หลวงปู่สรวง (เทวดาเล่นดิน) พูดถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้...

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Specialized, 30 สิงหาคม 2008.

  1. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    24 ชั่วโมง ก่อนหลวงปู่ละสังขาร

    ตามปกติหลวงปู่จะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง สามารถนั่งรถเดินทางไปไหนมาไหนได้เป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน โดยหยุดพักเพียงเล็กน้อย ท่านไม่ค่อยเจ็บป่วยหรือแสดงอาการว่าเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด จะมีบ้างก็เป็นการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆและก็หายได้ในเร็ววัน โดยไม่เคยฉันยา เพิ่งจะมีอาการป่วยปรากฏในไม่กี่เดือนหลังมานี้ หลวงปู่มีอาการป่วยและไม่ฉันอาหารติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน
    วันที่ 7 กันยายน 2543 เวลาประมาณ 17.00 น. หลวงปู่ได้เดินทางเข้าไปในจังหวัดศรีสะเกษ และได้พบกับลูกศิษย์ นายสมยศฯ ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) สาขาศรีสะเกษ ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่เองก็มีอาการป่วยคือมีเสมหะ และเสียงแหบแห้ง พูดฟังไม่ค่อยชัดและได้ออกจากธนาคารกรุงเทพฯ ไปที่บ้านอาจารย์ทวีศักดิ์ ในระหว่างที่ลูกศิษย์หารือกันว่าจะพาหลวงปู่ไปหาหมอที่อำเภอประโคนชัย(หมอไฮ) หลวงปู่ก็ตื่นขึ้นมาและขอน้ำล้างหน้า หลวงปู่ได้บอกกับนายสมยศว่าจะขอกลับบ้านที่บ้านตะเคียนรามด้วย พวกลูกศิษย์ที่อยู่ในขณะนั้นได้ขอร้องให้หลวงปู่ไปหาหมอที่อำเภอประโคนชัย แต่หลวงปู่ไม่ยอมจึงได้พาหลวงปู่ไปที่บ้านตะเคียนราม
    ถึงเวลาประมาณ 20.00 น. และหลวงปู่ได้นั่งอยู่ในรถสักครู่ใหญ่ๆ และได้บอกให้ลูกศิษย์ก่อไฟและลงไปผิงไฟ ลูกศิษย์ที่ติดตามมามี นายสัญชัย(เจ้าของรถ) , นายดุงกับภรรยา , นายสมยศ (เจ้าของบ้าน) และหลวงปู่ได้ผิงไฟและให้นวดเฟ้นให้จนถึงเวลาประมาณ ตีหนึ่งเศษ หลวงปู่ก็บอกว่า "จะไปตามทางตามเพลา" โดยมีเพียงหลวงปู่และนายสัญชัยเป็นผู้ขับรถเท่านั้น และหลวงปู่ได้เดินทางไปที่กระท่อมข้างวัดป่าบ้านจะบก จนกระทั่งถึงเวลาประมาณบ่ายสองโมงของวันที่ 8 กันยายน 2543 อาการป่วยของหลวงปู่ก็กำเริบหนักขึ้น หลวงปู่ได้บอกกับลูกศิษย์ว่าจะไปที่บ้านรุน และได้ให้นายกัณหา ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งซึ่งอยู่บ้านละลมถอดเสื้อออกมาเพื่อพัดด้านหลังให้กับหลวงปู่ หลังจากพัดอยู่นานพอสมควรก็ได้บอกให้ลูกศิษย์ที่รวมกันอยู่ในกระท่อมในขณะนั้นช่วยกันงัดแผ่นไม้กระดานที่หลวงปู่นั่งทับอยู่ออกมาหนึ่งแผ่น ทั้งที่หลวงปู่ยังนั่งอยู่บนกระดานแผ่นนั้น พองัดออกมาได้หลวงปู่ก็ได้พนมมือไหว้ไปทุกสารทิศ

    [​IMG]
    เสร็จแล้วก็ให้ลูกศิษย์หามท่านออกมาจากกระท่อม และวางลงพื้นดินด้านทิศเหนือ อยู่ระหว่าง
    กระท่อมกับต้นมะขาม โดยหลวงปู่หันหน้าเข้ากระท่อมขณะนั้นมีผู้นำน้ำดื่มบรรจุขวดมาถวาย 2 ขวด หลวงปู่ได้เทน้ำรดตนเองจากศรีษะลงมาจนเปียกโชกไปทั้งตัวคล้ายกับเป็นการสรงน้ำครั้งสุดท้าย นายสัญชัยผู้ขับรถให้หลวงปู่นั่งเป็นประจำได้นำรถมาจอดใกล้ๆ และช่วยกันหามหลวงปู่ขึ้นรถและขับตรงไปที่กระท่อมบ้านรุน อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ โดยมีนายสุข หรือนายดุง(คนบ้านเจ็ก อำเภอขุขันธ์) ขับรถติดตามไปเพียงคนเดียว ก่อนจะถึงกระท่อมนายสัญชัยได้หยุดรถที่หน้าบ้านนายน้อยเพื่อจะบอกให้นายน้อยตามไป แต่หลวงปู่ได้บอกให้นายสัญชัยขับรถไปที่กระท่อมโดยเร็ว โดยบอกว่า "เต็อวกะตวม เต็อวกะตวม กะตวม" พอถึงกระท่อมได้อุ้มหลวงปู่ไปที่แคร่ ในกระท่อมและช่วยกันก่อกองไฟ เพื่อให้เกิดความอบอุ่น และนายสุขได้อาสาขอออกไปข้างนอกเพื่อจัดหาอาหารมาถวายหลวงปู่ และรับประทานกัน นายสุขได้ไปที่บ้านโคกชาด ตำบลไพรพัฒนา ไปพบนายจุกและนางเล็กซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เช่นเดียวกันและได้บอกให้รีบไปหาหลวงปู่ที่บ้านรุน เพื่อดูอาการป่วยของหลวงปู่ซึ่งมีอาการหนักกว่าทุกคราว นางเล็กได้จัดหาอาหารให้กับนายสุขส่วนตัวเองกับสามีได้ขับรถตามไปทีหลัง พอมาถึงกระท่อมปรากฎว่านายสัญชัยขับรถออกไปข้างนอก พวกที่อยู่ก็รีบหุงหาอาหารเพื่อจัดถวายหลวงปู่ โดยหวังว่าหากหลวงปู่ได้ฉันอาหารอาการก็คงจะดีขึ้นบ้าง แต่หลังจากถวายอาหารแล้วหลวงปู่ไม่ยอมฉันอาหารเลย แม้จะอ้อนวอนอย่างไรหลวงปู่ก็นิ่งเฉย นายสัญชัยที่ออกไปทำธุระข้างนอกได้กลับมาโดยขับรถตามนายน้อยที่นำของมาถวายหลวงปู่เหมือนกัน เมื่อไม่สามารถที่จะทำให้หลวงปู่ฉันได้ ทุกคนก็พิจารณาหาวิธีว่าจะช่วยหลวงปู่ได้อย่างไร ในที่สุดก็เห็นพ้องกันว่าให้รีบช่วยกันแต่ง ขันธ์ห้า ขันธ์แปด มาขอขมาหลวงปู่โดยด่วน ตามที่เคยได้กระทำมาและก็ได้ผลมาหลายครั้งแล้วซึ่งจะทำให้หลวงปู่หายป่วยได้ทุกครั้ง และนายสัญชัยยืนยันว่า ถ้าได้แต่ง ขันธ์ห้า ขันธ์แปด ขอขมาและหาแม่ชีมาร่วมสวดมนต์ถวายด้วยแล้วก็จะหายเป็นปกติ ทุกคนเห็นชอบด้วยจึงให้นายสัญชัยรีบดำเนินการโดยด่วน นายสัญชัยได้ขับรถไปที่บ้านขยุงเพื่อหาคนที่เคยแต่งขันธ์ห้า ขันธ์แปด เมื่อนายสัญชัยออกไปแล้วลูกศิษย์ที่เหลืออยู่ซึ่งมีผู้ใหญ่บ้านรุนและลูกบ้านอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งนายมีเจ้าของกระท่อมก็ได้พากันแต่งขันธ์ห้า ขันธ์แปดเฉพาะหน้าอย่างรีบด่วน เพื่อเป็นการบันเทาจนกว่านายสัญชัยจะได้พาคนที่แต่งขันธ์ห้า ขันธ์แปดมาทำพิธีอีกครั้งหนึ่ง โดยนายน้อยได้อาสาไปหาธูปเทียน ในหมู่บ้าน โดยขับ

    รถออกมาห่างจากกระท่อมประมาณ 300 เมตร รถติดหล่มไม่สามารถขับรถออกไปได้ทั้งที่เคยเป็นทางที่ใช้เป็นประจำ ด้วยความร้อนใจนายน้อยได้จอดรถล็อคประตูและขวางถนนทำให้รถคันอื่นไม่สามารถเข้าออกได้ และได้อุ้มลูกเดินเข้าไปในหมู่บ้านในระหว่างนั้นเองนายสัญชัยได้ขับรถเข้ามาแต่ก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้เนื่องจากมีรถนายน้อยติดหล่มขวางทางอยู่ จึงได้กลับเอารถมาจอดไว้ที่บ้านนายน้อย
    ในระหว่างที่กำลังรอคอย นายน้อยออกไปซื้อธูปเทียนนั้น ชาวบ้านรวมทั้งผู้ใหญ่บ้านได้พากันทยอยกลับจนเกือบจะหมดแล้ว และได้มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่าพวกเราน่าจะพาหลวงปู่ไปส่งที่โรงยาบาลจะเป็นการดีที่สุด และแล้วพวกชาวบ้านพากันกลับไปจนหมด ซึ่งผิดจากทุกครั้งที่เขาเหล่านั้นจะอยู่กับหลวงปู่ตลอดเวลาจะกลับบ้านก็ต่อเมื่อหลวงปู่ได้เดินทางไปที่อื่นแล้ว สุดท้ายก็ยังมีลูกศิษย์กับหลวงปู่ในกระท่อมเพียงแปดคนรวมทั้งเด็กที่เป็นลูกของนายจุกนางเล็กด้วย ทุกคนต่างหาวิธีที่จะช่วยให้ความอบอุ่นแก่หลวงปู่ ซึ่งขณะนั้นได้พากันจับดูตามร่างกายของหลวงปู่ จะเย็นจัดตลอด บางคนก็ได้เอาหมอนไปอังไฟให้ร้อนแล้วนำมาประคบตามร่างกายให้หลวงปู่บางคนก็ต้มน้ำร้อน หลวงปู่ได้สั่งให้ลูกศิษย์เอาผ้าชุปน้ำอุ่นมาเช็ดนิ้วมือนิ้วเท้าทำความสะอาดและเช็ดทั่วทั้งร่างกายโดยย้ำว่าให้ทำให้สะอาดที่สุด บางแห่งตามนิ้วเท้าที่ของหลวงปู่ที่ลูกศิษย์เช็ดให้ไม่สะอาดพอ หลวงปู่ก็ใช้นิ้วมือเกาถูอย่างแรงจนสะอาด เมื่อทำความสะอาดร่างกายพอสมควรแล้ว หลวงปู่ได้เอ่ยออกเสียงอย่างแผ่วเบาออกมาเป็นภาษาเขมรว่า "เนียงนาลาน" (นางไหนละรถ) ซึ่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นแผ่วเบามาก ทุกคนเข้าใจว่า "เนียง" นั้นหมายถึงนางเล็กจึงได้พากันอุ้มหลวงปู่ไปขึ้นรถของนายจุกนางเล็ก โดยผู้ที่อุ้มมีนายจุก และนายตี๋ โดยนายสุขเป็นผู้เปิดประตูรถให้ พอนำหลวงปู่ขึ้นนั่งบนรถโดยลูกศิษย์ได้ปรับเบาะเอนลงเพื่อให้หลวงปู่เอนกายได้สบายขึ้น ท่านได้พยายามยื่นมือมาดึงประตูรถปิดเอง ลูกศิษย์จึงช่วยปิดให้รถเลื่อนออกจากกระท่อมเพื่อไปโรงพยาบาลบัวเชด ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากแต่รถออกไปได้ประมาณ 50 เมตร อาการป่วยของหลวงปู่ก็เริ่มหนักมากขึ้นทุกทีจนลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ด้วยด้านหลังตกใจ และร้องขึ้นว่า "หลวงปู่อาการหนักมากแล้ว" และได้จอดรถคนที่อยู่รถคันหลังก็วิ่งลงมาดู และก็บอกว่าอย่างไรก็จะต้องนำหลวงปู่ส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เมื่อรถวิ่งออกมาอีกก็มาติดรถของนายน้อยที่ติดหล่มขวางทางอยู่ไม่สามารถออกไปได้ นายจุก

    ได้ร้องตะโกนบอกให้นายจันวิ่งไปสำรวจดูเส้นทางอื่น ว่าจะมีทางใดที่สามารถจะนำรถออกไปได้และเมื่อสำรวจดูโดยทั่วแล้ว เห็นว่ามีทางออกเพียงทางเดียวก็คือต้องขับฝ่าทุ่งหญ้าออกไปหาถนน แต่ไม่น่าจะออกไปได้แต่ก็ตัดสินใจขับออกไป เหตุการณ์บนรถในขณะนั้น ในขณะที่กำลังเลี้ยวรถเพื่อขับผ่านทุ่งหญ้าออกไปนั้นได้มีอาการบางอย่างที่เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าหลวงปู่จะละสังขารอย่างแน่นอนให้คนที่อยู่บนรถเห็น ต่างคนก็ร่ำไห้มองดูด้วยความอาลัยและสิ้นหวัง หลวงปู่เริ่มหายใจแผ่วลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็ได้ทอดมือทิ้งลงข้างกาย แล้วจากไปด้วยความสงบ อย่างไรก็ตามลูกศิษย์ก็ยังคงนำหลวงปู่ไปที่โรงพยาบาล เผื่อว่าหมอจะสามารถช่วยให้หลวงปู่ฟื้นขึ้นมาได้ ในระหว่างทางไปโรงพยาบาล นายสาด ชาวบ้านตาปิ่น อำเภอบัวเชด ก็ขี่รถจักรยายนต์สวนทางมา นายจุกชะลอรถและตะโกนบอกให้นายสาดตามไปที่โรงพยาบาลบัวเชด พอไปถึงโรงพยาบาล ทั้งนายแพทย์และพยาบาลได้รีบนำหลวงปู่เข้าห้องฉุกเฉินทำการตรวจโดยละเอียด และลงความเห็นว่าหลวงปู่ได้สิ้นลมไปแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ถึง 4 ชั่วโมง ซึ่งลูกศิษย์ต่างก็ยืนยันว่าสิ้นลมไม่น่าจะเกิน 10 นาทีแน่นอน เพราะระยะทางจากบ้านรุนไปโรงพยาบาลบัวเชดประมาณ 10 กิโลเมตร และก็ได้ขับรถด้วยความเร็วสูงด้วย ลูกศิษย์ไม่ให้ทางโรงพยาบาลฉีดยา หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งกับร่างของหลวงปู่ทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะช่วยหลวงปู่ได้แน่แล้ว ก็ได้พากันนำร่างหลวงปู่กลับพอมาถึง บ้านตาปิ่น ก็ได้แวะเอาจีวรเก่าของหลวงปู่ที่เคยให้ไว้กับนายสาด เพื่อนำมาครองให้หลวงปู่ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย และนายสาดก็ได้ขึ้นรถมาด้วยพอมาถึงบ้านรุนก็มีรถนายสัญชัยและนายน้อยจอดรออยู่ ก็ได้แจ้งว่าหลวงปู่ได้มรณภาพแล้ว และได้พากันขับรถมุ่งหน้าจะไปบ้านละลม พอถึงบ้านไพรพัฒนา นายจุกได้ขับรถแวะเข้าไปที่วัดบ้านไพรพัฒนา และได้บอกข่าวให้กับหลวงพ่อพุฒ วายาโม เจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนาให้ทราบ ว่าหลวงปู่สรวงได้ละสังขารแล้ว
     
  2. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    เหตุการณ์ที่วัดไพรพัฒนา

    เวลาประมาณ 19.00 น. ในขณะที่หลวงพ่อพุฒกำลังสนทนากับพระลูกวัดก็ได้มีรถเข้ามาจอดจำนวน 4 คัน โดยมีนายสาด ลงมาแจ้งกับหลวงพ่อพุฒว่าหลวงปู่สรวงมรณภาพแล้ว หลวงพ่อพุฒอึ้งไปขณะหนึ่ง ก็ได้ถามว่ามรณภาพที่ไหน นายสาดตอบว่าที่โรงพยาบาล และได้นำศพของท่านมาพร้อมกับรถนี้แล้ว หลวงพ่อพุฒจึงได้ลงไปเปิดประตูรถดู และได้กราบลงบนตักของหลวงปู่ และได้จับตามร่างกายและหน้าอกของหลวงปู่ดู และก็รู้สึกได้ว่าท่านได้ละสังขารจริงๆ และถามลูกศิษย์ที่นำสังขารหลวงปู่มา ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ลูกศิษย์ทุกคนรวมทั้งนายสัญชัยได้บอกว่าจะนำสังขารของหลวงปู่ไปบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านขยุง หลวงพ่อพุฒ บอกว่าให้เดินทางไปก่อนแล้วอาตมาจะตามไป ขบวนรถทั้ง 4 คันก็ได้เคลื่อนออกจากวัดไพรพัฒนาจะไปยังวัดบ้านขยุง หลวงพ่อพุฒจึงครองจีวรเตรียมอุปกรณ์เรียกหาพระลูกวัดก่อนจะออกเดินทางได้อธิษฐานว่า “สาธุ ถ้าหากหลวงปู่มีความประสงค์จะให้ลูกหลานได้เป็นผู้บำเพ็ญกุศล ก็ขอให้หลวงปู่ได้กลับมาที่วัดด้วยเถิด” แล้วก็ได้นั่งรถติดตามไปที่บ้านขยุงแต่ไปถึงแค่บ้านโคกชาด มีรถหลายคันจอดอยู่และได้ให้สัญญาณไฟ จึงได้จอดดูแล้วปรากฏว่าเป็นรถที่จะนำสังขารหลวงปู่ไปที่วัดบ้านขยุง ได้บอกหลวงพ่อพุฒว่าให้กลับไปที่วัดไพรพัฒนา แล้วก็ขับออกนำหน้า หลวงพ่อพุฒก็ได้นั่งรถตามมา พอมาถึงวัดเห็นรถที่มีสังขารหลวงปู่จอดอยู่ที่ด้านทิศตะวันออกของศาลา จึงได้บอกว่าอย่าพึ่งทำอะไรให้อยู่อย่างนี้ก่อน และได้สั่งให้พระลูกวัดจัดเตรียมสถานที่ตั้งศพบนสาลา ส่วนหลวงพ่อพุฒเองได้นำธูปเทียนมากราบไหว้ขอขมาลาโทษ และนิมนต์ร่างของหลวงปู่ขึ้นมาตั้งตรงสถานที่ๆ จัดไว้บนศาลา และได้จุดธูปอธิษฐานว่า “ หากเป็นความประสงค์ของหลวงปู่จะให้ลูกหลานบำเพ็ญกุศลในที่นี่จริง ก็ขอให้ดำเนินการไปโดยเรียบร้อย และขอให้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้มาร่วมบำเพ็ญกุศลโดยทั่วกัน” ต่อจากนั้นได้ดำเนินการบำเพ็ญกุศลให้กับหลวงปู่อย่างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
    นี่คือเหตุการณ์ทั้งหมดว่าเหตุใด สรีระของหลวงปู่สรวงจึงได้มาตั้งบำเพ็ญ กุศลอยู่ที่บ้านไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2011
  3. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    [​IMG]
    ดินทรายที่ติดตามร่างกายท่าน แปรสภาพเป็นพระธาตุ
     
  4. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    หลวงปู่ท่านได้เมตตาเตือน"สติ" ผู้หลงผิด<!-- google_ad_section_end -->

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->ถาม (ทีมงานลานโพธิ์) -หลวงปู่สรวง เคยสอนวิชาอะไรให้หลวงพ่อมั้ย ?

    ตอบ (หลวงพ่อลมัย) - เคยสอน แต่โยมจะได้มั้ย เคยสอนว่า ต่อไปนะ เผาของหลวงพ่อสามวันสามคืนไม่หมด พวกยา พวกอะไร หลวงพ่อให้ก็รับ เผาโยนใส่กองไฟ ให้อะไรก็รับ แล้วก็เผา ตอนหลวงพ่อมา มีคนมาถวายเสื้อ ถวายทรัพย์ เผาหมด เขาว่ายั่งงี้ ..

    ต่อไปนี้ พ.ศ. 2555 คนเก่งอยู่ในเมืองไทย อยู่ที่ไหนก็ตามแต่ มุมไหนก็แล้วแต่ พ่อ - แม่ - ญาติพี่น้อง ไม่ต้องสู้ จะตายหมด น้ำทะเลตีข้างล่างได้ครึ่งโลกแล้ว ไม่ใช่ครึ่งประเทศนะ ครึ่งโลกแล้ว มาบอกให้หยุดนะ ไม่ต้องอยากชนะกันให้ออกไป อย่ามีเวร อย่ามีกรรม

    ครั้งที่สองบอกอีก เป็นภาษาเขมรว่า ให้ออกก่อน

    "พวกที่ทำลายศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ออกไปก่อน นางนาคเป่าน้ำน้ำทะเลเต็มไปหมด"

    ให้มันไปแต่พวกนี้ ประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ กลับเข้ามาก็ตีท่วมภูเขา มีทั้งดินมีทั้งโคลน

    "พวกทำไม่ดีตายหมด" แกว่า...เทวดาตัดสินเอง เจ้ากรรมนายเวรตัดสินเอง หลวงพ่อไม่กลัว(ลป.สรวง) แล้วก็ไม่หนีด้วย หลวงพ่อนี่ในตัวสังขละ ท่านสร้างมาหลายวัดเหมือนกัน ไปอยู่ที่นั่นเขาเอาระเบิดเข้าไป สามปีมอบตัวกันหมด ที่ถนนดินแดงหลวงพ่อก็ไป

    ถาม - ที่ หลวงปู่สรวง พูดหมายความว่ายังไง ?

    ตอบ - แปลว่า ไม่ต้องกลัว 2555 นางนาคเป่าน้ำ ท่วมทั้งน้ำทั้งดิน ตายวอดวาย คนที่ไม่ดีตายหมด คนดีไม่ตาย

    "คนดีมันเป็น ไม่ตายจะรอด"

    ท่านบอกให้คอยดู แต่มาเป่านี่มันปี 2547 - 2550 ไม่ใช่สึนามินะ นางนาคสิเป่า ปี 55 แถวเราน้ำไม่มี เขาว่านางนาคเอาขึ้นข้างบน สามวันสามคืนก็เป็นลูกเห็บ ลูกที่หนึ่ง ลูกที่สอง ถูกใครตายระเนระนาด อย่าให้ถึงขนาดนั้น "คนดีไม่ตาย"

    แกว่างั้นนะ ถ้าคนมีศีลห้าไม่ถูก ก็เรา ไม่ได้กบฎพระเจ้าอยู่หัว คนที่กบฎ คนที่อยากชนะ ผืนแผ่นดินนี้ตายแน่ จะยึดแผ่นดินเป็นหลักแค่นั้นแหละ ปีนี้นาคไม่ขึ้นที่หนองคาย นาคไม่ขึ้น<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  5. kanpatsavee

    kanpatsavee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    1,327
    ค่าพลัง:
    +7,002
    เมื่อสักครู่อ่านแล้วเกิดอาการเดียวกันค่ะ
     
  6. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    กราบโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
     
  7. mikemail

    mikemail สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +1
    เทวดาเดินบนโลกมนุษย์
    สาธ ครับ
     
  8. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    กราบโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  9. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    สัปดาห์ก่อนได้เหรียญหลวงปู่สรวงมา เพราะไม่เคยมีเหรียญที่หลวงปู่ท่านเสก ก็นำไปที่พุทธสถานพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ก็คุยเล่นกับหลวงตาที่ท่านอยู่ที่นั่น แล้วผมก็นำเหรียญหลวงปู่สรวงให้หลวงตาท่านดู ผมถามท่านว่าหลวงตาดูสิว่าเหรียญนี้ใครเสก หลวงตาท่านพนมมืออธิษฐานแล้วก็บอกผมว่า ไปเอาอาสนะฯมาเร็ว พระท่านมาแล้วนี่อยู่ใกล้ๆ อาตมาไม่รู้จักท่าน ผมก็ไปนำเอาอาสนะมาวางใกล้ที่ผมกับหลวงพ่อนั่งอยู่และก็กราบที่อาสนะเพราะจิตสัมผัสกับหลวงปู่สรวง

    ผมถามหลวงตาว่าพระที่มาหน้าตาเป็นยังไง พระท่านบอกว่า พระตัวผอมๆ ผิวคล้ำๆ สูงโปร่ง หลวงตาท่านถามผมว่าชื่อหลวงพ่ออะไรอาตมาไม่รู้จัก ผมบอกท่านว่าหลวงปู่สรวง หลวงตาถามว่าพระองค์นี้เกี่ยวพันอะไรกับคุณ ผมบอกว่าไม่เกี่ยวเพราะผมไม่เคยเจอท่าน จากนั้นหลวงตาก็บอกว่า อ้าว ท่านบอกว่า นี่เป็นลูกกู ลูกศิษย์กู ผมก็ตอบหลวงตาไปว่า ผมคงจะเป็นศิษย์หลวงปู่สรวงมาในยุคโบราณมั้งแต่ธาตุขันธ์ไม่ทันกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2011
  10. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    บุญหล่อพระหลวงปู่สรวงใหญ่ที่สุดในโลก


    ที่ สวนพุทธธรรม (บายเตี้กเจีย) ถนนเลียบคลองรังสิตฝั่งทิศใต้ ม.2 ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี พระเทียนชัย ชยทีโป เจ้าอาวาส ได้จัดงานเททองหล่อ หลวงปู่สรวง องค์ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดสูง 8.88 เมตร กว้าง 6.03 เมตร โดยมีสมเด็จพระธีรญาณมนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานเททอง เมื่อเวลา 17.00 น.เศษ วันที่ 10 ก.ค.54

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    คณะ ศรัทธาผู้ร่วมบุญหล่อพระได้ร่วมกันเข้าแถวถวายการต้อนรับ สมเด็จพระธีรญาณมนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานเททองในครั้งนี้

    [​IMG]

    [​IMG]

    ช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนก็เลยถือโอกาสนำแผ่นทองเหลืองไปใส่เบ้าเพื่อจะหล่อพระ

    [​IMG]

    [​IMG]

    จากนั้นได้ไปกราบนมัสการโต๊ะบูชาบวงสรวงหลวงปู่สรวงและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    โอกาสนี้ได้นำพระศรีอริยเมตไตรยขนาดหน้าตักประมาณ 12 สูง 20 นิ้วที่เห็นถัดลงมาชั้นล่างเพื่อร่วมปลุกเสกในพิธีนี้ด้วยพระ ศรีิอริยเมตไตรยองค์นี้ญาติธรรมมอบให้ผมนำมาบรรจุพระบรมสาริกธาตุและวัตถุ มงคลต่างๆเพื่อรอนำไปถวายวัดต่างๆ ตามความเหมาะสม

    [​IMG]

    [​IMG]

    เริ่มพิธีหล่อพระ ช่วงพิธีเททองหล่อนั้นพายุกำลังจะมาพอดีมึดครึ้มมากๆ และมีลมมาด้วยใน ใจคิดว่า สงสัยฝนตกแน่ๆ แต่สังเกตุทุกคนที่มาหล่อพระไม่มีใครวิ่งหนี ต่างมีความตั้งใจที่จะหล่อพระหลวงปู่สรวงให้สำเร็จ จะว่าบังเอิญหรือ เหตุการณ์อัศจรรย์ก็ไม่ทราบ ด้วยบารมีหลวงปู่สรวงก็ไม่ทราบ บริเวณที่หล่อพระ ฝนไม่ตกเลยพอหล่อพระเสร็จเท่านั้นหล่ะฝนปรอยๆลงเบาๆ แต่ตกไม่แรงเท่าใหร่

    [​IMG]

    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2011
  11. พนาวรรณ

    พนาวรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,096
    ค่าพลัง:
    +767
    อนุโมสาธุครับกับบุญหล่อพระหลวงปู่สรวงใหญ่ที่สุดในโลก
     
  12. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747

    โมทนาสาธุครับ
    ส่วน ที่หล่อตามภาพนี้เป็นส่วนบนขององค์พระ ได้ทราบมาว่า ยังจะต้องมีการหล่อพระในส่วนต่างๆอีกประมาณ 6 ครั้ง ท่านใดที่มีความศรัทธาในองค์หลวงปู่ท่าน ก็สามารถติดต่อสอบถามร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีหล่อพระครั้งต่อไปได้ครับ แต่น่าจะเป็นช่วงหลังออกพรรษาไปแล้ว
    หรือสามารถติดต่อสอบถามได้ที่
    สวนพุทธธรรมบายตึ๊กเจีย
    ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี สอบถามโทร 02-5013536


    สวนพุทธธรรม (บายเตี้กเจีย)
    [​IMG]


    ประวัติคร่าวๆเท่าที่ทราบมา ในปัจจุบันนี้พระอาจารย์เทียนชัย ชัยทีโปได้ดำเนินการสร้างสถานปฏิบัติธรรมบายตึ๊กเจียขึ้นที่ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธปฏิมา พระสิวลี พระอุปคุตต์ พระเศรษฐีนวโกฎิ องค์พ่อจตุคามรามเทพ พระพรหม พระโพธิสัว์กวนอิมหลวงปู่ทวด สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี ) ฤาษีตาไฟ
    [​IMG]



    และที่สำคัญคือ รูปเหมือนของ หลวงปู่สรวงที่รังสรรค์ขึ้นอย่างเป็นบุญเป็นกุศล

    [​IMG]


    คำ ว่า "บายตึ๊กเจีย" เป็นภาษาเขมร เป็นคำที่หลวงปู่สรวงมักกล่าวให้พรเสมอๆ คำว่าบายเป็นภาษาเขมร แปลว่าข้าว ตึ๊ก แปลว่าน้ำ และเจียแปลว่าดีรวมแล้วคำว่าบายตึ๊กเจีย แปลว่าข้าวน้ำดีนั่นเอง
    หากท่านต้องการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคลแห่งชีวิตต้องการปฏิบัติธรรม รักษาศีล เจริญจิตภาวนา ปรารถนาหาคำตอบให้กับชีวิตก็ขอเชิญที่สวนพุทธธรรมบายตึ๊กเจีย
    ข้าวน้ำดี ชีวิตดีด้วยพุทธธรรม และบารมีธรรมของ หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูลผู้ให้ทานความสุข
    หลวงปู่สรวง พระอริยะเจ้าผู้อยู่เหนือโลก เหนือสมมุติ




    พระคาถาบูชาหลวงปู่สรวง

    ตั้งนะโม 3 จบ
    นะโมพุทธายะ อิติปิโสภควา อริยะ อ็องสรวง สัมปันโณ ยะธาพุทโมนะ
    นะมะพะทะ อะหังนุกา



    สามารถศึกษาประวัติคำสอนของท่านได้ที่:

    ประวัติหลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูลวัดไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
    คลิก��ǧ�����ǧ �����¹����


    ข้อมูลบางส่วนได้มาจาก:�ǹ�ط������µ�����
    ������ˡó���ǹ��ҹ����


    (บทความดังที่กล่าวนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกี่ยวข้องกับคำนายใดๆเพียงเืพื่อประชาสัมพันธ์สิ่งที่แสดงเป็นสื่อหลักธรรมคำสอนและประวัติของหลวงปู่สรวงเท่านั้น)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2011
  13. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=xqsyf4NoKrI"]‪??????????????? ???????????‬‏ - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=sJ88e5A2JUA&NR=1"][ameI="02_sansernkhunlungpuu.mpg‬‏ - YouTube"][/URLI]‪02_sansernkhunlungpuu.mpg‬‏ - YouTube[/ame]

    [​IMG]

    (บทความดังที่กล่าวนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกี่ยวข้องกับคำนายใดๆ เพียงเืพื่อประชาสัมพันธ์สิ่งที่แสดงเป็นสื่อหลักธรรมคำสอนและประวัติของ หลวงปู่สรวงเท่านั้น)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2011
  14. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [​IMG]

    [​IMG]

    (บทความดังที่กล่าวนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกี่ยวข้องกับคำนายใดๆ เพียงเืพื่อประชาสัมพันธ์สิ่งที่แสดงเป็นสื่อหลักธรรมคำสอนและประวัติของ หลวงปู่สรวงเท่านั้น)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    คนมีราคา แค่ 66.50 บาท เท่านั้น



    คนเรานั้น มีน้ำสาม สิบแปดลิตร
    อย่าแคลงจิต แม่นแท้ แน่หนักหนา
    ฟอสฟอรัส คือกำมะถัน ตามสัญญา
    มีอยู่ใน กายา ทุกตัวคน
    ทำหัวไม้ ขีดสองพัน สองร้อยก้าน
    ใช่ประมาณ แพทย์เขาแยก แจกเป็นผล
    ยังมีอีก ธาตุเหล็ก ในตัวตน
    แยกแล้วย่น ได้ตะปู เพียงหนึ่งตัว
    ยาวสามนิ้ว เท่านั้น อัศจรรย์แท้
    ใช่จะแส่ พูดเล่น เป็นชวนหัว
    แล้วยังมี ไขมัน คั้นจนทั่ว
    ผสมกลั้ว เป็นสบู่เหลว ได้เจ็ดก้อน
    เราควรเร่ง เพ่งพิศ คิดดูเถิด
    ว่าคนเกิด มีราคา น่าอาวรณ์
    ที่รู้ได้ แพทย์เขาบอก ใช่หลอกหลอน
    คิดเขียนกลอน เพื่ออ่านเล่น เป็นปัญญา
    เมื่อรวมแล้ว ค่าตก หกสิบหกบาท
    ไม่ผิดพลาด สิบห้าสตางค์ เท่านั้นหนา
    หากไม่เพิ่ม คุณความดี มีวิชา
    เพียงราคา ต่ำกว่าสัตว์ ถนัดใจ
    ประกอบแต่ ศีลธรรม คุณความดี
    ก็จะมี คุณค่า จักหาไหน
    มีชีวิต ก็สุขกาย สบายใจ
    เมื่อตายไป ชื่อหอมอยู่ คู่โลกาฯ.

    พระอาจารย์สรวง ปริสุทฺโธ
    ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๘
    (เขียนที่ศาลาสระน้ำ)
     
  16. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    กิเลส จิต ทุกข์



    กิเลส จิต ทุกข์

    มนุษย์ เราที่เรียกว่า ปุถุชน แปลเป็นภาษาไทยตรงๆ ก็ว่า เป็นผู้จังหนาแน่นไปด้วยกิเลส กิเลสคืออะไร? คือมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เรียกว่ากิเลสเหล่านี้เป็นตัวใหญ่ ส่วนตัวอื่นๆ เล็กๆ ยังมีอีกมากมายซึ่งเราทุกคนมีอยู่เต็มตัว แต่เรามองไม่ออก เรามองไม่รู้ เช่น คนที่ขี้โกรธ หรือคนที่ชอบด่าเขา นินทาว่าร้าย อิจฉาเขา ก็ยังคิดว่าตนดีอยู่นั่นแหละ อิจฉาเขาก็เป็นคนดี จนบางคนทำร้ายผู้อื่นก็ยังเป็นคนดี หาว่าเขามารังแก เขามาพูดไม่ดีก็เลยตีหัมันเสีย นี่ตัวเองดีอย่างนี้ ไม่รู้ตามความเป็นจริง
    ทีนี้จิตของเรา ของมนุษยหรือของสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย มันล้วนแต่มีความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมที่จะหยุดจะนิ่งได้ กระแสของจิตในนาทีเดียวนี้มันมีอารมณ์ตั้งไม่รู้สักกี่อย่าง สักกี่เรื่อง ชั่วนาทีเดียว เช่นที่เรานั่งฟังธรรมอยู่นี่ จิตของเราก็นึกก็คิด อารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นตลอดเวลาทั้งที่ฟังรู้เรื่องว่าพูดเรื่องอะไร แต่ทีนี้ก็ที่เราจะไปบังคับมัน คือ บังคับอย่าให้มันคิดนั่นเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งที่ไม่มีตัว ที่จะไปจับมัดผูกขังมันไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกว่าอยู่ในตัวอย่างหนึ่ง แต่ว่าจะให้เห็นตัวมันก็เห็นไม่ได้ จะไปลูบคลำอะไรมันก็ไม่มี เป็นแต่เพียงความรู้สึกอันหนึ่งเท่านั้น ไม่มีแสง ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มันเป็นธรรมชาติ
    ฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาในโลกที่จะบังคับจิตได้ เดิมก่อนพระพุทธเจ้าก็มีพวกในลัทธิศาสนาพราหมณ์ และศาสนาอื่นๆ เขาก็บังคับได้เหมือนกัน ให้หยุดได้ ให้เป็นสมาธิได้ แต่มันก็แค่นั้น ในขณะที่นั่งอยู่มันไม่วุ่นวายจริง แต่พอออกมาแล้วมันก็วุ่นวายอีก ลืมตาออกมาแล้วมันก็วุ่นวาย มันไม่ยอมหยุดจริง มีแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์สามารถขัดเกลาแก้ไขดัดมันจนว่าหยุด ได้นิ่ง มีความสงบแล้ว ไม่มีความร้อน มีแต่ความเย็นและก็มีถึงที่สุด คือ มีที่สุดด้วย อย่างของศาสนาอื่น ลัทธิอื่นนั้นมันไม่สุด ที่ว่าสุดแล้วนั้นมันไม่สุดเพราะไม่พ้นไปจากวัฏฏะ คือ ความวนเวียนเกิดอยู่ไม่พ้น ถึงแม้จะไปเกิดเป็นอะไรซึ่งมีอายุยืนยาวจริงๆ ตั้ง ๕๐๐ กัป เช่น เป็นพรหมก็ยังต้องตาย แต่เขารู้เช่นนั้น รู้เท่านั้น ที่จะรู้พ้นไปกว่านั้นมีปัญญาไม่พอ มีแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ได้บำเพ็ญบารมีมา มีปัญญาพอ เช่นที่พราหมณ์ ฤษี หรือ ชฏิล เขาปฏิบัติกันแล้วไปเกิดเป็นพรหม เพราะเขาถือว่าเขาไปเกิดเป็นพรหมแล้วเขาเป็นผู้ไม่ตาย แต่พระพุทธองค์รู้ว่ายังต้องตาย พระพรหมก็ต้องตาย ถึงมีอายุยืนนาน แต่ก็ต้องตาย มิใช่ไม่ตาย ที่ไม่ตายมีแห่งเดียว คือ พระนิพพาน ที่ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รู้เท่านั้น เรียกว่า พระนิพพาน เป็นผู้เข้าถึง เป็นผู้รู้ถึง เป็นผู้รู้ได้ เข้าใจได้ พบได้ สอนผู้อื่นแนะให้ผู้อื่น หรือพระสาวก นี่เป็นเรื่องจริงของจริงแท้
    ฉะนั้นในการที่เมื่อเราได้มาเป็นสาวกของ พระพุทธองค์แล้ว เราก็มีความสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องมีความขะมักเขม้นหันเข้าหาธรรมปฏิบัติ อย่างจริงจัง เราปฏิบัติเป็นพิธีมันก็ได้เหมือนกัน ได้บุญ มิใช่ไม่ได้ แต่ว่าจะให้เรามีปัญญาสูงจริงอย่างชั้นอริยะมันก็ไม่ถึง มันก็เพียงโลกียะเท่านั้น แน้นถ้าเราจะให้รู้จริงก็ต้องฝึกฝนจริง อบรมจริง มันเป็นสิ่งที่อบรมยาก สั่งสอนยาก มันไม่ยอมที่จะอยู่ใต้อำนาจผู้ใดง่ายๆ แต่ถ้าเราได้ฝึกฝนตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนไว้แล้วก็สามารถที่จะบังคับมัน ได้แน่นอน
    เมื่อบังคับมันได้ เราทุกๆ คนที่นี่ที่มีชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันอยู่นี้ ทุกคนก็อยากได้รับความสุข ความสุขนั้นกินอิ่มมันก็สุข นอนหลับมันก็มีความสุข แต่ว่าพอลืมตาขึ้นมาก็มีเรื่องวุ่นวาย ความสุขที่แท้จริงมิใช่สุขเนื้อ สุขหนัง สุขภายนอก มิใช่สุขที่แท้จริง สุขที่แท้จริงนั้นต้องเป็นสุขภายใน คือสุขเป็นความสุขชั้นสูง ความสุขกายภายนอก กินอิ่มมันอิ่ม นอนหลับมันก็ชั่วครู่ พักไม่ตลอดกาล แต่ความสุขของจิตเมื่อฝึกฝนดีแล้ว อบรมดีแล้ว มันสุขจริง มันสุขตลอดกาล ถึงแม้ร่างกายจะขาดอะไรก็ตาม หรือมันจะเป็นอะไรขึ้นมาก็ตาม ในเมื่อจิตได้รับการอบรมมาดีแล้วมันไม่เดือดร้อน มันไม่ไปเป็นทุกข์ด้วย เพราะมันมีปัญญา มันรู้ความเป็นจริงว่ามีสังขาร หรือมีกายมีรูปนี่ หรือมีขันธ์ ๕ นี่มันต้องทุกข์ ไม่มีใครหนีจะไม่ให้มีทุกข์มันไม่มี มันต้องทุกข์ ทุกข์มากทุกข์น้อยมันต้อมี และทุกข์ที่สุด ครั้งที่สุดก็ตอนที่จะตาย นั่นทุกข์ที่สุด
    เพราะที่มีร่างกายอยู่รวมกัน ได้นี้ ธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันยังสามัคคีกันอยู่ มันยังไม่แตกสามัคคี พอมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนขึ้นมาแล้วมันคุมกันไว้ไม่อยู่มันก็แตกสามัคคี กัน ต่างธาตุต่างก็ไปตามทางของมัน อยู่รวมกันไม่ได้ จิตของเราก็เหมือนบ้าน พังอยู่ไม่ได้ก็ต้องไปหาเรือนใหม่อยู่ต่อไป ที่เรียกว่า ตาย, มนุษย์หรือสัตว์เกิดมาแล้วย่อมทำกรรม กรรมหนัก กรรมเบา กรรมชั่ว กรรมดี ย่อมทำมาแล้วทั้งสิ้น จะทำอย่างไหนมากอย่างไหนน้อยนั่นเป็นเฉพาะแต่ละบุคคล เช่น บางคนเกิดมาชาติหนึ่งทำแต่บุญมาก บางคนเกิดมาชาติหนึ่งทำแต่บาปตลอดกาลมันก็มี แต่บางคนสงสัยว่า ไอ้คนนี้ทำบาปมากทำไมมันถึงอยู่ได้? เราต้องเข้าใจกรรมเก่ามันอุปถัมภ์อยู่ กรรมที่เขาได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ อดีตชาติหรือชาติก่อนเขาได้ทำไว้ เขามีทุนอยู่ จะต้องใช้กรรมอันนั้น อยู่อาศัยกรรมอันนั้นจนกว่าจะหมดบุญ หรืกุศลกรรมอันนั้นอขงการที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อมีจังหวะ มีโอกาสว่างเมื่อไรจากกุศลกรรม, อกุศลกรรม คือ บาปมันก็ตามมาทันที เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "เหมือนสุนัขที่ไล่เนื้อ ไล่กวางไปในป่า กวางก็วิ่งหนี ไอ้สุนัขมันเก่งมันก็ไล่กวดตาม ถ้ามันไล่ทัน ปากของมันถึงตรงไหน มันถึงที่ท้อง มันถึงที่หาง มันถึงที่ข้างตัว มันก็จะกระโจนกัดเข้าตรงนั้น เนื้อตรงนั้นจนได้ มันทันตรงไหนมันก็กัดตรงนั้น" กรรมก็เหมือนกันกับสุนุขไล่เนื้อ เมื่อมีโอกาสของมันเมื่อไรมันก็เอาเราเมื่อนั้น
    ฉะนั้นที่เราดิ้นรนที่ ว่าจะไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ไข้นั่นเป็นความเหลวไหล ไม่เข้าใจความเป็นจริง มันจะเป็นอะไรมันก็เป็นขึ้นมา เราต้องยินดีรับ ในเมื่อเราป้องกันรักษาตัวของเราดีแล้ว แต่ว่ามันไม่วายที่จะต้องเป็นนั่นเป็นนี่ เจ็บไข้ได้ป่วยเราก็ต้องยอมมัน แต่ว่าเราก็ต้องรักษา ไม่ใช่ว่าปล่อย เพราะว่ายารักษาโรคมีอยู่ มนุษย์คิดค้นขึ้นมาได้ แม้ครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าก็ต้องใช้ยารักษาโรคเหมือนกัน พระพุทธองค์ซึ่งเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังใช้ยารักษาโรค ไม่ใช่ไม่ใช้ เพราะว่าการที่เป็นพระอรหันต์นั้น จิตเป็นพระอรหันต์ กายนี้เป็นมนุษย์ กายที่เป็นมนุษย์เรียกว่า วิบากของผลกรรม คือ กุศลกรรม คือบุญให้มาเกิดเป็นมนุษย์ หมายความว่า ชั่วชีวิตหนึ่งนั้นต้องอาศัยร่างนี้อยู่ แต่เมื่อดับขันธ์แล้วจิตไม่ไปเที่ยวหาบ้านใหม่อยู่อีก เรียกว่าเข้าสู่พระนิพพาน เข้าอยู่ในพระนิพพาน
    พูดถึงหลักของ การทำสมาธิ ไม่ใช่เป็นของเหลวไหลไร้สาระ อย่างพวกสมัยใหม่บางพวกได้เหมาเอาว่าเป็นสัตว์ไดโนเสาร์เต่าล้านปี พวกคร่ำครึเข้าวัดเข้าวาแต่หนุ่มแต่สาว นั่นแหละตัวผู้พูดว่าอย่างนั้นที่เป็นเต่าล้านปีเป็นพวกไดโนเสาร์มันสูญ พันธ์ไปแล้วนั่นแหละพวกเต่าแท้ ผู้ที่เข้ามาหาธรรมของพระพุทธองค์ ไม่ใช่เต่า แต่เป็นนักปราชญ์ เป็นผู้ไม่ประมาท เพราะเราไม่รู้เราจึงเข้ามาหา เข้ามาฝึกฝนเพื่อให้รู้ เพื่อจะได้มีความสุข แม้ในชาตินี้หรืออัตภาพนี้ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่นี้ ถ้าได้รับการฝึกฝนอบรมดีแล้ว จิตใจของเราก็มีความสุข และนอกจากนั้นผู้ที่ยังครองเรือน ยังประกอบอาชีพอยู่ในโลก วิชาหลักสมาธิที่พระพุทธเจ้าสอนไว้นี้ก็ยังนำไปใช้กับโลกได้ดวิเศษที่สุด ไม่มีเสียหายตรงไหนเลย คนที่ฝึกหัดปฏิบัติธรรมมีสมาธิแล้ว จะทำกิจการอะไรทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นผู้ที่ละเอียดลออถี่ถ้วน และมีความคิดลึกซึ้ง คิดได้ทะลุปรุโปร่ง ติดปัญหาในวัตถุที่กระทำ เช่น เครื่องจักรเครื่องยนต์ หรือกิจการใดก็ตาม สามารถคิดทะลุ คิดได้แตก คิดได้ถูกต้อง ทำได้ถูก นอกจากนั้นผู้ปฏิบัติยังมีจิตแข็งแกร่ง เมื่อต้องไปทำกิจกรรมที่ลำบากยากเข็ญเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็ยังมีกำลังของ ธรรมนี้ช่วยค้ำจุนจิตให้มีความเข้มแข็งไม่อ่อนแอ เมื่อจิตไม่อ่อนแอร่างกายมันก็ต้องไม่อ่อนแอ การที่คนเรารู้สึกว่าอ่อนเพลียละเหี่ยใจเพราะใจมันไม่สู้ ถ้าใจมันสู้แล้วร่างกายมันก็สู้ได้ นี่เป็นหลักความจริง
    และเราก็ ต้องรู้ความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องฝึกฝน ต้องอบรม คนจะมีอาชีพทางอะไรๆ ก็ตาม จะเป็นกสิกร หรือวิศวกร ข้าราชการ อะไรก็ตาม ก็ต้องเรียนทั้งสิ้น ต้องเรียนต้องผ่านการศึกษาจึงจะออกมาใช้วิชานั้นประกอบอาชีพได้ ทีนี้วิชชาของจิตเราก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน และวิชชาของจิตโดยเฉพาะแล้วมันละเอียดลึกซึ่งกว่าวิชาอื่นๆ ที่เกี่ยวกับด้านวัตถุภายนอกสามารถมองเห็นได้ พิสูจน์ได้ ดูได้ รู้ได้ ได้ยินได้ฟังได้ แต่ธรรมะนี่มันต้องหาเอาข้างใน ฉะนั้นการฝึกฝนมันก็ต้องมีความเพียรไม่ยิ่งหย่อน ต้องมีความเพียรให้มาอย่างยิ่ง อย่าหย่อน อย่าท้อถอย มันก็บังเกิดผล มีความสำเร็จเกิดขึ้น
    การ ผัดวันประกันพรุ่งของบางคนเหมือนกัน ยังหนุ่มอยู่บ้าง ยังสาวอยู่บ้าง ยังรุ่นอยู่บ้าง รอเข้าวัดเมื่อแก่ เมื่อแก่แล้วจึงเข้าวัด คนเราเมื่อแก่แล้วอะไรๆ มันก็ชำรุดทั้งนั้น เนื้อหนังมันก็เหี่ยวย่น ข้อมือ ข้อเอ็น ข้อเท้า เอว หลัง มันก็มีปวดมีเมื่อย มันไม่ค่อยมีความสุขเสียแล้ว กำลังวังชาแข็งแรงอยู่ ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือในวัยที่ยังเข้มแข็งอยู่เราก็ทำได้ ข้อสำคัญก็คือว่า คนเรานี้มันต้องตาย แล้วก็ตายเมื่อไร ตายด้วยเหตุใด? ไม่มีใครรู้ได้ ฉะนั้นถ้าเราไม่เตรียมตัวเตรียมใจไว้ตลอดเวลาแล้ว เราก็เป็นผู้ประมาทเท่านั้นเอง เราจงเป็นผู้มีความไม่ประมาทเถิด อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นคำสุดท้ายนั่นแหละเป็นดีที่สุด

    หลวงพ่อสรวง ปริสุทฺโธ
    วัดถ้ำขวัญเมือง อ.สวี จ.ชุมพร

    ๒๙ มกราคม ๒๕๒๗
     
  17. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    พระงู-พระปลาไหล



    พระงู-พระปลาไหล

    การฟังธรรมนี้ ถ้าฟังด้วยจิตใจศรัทธา นำใจเข้าไปละกิเลสของตนได้ มันก็เป็นประโยชน์ เป็นคุณ แต่ถ้าฟังแล้วมันก็กองอยู่ตรงนั้น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตนเองก็ไม่ได้อะไร แล้วก็นั่งเมื่อยเปล่าๆ มีอยู่ว่า ไอ้ปลาไหลนั่นแหละ ตัวมันเท่างูเหมือนกันแหละ ที่ผิดกันนั้นมีอยู่สองอย่าง คือ งูนั้นมีเกล็ด ปลาไหลมันไม่มีเกล็ด ตัวของมันเป็นเมือก และอีกอย่างหนึ่งงูมันไม่มีเหงือก ปลาไหลมันมีเหงือก จึงจัดเป็นจำพวกปลา ทีนี้ธรรมชาติของปลาไหลมันลื่นนี่ เรื่อยเปลื่อยไปได้ทั้งนั้นแหละ แต่ว่าถ้าถูกที่ทรายดูดก็ไปไม่ได้นะ ก็แย่เหมือนกัน ไอ้งูมันไปได้ทั้งนั้น งูที่มันเลื้อยไปไม่ได้ก็ที่ลื่นๆ แต่มันก็กระเดือก มันกระเสือกกระสนของมันไปได้ เดี๋ยวจะฟังไม่ออกว่า เอ....ธรรมะทำไมออกปลาไหลบ้าง ออกงูบ้าง มันมีที่ออกไปอย่างนี้แหละ
    คือพระของเรานี่เป็นปลาไหลก็มี เป็นงูก็มี เป็นอย่างนั้น พระ เณรก็เหมือนกัน เป็นปลาไหลบ้าง เป็นงูบ้าง ตลอดถึงชีอะไรก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ผู้ปฏิบัติธรรมโดยมากเป็นปลาไหล มันไหลไปเรื่อยเปื่อย ไปตัมันลื่น ที่ปลาไหลมันจะไปออกไปนั่น คือ ไหลตอนไหน ที่สำคัญไอ้ไหลตอนนั่งกัมมัฏฐานมันก็ไหลเหมือนกันแหละ นั่นๆ แล้ว มันขี้เกียจ หรืออะไรก็ตามออกไปไหลเรื่อย ทีแรกมันปวดท้องเยี่ยวก่อน พ้นจากไปเยี่ยวไปปัสสาวะแล้วมันก็มานั่ง ดูนั่นดู่นี่ ไอ้ที่เดินจงกรมให้เป็นประโยชน์ไม่มีใครทำหรอก ไอ้นี่เพราะมันไหลไปนั่นแหละ อย่างที่ว่า ทีนี้ไอ้สำคัญที่มันไหลมากก็คือ ตอนที่ว่าเคยมีมาปีก่อนๆ โน้น มีอยู่ปีหนึ่งที่หนักตอนฉันอาหารนี่ภิกษุฉันอาหารแล้วมีการพูดคุยด้วยนั่น แหละ นั่นพวกปลาไหลแล้วละ ฉันอาหารเสร็จก็เป็นพวกเดียรถีย์ ไหลเป็นพวกเดียรถีย์ นี้บางทียังไม่เสร็จก็เอาเรื่องต่างๆ ที่ตลกบ้าง เรื่องขบขันบ้าง เรื่องอะไรต่างๆ ที่ไม่ใช่ธรรมะ เรียกว่า เดรัจฉานกถา หรือเรื่องอย่างที่พวกเดียรถีย์เขาชอบพูดกัน เช่นว่าการขบฉันต่างๆ ที่พระเป็นผู้สำรวมระมัดระวัง ฉันให้เรียบร้อย นั่งฉันให้เรียบร้อย ที่จะป้อนคำข้าวเข้าปากให้มันเรียบร้อย ฉันไม่ให้ขอดบาตร ฉันไม่ให้เม็ดข้าวตกลงในบาตร และก็หลายอย่างอื่นๆ อีก แล้วก็ฉันข้าวแล้วก็นั่งกระดิกเข่ากระดิกเท้าบ้างอะไรเหล่านี้ นั่นไหลไปทั้งนั้น เป็นพวกปลาไหลทั้งนั้น อะไรที่ทำให้มันไหล กิเลสเป็นความเพลิดเพลิน มันเกิดความสนุก และเล่าเรื่องตลกขบขันนั่นเพราะว่า ขณะนั้น ท้องมันกำลังอิ่มอยู่ มันสบาย เมื่อมันสบายมันก็ไหลออก ที่จะสำรวมระมัดระวังวาจาของตนที่เรียกว่า อินทรีย์สังวร คืออะไร ปกฏิโมกข์สังวร และก็อินทรีย์สังวรก็คือ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าวาจามันยังคะนอง อยู่ไม่สำรวม ถ้าลิ้นมันยังชอบของอร่อยอยู่มันก็ไม่สำรวม เพราะว่าเรายังขาดสันโดษ ไม่มีความพอใจ หรือดี หรือพอใจในของที่มีอยู่ เพราะว่าการปรุงอาหารทุกๆ อย่ง แม้แต่แม่ของเราทำเองก็อาจไม่ถูกรสปากเรา เพราะกิเลสไม่ต้องผู้อื่นทำ แม่ของเราเองก็ทำไม่ถูกปากไม่ต้องมาก เพราะกิเลสคนเรานั้นชอบเปรี้ยว ชอบหวาน ชอบเค็ม ชอบมัน ไม่เหมือนกันที ทีนี้การเป็นภิกษุสงฆ์มันต้องประหยัดตัว เพราะที่มาบวชมาเรียนนี้ มันมาละกิเลส ไม่ใช่มาสะสมกิเลส ถ้าบวชเพื่อจะกินให้อร่อยให้มันหวานตามที่ต้องการก็ไม่ต้องบวช เป็นคฤหัสถืไปหาซื้อตามตลาดกินได้ตามชอบใจ เราเป็นภิกษุ เรามีชีวิตอยู่ด้วยชาวบ้าน การที่เขาทำทานมาให้เราฉัน เราอยู่อาศัย หรืออื่นๆ เขาไม่ใช่ทาสเป็นกรรมกรของเรา เขาศรัทธาเราต่างหาก เขาศรัทธาต่อพระศาสนาต่างหาก ที่เขาทำบุญทำทานมานั่น อย่างผู้ปรุงอาหารก็เหมือนกัน ผู้ปรุงก็คงไม่มีเจตนาที่จะปรุงอาหารให้ชนิดสุนัขกินไม่ได้ไม่มีหรอก ให้มนุษย์กินได้ มันอร่อยหรือไม่อร่อยนั่นอย่างที่ว่า กิเลสมันให้อร่อยมันไม่อร่อยสองอย่าง ที่อร่อยก็กิเลส ที่ไม่อร่อยก็กิเลส ไม่อร่อยมันเป็นวิภวตัณหา ที่อร่อยมันเป็นกามตัณหา เอ้าคิดดูเอาและก็นี่แหละท้องมันอิ่มกิเลสมันพอใจ วาจามันก็ไม่เป็นปกติสุข มันก็ไหลออกไป อันนี้เรียกว่าเป็นปลาไหล แล้วทีนี้ถ้าว่าตามในขุมทรัพย์พระบรมโอษฐ์ที่พระองค์ว่าภิกษุจระเข้เห็นแก่ กิน, กินแล้วก็นอนตากแดดอ้าปากหวอ ตากแดดแล้วลงน้ำ และก็ภิกษุพวกหนึ่งที่พระพุทธเจ้าประฌามว่าภิกษุสุนัขขี้เรื้อน มันคัน อยู่ไม่นิ่ง อดไม่ได้ที่จะต้องพูดนั่น พูดนี่ รุกรานคนนั้นคนนี้ให้เดือดร้อน เรียกว่ารุกรานด้วยวาจา รุกรานด้วยกาย รุกรานด้วยกิริยา ถ้าเราจะเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว สิ่งเหล่านี้เราต้องกระทำได้ เราต้องมีความอดทนอดกลั้นทุกอย่าง
    อย่างในเรื่องที่สมเด็จพระพุทฒาจารย์ (โต) ยังมีชีวิตอยู่ มีพระตั้งร้อยที่วัดของท่าน เผอิญวันหนึ่งมีคนนำแกงร้อนมาถวาย หม้ออวยใหญ่ แต่มันไม่พอกับพระหรอก พระมาก ทีนี้สมเด็จโตนั้นท่านอยากจะทดสอบว่า พระของเราที่ปกครองนี่ใครมีความจริงใจแค่ไหน แต่ท่านก็ไม่ได้บอกใคร สั่งให้เณรเอากะทะใบบัวใหญ่มาติดไฟตั้งเข้า แล้วก็ไปตัดผักบุ้งข้างๆ วัดมาสับๆๆๆ ทั้งใบบ้างรากบ้างใส่ลงไป เอาน้ำใส่แล้วเอาแกงร้อนหม้อหนึ่งเทลงไปในกะทะใบบัว แล้วก็ต้มจนสุกเรียบร้อย เติมน้ำปลาบ้างแหละตามสมควร หรือไม่เติมก็ไม่ทราบ เพราะไม่ได้บอกไว้ พอเสร็จแล้วท่านก็สั่งให้เณรตักอาหารที่ปรุงใหม่ถวายพระองค์ละถ้วยๆๆๆ ทุกองค์ฉันกับข้าว พอขณะที่ฉันอยู่ท่านไปนั่งคอยอยู่ที่ประตูโรงฉัน อ้อดูเหมือนจะเป็นตอนเย็นก่อนเข้าทำวัตรที่ในโบสถ์ ท่านนั่งคอยอยู่ที่หน้าโบสถ์ พอถึงพระเณรองค์ไหนมาท่านถามว่า "เป็นไงแกงร้อนเมื่อเช้าอร่อยดีไหม" องค์ที่หนึ่งก็ตอบว่า "อร่อยดีครับผม" ถามองค์ที่สองว่า "คุณล่ะ?" "อร่อยดีครับผม" ทุกองค์แหละอร่อยดีทั้งนั้น องค์ที่แปดสิบ โน่นมีองค์หนึ่งเป็นพระผู้เฒ่าพระหลวงตา ถาม "เป็นไงหลวงตา แกงร้อนเมื่อเช้าที่ตักถวายอร่อยดีไหม?" พระหลวงตาบอกว่า "อร่อยอะไรพระเดชพระคุณ หมาก็ไม่กิน" เอ้าเป็นอย่างนั้นไป สมเด็จโตก็เข้าที่ประชุมสงฆ์บอกพระทั้งหมดว่า วันนี้ที่พบแล้ว พระทั้งหมดมีองค์เดียวเท่านั้นที่พูดจริง นอกนั้นโกหกทั้งนั้นแหละ ไม่อร่อยว่าอร่อย เพราะเกรงว่าสมเด็จโตจะดุเอา นั้นเป็นการทดสอบ ไอ้เรื่องอาหารการกินทุกสิ่งทุกอย่างที่มันอุดมสมบูรณ์ จนว่ากลืนไม่ลงแล้ว มันก็มีบางมื้อบางวัน มันมีเดือนหนึ่งกว่า ๑๕ วันแหละ ทีนี้บางมื้อบางวันก็มีบกพร่องบ้าง เราจะเอาอย่างที่เราต้องการทุกวันหรือย่อมเป็นไปไม่ได้ พระต้องรู้จักเข้าใจคำว่า สันโดษ
    อาจารย์ในชีวิตที่บวชมานี่ลำบากยากแค้น บิณฑบาตมาไม่ค่อยได้อะไร เมื่อก่อนไม่ใช่มีสลากโรงครัว ไม่มีหรอก มีพระสององค์เท่านั้น พรรรษาสองแล้วไปบิณฑบาต อ้อ พรรษาแรกไปบิณฑบาตมาบ้านญาติ ก็มีจิตมันก็มีกิเลสขึ้นมาแหละว่าจะไปบิณฑบาตบ้านญาติ ไปขอนั่นขอนี่ ขอกับข้าว แล้วมันก็ไม่ไป มันอดตายก็ช่างมันให้มันรู้ไป มันอัตคัตเหลือเกิน (ช่วงนี้เทปหายไป) ได้ปลาเค็มมาสองตัวขนาดสามนิ้ว เป็นปลากระบอก เขาปิ้งมาไม่ได้ทอดหรอก เขาใส่บาตรมา ท่านอาจารย์ไปบิณฑบาตมา ไปคนละทาง กลับมาขึ้นโรงฉัน เปิดฝาบาตรให้ดูแล้วหัวเราะหึ ท่านบอกว่าไม่ได้อะไรเลยหลวงน้า เลยแบ่งคนละตัวเท่ากันกับอาจารย์ตัวหนึ่ง ฉันเองตัวหนึ่ง และฉันมื้อเดียวล้วนๆ ไม่ได้ฉันอะไรอีก แล้วก็ตอนหลังนี่มีสลากแล้ว เขาก็ลืมเสีย เขาไม่ได้มา ไปบิณฑบาตไม่มีเลย ไม่ได้อะไรเลย เอาละวันนี้ฉันข้าวเปล่ากับน้ำ พอดีกำลังลงมือฉันอยู่นั่น คนที่มันรับสลากมันนึกได้ขึ้นมาว่า ตายรับสลากแล้วลืมเสีย ทำอะไรไม่ทันเลยตำน้ำพริกมาถ้วยหนึ่ง มีผักมานิดหน่อย ก็ไม่เคยปริปาก ไม่เคยขอที่บ้าน ไม่เคยขอญาติ ก็อยู่ตรงนี้แหละ เป็นชีวิตที่อดทน ก็ครั้งที่ไปอยู่ทรายยรี พระ ๕ เณร ๑ บ้านเมืองริมทะเลเป็นบ้านปลาแท้ แต่ไม่มีปลาหรอก กับข้าวอะไรไม่มีเลย วันนั้นมีแกงส้มมาหม้อหนึ่ง ปิ่นโตเถาหนึ่ง เขาใส่แกงมาก็ปิ่นโตเดียว ทีนี้พระเณรข้างต้นก็ ๔ องค์ เขาก็ต้อนเอาเนื้อไปหมดเหลือแต่น้ำมาถึงอาจารย์ น้ำแกงส้มก็ราดๆ เข้า เหลือไว้ครึ่งแบ่งให้เณร กระซิบบอกว่า "อดทนนะเณร" ครับไม่เป็นไรหลวงอาไม่เป็นไร ว่างั้น นี่เป็นอย่างนี้ แล้วอีกครั้งหนึ่งไปบิณฑบาตไม่ได้อะไรเลย อาจารย์ได้กุ้ง ต้มกุ้งที่เขาเอาทำกะปินั่นแหละ มาห่อหนึ่งแล้วพระที่ไปกับอาจารย์อีกองค์หนึ่งก็ได้มาอีกห่อหนึ่ง ได้สองห่อ มาถึงที่วัดไม่มีอะไร พระเณรทั้งหมดนั้นไม่ได้อะไร ก็บอกว่า เณรเห็นน้ำปลาในครัวมี พริขี้หนูข้างครัวมี เอาไปตำๆ ก็ได้นี่เณร เณรก็จัดการตำเป็นน้ำพริก เอากุ้งนั่นแหละกับน้ำปลามาใส่ และผักก็เอาใบมะม่วงหิมพานต์นั่นแหละ เพราะชาวบ้านกินยอดหมดเหลือแต่ใบเก่าๆ ก็เอาแค่นี้, เณรหรือใครบอกว่าใบนี้กินได้ ใบเสม็ด เอายอดเสม็ดธรรมดานี่แหละ และก็ยอดเนียงสีม่วงๆ พอมีบ้าง ก็อยู่ได้ นี่เป็นอย่างนี้ ชีวิตอาจารย์บวชมาพบมาอย่างนี้
    แล้วเราอดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ว่า อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้าง ใครมันกิน นั่นกิเลสมันกินหรือว่าพระกิน หรือพระฉัน ถ้ากิเลสมันกินพระไม่ได้ฉันนั่นมันไม่อร่อยแล้ว หรือมันอร่อยไม่มีแล้ว แต่ถ้าพระฉันนั้นคำว่าอร่อยหรือไม่อร่อยมันไม่มีอยู่แล้ว มันไม่ขัดเกลากิเลสเลย นี่พูดถึงว่าแล้วก็เหมือนกัน นี่การไม่สำรวมระมัดระวังตั้งแต่พระเณรไป พระผู้ใหญ่ก็เหมือนกันแหละ การนำพระหรืออายุพรรษามากแล้ว พอเสร็จจากฉันก็หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยกัน ซึ่งไม่ใช่ธรรมะ ไม่เป็นเรื่อง และหัวเราะกันเฮฮาๆๆ ไม่ใช่ขี้เมานี่ พระนี่เป็นผู้สำรวมมีวินัย ถ้าคุยเฮฮาหัวเราะคิกคัก เฮฮาแล้วมันก็เป็นขี้เมาเท่านั้นเอง มันจะเป็นพระสงฆ์ได้อย่างไร
    และทีนี้ก็กิจวัตร ทำวัตรอะไรบ้าง? เดี๋ยวนี้กิจวัตรน้อยที่สุด มีแต่ปัดกวาดเช็ดถูเท่านั้น นานๆ จึงจะได้ทำนั่นทำนี่กันที และทำวัตรมันทำอยู่ทุกวัน ทำวัตรเพียงวันละสองหนไม่ได้ เราควรจะหยุดเสียบ้าง หยุดมันอย่าฉันมันเสีย เพราะเหตุใดล่ะ เพราะเหตุว่าเราฉันอาหารของชาวบ้าน แล้วเราประพฤติไม่สมกับเป็นสมณะ ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นยังไม่ได้ คือเพียงแต่เข้าถึงพระรัตนตรัยเท่านี้วันละสองครั้งยังทำไม่ได้ อิสลามเขาทำวันละ ๕ ครั้ง เราพุทธศาสนาสองครั้งยังทำไม่ได้แล้วจะไปทำอะไร ทีนี้การไม่มาทำกิจวัตร หรือทำวัตร มอบฉันทะกับใครมา? เพราะเหตุไร? ตามพระวินัยต้องมอบฉันทะ ต้องบอกกับผู้อื่นมา เจ็บไข้ได้ป่วย หรือมีกิจอะไร? ถึงไม่มา โดยไม่บอกก็เป็นอาบัติทุกกฏจะบอกให้ ไม่ว่าใครทั้งนั้น มิฉะนั้นการสามัคคี การประชุมความเป็นระเบียบเรียบร้อยตามพระวินัยมันก็ไม่มี มันก็ไหลออกไปอย่างปลาไหล อย่างที่ว่าจับไว้ไม่อยู่ ที่อาจารย์ปกครองนี้เพื่อขัดเกลากิเลสของศิษย์ทั้งหลาย ไม่ใช่ปกครองเพื่อสบายใจ จะทำออกลิงออกค่างอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่ วัด นี้จะอยู่ยืนยงคงกระพันได้เพราะมีศีลมีธรรมที่ดีเรียบร้อย พระทุศีล พระศีลชั่ว พระเลวทรามนั้น มันไม่ทำความเจริญให้แก่พระศาสนา มีแต่ความเสื่อม
    การมีชีวิตอยู่ได้ การใช้จ่ายเดือนละหมื่นบาทมาอย่างไร หมื่นกว่าบาทมาอย่างไร?, ขอถามทีใครเป็นทาส? เป็นขี้ข้าเรา ที่นำมาให้เราได้กินได้ใช้ได้บริโภคทุกอย่าง มันมาจากใคร? เป็นผู้สร้างบุญไว้ ที่สิ่งเหล่านี้มา เราสร้างเองหรือ? ให้เข้าใจซิ เราทุกคนนั่นสร้างเองที่เป็นอย่างนี้ได้
    นี่แหละคำว่า วิปลาโลวิปลาสจิต ท่องเที่ยวไป ๑๘ ตำบล นี่แหละจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และอารมณ์ของจิต เรียกว่า อินทรีย์ ๖ หรือ อายตนะ ๖ เพราะมันท่องเที่ยวไป ๑๘ ตำบล นั่นคือ คูณด้วยตัณหา ๓ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็น ๑๘ พอดี วันหนึ่งเราท่องเที่ยวอยู่ ๑๘ ตำบลนั่น ให้จำไว้ กินอาหารอร่อยไม่ค่อยบอกหรอกว่าอร่อย อาหารไม่อร่อยทำอย่างไร? ฮึ บางทีก็หมาก็ไม่กินเหมือนกัน ว่านั่นแหละเป็นอย่างนั้นเมื่อก่อน เคยจัดพระภัตตุเทศก์แจกภัตรแจกอาหาร เอ้าอิจฉาริษยาว่าตักให้เราน้อย ตักให้องค์โน้นมาก เอาอีกนั่น ทำตามพระวินัย อ้าวสั่งเลิก แล้วทีหลังให้ชีผู้ทำอาหารไปตัก เอาอีกไอ้ชีนั่นมันเกลียดเราให้แต่น้ำๆ ไอ้ชีโน้นมันชอบองค์โน้นให้มาก เลิกทีหลังเปลี่ยนใหม่อีก ไม่ต้องให้รู้ว่าใครแจก แต่เปลี่ยนกันทุกคน แก้มาหมดทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่วาย ฉะนั้นถ้าใครยังจะต้องการบริโภคให้มันอร่อย ให้มันตามใจเรา ไปบิณฑบาตเอาเอง ได้ก็ฉันเอาเองเถอะ บอกมาไม่ต้องขึ้นโรงฉัน เอาอย่างนั้นดีกว่า แล้วก็รู้แหละว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย เจอเข้าบ้างแหละ ท่านอาจารย์ที่สอนเรานี้ท่านบอกว่าเคยไปอยู่ตำบลหนึ่ง ๑๘ วัน ได้แต่ข้าวเปล่า ไม่เคยได้กับข้าวอะไรเลย แล้วถามว่าฉันอย่างไรล่ะอาจารย์ เอาน้ำเทใส่ลงไปแล้วก็ฉัน ฉันข้าวกับน้ำเปล่าไม่ไหว นี่ให้เราอดกลั้นอดทน อย่าหัดเป็นปลาไหล อย่าให้เป็นจระเข้ อย่าเป็นสุนัขขี้เรื้อนอยู่ไม่ได้ อย่าให้เป็นตัวตะก้อง ไอ้ตัวตะก้องนี่ตัวมันมีปีก แล้วความยหรือวัวมันขี้อยู่ตรงไหนนะ ตรงเข้าไปกินอยู่ที่ขี้ควาย มุดอยู่ในนั้นแหละ มุดหัวขึ้นหัวลงกินขี้ควายจนอิ่มแล้วก็นอนอยู่ในนั้นแหละ นั่นมันตัวตะก้อง อยู่ในขุมทรัพย์พระบรมโอษฐ์ เอามาอ่านเสียบ้างแล้วเราจะได้สำนึก ให้รู้ มันท่องเที่ยวไป ๑๘ ตำบลนั่นแหละ ไม่ใช่ที่ไหน ไอ้ที่เรียกว่าวิปลาส มันมาจากคำว่า สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส ทิฏฐิคือความเห็นผิด ไม่เห็นตามทำนองครองธรรมว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรไว้ สอนว่าเรื่องการกินอาหาร นี่อย่าไปติดมัน อย่าไปเห็นแก่รสมัน เรากินเพื่อมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่การกินเพื่อความเอร็ดอร่อย ปฏิสังขาโยนิโสปิณฑปาตัง นั่น อ่านดูตัวแปลมันบ้างซิว่าอย่างไร? ทำไมถึงไม่นำไปใช้พิจารณา เอาอะไรคำว่า พิจารณา หมาย ความว่า ต้องรู้ความเป็นจริงอย่างนั้น ไอ้ที่พูดอย่างนั้นมันเป็นกิเลสทั้งนั้น ทิฏฐิวิปลาส ความเห็นผิด สัญญาวิปลาส จิตก็คือคิดขึ้นมา คนนั้นเขาอคติต่อเรา เขาให้ไม่มาก เขาไม่รัก เขาเกลี่ยดเรา เป็นอคติแล้ว รัก โกรธ เกลียด กลัว ก็เป็นกิเลสทั้ง ๓ อันครั้งเรามีความสำรวมระมัดระวัง เราเป็นผู้เสียสละแล้ว เป็นผู้บริจาคแล้ว เป็นผู้ออกจากวัตถุกาม ออกจากบ้านจากช่องบิดามารดาสามีภรรยามาแล้ว เราออกมาแล้ว ออกมาบวชเพื่ออะไร? เพื่อพระนิพพานแล้วทำไมเราจึงยังให้จิตของเราถอยหลังไปอีก เหมือนผู้อยู่ครองเรือน มันก็ไม่ใช่สมณะ ไม่ควรเป็นอย่างนั้น
    สามเณรนี้ จะว่าทำอะไรไม่ค่อยจะได้อะไรนะ รักษาจิต อ้อ...ถ้าทำกิจการอะไรบ้างแล้ว มันจะปฏิบัติธรรมไม่ได้ หรืออะไรนี่แหละ ระวังนะสามเณรจนถึงกับว่าพระใช้อะไรก็ไม่ค่อยได้ ดื้อรั้นกับพระ สามเณรนั่นมันศีล ๑๐ พระมันศีล ๒๒๗ การที่จะหยิบข้าวของมาใช้เองมันไม่ได้ ไม่มีผู้ประเคน การที่มีสามเณรไว้เพื่อทำอะไรก็ได้ช่วยเหลือพระ แล้วมันหนักหนาอะไรกับการประเคนของพระนี่มันหนักหนาอะไร? พระใช้นั่นใช้นี่มันหนักหนาอะไร? ก็อีกเหมือนกัน พระที่ใช้ก็เหมือนกัน จำเป็นหรือไม่จำเป็นก็ต้องรู้เหมือนกัน สักแต่เรียกกันให้เณรหัวหมุนก็ไม่ถูก มันต้องพอควร อะไรจำเป็นหรือไม่จำเป็น จำเป็นจึงจะใช้ เคยมีสามเณรมันทนไม่ไหว เอาของชิ้นนี้ไปประเคนแล้ว พอประเคนเสร็จ พอเณรหันหลังกลับเรียกเอาอื่นอีกแล้ว ตั้งสามครั้งสี่ครั้งโน่น อย่างนี้มันแย่ ไอ้พระก็หนาแน่นเหลือเกินกิเลส แย่เหมือนกัน ฉะนั้นเราอ่านวินัยปฏิบัติธรรมะแล้วถือนิสัยอาจารย์ การพูดฟุ่มเฟือยใดๆ เคยเห็นหรือ อาจารย์นอกจากแสดงธรรมกับผู้เข้ามาหาก็พูด ถ้าอยู่ตามธรรมดาๆ แล้วเจอพระที่เดินสวนกัน ไม่มีธุระอาจารย์เคยถามใครบ้าง เคยพูดกับใครบ้าง เพราะอะไร มันไม่มีกิจที่จะพูดจึงไม่พูด
    เราอยู่ถึงอาจารย์ ที่จะเรียนอะไรได้ทุกอย่าง มันจะไปตรงกับคำพังเพยของโบราณที่ว่า เป็นจวักเสียเปล่า หารู้รสแกงไม่ จวักโบราณเขาทำเป็นกะลาใส่ต้นไม้ จะแกงคั่วจืดแกงร้อน โบราณไม่มีช้อน มีตะหลิวเหมือนปัจจุบัน รสอร่อยดีไหมจวักไม่รู้หรอก ไม่รู้รสแกง ก็เช่นเดียวกันนั่นแหละ พระหรือเณรก็ตามอยู่ถึงครูอาจารย์ ที่อบรมศิษย์ อบรมศีลธรรม อยู่ทุกวันๆ นี้ ยังไม่รู้จักที่จะนำไปใช้ปฏิบัติตาม ก็เหมือนกับจวักที่ไม่รู้รสแกงนั่น จบเพียงเท่านี้


    หลวงพ่อสรวง ปริสุทฺโธ
    วัดถ้ำขวัญเมือง อ.สวี จ.ชุมพร

    ๒ สิงหาคม ๒๕๒๕
     
  18. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/WFA062Ym29A?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/WFA062Ym29A?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/-Lj89akbEP8?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/-Lj89akbEP8?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/6gUyIiROSmg?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/6gUyIiROSmg?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Ylcur6JA__M?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/Ylcur6JA__M?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/O64gVepGWcg?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/O64gVepGWcg?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/XMtp8s2RQ0w?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/XMtp8s2RQ0w?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/FGm7iDeYJtM?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/FGm7iDeYJtM?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/BoGPLzs8oTY?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/BoGPLzs8oTY?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/byhVM9_28Kg?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/byhVM9_28Kg?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/vQCTjnaMlAY?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/vQCTjnaMlAY?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/U1ybQ82dh0c?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/U1ybQ82dh0c?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/OJ_lTIULW14?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/OJ_lTIULW14?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/_tWMc75Ql9I?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/_tWMc75Ql9I?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/CYtzIxPvDko?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/CYtzIxPvDko?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>
     
  19. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    กราบโมทนาเป็นอย่างสูง สาธุ สาธุ สาธุ สมัยนี้กรรมทันตาสิ่งที่ไม่เคยเกิดก็เกิดขึ้นไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ตอนที่ท่านมรณะภาพคือปี2542 ตอนนั้นยังไม่มีเหตุการ(บ้านเมือง)เหมือนสมัยนี้ เชื่อว่าคำทำนายของท่านต้องเป็นจริงต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
     
  20. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ไม่มีใคร ใหญ่เกินกรรม ให้ทุกข์ถึงท่านทุกข์นั้นถึงตัว
    บุคคลใดมุ่งร้ายไม่หวังดี ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตร์ย ราชบัลลังก์ ซึ่งเป็นสมบัติอันมีค่าหวงแหนที่สุดหาประมาณมิได้ของคนไทยตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ขอให้สติกลับคืนมาดังเดิมมีความรัก ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้อภัย และสมัครสมานสามัคคี ซึ่งกันและกันช่วยกันรักษาอย่าให้ผู้ใดทำลาย

    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...