สามสิ่งที่ต้องมีสำหรับโสดาบัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นันทะชัยดี, 18 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ไม่หาเหตุแห่งทุกข์ก่อนรึครับ..เกิดทุกข์ปั๊บวิ่งจับลมแทน.. อยู่ๆก็จับลมหายใจแล้วทุกข์ ก็ถูกข้ามไป ..แล้วอ้างว่าจิตสูง เจริญปัญญามากๆ เถอะครับ โยนิโสธรรมปัจจุบัน ให้มาก สาธุ(k)
     
  2. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    กระทู้แรงดีจริงๆ ค่ะ..:cool:
    แล้วก็ยินดีค่ะ ที่เป็นส่วนหนึ่ง อ่ะๆๆ
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เขา ประกาศความสามารถ ในการ อดทน อะฮับ

    ก็เลย ต้องจัดแบบ เสือสาว ไปบ้าง
     
  4. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ถ้ามีการจะเข้าผัสสะ เข้าดล
    เกิดคำถามว่า
    อะไรคือ งมงาย ก็จะเกิดอุปปาทานขึ้นเหมือนเสียงก้องของความคิด
    สิ่งนี้คืองมงาย กะอีกสิ่งนึ่งคืองมงาย
    ไม่มีงมงายไหนๆ เข้าดลจิตได้พร้อมกัน สองงมงาย

    คิดไปเองก็เหมือนกัน
    ไม่มีคิดไปเอง ดลจิต ใครได้สองคิดไปเองพร้อมกัน

    อีกอันนึงคือเจตสิก

    อันไหนคือจิต เพราะมันคือจิตมันเลือกอันผิดเสมอ
    อันไหนคืองมงาย
    อันไหนคือคิดไปเอง

    ที่ผมทำเรียกว่ามือถาม

    ถ้าเป็ฯบางวิชา ก็เรียกอรหันต์ถามทาง
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    นี่ หายไปกันหมดแล้ว

    สงสัย รู้จักแต่ ขันติ ไม่รู้จัก " โสรัจจะ นวลอยู่ " โหร คมช

    เลย ต้องไปตั้งหลัก ไกลๆ
     
  6. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    เด็กแถวบ้านผมก็เรียกสิ่งเหล่านี่ว่า
    คร่ำครวญ
    พร่ำเพ้อ

    แถวบ้านผมรู้ทุกคน

    แถวนี้จะไม่ยอมรับไม่ยอมรู้
    ก็ตามสบาย
     
  7. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เหนือ กับ หนี ดูดี ๆ น้าาาา
    ทำรั้วบ้านสูง ๆ เพราะกลัวโจรปล้น
    รั้วบ้านไม่ได้ช่วยทำให้หมดความกลัว แค่ทำให้สบายใจเฉย ๆ
     
  8. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    อ่ะๆๆๆ เราน่ะ...เสือดาว เลยแหล่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :cool:..เขาคิดแต่เรื่องโลกธรรม คุณนันทชัยดี..นี่ชื่อเสียงที่จะได้จากการนำเสนอบทความ หรือธรรม อ่อนแอทางอารมณ์โดยปิดกั้นกลัวคิดผิด อยากให้ชมว่าข้าพฯลเก่ง ..
    ไม่เคยมองสังคม ถึงส่วนรวม ว่าพวกเขาจะคิดยังไง สังคมได้อะไรที่เรานำเสนอ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านเลยมองข้ามไป
    การที่ผู้อ่าน เขาเสนอโต้กลับมา จะดีจะร้าย นั่นก็ปัญญาชัดๆ..ถูกผิดก็ไม่เห็นจะต้องปิดบังอัตตาตนเองด้วยการไม่ยอมตอบคำถาม ..ผมยังกล้าเลย ขนาดไม่ได้สำเร็จอะไรกับใครนะนี่..
    ว่าจะย้ายไปอยู่กับกลุ่ม ISIS..เร็วๆนี้ละ เบื่อชาวพุทธ จริงๆ:'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2015
  10. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    เสียงก้อง ของความคิด
    เช่นมีงมงายสองงมงาย
    มีคิดไปเองสองคิดไปเอง

    และวิญญาณขันธ์เลือกอันผิดเสมอ

    อันนึงจะคืออุคหนะนิมิต
    อีกอันหนึ่งจะปฏิภาค

    แต่อันไหน ก็เลือกผิดเสมอ
    ก็มันคือตัวรู้ ก็มันคือวิญญาณขันธ์ ก็มันคือรูปราคะ
    มัน ทรานสะมิต transmit
     
  11. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ถ้าคูรเห็ฯพาลีลูบหลัง
    เห็ฯสาริกาป้อนเหยื่อ
    สาริการ้อยรัด

    ไอ้พวกที่พเ้ออยู่นี่ถ้าภาวนาได้
    ผมบินได้แน่ เดินบนน้ำได้แน่ๆ

    บอกแล้วว่าใครก็ตามโดนของพวกนี้ ดลอย฿๋
    จะภาวนาไม่ได้เลย

    ไม่ได้แม้แต่ขณิกะสมาธิ
    ไม่มีทาง
     
  12. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    เมื่อวานเราใจเย้นนนเย็น
    แต่หงัยเมื่อเช้า ตื่นมาใจร้อน ซะงั้น..:boo:

    เลยโพสข้อความ โชว์พรรคพวกหน้าเฟส..อิอิ
    ว่าวันนี้ ใจร้อนๆ นะคะ ก็พยายามข่มใจ ทำความรู้ตัวให้มาก

    เมื่อวานใจเย็น แต่.... วันนี้ใจร้อน
    เมื่อวานโอนอ่อน ด้วยเขา ไม่เข้าใจ
    เมื่อวานเขา คิดร้าย ก็ให้อภัย
    วันนี้อย่าได้ กล่าวร้าย ล่วงเกิน

    ศักดิ์ศรี มีกัน นั้นทุกคน
    ไม่หวังผล ให้ใคร ได้สรรเสริญ
    ทำการงาน หน้าที่ไซร้ ได้เผชิญ
    ด้วยเพราะเดิน ทางนี้หนา....ข้าราชาดี

    ป.ล. ก็แค่มา บ่นๆๆ ในทู้นี้ค่ะ
    แล้วไม่รู้ว่าข่มใจแบบไหน จากใจร้อน กลายเป็นมือเย็น เท้าเย็น ซะงั๊น..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ขั้นแรกคือโดนของพวกพาลีลูบหลัง
    อันนี้อาจจะโดนเพราะหลุดเข้ามาเหมือนปอบ ที่ว่ากินน้ำแก้วเดียวกัน
    คนเรามีแก้วอยู่ใบหนึ่ง
    กินน้ำแก้วเดียวกัน คือเราและเรา

    คือมันโดนพวกพาลีลูบหลัง คือไสยะศาสตร์
    มันเอาไสยะศาสตร์นั้นๆทำนายมรรคผลนิพพานกันเอง

    จำเริญ

    คิดก็เหมือนแก้วน้ำ เหมือนปอบ
    ถ้ามีคิดสองคิด ปอบสองปอบ
    วิญญาณขีันธ์หรือตัวรู้เลือกอันปิดเสมอ

    พวกมันไม่รู้จักราคะด้วยซ้ำ

    พวกมันภาวนาไม่ได้เลย
    เหมือนซอมบี้ไม่มีผิด
    คนตายเดินได้นี่เอง
     
  14. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เมื่อเช้าอ่านธรรมของสมเด็จพระสังฆราชฯ ค่ะ (ก๊อปมาให้อ่านบางส่วน)

    ขอให้ทุกท่าน ประมวลใจกำหนดฟังและพิจารณาธรรมที่เป็นตัวความจริง และให้น้อมระลึกถึงพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้สั่งสอนทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

    ในการประมวลใจเข้ามานี้ ก็ให้ทิ้งอารมณ์ภายนอกไว้เสียข้างนอก ไม่ประมวลอารมณ์เข้ามาด้วย เพราะเมื่อจิตใจนี้ มีอารมณ์ภายนอกเป็นกังวลอยู่ ธรรมก็เข้ามาไม่ได้

    ฉะนั้น ให้ทิ้งอารมณ์ข้างนอกไว้ข้างนอก ดูธรรมที่แสดงให้เป็นอารมณ์ปัจจุบันและพิจารณาตามกระแสธรรม

    ในการพิจารณานี้ ดำเนินตามทางสติปัฏฐานย่อมเป็นทางที่ตรง คือในบัดนี้ กำหนดดูกาย ดูเวทนา ดูจิต และดูธรรม

    การกำหนดกายนั้น ก็คือในปัจจุบันกำลังฟัง ก็กำหนดเสียง กำหนดโสตะคือหู หูกับเสียงประจวบกันอันนี้ก็เป็นกาย และก็ตรวจดูเวทนา คือความสุขหรือทุกข์ หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข เพราะกาย คือเสียงกับหูที่กระทบกันนั้น เมื่อมีทุกข์ คือยังไม่สบายเพราะฟังธรรม ก็กำหนดให้รู้ว่านี้เป็นทุกขเวทนา ถ้ามีความสบายเพราะฟังธรรม ก็กำหนดให้รู้ว่านี้เป็นสุขเวทนา ถ้ายังเฉย ๆ ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ก็กำหนดให้รู้ว่าเป็นอุเบกขาเวทนา เวทนานี้ก็แล่นถึงจิต ก็กำหนดดูจิตใจว่ามีชอบในธรรมหรือไม่ชอบในธรรมที่ฟังและต่อจากนั้น ก็กำหนดตัวความชอบหรือความไม่ชอบ ว่าบัดนี้เป็นความชอบ บัดนี้เป็นความไม่ชอบ นี่ก็เป็นธรรม อันนี้เป็นสติปัฏฐานในการฟัง คือ เสียงกับหูก็เป็นกาย ก่อเวทนาก็เป็นเวทนา ส่งถึงจิตก็เป็นจิต และจิตก็ประกอบด้วยเรื่องคือธรรมในจิต เป็นตัวความชอบหรือไม่ชอบก็เป็นธรรม และพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง เสียงกับหูที่ประจวบกันนั้น เสียงก็เป็นเสียงธรรม หูก็ฟังธรรม จิตใจก็แล่นไปถึงเนื้อความของธรรม ตัวธรรมที่ฟังอันเป็นเสียงแสดง ก็นับว่าเป็นกาย

    และเมื่อจิตใจอันนี้ซึมซาบในเนื้อความของธรรม ได้ความสงบก็เป็นเวทนา ส่งจิตใจให้ประกอบด้วยศรัทธาและปัญญาเป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนกุศลก็เป็นจิตและเป็นตัวธรรม คือศรัทธาและปัญญาเป็นต้นในจิตใจที่บังเกิดขึ้นโดยลำดับ เป็นสติปัฏฐานชั้นในเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง และเมื่อได้กำหนดดูสติปัฏฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ในปัจจุบันดังกล่าว ด้วยฝึกหัดดูอารมณ์ที่เป็นปัจจุบันในบัดนี้ให้เป็นสติปัฏฐาน และเมื่อออกรับอารมณ์ภายนอก ในเวลาที่ออกจากการปฏิบัติไปประกอบธุรกิจต่าง ๆ ก็ฝึกหัดดูอารมณ์ที่ประสบนั้นให้เป็นสติปัฏฐาน เช่นว่าโดยปกติเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียงเป็นต้น รูปและเสียงเป็นต้นนั้น ก็มาเป็นอารมณ์ทำให้ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ถ้าเป็นรูปเสียงที่น่าปรารถนาพอใจ ก็มาเป็นอารมณ์ให้เกิดความชอบ ถ้าเป็นรูปเสียงที่ไม่ปรารถนาพอใจ ก็มาเป็นอารมณ์ให้เกิดเป็นความไม่ชอบ โดยปกติก็ย่อมเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ก็ใช้สติปัฏฐานนี้แหละสำหรับดูอารมณ์ทั้งหลาย กล่าวคือ เมื่อประสบอารมณ์ก็คิดพิจารณาว่าอันไหนเป็นกาย อันไหนเป็นเวทนา อันไหนเป็นจิต อันไหนเป็นธรรม พิจารณาเข้ามาดูที่จิตของตนเองหยุดที่จิตของตนเอง รูปกับตาที่ประจวบกัน หูกับเสียงที่ประจวบกัน ก็เป็นกาย เมื่อประจวบกันอย่างนั้นก็เกิดเวทนาคือ สุขหรือทุกข์ และเวทนานี้ก็ปรุงจิต ถ้าเป็นสุขเวทนาก็ปรุงจิตให้ยินดี ถ้าเป็นทุกขเวทนาก็ปรุงจิตให้ยินร้าย

    เพราะฉะนั้น ก็จับพิจารณาดูเวทนาในขณะที่รับอารมณ์ ดูจิตในขณะที่รับอารมณ์ ดูธรรมคือตัวความยินดีหรือความยินร้ายในขณะที่รับอารมณ์ ถ้าหัดให้สติปัฏฐานรับอารมณ์ดังกล่าวนี้ ถ้าสติบังเกิดช้า คือพอรับอารมณ์ก็บังเกิดความยินดีหรือความยินร้ายขึ้น ก็แปลว่าสติกำหนดมาโดยลำดับไม่ทัน กิเลสบังเกิดขึ้นเสียก่อน แต่ก็ไม่ปล่อยแต่จับดูตัวธรรมคือตัวยินดีหรือยินร้ายในจิต ให้รู้ว่า บัดนี้จิตยินดีบัดนี้จิตยินร้าย เมื่อกำหนดดูเช่นนี้ ก็จะสงบความยินดีหรือความยินร้ายไว้เพียงเท่านั้นได้ แต่ถ้ามีสติกำหนดได้เร็วกว่านั้นจนจับจิตทัน ในขณะที่เวทนาเข้ามาปรุงจิต จับจิตที่ไหว ๆ ในเวทนา จะมียินดียินร้ายก็ชั่วแวบหนึ่ง แต่เมื่อได้จับจิตด้วยสติทันแล้ว ก็จะหยุดอยู่เท่านั้น แต่ถ้าจับจิตได้เร็วกว่านั้น

    กำหนดจับเวทนาทันในขณะที่รับอารมณ์ กำหนดทันว่าเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เพราะอารมณ์ที่รับนั้นก็จะหยุดอยู่ได้เพียงนั้น เวทนาก็จะไม่ปรุงจิต แต่ถ้ามีสติได้เร็วยิ่งกว่านั้น

    กำหนดจับอารมณ์ที่รับนั้นไว้ทัน คือในขณะที่รูปกับตาประจวบกัน หูกับเสียงประจวบกัน ก็มีสติกำหนดได้ทันว่า สักแต่เป็นอารมณ์ คือเป็นตากับรูปประจวบกัน สักแต่ว่าเป็นเสียงกับหูประจวบกัน ประจวบกันแล้วก็ผ่านไปแล้วไป ถ้ามีสติกำหนดได้ตั้งแต่ต้น ก็เป็นอันดับเรื่องได้ตั้งแต่ต้น การหัดทำสติปัฏฐานสำหรับเป็นเครื่องรับอารมณ์ดังกล่าวนี้ จึงเป็นวิธีปฏิบัติสำหรับที่จะรักษาตนให้ทีความเกษมสวัสดี จากอารมณ์โลกทั้งหลาย ทั้งยังเป็นเครื่องสกัดกั้นกิเลสและกองทุกข์ในโลก จึงเป็นสติอารักขา สติเป็นเครื่องรักษาตน และในเบื้องต้นการฝึกหัดใช้สติดังกล่าวนี้ อาจจะขลุกขลักไม่สะดวก แต่ถ้าหัดปฏิบัติอยู่เสมอ ก็จักสามารถควบคุมอารมณ์ ควบคุมจิตใจ และควบคุมกรรมของตนได้โดยลำดับ สามารถที่จะรับอารมณ์ทั้งหลายได้อย่างสบาย ไม่บังเกิดความทุกข์เดือดร้อน

    อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ http://www.oknation.net/blog/Aug-saraporn/2011/04/02/entry-1
     
  15. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    เค้าเรียกปะราชะ ยิก ยิก ยิกยิก ยิก
    คือแพ้ ยิก ยิก ยิกยิก
    คือรางวัล ปอบ ใจ
    แพ้เป็นพะระ
    ชินะ เป็นมาระ
     
  16. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ถ้า สงสัย
    ว่าอันไหนพระอันไหนมาร
    วิญญาณขันธ์ เลือกอันผิด
    อุปปาทานในวิญญาณขันธืเลือกอันถูก
    แพ้เป็นพระ
     
  17. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    ขออนุญาตกล่าวในประเด็นที่เกี่ยวข้องนะคะ
    ที่บอกว่าประสบการณ์ ด้วยว่าเห็นตรงกับที่เป็นอยู่ค่ะ
    ต้นไม้ที่แก่แล้ว ย่อมผลิ ดอกออกผลเอง โดยกาลอันควร

    เราก็ไม่ค่อยรู้ภาษาธรรมะนะคะ ต้องขอบอกก่อน
    โดยส่วนตัวแล้วก็ ดูกาย ใจ จิต ที่ท่านครูบาอาจารย์ ได้บอกกล่าว
    พอดูมากๆ เข้า ก็แปลกดี สิ่งที่อยู่ภายใน (ที่เรียกแบบนี้
    เพราะไม่รู้ว่าคืออะไร ยังเห็นไม่ชัดค่ะ) เหมือนกับได้รับการฝึก การอบรม
    บางคราว บางโอกาส ก็จะประมาณว่า..แว๊บบบ ให้รู้ว่าเป็นเช่นนี้
    เราก็ได้แต่ร้อง..อ๋อ เท่านั้นเองค่ะ
     
  18. นันทะชัยดี

    นันทะชัยดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +378
    วิชชา เกิดขึ้นในส่วนนามคือ ก็มีญาณรู้ขึ้นมาในจิต นิมิตของนามเป็นความรู้ซึ่งผุดขึ้นมาจากความสงบ สิ่งนั้นก็ผุดขึ้นมาอย่างเรานึกทันที หลวงปู่สอนเราว่า ถึงเรื่องที่เราจริง ก็อย่าไปนึดถือเอา เรื่องไม่จริงเราก็ไม่ยึด ไม่ถือเอา นึดในความเห็นก็มีโทษ นึดในความไม่รู้จริงก็มีโทษ ยึดในความรู้ที่จริงก็มีโทษ ความรู้จริงนี่แหละโทษมาก รู้ไม่จริง กล่าวไปก็มีโทษ เพราะฉะนั้นท่านสอนเสมอว่า ความรู้ความเห็นก็เป็นตัวทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร เพราะมันมีโทษ "รู้" ตัวนี้เป็น "ทิฏฐิโอฆะ" ถ้าเขาไปยึดก็ผิด รู้ก็ต้องสักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็นเท่านั้น ไม่ต้องไปตื่นเต้น ชื่นชม ยินดี หรือโอ้อวดใคร คนที่เขาไปเรียนสำเร็จวิชาชั่นสูงสุดมาจากเมืองนอกนั้น เมื่อเขาไปเที่ยวตามชนบทท้องไร่ท้องนา เขาก็ไม่เคยเล่าให้พวกบ้านนอกฟังถึงเรื่องราวที่เขาได้ไปรู้ไปเห็นมา เขาจะพูดคุยไปตามภาษาของชาวบ้านเท่านั้น การที่เขาไม่เล่าก็เพราะ คนที่จะรับวิชาจากเขาไม่มี การเล่าให้เขาฟังนั้นไม่ได้รับประโยชน์ ใช่แต่เท่านั่น แม้ดับคนที่สามารถจะรู้ได้ เขาก็ยังไม่เล่า ในทางธรรมก็เหมือนกัน ถึงรู้ก็ต้องทำเป็นไม่รู้ ทำเหมือนคนโง่ๆ ที่ไม่รู้เพราะอะไร เพราะธรรมดาคนดีจริงแล้วเขาก็ต้องทำอย่างนั้น คนที่รู้อะไรแล้ว ก็ไปเที่ยวพูดคุยโม้ โอ้อวดใครต่อใครเขานั้น ถ้าเขาว่า"ไม่จริง" ก็ยิ่งร้ายไปอีก ถึงเราจะรู้ก็รู้ไป ต้องปล่อยวางตามสภาพ ความสำคัญ ตนรู้ก็ไม่มี เมื่อเป็นไปอย่างนี้ จิตนั้นก็จะเป็นโลกุตตระ พ้นจากความยึดสิ่งทั้งหลายในโลก ย่อมมีความจริงในตัวของมันเองทุกอย่าง ถึงจะไม่จริงมันก็คือจริงคือจริงที่มันไม่จริงนั่นแหละ ฉะนั้น เราจะต้องละทิ้งความจริง ทั้งความไม่จริง แต่กระนั้น ก็เป็น "ทุกขสัจ"
     
  19. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ใหม่ ๆ ก็ควบคุมไว้ก่อน อย่าให้มันออกอาละวาดสร้างความเดือดร้อน
    นานไปพอนิ่งขึ้น ๆ ทีนี้ต้องมาดูเพิ่ม ลึก ๆ ลงไปแล้วควบคุมกันด้วยอะไร
    กิเลสตัวไหนมันมาสั่งให้ทำและไม่ทำตาม ต้องหัดสังเกตตรงนี้ให้ออกอีก
    มันจะค่อย ๆ ละเอียดลออขึ้น ๆ เห็นความมีกิเลสตัณหาอุปาทานมากขึ้น
    เห็นความโง่มีอวิชชาคอยบงการโน่นนี่นั่นมากขึ้น ก็จะค่อย ๆ ถอนความเห็นผิด
    คลายความยึดมั่น ถอนความมีอัตตาตัวตนได้..
     
  20. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ก็ดีนะครับ มันก็จะอ๋อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเห็นช้างครบทั้งตัว
    จนโยนช้างทิ้งไปเลย ไม่ยึดมั่นถือมั่น..
     

แชร์หน้านี้

Loading...