงที่กะทะ ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับพี่ดอกแก้ว



    จบค่ะ...

    สาเหตุที่นำเอามาเล่าให้ฟัง เพราะอยากให้ผู้อ่านได้ทราบว่า เรื่องราวทางมิติอื่นที่ไม่ใช้มิติปรกติของมนุษย์นั้น ไม่ใช่ว่าจะมีแต่อะไรที่ตื่นตาตื่นใจ น่าสนุก เราน่าจะมองเห็นเนอะ แต่ทว่า สิ่งที่มองไม่เห็นและน่ากลัวทางมิติอื่นนั้น ในความจริงแล้วมีมากมาย และวุ่นวายมากๆ สู้รบสงครามกัน ไม่แพ้สังคมบนโลกมนุษย์เลย (กะทิคิดแล้วยังเหนื่อยแทน)


    และอีกประเด็นที่กะทิต้องการนำเสนอคือ สิ่งที่เรียกว่าแน่นอน ได้แก่ การสวดมนต์ป้องกันภัย และแสงสว่างที่อบอุ่นที่เรียกว่าให้ความปลอดภัยแก่มนุษย์แล้ว บางทีบางเหตุการณ์มันก็มีอะไรนอกเหนือไปจากสิ่งที่เรา “คิดว่า” อยู่อีกด้วย หรือก็คือ “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนคือความแน่นอนโดยแท้”



    ปล. คำว่ากะทะ เป็นการจงใจพิมพ์ เพื่อเลี่ยงอสูรมาตามด้วยเข้าใจว่าผูกพันกับพี่ดอกแก้วค่ะ




    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ กราบขอขมาแด่พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา, ขอพระพุทธองค์โปรดทรงยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. วันทามิ ธัมมัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต.ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระธรรม, ขอพระธรรมโปรดยกโทษ ทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ.วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระสงฆ์, ขอพระสงฆ์โปรดยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. หากการให้ความรู้ที่ข้าพเจ้าเขียนแล้วนี้ มีประโยชน์ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแด่ผู้อ่านท่านใด ขอให้เป็นบุญแก่ข้าพเจ้าในการกล่าวขอขมาแด่พระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนานี้ จงมีส่งผลเป็นพลังขอขมาจากข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อทุกภพชาติเทอญฯ กรรมอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำผิดพลาดไป ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก่อเป็นความผิดบาปติดตัวข้าพเจ้า ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงอนิสงฆ์แห่งการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยผ่านชีวประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี รวมถึงด้วยอำนาจที่ข้าพเจ้าได้บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมอันถึงแล้วซึ่งความบริสุทธิ์ บริบูรณ์นี้ และด้วยอำนาจแห่งการกล่าวขอขมากรรม ที่สมบูรณ์ของข้าพเจ้านี้แล้ว ขอความผิดบาปทั้งปวงที่ติดตัวข้าพเจ้า จงสลายสิ้นเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2014
  3. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    สนุกค่าาา... แต่ทำไม ไม่ค่อยจะกล้าอ่าน
    แบบว่า โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะจำ
    แต่จิตมันจำของมันเองรึงัย เดี๋ยวจะเอาไป
    ฝันนู่นฝันนี่ เอาไปคิดนึกตอนทำสมาธิงี้
    ก็เลยต้องอ่านแบบเบาๆ ผ่านๆน่ะค่ะ
     
  4. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    ใครที่ร่วมทำบุญสร้างพระ กับหมอสุวิไว้ ตั้งแต่หลายเดือนก่อน
    หมอยังไม่ได้ส่งเงินให้วัด
    ดังนั้น หมอสุวิจึงจะนำเงินที่ตกค้างดังกล่าว มาร่วมในกองกฐิน นี้เลย

    ร่วมบุญกับหมอสุวิ ในการร่วมสร้างพระ และทอดกฐิน ที่บัญชี

    ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาแฟชั่น ไอส์แลนด์

    เลขที่บัญชี 865-0-39663-6

    นาง พัชรินทร์ วงศ์เอนกอนันต์
     
  5. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เรื่องของ เสมา หน้า โบสถ์

    มีเรื่องเล่า ในอดีตที่ผ่านมา ระหว่าง สมเด็จโต กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์หนึ่ง(จำไม่ได้แน่ชัดว่าพระองค์ใด ระหว่าง ร.4 กับ ร.5)

    ตามเรื่องเล่า ท่านสมเด็จโต ท่านมัก แสดงธรรม เป็นคำพูดบ้าง เป็นปริศนาธรรมบ้างเช่นการจุดไต้เดินในวังหลวงช่วงกลางวันแสกๆ ถวายพระเจ้าอยู่หัวอยู่เนืองๆ
    และพระเจ้าอยู่หัวก็เข้าใจ ในสิ่งที่ท่านแสดงออก ไม่ได้ถือสา และยังรับมาปฏิบัติด้วย

    แต่มีครั้งหนึ่ง สิ่งที่สมเด็จโตท่านเตือนอะไรบางอย่าง ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้ว ถึงกับออกปากขับไล่ขรัวโต ไม่ให้อยู่ในแผ่นดินในขอมขันฑเสมาของพระองค์ท่าน
    ในว่า ให้ไปอยู่ที่ใดได้ก็ไป แต่อย่าอยู่ในแผ่นดินที่ท่านปกครองอยู่
    สมเด็จโตท่านก็ไม่ต่อล้อต่อเถียงประการใด เก็บ อัฐบริขาน ย้ายเข้าไปอยู่ในโบสถ์ (เป็นโบสถ์ที่พระเจ้าอยู่่หัว ทรงเข้ามาประกอบกิจในธรรมเป็นประจำ)

    ไม่กี่วันต่อมา พระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จลงมาประกอบกิจในธรรมที่โบสถ์แห่งนั้น ก็ทอดพระเนตรเห็นสมเด็จโต อยู่ในโบสแห่งนั้น
    พระองค์ก็เปรยๆว่า เอะ ไล่แล้วไม่รู้จักไป
    สมเด็จท่านก็ว่า ไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในแผ่นดินของมหาบพิตร
    พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ว่า โบสถ์นี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ ของพรองค์ ไยจึงว่า ที่นี่ไม่ใช่แผ่นดินของเราผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน
    สมเด็จจึงว่า แผ่นดินในเขตวงล้อมของเสมาแห่งนี้ พระองค์ประทานให้เป็นเขตุ "วิสุคามสีมา" ของสงฆ์แล้ว จึงไม่ใช่แผ่นดินของพระองค์อีกต่อไป

    ตามเรื่องเล่า นี้เห็นเขาว่าพูดคุยกันอยู่อีกพัก ก็คืนดีกัน
    เรื่องก็เอวังด้วยกาละฉะนี้
     
  6. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เรื่องของ เสมา หน้า โบสถ์ 2

    ตามที่เล่ามา แต่โบราณ เขาก็ถือกันว่า พื้นที่ภายในโบสถ์ หรือ อุโบสถ ภายในวงล้อมของเสมา เป็นพื้นที่ ที่ฝ่ายปกครอง มอบให้สงฆ์ เป็นผู้ดูแล
    สงฆ์เป็นผู้มีสิทธิ์ขาดในการ ปกครองในพื้นที่นี้ โดยฝ่ายปกครองไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆได้

    ในมิติก็เช่นกัน หลังจากทำพิธีกรรมฝังลูกนิมิตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว (ก็ดังเสมาได้ตั้งแล้วโดยสมบูรณ์- เสมาตั้งอยู่บนลูกนิมิตร)
    สถานที่แห่งนี้ จะมีเสมา ๙ องค์ มี ๘ องค์ล้อมรอบโบสถ์ และองค์ที่ ๙ อยู่ใจกลางโบสถ์ เบื้องหน้าพระประธาน (ฝังอยู่ใต้ดิน)
    เสมา ด้านที่หันหน้าเข้าโบสถ์ เป็นเสมาแห่งพุทธะ
    ส่วนเสมาที่หันหน้าออกนอกโบสถ์เป็นเสมาแห่งการปกครอง
    ซึ่งเสมาทั้งสองด้านทุกองค์ล้วนมีอำนาจในมิติ ปกครองอยู่
    ด้านที่หันหน้าเข้าหาอุโบสถ จะเป็นอำนาจของพุทธะและพระอารหันต์
    ส่วนด้านที่หันหน้าออก ก็จะเป็นอำนาจของฝ่ายปกครอง
    อันมี พุทธะจักรพรรดิ เป็นผู้ปกครองสูงสุด และมอบอำนาจลดหลั่นลงมาเป็นองค์พรหมลิขิต ท่านท้าวเวสสุวรรณ ท้าวจาตุโลกบาลทั้งสี่ และพระยายมราช
    โดยท่านเหล่านี้ มอบอำนาจ ให้เหล่าเทวดา ผู้ทรงอำนาจลงมาดูแล
    เสมาแต่ละองค์ จะมีอำนาจของพระอรหันต์สาวก(ด้านใน) และท้าวจาตุโลกบาลและบริวาร(ด้านนอก) ประกบกันอยู่อย่างนี้ ทุกองค์
    ส่วนเสมาองค์ที่อยู่ตรงกลางโบสถ์เป็นเสมา ตัวแทนแห่งพุทธองค์(ทั้งหมด)

    ถ้าเทียบกับโลกมนุษย์ อาจจะกล่าวได้ว่า เสมาเป็นตัวกำหนดเขต ของสถานฑูต(สงฆ์) ภายใต้พื้นที่ของมหาอาณาจักร์การปกครองของสามโลกธาตุ

    ใครที่มีสมาธิถึง ก็อาจขอชม ขอความอนุเคราะห้ ขอพระเมตตาจากองค์เสมาได้ ในทุกๆเรื่อง ที่ไม่ไปก้าวล่วงกฏแห่งกรรม
    เช่น หมอสุวิ เคยขอน้ำมนต์จากเสมา เพื่อรักษาโรคอันเกิดจากการเบียดเบียน(ผีเข้า)
     
  7. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เรื่องของ เสมา หน้า โบสถ์ 3

    การแก้คุณไสย ไม่เปลืองตัวไม่เปลืองเงิน ทุกคนทำได้เอง

    ใบเสมา ที่ตั้งอยู่หน้าโบสถ์
    ให้ล้างน้ำทำความสะอาดให้ดี แล้วผ้าขนหนูสะอาด พันรอบฐานใบเสมา
    แล้วจุดธูป 3 ดอก พร้อมดอกไม้ ธูป เทียน บูชารัตนตรัย
    จากนั้น บอกกล่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้น เบื้องหน้าใบเสมา ในรายละเอียดที่รู้
    เหมือนเล่าให้ศาลฟัง ทำนองเดียวกับ การให้คำร้องต่อศาล โดยห้ามโกหก ห้ามต่อเติมตามความรู้สึกนึกคิด

    แล้วขอต่อเสมา ขอน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธ์ เพื่อขจัดทุกข์ภัย และอื่นๆ ตามต้องการ (ตั้งอยู่บนสัมมาทิฐิ)
    แล้วนำน้ำสะอาด รดลงบนใบเสมา พร้อมสวด อิติปิโสฯ ไปเรื่อยๆ จนน้ำชุ่มผ้าที่พันไว้ที่ฐานเสมา
    จากนั้นนำผ้าที่ชุ่มน้ำ บิดน้ำใส่ภาชนะที่เตรียมไว้
    หากได้น้ำในปริมาณน้อย ให้นำผ้าไปพันที่ฐานใบเสมาอีก แล้วเอาน้ำรดใบเสมาพร้อม สวดอิติปิโสฯต่อไป จนได้น้ำเพียงพอ

    ให้เอาน้ำนั้นไปกรอง ด้วยผ้าขาวบางใหม่และสำลี
    น้ำที่ได้ เป็นน้ำมนต์อันศักสิทธ์ สามารถใช้กิน พ่น พรม ทา อาบ ตามแต่จะใช้ (เพื่อถอนรากถอนโคน ควรใช้ ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง)
    ทั้งนี้ ไม่มีอำนาจใด ทานอำนาจแห่งใบเสมาได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณผี คุณคน คุณเทวดาใดๆ ล้วนต้องถอนถอยทั้งสิ้น

    ความสำคัญอยู่ที่ การบอกกล่าวเรื่องที่เกิดขึ้น และสิ่งที่ขอต้องมีสาระที่ดี กับมีเป้าหมายที่แน่นอนว่าต้องการอะไร เพื่ออะไร
     
  8. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +13,166
    เรื่องใบเสมา ที่อาจารย์ นำมา เล่า หลายคน คงคิดไม่ถึง
    ว่า ใบเสมา มี อานุภาพ มากขนาดนี้

    แต่ ต้องเลือกหน่อย ว่า ใบเสมาที่ไหน นะ แต่ละแห่ง ก็ มี พลัง มากน้อย ไม่เท่ากัน

    ขึ้นอยู่ กับ ตอนสร้าง ตอนตั้ง และ สถานที่แห่งนั้น อาจมี เทพยาดา รักษา อยู่มากน้อยเพียงไร
    องค์เล็ก องค์ใหญ่ ด้วย ( เทวดา )

    แม้น ใบเสมา ที่ ถูกถอนออกมา จากที่ต้้งแล้ว ก็ยังมี ฤทธิ์
    ผมเอง เคยไป พบ ที่ พิพิธภัณฑ์จังหวัดกำแพงเพชร เป็นใบเสมา โบราณ ขนาดใหญ่ ทำจากหินแกะสลัก เป็นลวดลาย งดงาม

    นำมาเก็บไว้ใน พิพิธภัณฑ์ ( หลายใบ ทีเดียว เค้าขุดมาจากวัดเก่าแก่ โบราณ ในจังหวัดกำแพงเพชร )

    ตอนเดินเข้า ไป ในห้องนี้ ก็ พอรู้สึกได้ ว่า มี พลังงาน ร้อน อุ่นๆ อยู่
    ครั้นพอ เข้า ไป กลางห้องเท่านั้น แหละ ตอนนี้ ชัดเจน ว่า ไม่ ได้ แค่ อุ่น

    เป็นพลังงาน ด้านคุ้มครอง ป้องกัน แบบแรงกล้า ทีเดียว
    ทำเอา เพื่อนๆ ที่ไปกับผม เซ ซวน เสียขบวน กัน ไป พักใหญ่
    ผมเอง ตอนนั้น เรารุ้ อยู่ แล้ว ว่า ใบเสมา นี้ มี พลัง มาก จึง เดินเข้าไป ใกล้ กะคะเนว่า
    ให้ ตัวเรา อยู่ หว่าง กลาง ระหว่าง สนามพลัง นี้ ( ปล่อยให้ สนามพลัง นี้ ห้อมล้อมตัวเราไป เสียเลย)

    เพราะ หากอยุ่ ใกลออกไป ตามแนวขอบพลัง จะ โดน พลัง เป็น ละลอกๆ กระแทกใส่ (คล้าย คลื่นในทะเล)

    ผม ก็ ยืน ดู ยืนชม บารมี ท่าน ต่อไป อย่าง เพลิดเพลิน จน เพื่อนๆ ออกปาก ว่า " ไม่รู้่สึกอะไร หรือ ไง"

    ผม ได้แต่ยิ้ม แหะ แหะ.............55

    ก็ พวก เธอ ไม่ เดินตาม ผม มา นี่ นา ............ โดน ซะ ให้ เข็ด........55

    บทเรียน ข้อนี้ ทำให้รู้ว่า

    แม้นใบเสมา ที่ ขุดถอนออกมา แล้ว ก็ ตาม พลังงาน ในตัวใบเสมา ก็ ยังคงอยู่

    แล้ว ก็ ไม่ น้อย เสียด้วย ซิ

    ใบเสมา ในพิพิธภัณฑ์ เราคง จะ ไปขอทำน้ำมนต์ ไม่ได้ หรอกนะ เจ้าหน้าที่ เค้าคงไม่ยอมหรอก

    ขนาด จะ ขอถายภาพ เค้ายังไม่ให้ เลย

    ต้อง ถ่าย แบบไม่ขอ ( แอบๆ ถ่ายเอาเอง )

    ในพิพฺิธภัณฑ์๋กำแพงเพชร แห่งนี้ มี ของ ดี ๆ น่าสนใจ อยู่มาก ผมเอง มีโอกาส ผ่านไป ก็ ยัง แวะไป ชม อยู่ หลายครั้ง

    เสียดาย เรา ทำตัวเป็นคนดี ไปขออนุญาติ เจ้าหน้าที่ เค้า ถ่ายภาพ สิ่งที่น่าสนใจ
    เจ้าหน้าที่ เค้า ก็ บอกว่า ถ่ายไม่ได้ ครับ ไม่อนุญาติ
    ถ้าจะถ่าย กันจริงๆ ให้ ทำเป็นหนังสือ ขออนุญาติ ต่อหัวหน้าพิพิธภัณฑ์ ว่าไปนั่น

    จึง ไม่ได้ ถ่าย สักที

    ไว้มีโอกาส ไป อีกที จะไม่ทำตัว เป็นคนดี มีวินัย สักวัน
    จะแอบๆ ถ่าย มาให้เพื่อนๆ ได้เห็นกันว่า อาลังการณ์ จริง ตามที่ผมเล่ามา ขนาดไหน

    ( โดยเฉพาะเทวรูป พระอิศวร องค์ใหญ่ 1.5 เท่า ของคนธรรมดา กับ เทวรูป แม่อุมา และพระนางลักษมี ขนาดเท่าคนจริง ที่งดงาม มาก จน ผมแทบจะหลงไหล เอา เลยทีเดียว )
     
  9. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +13,166
    ทอดกฐิน วัดป่ากังวาลไพร ปีนี้
    วันที่ 12 ตุลาคม 2557 เป็นวันอาทิตย์

    เราจะเดินทาง วัน ตั้งแต่ วันเสาร์ ที่11 ต.ค. 57 ออกเดินทางตอนเช้า ไม่ต้องรีบร้อน เพราะใช้เวลาขับรถ จริงๆ เพียง 5 ชั่วโมง เท่านั้น

    มีเวลาพอ ที่ จะ แวะกินลม ชมวิว ระหว่างทาง ได้ ตามอัทธยาศัย หาอาหารอร่อยๆ รับประทาน ตามถนัด
    พักที่ พัก ใกล้ๆ วัด นั่นแหละ อาจจะเป็นบ้านพัก ของอุทยานน้ำตกตากโตน หรือ โฮมสเตย์ แถวนั้นก็ได้

    อาจจะมีแถม ช่วงเย็น ช่วงค่ำ เข้าไปที่วัดก่อน รอบหนึ่ง มีเวลาให้ เดินสำรวจ เดินเที่ยวรอบๆเนินเขารอบวัด

    สำหรับคนที่ ชอบ ทำสมาธิ ปฏิบัติธรรม ก็ อาจจะ หามุมเหมาะๆ นั่งสัก ชั่วโมง สองชั่วโมง ก็ เหมาะทีเดียว จะได้ เป็นการชาร์ทแบตตารี่ ให้กับตัวเอง กับทั้งยังเป็นการ ชำระกายใจ ก่อนทำบุญใหญ่ ในวันรุ่งขึ้น

    ตื่นเช้า จึง เข้าวัด ถวายผ้ากฐิน และ ปัจจัย ที่ เตรียมา


    หากท่านใดสนใจ ไปร่วมบุญทอดกฐินนี้ ด้วยกัน กรุณาติดต่อ ผม .....081-497 2008

    เพื่อจะได้ เตรียมการ ในเรื่องการเดินทาง และที่พัก

    กราบอนุโมธนาบุญ ครับ
     
  10. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ช่วงหลายวันที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ คุณหมอสุวิชอบเขียนมาถามว่า "วันนี้จะมีนิทานตอนต่อไหม?"



    กะทิก็ถามกลับไปว่า "ทำไมรึคะ?"


    คุณหมอสุวิ "มีคนรออ่านอยู่ตรึมเลย"


    กะทิ "หมอรู้ได้ไงคะ?"


    หมอ "......................................" (ไม่มีสัญญาณตอบกลับจากหมายเลขที่ท่านเรียก)


    กะทิ : (หัวเราะในใจ... โธๆ คุณหมอสุวิ อยากจะอ่านนิทานที่กะทิเธอเขียนก็ไม่บอกออกมาตรงๆ อะเนอะ กะทิเธอเขียนสนุกอะจิ อิ)


    ว่าแล้วก็เอาใจท่านผู้ใหญ่เขาสักหน่อยนะคะ (งานนี้คงต้องพึ่งพี่ดาวทะเลทรายวานขอให้ช่วยมาเขียนเพิ่มเติม ก็จะเป็นพระคุณค่ะ)



    นิทาน พลังอธิษฐานของกะทิ ตอน พลังของพระเครื่อง


    ต้องขอออกตัวก่อนนะคะว่ากะทิไม่ได้เก่งในเรื่องของการดูพระเครื่องแต่อย่างใด และหากจะมาสอบถามว่าเพราะเครื่องนี้แท้หรือไม่ กะทิก็ไม่รับดูเช่นกัน หรือนิทานในตอนพลังของพระเครื่อง นี้ ก็ไม่ได้ทำขึ้นเพือ่มีไว้เฉลยถึงเทคนิควิธีการดูพระเครื่องเก้หรือไม่แต่ประการใดทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะเรื่องเหล่านี้มีอยู่มากมายอยู่แล้วในหนังสือ นิตยสารพระเครื่องต่างๆ ตลอดจนชมรมพระเครื่องก็มีในประเทศไทยอยู่หลายกลุ่มคณะ และแม้แต่พี่ๆ แถวๆ กระทู้นี้ เช่น พี่ดาวทะเลทราย ก็เรียกว่าขั้นเทพกว่ากะทิมากมาย


    ดังนี้การเล่านิทานในครั้งนี้ จึงเป็นการเล่าจากประสบการณ์อันน้อยนิดที่ได้เห็น ได้พบจากการสัมผัสพลังของพระเครื่อง รวมไปถึงบุคคลที่ตรวจสอบพลังเครื่อง ซึ่งมีพลังจิตตรวจสอบ ที่กะทิเคยเห็นมา เขาเป็นเช่นไร?


    เดิมทีกะทิไม่ได้สนใจในเรื่องพลังของพระเครื่อง มีบ้างก็เพราะผู้ใหญ่ให้มาไว้ป้องกันตัว แต่เริ่มมาสัมผัสจับพลังพระเครื่องก็เพราะอาจารย์สามตา เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นเลยก็ว่าได้ เพราะในวันหนึ่งๆ นั้นมีผู้เดินทางมาพบอาจารย์สามตาเพื่อตรวจสอบพลังออร่า และตรวจสอบพลังจากพระเครื่องของตนซะเป็นส่วนใหญ่ พวกเราที่มีทั้งใหม่และเก่า ที่รู้จักอาจารย์มานานแล้ว หรือเพิ่งรู้จัก และพอมีพลังจิตกันอยู่บ้าง ก็มารวมตัวกัน


    อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่า การที่เราไปเยี่ยมอาจารย์สามตาที่บู๊ทของอาจารย์นั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาจารย์ไม่ค่อยมีเวลาคุยกับพวกเรา เพราะมีผู้คนเดินทางมาให้ตรวจโน้นนั่นนี้ หรือเป็นเพราะท่านต้องการสอนวิชาพวกเราทางอ้อมกันแน่ จึงมักเรียกพวกเราที่นั่งคุยกันบ้าง นั่งกินขนมเล่นกันมา เขามาช่วยตรวจดูสิ่งของต่างๆ ที่มีผู้นำมาให้ตรวจในวันๆ นั้น รวมถึงพระเครื่องด้วยนั้นเอง


    กะทิเธอก็เป็นคนหนึ่งที่อาจารย์เรียกเข้าไปให้ลองจับพลังของพระเครื่องดู โดยที่เธอก็ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่แต่ประการใด แต่หลังจากได้ลองจับพลัง และมีพี่ๆ เพื่อนๆ ที่มานั่งคุยจากการเยี่ยมอาจารย์นั่งอยู่มากมายด้วย ก็เลยได้ความรู้จากการฟัง และเรียนรู้ที่จะบอกกล่าวขออนุญาตดุพลังจากพระเครื่อง


    ใช่แล้วค่ะ ประเด็นใหญ่สำหรับกะทิไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบพลังของพระเครื่อง หรือพลังพระเสมา พลังของวัตถุธาตุต่างๆ ที่ถูกสร้างมา เช่น ยันต์ผ้า เสื้อลงยันต์คาถา มีด กฤตต่างๆ ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็แล้วแต่ กะทิเธอจำต้องขออนุญาตขอดูพลังที่แท้จริงจากผู้สร้าง หรือขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น แล้วแต่กรณีๆ ไป ทั้งนี้รวมถึงคนที่คุณหมอสุวิต้องการให้กะทิดูอดีตชาติ หรือกรรมที่เขาเคยทำด้วย


    ดังนั้นการจะดูกรรมของใคร ไม่ใช่ว่ากะทิเป็นผู้วิเศษ อยู่ดีๆ กก็ไปนั่งจ้องหน้าใคร แล้วจะเห็นอดีตชาติ หรือกรรมของคนๆ นั้นผลุดขึ้นมาเป็นภาพให้กะทิได้เห็นขึ้นมาเฉยๆ นะคะ แต่สิ่งที่กะทิต้องทำในลำดับแรกคือ การขออนุญาตต่อหน้าคนผู้นั้นค่ะ จนกว่าคนผู้นั้นจะอนุญาตนะคะ กะทิเธอถึงจะกำหนดจิตส่งไปดูได้ และส่วนใหญ่กะทิจะดูกรรมหรืออดีตชาติของผู้อื่น ก็ต่อเมื่อคุณหมอสุวิบอกให้ดูคนๆ นี้ ซึ่งอยู่ต่อหน้าหมอและกะทิเท่านั้น


    ยกเว้นก็แต่อดีตชาติของตัวกะทิเธอเอง ที่มีต่อคนแวดล้อม เช่น กะทิต่อพี่ดอกแก้ว หรือกะทิต่อคุณหมอสุวิ อย่างนี้เป็นต้น อันนี้ไม่ได้ขออนุญาตนะคะ เพราะถือว่าเป็นบุคคลแวดล้อมตัวกะทิที่มีสิ่งผูกติดกันมาก่อนหนะค่ะ อันนี้บางทีก็นั่งสมาธิขอดูบ้าง บางทีอยู่ดีๆ ก็ผลุดขึ้นมาเองบ้าง (กะทิจะเขียนเล่าในนิทานตอนต่อๆ ไปนะคะ)



    หลังจากที่กะทิเธอขออนุญาตดูพลังที่แท้จริงของผู้สร้างพระเครื่องแล้ว กะทิก็จะกำหนดจิตลงไปดูออร่าของพระเครื่องนั้นๆ และพลังความกว้างไกลในการปกปักษ์รักษา หากว่าผู้เป็นเจ้าของได้แขวนไว้ที่คอของเขา จะมีพลังในการปกป้อง รักษา พลังเมตตา พลังเรียกการค้า ฯลฯ ยังไง แค่ไหน? (ทั้งนี้แล้วแต่บุญของผู้แขวนพระประกอบด้วย ซึ่งอันนี้กะทิเคยพบเห็นมากับผู้ห้อยแขวนพระถูกโแลก สมพงศ์กันหนะค่ะ)



    สิ่งที่ท่านผู้อ่านควรทำความเข้าใจคือ ต่อให้ใครนำหินก้อนหนึ่งมาวางไว้ แล้วให้กะทิหรือผู้มีพลังจิตตรวจสอบ เราย่อมสามารถวัดพลังสิ่งนั้นได้ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นว่าสิ่งนั้นจะได้รับการปลุกเสกมารึเปล่า เพียงแต่ว่าสิ่งที่ได้รับการปลุกเสกจะมีพลังเฉพาะที่ผู้ปลุกเสกทำพิธีได้กำหนดไว้เฉพาะอย่าง เช่น คงกะพัน ค้าขาย และอื่นๆ เป็นต้น



    เหตุที่แม้แต่หินก็มีพลังวัตร เพราะสรรพสิ่งทุกอย่างในโลก ล้วนเป็นวัตถุธาตุ อันประกอบด้วย หิน น้ำ ลม ไฟ หล่อหล่อมเป็นสิ่งนั้น โดยเฉพาะพระเครื่องก็ทำมาจากดิน มีน้ำเป็นองค์ประกอบ ผ่านการพิมพ์ หรือสลัก หากเปรียบกับวัตถุเช่นหิน หินเองก็ถูกกัดกร่อนเป็นแรมปี หลายร้อยหลายพันปีจาก น้ำ และแสงแดด(ไฟ) จึงไม่แปลกที่หากใครจะหยิบหินขึ้นมา แล้วนำมาให้เราตรวจวัดพลัง แล้วพอเราพบว่าสิ่งนี้มีพลังวัตรเท่าไหร่ คนที่นำมาก็หาว่าเราโกหก เพราะมันไม่ใช่พระเครื่อง อันนี้จึงขอให้ท่านผู้อ่านเข้าใจนะคะ ว่าเหตุใดจึงเรียกว่าโกหก หรือไม่โกหก ทั้งนี้รวมไปถึงพระเครื่องปลอมด้วย เพียงแต่พระเครื่องจริงนั้น จึงมีพลังเฉพาะที่แน่นอนชัดเจนของผู้สร้าง และมีกำลังการปกป้องที่เป็นจริงหนะค่ะ อันนี้พี่ดาวทะเลทรายน่าจะอธิบายได้ดีกว่ากะทินะคะ เพราะเธอเล่นใช้ลูกกะสุนยิงทดสอบความคงกระพัน สำหรับพระเครื่องแนวปกป้อง ป้องกันเลย โดยไม่เสียดายกันเลย



    /ยังมีต่อ





    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ กราบขอขมาแด่พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา, ขอพระพุทธองค์โปรดทรงยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. วันทามิ ธัมมัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต.ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระธรรม, ขอพระธรรมโปรดยกโทษ ทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ.วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระสงฆ์, ขอพระสงฆ์โปรดยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. หากการให้ความรู้ที่ข้าพเจ้าเขียนแล้วนี้ มีประโยชน์ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแด่ผู้อ่านท่านใด ขอให้เป็นบุญแก่ข้าพเจ้าในการกล่าวขอขมาแด่พระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนานี้ จงมีส่งผลเป็นพลังขอขมาจากข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อทุกภพชาติเทอญฯ กรรมอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำผิดพลาดไป ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก่อเป็นความผิดบาปติดตัวข้าพเจ้า ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงอนิสงฆ์แห่งการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยผ่านชีวประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี รวมถึงด้วยอำนาจที่ข้าพเจ้าได้บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมอันถึงแล้วซึ่งความบริสุทธิ์ บริบูรณ์นี้ และด้วยอำนาจแห่งการกล่าวขอขมากรรม ที่สมบูรณ์ของข้าพเจ้านี้แล้ว ขอความผิดบาปทั้งปวงที่ติดตัวข้าพเจ้า จงสลายสิ้นเทอญฯ
     
  11. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทาน พลังอธิษฐานของกะทิ ตอน พลังของพระเครื่อง / ตอนต่อ



    กะทิเธอเคยไปเยี่ยมพี่ดาวทะเลทรายประมาณ 2 ครั้งค่ะ ครั้งแรกที่เห็นกรุสมบัติพระเครื่องย่อมๆ ในห้องทำงานของเธอ เธอได้บอกเล่าถึงการทดสอบพลังพระเครื่องด้วยลูกกระสุน ตอนแรกที่กะทิได้ยินก็ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ จึงสอบถามต่อไปได้ความว่า เธอไปทดลองยิงที่หลังบ้านของเธอเองแหละ



    ลักษณะบ้านของพี่ดาว จะเป็นบ้านบวกโรงงานประดิษฐ์ แต่จริงๆ เกี่ยวข้องกับธุรกิจก่อสร้างนะคะ อยู่แถวชานเมือง พื้นที่จะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าลึกลงไปเยอะค่ะ เรียกว่าเดินกันเมื่อยได้มั้ง ถ้าจะลองเดินกัน ดังนั้นพื้นที่หลังบ้านของเธอ จึงเป็นสนามทดสอบพลังปกป้องของพระเครื่องที่เธอได้มา ว่านอกจากเธอจะสัมผัสพลังได้จริงแล้ว ประสิทธิภาพจริงเมื่อเกิดเหตุจะต้องเป็นเช่นที่พลังของพี่ดาวสัมผัสด้วย



    การไปเยี่ยมบ้านพี่ดาวคราวต่อมา ก็เป็นอย่างเคยที่พี่ดาวจะคุยเกี่ยวกับสิ่งที่พี่แกชอบ การทดสอบพระเครื่อง ว่าแล้วพี่แกก็หยิบกระสุนที่ทำการทดสอบมาแล้ว หยิบมาให้กะทืดู ว่าหัวกระสุนมันบู้บี้แบนลงไปเลยค่ะ ส่วนจะเป็นพระเครื่องอะไรบ้างปรึกษาหลังไมค์กับพี่ดาวกันเอาเองนะคะ เพราะอย่างที่กะทิเกริ่นไว้ว่า กะทิไม่มีความรู้เรื่องพระเครื่อง แต่จะเล่าเท่าที่ประสบการณ์ตัวเองเห็นมากับตาเท่านั้น


    สำหรับผู้ตรวจพลังพระเครื่องอีกท่านหนึ่งที่กะทิเธอเคยเห็นและได้พูดคุยด้วย เป็นงานพลังจิตที่จัดขึ้นทุกปี ปีละครั้ง ในปีนั้นจัดที่โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี และเป็นปีที่อาจารย์สามตายังอยู่นะคะ กะทิก็ไปเดินเที่ยวในงาน พอเมื่อยก็กลับมานั่งพักนั่งดูลูกค้ามาพบอาจารย์สามตาค่ะ ในบริเวณเดียวกันนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งเช่นพื้นที่ออกบู๊ทใกล้ๆ กันกับอาจารย์ อายุก็ไม่มาก ช่วงนั้นก็ไล่เลี่ยกันกับกะทินี่แหละ เธอคนนี้เน้นการวัดพลังพระเครื่อง และจำหน่ายหินทิเบต ฯลฯ เป็นหลักค่ะ งานนี้นอกจากจะได้เห็นพลังของเธอในการตรวจวัดพลังพระเครื่องแล้ว ยังได้เห็นเรื่องราวประหลาดจากวัถตุสิ่งของที่มีวิญญาณหญิงสาวมาสถิตย์ในกำไลอีกด้วย ซึ่งในชีวิตที่ผ่านมาของกะทินี่ถือเป็นครั้งแรกที่เห็นกับตา และอีกครั้งเป็นคนไข้คนหนึ่งที่มาหาหมอสุวิอะนะคะ



    ย้อนกลับมาถึงผู้หญิงคนนี้ที่จับพลังพระเครื่อง เธอมีความชำนาญมาก ตรวจวัดพลังพระเครื่องได้อย่างรวดเร็วทันใจลูกค้าที่มักนำพระเครื่องจำนวนมากมาให้ตรวจสอบ บางคนมาเป็นถุงๆ ล่ะค่ะ ราคาค่าตรวจในตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดประมาณ 10 บาท ต่อ 1 พระเครื่อง แต่เธอนิสัยดีนะคะ คือถ้าสมมติค่าตรวจทั้งหมด 220 บาท เธอก็จะปัดเศษให้ คิดค่าบริการแค่ 200 บาทเท่านั้น สตางค์ที่ได้จากการสอบถามของกะทิพบว่าส่วนหนึ่งเธอนำไปทำบุญ ฟังดูก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกชิมิคะ?



    หลังจากเธอจับพลังพระเครื่องจนลูกค้าสลายไปหมดแล้ว รอลูกค้าชุดใหม่เดินมาถึงบู๊ทเธอ ระหว่างนี้เธอก็ได้พัก และระหว่างนี้เองที่กะทิสังเกตว่าเธอแบมือซ้ายที่เธอจับพระเครื่องลงไปที่ข้างๆ ตัวเธอในขณะที่เธอนั่งพักอยู่ ในลักษณะกางมือแบบออก ซึ่งขณะนั้นกะทิเธอนั่งเก้าอี้อยู่ทางด้านซ้ายของผู้หญิงคนนี้ และสิ่งที่กะทิได้เห็นคือ แสงสีออร่าต่างๆ ที่กระจายออกมารอบๆ มือเธอนั้นเต็มไปด้วยแสงสีและความสว่างเป็นที่แปลกใจกับกะทิมาก


    [​IMG]


    กะทิถามเธอว่า “คุณกำลังทิ้งพลังพระเครื่องที่ได้จับไปแล้วลงพื้นไปใช่รึไม่?” คำตอบเป็นไปอย่างที่กะทิคิดค่ะ เธอกำลังกำหนดจิตปล่อยพลังพระเครื่องที่เธอจับเป็นร้อยองค์ลงบนพื้นจริง และเธอจะทำอย่างนี้ตลอดเมื่อลูกค้าที่มายังบู๊ทของเธอซาลง


    ท่านผู้อ่านยังจำนิทานพลังอธิษฐานของกะทิตอนก่อนๆ ได้ชิมิคะ? ในครั้งที่กะทิไปสำรวจพระเสมาที่หน้าโบสถ์วิหารองค์พระแก้วมรกตหนะค่ะ ทำเอากะทินอนไม่หลับเพราะแบตเตอรี่เต็มชิมิคะ สำหรับเธอคนนี้ก็เช่นกัน การตรวจจับพลังพระเครื่องมากๆ ย่อมมีผลต่อร่างกายของเธอ และอาจยังมีผลต่อการตรวจสอบพระเครื่องอื่นๆ ที่มีลูกค้านำมาให้ตรวจในลำดับต่อๆ ไปด้วย ดังนั้นการระบายพลังพระเครื่องที่สะสมในมือของเธอออกไป จึงเป็นประโยชน์สำหรับเธอที่จะทำงานอะนะคะ


    สำหรับกะทิแล้วเวลาที่เห็นเธอปล่อยพลังพระเครื่องในมือของเธอทิ้งไป กะทิก็รู้สึกเสียดายอะคะ จึงได้แต่นั่งมองแสงสีออร่าที่กระจายออกมาสวยงามจริงๆ ค่ะ


    ในช่วงบ่ายแก่ๆ ใกล้ที่งานพลังจิตจะเลิก มีชายหนุ่มผิวขาวคนหนึ่งนำบางสิ่งบางอย่างมาให้เธอผู้นี้ตรวจดู อย่างที่กะทิได้เล่าไปในตอนต้นแล้ว ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มวัยละอ่อนคนนี้(ในตอนนั้น) นำมาให้ดู ก็คือกำไรค่ะ เป็นกำไลทองอะนะคะ จะเป็นทองผสมอย่างไร กะทิไม่ได้สนใจตรงนั้น แต่สิ่งที่กะทิสัมผัสได้เหมือนเป็นมวลพลังออร่าสีม่วง และปรากฎภาพของหญิงสาวนุ่งสะไบสีเขียว ผมยาวถึงหลัง ผิวขาวละเอียดสวยงาม กำไลนี้เท่าที่กะทิเห็น เธอไม่ได้สวมใส่ไว้ที่ข้อมือ แต่เป็นกำไรที่สวมไว้ที่ต้นแขน เธอรักมันมาก เหมือนกับว่ากำไลต้นแขนอันนี้เธอเชื่อว่าจะทำให้เป็นที่สะดุดตาต่อผู้พบเห็นค่ะ ชายหนุ่มคนนี้ได้สิ่งนี้มาจากปากคำที่เขาเล่า เหมือนจะเป็นการส่งทอดต่อๆ มาจากบรรพบุรุษอะนะคะ และเขาต้องการความมั่นใจว่ามีบางสิ่งสถิตย์อยู่จริงตามที่ได้ยินได้ฟังมาหนะค่ะ หนุ่มคนนี้เก็บมันอย่างดีในห่อผ้าเย็บแบบเรียบๆอะนะคะ คงจะเป็นเขาที่ได้รับมรดกการรักษาสิ่งนี้ไว้ต่อไป


    [​IMG]

    (ปล.ภาพนำมาแสดงเป็นแค่การยกตัวอย่าง ไม่ใช่จากเนื้อหาของเรื่อง)



    ส่วนกำไลอันที่สองที่มีบางอย่างสถิตย์อยู่เป็นของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้ที่มาพบหมอสุวิเนื่องจากอาการป่วยของสามีของเธอที่ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ และรวมถึงสุขภาพโดยทั่วไปของเธอด้วย กำไรนี้เป็นกำไลเงินค่ะ มีการขึ้นรูปลวดลายวิจิตรฝีมือของช่างศิลป์ละเอียด เป็นที่ถูกใจของคนชอบศิลป์โดยเฉพาะสาวๆ ที่รักความสวยความงาม รวถึงเธอคนนี้ที่เป็นเจ้าของด้วย เท่าที่กะทิจับพลังที่อยู่กับเธอคนนี้ตอนที่มาบ้านหมอ ดูเหมือนเธอจะรู้สึกหลงไหลได้ปลื้มกับการสวมกำไลอันนี้ และเธอรู้สึกว่า กำไลอันนี้ทำให้ผู้คนมองและสนใจเธอ ทำให้เธอดูมีเสน่ห์ภูมิฐาน แต่ไม่รู้เพราะอะไร กะทิกลับรู้สึกเหมือนกับว่า พลังมวลที่อยู่ที่กำไลอันนี้ มันเป็นสีขุ่นๆไม่ปรกติ ความรู้สึกของกะทิเธอ เหมือนจะบอกว่าไม่ใช่ไปในทางที่ดีสักเท่าไหร่นัก


    เรื่องนี้กะทิเคยได้คุยกับคุณหมอสุวิ และได้รับคำตอบว่า ไม่ให้ยุ่ง แต่กะทิก็ยังติดความคิดนี้อยู่ในใจ จึงถามเรื่องนี้กับคุณหมอสุวิอีกครั้ง เพราะในช่วงนั้นเธอสนใจเบอร์โทรศัพท์มือถือ อยากได้เบอร์ที่กะทิแนะนำให้เป็นของเธอหนะคะ ช่วงนั้นเราเลยมีช่วงที่ติดต่อกันกับคุณคนนี้อยู่อีกระยะหนึ่ง และความคิดของกะทิก้ยังติดอยู่ที่กำไลที่เธอสวม คิดอยู่ในใจว่าจะบอกเธอดีไหม? แต่คุณหมอเคยบอกไว้ว่าไม่ให้ไปยุ่ง จึงโทรไปคุยกับหมออีกทีค่ะ และคำตอบของหมอก็ยังคงเดิมค่ะคือ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย



    [​IMG]


    (ปล.ภาพนำมาแสดงเป็นแค่การยกตัวอย่าง ไม่ใช่จากเนื้อหาของเรื่อง)




    ปล. มีคนไข้หลายคนที่มาพบหมอสุวิบ้าง หรือที่ติดต่อกลับกะทิเธอหลังไมค์บ้าง หลายคคนต้องการให้ช่วยปรับชีวิตผ่านการเปลี่ยนการใช้เบอร์เพื่อให้เหมาะสอดคล้อง เสริม กับตนเองมากขึ้น แต่ในหลายๆ คน ที่กะทิเธอปรึกษากับหมอ จะมีกรณีที่หมอไม่ให้ไปยุ่งอยู่ด้วยหลายคนนะคะ ไม่ใช่ว่ากะทิจะช่วยจัดหาให้ได้ทุกคน ทั้งนี้ในหลายๆ คนกะทิจะฟังความเห็นจากหมอด้วยดังกล่าวหนะคะ ตามสุภาษิตคำพังเพยที่ว่า เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด อะนะคะ (ป้องกันตนเองไว้ก่อนเนอะๆ) ยกตัวอย่างเช่นในปัจจุบันชาติคนๆนี้ในอดีต ทำบางสิ่งบางอย่างไว้ ส่งผลกรรม ณ ปัจจุบันของเวลา แบบจัดหนักมาให้ เป็นต้นอะนะคะ ผู้ที่อยู่ในช่วงดวงตก อย่างที่คุณหมอจะไม่ให้ไปยุ่งเลยค่ะ




    /ยังมีต่อ




    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2014
  12. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทาน พลังอธิษฐานของกะทิ ตอน พลังของพระเครื่อง / ตอนต่อ



    การปลุกเสกพระเครื่องของผู้ปลุกเสกนั้น อย่างที่เราๆ ท่านๆ สามารถหาอ่านได้จากหนังสือพระเครื่องหลายๆ เล่ม โดยพระเครื่องจะมีความโดดเด่นแตกต่างกันไป อาทิเช่น เด่นทางด้าน เมตตามหานิยม /คงกระพันชาตรี/ คลาดปลอดภัย / มหาเสน่ห์ / ป้องกันภูตผีปีศาจ / เด่นทางด้าน โชคลาภ ค้าขาย / มหาอำนาจ / เมตตามหานิยม เป็นต้น



    สำหรับกะทิเธอจะขอพูดอยู่ไม่กี่อย่าง จากประสบการณ์นะคะ ในช่วงที่พระท่านที่วัดแถวบ้าน ได้ขอให้กะทิเธอไปช่วยให้คำแนะนำน้องๆ ที่มาทำกิจกรรมในวัดกัน นอกจากกะทิจะมาทำบุญถวายสังฆฑานกับพระท่านแล้ว ก็จะอยู่ต่อ ตามแต่ท่านจะเรียกให้รอคุยกันก่อนกลับ ระหว่างนั้นน้องๆ ที่อยู่ในโครงการให้ทุนการศึกษาจากพระรูปนี้ ที่ทำมาอย่างต่อเนื่องหลายรุ่น บางครั้งบางคนจะยังอยู่รวมกันเพื่อเตรียมการทำกิจกรรมต่างๆ ไว้ด้วย เช่น กิจกรรมเข้าค่ายบวชชีพราหมณ์ภาคฤดูร้อน เป็นต้น



    เด็กเหล่านี้นอกจากจะมีผลการศึกษาที่ดีแล้ว พวกเขายังทำกิจกรรมบุญ และร่วมบวชไปพร้อมๆ กันกับผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้วยนั่นแหละ เพื่อจะได้เป็นพี่เลี้ยงไปในตัว หนึ่งในเด็กเหล่านี้ มีอยู่ 2 คน ที่กะทิสามารถสัมผัสได้ว่าเธอเองก็มีพลังจิต แต่กะทิจะพูดถึงเฉพาะคนแรกนะคะ เพราะว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องพระเครื่องกันอยู่ น้องคนนี้ยังติดอยู่ในสังคมโลก เพราะขณะนั้นเธอกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย ซึ่งจำเป็นต้องอ่านหนังสือเยอะ และยังต้องทำกิจกรรมอีก ในคราวนั้นกะทิก็พูดเรื่องโน้นเรื่องนี้กับพวกเขาหลายๆ เรื่อง แล้วอยู่ดีๆ ก็มาวกเข้าถึงเรื่องพระเครื่องยังไงก็จำไม่ได้แล้ว



    ที่จำได้ก็แต่ว่าในช่วงนั้นกะทิเธอชอบใช้พลังในการทดสอบเครื่องดื่มที่จะกินเข้าไป เช่น ถ้าไปร้านสะดวกซื้อ ก็จะไปยืนเอามือไล่สัมผัส ว่าขวดไหนดื่มแล้วสบายกับร่างกายมากที่สุด ซึ่งในข้อนี้ผู้อ่านก็สามารถทำได้เช่นกัน หากว่าคุณเป็นคนที่ฝึกสมาธิอยู่เป็นปรกติ(ไม่จำเป็นต้องนาน แต่ต้องนิ่งในการทรงอารมณ์ไว้ได้) ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว กะทิจะแนะนำการทดสอบ (แบบฝึกหัดให้ลองไปทำดูนะคะ)



    ลองไปซื้อนมกล่องยี่ห้อต่างๆ มาสัก 2 ชนิด ไม่ควรเลือกแบบแช่เย็นนะคะ เอาแบบที่เรานั่งจับไว้ในมือได้อย่างสบายๆ ค่ะ (แต่สำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญแล้วเนี่ย เราแค่เดินไปแตะสินค้าในร้านสะดวกซื้อไปเรื่อยๆ คราวละหลายๆ ชนิดหลายๆ ขวดเนี่ย ก็ได้นะคะ อย่างเช่นหมอสุวินี่สบายมาก เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถตรวจสอบคนไข้ในวันละหลายๆ คนแทบจะพร้อมๆกัน หนะค่ะ)


    นำนมกล่อง 1 กล่อง ขึ้นมาถือไว้ในมือ แล้วหลับตาค่ะ จากนั้นลองหายใจค่ะ วิธีการหายใจไม่ต้องเกรงนะคะ แต่ต้องหายใจให้ลึกค่ะ แล้วจดจำลมหายใจนั้นไว้ให้ดี ว่าคุณรู้สึกว่าหายใจได้ลื่นหรือไม่ จากนั้นลองสลับมาถือนมกล่องอีกยี่ห้อหนึ่ง แล้วลองหายใจแบบเดียวกันค่ะ ขอให้คุณจำความรู้สึกของการหายใจไว้ให้ดี จากนั้นลองกลับมาจับความรู้สึกในการหายใจกับนสกล่องแรกดูอีกครั้ง


    ถ้าคุณมีสมาธิที่ดี คุณจะจับได้ว่า นมกล่องที่คุณถือไว้ครั้งละกล่องนั้น มีอยู่กล่องหนึ่งที่หายใจลื่นกว่า ไม่มีสะดุด หายใจนุ่มกว่า ลึกกว่าอีกกล่องหนึ่ง



    วิธีการนี้เป็นวิธีการเดียวกับการที่เราจะรู้ได้ว่าเราใส่พระอะไรแล้วจะไม่เจ็บป่วยค่ะ กะทิจำไม่ได้แล้วว่า ใครเป็นคนกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประสบการณ์ของกะทิ และกะทิได้เล่าเรื่องราวนี้ต่อไปยังน้องๆ กลุ่มดังกล่าว (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) และพวกเขาก็เกิดความสนใจขึ้นมา



    เรื่องที่กะทิเธอเล่าจากการได้ยินได้ฟังมาก็คือ คนที่สวมพระเครื่องเยอะๆ ถ้ามีพระที่ไม่ถูกกับตัวเอง ผิวหนังบริเวณนั้นจะมีสีแดง ซึ่งเกิดจากการไหม้ของผิวหนัง ส่วนใหญ่เป็นพระเครื่องที่มีพลังไปในทางคงกระพัน ซี่งจะมีออร่าสีแดง (บางทีกะทิจะเห็นเป็นสีส้มแดงนะคะ) เรื่องที่ได้ยินมาที่เลวร้ายกว่านั้นคือ หากเรานำพระที่ไม่ถูกกับผู้ใดไปใส่ไว้ให้คนผู้นั้น เขาอาจจะป่วยได้ด้วย เช่น พ่อแม่เอาพระมาแขวนคอให้เด็กเล็ก หากเด็กเป็นผู้ที่เคยแข็งแรง แต่อยู่ดีๆ ก็หายใจติดขัด ป่วยไข้ มีน้ำมูก เวียนศีรษะ แต่เด็กเล็กๆ จะพูดสื่อสารไม่เข้าใจ มักจะใช้วิธีการร้องไห้ เป็นต้น (หากว่าท่านผู้อ่านสามารถจับอารมณ์ที่เคลื่อนไหวในนิ่ง นิ่งในเคลื่อนไหวจากกล่องนมที่กะทิแนะนำไปข้างต้นได้จะเข้าใจค่ะ ทั้งนี้ควรถอดพระเครื่องของท่านออกก่อนทดสอบนะคะ)



    เรื่องเดียวกันนี้กะทิได้นำไปบอกเล่ากับน้องคนที่ว่ามีพลังจิตนี้ด้วยค่ะ และในวันนั้นพอดีแม่ของน้องคนนี้ก็ได้มาทำบุญที่วัด และมาอยู่ดูแลลูกและเด็กๆ เตรียมอุปกรณ์ทำกิจกรรมล่วงหน้าด้วย เธอจึงได้รับรู้ไปกับลูกของเธอ หลังจากที่น้องคนนี้ได้ฟังเรื่องข้างต้นเสร็จ ก็เลยสนใจว่าพระเครื่องที่ตนเองใส่นั้นเหมาะกับน้องอยู่แล้วรึไม่ จึงได้ถอดออกมาให้กะทิเธอพิจารณาค่ะ สิ่งที่น้องคนนี้สวม เป็นเหมือนลูกแก้วหรือลูกนิมิตรกลมๆ ขนาดจิ๋วประมาณนิ้วหัวแม่โป้ง(ผู้หญิง) ได้ค่ะ และมีเหมือนแหหรือตะข่ายตาห่างๆ ทำด้วยโลหะ หุ้มอยู่อีกที แล้วเข้าเครื่องเคลือบพลาสติกกันน้ำเอาไว้ แขวนคออาบบน้ำได้



    หลังจากที่กะทิตรวจสอบแล้ว ก็บอกน้องเขาไปสิ่งที่เธอแขวนคอนี้ มีอำนาจป้องกันทางคุณไสย์ค่ะ และมีพลังที่ความจริงแล้วไม่เหมาะกับตัวเธอ เพราะอาจทำให้เธอไม่สบายได้ ถ้าจำไม่ผิดเธอก็รู้สึกว่าจริง เพราะเธอมักปวดศีรษะนะคะ แต่เธอก็ไม่อยากถอดค่ะ เพราะเหมือนจะได้มาแบบมีผู้ที่เธอเคารพให้มานะคะ กะทิเลยแนะนำให้ถอดเฉพาะตอนนอน วางไว้ที่หัวเตียงแล้วให้น้องอธิษฐานขอให้พลังจากท่านคลุมร่างของเธอไว้ขณะหลับแทนการแขวนไว้ที่คอตลอดเวลา เพื่อให้เธอได้มีช่วงพักร่างกายจริงๆ อยู่ด้วยนะคะ



    คุณแม่เธอที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันนักตั้งใจฟังอยู่ค่ะ (แต่ตอนแรกกะทิไม่ทราบว่าเป็นคุณแม่ของน้องนะคะ) เธอค่อยๆ คืบคลานเดินเข้ามาร่วมฟัง(เธอเข้ามาถึงตัวกะทิตอนไหนกะทิเธอยังไม่รู้ตัวเลยค่ะ) กะทิกล่าวเรื่องของน้องเสร็จคุณแม่ก็เลยให้ดูพระเครื่องของคุณแม่บ้างนะคะ พระเครื่องของเธอคนนี้เป็นพลังพระแนวเมตตาค่ะ พลังพระเย็นสบายมากๆ และเมื่อกะทิดูพลังที่อยู่กับตัวของเธอเอง เธอก็เป็นคนที่มีนิสัยเดียวกันกับพระเครื่องที่เธอใส่เนี่ยค่ะ กะทิขอให้เธอลองทำสมาธินิ่งๆ สักครู่ แล้วมองดูรัศมีของพลังที่กระจายออกมานะคะ จากนั้นให้เธอลองใส่พระเครื่องของเธอ แล้วลองทำสมาธินิ่งๆ สักครู่เหมือนเดิมค่ะ ผลก็คือกระแสคลื่นของความเย็นแนวเมตตากระจายไปรัศมีไกลมาก ไปถึงข้างๆ ห้องโน่นแหนะคะ ดังนั้นไม่ว่าใครจะมาคุยอะไรกับเธอ หากว่าคนผู้นั้นมีอารมรณ์โกรธ ไม่พอใจ ไม่สบายใจ ลองได้มาอยู่ใกล้ๆ เธอ อารมณ์ต่างๆ ก็จะเย็นลงไปด้วยได้นะคะ ใครจะมาดุด่าเธอ ปล่อยให้เขาว่าไปค่ะ สักพักไม่นานหรอกค่ะ อยู่ดีๆ จะนิ่งสงบขึ้นมาเฉยๆ ได้นะคะ



    การใส่พระเครื่องจึงไม่ใช่ว่า ใส่พระดีแล้ว แต่ตัวผู้ใส่จะต้องดีด้วยค่ะ และถ้ายิ่งเข้ากันแบบคุณแม่ท่านนี้ดังที่กะทิกล่าวข้างต้นไป ก็จะยิ่งมีกำลังมากยิ่งกว่า เพียงพระเครื่องจะอยู่เดี่ยวๆ นะคะ



    เรื่องที่กะทิตรวจดูพระเครื่องให้น้องคนนี้กับคุณแม่ของเธอได้ยินถึงน้องผู้ชายคนหนึ่งที่สนใจ กะทิก็ได้ตรวจให้ และกก็ตรงกับอาการของน้อง คือ น้องจะหายใจไม่ทั่วค่ะ จะหายใจติดขัดอยู่ช่วงหนึ่งของการหายใจ(นั่นหมายถึงสุขภาพของน้องด้วย เพราะการหายใจที่ดี ส่งผลต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองนะคะ) ซึ่งตัวน้องเองก็ยอมรับ หลังจากที่กะทิสอนวิธีการให้เขาตรวจสอบพลังของพระเครื่องเอง ด้วยการจับพลังการหายใจอย่างง่ายๆ ( เป็นอย่างเช่นเดียวกันกับที่กะทิแนะนำให้ท่านผู้อ่านจับอาการจากกล่องนมนั่นแหละค่ะ ไม่ได้สอนแบบให้ใช้พลังจิตหะนะคะ) หลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ ก็มีน้องกลุ่มหนึ่งประมาณ 5 คน สนใจอยากรู้เรื่องการจับพลังพระเครื่องจากการหายใจอย่างง่ายๆ เพื่อให้เข้ากับการสวมใส่พระของตัวเองด้วย กะทิก็แนะนำไปอะนะคะ



    ท่านผู้อ่านลองนำไปใช้ดูค่ะ จริงๆ พระเครื่องนี้ยังมีเรื่องของอนุภาคในการป้องกัน(ระยะใกล้-ไกล) อีกด้วย อย่างเช่นพระที่คุณแม่ที่กะทิเล่ามาให้ผู้อ่านฟังข้างต้น พลังของตัวเธอเอง+พระเครื่องที่เธอสวม ทำให้พลังเมตตากว้างไกลไปถึงห้องข้างๆ ใครยืนอยู่ในระยะประมาณสอง-สามร้อยเมตร ก็จะรู้สึกดีไปกับเธอด้วย หากว่าเป็นไปในทางป้องกันคงกระพัน หากมีใครปองร้ายในระยะระหว่างนี้ หากผู้สวมใส่เองก็มีบุญกุศล ก็จะทำให้ผู้นั้นแคล้วคลาดได้ในระยะป้องกันหนะค่ะ



    พระเครื่องบางชนิดที่กะทิเธอเคยสัมผัส มีพลังระยะประหลาดก็มี เช่น มีพลังระยะ เป็นวงแหวนเหมือนดาวเสาร์ อย่างนี้ก็มีนะคะแปลกจริงๆ ค่ะ แต่หลังๆ มานี้กะทิจะไม่ค่อยจับพลังพระเครื่องนะคะ เพราะกะทิเธอเป็นพวกเครื่องดูดฝุ่นค่ะ คือเธอมักจับพลังแล้วดูดเข้าตัวเอง(แบบไม่ค่อยรู้วิธีว่ากำลังดูดพลังอยู่) ดังนั้นหากเป็นพระเครื่องที่ปลอมแปลงมา มีบางอย่างไม่ดีอยู่ภายในพระเครื่อง กะทิเธอก็เละค่ะ ดูดเอามาจนเกิดความเจ็บป่วยไปตามระเบียบ ดังนั้นหลังๆ มา กะทิเธอจึงไม่ค่อยได้จับพลังพระเครื่องแล้ว ยกเว้นว่าเหล่าท่านพลังจิตทั้งหลายจะอยู่รวมกัน และผ่านการพูดคุยมาแล้วว่าอันนี้เจ๋ง ลองดูสิกะทิ อย่างนี้ผ่านการคิวซี (QC) มาแล้ว กะทิเธอก็ลดการเจ็บตัวลงอะนะคะ



    จบนิทานพลังอธิษฐานของกะทิตอนที่หก อย่างรวดเร็วขึ้นตอนที่เจ็ดโลด ต่อจากพลังออร่าของพระเครื่องก็ต้องเป็นพลังออร่าของมนุษย์ที่กะทิเธอเคยได้รับอนุญาตให้เห็นมานะคะ จะเล่าเฉพาะที่สำคัญๆ ค่ะ






    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2014
  13. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ปล. ใครไปฝึกตามแบบฝึกหัดที่กะทิเธอแนะนำไปแล้วบ้าง เขียนเข้ามาเล่าประสบการณ์นะคะ เผื่อจะมีข้อแนะนำให้ไปฝึกต่อ หรือจะได้ช่วยเสริมให้ว่าคุณปฏิบัติการฝึกถูกต้องแล้วรึไม่หนะคะ คุยกันๆ ^ ^
     
  14. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +13,166
    พยายาม นั่ง อ่าน เงียบๆ มา ตั้ง นาน.........
    มาเล่า เรื่อง พลังพระเครื่อง ให้ฟัง นี่ นะ.. เลย อดไม่ได้ ที่ จะ ต้อง ออกมา เติม ให้ สักหน่อย

    พระเครื่อง กับคนไทย รู้สึก ว่า จะถูกกัน คนไทยเรา นิยม ที่จะห้อยพระเครื่อง ติดตัว กันมา
    โนมนาน แล้ว

    บางคน ห้อยติดตัว มา เพราะ มีความชอบ ส่วนตัว มีเหตุผล ที่ ตนเองชอบ

    บางคน ห้อย เพราะ อะไรก็ไม่รู้ พ่อแม่ ห้อยมาให้ ตั้งแต่ ยัง เล็กๆ ก็ ห้อย มาจนทุกวันนี้

    จะห้อย พระ ด้วยเหตุผล ใด ก็ ตาม ห้อยแล้ว ดี หรือ ไม่ ดี ละ ครับ

    ในแง่ที่ดี

    ช้อแรก ก็ ได้ รับ พระพุทธคุณ จากองค์ พระ ท่านแผ่น พลังพุทธคุณ ออกมาคุ้มครองเรา
    ( หาก พระองค์นั้น มี พลัง อย่างไร ก็ เราก็ พลอยได้ รับ พลัง นั้นไว้ด้วย ส่วนจะมากน้อย ก็ อยุ่ที่แหล่ง กำเนิด พลังงาน นั้น)
    ข้อ2 เมื่อมองเห็นพระ เป็นการเจริญ พุทธานุสติ ให้ นึกถึง พระพุทธองค์ หรือ รูปเกจิอาจารย์ ก็ตาม ภาพที่เห็นด้วยตา แปลงสัญญาน เป็นตัวรู้ ส่งผ่านเข้าสู่สมอง สมองตอบรับ ออกมา เป็น ความรู้สึก อุ่นร้อนอ่อนแข็ง ฯลฯ .... และอีกหลายประการ ส่งผล ออกมา ทางด้านจิตใจ เชื่อมต่อ ออกมากระทบ ถึง ร่างกาย..... ( ย่อๆ นะ อธิบาย จริงๆ คง ต้องเขียนเป็นหนังสือ สักเล๋มหนึ่ง ..55)

    จริงๆ ในข้อ นี้ หากเข้าใจ แล้ว ก็ จะรู้ ว่า ผล ที่พลัง มากระทบเรา แล้ว เกิด ปฏิกริยา ที่ เราพอใจ สมความปรารถนา ก็ เรียกว่า ได้ผลดี
    ในทางกลับกัน หาก ผลที่ได้ รับ เราไม่พอใจ ก็ เรียกว่า ไม่ได้ผลดี

    พลัง แบบเดียวกัน ให้ กับคน สองคน ผล ก็ อาจไม่ได้ เหมือนกัน ทั้งหมด
    ด้วยว่า คนสองคน มี โครงสร้าง ที่ ต่างกัน มีระบบ ภายใน ที่ ต่างกัน มี สภาวะจิต ที่ต่างกัน
    มี กรรม เก่า ที่ แตกต่างกัน แหละ
    ผล ที่ได้ ก็ จึง ไม่ได้ เหมือนกัน ไป ทั้งหมด เพราะมี ปัจจัย และ ตัวแปล เหล่านี้ แหละ

    พลัง จากองค์ แต่ละองค์ มี มากน้อย เพียงไร มีพลัง ในด้านไหน

    ในส่วนนี้ ต้องพิจารณา กันทีละองค์

    คงเหมารวมๆ ตอบ กัน แบบเหมาสุ่ม เอา ไม่ได้

    โดยส่วนตัวแล้ว ผม เน้น ด้าน พลังคุ้มครองป้องกันภัย ต้องมาเป็น อันดับแรก
    ด้านอื่น ก็ ดี แต่ ผมให้ ความสำคัญ เป็นสำดับรอง

    เพราะ แม้นมี เมตตามหานิยม ดี เยี่ยม มี โชคลาภ ทำให้ ร่ำรวย ล้นฟ้า แต่ พอถึงยามซวย หน่อยเดียว ก็ ตาย ข้อดี ที่มีมากมาย ก็ ไม่ได้ ใช้ประโยชน์

    ดังจะเห็น ได้ จาก พวก เศรษฐี มหาเศรษฐี สมัยนี้ ฉลาดขึ้น รุ้จักหาพระดี ๆ ที่มีพลังคุ้มครองสูงๆ ห้อยคอติดตัว
    ผมสังเกต จาก ลูกค้า ที่ร่ำรวย พวกนี้ รวยมากๆ แล้ว เค้าก็ ยอมแลกหาพระเครื่องดี ดี แม้นราคา จะสูงมาก หลักแสน หลักล้าน ก็ ยอมสู้ราคา แลกหามา

    คนรวย เงินทอง เค้า หาได้ ( ไม่ต้องรอ โชคลาภ ถูกหวย ) มีเมีย มีลูก โตหมดแล้ว ไม่ต้องไปจึบสาวที่ไหน เมตตามหานิยม ก็ จึงไม่ ต้อง ใช้ สักเท่าไหร่
    เหลือ อย่างเดียว ทำอย่างไง ให้ มีอายุยืนยาว มี ความสุข ไป ได้นานๆ....55

    จึงทำให้ พระที่มีพลังคุ้มครอง สูงๆ จึง มี ราคาเช่าหา แพง ที่สุด เพราะ พวกคนรวย เค้ายอมสู้ราคา

    ดังจะเห็นได้ จาก พระชุดเบญจภาคี ทั้งห้า องค์ ตอบได้ ตรงๆ เลยว่า ทุกองค์ เหนียวๆ ทั้งนั้น
    มีพลังคุ้มครองสูง ทั้งสิ้น
    ( แต่ ต้องแท้ๆ นะ ) คำว่าแท้ นั้น หมายถึง แท้จริงๆ นะ
    อย่าเอา ปัจจัยอื่นมาโน้มน้าว ให้ เอียงไป ว่า แท้เพราะอะไร .... อย่างนี้ ทำให้ เอาพระเก๊ มาห้อยคอ แล้ว ไม่ได้ผล ก็ มาโทษพระ
    หนักๆ เข้า ก็ ว่า ไม่เชื่อ หรอก , หรือ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ห้ามลอกเลี่ยนแบบ ... อะไรก็พูดกันไป แบบ เอารอด ขอไป ที

    เรื่องจริง นะ มี อยู่ แต่ ต้อง เริ่มต้น จาก ของจริง ทดสอบ ทดลอง กัน จริงๆ ในที่สุด ก็ จะพบความจริง

    .......................................

    พระดี มีอยู่ ใน เมืองไทย มาก ที่สุดในโลก

    ดังนั้น ไม่ ต้องเดินทาง ไป หา ที่ไหน พระท่านยังอยู่ ในเมืองไทย อีกมาก
    จะมี บางองค์ ที่ เสด็จไป ต่างประเทศบ้าง ( คนเมืองนอก เงินเค้าใหญ่ เค้าก็ กล้ามาเช่าหาไปบ้างก็มี เหมือนกัน)

    .......................................

    การวัดพลังพระ วัดกันได้ จริง .... ข้อนี้ ผม ยอมรับ
    แต่ การแปลผล นี่ เรายัง อ่านค่า และ แปลผล ได้ ไม่ดี นัก ดังที่่ ผม อยู่ ในวงการนี้ มาพอสมควร
    พอสรุปได้ว่า มีคน ที่ สัมผัสพลังพระ ได้ .... มีอยุ่มาก
    สัมผัสได้ แยกแยะได้ ..... ก็มีอยู่
    ประมวลผม และตีความ สรุป ค่าของพลัง ผลของพลัง............. ตรงนี้ ยังหาคนที่ ทำได้จริงๆ ยากมาก

    เพราะ เค้า ไม่ได้ นำผลที่ได้ มา ทดสอบ ซ้ำทางวิทยาศาสตร์ จน ชัดเจน

    เฉพาะ ตรง บันทัดสุดท้ายนี่ แหละ ทำให้ การแปลผล ไม่ชัดเจน หรือ ยังไม่แม่นยำ
    ..........................
     
  15. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ขอบคุณพี่ดาวทะเลทรายมากค่ะ ที่เขียนมาเพิ่มเติม โดยเฉพาะพี่ดาวเนี่ย เป็นผู้ที่ชอบทดสอบซ้ำ รีเช็ค/ดับเบิ้ลเช็คด้วยผลทางวิทยาศาสตร์ตัวจริง


    ความจริงเรื่องพระเครื่องนี้ยังมีอีกเยอะที่จะกล่าวถึง แต่จะพูดในเรื่องของเครื่องรางของขลัง ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ กฤต ดาบต่างๆ ตะกรุด แต่ว่าประเด็นสำคัญมันไม่ได้มีมากมายขนาดที่จะเอามาเขียนให้อ่านเป็นนิทานกันได้ ก็เลยขอยกออกไปค่ะ


    ...........................................



    นิทานภาคย่อย ตอน ข่าวออนไลน์ ... เตือนสติของท่านให้แม่นมั่นกันเถอะ



    นิทานเรื่องนี้ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจจะทราบดีอยู่แล้ว แต่หลายท่านอาจจะยังนะคะ กะทิขอเข้ามาเขียนเตือนกัน(และเขียนเตือนตัวเองอยู่เสมอด้วยหนะค่ะ)



    แน่นอนที่ในข่าวแต่ละวัน เราอาจได้ยินว่าพระรูปนั้นไปทำอย่างนี้ พระรูปนี้ทำอย่างนั้น พอเราได้ยินใจเราก็คิดไปก่อนปากร่วมด้วยจะพาไป แค่นี้แล้วยังไม่พอ หากอ่านจากสื่อออนไลน์ที่ให้ข่าวเราได้ติดตามกันเร็วนาทีต่อนาที เราก็มือไว รีบเข้าไปแสดงความคิดเห็น หรือไม่ก็กด Line กันยกใหญ่ ซึ่งการกด Line 1 ครั้งของคุณนั้น เท่ากับว่าข้อความนี้ได้ส่งต่อจากคุณไปยังเพื่อนๆ ของคุณที่ร่วมกลุ่มอยู่กับคุณด้วย


    สิ่งเหล่านี้ กะทิขอเตือนนะคะ เวลาเราขึ้นศาล เรายังต้องมีฝั่งโจทย์และจำเลย จึงจะสามารถตัดสินได้ว่าใครถูกหรือผิด หากว่าความผิดนั้นไม่มีน้ำหนักเพียงพอ(จับแพะขึ้นศาล) ก็ใช่ว่าแพะนั้นจะผิด หรือถูก(ปรับปลำ) โดยเฉพาะถ้าผู้ที่เรากำลังกล่าวถึงเป็นพระ



    เรามาว่ากันด้วยบุคคลธรรมดาก่อน หากผู้อ่านจำได้ว่า สมัยหนึ่งที่มีรถแก๊สระเบิด มีผู้คนบาดเจ็บและเสียชีวิตหมู่ แถวถนนเพชรบุรี(หน้าช่อง 3 เก่า) หลายคนอาจรู้สาเหตุแล้วว่า พวกเขามีชะตาร่วมกันในอดีตชาติ



    ในอดีตชาตินั้น (เท่าที่กะทิได้ยินมา) เนื่องจากคนกลุ่มหนึ่งได้ร่วมกันทำร้ายคนๆ หนึ่งที่ไม่ได้มีความผิด (เนื่องจากว่าเข้าใจผิดว่าคนๆ นั้นมีความผิด) ได้ร่วมกันรุมประชาทัณฑ์ บางคนก็ปาก้อนหินใส่ และจับเขามัดจุดไฟเผาเขาทั้งเป็น กรรมนี้ยังติดตามและรอวันชดใช้กรรม จนกระทั้งในวันที่เกิดเหตุวันนั้น ผู้คนที่อยู่ในเหตุกาณ์วันนี้อยู่กันถ้วนหน้าพอดี จึงได้เกิดเหตุขึ้น


    ในอีกทางหนึ่ง ณ ปัจจุบันชาติ เมื่อคุณๆ ได้อ่านข่าวผ่านสื่อออนไลน์ หากว่าเขาเป็นชาวบ้านธรรมดา คุณอ่านข่าวถูกใจ(ชื่อชอบเขา) ไม่ถูกใจ(ด่าเขาในใจ) ก็กดแสดงความคิดเห็นบ้าง กด Line บ้าง หรือก็คือเป็นการสร้างกรรมผูกพันกับคนที่คุณแสดงความคิดเห็นไปอย่างไม่รู้ตัว ทั้งในการรักษาศีล 5 ข้อ ยังมีข้อที่เกี่ยวข้องกับการระวังพูดจาโกหก หรือรวมเรื่อยไปถึง ไม่ให้พูดส่อเสียด พูดจาไปในทางที่ทำให้เกิดความฟุ้งซ่านด้วย



    กะทิจะกล่าวว่า หากว่ายิ่งเป็นผู้นุ่มห่มผ้าเหลือง กรรมนี้จะมีผลหนักกว่าเช่นไร พระนั้นจะเป็นพระจริงหรือไม่ เราไม่ใช่ผู้ตัดสิน กะทิเคยบวชเป็นชีพราหมณ์ที่วัดแห่งหนึ่งทางจังหวัดภาคใต้ และเคยออกไปเดินบาตรกับพระรูปอื่นในตอนเช้า ก่อนออกไปเดินบาตร ท่านเจ้าอาวาสอบรมว่า "หากว่าชาวบ้านนั่งลงยกมือไหว้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ชีพราหมณ์ทั้งหลายอย่าได้หยุดยกมือไหว้ท่านเหล่านั้นกลับ เพราะย่ายายเหล่านั้นไม่ได้ไหว้เธอ แต่เขากำลังไหว้ศีลของพราหมณ์ หรือไหว้ศีลของผ้าเหลือพระอยู่ ดังนั้นหากว่าเธอจะตอบแทนคุณ ควรสำรวมระวังตนในศีล ให้สมกับที่อยู่ในสมณะ(ชีพรามณ์) หรือผ้าเหลืองที่นุ่มห่ม ให้บริสุทธิ์ สมกับที่ผู้สูงอายุท่านได้ตักบาตรและกราบไหว้



    ดังนี้เวลาตักบาตรขอเธออย่าได้สงสัยว่าพระเที่เธอใส่บาตรอยู่นี้เป็นพระจริง หรือพระปลอม เพราะเมื่อเธอใส่บาตร เธอได้ไหว้ศีลของผ้าเหลืองอยู่ จึงได้บุญอย่างแน่นอน"


    ........................


    และหากว่ามีข่าวของพระสงฆ์แสดงขึ้นมาบนโลกออนไลน์ละ หากว่าคุณแสดงความคิดเห็น หรือว่ากด Line แสดงว่าเห็นว่าชอบ(ชอบอกชอบใจที่เราควรทำอย่างนี้ๆ กับพระที่ปฏิบัติอย่างนี้..อย่างนี้) หรือไม่ชอบใจ (ทำอย่างนี้ควรหรือไม่ควร...ออกความเห็นแสดงความคิดเห็นต่างๆ นาๆ ) หรือแม้แต่เพียงแค่กด Line เฉยๆ


    อย่าลืมนะคะ ว่าเวลาเราขึ้นศาล ยังต้องมีฝ่ายโจทย์และจำเลย แต่ขณะนี้เรากำลังตัดสินด้วยความคิดของเราเพียงวูบเดียว (ตั้งศาลเตี้ยในใจของตนขึ้นมาเอง) แล้วความคิดนั้นยังเป็นผู้นุ่งผ้าเหลืองด้วย หรือก็คือศีลนั่นเอง



    ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้นุ่มผ้าเหลืองปฎิบัติผิดจริง กรรมย่อมมากกว่าคารวาสอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้คุณไม่ได้แสดงความคิดเห็น ผู้นั้นย่อมได้รับกรรมของเขาอยู่แล้ว แต่หากคุณแสดงความคิดเห็นออกมา หรือแม้เพียงแค่คิด นั่นเท่ากับคุณกำลังทำศาลเตี้ย หรือในอีกทางหนึ่ง คุณกำลังสร้างกรรมผูกพันกับคนผู้นั้น



    หลายๆ คนเวลาที่เราเจอใครไม่ชอบใจ แล้วสุดท้ายได้ลาจากกัน เช่น ทำงานที่เดียวกัน แล้วสุดท้ายต่างคนต่างคนต่างลาจากกันไปคนละที่ละทาง คุณๆ มักจะพูดว่า "ขออย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย" แต่ในการกลับกันบนสื่อออนไลน์ คุณกำลังกด Line หรือแสดงความคิดเห็นกับผู้ที่คุณไม่ชอบใจ นั้นเท่ากับคุณกำลังสร้างกรรมผูกพันใหม่ๆ ถึงคนที่คุณไม่ชอบใจเหล่านั้น ให้เป็นกรรมเป็นเวรต่อกันและกันกับคุณ เพราะเมื่อคุณกด Line หรือแสดงความคิดเห็นออกไป ระบบโปรแกรม จะเชื่อมต่อข้อความที่คุณ Line หรือแสดงความเห็นไปยังคนในกลุ่มของคุณอัตโนมัติ เท่ากับคุณได้กำลังเป่าประกาศ ตีเข่าเป่าร้อง ถึงสิ่งที่คุณชื่นชอบ(กับคนที่คุณชอบหรือไม่ชอบใจ) หรือคนที่คุณเกลียด(เกลียดอยู่ฝ่ายเดียวในความคิดของคุณโดยยังไม่รู้ว่าจำเลยมีความผิดจริงหรือไม่) หรือถ้ามีความผิดจริง คุณก็ได้กำลังสร้างกรรมผูกพันกับคนผู้กระทำผิดนั้นไป รอวันได้มีโอกาสร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในอนาคตกาล ไม่ช้าก็เร็ว



    กะทิเธอเขียนเรื่องนี้ขึ้นไม่ได้ต้องการให้คุณผู้อ่านเลิกเล่นสื่อออนไลน์นะคะ แต่ว่า ขอให้เรามีสติในการทำหรือไม่ทำอะไรบนโลกออนไลน์ค่ะ ถ้าหากว่าเป็นรูปร้านอาหาร ของกิน สภาพอากาศ การจราจร จะกด Line แสดงความเห็น ก็สามารถทำได้ แต่หากว่าเป็นคน ขอให้คุณคิดให้ดี ว่าคุณอยากร่วมกรรมผูกพันกับเขาในวันข้างหน้าต่อไป (ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่) อยู่รึเปล่านะคะ หรือเราจะขอเลิกลดการเบียดเบียนต่อกันและกัน ณ บัดเดี๋ยวนี้ (กะทิเธอขอมีชีวิตที่ปรกติ ปราศจากการเบียดเบียน ตนเอง/ญาติพี่น้อง/ผู้อื่น)


    (ปล. สำหรับกะทิเธอเลยล่วงเกินผู้ใดผ่านสื่อออนไลน์บ้างรึไม่? กะทิเธอในปัจจุบันชาติเป็นมนุษย์ ย่อมเคยค่ะ กะทิ(ข้าพเจ้า) ขอกล่าวขอขมาและขออโหสิกรรมกับคุณไมเคิล แจ็คสัน ที่ป่วยเป็นโรคด่างขาว แล้วกะทิเธอไม่เชื่อว่าเขาป่วยจริง แต่คิดไปว่า เขาต้องการทำเคมีเพื่อทำให้ผิวหนังของเขาเป็นเหมือนเช่นคนขาวคนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงที่ชื่อ Darcel De Vulgt ออกมาพูดว่าไมเคิลคือแรกบันดาลใจของเธอให้เธอยังอยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไป กะทิเธอก็คงยังเข้าใจผิดว่าไมเคิล แจ็คสัน ไปทำเคมีบำบัดเพื่อเปลี่ยนสีผิวจริง ทั้งๆที่เขาเป็นแรงบันดาลใจในการต่อสู่กับโรคดังกล่าวให้กับเด็กๆ หลายๆ คน)



    [​IMG]


    อ้างอิงอื่นๆ :
    http://www.naturalvitiligocure.com/2011/04/vitiligo-pictures-darcel-de-vulgt.html
    http://stacymjxx.tumblr.com/post/14199179807/29-years-old-darcel-de-vlugt-was-born-black-in-a
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=7PcMY3bti90"]Know that you can and you will: Darcel de Vlugt at TEDxYouth@QueensParkSavannah - YouTube[/ame]





    หากใครได้เคยเผลอทำบางอย่างอย่างที่กะทิเธอเขียนมาเพื่อเล่านิทาน ดังกล่าวมาข้างต้น ก็ขอให้กล่าวคำขอขมาและขออโหสิกรรม ออกจากใจจริงของคุณ หลังจากทำบุญ สวดมนต์ ที่เคยได้ปรามาศพระรัตนตรัย หรือผู้หนึ่งผู้ใด ขอบุญที่ข้าพเจ้า(กะทิ) ได้ทำแล้วนี้ อย่าได้เป็นกรรมเวรเบียดเบียนต่อกันและกัน กับคนผู้นั้น(บุคคลเหล่านั้น) เพื่อตัดสัญญากรรมการเบียดเบียนกันและกัน ทั้งนี้เพื่อเป็นพลังการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด และเข้าสู่พระปรินิพานในอนาคตกาลอันใกล้เทอญฯ





    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2014
  16. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    รออ่านหัวข้อข้างต้นอยู่หลายวันแล้วค่ะ ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ
     
  17. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    ในโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญจริงๆ เล้ยยยย....หลังจากห่างหายไปหลายวัน...พอเคลียร์จิตตัวเองได้ก็กลับมาอ่านโพสของกะทิต่อ....ก็มาเจอข้อความข้างบน(อ่านเมื่อวาน)แต่ยังไม่ได้คิดไรนะ

    แต่พอเช้าวันนี้เรื่องนี้ก็วิ่งเข้ามาในหัว..ประมาณว่าเขาให้โอกาสเธอแล้วยังไม่รู้ตัวอีก...555 ...นั่นนะสิ....ก็อุตส่าห์ด่าว่าตัวเองไปตั้งเยอะ

    เรื่องที่เผลอแอบคิดไม่ดีกับกะทิ....ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดทันความคิดตัวเองหรอก คิดไม่ดี หรือว่ากล่าวคนอื่นก็แล้วไป...มิคิดไร(บาปแท้)

    แต่พอคิดเรื่องกะทิ...จิตก็วิ่งวุ่นสับสน หาทางออกหาเหตุผลในเรื่องนี้สุดท้ายลงโทษตัวเอง..ชำระความตัวเอง สงบลงหลายวันแล้ว(แต่เพิ่งเข้ามาอ่านเมื่อวาน)

    ก็...มาขอขมา..ขออโหสิกรรมต่อกะทิ ที่คิดไม่ดีและทำให้พูดออกมาไม่ดีต่อกะทิด้วยนะ(น่าแปลกมากขณะที่พิมพ์บรรทัดนี้เราร้องไห้ออกมามากมายเลย....ขอโทษนะ...ขอโทษจริง ๆ ไม่เข้าใจทำไมต้องร้องไห้ด้วย)

    จิตเรานี่มันฝึกยากแท้...แต่ไม่ท้อหรอกนะ
     
  18. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...ทั้งที่ก็ใส่พระมาพักหนึ่งแล้ว...แต่ไม่ได้ตระหนักในเรื่องพลังพระเลย....ส่วนมากได้มาเพราะมีคนให้มา(แต่ตอนนี้สนใจมาก 555)

    เคยมีคนบอกว่าเราต้องบูชาปู่ตากหรือพระนเรศวร แต่ฟังไปงั้นเพราะไม่เคยสนใจพระเครื่องเลย(จริงๆ) แต่พอผ่านมาสักประมาณ 4 ปี เจอปัญหาที่แก้

    ไม่ตก...สวดมนต์แล้วนั่งสมาธิแผ่บุญแล้ว...ช่วยไม่ได้..ก็เคยคว้าเหรียญพระต่าง ๆ ที่มีมาดู..เลือกมา1 ซึ่งก็คือเหรียญปู่ตากข้างหลังเป็นท่านพญาครุฑ

    ใส่นอนตอนกลางคืน จากนั้นมาไม่เจอเลย หลัง ๆ เชือกพันคอ..555 เลยวางไว้ใกล้หมอนแทน...ลองใส่เหรียญอื่นๆ รู้สึกหนัก/ง่วงนอนมากกกกก/ร้อน มี

    เหรียญปู่ตากนี่แหละไม่เป็นไร(คงถูกกะเรา...อธิษฐานก่อนเข้าหานายนี่ชนะขาด 555 เขาเรียกเราเข้าห้องเย็น กะด่าเต็มที่...เราไม่ผิดแต่จะด่า...เออเอากะเค้าสิ)

    ที่สนใจพระเครื่องขึ้นมาเพราะคุณดาวทะเลทราย บอกเรื่องพลังคุ้มครองป้องกันภัย...ตอนแรกกะจะหาเช่าพระเกี่ยวกับค้าขาย...แต่ได้อ่านข้อความข้างบนแล้วเออ...พลังคุ้มครองป้องกันภัยดีที่สุด

    ทำให้สงสัยว่าเหตุมหัศจรรย์ ที่เหยียบคันเร่งไม่ขึ้น...ซึี่งก็คือรถไม่ยอมไป เราได้ยินเสียงใต้ท้องรถครึดๆ เราต๊กใจ..คิดว่ารถเสีย...ที่่ไหนได้ กำลังจะเหยียบ

    รถมอเตอร์ไซด์ที่จอดรอเลี้ยวตรงเส้นกลางถนนตรงทางแยกพอดี๊ โอ้...ครั้งนี้แรงงง เกือบเหยียบคนทั้งคน(เหตุเพราะมัวมองทางอีกด้าน) เรางงอีกตามเคย

    คิดว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็แล้วแต่ ที่อยู่ที่รถเรา...ทำให้เกิดขึ้น ซึ่งมีเหรียญปู่ตากห้อยคออยู่...ฟันของแม่...เหรียญพระพิฆเนศ...ภาพหลวงปู่มั่น ฯลฯ....แฮะๆ เยอะเนาะ...เลยไม่รู้ว่าเกิดเหตุอัศจรรย์ได้อย่างไร

    พลังเราไม่ถึงก็มีหยิบยืมบ้างเนาะ...เชื่อแล้วนะ
     
  19. leia17

    leia17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,368
    ขออนุญาตนอกเรื่อง....บอกบุญกฐิน ปี 2557 วันที่ 2 พ.ย. 57
    ของสำนักสงฆ์ป่าพระมหามุนีธรรมรัตน แดนธรรมศิริมงคลชีวิต
    อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ที่คุณสุวิเคยพาคณะฯ ร่วมบุญไป
    เมือหลายปีก่อนค่ะ

    พอดีเพิ่งทราบข่าวว่าจะมีงานกฐินปีนี้ เลยมาบอกบุญค่ะ ^^

    ร่วมบุญได้ที่
    ธนาคารกรุงไทย สาขาไทรโยค
    ชื่อบัญชี สำนักป่าพระมุนีธรรม แดนสิริมงคลชีวิต
    บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 735-1-16483-5
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2014
  20. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168


    กะทิอโหสิกรรมค่ะ คุณ wawana และกะทิต้องขอขมา และขออโหสิกรรมกับคุณ wawana ด้วยค่ะ หากได้เคยล่วงเกินคุณในอดีตชาติเริ่มต้นถึงชาติปัจจุบันค่ะ


    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องเร่งทำ และละเอียดอ่อนกว่าที่เราๆ คิดกันทีเดียวค่ะ และเรื่องนี้มันมีเรื่องราวของมันที่เกิดกับกะทิ และพี่ดอกแก้ว (ที่เคยเขียนเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังไปแล้วข้างต้น) ทำให้กะทิต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อติดตามหาเธอให้พบ เพื่อขอขมาและขออโหสิกรรมต่อเธอ ทั้งๆ ที่เธอเองกลับไม่ได้คิดอะไรเลย แต่สำหรับตัวกะทิเธอเองกลับคิดมาก คิดมากๆ ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดเที่ยวตามหาเธอมาหลายชาติภพ จนในที่สุดก็ได้ขอขมาและอโหสิกรรมกัน

    ประเด็นคือ กะทิเธอจะว่าไปก็เสียเวลาตามหาเธอ และพอเจอหรือไม่เจอเธอ เราก็ไม่รู้ว่าเราจำต้องขอขมา และอโหสิกรรมกับคนๆ นี้ เพราะเราก็เวียนว่ายตายเกิดมาอีกหลายชาติแล้ว กรรม(การกระทำ) ที่เราเคยร่วมทุกข์สุขกันมา มันถูกเลือนไป เพราะความยาวของระยะเวลา

    อย่าว่าแต่วันเวลาของภพชาติเลย เอาแค่ว่า เราจำได้ไหมว่าเมื่อเช้านี้เรากินอะไรเป็นอาหารเช้า หรือเมื่อวานเรากินอะไรไปบ้าง เอาแค่นี้ก่อน


    ดังนั้นหากเราเจอใครที่รู้สึกแบบนี้กับเรา หรือเราเจอใครที่อยากขอขมา ขออโหสิกรรม ในชาตินี้ ขอให้รีบทำค่ะ เพราะการตามไปขอขมา ขออโหสิกรรม ข้ามภพชาติอย่างที่กะทิได้ทำแล้วกับพี่ดอกแก้ว ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยชิมิคะ กว่าจะตามหาเธอเจอหนะค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหมอสุวิ ข้าเจ้าในชาตินี้ก็ยังคงไม่ได้มีโอกาสอันนี้อีกต่างหาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...