เจ้าของร่างที่เเท้จริง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 14 ตุลาคม 2008.

  1. Misspink777

    Misspink777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +148
    ซ้วยข่อยแหน่ HELP SOS Aiuto!!!!!!!!

    อยู่ไปก็เหมือนตาย
    อยากกลับไปเป็นตัวของตัวเอง
    คิดถึงบ้าน
    อยากกลับบบ้าน
    อยากพูดโดยไม่จำเป็นต้องโกหกเพื่อความอยู่รอด
    ปลงไม่ตก
    ห่วงลูก
    หลงตัวเอง
    ใจเสอะ
    ปากเปาะ
    ลอยไปลอยมา
    เหนื่อยใจ จัง
    น้ำท่วมปาก
    โง่ดักดาน++ -
    ----------เป็นไงจ๊ะเพื่อนๆ-----แบบอารมณ์ เนื้ยเลย-----------
    ใครก็ได้ช่วยสงเคราะที แบบว่ามืดตื็บ
    เจ๊โดษ
    พี่วิสนุ
    ซ้วยข่อยแหน่ HELP SOS Aiuto!!!!!!!!
     
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    อืมมมมม.......................บอกว่า อย่าคิดมาก ก็ อยู่กับปัจจุบันไปก่อนเด้อ

    พอรู้ความจริง ก็ทำให้ จิตเเตกไปกันอีก คน จนได้...เฮ้ออออ....ธรรมดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2008
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    จริงๆเวลาที่สันโดษสอนคนเปิดตาที่สามด้วยตัวเองก็พูดง่ายๆ เเบบนี้

    เพราะ คนกลับไปลองดูความคิดของตัวเอง เเล้วไม่คิด ไม่คุม จิตมันก็เปิด

    เพราะ มิติที่ 4 มันคือ คิด ถ้าเรารู้ว่า ตัวเราไม่ใช่คนที่คิด

    เราก็จะรู้เองว่า จิตเป็นผู้ควบคุมร่างกายหรือ โปรแกรมเมอร์ มาโดยตลอด

    เห็นป่ะ....รู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนคิด ....จิตมันก็เปิดเอง ....ง่ายจะตาย..ธรรมดามั๊กมัก
     
  4. นิรันตรพินทุ

    นิรันตรพินทุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +10

    อิสระ
     
  5. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ถ้าฝึกปฏิบัติธรรมแนวผมนะ ไม่ยากสเลยนะนี่ คนแบบนี้จะพิจารณา
    รูปนาม ที่ชื่อ อัตตา ได้ดี ทำอะไรปุ๊ปจะเห็นเลยว่า มีอัตตา เกิดก่อน
    แล้วการกระทำก็ไปเสิรฟ์ตัวตนนั้น เป็นลักษณะ ปกป้อง เชิดชู ตัวตน
    ไว้ พอทำไป ก็ให้รู้สึกไปด้วยว่า เสิรฟตัวตน แล้วก็ทำไปตามปรกติ

    แต่ถ้าอันไหนเห็นเกินปรกติ ก็เจตนางดเว้นเอาเองไปก่อน

    จนกว่าคำว่า เสิรฟตัวตน จะเกิดขึ้นเองในจิตใจ เหมือนคนรำพึง เมื่อ
    นั้นก็ใกล้แล้ว สังเกตอะไรที่เกินปรกติ จะค่อยๆ ลดลงโดยเราไม่ต้องไป
    เจตนางดเว้น

    พอทำไปอีก คำว่า เสิรฟตัวตน ไม่มีการรำพันในใจ พร้อมๆกับ กริยา
    อาการที่เป้นไปเพื่อเสริฟตัวตนขาดวั๊บไปเองตั้งแต่มีผัสสะปัจจัยกระทบ
     
  6. บรม

    บรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,926
    วุ่นวายจังเหมือนคนเลย ดีใจที่ได้อ่าน
     
  7. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    คุยกันมานานฟังเพลงพักผ่อนกันเถอะ ความหมายเพลงนี้ดีน๊า

    <object width="315" height="80"><param name="movie" value="http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2G07GEPB0&Autoplay=0"><param name="scale" value="noscale" /><param name="wmode" value="transparent"><embed src="http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?Autoplay=0&songID=V2G07GEPB0" width="315" height="80" scale="noscale" wmode="transparent"></embed></object>

    <CENTER>เนื้อร้อง</CENTER>
    <TABLE><TBODY><TR><TD><PRE>
    yondeiru mune no dokoka okude
    itsumo kokoro odoru yume wo mitai

    kanashimi wa kazoekirenai kedo
    sono mukou de kitto anata ni aeru

    kurikaesu ayamachi no sonotabi hito wa
    tada aoi sora no aosa wo shiru
    hateshinaku michi wa tsuzuite mieru keredo
    kono ryoute wa hikari wo dakeru

    sayonara no toki no shizukana mune
    zero ni naru karada ga mimi wo sumaseru

    ikiteiru fushigi sinde iku fusigi
    hana mo kaze mo machi mo minna onaji
    la la la la la la...

    yondeiru mune no dokoka oku de
    itsumo nando demo yume wo egakou

    kanashimi no kazu wo iitsukusu yori
    onaji kuchibiru de sotto utaou

    tojiteiku omoide no sono naka ni itsumo
    wasure takunai sasayaki wo kiku
    konagona ni kudakareta kagami no ue nimo
    atarashii keshiki ga utsusareru

    hajimari no asa shizuka na mado
    zero ni naru karada mitasarete yuke

    umi no kanata niwa mou sagasanai
    kagayaku mono wa itsumo koko ni
    watashi no naka ni mitsukerareta kara
    la la la la la la...</PRE></TD><TD><Pre>
    บางครั้ง ฉันได้ยินเสียงเรียก จากส่วนลึกในใจฉัน
    ฉันอาจจะตกอยู่ในห้วงฝัน ความฝันที่ช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้

    ผ่านน้ำตากี่ร้อยพันหยดแห่งความโศกเศร้ากี่ร้อยพันอย่าง
    แต่ฉันรู้ว่าในอีกฝั่งหนึ่ง ฉันจะได้พบเธอ

    ทุกครั้งที่เราล้ม เราจะมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบน
    และระลึกว่าฟ้ายังเป็นสีฟ้า เหมือนครั้งแรกที่ได้มอง

    ทางสายเปลี่ยวนี้อาจจะยาวไกล และไม่อาจเห็นปลายทาง
    แต่ฉันสามารถรับสัมผัสแห่งแสงที่โอบล้อมด้วยสองมือและหัวใจ

    ยามฉันเอ่ยคำลา หัวใจฉันหยุดนิ่งในสัมผัสละมุน
    ร่างกายว่างเปล่า เริ่มระลึกถึงสิ่งจริงแท้ในความสงัด

    ความหมายของการดำรงอยู่ ความหมายแห่งการดับสูญ
    สายลม เมืองและดอกไม้ทุกสิ่งล้วนมุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน
    ลา..ลา..

    บางครั้ง ฉันได้ยินเสียงเรียก จากส่วนลึกในใจฉัน
    จงเรียนรู้ที่จะฝัน และเก็บรักษามันไว้

    อย่าพร่ำบ่นถึงความเศร้าโศก หรือความเจ็บปวดใดในชีวิต
    จงใช้ริมฝีปากเดียวกัน ขับขานบทเพลงหวาน ให้กับตัวเอง

    เสียงเพรียกแผ่วเบา ของทุกความทรงจำที่เลือนหาย
    จะคอยนำทางเธอเสมอ

    แม้แต่เศษกระจกแตกร้าวกระจัดกระจายบนพื้นดิน
    ยังสามารถสะท้อนภาพชีวิตใหม่ได้

    หน้าต่างแห่งชีวิต นิ่งเงียบในแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ
    ร่างกายว่างเปล่าจะถูกเติมเต็ม และก่อกำเนิดใหม่

    ไม่จำเป็นที่จะออกไปค้นหา ไม่จำเป็นที่จะฝ่าข้ามผืนทะเล
    เพราะฉันได้เจอสิ่งล้ำค่าที่อยู่ในตัวฉันเอง
    ฉันได้เจอสิ่งล้ำค่าที่จะอยู่กับฉันตลอดไป
    ลา..ลา..</PRE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. Misspink777

    Misspink777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +148
    บางครั้ง ฉันได้ยินเสียงเรียก จากส่วนลึกในใจฉัน
    ผ่านน้ำตากี่ร้อยพันหยดแห่งความโศกเศร้ากี่ร้อยพันอย่าง
    ทางสายเปลี่ยวนี้อาจจะยาวไกล และไม่อาจเห็นปลายทาง
    ความหมายของการดำรงอยู่ ความหมายแห่งการดับสูญ
    เสียงเพรียกแผ่วเบา ของทุกความทรงจำที่เลือนหาย จะคอยนำทางเธอเสมอ
    แม้แต่เศษกระจกแตกร้าวกระจัดกระจายบนพื้นดินยังสามารถสะท้อนภาพชีวิตใหม่ได้
    ไม่จำเป็นที่จะออกไปค้นหา ไม่จำเป็นที่จะฝ่าข้ามผืนทะเล
    ไม่อยากพร่ำบ่นถึงความเศร้าโศก หรือความเจ็บปวดใดในชีวิต

    อยากใช้ริมฝีปากเดียวกัน ขับขานบทเพลงหวาน ให้กับตัวเอง

    Somewhere over the rainbow way up high

    There's a land that I heard of once in a lullaby

    Somewhere over the rainbow skies are blue

    And the dreams that you dare to dream really do come true
    One day I'll wish upon a star

    And wake up where the clouds are far behind me

    Where troubles melt like lemon drops
    Away above the chimney tops

    That's where you'll find me

    Somewhere over the rainbow bluebirds fly

    Birds fly over the rainbow

    Why oh why can't I

    Where troubles melt like lemon drops
    Away above the chimney tops

    That's where you'll find me

    Somewhere over the rainbow bluebirds fly
    Birds fly over the rainbow

    Why then oh why can't I
    ;aa23
     
  9. Misspink777

    Misspink777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +148
    แล้วต้องทำไงอะ? โปรดบอก
     
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    เอ้า.....ลูกค้า จิตเเตกเเล้ว........กลุ่มปริยัติ........ทำงาน!!!
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ระหว่างรอ ฝ่ายปริยัติ

    อิฉัน อยู่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (พวกเอาตัวรอด.. ช่องไปเรื่อย แหะ แหะ)

    ขอเสนอแนะให้ท่าน สงบจิต สงบใจ หยุดการคิดฟุ้งซ่านทั้งปวง

    โดยการพักผ่อน ทำใจให้สบาย หยุดคิดถึงสันโดษ (แหะ แหะ) ชั่วคราว

    แล้วไปดูหนังฟังเพลง หรือจะแบกเป้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา ก็ดีนะคะ

    ถ้าฟังธรรมหรือสวดมนต์แล้วหยุดฟุ้ง ก็ทำได้ค่ะ แต่ถ้ายิ่งทำยิ่งฟุ้งก็ควรหยุดไปก่อน

    พอจิตสงบหยุดฟุ้ง สติกลับมาอยู่กะตัวแร้ว ค่อยเริ่มกิจกรรมใหม่
     
  12. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    NicolinoMio<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1585913", true); </SCRIPT> ฟังนะ ไม่ได้ให้อ่าน หมายความว่า?

    ให้จินตนาการว่า ตา คือ หู เเละ ตัวอักษร คือ เสียง

    ทำจิตให้ นิ่งเเละ เข้าใจ เพียงเเค่นั้น อันไหนไม่เข้าใจก็ไม่ต้อง พยายาม และ บังคับให้ตนเอง เข้าใจ

    เพราะ จริตของคนเราไม่เหมือนกัน เราคิดไม่เหมือนใคร เพราะเรานั้น ไม่ใช่ใคร

    ความพิเศษ ของ จิตมันคือ ความเเตกต่างที่ไม่เหมือนใคร

    เริ่มต้น จากความชอบเเละ ถูกใจ จึงเกิดเป็นการเรียนรู้เเละ ความชำนาญในสิ่งนั้น

    หากเรารู้สึกว่า เราไม่ชอบ เเละเราไม่ถูกใจ แสดงว่า ไม่ถูกจริต หรือ ไม่ถูกใจ

    เราก็จะไม่สามารถเรียนรู้ สิ่งนั้นได้นาน จนเกิดเป็น ปัญญา
     
  13. นิรันตรพินทุ

    นิรันตรพินทุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +10
    นั่งขัดเพชร แล้ว14จังหวะ ดูสิ
    ต่อให้เป็นเป็นมารชนิดไหนก็อยู่ไม่ได้

    ...ก่อนเข้าอุกฤษฎ์ รู้เรื่องการเจริญสติมาก่อน
    อาการบ้าเลยหาย(ที่เล่าๆไปนั้นน่ะ มัน ขณะบ้า)
    สอบอารมณ์เลยไม่โดนซ่อม

    มีหลายคนนะที่ ฟั่นเฝือ ไป
    ว่าไป ถ้าไม่เจอเองไม่รู้หรอก จะบอกให้

    อะ ฝ่ายปริยัติ มาสักทีสิ....
     
  14. Siamese Wizard

    Siamese Wizard Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +42
    ตึ่กๆ....ตึ่กๆ....ตึ่กๆ 0.0
     
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ตรงนี้แหละลำบาก

    โดยทั่วไป ก็จะต้องถามหา วิธีปฏิบัติ ซึ่งจะต้องมีการลงมือทำ ออกแรงทำอะไร
    สักอย่างหนึ่ง จึงจะได้ชื่อว่าทำ

    แต่เรานึกไม่ถึงว่า จริงแล้ว การคอยรู้สึกตัว รู้สึกใจว่า มีความรู้สึกใด อารมณ์ใด
    อาการใดอยู่ จะเป็นวิธีที่เรียกว่า ปฏิบัติอยู่

    แค่คอยรู้สึกว่าตอนนี้ มีอารมณ์ใด ขยับส่วนใด ก็ปฏิบัติไปแล้วเรียบร้อย โดยไม่
    ต้องไปคอยสร้าง คอยทำ คอยวางอารมณ์ สลัดอารมณ์ วางท่วงท่า กำหนดท่วง
    ทีของการขยับกาย ตามรู้ ตามดูมันไป เท่าที่เป็นตามปรกตินั้นแหละ ก็คือการปฏิบัติ
    ธรรมในพุทธวิธีแล้ว

    เรียกกันตามความนิยมว่า ดูจิต หรือ ดูกาย

    คนที่ช่างคิด ช่างพูด ก็ต้องเรียกว่า ตัวเองนั้นต้อ ดูจิต

    คนที่ชอบทำ ชอบสวย ชอบงาม ชอบหล่อ ก็ ดูกาย

    ดูกายนี้ ก็อย่างที่บอก ก็แค่คอยรู้สึกตามไปว่า ตอนนี้ขยับกายอย่างไร หาก
    ชอบทำ ต้องทำอะไรสักอย่าง ก็ต้องทำสิ่งที่เรียกว่า ทำสมาธิตามรูปแบบ
    ทำมันนำร่องไป ผลก็จะได้จากการทำสมถะ ก็จะมีอะไรแปลกๆ ลุ่มลึกไปเรื่อยๆ
    แต่สิ่งเหล่านั้น เป็นผลพลอยได้ สิ่งที่เป็นหลัก คือ ตามดูมันขยับอย่างไร
    เช่น ทำสมถะจากการหายใจ ก็ดูท้องขยับ ดูลมขยับ ดูลมร้อน ดูลมอุ่น เย็น ก็
    ว่ากันไป แล้วแต่รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ชัด ถนัดรู้อันไหน ก็ให้จับความรู้สึก
    นั้น แล้วจะเห็นสภาวะที่มันปรากฏ กับไม่ปรากฏ ทำให้รู้ รูป แล้วเห็นความไม่
    เที่ยง

    ดูจิต ก็ไม่มีอะไร เรารู้จักอารมณ์ปรุงแต่งต่างๆอยู่แล้ว ไม่ว่า หยิ่ง พยอง พองขน
    กล้า กลัว เหนียม อาย โกรธ โมโห อิจฉา อยากได้ อยากมี อยากเป็น ก็เพียง
    แต่คอยระลึกดูว่ามันมีอารมณ์เหล่านี้ปรากฏ โดยการรู้ตามหลังไปหลังจากทำไป
    แล้ว แต่อย่าตามหลังจากที่ได้ลงมือลงไม้ หรือมีวาจากรรมออกไปแล้วก็เท่านั้น
    เอง

    ทำทั้งสองแบบ บ่อยๆ เนืองๆ เดี๋ยวก็จะพบกับการที่จิต มันไประลึกรู้อารมณ์ หรือ
    รูปกาย ได้เอง โดยเราไม่จงใจ พอเกิดขึ้น ก็จะรู้จักคำว่า เจริญสติ ที่เป็นสัมมาสติ
    เป็น อสังขาริกัง เป็นเจตสิกที่เกิดขึ้นเอง ปราศจากการเจตนาทำให้เกิด พอพบตัวนี้
    ก็เท่ากับพบสิ่งที่เขาเรียกว่า ผู้รู้ จิตพุทธะ

    พอรู้จัก สัมมาสติ จิตพุทธะแล้ว ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะจะตามรู้ ถึงอาการไม่
    เที่ยง เป็นทุกข์ ของสภาวะธรรมที่ไปเห็น(รูปกาย , รูปอารมณ์) ตอนนั้นก็จะพอเห็น
    สิ่งที่เรียกว่า มรรค เพราะจะรู้ทันทีว่า หากสติเกิด และเห็นไตรลักษณ์ กิเลสจะดับหาย
    ไปจากเรา

    เช่น เราตามรู้กาย แล้ววันหนึ่งกำลังอาบน้ำ แล้วสติไปเห็นรูปแขนเกิดการเห็นรูป มัน
    ก็กลายเป็นเห็นธาตุ เห็นท่อนไม้ เห็นมือเป็นท่อนไม้ เกิดการละวางตัวตน เห็นแขน
    ไม่ใช่แขนตนเกิดขึ้น นี่คือ การละวางตัวตนลง กิเลสการยึดมั่นตัวตนถูกทำลาย แต่มัน
    แว็บเดียว ไม่ได้ทำให้ถึงตาย ตกอกตกใจอะไรมาก แต่นั้นแหละ เรียกว่าเห็นมรรควิธี
    โดยการดูกาย

    หากดูจิต ไปเห็นอารมณ์ปรุงเพื่อรักษาอัตตา เพื่อนล้อเลียนเรา ทั้งๆที่ไม่มีอะไร เราสร้าง
    อัตตาขึ้นมา แล้วเตรียมปรุงอารมณ์โทษะ จะผลักดันตอบโต้ แล้วสติไปเห็นเข้า ก็จะ
    เห็นอารมณ์มันพุ่งมาจากอก ไม่ทันออกไปทางปาก ก็ขาดวับ กิเลสตกหายทันที นี้แหละ
    เรียกว่าเห็นมรรควิธีโดยการดูจิต

    จะเห็นว่า วิธีปฏิบัติไม่มีอะไรเลย แค่เติมการรู้ตาม ( อนุสติปัฏฐาน ) ไปทางกาย ก็เป็น
    กายานุสติปัฏฐาน ไปทางจิต ก็เป็น จิตตานุสติปัฏฐาน แค่นี้แหละ การปฏิบัติธรรมของ
    พุทธศาสนา

    ส่วนการทำสมถะนั้น จะเอามาใช้ประโยชน์ในแง่ ทำให้จิตใจตั้งมั่นในการ ตามรู้ได้รวด
    เร็ว หากสมถะไม่ค่อยได้ทำ กิเลสมันจะเกิดไปนานแล้ว จิตค่อยไประลึกรู้เอาตามหลัง
    นานเกินไป เราอาจลงไม้ลงมือไปแล้ว หรือ ด่าทอเขาไปแล้ว ทำกรรมไปแล้วจิตก็
    ต้องเศร้าหมอง ดังนั้น ส่วนใหญ่เขาก็ต้องอราถนาศีลเข้ามาช่วย แต่ถ้าได้ทำสมถะมาพอ
    แก่การตามรู้ วจีกรรม กายกรรมก็ไม่เกิด เพราะสติตามรู้ได้ทันท่วงที ศีลก็จะค่อยๆสถิตย์
    เข้ามาที่ใจ ที่มโนทวาร จนเรียกว่า มีอธิศีล อินทรีย์สังวรณ์ ทำได้แบบนี้ การยึดมั่นถือ
    ศีลแบบนอกๆ ก็จะหมาดความจำเป็นลง ไปพร้อมกับการรู้สึกว่ามีอัตตาต้องรักษาก็ลดลง
    และความสงสัยในการปฏิบัติธรรมก็จะลดลง ตามลำดับ

    หากธรรมทั้งสามถูกละไปได้ ไม่ว่าจะการยึดมั่นถือศีลพรต สักกายทิฏฐิ และ วิจิกิจฉา
    หายไป ตอนนั้นก็คงไม่ต้องถามใครแล้วว่า ปฏิบัติธรรมอย่างไร แต่จะกลายเป็นคนสอน
    ธรรมะแทน แต่ก็อาจจะสอนผิดได้อยู่นะ แต่ก็ยังดีกว่า แถมได้ชื่อว่า ต่ออายุศาสนาได้
    แล้ว
     
  16. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    มีอีกส่วนหนึ่ง ที่นักปฏิบัติธรรมมักวางจุดประสงค์ไว้ผิด เหมือนๆกับการคอย
    จะถามหาวิธีปฏิบัติ ที่ต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง นั้นคือ การเห็นอริยสัจจ4

    ตรงนี้ โดยส่วนมากจะใช้วิธีทำความเข้า เพราะอริยสัจจ4 ดูเหมือนเป็นเรื่อง
    การมีความรู้ จึงใช้วิธีการอ่านทำความเข้าใจเอาบ้าง กาขบคิดไตร่ตรองเอา
    บ้าง แต่จริงๆแล้ว อริยะสัจจ4 เห็นได้ 4 ครั้งเท่านั้นในชีวิตคนๆหนึ่ง

    ดังนั้น อริยัสจจ4 ไม่ใช่เรื่องที่จะทำการเห็นได้บ่อยๆ เข้าใจได้ทุกเมื่อ เพราะการ
    เห็นอริยสัจจนั้น ต้องให้ผลการเป็นอริยะ หากเราเห็นอริยสัจจด้วยการช่วยเห็น
    เจตนาเข้าไปเห็น อ่านทำความเข้าใจเอา ขบคิดเข้าใจเอา ปลงความเข้าใจเอา
    เราจึงมีอริยะเต็มบ้านเต็มเมือง แต่จริงๆแล้ว ไม่มี

    การเห็นอริยสัจจ จะต้องเกิดตามกระบวนการเห็นโดยตัวจิตเขาเห็นเอง ปราศจาก
    การช่วยคิด หรือเจตนาไปเห็น เห็นแล้วก็ต้องเกิดกระบวนการเกิดมรรคจิต ผลจิต
    โดยที่เรายังมีสติตามรู้อยู่โดยตลอด ไม่ใช่รู้ล่วงหน้า หรือ วูบหมดสติไปแล้วมาคิด
    ได้ทีหลัง มาสงสัยว่าได้เอาทีหลัง

    การเห็นอริยสัจจ จะเกี่ยวข้องกับ การยังคอยตามรู้ตามดู

    หากยังมีสิ่งที่เกิด แต่เรายังหลง ระลึกรู้ไม่ทัน มองไม่เห็น หรือรู้เห็นแต่คล้อยตาม
    โดยจมไปแบบสุดโต่ง แล้วทำให้จิตหมอง หรือ ฟูพอง ก็เท่ากับยังมีสิ่งหลงเหลือ
    ให้ศึกษา ก็เท่ากับยังไม่เห็นอริยสัจจ

    แปลกที่การเห็นอริยสัจจกลับต้องเห็นเป็นรอบ โดยต้องเห็น 4 รอบถึงจะหมดเหตุ
    ที่ไม่รู้ โดยแต่ละรอบก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรในเรื่อง วิธีปฏิบัติ เพราะใช้วิธีเดิม และ
    วิธีเดียว ก็คือ คอยตามรู้ตามดู อย่างเดิม เพียงแต่ความละเอียด ปราณีตของกิเลส
    และอนุสัยจะมีทั้งหมด 4 ระดับให้คอยรู้ รอบแรกนั้นก็แค่การละสักกายทิฏฐิ รอบที่
    สองก็ละเพิ่มอีกบางส่วน รอบที่สามก็จะวางกายเห็นเป็นตัวเราได้อย่างเด็ดขาด ส่วน
    รอบสุดท้ายก็คือการละวางตัวจิตที่คอยมีสติตามรู้ตามดูนั้นแหละ

    แต่ถ้าได้ฟังแบบนี้ แล้วช่วยคิดเอา ก็จะเกิดการเห็นอริยสัจจแบบช่วยคิดเอา ก็จะเอา
    ความเข้าใจมาจับ พอรู้ว่าสุดท้ายต้อวางจิตวางสติ ก็แกล้งทำความเข้าใจแล้วทิ้งจิต
    ทิ้งสติกันไปเลย แบบนี้ก็จะผิดธรรม ไม่เป็นลำดับ ไม่เรียกว่าพ้นสมมติ แต่เรียกว่า
    พวก ไม่มีสติ ไม่มีจิตใจ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับอริยะเจ้าทั้งหลาย โดยมีความแตกต่าง
    ในปฏิปทา แต่ไม่ต่างโดยคำพูดคำจาที่ปรุงออกมา ที่มีความแตกต่างตรงปฏิปทา
    เพราะว่า กายกรรมนั้นคุมได้ยากกว่าวจีกรรม เผลอกายนั้นง่ายกว่าเผลอพูด

    ที่นี้ การเห็นอริยสัจจเป็นอย่างไร

    ก็แค่เห็นทุกข์ พอเห็นทุกข์ อริยะสัจจทั้งสี่จะเห็นพร้อมกันในขณะนั้นไปเลย ไม่มี
    การแยกเห็นที่ละตัว คือทันที่เห็นทุกข์เข้า สมุทัยจะถูกละ จะประจักษ์นิโรธน มรรค
    เจริญ(ครบองค์ 8) ในขณะจิตนั้นเลย ซึ่งไม่ใช่การคิด หากเห็รอริยะสัจจแบบคิดมัน
    จะผ่านนับร้อยขณะจิต ไม่ใช่ขณะจิตเดียว จะเห็นว่า คนละเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการ
    ทำมรรค 8 ทีละตัวยิ่งคนละเรื่อง บางคนคิดว่านี้คือการเห็นแบบอริยะเจ้า ทำให้เกิด
    อรหันต์เต็มบ้านเต็มเมือง จริงๆมันคนละเรื่อง

    การเจริญมรรค 8 ทีละตัว เป็นเรื่องของการประคองอารมณ์ จงใจเจตนา คือการทำสมถะ
    ธรรมดาๆ ไม่ใช่เรื่องวิปัสสนาเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องกุศล เพราะมันไปเกี่ยว
    ข้องกับ กุศลกรรมบท 10 ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานของผู้ใฝ่ศึกษาธรรมทั่วไป (ศาสนาไหนก็มี)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2008
  17. visnu

    visnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +23,778

    แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่โกแองก้านะครับ

    "ธรรมะอาภา และธรรมกมลา หลักสูตรท่านโกแองก้า 0-2993-2711"
    ศูนย์ ธรรมอาภา อยู่จังหวัด พิษณุโลก ศูนย์ธรรมกมลาอยู่ จ.ปราจีนบุรี ท่านอาจารย์โกเอ็นกา เป็นชาวอินเดีย ได้นำวิปัสสนาไปเผยแผ่ในอินเดียอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่สูญไปนาน ท่านเปิดสาขาอยู่ทั่วโลก หลังสูตร 10วัน

    ถ้าไปได้จะได้คำตอบทุกอย่างที่คาใจครับ
     
  18. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    สนับสนุนครับ สายท่านโกเอนก้าก็ได้ หลวงพ่อคำเขียน(หลวงพ่อเทียนก็ได้)

    หรือกลุ่ม ยุบหนอ พองหนอ(วัดชลประธาน) ก็ได้

    เพราะกลุ่มเหล่านี้จะใจกว้าง ไปทำกรรมฐานในกลุ่มนี้แล้วจะไม่ปิดกั้นการรู้
    ในแนวธรรมของสำนักอื่นๆ ซึงเป็นเรื่องดี เห็นความไม่ยึดมั่นตั้งแต่ต้นทาง
     
  19. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
  20. Misspink777

    Misspink777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +148
    IT-s OK

    ;aa16แบบว่า ไม่สามารถไปปฏิบัติธรรมที่โกแองก้า หรือที่ไหนๆก็ตามแต่ เพราะติดที่ระยะทาง และหลายๆองค์ประกอบ
    เเต่ก็ขอขอบใจเพื่อนสมาชิกทุกคนที่ให้คำแนะนำและทำให้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้
    คงไม่มีอะไรดีเท่ากับ อัตตาหิ อัตโนนาโถ รวมถึงการ ปล่อยวาง และปลง อีก การสวดมนต์ ทำสมธิ อะไรๆก็จะคลี่คลายไปตามครรลองของมัน อยางที่ควรจะเป็น
     

แชร์หน้านี้

Loading...