สภาวะการรู้เห็นการเกิด-ดับของ "จิตหรือสรรพสิ่ง" โดยแจ่มแจ้งเป็นอย่างไร?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย AVATAAR, 1 พฤศจิกายน 2014.

  1. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385

    ไม่ตอบก็ไม่ตอบ ไม่เป็นไรครับ

    ความจริงมันเป็นแค่เรื่องหนึ่ง
    เมื่อมีคนมาบอกว่า "นี่เธอๆมันไม่ใช่"
    พอได้ยินอย่างนั้น ก็ควรจะบอกว่า
    "ไม่ใช่อย่างไร"
    เรื่องมันก็แค่นี้

    จริงๆไม่ต้องเบี่ยงประเด็น
    ผมบอกแล้วถามตอบกันเฉย ก็พูดกันตรงๆ

    ถ้าเป็นผมนะเรื่องไหนผมไม่รู้
    ก็จะบอกไม่รู้
    นักปฏิบัติมันต้องรับความจริงให้ได้ก่อน
    นี่มันอันดับแรก


    คุณ Tboon กระโดดเข้า มาบอกว่า "มันไม่ใช่ "
    ผมแค่อยากรู้ว่า "มันไม่ใช่ อย่างไร" แค่นั้นครับ
    ผมไม่ได้ประสงค์จะให้คุณ Tboon มีชี้เรื่อง อุปทาน นะครับ

    คุณ Tboon เกิดความพอใจ ไม่พอใจ ตอนอ่านกระทู้
    แล้วมันก็เกิดตัณหา อยากที่จะพิมพ์ตอบโต้
    อย่างนี้มันเสร็จอุปทานไปเรียบร้อยแล้ว

    อย่างนี้เรีอยกว่า กล่าวแต่อุปทานผู้อื่น อุปทานของตนไม่กล่าว
    ใช่ไหมครับ

    อย่าชี้เรื่อง อุปาทานเลยครับ เมื่อยังไม่มีคนพ้นอุปาทาน
    คุณTboon ก็ยังโดน อุปทานมันหลอก อยู่ไม่ใช่หรือครับ

    ตรงนี้พอมองเห็นไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤศจิกายน 2014
  2. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ละสักกายทิฐิ มันเป็นอย่างไร เข้าใจหรือยังครับ

    คิดว่าผู้ละสักกายทิฐิ(โสดาบัน) เป็นอย่างไรครับ
    ต้องนั่งตีขิม นั่งนิ่งๆ หุบปากเงียบ ไม่พูดไม่จา หรือเปล่าครับ
    ช่วยอธิบายเพิ่มด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    นี่เรากำลังพูดถึงสภาวะธรรมของผู้ละสักกายะทิฐิกันใช่ไหม

    แล้วสภาวะของผู้ละสักกายะทิบฐิคืออะไรกันแน่

    ของเธอผู้นั้น ที่เห็นความเป็นจริงของสังขารขันธ์เกิดดับเพราะเหตุปัจจัย
    เป็นความเห็นถูกต้องในเบื้องต้น จึงยอมรับว่าไม่มีตัวตน

    กับ

    การเข้าไปทำลายอุปทานขันธ์ทั้งห้า จึงได้ชื่อว่าละแล้วซึ่งสักกายะทิฐิ

    คนอื่นที่เข้ามาอ่าจะได้ไม่สับสนนะคะ

    ข้าพเจ้าเข้าใจผิดหรือเปล่าคะ ว่า การทำลายอุปาทานขันธ์ห้า ก็คือ
    ขั้นสุดท้ายเพื่อกำจัดอวิชชา คือ จบกิจบรรลุอรหันต์แล้ว

    หรือ มีมากกว่านั้นคะ
     
  4. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ถ้านับตามสังโยชน์สิบ
    โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้แก่
    1. สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา มีความยึดมั่นถือมั่นในระดับหนึ่ง
    2. วิจิกิจฉา - มีความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์
    3. สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น ซึ่งรวมถึงการหมดความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย
    4. กามราคะ - มีความติดใจในกามคุณ
    5. ปฏิฆะ - มีความกระทบกระทั่งในใจ
    พระโสดาบัน พระสกทาคามี ละสังโยชน์เบื้องต่ำ 3
    พระอานาคา ละสังโยชน์เบื้องต่ำ 5
    พระอรหันต์ ต้องละอุทธัมภาคิยสังโยชน์ หรือสังโยชน์เบื้องสูงอีก 5 ได้แก่
    6. รูปราคะ - มีความติดใจในวัตถุหรือรูปฌาน
    7. อรูปราคะ - มีความติดใจในอรูปฌานหรือความพอใจในนามธรรมทั้งหลาย
    8. มานะ - มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือคุณสมบัติของตน
    9. อุทธัจจะ - มีความฟุ้งซ่าน
    10. อวิชชา - มีความไม่รู้จริง
    สังโยชน์ - วิกิพีเดีย


    แต่ถ้าพูดว่า อวิชชาๆ ความไม่รู้ในอริยมรรค หรือไม่รู้อริยสัจจ์สี่ มีอุปาทานขันธ์ห้า..
    พระอริยะแต่ละขั้นก็คงละได้ไปตามกำลัง อุปมาเอาว่า อวิชชาตัวนี้ คือสังโชน์ทั้งสิบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2014
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำที่กล่าวกันว่า สัมมาทิฎฐิสัมมาทิฎฐินั้น ดังนี้ สัมมาทิฎฐิ ย่อมมีด้วยเหตุเพียงเท่าไร พระเจ้าข้า?-----------------กัจจานะ สัตว์ในโลกนี้ อาศัยแล้ววึ่งส่วนสุดทั้งสอง โดยมาก คือ ส่วนสุดว่าสิ่งทั้งปวงมี(อตถิตา) และส่วนสุดว่าสิ่งทั้งปวงไม่มี (นตถิตา) กัจจานะ เมื่อ บุคคล เห็นด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นแดนเกิด ขึ้นแห่งโลก(โลกสมุทัยอยู่) ทิฎฐิ ว่าสิ่งทั้งปวงไม่มีในโลก ย่อมไม่มี กัจจานะ เมื่อ บุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป้นจริงซึ่ง ความดับไม่เหลือของโลก(โลกนิโรธ)อยู่ ทิฎฐิที่ว่าสิ่งทั้งปวงมีในโลก ย่อมไม่มี .........................กัจจานะ สัตว์ในโลกนี้โดยมาก มีอุปายะ อุปาทานะ และ อภินิเวส เป็นเครื่องผูกพัน ส่วนสัมมาทิฎฐิ นี้ย่อมไม่เข้าไปหา ย่อมไม่ยึดมั่น ย่อมไม่ตั้งทับ ซึ่ง อุปายะและอุปาทานทั้งสองนั้น ในฐานะเป้นที่ตั้งทับเป็นที่ตามนอน แห่งอภินิเวส ของจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ทุกขืนั้นแหละ เมื่อเกิด ย่อมเกิด ทุกข์นั้นแหละเมื่อดับย่อมดับ ดังนี้เป้นสัจะะที่ผู้มี สัมมาทิฎฐิ ไม่สงสัยไม่ลังเล ญานดังนี้นั้น ย่อมมีแก่เขา ในกรณีนี้ โดยไม่มีผู้อื่นเป็นปัจจัยเพื่อความเชื่อ กัจจานะ สัมมาทิฎฐิ ย่อมมีด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล---นิทาน.สํ.16/20-21/42-43:cool:------------------------ความเข้าใจ ปฎิจสมุปบาท อิทัปปัจจัยตา ตาม พระสูตรข้างบนแหละ ---จะได้ประโยชน์อะไร? พระสูตรกล่าวว่า เป็น" สัมมาทิฎฐิ"
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207



    ข้าพเจ้ายังไม่ได้บอกเลยนะคะ ว่าข้าพเจ้าละสักกายะทิฐิได้แล้ว

    พูดไปตามเจตนาของเจ้าของกระทู้ เพื่อแลกเปลี่ยนสภาวะธรรม
    ที่ตนเองได้ประสบพบมาจริง ๆ

    การแลกเปลี่ยสภาวะธรรมที่เขาได้ประสบพบมา ซึ่งเป็นความจริงของเขา
    ที่เขาได้เจอด้วยตนเอง ถ้าปราศจากอคติเสียแล้ว ย่อมมความยินดีและ
    อนุโมทนากับเขาด้วย ถึงแม้ ณ ขณะนี้ อาจจะยังไม่ใช่ความจริงที่แท้จริงของเขา
    แต่เขาก็ได้พบกับความจริงบางส่วนแล้ว เขาย่อมค้นหาความจริงต่อไป

    หรือว่าไม่จริงคะ ว่าชีวิตของเราที่ผ่านมาไม่มีอะไรเป็นของตนอย่างแท้จริง
    ไม่ว่าจะเหตุการณ์ หรือเรื่องราวต่าง ๆ มันก็เป็นแค่ความทรงจำ ไม่ว่าสุข
    หรือ หรือทุกข์ เราไม่สามารถจับต้องมันได้ เปรียบเหมือนดั่งสูญญากาศ
    เหมือนว่ามีอยู่จริง แต่ไมใช่ความจริง

    พอเรารู้แล้ว และเราก็ยอมรับ โดยไม่มีข้อแม้ หรือเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น
    เพราะมันคือ ความจริง ที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้

    สาเหตุที่ยังไม่มีผลต่อการบรรลุผลของเรา เนื่องจาก

    ความอยากของตัณหาที่ปิดกั้นไว้ กับความต้องการที่อยู่ในจิต หนึ่ง

    และ ทำให้มารมาขวางทางที่ต้องลุกไปตามตัณหา สอง

    และ เราก้าวข้ามกระโดด สภาวะจิตอย่างหยาบ ก็คือ การเข้าใจในไตรลักษณ์
    การเกิดดับยังไม่รู้ที่จะปล่อยวางกายใจได้เลย เหมือนเข้าไปรู้แต่ยังไม่เห็น
    ภาพที่ชัดเจน จึงมีผลแค่รู้เท่านั้น สาม

    และเราอยากทราบว่า

    เมื่อรู้ไตรลักษณ์ การเกิด ดับ อย่างชัดเจนแล้ว ยังเหลือตัวผู้รู้ทีเป็นตัวอวิชชา
    อยู่หรือไม่คะ

    ถ้ายังเหลืออยู่ และ อะไร จะเป็นตัวจัดการ กับตัวผู้รู้นี้

    หลวงตาบัวบอกว่า "พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้"

    และคิดว่าอะไรจะเป็นตัวทำลายผู้รู้คะ ถ้าไม่เข้าไปรู้เรื่อง อนัตตาของทุกสรรพสิ่ง

    ก็คือ "อนัตตาธรรม"

    และที่นำมากล่าวนี้เผื่อจะเป็นประโยชน์ในกาลข้างหน้าสำหรับผู้พ้นทุกข์

    เพราะตรงกับ ธรรมของพระพุทธองค์ ที่ลอยถาดเพื่อเป็นบุคคลาธิษฐาน
    ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดบัวเอิญที่จะลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ซึ่งมันผิดธรรมชาติ
    แสดงว่าต้องมีนัยยะอะไร ต้องการให้ทราบ

    และได้ตรงกับคำสอนของหลวงพ่อเทียน ซึ่งท่านได้บรรลุอรหันต์แล้ว

    และคล้ายของครูบาอาจารย์หลายท่าน ที่ได้กล่าวไว้ อาจต่างกันที่ภาษา

    ที่รู้และเข้าใจเพราะได้ประสบพบมานั่นเอง

    จึงนำมาบอกกล่าวไว้ เผื่อเป็นข้อคิด สำหรับคนอื่น

    โดยเฉพาะ การเข้าถึงสภาวะนี้ ก็ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตจะมีหวังได้เจออีกหรือเปล่า

    รู้แต่ว่า ถ้าจะเข้าถึงสภาวะนี้ได้ จิตต้องสูงกว่าอุเบกขา
    หรือปล่อยวางทุกสิ่งได้แล้วจริง ๆ

    หรือว่า ธรรมชาติจัดสรรให้ เพื่อต้องการให้เราทำอะไรสักอย่าง

    โดยเฉพาะผู้ที่ปราถนาช่วยเหลือ.....

    อันนี้เราก็ไม่รู้นะ ขอให้ท่านพิจารณาเองเถิดคะ:d:d
     
  7. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    สังขารขันธ์มันทำงานตามหน้าที่ มีเหตุอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น หมดเหตุก็ดับ
    ไม่มีตัวตน คือ ไม่มีอุปาทานคือตัวกูของกู เข้าไปเกี่ยวข้องเป็นเจ้าของขันธ์ ๕

    สัมมาทิฏฐิ (การเห็นที่ถูกตรง) ก็คือ การเห็นทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ เห็นตัวการ
    คือความไม่รู้ ความหลงไปมีอุปาทาน (ยึดมั่นถือมั่น) ในขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริงได้
    เมื่อเห็นทุกข์ถูกตัว เห็นเหตุแห่งทุกข์ถูกตัวแล้ว ย่อมรู้ทางดับทุกข์ว่า
    ทางใดควรละ ทางใดควรเจริญ ผู้นั้นจึงตั้งมั่นในหนทางที่ถูกตรงได้อย่างแท้จริง เป็นหนึ่งไม่มีสอง
    และสมาทานศึกษาบนหนทางแห่งสัมมาทิฏฐินั้นให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป



    วิชชาแก้อวิชชา
    ความรู้แจ้ง แก้ความไม่รู้
    ความเห็นถูก แก้ความเห็นผิด
    อวิชชาต้องถูกชำระด้วยวิชชาอยู่เรื่อยไป จนกว่าจะสิ้นอวิชชาอย่างเด็ดขาด นั่นเรียกว่า เจริญวิปัสสนาไปจนกว่าจะสิ้นทุกข์
     
  8. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ยังเหลืออยู่ ทำตัวผู้รู้นี้ ให้ถูก "รู้" อีกที จะเป็น "อยู่กับรู้" ของหลวงปู่ดุลย์
    ตัวผู้รู้ นี้คือ อัตตาจิต หรือ วิญญาณขันธ์ ของเรานั้นเอง
    และตัวนี้คือ อวิชชาเพียวๆ ตั้งแต่การเกิดของมัน (สังคตะธรรม)
    อนัตตาธรรม คือการย้ายออกมาจาก "ผู้รู้/อัตตาจิต/วิญญาณขันธ์" นี้ มาเป็นสภาวะรู้ (อสังคตะธรรม)
    อาการจะเป็นขันธ์อยู่ส่วนหนึ่ง เราคือ "สภาวะรู้" อยู่อีกส่วนหนึ่ง (ขันธ์ไม่ใช่เรา)
     
  9. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    คุณกล่าวอย่างนี้เหมือนดูดีครับ ขออภัยที่ผมกล่าวตรงๆ
    ดูเหมือนว่าคุณ นิพพานสุข เป็นผู้ไม่กิเลส
    ไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง

    จึงได้พยายามชี้ไปที่ "ขี้ของคนอื่น"
    แต่ให้หันมามองตน "ว่าตนก็มีขี้อยู่"

    คุยกันเรื่องธรรมะนะครับ
    เห็นตรงไหนผมกล่าวผิด ก็บอกได้เลย
    ไอ้อย่างนี้ผมไม่ว่า และจะชี้แจงไปตามธรรม

    แต่นี่ไม่ใช่ ไม่ดูที่ธรรม แต่ไปดูที่คน
    พอดูที่คน ผมก็ไม่ว่า
    ผมถามกลับ "แล้วผู้ที่ละสักกายทิฐิต้องเป็นอย่างไร"
    ก็ไม่ตอบ
    ให้ไปดูนิวรณ์5 (มันเกี่ยวกับนิวรณ์5 ด้วยหรือครับ)
    มันเกี่ยวแค่

    เพราะอุปทานมันเกิดในสิ่งที่เราพิมพ์ไปก่อนหน้า
    พอกลับมาอ่าน ผัสสะ กระทบอีก
    เกิดเวทนา ชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ
    เมื่อเกิดเวทนา ก็เกิดตัณหา
    ตัณหา อยากที่จะตอบโต้
    เกิดอุปทานเพิ่มไป
    อวิชชาเอาไปกินอีก
    เรื่องมันอย่างนี้

    สภาวะของคุณก็เกิดอย่างนี้
    เห็นมันหรือเปล่า
    คุณยอมรับมันได้หรือเปล่าครับ

    หรือไม่เห็นสภาวะนี้
    แต่บอกว่า "นั่นๆขี้เอ็ง โชว์ทำไม เอาไปล้างซะ"
    แต่ตนเองนั่งทับขี้อยู่
    อันนี้ก็ไม่ไหวครับ

    ยังติดดี ติดเลว อย่างนี้จะ "นิพพานสุข" ได้ไงครับ
     
  10. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ถ้าคุณ นิพพานสุข ยังติดดี ติดเลวอยู่
    อย่างนี้ลองฟังธรรม อ.แดง กีต้าร์ จะได้ไหมเอ่ย

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ORbGmcHXa9k&index=49&list=PL51D4630850A6FD66"]????????????????????????????? - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤศจิกายน 2014
  11. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207

    ขอกราบอโหสิกรรม ผู้ทรงภูมิธรรม ผู้ทรงปัญญา และ บารมีด้วยความเคารพนะคะ
    เพราะบางท่านก็มีความปราถนาที่ดีงามที่ยิงใหญ่อยู่ด้วยหลายท่าน หากล่วงเกินสิ่งใดทำให้ขัดข้องหมองใจ ก็อโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

    ตอนแรกตั้งใจจะปิดวาจาแล้วคะ

    เหมือนกับเริ่มแล้วยังไม่จบคะ

    ขณะนั่งสวดมนต์อยู่ ก็เหมือนมีสิ่งให้รู้ว่าต้องพูดเรื่องนี้ต่อคะ

    คิดว่าเป็นข้อคิดก็แล้วกันนะคะ

    ไม่ใช่เป็นการแนะนำแต่ประการใด

    ขอกราบในธรรมคะ และเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับข้อความนี้คะ

    ที่ว่า อนัตตาธรรม คือ การย้ายออกจาก ผู้รู้/อัตตาจิต/วิญญาณขันธ์
    มาอยู่ที่สภาวะรู้ เมื่อมีสภาวะรู้ ที่รู้ความเป็นจริงอยู่เสมอ ย่อมต้อง
    ทำลายความเห็นผิด ละอนุสัยลงไปเรื่อย ๆ ย่อมไมมีความเห็นผิด
    ก็ทำให้กิเลสอ่อนกำลังลงไปตามลำดับ

    แต่....... ที่ว่า อาสวขยญาณ ญาณสุดท้าย แห่งการรู้แจ้งนะคะ

    พระพุทธองค์ใช้เวลาในการตรัสรู้ 12 ชั่วโมง

    ยามแรก 4 ชม
    ยามสอง 4 ชม
    ยามสุดท้ายใกล้รุ่ง ที่เรียกว่า อาสวขยญาน คือ ตรัสรู้แจ้งแทงตลอด
    ไม่มีที่สิ้นสุด ณ เวลานั้น

    แต่ไม่ได้เปรียบเทียบกับพระพุทธองค์หรอกคะ

    กำลังจะกล่าวถึง ครูบาอาจารย์ อาทิเช่น

    หลวงปู่มัน, หลวงพ่อธี วิจิตตธมโม , หลวงพ่อขาว อนาลโย ,หลวงตาบัว ฯลฯ

    ที่ทุกองค์พูดเป็นประเด็นเดียวเหมือนกันหมด ว่า "ในคืนนั้นเอง"
    ชั่วเวลาในขณะนั้น.......... เรารู้แล้ว กิจจบแล้ว ก็คือการถึงนิพพาน

    รู้ ณ ขณะนั้น ใช่เรียกว่า อาสวขยญาน หรือเปล่าคะ

    นี่.........ก็เรื่องบังเอิญอีกเช่นเดียวกัน พอลุกการการสวดมนต์ ว่าจะมาพูด
    เรื่องนี้ต่อ ก็มีเหตุให้ไปพบข้อความนี้พอดี

    การเฝ้าดู หรือเฝ้าสังเกตุ ความรู้สึกทั้งทางกายและทางจิต อยู่เป็นประจำ
    แล้วฝึกเพียรปล่อยความยินดี ยินร้าย ในโลกออกเสียได้
    นี้คือ เส้นทางออกจากทุกข์ เป็นงานสำคัญของผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน
    เพราะเมื่อฝึกปล่อยวางไปในทุกผัสสะและเวทนา ไมช้าก็จะถึงสภาวะ
    ที่เรียกว่า "สังขารุเบกขาญาณ " คือ สังขารปรุงแต่งอันเป็นผล
    จากเวทนาทางจิต และเวทนาทางกาย ทั้งหมดจะสงบระงับ

    ***เข้าถึงภาวะอันนิ่งสนิท แต่มีปัญญา รู้อยู่ เรียกว่า นิ่งรู้
    ก็จะได้เห็นความจริงของชีวิต (สัมมาทิฐิ) คือ ความเกิดขึ้น
    ดับไปของสภาวะธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    ผู้ปฏิบัติจะทำความรู้ชัดเฉพาะธรรมอันใดอันหนึ่ง ใน 3 อันนี้
    เริ่มจากทุกขัง ไปหาอนิจจัง และ อนัตตา จากหยาบเข้าไปหาละเอียด
    ความรู้ชัดอันนั้น เป็นแรงหนุนส่งให้อนุโลมญาณ คือ การแก้เหตุ
    เมื่อแก้เหตุเสร็จ ก็เกิดมรรคญาณ การดับเหตุ คือ ดับอัตตา
    ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน เข้าสู่ผลญาณ คือเข้าไปรู้จักและเสวยผลนิพพาน

    ****ในธรรมทั้งสามอย่าง คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตานั้น
    ธรรมที่เป็นคู่ปรับของอัตตา คือ อนัตตา

    ***** พึงค้นหาให้เห็นอนัตตาชัดเจนเถิด******อัตตาความเห็นเป็นเรา
    เป็นตัวเป็นตน จักดับลงได้อย่างง่ายดาย....... ดับอัตตาก็คือต้นเหตุแห่งทุกข์
    ทั้งปวง ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นชั่วเวลาลัดมือเดียว.........แล้วจบลง
    ประตูอบายก็ปิดสนิท พร้อมกับเปิดประตูนิพพาน ไว้ให้แก่ผู้ปฏิบัติ
    ทุกข์ก็สิ้นสุดเป็นนิโรโธด้วยเหตุนี้แล

    หลวงพ่อธี วิจิตตธมโม

    ***********


    ด้วยความเคารพทุกท่าน ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้
    ต้องเป็นผู้มากด้วยนบารมี และภูมิรู้ ภูมิธรรม ที่สูงส่งกันอย่างแน่นอน

    มิได้เป็นการโต้แย้ง หรือ เอาชนะแต่ประการใด
    เพียงแต่มีเหตุให้ทำ

    เข้าใจผิดอย่างไร ยินดีรับฟังคะ ข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีว่า ภูมิธรรมตนเองยังน้อยนัก
    และยังต้องฝึกเพื่อรู้อีกมาก และหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะจากผู้รู้ทั้งหลายด้วยคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2014
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456


    เนี่ยะ สังเกตเลย เป็น การด้น เด้า เดา เอาเรื่อยเปื่อย

    พอเดาเอาเรื่อยเปื่อย การฝึกสติระลึกได้เพื่อกำหนดรู้ ขันธ์ เพื่อละ อุปทานขันธ์
    ขั้นฝึกหัดแท้ๆ ก็ ทะลึ่งคิดว่า เป็น สภาวะ อรหันต์


    จะอรหันต์ไปได้อย่างไร การละ อุปทานขันธ์ มันเป็นเพียง สิกขา เด็กๆ เล่นขายของ

    ถ้ากำหนดรู้ อุปทานขันธ์ได้ อย่างมากก็พอจะ แช่แป้งได้บ้างว่า ปิดอบาย
    แต่ ต้องเกิดอีกแสนชาติ ......

    ทำไมถึงกล่าวอย่างนั้น เพราะ มรรค คือ ส่วนตบแต่งขันธ์ ( ไปหาอ่านเอา )

    ปฏิบัติโง่ๆ จะ เผลอสำคัญตัวว่า เออ กูหนา ปฏิบัติ มรรค8 แว้ววววววว

    โง่ สิไม่ว่า มรรค8 มันก็คือ ส่วนบัญญัติ ส่วนติดบัญญัติ ส่วนสมมติบัญญัติ
    ดีๆ นี่แหละ เพียงแต่ ความที่มันปิดอบายได้ค่อนข้างจะ ชัวร์ ก็เลย ยก
    หรือ อนุโลมไปว่า โน้มไปสู่นิพพาน ( แต่ มันไม่ได้บอกว่า ได้นิพพาน )

    มันยังมี ขั้นก้าวข้ามบางอย่าง ที่ ไม่มีภาษาบัญญัติกล่าวได้
    หากยังกล่าวได้ เหล่านั้น เรียก มรรค


    ปฏิบัติให้มากๆ จนกระทั้ง เอะใจ ด้วยปัญญาอันยิ่งบางประการ มันจะพ้น
    การ ปฏิบัติที่เรียกว่าทำตามๆกันไป

    แล้ว จะพึ่งเริ่มเห็นว่า อ๋อ ธรรมะเนี่ยะ เขาฟังกันส่วนนี้ ฟัง และ ปฏิบัติ
    กันโดยพ้นบัญญติ มันจึงมั่นใจว่า ไม่ได้ฟังธรรมนี้จากสัตว์หน้าไหนทั้งนั้น

    พอ มั่นใจว่า จิตมันมีสิกขาที่พ้นการฟังธรรมจากใคร มันถึงจะ พยากรณ์ตน
    ได้ มั่นใจว่า ไม่ต้องให้ใครมารับรอง

    ไม่ต้องไปนั่ง หาจุดกึ่งกลางโลกที่ ปลายตะหมูกสฟิงค์ ไม่ต้อง อีกหน่อยก็
    กลายเป็น "/\ อ.จิตยิ้ม ช่วยด้วย /\"

    นะ

    ฟังธรรมให้ตาย หากยังทะลึ่ง วิ่งไปเอา ธรรมคนโน้นที คนนี้ที มา รองเท้า
    รองก้น ตน ยกให้สูง ให้พ้นการโดน สาวไส้ ยังต้องอิงบารมี หลวงฮา ที่ไหน

    อย่าคิดว่า รอด

    อย่า สำคัญว่า รู้ทั่วถึงธรรม ปฏิบัติเป็น หรือแม้แต่ ฟังธรรม เป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2014
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207


    เหรอออออออจ๊ะ.......อาจารย์

    ทำลายอุปาทานขันธ์คะ ไม่ใช่ละอุปาทานขันธ์

    อุปาทานขันธ์....เป็นการกำเหนิดตัวตนหรือเปล่าคะ

    สรุปให้หน่อยได้ไหมคะ ที่ว่ามรรคเป็นส่วนตบแต่งขันธ์เป็นอย่างไรนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2014
  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207


    ขออโหสิกรรมคะ พูดมากไปหน่อย แก้ไขให้แล้วคะ เดี๋ยวคิดว่าพูดเล่นเสียอีก

    เลยไม่ได้ตอบคำถาม

    ขอความรู้เรื่องมรรคเป็นส่วนตบแต่่งขันธ์ มีลักษณะปฏิบัติอย่างไร

    ไม่รู้ว่าจะไปหาคำตอบจากไหน เพราะไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนนะคะ

    รู้แต่เพียงว่า ปฏิบัติตามมรรค ค่อย ๆ ละอนุสัยได้ลงไปเรื่อย

    เพราะได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ต่อตัวเองและคนอื่น

    ตราบใดที่ยังมีตัว มีตน ของตัวเองอยู่ ก็ย่อมปฏิบัติถูกบ้าง ผิดบ้าง

    นอกจากละสักายะทิฐิได้แล้ว ย่อมเดินทางและเห็นทาง นั้นแล้ว

    ที่อันเป็นเที่ยงแท้แน่นอน ที่จะถึงจุดหมายปลาย

    จึงต้องอาศัยบัญญัติของโลกนี่แหละคะ เป็นเครื่องช่วยเรียนรู้เพื่อไปถึงปลายทาง

    อนุสัยที่สั่งสมไว้ก็เนื่องมาจากความเห็นผิดของจิตที่มีอวิชชา

    เมื่อเดินมรรคปฏิบัติต่อคน ต่อโลกได้อย่างถูกต้อง ก็มีความเห็นถูก

    เพราะมีมรรคเป็นเครื่องสนันสนุน ให้รู้ว่าทำแล้วถูกต้อง

    ย่อมละสิ่งที่ไม่ถูกต้องของเดิม เรียกว่า ค่อย ๆ ละนิสัยอย่างหยาบ

    แล้วนำไปหา แล้วค่อย ๆ ละอนุสัยอย่างละเอียด

    นี้เขาเรียกว่า มรรคเป็นส่วนตบแต่งขันธ์ หรือเปล่าคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...