เป็นไปได้ไหม ว่า นิพพาน ก็ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดแห่งการดับทุกข์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย วรกันต์, 14 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    ขอให้เอาคำของพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้งเถอะครับ คำของครูบาอาจารย์ ผู้เป็นสาวก นั้นแม้ท่านจะเข้าถึงพระนิพพาน หากแต่การอธิบายให้ลูกศิษย์ ลูกหาฟัง จำต้องใช้ สมมุติของโลกอธิบาย ซึ่งเป็นการยากที่จะเอาสมมุติของโลกอธิบายพระนิพพาน และยากยิ่งขึ้นไปอีกที่จะให้ผู้ฟังคำอธิบาย ได้เข้าใจในพระนิพพาน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์จึงไม่เคยกล่าวไว้ในที่ใดเลย ว่าพระนิพพาน เป็นมหานครอันเป็นอมตะ นิพพานเป็นเมืองแก้ว ผู้ที่อยู่ในพระนิพพานจะได้กายแก้ว มีวิมานเป็นวิมานแก้ว หากพระนิพพานเป็นเมืองแก้วจริง เหตุใดพระพุทธองค์จึงไม่ทรงตรัสไว้ให้เหล่าพุทธบริษัทรับทราบล่ะ

    แล้วผมก็ถามกลับไปแล้วว่าน้ำ 1 ขันที่เทลงในมหาสมุทรนั้น ดับสูญ หรือ ไม่ดับสูญ ลองไตร่ตรองดูให้ดีเถิด อย่าไปยึดติดในสมมุติบัญญัติที่อธิบาย พระนิพพานเลยครับ เพราะอาจจะทำให้หลงทิศได้ เอาข้อปฎิบัติที่จะเป็นทางที่ให้ไปถึงพระนิพพานเป็นเครื่องนำทางดีกว่า จะได้ไม่หลงทิศ
     
  2. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    อ่านดูแล้วเจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้สงสัยเรื่องนิพพานนี่นา แต่ทำไมดูจากที่แต่่่ละคนตอบเหมือนเข้าใจว่า เจ้าของกระทู้ไม่เชื่อว่านิพพานมีจริง
     
  3. mr.surin

    mr.surin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +129
    [​IMG]


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2009
  4. คุณ วัชรพงษ์

    คุณ วัชรพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +30
    เมื่อท่านอยู่ระหว่างกลาง...สุขและทุกข์....โดยไม่ยึดเหนี่ยวสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้...เมื่อนั้นท่านจะถึงนิพพาน
     
  5. Orora416

    Orora416 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +112
    บทสนทนาระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพราหมณ์ช่างสงสัย
    (คัดมาจากหนังสือ ความมหัศจรรย์ของจิต)

    พราหมณ์ผู้หนึ่งได้ถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "ในโลกนี้มีทุกข์อะไรที่นับว่ายิ่งใหญ่ที่สุด
    อันไม่มีทุกข์ใดเสมอเหมือน?"

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับย้อนถามว่า "ก็เธอว่าทุกข์อะไร จงตอบมาก่อน?"
    พราหมณ์ "ทุกข์เพราะความตายกระมัง?"
    พระพุทธเจ้า "ความตายไม่ใช่ทุกข์ที่ยิ่งใหญ่"
    พราหมณ์ "ถ้าเช่นนั้นก็คงจะเป็นบ้านเรือน ทรัพย์สมบัติต้องพินาศสูญสิ้นด้วยภัยต่างๆ?"
    พระพุทธเจ้า "ยังไม่ตรงต่อความเป็นจริง"
    พราหมณ์ "คงจะเป็นทุกข์เพราะพลัดพรากจาก พ่อ แม่ ลูก เมีย หรือผู้อันเป็นที่รัก
    แล้วต้องร่ำไห้รำพัน?"

    พระพุทธเจ้า "นั่นเป็นทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น"
    พราหมณ์ "ถ้าเช่นนั้น เห็นจะเป็นเพราะหิวโหยอดอยากกระมัง?"
    พระพุทธเจ้า "ยังไม่ถูกต้อง"
    พราหมณ์ "คงจะได้แก่ต้องเจ็บป่วยทรมารเรื้อรัง ไม่มีวันที่จะหายได้?"
    พระพุทธเจ้า "ยังออกจะห่างไหลจากทุกข์ที่ยิ่งใหญ่"
    พราหมณ์ "ถ้าเช่นนั้น ก็ยังมีทุกข์อันมหาศาลที่สำคัญอยู่อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งข้าพระองค์คิดว่ายังมีอยู่อีกอย่างเดียว คือทุกข์เพราะต้องตกอยู่ในนรกเบื้องต่ำ
    ต้องเเร่าร้อนเพราะถูกไปนรกเผาผลาญอยู่ทุกวันทุกคืน เป็นเวลาตั้งกัปป์ๆ เป็นแน่"

    พระพุทธเจ้า "ยังไม่ตรงต่อความเป็นจริง"
    เมื่อพราหมณ์ได้ยกเอาทุกข์ต่างๆ มากล่าวจนหมดสิ้น ค้นหาไม่ได้อีกแล้ว พระองค์จึงตอบว่า "ทุกข์อันยิ่งใหญ่ไม่มีทุกข์ใดเสมอเหมือนก็คือทุกข์เพราะต้องเกิดนั่นเอง"


    ดังนั้นเราจะหนีให้พ้นจากทุกข์ได้ ย่อมมีวิธีเดียวคือ ทำให้ไม่ต้องมีชีวิตขึ้นมา ซึ่งก็คือ "นิพพาน" (การตายจริง)นั่นเอง


    นิพพานตามคำของพระอริยะ

    "นิพพานไม่ใช่เมืองแก้วอย่างที่เขาว่ากัน แต่นิพพานคือสันติ นิพพานมีสันติลักษณะ
    เป็นสภาวะที่จิต เห็นแจ้งในกองทุกข์ว่า ขันธ์ หรือ รูป-นาม หรือโลกเป็นทุกข์ จิตจึง
    ปล่อยวางขันธ์ ปล่อยวางรูป-นาม หรือปล่อยวางโลก ทำให้ใจประจักษ์ชัด(เข้าไปสัมผัส)ถึงนิพพานซึ่งดำรงคงอยู่ต่อหน้าต่อตาเรามาแต่ไหนแต่ไร
    เดิมใจไม่เห็นนิพพานก็เพราะจิตถูกความปรุงแต่งปิดบังไว้ จึงไม่สามารถประจักษ์ชัดถึงนิพพานอันเป็นธรรมที่พ้นจากความปรุงแต่งได้
    พอจิตพ้นความปรุงแต่งเพราะสิ้นอยากปุ๊บ ใจก็ประจักษ์ชัดถึงนิพพานซึ่งปราศจากความปรุงแต่งปั๊บเลย"



    แล้วทำไมเจ้าของกระทู้ยังคิดว่าผู้ที่นิพพานไปแล้ว จะกลับมาเกิดอีกเล่า?


     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ลองอ่านกันดูครับ...

    นิพพาน อันปรากฎแก่ผู้สิ้นตัณหา

    ต่อไปนี้ เป็นเนื้อความ ในธัมมัตถาธิบาย ขยายคำในพระพุทธอุทาน ต่อจากอรรถกถาออกไปอีก
    เพื่อให้เป็นที่เข้าใจแก่ผู้ใฝ่ใจทั้งหลาย กล่าวคือ ในพระพุทธอุทานนั้นมีเนื้อความว่า
    สิ่งที่ไม่มีเครื่องน้อมไปเป็นของที่เห็นได้ยากของจริงไม่ใช่เป็นของที่เห็นได้ง่าย
    เครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้แทงตลอดตัณหาแล้วรู้อยู่เห็นอยู่ ดังนี้ คำเหล่านี้พระอรรถกถาจารย์
    ได้แก้ทุกคำแล้ว คือ คำว่า เห็นได้ยากนั้น พระอรรถกถาจารย์แก้ไขไว้ว่า ผู้ที่ไม่ได้สะสมญาณบารมี
    ไม่อาจเห็นได้ เพราะนิพพานเป็นของลึก ตามสภาพ เป็นของละเอียดสุขุมอย่างยิ่ง ดังนี้
    คำของพระอรรถกถาจารย์นี้ เป็นคำปฏิเสธว่า ไม่เห็นเสียเลย ไม่ใช่ว่าเห็นได้ยาก

    นัยที่ ๒ พระอรรถกถาจารย์แก้ไขไว้ว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงการบรรลุนิพพานได้ยาก
    ด้วยคำว่าเห็นได้ยาก โดยอ้างเหตุว่า การอบรมสิ่งที่ไม่มีปัจจัย ไม่ใช่เป็นของที่สัตว์โลกทั้งหลายจะทำได้
    ง่ายโดยเหตุว่าสัตว์โลกทั้งหลาย ได้อบรมสิ่งที่มีปัจจัยด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น ซึ่งเป็นของทำปัญญา
    ให้ทุผลภาพเสียกำลังดังนี้ ฯ ได้ใจความตามนัยที่ ๒ นี้ว่า ที่ว่าเห็นได้ยากนั้น คือ สำเร็จได้ยาก ฯ
    โดยเหตุนี้ขอให้ท่านทั้งหลายจงจำไว้เถิดว่า คำว่าเห็นได้ยากนั้น พระอรรถกถาจารย์ว่าไว้ ๒นัย

    นัยที่๑ ว่า ผู้ไม่ได้สะสมญาณบารมีไว้ไม่อาจเห็นได้ นัยนี้ชี้ให้เห็นว่า เห็นไม่ได้ทีเดียว ฯ

    นัยที่ ๒ ว่าสำเร็จได้ยาก ฯ นัยนี้ชี้ให้เห็นว่า ต่อเมื่อไรได้สำเร็จจึงจะเห็นได้ การสำเร็จนั้นย่อมเป็นการสำเร็จได้ยากฯ

    ขยายคำข้อนี้ออกไปอีกชั้นหนึ่งว่า การจะเห็นพระนิพพานนั้น ต้องเห็นได้ด้วยปัญญาจักษุ
    อันเป็นปัญญาที่ประเสริฐ ปัญญาจักษุนั้น เป็นของที่ทำให้เกิดขึ้นได้แสนยาก ด้วยเหตุว่า ต้องอบรมบารมี
    มีทาน ศีล ภาวนาเป็นต้น อยู่จนตลอดกาลนาน จึงอาจทำปัญญาจักษุ คือ ดวงปัญญาอันประเสริฐ
    ให้เกิดขึ้นได้ ขอให้ดูแต่พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายเป็นตัวอย่างเถิด คือพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย
    พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญบารมี มาตลอด ๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัลป์ นับแต่ได้พุทธพยากรณ์มาแล้ว

    ก่อนแต่ยังไม่ได้พุทธพยากรณ์มานั้น พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญมาแล้วตลอดกาลนานคือ ทรงบำเพ็ญในเวลา
    ที่ตั้งความปรารถนาในใจว่า จะเป็นพระพุทธเจ้านั้นอีก สิ้น ๙ อสงไขย จึงได้พุทธพยากรณ์จาก
    สำนักพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๔ พระองค์มี พระทีปังกรเป็นต้น รวมเวลาบำเพ็ญบารมีทั้ง ๓ ตอน เข้าด้วยกัน
    ก็เป็น ๒๐ อสงไขย เศษแสนมหากัลป์ จึงจะทำพระปัญญาจักษุอันประเสริฐให้เกิดขึ้นแต่ถึงอย่างนั้น
    พระองค์ก็ยังทรงทำได้แสนยากต้องทนลำบากพระองค์บำเพ็ญทุกขกิริยาอยู่ถึง ๖ พรรษาเพื่อแสวงหา
    ดวงจักษุ คือ ปัญญาอันประเสริฐจึงได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงเห็นพระนิพพานแจ่มแจ้งด้วยพระองค์เอง โดยไม่เกี่ยวกับทุกขกิริยาที่ทรงกระทำมานั้น ไม่ใช่เป็นหนทางให้พระองค์ได้ตรัสรู้
    ส่วนหนทางที่ให้พระองค์ตรัสรู้นั้น ได้แก่ อัฏฐังกิมรรค ๘ ประการ มีสัมมาทิฐิเป็นต้น มีสัมมาสมาธิ
    เป็นปริโยสาน ที่พระองค์ทรงทำให้เกิดขึ้นด้วยทรงเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน คือ ทรงตั้งพระหฤทัย
    กำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ เมื่อพระองค์ทรงบ่ม อานาปานสติ การกำหนด ลมหายใจเข้าออก
    นั้นให้แก่กล้านั้นก็เกิดเป็นสมาธิชั้นที่ ๑ ที่๒ ที่๓ ที่๔ ซึ่งเรียกตามบาลีว่า ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน
    จตุตถฌาน เมื่อ จตุตฌานเกิดขึ้นแล้ว พระหฤทัยของพระองค์ดำรงมั่นบริสุทธิ์ผ่องใส ปราศจากเครื่องเศร้าหมอง อ่อนโยน ละมุนละไม ตั้งอยู่ในฐานะที่จะบังคับได้ดังประสงค์ ดำรงมั่นไม่หวั่นไหวแล้ว

    พระองค์ก็ทรงน้อมพระหฤทัยไป เพื่อให้เกิด บุพเพนิวาสญาณ ให้ระลึกการหนหลังได้ ในลำดับนั้น พระองค์ก็ทรงระลึกกาลหนหลังได้ ตั้งแต่ ชาติหนึ่งเป็นต้นไป จนกระทั่งถึงปลายกัลป์ หากำหนดมิได้ พร้อมทั้งอาการและอุเทศ คือทรง ระลึกได้ว่า ในชาติโน้น พระองค์มีพระนาม และโครต ผิวพรรณ วรรณะ
    อาหาร สุขทุกข์ อายุ อย่างนั้นๆ จุติจากชาตินั้นแล้ว ได้มาเกิดในชาติโน้น ทรงระลึกได้อย่างนี้
    เป็นลำดับมา จนกระทั่งชาติปัจจุบันนั้น บุพเพนิวาสญาณ การระลึกชาติหนหลังนี้ ได้เกิดมีแก่พระองค์ในปฐมยาม ฯ ในปฐมยามนั้น พระองค์ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลมจนตลอดแล้ว ก็ทรงเปล่ง
    อุทานขึ้น ดังที่แสดงมาแล้วในกัณฑ์ ที่ ๑ โน้น เมื่อถึง มัชฌิมยาม พระองค์น้อมพระหฤทัยไปเพื่อให้รู้
    การจุติ และอุบัติของสัตว์โลกทั้งหลาย พระองค์ก็ได้ทรงเห็นสัตว์โลกทั้งหลายที่จุติ และเกิดได้ทุกจำพวก
    คือจำพวกที่เลวและดี ทั้งพวกที่มีผิวพรรณดีและไม่ดี ทั้งจำพวกที่ไปดีและไปไม่ดีด้วยทิพพจักษุญาณ

    คือพระองค์ทรงทราบว่าพวกที่ประกอบด้วย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะเจ้า
    เป็นมิจฉาทิฐิ ถือมั่นมิจฉาทิฐิทำกาลกิริยาตายแล้ว ก็ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก การที่พระองค์
    ทรงทราบนั้น คือ ทรงเล็งเห็นด้วย ทิพพจักษุ เหมือนกับบุคคลยืนอยู่บนปราสาทซึ่งเล็งเห็นผู้ที่อยู่รอบ
    ปราสาทฉะนั้น เมื่อพระองค์ทรงได้ทิพพจักษุอันเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าจตูปปาตญาณแล้ว พระองค์ก็ทรง
    พิจารณา ปฏิจจสมุปบาทในฝ่ายปฏิโลม แล้วทรงเปล่งอุททานเป็นครั้งที่ ๒ ดังที่แสดงมาแล้ว ในกัณฑ์
    ที่ ๒ โน้น เมื่อพระหฤทัยของพระองค์บริสุทธิ์ดังที่แสดงมาแล้วในกัณฑ์ที่ ๓ โน้น ฯ ในขณะที่พระองค์
    ทรงไว้ อาสวักขยญาณอันทำให้สิ้น อาสวะกิเลสนั้น สรรพปรีชาญาณทั้งสิ้น คือ เวสารัชชญาณ ๔
    ทศพลญาณ ๑๐ และสัพพัญญุตญาณเป็นต้น ก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ฯ เป็นอันว่าในขณะนั้น พระองค์ได้ตรัสรู้
    พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก เป็นอันว่าพระปัญญาจักษุ
    คือ ดวงปัญญาอันวิเศษ ซึ่งเป็นเหตุให้เห็นพระหฤพาน ก็เกิดมีขึ้นแก่พระองค์ พร้อมทั้ง
    พระพุทธจักษุพระสมันตจักษุ ทิพพจักษุทุกประการ ฯ เท่าที่สังวัณณนาการแล้วนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า
    พระนฤพานนั้น เป็นของที่เห็นได้แสนยาก เพราะเหตุว่า เป็นของละเอียดลึกซึ้งไม่มีสิ่งจะเทียมถึง
    โดยเหตุนี้ ควรที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะอุตสาหะบำเพ็ญ บารมีทั้ง ๑๐ ประการ
    คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี
    เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี อันกล่าวโดยย่อว่า ได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ บรรพชา ปัญญา วิริยะ ขันติ
    สัจจะ อธิฐาน เมตตา อุเบกขา ตามกำลังสามารถของตน ตามภูมิชั้นของตน ๆ ที่ปรารถนาเป็น สาวก
    สาวิกา หรือเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามโอกาส บริสุทธิ์ มาด้วยบุพเพนิวาสญาณ และ จุตูปปญาณ ในปฐมยาม และมัชฌิมยามดังนี้แล้ว พระหฤทัยของพระองค์ก้ผ่องแผ้วยิ่งขึ้น
    พระองค์จึงทรงน้อมพระหฤทัยไปเพื่อให้เกิดอาสวักขยญาณ ทำให้สิ้น อาสวะจากสันดานของพระองค์ ฯ

    พระองค์ก็ทรงทราบตามความเป็นจริงว่า สิ่งไรเป็นทุกข์ สิ่งไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สิ่งไรเป็นความดับทุกข์
    สิ่งไรเป็นทางดับทุกข์ฯ พระองค์ก็ทรงทราบตามความเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านี้เป็นอาสวะ เป็นเหตุ
    ให้เกิดอาสวะ เป็นความดับอาสวะ เป็นทางให้ดับอาสวะ ฯ เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นอย่างนั้น พระหฤทัย
    ของพระองค์ก็หลุดพ้นจาก กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ เมื่อพระหฤทัยของพระองค์หลุดพ้นจาก
    อาสวะ ทั้ง ๓ อย่างนั้นแล้ว ก็เกิดพระปรีชาญาณขึ้นว่า พระหฤทัยของเราหลุดพ้นแล้ว พระองค์สิ้นความ
    เวียนตายเวียนเกิดอยู่ในกำเนิด ๔ คติ ๕ สัตตาวาส ๙ อันนับเข้าในสงสารเสร็จแล้ว พระองค์สำเร็จ
    พรหมจรรย์แล้ว ได้ทรงทำสิ่งที่ควรทำ สำเร็จแล้ว ลำดับนั้น พระองค์ก็ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
    กลับไปกลับมาทั้งฝ่าย อนุโลมและปฏิโลม แล้วทรงเปล่งอุทานขึ้นเป็นครั้งที่ ๓ ดังที่ได้ ที่ควรกระทำ

    เมื่อผู้ใดพยายามบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ มีทานเป็นต้น ตามสมควรแก่เวลาแล้ว ผู้นั้นก็ใกล้ต่อการเห็นนิพพาน
    ไปโดยลำดับ ด้วยเหตุว่า จิตใจของผู้นั้น จะผ่องใสไปโดยลำดับ เหมือนกับทองที่ช่างทองได้ไล่ขี้ไป
    โดยลำดับฉะนั้น ฯ ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ทรงสอนไว้ว่า บุคคลผู้มีปัญญา ควรกำจัด
    มลทินของตนไปทีละน้อยๆ ไปตามขณะสมัย ในเวลาอันสมควร ให้เหมือนกับช่างทองไล่สนิมทองฉะนั้น
    ดังนี้ ฯ


    แต่ขอเตือนท่านทั้งหลายอีกอย่างหนึ่งว่า ท่านทั้งหลายอย่าท้อใจว่า กว่าจะได้เห็นนิพพานนั้นต้อง
    บำเพ็ญบารมีอยู่ตลอดกาลนาน เพราะเหตุว่าเมื่อเราทำไป วันเวลาเดือนปี ก็สิ้นไปตามลำดับ
    เมื่อเราดับจิตแล้ว เราก็เกิดชาติใหม่ เมื่อเราเกิดชาติใหม่แล้วเราก็ลืมชาติเก่า เรานึกไม่ได้ว่าเราได้
    บำเพ็ญบารมีมานานแล้ว เมื่อเราเกิดอยู่ในชาติใด เราก็นึกได้แต่เพียงชาตินั้น อันนี้ไม่เป็นเหตุให้เรา
    เบื่อหน่าย ท้อทอยต่อการบำเพ็ญบารมี ถ้าเราไม่ลืมชาติหนหลัง เหมือนดั่งเราเดินทาง แล้วไม่ลืมระยะทาง
    ที่เดินมาแล้วในวันก่อนๆนั้นแหละ จึงจักทำความหนักใจท้อถอยให้แก่เรา อีกประการหนึ่ง การเดินทางนั้น
    ย่อมทำให้เกิดความเหนื่อยมากในวันแรก และวันที่ ๒ ที่ ๓ เท่านั้น สำหรับวันต่อๆไป ความเหนื่อยนั้น
    ก็คลายลงไปทีละน้อยๆ ด้วยเหตุว่า ความคุ้นเคยต่อการเดินทางนั้น ย่อมมีขึ้นกับเท้าและแข้งขาของเรา
    การบำเพ็ญบารมี ก็ทำให้เรามีความชำนิชำนาญขึ้นทีละน้อยๆ ฉันนั้น เหมือนเราไม่เคยให้ทาน รักษาศีล
    ฟังพระสัทธรรมเทศนา เราย่อมรู้สึก ลำบากใจ เห็นว่าเป็นของทำได้ยาก แต่ว่าเมื่อเราทำได้มากขึ้นแล้ว
    ก็จะเห็นว่าเป็นของทำได้ง่ายขึ้นทุกทีฯ อีกประการหนึ่งการบำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาเป็น สาวก สาวิกา
    ปกตินั้น ย่อมไม่กินเวลานานเท่าไรนัก กินเวลาเพียงแสนมหากัลป์เท่านั้น ส่วนปรารถนาเป็นมหาสาวก
    และอัครสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จึวกินเวลานานมากกว่ากันขึ้นไปเป็นลำดับ ฯ
    เมื่อเราทั้งหลายไม่เห็นพระนิพพานอยู่ตราบใด ก็ไม่เห็นความสิ้นทุกข์อยู่ตราบนั้น เหมือนกับเรายังไม่เห็น
    ความมั่งมีตราบใดเราก็ไม่เห็นการสิ้นความจนอยู่ตราบนั้น ฉะนั้นโดยเหตุนี้ จึงควรที่ทุกคนจะพยายาม
    บำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ที่มีทานบารมีเป็นต้น ให้มีขึ้นในตนเสมอไป แก้ไขมาในคำว่า นิพพานเห็นได้ยาก
    ก็พอเป็นที่เข้าใจของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายแล้ว จึงจะได้อธิบายคำอื่นต่อไป


    มีคำว่า นิพพาน ไม่มีเครื่องน้อมไปเป็นต้น คือ คำว่า นิพพานไม่มีเครื่องน้อมไปนั้น พระอรรถกถาจารย์
    อธิบายว่าตัณหาชื่อว่าเป็นเครื่องน้อมไป เพราะน้อมไปในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูปเป็นต้นและน้อมไปในภพ
    ทั้งหลาย มีกามเป็นต้น ซึ่งท่านย่นใจความว่า นิพพานนั้นไม่มีตัณหา ฯ คำของพระอรรถกถาจารย์ที่
    อธิบายดังนี้ เป็นอันได้ความแจ่มแจ้งแล้ว คือ พระนิพพานนั้น ไม่มีตัณหาที่จะให้น้อมไปในอารมณ์
    และภพอันใดอันหนึ่ง จึงเป็นที่เกษมสุขอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า สิ่งที่มีตัณหานั้น เป็นสิ่งที่ให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น
    คำว่านิพพานไม่มีเครื่องน้อมไป คือตัณหานี้ เป็นเครื่องชี้คุณของนิพพานให้เห็นว่าไม่มีเหตุที่จะให้เกิด
    ทุกข์ จึงจัดเป็นเอกันตบรมสุขอย่างยิ่ง สมกับคำว่า นิพพานัง ปรมัง วทันติ พุทธา พระพุทธเจ้า
    ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า นิพพานเป็นบรมสุขดังนี้ คำว่า ของจริงไม่ใช่เห็นได้ง่ายในพระอุทานนั้น

    พระอรรถกถาจารย์อธิบายไว้ว่า นิพพานนั้นชื่อว่าเป็นของจริง เพราะเป็นของไม่วิปริต เป็นของมีอยู่โดยแท้
    ใครจะแก้ไขให้เห็นว่า นิพพานไม่มีนั้นเป็นอันไม่ได้ นิพพานนั้น ถึงผู้ได้สะสมบุญญาณไว้ได้ตลอดกาลนาน
    ก็ยังยากที่จะเห็นได้ ดังนี้ คำของพระอรรถกถาจารย์นี้เป็นคำที่แจ่มแจ้งอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องชี้แจงซ้ำ
    อีกให้พิสดารเป็นแต่จับใจความว่า ตามถ้อยคำของพระอรรถกถาจารย์นี้มีมาว่า นิพพานซึ่งเป็นของจริงนั้น
    ถึงผู้บำเพ็ญบารมีมานานแล้ว ก็ยากที่จะสำเร็จได้ คำว่าแทงตลอดตัณหานั้น พระอรรถกถาจารย์ว่า ได้แก่
    ละตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ฯ คำว่าผู้รู้ผู้เห็นนั้น ได้แก่ ผู้รู้เห็นอริยสัจด้วยอริยมรรคปัญญา ฯ คำว่า
    ไม่มีความกังวลนั้นได้แก่ไม่มีกิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ คือ ความวนเวียนแห่งกิเลส และกรรม
    กับทั้งผลแห่งกรรม ดังนี้ ฯ ถ้อยคำของพระอรรถกถาจารย์เหล่านี้ ก็มีใจความแจ่มแจ้งแล้วทั้งนั้น
    โดยเหตุนี้ จึงของดธัมมัตถาธิบายในพระพุทธอุทาน ที่ ๗๒ อันมีเนื้อความว่า ธรรมชาติอันใดไม่มี
    เครื่องน้อมไปเป็นของเห็นได้ยาก เพราะของจริงไม่ใช่เป็นของเห็นได้ง่าย เครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่
    ผู้แทงตลอดตัณหาแล้วรู้อยู่เห็นอยู่ ดังนี้ ......



    ที่มา กัณฑ์ ที่ ๗๒ คัมภีร์ ขุททกนิกาย พุทธอุทาน ว่าด้วยนิพพานอันปรากฎแก่ผุ้สิ้นตัณหา......
    เมื่ออ่านจบแล้ว..... จักรวาลมีอยู่ประมาณเท่าใด สัตว์ทั้งหลายที่เกิดในจักรวาลมีอยู่ประมาณเท่าใด
    จงได้รับส่วนบุญกุศล ในการอ่านพระไตรปิฏกนี้ด้วยเทอญ
    หากพิมผิดกราบขอขมาพระรัตนไตรด้วยเทอญ....
     
  7. jiwcrop

    jiwcrop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +792
    ผมว่าเป็นเรื่องอจิณไตยครับเกินความรู้ความคิดเรา
    คิดมากไปฟุ้งซ่านครับ
     
  8. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    สรุปนิพพาน มี แต่ นิพพานไม่ใช่ เมืองแก้ว แล้ว นิพพาน ก็ไม่ใช่ความดับสูญอีกด้วย คือไม่เป็นทั้งอัตตา และอนัตตา เป็นการคืนสมมุติบัญญัติทั้งหมดให้กับวัฎสังสารนี้ และพ้นไปจากวัฎสังสารแห่งนี้ ย้ำถ้าใครคิดว่า นิพพานเป็นเมืองแก้ว นั่นยังไม่ใช่ พระนิพพาน แต่ถามว่าแล้วมีพระบางรูปที่ไปเห็นมา ผมขอตอบตามความเข้าใจของตัวเอง
    ว่าท่านอาจจะไปเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นจะเป็นจริงหรือเปล่านั่นอีกเรื่องนึง เพราะภพเกิดขึ้นจากอุปทาน ถ้ามีผู้ที่มีบุญ
    มากแต่มีอุปทานบางอย่าง สร้างภพพิเศษขึ้นมา อันเกิดจากอุปทานของตัวเอง อันนั้นก็มีความเป็นไปได้ แต่ถ้าถาม
    ว่าภพนั้นเป็นพระนิพพานหรือไม่ ขอตอบเลยว่าไม่ใช่แน่นอน เพราะำไม่ว่าจะอยู่ภพไหนๆก็ยังอยู่ในขอบเขตของความ
    เป็นไปในสังสารวัฎ นั่นก็คือยังอยู่ในวงจรของปฎิจจสมุปบาทอยู่นั่นเอง ยังอยู่ในวังวนแห่งทุกข์อยู่ร่ำไป
     
  9. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    คาถาพาหุง บทตอนที่ พระพุทธเจ้า ไปปราบ พกาพรหม นั่นก็แสดงให้เห็นว่าแม้ผู้นั้นจะมีบุญญาธิการสูงส่ง ก็ไม่ได้หมายความว่่าเขาจะรู้ความเป็นจริงของสังสารวัฎ มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้จริง ดังนั้นโอกาศที่ผุ้มีบุญญาธิการสูงส่งเหล่านี้จะหลงผิดจึงมีอยู่ถ้าเขาเหล่านั้น ไม่ได้พบกับพระพุทธเจ้าหรือ ได้รับคำสอนจากพระองค์ แล้วถ้าเกิดมีผู้มีอภิญญาบางคนไปพบกับ เหล่าเทพหรือพรหมเหล่านี้แล้วได้รับการบอกกล่าวมาแบบผิดๆอาจจะโดยไม่ตั้งใจก็ตาม เป็นเพราะความไม่รู้ ดังนั้นโอกาศที่จะเข้าใจผิดจึงมีอยู่สูงทีเดียว ดังนั้นมีวิธีเดียวคือเราต้องปฎิบัติ ตามแนวทางอริยมรรค ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสไว้ จนบรรลุ มรรค ผล ประจักษ์แจ้งในตนเอง จึงจะรู้ว่าแท้จริงแล้วพระนิพพานเป็นเช่นไร
     
  10. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ ไม่มีทุกข์เจือปน บรมสุขแท้ ^-^
     
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เป็นจริงว่า สิ่งไรเป็นทุกข์ สิ่งไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สิ่งไรเป็นความดับทุกข์
    สิ่งไรเป็นทางดับทุกข์ฯ
    -------------------------------------------------------------------

    แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ลงสู่ อริยสัจจ์ แค่นี้เอง ^-^
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ

    นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ใครหรืออะไรครับที่เป็นสุขอย่างยิ่ง???
    สุขคงไม่ลอยไปลอยมาครับ???

    นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ

    นิพพาน สูญอย่างยิ่ง ใครหรืออะไรครับที่เป็นสูญจากกิเลสอย่างยิ่ง???
    สูญไปเฉยๆโดยไม่รู้ไม่มีครับ???


    ;aa24
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    นิพพานใช่เป็นที่พึ่งอันประเสริฐหรือเปล่าครับ???

    ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน
    อะไรที่เป็นที่พึ่งอันนั้นขึ้นชื่อว่าเป็น "ตน"
    ไม่จำเป็นต้องมีรูปราง แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงครับ


    ;aa24
     
  14. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คุณธรรมภูต กับคุณธรรมสวนัง ยังเห็นตนเป็นตน ยังยึดตัวตน ยังเห็นธรรมเป็นตน ไม่หายซะที

    สัญญาวิปลาสแล้วก็ช่างพูดนัก ^-^
     
  15. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    คุณธรรมภูติครับ ผมไม่คิดว่าพระนิพพานมีตัว มีตน เป็นคุณ เป็นผม แต่ผมขอเปรียบเทียบว่าน้ำ 1 ขันที่ตักขึ้นมาจากหาสมุทรคือ ผม แล้ว น้ำอีก 1 ขวดที่ตักมาจากมหาสมุทรคือ คุณ แล้วถ้าเทน้ำจากภาชนะทั้งสอง ลงไปในมหาสมุทรแล้ว ถามว่า ความน้ำนั้นหายไปหรือไม่ หรือความเป็นน้ำ 1 ขัน หรือน้ำ 1 ขวดกันแน่ที่หายไป แล้วน้ำนั้นเมื่อกลับคืนสู่มหาสมุทรแ้ล้ว จะยังมีคุณแล้วผมอยู่หรือไม่ คุณและผมเป็นหนึ่งเดียวกันหรือปล่าว นิพพานไม่สูญ แต่ก็ไม่ได้มีตัว มีตน ความมีตัว มีตน เกิดขึ้นจากอวิชชา แล้วไล่ไปตามสายของปฎิจจสมุปบาท จนเกิดเป็นชาติ ชรา มรณะ ต่อๆไป แล้วน้ำในมหาสมุทรก็ไม่ได้สูญไปไหนด้วย เหมือนกับที่พระนิพพานก็ไม่ได้ขาดสูญเช่นกัน แต่ที่สูญไปคืออุปปาทานของน้ำ อันนี้เป็นแค่เปรียบเทียบนะครับ เพราะอันที่จริงแล้วการเปรียบเทียบนี้ก็ไม่ถูกต้อง เพราะพระนิพพานไม่ใช่อะไรเลย ตามสมมุติบัญญัติ ดังนั้นการเอาสมมุติบัญญัิติเข้าไปเปรียบเทียบนั้นก็อาจจะไม่ถูกต้อง แต่เพื่ออธิบายให้เห็นภาพเพื่อสื่อความ ให้เข้าใจเท่านั้น ดังนั้นอย่ายึดติดในคำพูด แต่ให้ยึดถือแนวทางปฎิบัติตามอริยมรรค เพื่อเข้าถึงพระนิพพานด้วยตัวเองครับ
     
  16. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    แล้วอีกอย่างอรูปพรหมเองก็ไม่มีรูปร่าง ถ้าจะกล่าวเช่นที่คุณธรรมภูติว่ามา พระนิพพานเองจะต่างอะไรกับอรูปพรหมครับ ผู้ที่ยังติดอยู่ในรูป และอรูป ซึ่งทั้งสอง เป็น 2 สังโยชน์ ใน 10 สังโยชน์ ลองตรองดูดีๆครับ ตราบใดยังมีผู้รู้ ตราบนั้นก็ยังอยู่ในสังสารวัฎนี้แหละครับ ไม่มีทางใช่พระนิพพาน แต่พระนิพพานไม่ใช่ ทั้งผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้ แต่เป็น"สิ่ง"ที่มีมาอยู่ก่อนแล้วที่จะมี "ผู้รู้" และ "สิ่งที่ถูกรู้" จิตเดิมแท้นั้นประภัสสร เคยได้ยินมั้ยครับ แต่จิตเดิมแท้ต่างกับจิดตอนนี้ที่เป็นอยู่ยังไง อันนี้คือกุญแจที่จะไขไปสู่พระนิพพาน
     
  17. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตามภาษาคนรู้น้อย ถ้อยศึกษา 55+ขออภัย

    คุณจินนี่ คนดีศรีอยุธยา
    ไม่เห็นตนเป็นตน(ขันธ์ ๕)
    ไม่ยึดขันธ์ ๕ เป็นตัวตน
    ไม่เห็นธรรมเป็นตน(ขันธ์ ๕) แล้วหรือไร

    พูดแต่น้อย แน่ใจหรือว่าท่านไม่เข้าข่ายสัญญาวิปลาส ^-^
     
  18. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    อันนี้น่าจะเป็นคำที่เปรียบกับนิพพานได้ใกล้เคียงแล้ว ดังนั้นใครก็ตามที่คิดว่านิพพาน เป็นนคร เป็นเมืองแก้ว เป็นตัว เป็นตน ลองอ่านข้อความข้างบน อันนั้นแหละ นิพพาน
     
  19. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตามภาษาคนรู้น้อย ถ้อยศึกษา 55+ขออภัย

    แล้ว คุณอภิภู แน่ใจหรือว่า ที่คุณจินนี่ คนดีศรีอยุธยา ยกมานั้น
    คุณจินนี่ เค้าเข้าใจได้ถูกต้อง ตามนั้น
    ในเมื่อ คุณจินนี่ เห็นว่า จิต คือ วิญญาณ คือ หนึ่งในขันธ์ ๕

    ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ ไม่มีทุกข์เจือปน บรมสุขแท้
    ของคุณจินนี่ เกิดขึ้นลอยไปลอยมา โดยไม่มีจิตรู้
    (เพราะเค้าเข้าใจว่า วิญญาณดับ จิตดับ)


    (smile)
     
  20. mr.surin

    mr.surin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +129
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้
    การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
    ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ ฯ

    พุทธพจน์
    พระไตรปิฏกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ นิพพานสูตรที่ ๓

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]





     

แชร์หน้านี้

Loading...