อัศจรรย์!!! กระแสพลังธรรม.. พระขุนแผนพิชัยสมบัติเนื้อผงเหล็กน้ำพี้(ตำรับขุนแผนชมตลาด)

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย smart7667, 29 กรกฎาคม 2013.

  1. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ด้วยความเคารพ...พ่อท่านบ่าว ท่านตามืดสนิทมองไม่เห็นแต่ก็เคร่งในศีลสมาธิจะว่าไปก็ดุจดัง...เรื่องราวของท่านพระจักขุบาลอรหันต์ตามืดบอด..นี้ เกิดขึ้นเพราะมีเหตุเกิดขึ้น แล้วมีภิกษุไปฟ้องพระพุทธเจ้า เหตุที่เกิดขึ้นแล้วก็คือ ท่านพระจักขุบาล เดินจงกรมไปเหยียบสัตว์ตาย... ภิกษุทั้งหลายเห็นเข้า ก็เลยนำเรื่องนั้นไปฟ้องพระพุทธเจ้า.... มีเรื่องราว พอจะเล่าเป็นสังเขปเบื้องต้นอย่างนี้ว่า.....
    สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวัน ในพระนครสาวัตถี (ดูข้อมูลนี้ในตอนท้าย) เช้าวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายได้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า ในทำนองกล่าวโทษ ท่านพระจักขุบาล ว่า "ท่านพระจักขุบาล ตอนตายังดี ๆ อยู่ ก็นอน ไม่ทำอะไร (ไม่เดินจงกรม) แต่พอตาบอด กลับมาเดินจงกรม ทำให้สัตว์ตายเป็นจำนวนมาก" พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่า "ขณะที่ท่านพระจักขุบาลเหยียบสัตว์ตาย พวกท่านทั้งหลายเห็นหรือ ?" ภิกษุทั้งหลายก็ทูลว่า "ไม่ได้เห็นพระเจ้าข้า (เห็นแต่สัตว์ หมายถึงแมลงเม่า..ตายเกลื่อน ณ ที่จงกรม)". พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า "พวกเธอทั้งหลาย ไม่เห็นตอนที่ท่านเหยียบสัตว์ตาย ฉันใด, ท่านพระจักขุบาลก็ไม่เห็นสัตว์ทั้งหลาย ฉันนั้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า เจตนาเป็นเหตุทำสัตว์ให้ตาย มิได้มีแก่พระขีณาสพ" (ตรงนี้ท่านใช้บาลีว่า "...ขีณาสวานํ มรณเจตนา นาม นตฺถิ..ฯ")
    ภิกษุทั้งหลาย ก็ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุใด คนที่มีบุญญาธิการขนาดเป็นถึงพระอรหันต์ อย่างท่านพระจักขุบาล จะต้องตาบอด ?" พระพุทธเจ้าก็ทรงนำเรื่องราวในอดีตของท่านมาตรัส พอสังเขป (ย่อ..) ว่า
    ในอดีตชาติ ครั้งหนึ่งท่านพระจักขุบาล เคยเกิดเป็นมนุษย์และเป็นหมอ มีชื่อเสียงในการรักษาดวงตา ใครที่มีโรคที่เกิดทางตา หมอท่านนี้รักษาให้หายได้หมด.... ครั้งหนึ่ง มีหญิงหม้ายผู้หนึ่ง มีลูกสาวอยู่หนึ่งคน ป่วยเป็นโรคทางตา ตาเจ็บเกือบมีดบอดมองไม่เห็น ลูกสาวได้นำมาพบหมอรักษา ขอร้องให้ท่านได้ช่วยรักษาตา โดยนางได้บอกว่าตนเองไม่มีค่ารักษาแต่ถ้าตาหายบอด ตนเองและลูกสาวก็จะยอมเป็นทาสรับใช้...ท่านจักขุบาลซึ่งเกิดเป็นหมอในขณะนั้น ก็รับคำ จัดแจงยาอย่างดี แล้วให้แก่หญิงหม้ายนั้นไป...เมื่อหญิงนั้นได้ยามาทำการรักษา ไม่กี่วันตาก็หาย มองเห็นชัดได้ดีเหมือนดังแต่ก่อน.... เกิดความคิดขึ้นมาว่า "ถ้าหมอมาทวงค่ารักษาโดยให้ตนเองและลูกสาวไปเป็นทาส ก็จะลวงหมอ ว่าตายังไม่หาย" พูดง่าย ๆ คือคิดจะเบี้ยวค่ารักษาหรือบิดพลิ้วในคำพูดที่ให้กับหมอไว้นั่นเอง... ไม่กี่วันหมอก็มาถามถึงอาการของนาง นางก็โกหกหมอไปว่า ตายังไม่หาย ยิ่งปวดหนักขึ้นกว่าเดิม ฝ่ายหมอก็เอะใจ ว่ายาของตนนี่ เป็นยาที่ปรุงอย่างดีแล้ว ที่จะไม่หายนั้นเป็นไปไม่ได้แน่ คิดว่า หญิงนี้ต้องโกหกเราเพื่อจะโกงค่ารักษาพยาบาลแน่ ๆ อย่ากระนั้นเลย เราจะทำให้หญิงนี้เป็นคนบอดจริง ๆ จากนั้นก็พูดออกมาว่า "ถ้าอย่างนั้ เราจะปรุงยาให้ใหม่" เสร็จแล้ว ก็กลับบ้าน ปรุงยาชนิดใหม่ แต่เป็นยาที่ทำให้ตาบอด เสร็จแล้วก็นำมาให้หญิงนั้น ให้นางทายานั้นต่อหน้าของตน...หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน ตาของนางนั้นก็มืดบอดสนิท.... ด้วยผลกรรมนั้นนั่นเอง ทำให้ท่านประสพปัญหา ป่วยเป็นโรคทางตามาตลอดทุกภพทุกชาติ แม้จนถึงในชาติสุดท้าย....
    ท่านเกิดในตระกูลคหบดี ในพระนครสาวัตถี มีชื่อว่า มหาปาละ และมีน้องชายอีกคน ชื่อว่า จุลปาละ...เมื่อท่านโตเป็นหนุ่ม บิดามารดา ได้เสียชีวิตลง...ท่านก็ครอบครองสมบัติอยู่กับน้องชายเรื่อยมา....ครั้งหนึ่งท่านได้ไปฟังธรรมในพระเชตวัน เกิดความเลื่อมใส ทูลขอบวช พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า ให้ไปบอกญาติทั้งหลายที่มีอยู่ก่อน (ให้ได้รับอนุญาตก่อน) ท่านมาบอกน้องชาย น้องชายก็อ้อนวอน บอกว่าอย่าเพิ่งบวชเลย ทรัพย์สมบัติเรามีมาก ใช้ทรัพย์สมบัติให้หมดก่อนเถอะ เมื่อถึงคราวแก่แล้ว จึงค่อยบวชก็ได้.... ท่านก็ไม่ยอมจะบวชให้ได้ และได้กล่าวคำพูดสอนน้องชายของตนเอง เป็นคาถาภาษาบาลีว่า
    ชราชชฺชริตา โหนฺติ หตฺถปาทา อนสฺสวา
    ยสฺส, โส วิหตตฺถาโม กถํ ธมฺมํ จริสฺสติ.
    แปลได้ความว่า "บุคคลที่แก่หง่อม มือเท้าไม่ฟังตาม (จะทำอะไรมือเท้ามันก็เคลื่อนไหวไม่ได้ดังใจคิด) เรี่ยวแรงก็ถูกความชรากำจัดแล้ว จะประพฤติธรรมได้อย่างไรเล่า...."
    จากนั้นท่านก็ยกทรัพย์สมบัติให้น้องชายทั้งหมด แล้วก็ออกบวช...หลังจากบวชแล้ว ท่านได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ธุระ ในพระศาสนานี้ มีเท่าไร ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า "มี 2 อย่าง คือ คันถะธุระ (การเล่าเรียนพุทธพจน์) และ วิปัสสนาธุระ คือ การปฏิบัติวิปัสสนา" ท่านตัดสินใจเลือกปฏิบัติวิปัสสนา เรียนกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ออกเดินทางไปปฏิบัติ ณ ที่แห่งหนึ่ง ไกลออกไปจากพระนครสาวัตถี ณ หมู่บ้านนั้นท่านปฏิบัติวิปัสสนาอย่างหนัก ถือธุดงค์ไม่นอน จนในที่สุดในเดือนที่สาม ตาของท่านก็เริ่มเจ็บปวด ในที่สุด ก็บอดสนิทพร้อมกับการได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ สุขวิปัสสกะ (เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ง หมายถึง สำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยไม่มีฌานหรือไม่ได้ฌาน หมายเอาท่านที่เจริญวิปัสสนาล้วน ๆ)
    ข่าวทราบถึงน้องชายของท่าน ที่พระนครสาวัตถี น้องชายก็เลยมีความประสงค์จะให้ท่านพระจักขุปาล เดินทางกลับมายังพระนครสาวัตถีเพื่อจะได้ดูแลรับใช้ท่าน ก็เลยได้ส่งหลานชาย ชื่อปาลิต ซึ่งบวชเป็นสามเณร ให้ไปนำพระเถระกลับมา ขณะที่สามเณรปาลิต จูงพระเถระด้วยปลายไม้เท้ากลับมาถึงป่าแห่งหนึ่ง สามเณรได้ยินเสียงของสาวชาวบ้านร้องเพลงในป่า (เธอคงเก็บผักหักฟืนอยู่และร้องเพลงไปด้วย) เกิดติดอกติดใจในเสียงของหญิงสาวนั้น (ตรงนี้ มีพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในที่อื่นซึ่งท่านยกมาเป็นข้ออ้าง ว่า "นาหํ ภิกฺขเว อญฺญํ เอกสทฺทมฺปิ สมนุปสฺสามิ โย เอวํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฏฺฐติ ยทิทํ ภิกฺขเว อิตฺถีสทฺโท = ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้สักอย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ เหมือนเสียงแห่งหญิงเลย") ก็เลยบอกกลับพระเถระว่า "ท่านครับ รอผมสักพัก ผมมีธุระ แล้วจะกลับมา" สามเณรไปหาหญิงนั้น และได้ทำศีลวิบัติ กับหญิงนั้น (ภาษาบาลีใช้คำว่า "โส ตาย สทฺธึ สีลวิปตฺตึ ปาปุณิ = สามเณรนั้น ถึงแล้วซึ่งความวิบัติแห่งศีล กับหญิงนั้น" ความหมายโดยทั่ว ๆ ไป ก็คือสามเณรไปข่มขืนหญิงนั้นนั่นเอง), พอสามเณรกลับมา พระเถระกำหนดได้ ก็เลยถามสามเณรว่า "สามเณร เธอถึงศีลวิบัติแล้วหรือ ?" ถามถึง 3 ครั้ง สามเณรไม่ตอบ พระเถระก็เลยบอกว่า "เธอเป็นคนบาป, เธอไม่ต้องมาจูงเราอีกต่อไปแล้ว" สามเณรเกิดความสลดใจ เปลื้องผ้าออก แล้วนุ่งห่มอย่างคฤหัสถ์ กล่าวกับพระเถระว่า "ท่านครับ ตอนนี้ผมเป็นคฤหัสถ์แล้ว, ตอนผมบวชก็ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา บวชเพื่อจะมานำท่านกลับบ้านเท่านั้นเอง, มาเถอะครับ เราจะไปด้วยกัน ผมจะจูงท่านไป" พระเถระกล่าว่า "เธอจะเป็นนักบวชหรือเป็นคฤหัสถ์ ก็เป็นคนชั่ว, คนชั่วอย่างเธอ ไม่ต้องมาจูงเราหรอก" (ตรงนี้ จัดว่าเป็นวาทะเด็ดของท่านพระจักขุบาลเถระ บาลีใช้คำว่า "คิหิปาโป สมณปาโป ปาโปเยว = คฤหัสถ์ชั่วก็ดี สมณชั่วก็ดี ก็ชั่วด้วยกันทั้งนั้น" แล้วท่านก็ไล่นายปาลิตไป นายปาลิต (ตอนนี้ไม่ได้เป็นสามเณรแล้ว) ก็บอกท่านว่า "ท่านจะไปอย่างไรละครับ ท่านก็ตาบอด" พระเถระก็กล่าว่า "เราจะนอนตายอยู่ตรงนี้ ก็จะไม่ไปกับเธอแน่นอน" นายปาลิตได้ฟังอย่างนั้นเกิดความละอาย ก็เลยหนีเข้าป่าไป....
    ร้อนถึงพระอินทร์ละซิครับ คราวนี้....ด้วยเดชแห่งศีลของพระจักขุบาล ทำให้อาสนะของพระอินทร์ จากอ่อนนุ่มกลายมาเป็นแข็งกระด้าง และร้อน ท่านก็เลยส่องทิพย์จักษุ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็เลยแปลงกายเป็นบุรุษ ทำทีว่าจะไปพระนครสาวัตถีเช่นกัน เข้าไปหาพระจักขุบาล (ข้อมูลตรงนี้ ในพระบาลี ท่านจะประพันธ์เป็น คาถา จะยกมาสักท่อนหนึ่งเพื่อให้เห็นบาลีบางตอน....)
    สหสฺสเนตฺโต เทวินฺโท ทิพฺพจักฺขุ (ทิพพะจักขุง) วิโสธยิ
    ธมฺมครุโก อยํ ปาโล นิสินฺโน สาสเน รโต.
    แปลได้ความว่า "ท้าวสักกะซึ่งเป็นจอมแห่งเทพ มีพระเนตรตั้งพัน ชำระทิพพจักษุแล้ว คิดว่า พระปาละ นี้ เป็นผู้หนักในธรรม ยินดีในพระศาสนาหนักแน่น." (ท่อนแรกของคาถา คือ คำว่า "สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพพจักขุง วิโสธะยิ มีอาจารย์หลาย ๆ ท่านนำมาเป็นคาถา เสกน้ำล้างหน้า เพื่อป้องกัน ตาเจ็บ ตาแดง.....นี่ก็เป็นความเชื่อ แต่ที่มาเป็นอย่างนี้.)

    พอเข้าไปใกล้ พระอินทร์ก็แกล้งทำหักกิ่งไม้ให้มีเสียงดัง ท่านพระจักขุบาลก็เลยถามว่า "ใคร นั่น" (โก เอโส) พระอินทร์ก็ตอบว่า "ผมเองครับ เป็นคนเดินทางจะไปเมืองสาวัตถี, แล้วพระคุณท่านจะไปไหน ขอรับ" พระเถระก็กล่าว่า "เราก็จะไปเมืองสาวัตถี" พระอินทร์ก็ได้ทีกล่าวว่า "มาไปด้วยกันกับผมนะครับ" พระเถระกล่าว่า "เราตาบอด จะทำให้โยมชักช้าเปล่า ๆ, โยมไปเถอะ" พระอินทร์ตอบว่า "ไม่เป็นไรครับท่าน, หากว่าผมได้จูงท่านไป ผมก็จะได้บุญกิริยาวัตถุสักอย่างหนึ่ง" พระเถระกำหนดว่า "บุรุษคนนี้ เป็นคนฉลาด อาจไม่ใช่คนธรรมดาแน่" จากนั้นพระอินทร์ในร่างของบุรุษเดินทางก็จูงพระเถระไป แต่ไม่ได้ไปอย่างธรรมดา คือท่านได้ย่นหนทาง ให้พระเถระถึงเร็วขึ้น.... พอถึงเมืองสาวัตถี พระเถระได้ยินเสียง แตร เสียงสังข์ เสียงบัณเฑาะก์ ก็ทราบว่ามาถึงเมืองสาวัตถีแล้ว ก็เลยถามบุรุษานั้นว่า "ถึงเมืองสาวัตถีแล้วใช่ไหม ?" ถึงแล้วครับ... ทำไมถึงเร็วนักละ...ผมรู้จักเส้นทางลัดครับ ก็เลยนำท่านมาถึงเร็ว...พระเถระก็เลยกำหนดว่า "บุรุษนี้ ที่แท้ต้องเป็นเทวดาแน่" จากนั้นนำท่านไปนั่งในศาลาในพระนคร แล้วตนเองก็ไปแจ้งข่าวให้น้องชายของท่านพระเถระทราบ.... พอน้องชาย (จุลปาล) ทราบ ก็มารับท่านพระเถระให้ไปอยู่ในพระเชตวัน มอบให้เด็กรับใช้ 2 คน คอยดูแลพระเถระ...
    เมื่อมาอยู่ในพระเชตวัน ทุกเช้ามืดพระเถระก็จะออกเดินจงกรมทำสมาธิประจำ (มีนัยที่ต้องศึกษาว่า ทำไมเป็นพระอรหันต์แล้วจึงต้องเดินจงกรมทำสมาธิอีก) วันที่จะเกิดเหตุที่ภิกษุไปฟ้องพระพุทธเจ้า เกิดฝนตกกลางคืน พอใกล้รุ่ง ก็เลยมีแมลง (ในบาลีใช้ศัพท์ว่า อินฺทโคปกา = แมลงค่อมทอง ,น่าจะหมายถึงแมลงเม่า หรือแมลงอื่น ๆ ) บินมาตกในบริเวณที่ท่านเดินจงกรม. เมื่อท่านเดินจงกรม ก็เลยไปเหยียบแมลงเหล่านั้นตาย...ภิกษุทั้งหลายก็เลยเอาเรื่องนั้นไปฟ้องพระพุทธเจ้า.... พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัส อย่างที่กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้นว่า....
    "ขณะที่ท่านพระจักขุบาลเหยียบสัตว์ตาย พวกท่านทั้งหลายเห็นหรือ ?" ภิกษุทั้งหลายก็ทูลว่า "ไม่ได้เห็นพระเจ้าข้า (เห็นแต่สัตว์ หมายถึงแมลงเม่า..ตายเกลื่อน ณ ที่จงกรม)". พวกเธอทั้งหลาย ไม่เห็นตอนที่ท่านเหยียบสัตว์ตาย ฉันใด, ท่านพระจักขุบาลก็ไม่เห็นสัตว์ทั้งหลาย ฉันนั้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า เจตนาเป็นเหตุทำสัตว์ให้ตาย มิได้มีแก่พระขีณาสพ" (ตรงนี้ท่านใช้บาลีว่า "...ขีณาสวานํ มรณเจตนา นาม นตฺถิ..ฯ")
    แล้วจึงทรงตรัสพระคาถาว่า
    มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
    มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา
    ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทํ
    แปลได้ความว่า " ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นสภาพถึงก่อน มีใจประเสริฐสุด สำเร็จแล้วด้วยใจ
    หากว่า บุคคลมีใจอันประกอบด้วยโทสะแล้ว กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม
    ทุกข์ ย่อมไปตามผู้นั้น เพราะ(ทุจริตทั้ง 3 ทวารนั้น) ประดุจล้อเกวียน หมุนตามรอยเท้าโคไป ฉะนั้น.

    พระคาถานี้ แม้จะเป็นคาถาที่สั้น ๆ (คาถาครึ่ง) แต่ก็ได้รวบรวมหลักคำสอนสำคัญในพระพุทธศาสนา ไว้ทั้งหมด มีสิ่งที่ปรากฏเห็นในคาถานี้ ดังนี้
    1. ธรรมทั้งหลาย คืออะไร ?
    2. ใจถึงก่อน ใจประเสริญสุด สำเร็จแล้วด้วยใจ คืออะไร ?
    3. มีใจอันประกอบด้วยโทสะ (มีบางสิ่งที่ประกอบอยู่กับจิต หรือปรุงแต่งจิตใจ คือ เจตสิก)
    4. กรรม (การกระทำ) ทางกาย วาจา ใจ ที่เรียกว่า เป็นไปในทวารทั้ง 3 คือ กายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร
    5. ความทุกข์ (วิบาก หรือผล) อันเกิดมาจากกรรม
    6. การให้ผลของวิบาก (จะติดตามไปเรื่อย ๆ เหมือนล้อเกวียน) กงกรรม กงเกวียน

    วิเคราะห์เนื้อเรื่องบางตอนและอธิบายคาถา
    อดีตกรรมของท่านพระจักขุบาล ในสมัยที่ท่านเป็นหมอรักษาดวงตา จะเห็นได้ว่าท่านทำกรรมที่ทำให้หญิงนั้นตาบอด พร้อมด้วยเจตนา, และเจตนานั่นเองเป็นตัวกรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ ว่า (เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วาทามิ) และท่านทำกรรม ด้วยอำนาจจิตที่ประกอบด้วยโทสะ คือเกิดความโกรธต่อหญิงนั้น เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "มนสา เจ ปทุฏฺเฐน = หากว่า บุคคลมีใจประกอบด้วยโทสะ" "ภาสติ วา กโรติ วา = จะพูดก็ตาม, ทำอยู่ก็ตาม" คำพูดและการกระทำนั้นก็จะเป็นอกุศล, เป็นบาป, ก่อโทษทุกข์ให้แก่ทั้งตนเองและผู้อื่น.... ตรงนี้จะเห็นได้ว่า การกระทำ และคำพูดนั้น สำเร็จมาจากใจที่คิดนีกตริตรองไว้ก่อนแล้ว (มุ่งหมายเอาการกระทำและคำพูดอันถึงพร้อมด้วยเจตนา) จะเห็นได้ว่า หมอได้คิดนึกไว้ก่อนแล้ว ว่าจะทำยาเพื่อให้หญิงนั้นตาบอด เพราะโกรธที่โกหกตนเอง และบิดพลิ้วไม่ยอมเป็นทาส... ในขณะที่ท่านคิดนึก จัดเป็นมโนกรรมไปแล้ว เรียกว่า พยาปาท.... อกุศลกรรมที่เกิดทางใจซึ่งเรียกว่า มโนทุจริตกรรม นั้น จะมี 3 อย่าง คือ
    1. อภิชฌา คือ การเพ่งเล็งอยากได้ของ ของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยทางที่มิชอบ
    2. พยาปาท คือ การคิดเบียดเบียนมุ่งร้ายต่อผู้อื่น
    3. มิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
    เพราะฉะนั้น เมื่อบุคคลทำกรรมแต่ละอย่าง ใจจะเป็นใหญ่ เป็นประธาน และสำเร็จได้ด้วยใจ อนึ่ง ...การกระทำทางกาย และทางวาจา นั้น เป็นเพียงเครื่องหมายหรือเครื่องแสดงออกของจิตเท่านั้น เพราะว่า เมื่อถึงคราวนับว่าเป็นกรรมนั้น ท่านจะยึดเอาจิตใจเป็นหลัก และตัวที่เป็นเหตุให้เรียกว่าเป็นกรรมได้ชัดเจนก็คือ ตัวเจตนา ซึ่งเป็นเจตสิกชนิดหนึ่งที่ประกอบกับจิต ซี่งจิตและเจตสิกนั้น เป็นธรรมทีแยกจากกันไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้น บางครั้งท่านก็เรียกรวม ๆ ว่าเป็นจิตไปเลยก็มี อย่างเช่นคำว่า จิตโลภ จิตโกรธ จิตหลง.... คำว่า จิตโลภ นั้น คำว่า โลภ มิใช่เป็นอาการของจิต จิตมีอาการคือการรับรู้อารมณ์เท่านั้น ส่วนความโลภ หรือความอยากนั้น เป็นอาการของธรรมอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เจตสิก คือ โลภเจตสิก นั่นเอง.... จิตโกรธ......จิตหลง ก็เช่นเดียวกัน.... คำว่า โกรธ คำว่า หลง ก็เป็นอาการของเจตสิก เช่นเดียวกัน ....
    แม้การกระทำทางกาย จะเรียกว่า กายกรรม, การกระทำทางวาจา จะเรียกว่า วจีกรรม...แต่คำว่า กรรม ที่ต่อท้าย กาย และวจีนั้น ท่านมุงหมายเอาตัวเจตนาที่ประกอบอยู่กับจิต หรือใจ... อาการเคลื่อนไหวทางกาย และคำพูดต่าง ๆ ที่บุคคลพูดออกมา เป็นอาการปรากฏของจิตใจอันประกอบด้วยเจตนานั่นเอง........
    ในขณะที่ท่านพระจักขุบาลเดินจงกรมเหยียบแมลงเม่าตาย จัดว่าเป็นอกุศลกรรมหรือไม่ ? ข้อนี้ พระพุทธเจ้าตรัสตอบแก่ภิกษุชัดเจนแล้วว่า "เจตนาที่จะทำให้สัตว์ตาย (เจตนาจะฆ่าสัตว์) ย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพ (ขีณาสพ = ขีณ + อาสว แปลง ว เป็น พ สำเร็จรูปเป็น ขีณาสพ แปลว่า ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว) จิตของท่านในขณะเดินจงกรม เป็นมหากิริยาจิต การกระทำจัดเป็นกิริยา ไม่จัดว่าเป็นกุศลหรืออกุศล....เหตุที่ท่านยังทำสมาธิ เดินจงกรม ก็เพราะว่า
    1. ท่านสำเร็จอรหันต์เป็น สุขวิปัสสกะ ไม่มีฌานเกิดขึ้น ท่านประสงค์จะทำโลกียฌานก็ได้ (คือทำรูปฌานกิริยา, หรืออรูปฌานกิริยา)
    2. เพื่อเป็นการทำจิตให้สงบ (หมายความว่า ทำจิตที่รับอารมณ์หลาย ๆ อย่าง ให้มารับอยู่เฉพาะอารมณ์เดียว) มิใช่ทำจิตที่ฟุ้งซ่านด้วยกิเลสให้สงบ เพราะท่านไม่มีกิเลสอยู่แล้ว
    3. เป็นการออกกำลังกาย
    4. เป็นกิจวัตรของท่าน
    คำว่า "ธมฺมา" ที่ปรากฏในพระคาถานี้ ท่านพระอรรถกถาจารย์ กล่าวว่ามี 4 อย่าง คือ
    1. คุณธรรม เป็นการแสดงว่า ธรรมนี้เป็นกุศล นำสัตว์ไปสู่สุคติ, ธรรมนี้เป็นอกุศล นำสัตว์ไปสุ่นรก เป็นต้น....
    2. เทศนาธรรม อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงธรรม แก่เธอทั้งหลาย"...
    3. ปริยัติธรรม ก็คือ พระไตรปิฎกทั้งหมด ที่ภิกษุเล่าเรียนศึกษา
    4. นิสสัตตนิชชีวะธรรม คือธรรที่ทรงแสดงว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ชีวะ เป็นแต่สภาวะเท่านั้น ได้แก่ ธรรมต่าง ๆ มี ขันธ์ อายตนะ, ธาตุ... เป็นต้น
    และคำว่า "ธมฺมา" ในพระคาถานี้ ท่านมุ่งหมายเอาเฉพาะ นิสสัตตนิชชีวะธรรม เท่านั้น (ธรรมที่แสดงใน อภิธรรมปิฎก) นิสสัตตนิชชีวะธรรม ว่าโดยสรูป ก็คือ
    1. รูป
    2. นาม
    หรือ ได้แก่ ขันธ์ 5 คือ
    1. รูปขันธ์
    2. เวทนาขันธ์
    3. สัญญาขันธ์
    4. สังขารขันธ์
    5. วิญญาณขันธ์
    หรือได้แก่ อายตนะ 12, ธาตุ 18.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2013
  2. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    พระอาจารย์นิพนธ์ ฐิติโก รองเจ้าอาวาสวัดป่ากอสุวรรณารารม สงขลาเป็นผู้ที่อยู่อุปัฏฐากหลวงปู่ทองมาตั้งแต่ท่านยังเยาว์วัย...พระอาจารย์ท่านเชี่ยวชาญทางอักขระเลขยันต์ สักยันต์เก้ายอด ยันต์นอโมเขาอ้อ ยันต์ทางหนุนดวงชะตา เมตตา มหาลาภ ลงนะหน้าทอง เจิมรถ...และสวดปลุกเสกอาบน้ำมนต์เหมือนที่หลวงปู่ทองท่านเคยสงเคราะห์ลูกศิษย์ทุกประการ....ท่านพระอาจารย์นิพนธ์เข้าสมาธิจิตเป่ายันต์นอโมเขาอ้อปลุกเสกพระขุนแผนพิชัยสมบัติให้อย่างเต็มกำลัง....
     
  3. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    เรื่องเล่าขานของมนตราแห่งอักขระ ลวดลายอันทรงพลัง ที่ถูกประทับไว้บนร่างกาย นำไปสู่การมีพลังอภินิหารแฝงเร้น ฟันแทงไม่เข้า แคล้วคลาดจากความวิบัติ หรือใช้เสริมเสน่ห์ให้ผู้อื่นลุ่มหลง ได้ถูกกล่าวถึงทั้งในรูปแบบของนวนิยาย หรือภาพยนตร์ ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน หากแต่สิ่งนี้คือเรื่องเล่าที่อ้างอิงจากสิ่งที่มีอยู่จริง แม้เวลาจะผ่านมาล่วงเลยมาหลายร้อยปี ความเชื่อเรื่องการสักยันต์ไทย ก็ยังคงเป็นบทพิสูจน์แรงศรัทธาของคนในสังคมไทย ที่ไม่ว่าความเจริญของวัตถุจะล้ำหน้าไปเพียงใด ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่แสวงหาสิ่งยึดเหนี่ยว และของดีจากบรรพบุรุษอยู่เสมอ พระอาจารย์นิพนธ์วัดป่ากอสุวรรณาราม อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลาเป่าปราณลงอักขระเลขยันต์แผ่กระซ่านในองค์เต็มประจุเลยทีเดียว..สัมผัสได้ด้วยจิตเท่านั้นครับ...
     
  4. พ่อน้องหนุน

    พ่อน้องหนุน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +5,562
    พระสมเด็จพุทธกวัก พ่อท่านทวี ร่วมทำบุญ ตามกำลังศรัทธา
    น้ำมันเมตตา (น้ำมันจันทร์เสก) อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ร่วมทำบุญ 200 บาท
    สีผึ้งเมตตาค้าขายวัดถ้ำคูหาภิมุข อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ร่วมทำบุญ 150 บาท
    พระปิดตาลืมตามิดปิดตาเห็น พ่อท่านบ่าว ร่วมทำบุญ 200 บาท
    ช่วยค่าส่ง EMS 60 บาท
    ขณะนี้กำลังปลุกเสกอยู่ จะสามารถให้บูชาได้ในวันที่ 25 สิงหาคม 2556 นี้
    จองรายการละ ๒ องค์ครับ ส่งวันที่ ๒๕ พร้อมกับรายการที่ร่วมบุญในกระทู้ตะกรุดมหาลาภ พ่อท่านทวีก่อนหน้านี้ครับต้องโอนเพิ่ม ๑,๓๖๐ ถูกต้องไหมครับ
     
  5. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านนะครับ...วัตถุมงคลทั้งที่บูชาทำบุญและแจกฟรี...ท่านได้ไว้ต้องติดตัวเลยครัลและสวดมนต์มากๆนะครับขยันหมั่นเพียรจะรวยใหญ่ครับพระท่านช่วยคนดี...
     
  6. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    จะส่งวันที่16นี้ครับ รอนิดนะครับ สาธุครับ..
     
  7. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ด้วยความเคารพครับ..ญาติธรรมชาวบุญพลังจิตทุกท่านที่เคารพครับ..ว่ากันถึงเรื่องพระขุนแผน หลายๆรุ่น หลายๆอาจารย์ในปัจจุบัน มีเยอะเหลือเกิน ถือเป็นการจับจุดที่ถูกสำหรับนิสัยโดยพื้นฐานของผู้ชาย แต่ในอดีต พระขุนแผนคือ พระพุทธเจ้าที่ทรงประทับอยู่ในซุ้มทรงแหลม ( บ้างก็กล่าวคือ พระพุทธชินราช) ซึ่งผู้คนที่นำไปบูชา ต่างได้ผลพุทธคุณที่ครอบคลุม กล่าวคือ เมตตา แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ทำให้คำจำกัดความ ไปตรงกับ ตัวละครในวรรณคดีของไทยเรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน นั่นเองจึงเรียกพระเครื่องลักษณะนี้ว่า พระขุนแผน
    ปัจจุบัน ไม่ดีจริงอย่างที่ว่า หรืออุปโลกกันไปเลย ผพระขุนแผนมีออกมาหลายสำนักเหลือเกิน ต่างมีพลังสรรพคุณกันไปต่างๆนานา บางท่านได้ของดีไปแต่ใช้ไม่ถูกทางก็ตั้งแง่ว่า ผมขอเสนอแนะแนวทางการเล่นพระขุนแผนสำหรับท่านที่สนใจอยู่ในเวลานี้ และยังไม่ทราบว่าจะเลือกอย่างไรดีให้ตรงกับความต้องการครับ
     
  8. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ขออนุญาตบอกกล่าวการเลือกบูชาพระขุนแผน....บนแผ่นดินไทย..(จากประสบการณของตรงๆ)
    1. พุทธลักษณะ ปัจจุบันออกมาแปลกๆมาก บ้างก็ออกมาค่อนข้างล่อแหลม ถามผมว่าดีมั้ย บางองค์แม้พุทธลักษณะออกในทางล่อแหลม แต่ก็ถือเป็นอุปเท่ห์ของอาจารย์นั้น และใช้ได้ผลดีมากๆครับ เลือกให้ตรงใจเรา เช่น ต้องการแขวนรวมกับพระอื่นๆ ก็ดูลักษณะที่เป็นพิมพ์พระพุทธ ไม่มีสตรีเพศอยู่ในองค์พระก็พอครับ
    2. พุทธคุณ อันนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราจะรู้ได้ไงว่าองค์ไหนดีจริงอย่างที่เค้าบอกล่ะ การทดสอบโดยพื้นฐานคือ
    - ใส่แล้วรอบข้างมีการเปลี่ยนแปลงมั้ย ค่อยๆสังเกตุครับ
    -ใส่แล้วร้อนมั้ย อันนี้แสดงว่าแรงแต่น่าจะไม่ค่อยถูกกับตัวเรา บางท่านมีองค์คุ้มแต่ไม่ทราบ องค์ไม่ชอบก็ร้อนสิครับ อาจเกิดกับประเภทสายพรายต่างๆครับ
    -ใส่แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงกับตัวเรามั้ย เช่น พูดเก่งขึ้น มุขเยอะ ทำอะไรมีความมั่นใจขึ้น (ลื่นไหล)
    -ใส่แล้วเรื่องโชคลาภค้าขายดีขึ้นมั้ย การงานเป็นอย่างไร โดยปกติพระขุนแผนสายพระ อาจารย์แต่ละท่านเวลาปลุกเสกจะใส่ด้านโชคลาภ ค้าขายเข้าไปด้วย แล้วแต่ลักษณะว่าจะเน้นด้านไหน โชคลาภ หรือเมตตา
    -ใส่แล้ว นานมั้ยกว่าจะเห็นผล อันนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของท่านและอาจารย์ที่ปลุกเสก ถ้าท่านเชื่อว่าของที่ท่านมีเป็นของดี หมั่นภาวนาคาถากำกับ วันเดียวก็พอครับ แต่ถ้าท่านเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง คิดว่าเอ๊ะเราโดนมันต้มปล่าวนี่ ก็ไม่มีประโยชน์ครับ ผมถือว่าท่านแขวน อิฐ หิน ดิน ปูน เพราะพลังความเชื่อจะส่งผลให้พระขุนแผนท่านก่อพลังได้อย่างเต็มที่เช่นกัน ถ้าแขวนแบบไม่เชื่อแล้วจะซื้อไปแขวนทำไมให้หนักคอครับ
    3. จุดประสงค์การใช้ การเลือกขุนแผนแต่ละท่านเรื่องสตรีอาจเป็นปัจจัยแรกมาก่อน แต่ถ้าเป็นพระขุนแผนที่มาจากพระสงฆ์ ท่านไม่ได้มีจุดประสงค์การสร้างเช่นนั้นทั้งหมดหรอกครับ เชื่อว่า ท่านทำขึ้นเพื่อผู้ศรัทธานำไปใช้แล้ว รอบข้างเกิดความเมตตา เรียกได้ว่ามีคนรักดีกว่ามีคนเกลียดจริงมั้ยครับ เพราะฉะนั้นผมขอให้ท่านที่บูชาพระขุนแผน อยู่ในศีลธรรมด้วยเพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง

    -มีลูกเมียแล้วก็รักเค้าให้ดีๆ มีเพิ่มพาลแต่จะปวดหัว ก่อความไม่สบายใจและเป็นบาปไปเปล่าๆ
    -ถ้าเค้ามีครอบครัวแล้ว ห้ามยุ่งโดยเด็ดขาด อันนี้ผมของเน้นครับ ไม่รู้ก็ผิด ดูดีๆดูนานๆ เรามีของดีอย่าทำให้ของดีเป็นของไม่ดีที่จะชักนำภัยมาสู่ตัวเราดีกว่าครับ
    -อกหัก รักคุด คนรักตีจาก ทั้งๆที่ท่านก็ประพฤติดีแล้ว เคสนี้ผมขอแนะนำเป็นที่สุด เพราะถือว่า อาจเกิดจากกรรมเก่า หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในกรณีนี้พึ่งพุทธคุณดีกว่าจะไปหาสิ่งแย่ๆ หรือทำร้ายตัวเองครับ เคสนี้ได้ผลเป็นที่สุดถ้าเลือกของจริง
    -ค้าขาย ติดต่องาน รับราชการอยากให้ผู้ใหญ่เอ็นดู กรณีนี้แนะนำเป็นอย่างยิ่งครับ จงใช้ความเชื่อและผลที่ตามมาไม่นานเกินรอครับ
     
  9. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    เล่นเป็น ใช้เป็น เห็นผล ทันตา
     
  10. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    พระขุนแผนพิชัยสมบัติ..เป็นพิมพ์พระขุนแผนทรงห้าเหลี่ยม มีพระพุทธรูปปางสมาธิประทับในซุ้มเรือนแก้ว เป็นความหมายของการอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาน คือการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นสิ่งสูงสุดประเสริฐที่สุด มีพุทธศิลป์อ่อนช้อยสวยงาม เข้มขลังมีเมตตามหาเสน่ห์ล้ำลึก เป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของพระขุนแผนที่ได้รับความนิยมมาช้านาน พ่อท่านบ่าว ปิยธโร วัดนางโอ สำนักอาคมสายเขาอ้อ(พ่อท่านดำอดีตเจ้าอาวาสวัดนางโอเป็นศิษย์เขาอ้อ)มนต์คาถาศักดิ์สิทธิ์มีบันทึกสืบต่อกันมาแต่โบราณกาล เล่าสืบกันมาว่าเป็นคาถาวิชาพุทธอาคมขุนแผนชมตลาดที่สามารถใช้เสกแป้งผัดหน้าให้มีราศีและมีเสน่ห์เป็นตำรับวิชาของเอกบุรุษชายชาตรี..มีอานุภาพสูงทางด้าน มหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม คนนิยมชมชอบเป็นที่รักใคร่เสน่หาแก่ผู้ที่ได้พบเห็น เป็นที่รักของเหล่ามวลมนุษย์และเทพเทวดาทั้งหลาย สามารถเรียกจิตเรียกใจคนได้ และยังมีคุณวิเศษทางด้าน เรียกโชคลาภเงินทองได้อีกด้วย
     
  11. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    หาพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ แก้วรัตนทั้งสามประการ ก่อกำเนิดแก้วมหามณีจินดามหาขุนแผนแสนสะท้าน..ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ใดมีไว้ครอบครอง จะเป็นที่รักใคร่เสน่หาของเหล่ามวลมนุษย์ และเทพเทวดาทั้งหลาย แม้แต่อมนุษย์ภูติผี ก็ไม่คิดปองร้ายมีแต่จิตคิดเมตตา เดินทางไปยังที่ใดจะได้รับความคุ้มครองช่วยเหลือสงเคราะห์จากเจ้าที่เจ้าทาง และเทพเทวดาที่ปกปักรักษาที่แห่งนั้นอยู่ ด้วยอนุภาพแห่งจิตพลานุภาพนั้น จะมีความคล่องตัวในด้านทำมาหากินเป็นที่สุด โชคลาภเงินทองจะบริบูรณ์ มีมาไม่ขาดสาย ถึงไม่ร่ำรวยก็ไม่ยากจนเด็ดขาด ประเสริฐเลิศล้ำดียิ่งนัก
     
  12. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ด้วยความเคารพครับ...ผมต้องเรียนว่าผง100กว่าชนิดที่ผสมลงไปในพระขุนแผนพิชัยสมบัติมีมวลสารผงมหาภูติพรายทองคำของหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ ได้รับมอบจากเจ๊ยุพิน เจ้าของโรงงานปั๊มพระผงแห่งหนึ่ง...ซึ่งเป็น ผงพรายกุมาร ที่ทรงอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์มากที่สุด ยิ่งกว่าภูติพรายใดๆในโลกนี้ หาใช่ผงพรายกุมารธรรมดาๆ หรือผงพรายที่สร้างโดย อาจารย์ไสยศาสตร์ทั่วไปไม่ ผงมหาภูติพรายทองคำ สร้างตามตำราพระเวทสายเขมรโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ โดยพระที่ ทรงอภิญญาสมาบัติถึง 2 องค์ คือหลวงปู่ดี และหลวงปู่ชื่น ในสมัยที่ หลวงปู่ชื่น ท่านศึกษาสรรพวิทยาคม อยู่ที่เขากุเลน สำนักวิปัสสนากรรมฐาน ของพระที่ทรงอภิญญาสมาบัติของเขมร หลวงปู่ดี เป็นครูบาอาจารย์ของหลวงปู่ชื่น โดยหลวงปู่ชื่นเคยเล่าไว้ว่าเมื่อทำผงเสร็จแล้ว ท่านได้ใส่ไว้ในกล่องคลุม ด้วยผ้าขาวและทำการปลุกเสกทุกวัน เป็นระยะเวลานาน บางทีเปิดออกมาผง ก็จะจับตัวกันเป็นก้อนก่อร่างขึ้นมา เป็นรูปกุมารบ้าง รูปผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง เป็นรูปต่างๆบ้าง ท่านก็บดทำให้ เป็นผงเหมือนเดิมและทำการปลุกเสกต่อไปทำอย่างนี้อยู่หลายครั้ง จนท่านบอกว่าปลุกเสกจนเห็นเป็นทองคำ หลังจากปลุกเสกจนไม่สามารถจะปลุกเสกได้แล้ว ท่านก็เก็บผงไว้ เพื่อใช้สร้างพระและวัตถุมงคลต่อไป และท่านยังได้นำผงบางส่วน ไปฝังไว้ในดินบริเวณวัด เพื่อให้เรียกคนเข้ามาทำบุญ ผงมหาภูติพรายทองคำนี้หลวงปู่บอกไว้ว่าเป็นกึ่งเทพ กึ่งพราย เพราะถ้าเป็นเทพ เทพที่ไหนจะมาให้คนเรียกใช้ เพราะเทพเขาก็ต้องมีวิมานมีที่อยู่ของเขา เราไม่สามารถเรียกใช้งานหรือสั่งเขาได้ ต้องเป็นกึ่งเทพกึ่งพรายถึงจะดี ผงมหาภูติพรายทองคำนี้เป็นผงพรายสำเร็จ หลวงปู่ปลุกเสกกำกับไว้อย่างดี มีอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์มากดี ทุกอย่าง โดยเฉพาะทางเรียก โชคลาภเงินทอง ท่านบอกว่าถ้าจะสร้างพระก็ใส่ไปได้เลยไม่ต้องปลุกเสกอะไรอีก ต่อมาหลวงปู่ได้ มอบผงมหาภูติพรายทองคำนี้ไว้ให้ลูกศิษย์ที่ท่านไว้ใจที่สุดและหลวงปู่ได้ดูแล้วว่า เป็นคนดีไม่นำไปใช้ในทางที่ผิด และต่อไปจะใช้สร้างวัตถุมงคล เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาสืบต่อไป เพื่อให้เกิดผลสูงสุดแก่ผู้ที่บูชาได้ จึงนำผงวิเศษนี้ใส่ลงไปใน พระขุนแผนพิชัยสมบัติ
     
  13. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ด้วยความเคารพในหัวใจของทุกท่าน...พระปิดตาลืมตามิดปิดตาเห็นแช่นำมนต์ ให้จองและรับพระวันที่25สิงหาคมนี้องค์ละ200บาทครับ สาธุในเมตตาจิตครับ
     
  14. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    น้ำมันเมตตามหานิยมวัดคูหาภิมุข ยะลา ของเก่าแก่เป็นสิบกว่าปี พระครูพิทักษ์ธรรมสุนทร อดีตเจ้าอาวาสวัดคูหาภิมุข ที่ใช้ลงหน้าผากเป็นเสน่ห์เมตตามหานิยมกลิ่นหอมมากๆเลย ชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ชอบมากๆครับ..ท่านเรียนมาจากอาจารย์ทองวัดสำเภาเชย จังหวัดปัตตานี อาจารย์ทองเสกให้พร้อมวัตถุมงคลวัดคูหาภิมุข ยะลาหลายรุ่นหลายแบบเสกอย่างดี ผสมน้ำมันจากสุดยอดวิชาเมตตาของอาจารย์ทองลงไปด้วย..เรียกว่าน้ำมันไก่แก้ว ต้องไปหาในป่า
    แล้วคอยดูไก่ป่ามันชอบหาว่านชนิดนึงไปไว้ในรังของที่มันอยู่
    แล้วให้ดูฤกษ์ยามไปเอามาแช่ไว้ในน้ำมันเป็นเมตตาดีนักแหละท่านเอ๋ย...แรงทางเมตตา ขออนุญาตให้ทำบุญ ขวดละ200บาท พรุ่งนี้ดึกๆจะลงภาพให้ชมและสัมผัสมีเพียง50ขวดครับ บูชากันคนละหลายๆขวดไปเก็บไปใช้ผมว่าดีมากๆ...เชื่อว่าพ่อท่านกี่เจ้าอาวาสวัดคูหาภิมุของค์ใหม่ท่านก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้...ผมกลับยะลาไปรื้อห้องพระเก่าเก็บที่บ้านสะสมมาตั้งแต่ตอนบวช(บวชวัดคูหาภิมุข )
     
  15. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    น้ำมันเป็นสีน้ำมันจันทร์หอมมากๆหอมแบบละมุน สีผึ้งเมตตามีสองสี สีผึ้งสีน้ำตาล สีผึ้งเมตตาสีขาว เสกโดยอาจารย์ทอง ถามที่วัดคูหาภิมุขได้ครับ แต่ต้องถามญาติโยม พระที่มาอยู่นั้นท่านมาจากที่อื่นครับ ท่านไม่ทราบแน่...สีผึ้งบูชา150บาทนะครับ อาจารย์ทองท่านเสกให้วัดเป็นกรณีพิเศษ...
     
  16. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    [​IMG]
     
  17. ยุภาภรณ์

    ยุภาภรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +340
    วันนี้โอนเงินบูชาแล้ว จัดส่งพร้อมตะกรุดและพระผงตามที่อยู่แจ้งทาง sms ค่ะ
     
  18. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    รับยอดแล้วครับ จัดส่งพร้อมกันตามที่รับแจ้ง อนุโมทนาครับ
     
  19. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    พระสมเด็จพุทธกวัก พ่อท่านทวี ทำบุญตามศรัทธา 2 องค์ องค์ละ100 ก็เป็นยอด 1360 ตามนั้นครับ
    รอส่งพร้อมกันกับวัตถุมงคลที่โอนเงินทำบุญมาแล้วนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  20. พ่อน้องหนุน

    พ่อน้องหนุน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +5,562
    โอนแล้ววันนี้ (๑๕ ส.ค. ๕๖) เวลา ๒๑.๔๔ น. ยอด ๑,๓๖๐ บาท จากเคทีบีออนไลน์ครับ ขออนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวลครับ สาธุ./
     

แชร์หน้านี้

Loading...