//// "อานาปานสติ" ตั้งแต่ต้น จน แจ้งธรรม ////

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย xeforce, 16 ธันวาคม 2013.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    พระสงฆ์ หากจะสอน ท่านสอนได้ทั้งหมด ที่มีปรากฏใน พระไตรปิฏก
    โดยไม่ต้องกลัวผิด กลัวถูก พระ เณร สอนได้หมด

    แต่การ รับรองผล การจี้ไปที่ผล หรือ การต่อยอดจาก ผลการภาวนา

    บางอย่างต้องอาศัย การรู้จริง ก็จะดีมาก เพราะมันเป็นการ ส่งจิตออกนอก
    คนสอนจะต้องมั่นใจ หนทาง ของเขาพอควร แต่....ในโลกนี้ มีเพียง พระพุทธองค์
    เท่านั้นที่ ชี้ได้ นอกนั้น จะต้องอาศัย การเดาสุ่มไปทั้งนั้น ( ไม่มีใครบอกได้ถูก )

    แต่บางอย่าง ไม่ต้องรู้จริงก็ได้ เพราะมันเป็น ฌาณวิสัย เราอาศัย
    เรื่องกิเลส นิวรณ์ ที่กรุ้มรุมจิตอยู่ แค่นั้น ก็เพียงพอแล้วแก่การทำให้
    จิตกลับมาที่ฐานของจิต ไม่ส่งออก

    ดังนั้น

    เวลาผมดู พระท่านสอน ก็ไม่เห็นท่านจะสอนอะไรในทางตน อย่างมากก็พูด
    เป็นพิธี เป็นเพียงการให้นิสัย หลังจากนั้น ก็เห็นแต่ ชี้ให้ดูกิเลส ชี้ให้ดูนิวรณ์
    ชี้ให้ ย้อนพิจารณาตน ไปเรื่อยๆ

    ก็จะเห็นว่า

    เป็นการชี้ทุกข์ ชี้กิเลส ชี้ภาวะสวะ ซึ่ง เหล่านี้ ไม่ต้องไปดูว่า ของใครมี ของใครไม่มี

    เรื่อง ทุกข์ กิเลส ภาวะสวะ เหล่านี้เป็น ธรรมของกลาง ไม่มีเจ้าของ

    ชี้ได้สบายๆ แล้ว ชี้กันแต่ พวกนี้

    ใครไปนั่งโง่ ร้องแร่แห่กระเชิงว่า อย่าด่ากิเลสข่อย อย่ามาทับถมนิวรณ์ข่อย
    ซอยข่อยเด้ อันนั้น มันแปลว่า ยังฟังธรรมไม่เป็น เราก็ ปล่อยไปก่อน

    เงียบไปก่อน

    ก็เห็นมีแค่นี้ ในเว๊บบอร์ด ( คนที่มาถามธรรมจริงๆ จะ เอาตัวเองมา แบ ให้ตี )

    แต่พอตีแล้ว ตกใจ เข้าป้อม กอดกิเลส อายกิเลส อันนั้น ก็ให้เวลากันไป เดี๋ยว
    ก็กลับมาใหม่ ถ้าไม่ น้อยใจ เอาโลกเหนือกว่าธรรม ทิ้งธรรมไปเสีย

    ก็ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไร
     
  2. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413


    ถูกต้องครับ พระอริยะสงฆ์นั้น ท่านสอนได้ทั้งหมด และสอนไปที่สภาวะ

    ของกิเลสบ้าง ทุกข์บ้าง สภาวะจิตบ้าง แต่้สิ่งเหล่านั้น ท่านนิวรณ์

    ทราบหรือไม่ว่าคนที่ พาตัวเข้ามาปฏิบัติ เค้ายืนอยู่ตรงไหน เค้ามีสติ

    และสมาธิ มากพอหรือยังที่จะ เห็นสิ่งต่างๆ ที่เวียนในจิตนี้ หากเค้า

    เป็นผู้ที่เริ่มต้น ที่จะปฏิบัติ แล้วไปแนะนำอย่างนั้น เค้าจะงงไหม เค้าจะสับสนไหม

    อย่างการที่ผมโพสลงก็เป็นแบบกลางๆ ปฏิบัติอานาปานสติ จนจิตผู้นั้น เริ่มมีสติ

    และสมาธิ จนเห็นสิ่งต่างๆที่เวียนในจิตนี้ได้ พระอริยะสงฆ์ท่านก็เป็นอย่างนี้

    ท่านก็สอนในรูปแบบก่อนใช่หรือไม่ แต่ถ้าหากท่านชี้ ไปที่สภาวะเลย ผู้เริ่มปฏิบัติ

    ก็จะพากันท้อใจในสัทธรรมนี้ซะก่อน เพราะจิตที่ยังฟุ้งซ่านอยู่นั้น ไหนเลย

    จะพิจารณาธรรม ที่เวียนในจิตได้



    .....................................................
     
  3. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    อย่าไปใส่ใจเลยครับ เขาชื่อนิวรณ์ จึงทำตัว ปิดกั้นหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุถึงความดี ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี ตามความหมายของชื่อเขานั่นแหละ

    คอยแต่จะจับผิดผู้อื่น แต่ไม่จับผิดตัวเอง สร้างความลำบากให้หมู่คณะผู้ปฏิบัติธรรมไปทั่ว
     
  4. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ที่คุณปราบผีอธิบายว่า ....ส่วนตัวญาณนั้นเป็นความรู้ น่าจะเป็นคนละประเภทกับ ผู้รู้
    อุปมาเหมือนกับ
    ความรู้ที่อาจารย์สอน กับ สมอง เทียบได้กับ
    ญาณ กับ ตัวผู้รู้...
    นั้น

    เปรียบเทียบ ว่า ถ้าความรู้ = ญาณ, สมอง = ตัวผุ้รู้ หรือยังไงครับผมงง

    ส่วนผม เข้าใจว่า ตัวญาณ ก็คือตัวผู้รู้ อีกตัวหนึ่ง ตัวจิตก็คือตัวผู้รู้อีกตัวหนึ่ง
    อุปมาจิต ดังกระจกตั้ง ขวาง กั้นตัวญาณอยู่ กระจกที่ขุ่นมัว เปรียบเหมือน นิวรณ์ที่กลุ้มรุมจิตอยู่ เมื่อไดขจัดนิวรณ์ได้ก็เข้าสู่ฌาน ตัวจิต ที่เป็นดังกระจกก็จะใส ตัวญาณก็เด่นเห็นความเป็นจริง เห็นกาย และเห็นใจ ตามความเป็นจริง
    เมือได ตัวญาณเห็นความเป็นจริงก็จะเรียกว่าเกิดปัญญา ซึ่งปัจจุบันเขาเรียกว่าวิปัสสนาญาณ

    ....พระวัดป่า กล่าวว่า ของจริงเป็นใบ้ พูดได้ไม่ใช่ของจริง ของจริงก็คือตัวญาณนั้นเอง ที่พูดได้ก็ยังเป็นตัวจิต

    ...เราทำฌานไม่ได้ แต่เราก็สามารถสร้างตัวสัมปชัญญะ เพื่อให้เห็น ด้วยสัมปชัญญะ ตัวสัมปชัญญะก็ เป็นตัวญาณนั้นแหละ แต่มันไม่เด่นพอ ตัวญาณ ตัวสัมปชัญญะ ตัวนิพพานธาตุ คืออะไร ก็คือนามธรรมอันเดียวกันนั้นแหละ เีพียงแต่อยู่คนละสถานะ

    .....เมื่อพระอรหันต์ นิพพาน ก็ยังเหลือนิพพานธาตุ สูญเฉพาะ ตัวขันธ์ห้า เท่านั้น ตัวจิตคือผู้รู้ก็สูญ จริงหรือเปล่าท่าน แล้วท่านจะเอาอะไรไปมากกว่านี้
     
  5. กัญชาอารยะ

    กัญชาอารยะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +26
    เท่าที่ผมรู้สึกได้นะครับ หลายคนยังมีอัตตาหรือegoแรงอยู่เลยถ้าเป็นแบบนี้แล้วเราจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีประโยชน์ได้อย่างไรครับ ปล่อยวางสิครับ
    ผมพอจะจับจุดคุณ.นิวรณ์ได้ว่าเค้าจะเปิดประเด็นด้วยการกระตุ้นอัตตาของอีกคน เมื่ออีกคนโดนกระตุ้นจิตเค้าย่อมตอบโต้หรือปกป้องตัวเองโดยอัตโนมัติ พอเขาสติหลุดหลงไปตามอารมณ์เข้าก็จะหาทางตอบโต้คุณกลับ แล้วคุณก็จะว่าเค้าว่าแค่คุมอารมณ์โกรธตัวเองยังทำไม่ได้เลยยังดูจิตตัวเองไม่เห็นเลย แต่ถ้าคิดดูดีๆนะครับคุณ.นิวรณ์เองที่ไปกระตุ้นเขาก่อน แล้วอีกฝ่ายก็ตอบรับแล้วเด้งกลับไปกลับมา อย่างคำโบราณที่ว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง

    ไม่ทราบว่ามุมมองผมตรงกลับที่คุณคิดบ้างหรือป่าว เปิดรับคำชี้แนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2013
  6. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    ญาณคือ ความรู้ ไม่ใช่ตัวผู้รู้

    ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ระบุความหมายดังนี้
    [73] ญาณ 3๒ (ความหยั่งรู้, ปรีชาหยั่งรู้ — insight; knowledge)
    http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=73

    ส่วนผู้รู้ คือ จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์, สภาพที่นึกคิด, ความคิด, ใจ, วิญญาณ — mind; thought; consciousness; a state of consciousness)       “จิต” มีไวพจน์ คือ คำที่ต่างเพียงรูป แต่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายกัน ใช้แทนกันได้หลายคำ เช่น มโน มานัส หทัย บัณฑร มนายตนะ มนินทรีย์ และ วิญญาณ เป็นต้น (อภิ.สํ. 34/21/10; ฯลฯ) คำเหล่านี้มีความหมายเกยกัน มิใช่ตรงกันโดยสมบูรณ์ ใช้แทนกันได้ในบางโอกาส มิใช่เสมอไป
    http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=356

    ผู้รู้ หรือ จิตนั้นเป็นธรรมชาติรู้ แต่จิตไม่ใช่ญาณ จิตไม่ใช่ความรู้

    ที่อุปมาก็คือ
    จิตผู้รู้ อุปมาเหมือน สมอง
    ญาณ อุปมาเหมือน ความรู้ ที่เกิดขึ้นจากการเรียนการศึกษา

    ความรู้ กับ สมอง ต่างกัน
    ญาณ กับ จิตผู้รู้ ก็ต่างกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2013
  7. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    ตอบ คุณ กัญชาอารยะ

    จริงๆ ประเด็นนี้ผมก็อยากให้จบไป เพราะไม่เกิดประโยชน์ในธรรม
    เป็นเรื่องของบุคคล การท่่านนิวรณ์ เปิดประเด็นกระตุ้นอัตตาของคน
    ให้ออกมานั้น หากลองมองให้ลึก การทำอย่างนั้นเกิดประโยชน์อะไร
    ในธรรมนี้ เพราะทุกคน ก็ล้วนมี อัตรา ตัวตน ด้วยกันทั้งสิ้น หากจิต
    ยังไม่บริสุทธิ์ ถึงพระอรหันต์.. แต่จะมากจะน้อย อันนี้ ก็เป็นที่บุคคลไป
    และการที่ท่านนิวรณ์ กระตุ้นอัตตาของคนอื่นนั้น มองให้ลึก...เพราะอะไร
    ถ้าไม่เป็นเพราะ ที่อัตตาของท่าน นิวรณ์เอง ที่จะดึงอัตตาผู้อื่นออกมา
    เพื่อเทียบเคียงว่า "เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราแย่กว่าเขา" เพราะ
    อย่างนั้น ผมจึงบอกว่ามันไม่เกิดประโยชน์อะไร กับการกระทำนี้ ส่วนเรื่อง
    การที่ท่านนิวรณ์ แนะนำธรรมะ สอน หรือแสดง ภาษาี่ที่ใช้มันกระชับ
    และแสดงถึงภูมิธรรมว่ารอบรู้ และเข้าใจเรื่องจิตดี แต่อาจเป็นสไตล์ที่
    ดูแตกต่างและตรงที่จิตเรา ก็เหมือนตบหน้าเราอย่างแรง ถ้าเป็นเรื่องของ
    ธรรมก็เป็นเรื่องดีครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องตัวบุคคลเมื่อไหร่ กระทู้ก็จะเดือดพล่าน
    เลยทีเดียว.. แต่ถ้าเป็นกระทู้นี้ ที่เห็นผมตอบโต้ไป ก็เพราะท่านนิวรณ์
    บอกให้ผมกับมาดูที่ตนว่าสติผมทันไหม ผมก็โต้ไปให้ท่านนิวรณ์ย้อนไปดูที่
    จิตตนเหมือนกัน และผมก็แจงไปถึงเจตนา ที่โพสกระทู้นี้ โดยท่านนิวรณ์ยังไม่
    ทราบว่าผมมีเจตนาอะไร ผมก็บอกให้ย้อนกลับอ่านให้ดี และอธิบายว่าเจตนา
    ผมอย่างไรที่ท่านนิวรณ์ ยังเข้าใจผิดอยู่ ส่วนผมบอกท่านนิวรณ์ไปแล้ว
    ท่านนิวรณ์จะไปอ่านซ้ำหรือไ่ม่ จะเข้าใจหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องผมแล้ว ผมเลยไม่
    ตอบโต้อีก แม้ในเรื่องที่ท่านนิวรณ์โพสใหม่ เรื่อง "กิริยาจิต" ที่เข้าใจผิด
    ไม่ได้อ่านให้ถี่ถ้วนก่อน

    เมื่อคนกล่าวตู่มาก็แก้ให้รู้ตามจริง ส่วนเค้าจะใคร่ควรซ้ำหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องเราแล้ว
    แต่หากเป็นเรื่องธรรม หากยังเห็นผิดอยู่ ผมก็จะแก้ให้ถูก อย่างในโพสนี้
    เรื่อง การข้ามโครต ของท่าน Tboon หนึ่งเรื่อง... เรื่องการสอน ของพระอริยสงฆ์
    ของท่านนิวรณ์ หนึ่งเรื่อง... ก็ต้องเข้าใจกันให้ถูก แม้จะต่างความคิด ต่างมุมมอง
    แต่ความจริงของธรรมะก็ตามนั้น ส่วนในเรื่องการเล่าประสบการณ์ การปฏิบัติ และ
    การแนะนำไป หากผิดตรงไหน ไม่ตรงตามธรรม กล่าวล่วง กล่าวตู่ พระพุทธองค์ ถ้าท่านใด
    เห็นว่าผิด และติมา เตือนมาก็ยอมรับ และจะแก้ไข ไปตามที่ถูกต้อง จะได้ไม่เป็นโทษ
    ด้วยกันทั้งสองฝ่าย



    ...........................................................
     
  8. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    จิตที่ตั้งมั่น แล้วเข้าไปเห็นการเกิดดับของสารพัดความคิด แท้จริงมันไม่เป็นทุกข์หรอกครับ

    แต่ที่คุณเห็นว่าทุกข์นั้น เพราะยังไม่เห็นถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปอย่างแท้จริงต่างหาก

    นั่นเป็นเพียงการใช้ความคิด จากสัญญาเก่าๆ ที่คุณสะสมมา การปฎิบัติวิปัสนานั้น หากมีตัว

    ความคิดเข้ามาเอี่ยวด้วย มันก็มองไม่เห็นครับ
     
  9. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    ขออนุญาติตอบ คุณ มารโลกันต์

    ขอให้คุณมารโลกันต์ กลับไปอ่านที่ต้นกระทู้อีกครั้งครับ
    ว่าผมปฏิบัติอย่างไร เอาจิตเข้าไปเอี่ยวกับความคิดหรือไม่
    หรือผมละ จากสิ่งเหล่านั้น แล้วกลับมาระลึกที่ลม

    การเห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร ที่ผมเห็นว่ามันเกิดขึ้นและดับไป
    ยกตัวอย่าง เช่น ผมรู้สึกที่ลม จิตก็เกิดที่รูป พอความจำที่เป็น
    ตัวสัญญาผุดขึ้น จิตที่เกิดในรูปก็ดับ มาเกิดที่สัญญา เป็นต้น
    การเห็นอย่างนี้ เรียกกว่า เห็นเกิด เห็นดับ ซึ่งการเกิดและดับนี้
    ก็คือ สภาพทุกข์ ก็เมื่อจิตเห็นอยู่อย่างนี้ จะไม่เห็นทุกข์ได้อย่างไร
    ในเมื่อสภาพทุกข์ แสดงตนขนาดนี้



    ......................................
     
  10. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    งั้นผมขอถามต่อนะครับว่า เมื่อเห็นว่ารูปดับ พอสัญญาเกิด จิตย้ายมาอยู่ที่สัญญา

    แล้วตัวสัญญาที่เป็นความจำต่างๆ มันดับไปไหมครับ แล้วกรรมฐานของลมหายใจ

    ยังดำเนินต่อหรือไม่
     
  11. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413


    ตอบ คุณ มารโลกันต์

    การที่ผมปฏิบัติอานาปานสตินั้น ผมปฏิบัติอย่างนี้ครับ
    รู้สึกที่ลมอยู่ เมื่อจิตเคลื่อนไป จับ เวทนาบ้าง สัญญาบ้าง
    สังขารบ้าง ผมจะกลับมาที่รูป (ลม) ด้วยการที่ผมละความ
    เพลินไม่ปล่อยให้จิตไหล ไปอยู่ที่ ความคิดต่างๆที่กล่าวมานั้น
    ตรงนี้จิตมันเห็น สภาพทุกข์ เอง ที่มันบังคับไม่ได้ เดี่๋ยวเกิด
    เดี๋ยวดับ เห็นซ้ำๆ อยู่อย่างนี้ ไม่ต้องไปใคร่ควรว่าหรือสอนจิต
    ว่า " นี้เป็นสภาพทุกข์นะ"


    ด้วยการที่เรา สักทำไปอย่างนั้น จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว จะเห็นเอง
    เห็นบ่อยๆ ซ้ำๆ ถึงสภาพทุกข์นี้ พระพุทธองค์จึงให้เรามารู้ืั้ ที่ทุกข์นี้
    ให้เรารู้ที่ทุกข์ ไม่ใช่เป็นทุกข์ เมื่อใดที่เห็น ทุกข์ เมื่อนั้นก็เห็นธรรม

    และเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็รู้แจ้งเอง การปฏิบัติของผม
    มันแค่นี้ ถึงได้บอกกล่าวแนะนำไป ว่าไม่ได้ยากอย่างที่หลายคน
    คิดไป ขาดแค่คนเอาจริง ปฏิบัติจริง

    ......................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2013
  12. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    รับทราบข้อความข้างบนแล้วนะครับ เดี๋ยวถ้าพรุ่งนี้ผมมีเวลาว่าง จะมาทยอยเล่าการปฏิบัติของผม

    เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบ้าง แต่ขอบอกก่อนครับว่า เป็นการปฏิบัติหลายแนวทาง

    และหลายรูปแบบ คละกันไป โดยมีทั้งสายลมหายใจ สายภาวนาพุทโธ และสายที่ว่าด้วยวิชาพลัง

    และการปฏิบัติที่ว่านั้น ก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล ผิดมั่งถูกมั่ง ล้มลุกคลุกคลาน.. ดีใจที่ได้คุยกันครับ
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สัญญามันดับตรงไหน หละนั่น

    สัญญากัดกบาลเห็นชัดๆ สัญญาจูงจมูกมาเชือด มารู้ที่ ลม

    จูงมารู้ลม ต้อย ต้อย ต้อย สัญญานอกจากไม่ดับ ยังบานตะเกียง
    แล้วสำคัญว่า ดับสัญญา

    การจะดับสัญญา เขาให้ดับที่ ผัสสะ

    อะไรคือ ผัสสะ

    ลมหายใจ ไงผัสสะ

    เอา ลมหายใจตั้ง สัญญามันก็ บานขึ้นมา เกิดขึ้นมา สัญญามันดับตรงไหน


    อานาปานสติ มันเป็น กองสัญญา

    สัญญาระลึกได้ว่าอย่างนี้ ลมเข้า ลมออก ยาว สั้น

    ความต่างของสัญญา การระลึกได้ว่า มันต่างกัน นั่นมันจะทำให้เห็น
    ความต่างของสัญญา อนิจสัญญาเกิด

    อนิจสัญญาเกิดนะ สัญญายังไม่ดับเลย มันเกิดเป็น อนิจสัญญา

    ต้องรู้ลมจนลม มันปรากฏเป็น "......." ไม่ก่อรูปเป็นผัสสะ

    พอไม่มี ผัสสะที่เป็นลม สัญญามันถึงจะ เออะ อ๊ะๆ

    พอ เห็นปฏิปทา ปัดติโถ อะเถเถนา สัญญาดับทำอย่างงี้ๆ

    จึงจะทราบ ปฏิปทาที่ทำให้สัญญาดับ

    ส่วน ไอ้ ระลึกได้ แล้ว ลืม หรือ ระลึกได้ แล้ว เปลี่ยนสิ่งระลึก
    เปลี่ยนผัสสะ นั่นมัน คนละเรื่องแล้ว

    สัญญาดับแบบนั้น หมา แมว มันก็ดับเป็น
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อีกแง่หนึ่ง

    ลมหายใจเนี่ยะ ลมหายใจของจริงเนี่ยะ มันเป็น วิบาก

    คำว่าเป็น วิบาก คือ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น จากเหตุเมื่อปีมะโว้โน้น
    เกิดมาแล้ว ก็ต้องมานั่ง หายใจ พงาบๆ ไป จนกว่า จะหมดวิบาก
    กรรมมันหยุดให้ผล ลมหายใจอยากมีต่อแค่ไหน ก็ พงาบไม่ได้

    ดังนั้น

    ลมหายใจของแท้ มันจะเคลื่อนออกมาจาก วิบาก

    ลมหายใจของแท้ จึงปราศจากการแทรกแซง 1000%

    แต่ มนุษย์มันโง่ ลมหายใจพงาบๆ เองได้ ดันทะลึ่ง ไปปรุงลมหายใจ

    ปรุงไม่ปรุงเปล่า ไปเข้าใจว่า ดึงจิตมารู้ลม มาเกาะลม โอ้วมันยอดมาก

    ปัดโถ่ !!

    เขาอุตสาห์ หาธรรมชาติที่ พ้นการปรุง 1000% ให้เป็น อุบายนระลึก

    เพื่อให้เห็นว่า ไอ้ตอนเข้าไประลึกได้เนี่ยะ สัญญามันแปรปรวนไปเรื่อย
    ตามผัสสะ

    สัญญามันแปรปรวนอยู่เป็นนิจ เห็น ความเป็นจริงในกองสัญญาเข้ามา
    มันก็จะได้ การเห็นสัญญาขันธ์

    แต่ถ้า ฉลาดไม่พอ สติไม่ค่อยมี ก็ต้อง ทวนกระแส ใค่ครวญ ไปที่เหตุ

    เหตุคือ ลมหายใจที่ได้มาตามวิบาก มันแปรปรวน และ สิ้น ลงไปเรื่อยๆ
    มันกำลัง ดับลงไปเรื่อยๆ กำลังใกล้ตาย ใช้ลมหายใจที่เป็นต้นทุนในการ
    เกิดมา หมดไปทีละลมหายใจ ไฟไหม้เรือนต่างหาก

    เห็นแบบนั้น มันก็จะ ปัดติโถ ....ผัสสะ มันแปรปรวนเสียขนาด ก็ยังเอา
    สัญญาไปตามจับอยู่ได้ ซึ่ง .....มันก็จะผลิก หรือ สวนไปหาเหตุอีก หาก
    ปัญญายังเขลา ก็โน้นไปโน้น ไปควักเวทนาบ้าง รูปบ้าง อรูปบ้าง มานั่งตรึก

    หลงทางไปกันอีก แทนที่จะ เอาแค่ กองสัญญากองเดียวก็ได้

    ทุกข์ โดยย่อ มันจึงเป็นเรื่อง อุปทานใน "............"

    ไม่ใช่ ทุกข์ เพราะ มันดับ มันเกิด แป่ว แหว่ว แหว่ว แหว่ว
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อีกแง่หนึ่ง

    ตราบใดที่ จิตไม่พ้นขันธ์ จิตยังใช้ขันธ์ทำงาน เช่น สัญญาไม่ดับ จิตมันจะพูดได้

    ตราบใดสัญญายังทำงาน จิตมันจะบอกกรรมฐานได้ บอกทางพ้นทุกข์ได้ บอก
    นั่นบอกนี่ว่า สิ่งนี้ใช้ สิ่งอื่นเปล่า

    ดังนั้น

    เขาจะภาวนาจนมั่นใจว่า จิตมันรู้เห็นปฏิปทาในการพ้นสัญญา จิตไม่ได้
    ใช้สัญญาในการแสวงหาทางพ้นทุกข์

    พอเห็นปฏิปทาน อ้อ สัญญาดับอย่างนนี้ ก็จะมั่นใจได้ว่า ไม่ได้เผลอ
    เพลินใช้ขันธ์หาแสวงหาจิต แสวงหานิพพาน แสวงหาเสียงสวรรคิ์วิมาน
    กระซิบหลอกว่าพ้นทุกข์ แจ้งทุกข์ รู้ทุกข์

    จิตมันจะถึงฐาน

    จิตถึงฐาน จะเงียบกริบ ไม่พูด

    ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องบอกบท ว่าจะต้อง ไปไหน เกาะอะไร
    ดึงอะไร ดันอะไร ปล่อยอะไร

    แม้มันจะไม่พูด การรู้อะไร ปล่อยอะไร พ้นอะไร เจริญอะไร มันก็ทราบ
    ชัด ว่า มีอยู่จริง ไม่ได้ วิปลาสตามสัญญาแจ้วๆ
     
  16. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ญาณคือ ความรู้ ไม่ใช่ตัวผู้รู้

    ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ระบุความหมายดังนี้.......

    .....ผมอ่านที่ท่านให้ลิงค์ที่่ท่านให้มาละ ครับ นี้ไง คนรุ่นหลังถึงได้ศึกษา พระไตรปิฏก มากกว่าที่จะอ่าน คำอธิบายจากพระอาจารย์รุ่นหลัง เพราะ ท่านอาจถูกแต่ไม่ถูกทั้งหมด ยิ่งอ่านยิ่งงง ไม่เหมือน พระไตรปิฏก มิฉะนั้น จะมีคำกล่าวที่ว่า ...เหมือนหงายของที่คว้ำ หงายของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทางได้ไง เหมือน บอกของลึกให้ตึ้น ..

    .... ญาณนี้ มีชื่อหลายอย่าง เช่น จุตูปปาตญาณ คือ ญาณหยั่งเห็นในจุติ และเกิดของสัตว์ทั้งหลาย คือการเห็นสัตว์ทั้งหลายกำลังตายและเกิดในภพภูมิต่างๆ ตามผลกรรม เป็นต้น แล้วถามว่าเห็นด้วยใจหรือเปล่า ไม่ใช่ เห็นด้วยญาณ ตัวญาณก็คือตัวนิพพานธาตุ เป็นประธาน ญาณ เป็นกิริยา สิ่งที่เห็นเป็น กรรม (ประธาน + กริยา + กรรม) = นิพานธาตุ + ญาณ+ สิ่งที่รู้
    .....ญาณ ก็คือการรู้ ที่ไม่ใช่กริยาของจิตแน่นอน พระพุทธองค์ได้แสดงเทศนาธรรมด้วยความรู้ที่มาจากพระพุทธญาณดังที่ในอธิบายในพระไตรปิฏกว่าดังนี้
    ....... ดูกรสารีบุตร ผู้ใดแล พึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ ว่าธรรมอันยิ่งของมนุษย์
    ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะ ของพระสมณโคดมไม่มี พระสมณโคดมทรง-
    *แสดงธรรม ที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง ดูกรสารีบุตร
    ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรก....


    .....พระพุทธองค์ ทรงแสดงธรรม จากความรู้ที่มาจากญาณ นี้ไงผมถึงหลงให้ความวิเศษ ยิ่งฟังยิ่งซึ้ง ไม่น่าเบื่อ
    .....จะเห็นได้ว่าญาณก็คือกริยาของ นิพพานธาตุ ส่วน สิ่งที่รู้ ได้ด้วยญาณ ก็เป็น กรรมนั้นเอง
    ......จะเห็นว่า ญาณมีชื่อต่างๆ ตามที่ลักษณะการเห็นนั้นเอง

    ....สมมุตินะ ถ้า จิต เป็นประธาน แล้ว ญาณเป็น กริยา สิ่งที่รู้ คือกรรม มันก็ผิด เพราะสิ่งที่จิตรู้ เรียกว่าธรรมารมณ์ แล้วจะอธิบายอย่างไร ถ้าความรู้จากญาณแล้วเอามาฝากที่สัญญา แล้ว นำสิ่งนั้นมาอธิบายต่อก็น่าจะใช่ (พระอรหันต์นาคเกษม อธิบายว่า พระองค์ไม่ได้เก็บความรุ้จากญาณใว้ที่ใจ แต่เมื่อต้องการรู้ด้วยญาณก็รู้ได้เลย ถ้าผมจำไม่ผิด) ถ้าจิตเป็นผุ้รู้แล้วเรียกสิ่งรู้ว่าญาณ ตรึกตรองด้วยจิตก็ผิด ดังพุทธพจน์กล่าวข้างบน

    ......ถ้าพระอรหันต์นิพพานแล้ว เหลื่อนิพานธาตุ อยู่ การรับรู้ก็ต้องมี มิได้เหมือนคนหลับ แต่รู้ได้ด้วยญาณรู้แต่คิดไม่ได้ เพราะเป็นอสังขตธรรม เวลาเรากล่าว ไตรสรณะคม ก็เพื่อเชื่อม ระหว่าง ตัวนิพพานธาตุในตัวเรากับของพระอรหันต์นั้นเอง แล้วเราก็จะมี เชื่อกเชื่อมสองส่วน ส่วนหนึ่ง เชื่อมกับพระนิพพานธาตุของพระอรหันต์ เรียกว่าไตรสรณะคม และอีกส่วนหนึ่ง เชื่อมกัน ขันธ์ห้าเรียกว่า กิเลสสังโยชน์

    ....สิ่งที่ผมเข้าใจนี้ ผมได้ลองฟังพระไตรปิฎกดูแล้ว ไม่ขัดแย้งเลย และสามารถอธิบายได้ทุกบท จึงเชื่ออย่างนี้แหละ
    ....ท่านเชื่อของท่านอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ผมก็เชื่อของผมอย่างนี้ แหละ ผมชอบท่านนะ ท่านไม่ได้มีวาทะดูถูกคนอื่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2013
  17. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    พระพุทธเจ้า มีสัพพัญญุตญาณจริง แต่ไม่ได้ รู้ทุกสิ่งตลอดเวลา
    แต่เมื่อใดที่ทรงปรารถนาจะรู้ก็ทรงมนสิการด้วยพระองค์เองถึงเรื่องที่ทรงต้องการทราบบ้าง ถามพระสาวกบ้าง หรือ มีเทพมาบอกบ้าง

    ส่วนการเทศน์ของพระพุทธเจ้า ก็เทศน์จากความรู้ (ญาณ) ที่ทรงรู้จริง
    แต่ก็ต้องมีการปรุงแต่งด้วยสังขาร ออกมาเป็นพุทธพจน์ เพื่อสื่อสารกับโลกสมมุติ
    ในขณะที่ทรงยังดำรงขันธ์อยู่

    เพราะถ้าสังขารไม่ทำงาน ท่านก็คงไม่มีคำพระพุทธพจน์ ตรัสสอนสาวก ได้
    เพราะ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณขันธ์ของท่านยังไม่แตกสลายจึง
    ทำให้รับรู้และสื่อสารกับโลกได้

    แต่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ญาณ กับผู้รู้นั้น ไม่ใช่อย่างเดียวกันแน่นอน
     
  18. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    ขอเสริมคุณซีฟอสนิดนึงที่ว่า

    "เราะทุกคน ก็ล้วนมี อัตรา ตัวตน ด้วยกันทั้งสิ้น หากจิตยังไม่บริสุทธิ์ ถึงพระอรหันต์.."

    จริงๆ แล้ว อัตตาตัวตนนั้น ไม่ว่าเป็นหรือไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ไม่มี อัตตา ตัวตน มาแต่ไหนแต่ไรอยู่ แล้ว มีแต่ความหลงผิดนึกว่า มีตัวตน  กับความยึดถือ ว่าเราว่าเขา

    คำว่า อัตตาสูง self จัด นั้น จริงๆ แล้ว ตรงกับคำว่า "อัสมิมานะ"
    http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_line.php?A=4194&Z=4194

    หลวงพ่อปราโมทย์ท่านสอนว่า
    พระโสดาบันละความรู้สึกว่ามีตัวมีตน (สักกายทิฏฐิ) ได้อย่างเด็ดขาด เพราะเห็นไตรลักษณ์ ของรูปนาม แต่ยังมียึดในรูปนามอยู่ แม้จะรู้ว่า เป็นอนัตตา เพราะว่า ยังเห็นรูปนาม นี้ยังนำความสุขมาให้ จึงยังมีอัสมิมานะ อยู่แต่ไม่มากเท่าปุถุชน

    แต่พระอรหันต์ เห็นว่า รูปนามนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ และเป็นอนัตตา  จึงทำให้ละทั้งสักกายทิฏฐิ (ละได้ตั้งแต่โสดาแล้ว) กับ ละมานะ หรือความถือตัวทั้งหมดได้ เพราะ เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า รูปนาม นี้ทุกข์ล้วนๆ มีแต่ทุกข์ ไม่ใช่ของดีของวิเศษ ที่จะไปยึดถือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2013
  19. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228

    ครับเห็นด้วย
     
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ---------------------ขอแซมนิดนึงครับ...ผมคิดว่า เกี่ยวกับการ พอจะรู้ ว่า อินทรีย์ห้า ของเราเองนั้น มีประมาณเท่าไร สัทธินทรียื วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์....นะครับ....อย่างผมนี่ อินทรียือ่อน ก็ จะ พอรู้ตัว ที่จะไม่ พิมพ์ อะไรให้มันเกินตัว มากไปนะครับ(แปลก ดี หลังหลัง นี่ สงบไปเยอะเลย) คือ หมายถึงว่า อินทรีย์ 5ที่อยู่ข้างในเหล่านี้แหละครับ ที่ จะคอยทำให้เกิดการสังวรณ์ อะไรบางอย่าง ที่แม้แต่ตัวเองก็อ่านตัวเองได้ในขณะนั้น ก่อน จะเป็นกายกรรม วจีกรรม นะครับ (อาจจะเป็นส่วนของสติเล็กน้อย)...ผมว่า ทุกคน มีแหละ อินทรียื5 ท่านนิวรณ์ อาจจะกล่าวคล้ายคล้ายอย่างนี้ ก็ได้ นะครับ..:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...