วัตถุมงคลพระพิราพ พ่อแก่ ฤๅษี พระอาจารย์ศิริพงศ์ ต้นตำหรับวัตถุมงคลพระพิราพ

สืบเนื่องจากการอธิฐานจิตขนานนามพระกริ่งฤๅษีรุ่น ดี โด่ง ดัง วังหน้า พิชิตชัย
จึงนำพระบวรราชประวัติกรมพระราชวังบวร ประวัติพระราชวังบวรสถานมงคลและประวัติวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) มาเพื่อทราบประวัติความเป็นมาโดยสังเขป

กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นตำแหน่งพระมหาอุปราช มีอำนาจรองลงมาจากพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเรียกเป็นสามัญว่า "วังหน้า" เป็นตำแหน่งที่มีปรากฏมาแต่สมัยอยุธยา เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ (๒๓๒๕-๒๓๕๒) ได้ทรงสร้างพระราชวังหลวง และสมเด็จพระอนุชาธิราช สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสร้างพระราชวังบวรสถานมงคล

เมื่อสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จทิวงคต เมื่อพ.ศ. ๒๓๔๖ ต่อมาในพ.ศ. ๒๓๔๙ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถานปนาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ที่พระมหาอุปราชรัชทายาท ทรงดำรงพระเกียรติยศอยู่ ๓ ปี เสด็จขึ้นเสวยราช ทรงพระนามพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ในสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่๒ (พ.ศ.๒๓๕๒-๒๓๖๗) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สถาปนาเจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ พระอนุชา เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงพระนามกรมพระราชวังบวชมหาเสนานุรักษ์ (พ.ศ.๒๓๕๒-๒๓๖๐)

พ.ศ.๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นศักดิพลเสพ ซึ่งเป็นพระปิตุฉาธิราช ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงพระนาม กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ (๒๓๖๗-๒๓๗๕)

พ.ศ.๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๔ โปรดเกล้าฯให้สถาปนา สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ดำรงตำแหน่ง พระมหาอุปราช แต่ให้ทรงพระเกียรติยศเสมอพระเจ้าแผ่นดินโปรดให้แก้ไขประเพณีฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลหลายประการเช่น เปลี่ยนคำเรียกวังหน้าจาก กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็น "พระบวรราชเจ้า" พระราชพิธีอุปราชาภิเษก เปลี่ยนเป็น "พระราชพิธีบวรราชาภิเษก" พระนามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎแบบเดิมว่า "พระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล" เปลี่ยนเป็นนามอย่างพระเจ้าแผ่นดินว่า "สมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว"
และเปลี่ยนคำขานรับสั่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลจาก "พระบันฑูร" เป็น "พระบวรราชโองการ"

พ.ศ.๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และเสนาบดีอัญเชิญ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ดำรงตำแหน่ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงพระนามกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ พ.ศ.๒๔๒๘ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ยกเลิกตำแน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล และทรงสถานปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมงกุฏราชกุมาร ดำรงตำแหน่งรัชทายาท นับเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของสยามประเทศ

พระราชวังบวรสถานมงคลวังหน้า

พระราชวังบวรสถานมงคลมีอาณาเขตกว้างขวาง ปัจจุบันคือบริเวณต่างๆ ที่เป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร โรงละครแห่งชาติ สถาบันนาฏดุริยางคศิลป โดยทิศตะวันตกจรดแม่น้ำเจ้าพระยา ทิศตะวันออกจรดคลองคูขื่อหน้า (คลองหลอด) ทิศเหนือจรดแนวเขตวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ตัดผ่านกึ่งกลางสนามหลวง รวมทั้งบริเวณถนนพระอาทิตย์ไปตลอดป้อมพระสุเมรุและวัดสังเวชวิศยาราม ตลอดแนวคลองบางลำพู

วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า)

วัดบวรสถานสุทธาวาสตั้งอยู่ในบริเวณสถาบันนาฏดุริยางคศิลป ถนนราชินี เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร วัดนี้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ทรงสร้างขึ้นในสมัยรัขกาลที่๓ เป็นพระอุโบสถก่ออิฐถือปูนขนาดกว้าง ๓๒ เมตร ยาว๔๙ เมตร สูง ๒๕ เมตร อยู่บริเวณอุทยานชั้นนอกด้านทิศเหนือของพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงสร้างขึ้นเป็นพุทธบูชาและเพื่อทรงแก้บนเมื่อครั้งยกทัพไปปราบกบฏเวียงจันทน์ เมื่อพ.ศ.๒๓๖๘ แต่ยังไม่แล้วเสร็จทิวงคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างต่อแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็สวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างต่อจนเสร็จสมบูรณ์ ตัวพระอุโบสถเป็นอาคารสี่เหลี่ยมมีมุขยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน ตั้งอยู่บนฐานไพทีขนาดใหญ่เป็นลาน มีบันไดทางขึ้นกว้างใหญ่ทั้งสี่ด้าน ตั้งซ้อนบนฐานสามชั้น หน้ามุขทั้งสี่มีพระไลยื่นออกมา พื้นที่ตรงช่องพะไลเป็นบันไดทางขึ้นสู่ตัวพระอุโบสถตรงเสามุมระเบียงสองเสาทำเป็นช่องประดับด้วยลูกมะหวด หลังคาจตุรมุขมุงกระเบื้องสี เป็นหลังคาชั้นลดสองชั้น หน้าจั่วประดับด้วยช่อฟ้าแบบปากปลา คือปากจงอยงอนขึ้น ซึ่งจัดเป็นศิลปะของวังหน้า ส่วนใบระกาทำเป็นสองแบบผสมส่วนบนที่ต่อจากช่อฟ้าลงมาทำเป็นตัวลำยองแบบนาคสะดุ้ง หางงอนหยักต่อกับไม้ตรง ส่วนปลายที่เป็นหางหงส์นั้นทำเป็นนาคห้าเศียรแบบนาคปัก พระอุโบสถเดิมนั้นจะสร้างเป็นยอดปราสาทแต่รัชกาลที่๓ ทรงทักท้วงไว้ว่า ตามพระราชประเพณีวังหน้า ไม่มีการสร้างพระมหาปราสาท ดังนั้นพระอุโบสถจึงเป็นทรงจตุรมุขธรรมดา ตั้งหน้าจั่วทั้งสี่ด้านเป็นไม้จำหลักลายพุดตานก้านแย่ง ภายในกรอบสามเหลี่ยมสองชั้น ลงรักปิดทองประดับกระจก แนวไม้ประกับด้านล่างเป็นลายประจำยาม ขนาบด้วยแนวลายบัวรวนระหว่างหน้าจั่วกับพะไล คั่นด้วยส่วนคอสองพื้นเป็นปูนประดับด้วยลายช่ออุบะเฟื่อง แบบตะวันตกเป็นลายปูนปั้นสีต่างๆ พระอุโบสถมีประตูทางเข้าทั้งสี่มุม แต่ละมุขมีสามประตู ประตูกลางสูงกว่าด้านข้าง บานประตูด้านนอกลงรักปิดทองเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ก้านแย่งเหนือขอบประตูประดับด้วยลายปูนปั้นเป็นลายดอกไม้เครือเถาว์ ตรงส่วนลายดอกไม้ประดับด้วยเครื่องถ้วยลายครามแบบฝรั่ง เช่นเดียวกับลายกรอบหน้าต่างที่ตกแต่งโดยรอบช่องหน้าต่างเป็นลายปูนปั้นช่อดอกไม้ฝรั่งปนจีน ใช้ถ้วยชามประดับตรงส่วนยอดซุ้ม มีกำแพงแก้วรอบอุโบสถ มีบันไดขึ้นด้านละสองข้าง ข้างละห้าขั้น ตรงมุมสุดเป็นซุ้มทรงมณฑปยอดปรางค์ ซึ่งสลักจากหิน ตัวบันไดมีพนักบันไดโค้ง ตรงพนักล่างสุดตั้งสิงห์โตจีนเพศผู้และเพศเมียข้างละหนึ่งตัว เสาตรงบันไดทางขึ้นเป็นเสาเม็ดทรงมัณฑ์รูปสี่เหลี่ยมลบมุม ต่อด้วยแนวกำแพงหลังเจียด ตัวกำแพงเจาะช่องประดับกระเบื้องดินเผาเคลือบรูปดอกไม้จีน ตัวแนวกำแพงด้านนอกส่วนล่างเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล้กๆ ด้านบนโค้งใช้สำหรับตั้งตะคันน้ำมันจุดไฟให้สว่างหรือเรียกว่าตามไฟ ภายในพระอุโบสถตรงกลางมุขด้านทิศตะวันตกตั้งบุษบกไม้จำหลักทรงสี่เหลี่ยมสูงโปร่งสามด้าน มีผนังด้านหลังเพียงด้านเดียว บนผนังลงรักปิดทองลายพันธุ์พฤกษา เสาทั้งสี่ของบุษบกแกะลายลงรักปิดทองประดับกระจกสี หลังคาทรงปราสาท ตัวบุษบกซ้อนอยู่บนฐาน ๓ ชั้น ฐานบุษบกชั้นล่างเป็นฐานเท้าสิงห์มีฐานบัวซ้อน ๒ ชั้น เรียกว่าฐานบัวเท้าสิงห์ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานอภัยสองพระหัตถ์ (ปางห้ามสมุทร) พระหัตถ์ทั้งสองยกขึ้นระดับพระอุระหันฝ่าพระหัตถ์ออก พระพักตร์รูปไข่พระนลาต
กว้าง พระปรางค์สูง พระขนงโก่ง พระนาสิกเป็นสัน พระโอษฐ์อิ่ม พระเนตรทอดมองต่ำ เม็ดพระศกเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว ครองจีวรหม่เฉวียง สบงยาวถึงข้อพระบาท ด้านหน้าจีบ ทรงยืนบนฐานดอกบัว ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังเขียนประดับเต็มผนังทั้งสี่ด้าน โดยผนังส่วนบนด้านทิศตะวันตกเขียนเป็นภาพจักรวาล มีวิมานของเทวดาลอยอยู่เป็นระยะๆ ท่ามกลางปุยเมฆ ต่ำลงมาเป็นภาพเทวดาเหาะกระทำสักการะพระประธาน ด้านขวาของบุษบกพระประธานเขียนภาพพระอาทิตย์ทรงรถเทียมราชสีห์ภายในวงกลม ด้านซ้ายเขียนรูปพระจันทร์ทรงรถเทียมม้า ภายในวงกลมเหนือขึ้นไปเป็นภาพอดีตพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ แต่ละพระองค์ใช้ฉากตอนเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ส่วนผนังอีกสามด้านเขียนภาพเล่าตำนานพระพุทธสิหิงค์ฉบับพระโพธิรังษี รวมทั้งภาพเล่าเรื่องตามพระราชพงศาวดารตอนสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงรบมีชัยชนะเหนือเมืองเชียงใหม่และอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมาประดิษฐานในพระที่นั่งพุทไธสวรรค์ พระราชวังบวรสถานมงคลเขียนโดยนายช่างหลายท่าน เช่นพระอาจารย์แดงและนายมั่น โดยความควบคุมของเจ้าฟ้าอิศรพงศ์ บานประตูและหน้าต่างด้านในเขียนรูปพระอิศวรปางต่างๆ เสียส่วนมากจะมีองค์อื่นๆ เป็นส่วนน้อย


สวัสดิมีโชคชนะชัย

 

เล่าให้ฟังมั่งสิว่าขออะไร อิอิ

 

555555555+อันนี้ต้องคุยกันนอกรอบครับ

 

.
กราบสักการะพระภรตมุนีและพระพิราพ

 

ทยอยเข้าประจำที่ เตรียมสวดมนต์

 

หน้าตาคุ้นๆกันทั้งนั้น

 

หลวงพ่อ กำลังเดินทางมาถึง

 

ผู้ปฏิบัติด้วยใจแท้ๆ แม้ไปเพียงครั้งสองครั้งก็เห็นผลค่ะ

 

เข้าประจำที่เต็มอัตรา เตรียมสวดมนต์

 

กางตำราสวดมนต์

 

หลวงพ่อ นำสวด

 

เริ่มสวดมนต์

 

เด็กน้อยก็มาสวดมนต์ด้วย

 

สวดจบ ทุกคนก้มกราบ

 

ช่วยกันเก็บหนังสือสวดมนต์

 

แยกย้ายกันกลับไปที่เรือนพระภรตมุนี

 

รอขึ้นเรือน เพื่อสนทนา และกราบลาหลวงพ่อ

 

เก็บภาพงานศิลป์สุดประทับใจ รอบเรือนพระภรตมุนี

 

หน้ากากองค์ปู่พระพิราพ ขนาดเล็ก เนื้อโลหะ เนื้อเดียวกับกริ่งฤๅษีดีโด่งดัง เนื้อพิเศษ
ออกให้บูชาเพื่อนำไปเป็นเงินทุน สร้างสรรค์งานศิลปะของพระศิริพงศ์ ครุพันธ์กิจ เพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยต่อไป ให้บูชา องค์ละ3100 บาท
ติดต่อสอบถาม วีระ 0817021366

 

เหลือจำนวนไม่มากแล้วครับ
หมดแล้วหมดเลย เพราะมวลสารทั้งหลายนำมาผสมจนไม่มีเหลืออีกแล้ว