เราจักแสดง ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การ"บรรลุนิพพาน" แก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว...

ระวังนะผู้รู้วิธีที่จะไม่รับของขวัญ

 

ดูยังไงเหรอครับที่ว่าทิฏฐิเหมือนกัน
และยังว่าเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่แล้วด้วย
น่าสนใจ ขยายหน่อยครับ

 

ผมเตือนจะได้ไม่ประมาท คิดว่านี่เป็น "ผล"แล้ว

ถ้า"โสดาบัน" ก็จะไม่สำคัญในเรื่องที่ตนได้ให้ทาน หรือทำดีอะไรก็ตาม
ไม่ได้หวังอานิสงส์ หรือสำคัญว่า "ตนให้" เลยครับ

 

คุณTboon ตอบในกระทู้โน้นแล้วน่ะครับ

 

ผิดถนัดเลยครับที่ว่าโสดาบันนั้นไม่หวังผลไม่คิดอะไรในเรื่องที่ทำ. ในความจริงแล้วโสดาบันโลภะโทษะยังไม่ได้ถูกทำลายเลย โมหะถูกทำลายไปนิดหน่อยเท่านั้น.

 

เอ้ย !!!!

เขามีแต่ โลภะ ทำลายไปกว่าครึ่ง บางคนก็บอกว่า หมดเกลี้ยงด้วยซ้ำ
แต่ที่ ยังฉวยขันธ์5 มาเป็นตนเนี่ยะ ก็เพราะ " เวทนาบางเหล่า " เท่านั้น
ที่ทำให้เกิด อากัปปกริยาเหมือนว่า ยังรัก ยังโลภ ยังตื๊บได้ !!!

ก็ลองตรองดูสิ ขนาด หนัง เนื้อ เอ็นโด่ กระดูก ยัง ตัดได้ แล้ว ทำไม
ดันเห็นผิดไปว่า โลภ ไม่ได้ตัดสักแอะ


ปล. ถ้าเห็น โลภะ ตัดได้ ....โทษะ ก็ต้องเห็นว่า ถอนราก ออกไปด้วยบางส่วน มิใช่น้อย

 

โสดาบัน จะเอาอะไร หวังอะไรครับ เมื่อตนสละออกแล้ว
ผมไม่ได้พูดให้ดูดีนะครับ แต่ความจริงเป็นอย่างนี้

โสดาบัน ไม่ได้คิดไปสะสม หวังผลในภายหน้าจะสวย รวย เก่ง
ตรงนี้คุณ bigtoo เข้าใจหรือไม่ครับ
ทำให้ย้อนไปตอนเห็นธรรมนั่นเลยครับ
"ว่าเห็นอะไร" ถ้าเห็นแค่"สถานที่ว่างเปล่า"
สังโยชน์ใดๆ ก็ขาดลงไม่ได้ อ่านดูคุณ bigtoo พอจะดูออกนะครับว่า ไม่เมคเซนส์
แล้วเห็นอะไร ?
ก็เห็นความไม่มีตัวคน ตัวสัตว์ มันแค่ของเกิดดับตามเหตุปัจจัย แค่นั้น
แต่มีความลึกมากกว่านั้น* ตรงนี้ไว้คุณ bigtoo เห็นเอาเองครับ

เห็นอย่างนี้ถอยออกมา แม้จะกลับสู่สังคมปกติ
คุณ bigtoo คิดว่า โสดาบัน จะหวังอะไรข้างหน้า
จะตั้งใจจะทำอะไร เพื่อไปรับผลข้างหน้าหรือเปล่า ในเมื่อ"มันไม่มี"
ข้อนี้เป็นทิฐิพื้นฐานในจิตเลย ไม่ต้องไปพยายามทำให้เป็นอย่างนี้ด้วยครับ
อย่างเดียวกับศีล ที่ไม่ลูบคำด้วยทิฐิ
ทำทาน ก็อย่างเดียวกัน ไม่ได้ทำไปด้วยอำนาจของตัณหา
คุณ bigtoo ลองพิจารณาดูใหม่ครับ

 

เห็นว่างเปล่านั้นแหล่ะพระนิพพาน จะมีอะไรเท่ากับความว่างล่ะครับ เพราะพระศาสดากล่าวว่าว่าเฉพาะเรื่องสูญญตา. คนเห๋นว่างเปล่าทิฎฐิก็ดำรงถูก. จะมีอะไรสำหรับตัวตน. ส่วนที่ท่านว่าโสดาจะหวังอะไร. ก็หวังธรรมอันยิ่งๆไปทั้งนั้น. ส่วนเรื่องอื่นเขาไม่ปราถนาหรอกครับ. ที่ทำอยู่เรื่องทานอะไรๆก็เพื่อละความตระหนี่ล่ะครับ. แต่ในความเป็นจริงแล้วใจมันทำได้อย่างนั้นจริงหรือเปล่า. ถ้ามันไม่คิดเลยมันก็อรหันต์ซิครับ. เจตนากับความเป็นจริงของจิตคนล่ะเรื่องกันนะขอรับ

 

"ว่างเปล่า"ที่บอกตอนแรกคุณ bigtoo ว่ามันเป็นสถานที่หนึ่่ง
แล้วตอนนี้ความว่าง ที่ว่า เป็นนิพพาน คืออะไร อย่างไรครับ

สิ่งที่คุณbigtoo คุยกะคุณ นิวรณ์
มันแสดง ทิฐิ อยู่แล้วว่าเป็นไง ยังยินดีว่า "กู" ทำดี "กู"พาคนเข้าทางธรรม
อย่างนี้ไม่แปลกเลย ถ้าเป็นทิฐิของปุถุชน
แต่อันนี้คุณ bigtoo บอกว่าพ้นปุถุชน
ผมบอกตรงๆว่ามันไม่ใช่
จะเชื่อหรือไม่ ไม่เป็นไรครับ มันไม่ได้ขึ้นความความเชื่อของใครอยู่แล้ว
แต่ความจริงมันเป็นอย่างนี้ และตรวจสอบได้นี่ครับ

ส่วน โสดาบัน เค้าไม่ได้หวังธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
มีใจแค่จะออกไปให้พ้นๆไปจากทุกข์
และทาน ที่ให้มันพ้นจาก "กูทำ" แบบไม่ต้องคิดนะครับ
หรือบอกให้ทำความคิดอย่างนั้น
แต่มันมาจากความรู้สึกลึกๆอยู่แล้ว
จะให้กับใคร จะให้วัตถุ จะให้ธรรม ก็สักแต่ให้
แบบโยนเหนี่ยวไก่ ให้หมากินน่ะครับ
จิตแบบที่ให้จริงๆ โดยไม่ต้องดูว่า ให้พระ ให้ขอทาน
ให้มาก ให้น้อย ได้บุญมาก ได้บุญน้อย

 

ดูคำแล้วน่าสนใจดี. แต่คำท่านกล่าวเป็นธรรมฝ่ายนึกคิดไม่ได้อยู่กับความจริง. ที่ผมกล่าวให้ใครฟังนั้นเป็นการโต้แย้งว่าการดำรงชีวิตจริงเราจะต้องทำอย่างไรต่อเพื่อนร่วมโลกว่าเราสามารถที่จะแน่นำบุคคลให้เดินทางธรรมได้ยามมีโอกาศ. และที่บอกให้รู้เป็นการสนทนาเพื่อให้เห็นการใช้ชีวิตไม่คิดอวด. ไรสาระมากจริงๆถ้าคิดอวด. ท่านเองก็ควรอนุโมทนาได้เท่านั้นไม่ควรคิดว่าผมจะคิดอวดเลยเพราะจริงๆนี้ที่ยกมาเพื่อบอกให้รู้ว่าสาวกควรกระทำอย่างไรในการเผยแผ่. สวนเรื่องการบรรลุเคยบอกแล้วว่าไม่มีค่าอะไรที่ผมจะหวังกับสิ่งในเวบนี้ไม่ปราถนาเลย. ที่เป็นเพียงให้เกิดการสนทนา จะได้มีแนวทางความหวัง. ส่วนมันจะใช่ไม่ใช่ไม่ต้องสน. มันเทียบเคียงกันทั้งนั้นตามสิ่งที่พระองค์กล่าว. ว่าเฉพาะเรื่องสูญญตา

 

ผมไม่ได้มองว่าเป็นการอวดครับ
แต่ทิฐิที่ว่า "ตนได้ทำ" มันไม่มีในโสดาบัน

กระทู้นี้ผมไม่ได้โฟกัสไปยินดีไปในสิ่งที่คุณ bigtoo ทำ
แต่กำลังจะดูว่า ที่ว่าบรรลุธรรมแล้ว ของคุณ bigtoo จริงหรือไม่

ผมถึงถามสภาวะ "ขณะบรรลุธรรม"
ถ้ามันไม่มี ก็ไม่ใช่ ให้ลองกลับไปทบทวนดูครับ

 

ที่คุณว่าทิฎฐิที่ตนได้ทำ ไม่ใช่คุณธรรมโสดาบันนั้น ผิดถนัดครับอรหันต์เท่านั้นที่จะมีสติครับ. โสดาบันนั้นท่านเข้าใจว่าไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาเท่านั้นเชื่อมั่นในคำสอน. แต่ยังไม่สามารถละอัสสะมิมานะได้ครับ. ท่านเข้าใจผิดจริงๆ. เหมือนท่านที่ท่านเข้าใจว่าท่านเป็นอริยะแล้วนี่แหล่ะ. แต่ท่านก็ยังใช้สัญญาลักษณะ. อุตระมัดดาวเหนืออยู่นี่แหล่ะ. ที่เป็นจิตใต้สำนึกเป็นตัวตนอยู่ครับ

 

ตรงไหนครับ ที่ผมกล่าวว่า โสดาบันต้องละละอัสสะมิมานะกันครับ ยกมาได้เลยครับ

 

ถามตอบกันเป็นข้อๆกันไปเลยดีไหมครับคุณ bigtoo
ให้คุณถามผมได้เต็มที่ ผมถามคุณ bigtoo ได้เต็มที่ ดีไหมครับ
วันนี้ผมว่างครับ

 

ผมไม่ได้ว่าท่านกล่าวว่าโสดาบันต้องละอัสสะมิมานะ. ผมกล่าวว่า ที่ท่านกล่าวหาว่าผมนั้นมีทิฎฐิเห็นเป็นตัวตนทำ. ผมจึงกล่าวว่าอรหันต์เท่านั้นที่ไม่เห็นเป็นตัวตนทำได้ตลอดสายเพราะท่านละอัสสัมิมานะได้แล้ว. ส่วนโสดาบันนั้นท่านเพียงเห็นสภาวะธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา. แต่สติท่านยังไม่บริบูรณ์ท่านไม่สามารถที่จะเห็นธรรมชาติทั่งหลายว่าไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาได้ตลอด. เพียงแต่เข้าใจถูกต้องตรงสภาพความเป็นจริงตรงสภาวะธรรมที่ประจักษ์ไม่ได้คิดเอาหรือพิจารณาเอา. ฉนั้นที่ท่านกล่าวว่าผมนั้นทำบุญเพื่อหวังอะไรๆแบ้วเอามาอวดนี้นั้นคิดผิดจริงๆ. แต่ถ้าใจมีความหวังบ้างมั้ยมันเป็นธรรมชาติ. โสดาบันก็หวังได้เพราะเหตุผลอะไรกล่าวไปแล้วว่าโสดาบันไม่ได้ดับโลภะ โทษะเลย. จึงหวังในผนนั้นเพราะความเป็นอนัตาของสภาวะธรรมที่ปรากฏขึ้นเองเพราะยังมีกิเลสอยู่จริง. แต่โสดาบันนั้นมีสติคอยเตือนครับว่าสิ่งใดคืออะไรๆ. นีต่างหากคือความจริงที่ต้องยอมรับ.

 

ทิฐิที่ออกมานั่นแหละครับแสดงตัวได้ ว่ามีผล หรือยัง
เพราะถ้ายิ่งคุย มันจะยิ่งแสดงออกมาเรื่อยๆ

คุณ bigtoo จะอ่านแค่ไหน ในเรื่องของโสดาบัน อันนี้ผมไม่รู้
แต่มันมีแง่มุมที่ลึกลงไป แบบจิตสำนึก พื้นฐานในจิต
ที่แค่คนอ่านหรือฟังมา กันไม่อาจจะทำให้เหมือนได้
ถ้าจะทำให้เหมือน ก็พลาด หรือ หลุดไปได้

ผมถึงบอกว่าจะศึกษามาอย่างไร ถ้าไม่ได้เกิด "ขณะเห็นธรรม"ขึ้นจริงๆ
ก็ไม่ต้องเดา ยอมรับแบบตรงไปตรงมาแค่นั้นครับ

 

บอกแล้วไงผมอธิบายธรรมตามสภาวะความเป็นจริง. ถ้าตามความเห็นนะผมทุกอย่างเป็นสูญญตาแล้วครับ. มันดับบัญญัติไปหมดแล้ว. ไม่มีอะไรกีดกันเป็นการแบ่งชั้นแล้วครับโรงแรมห้าดาวกับริมถนน. ยี่ห้อแอเมสกับ ยี่ห้อโชคดีมีค่าเท่ากัน

 

ผมว่า คุณ bigtoo รู้อยู่แก่ว่าอะไรเป็นอะไรว่า
ขณะเห็นธรรม มีหรือไม่
ถ้าไม่ ก็ปฏิบัติต่อไปแค่นั้นครับ

ทิฐิที่กล่าวมาตรงนี้ถูก
แต่ก็มีผิดอย่างที่ผมทักไป
แต่การละสังโยชน์ ที่ว่าเป็นโสดาบัน
ทิฐิร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีผิดแม้แต่นิดครับ
คุณ bigtoo ลองไปเปิดพุทธวจนได้ครับ

 

ทิฎฐิต้อง100%ใช่ครับแต่สติไม่ร้อย%แน่นอน

 

ใช่ครับสติไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทิฐินี่ร้อยครับ
อย่างที่กระทู้นี้ และกระทู้โน้นที่คุณ bigtoo ทิ้งไว้ไงครับ
ถ้าทิฐิร้อย ผมไม่มีข้อแย้งขึ้นมาได้ครับ

ผมบอกที่ต้นๆกระทู้แล้วว่า ทิฐิอย่างคุณ บ่ายหน้าไปหานิพพานถูกแล้ว
แต่ไม่ใช่ทิฐิที่ถูกทั้งหมด อย่าเพิ่งประมาทครับ ทำให้ได้"ผล"