ลป.สุภา๑๑๑ปี พระสมเด็จ๙อรหันต์ สายกรรมฐาน เหรียญรุ่น๒ลพ.ตั๋ง วัดโพธิ์เอน

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    1368452-5065f-jpg.jpg
    เหรียญพระแก้วมรกต รุ่นบุรณะฉัตร พ.ศ.2531 วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ประกอบพิธีพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ โดยใช้มวลสาร ยอดฉัตร ณ วัดพระแก้วมา ผสมมวลสาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงพระมหากรุณาธิคุณเสด็จมาประกอบพิธีพุทธาภิเษกด้วยพระองค์เอง และมีพระเกจิอาจารย์เก่งๆในขณะนั้นร่วมปลุกเสกหลายองค์ อาทิ หลวงปู่ดู่(ปลุกเสกในครั้งนี้เเล้วท่านยังได้รับเชิญให้ปลุกเสกเหรียญกรมหลวงชุมพรฯ วัดราชบพิธฯ กรุงเทพฯ ปี 2531อีกด้วย ) หลวงพ่อแพ ฯลฯ เนื้อเหรียญการจัดสร้าง มีทั้งเนื้อทองคำ พร้อมกล่องกำมะหยี่ เครื่องหมาย สธ. หนัก 15.2 กรัม ตามจำนวนสั่งจอง เนื้อเงิน เเละเนื้อทองเหลือง
    1368452-1cece-jpg.jpg

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญพระแก้วมรกตไร้ห่วงให้บูชา 170 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ หลังเหรียญเปื้อนคราบกาว นำไปล้าง ทำความสะอาดได้ครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240208_171024.jpg IMG_20240208_171048.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2024
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    500px-James51351.jpg

    ประวัติ หลวงพ่อโอน วัดโคกเดื่อ จ.นครสวรรค์

    หลวงพ่อโอน ท่านเกิดเมื่อเดือนอ้าย ปี พ.ศ.2449 ที่บ้านโคกเดื่อ อำเภอไพศาลี จังหวัด นครสวรรค์ โยมบิดา ชื่อ นายจันทร์ โยมมารดา ชื่อ นางจัด เป็นชาวนามาแต่บรรพบุรุษ และมีการประกอบในทางค้าขายเป็นบางครั้ง

    หลวงพ่อโอน ท่านได้มีโอกาสเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาเมื่อปี 2481 ที่วัดโคกเดื่อ อันเป็นวัดบ้านเกิดของท่านเอง โดยมี พระครูนิวาสธรรมขันธ์ หรือ หลวงพ่อเดิม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูใบฏีกาโหมด วัดโคกเดื่อ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอธิการล่าง วัดโคกมะขวิด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ในสมัยยังหนุ่มนั้น หลวงพ่อโอน ท่านมักชอบผจญภัยไปในที่ต่าง ๆ

    เพราะชีวิตของท่านชอบเดินทาง และชอบที่จะไปศึกษาวิชาอาคมจากอาจารย์ต่าง ๆ ทั้งที่ฆราวาส และบรรพชิต หลวงพ่อโอน ท่านเป็นพระอาจารย์ที่ชอบในการเล่าเรียน และค้นคว้าตามตำราต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตู้หนังสือภายในวัด ซึ่งถ้าหากอ่านติดขัดไม่เข้าใจสิ่งใด ท่านก็จะเรียนถามกับพระอุปัชาฌย์ของท่าน คือ หลวงพ่อเดิม ทุกครั้งไป หลวงพ่อเดิม ได้เห็นแววความตั้งใจจริง และสนใจในวิชาอาคมต่า งๆ ของหลวงพ่อโอน ท่านจึงมีเมตตาให้ หลวงพ่อโอน ได้เรียนวิชาต่าง ๆ กับท่านอย่างใกล้ชิด การเรียนวิชาอาคมและการปฏิบัติธรรมของ หลวงพ่อโอน ได้กระทำพร้อม ๆ กัน คือท่านจะเน้นถึงการปฏิบัติมากกว่าอย่างอื่น เพราะการปฏิบัติกรรมฐานนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

    ซึ่งถ้าหากกระทำไปจนสมาธิแน่วแน่แล้วจะเล่าเรียนอะไรก็ได้ผลทั้งนั้น กล่าวกันว่า หลวงพ่อโอน ท่านมีใจใฝ่ในการทำสมาธิอย่างมั่นคงจนกระทั่งเพื่อน ๆ สหธรรมมิกด้วยกันต้องยอมแพ้ เนื่องจากท่านเป็นนักปฏิบัติจริง ๆ ซึ่งจะเห็นได้จากวิชาอาคมของท่านนั้น เป็นที่ยอมรับของศิษย์และประชาชนโดยทั่วไปอย่างกว้างขวาง แม้แต่ หลวงพ่อเดิม ผู้เป็นอาจารย์ยังออกปากชมเชยถึงความตั้งใจในการเรียนว่าเป็นผู้ขยันเกิน กว่าคนอื่น ๆ ที่เคยพบมา วิชาอาคมขลังนอกจาก หลวงพ่อโอน ท่านจะมีความตั้งใจศึกษาคันถธุระ

    ซึ่งหมายถึงการศึกษาเล่าเรียนปริยัติและวิปัสสนาธุระ อันหมายถึงธุระในการปฏับัติสมถะและวิปัสสนาแล้ว หลวงพ่อโอน ท่านยังสนใจศึกษาในด้านวิชาพุทธาคมอีกด้วย หลวงพ่อโอน ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจาก หลวงพ่อเดิม ผู้เป็นอาจารย์จนมีความชำนาญคล่องแคล่ว เป็นที่ไว้วางใจดีแล้ว หลวงพ่อเดิม ก็มักจะมอบหมายให้ท่านได้รับทำหน้าที่ในด้านนี้แทนอยู่เสมอๆ ซึ่งในเวลาต่อมา หลวงพ่อเดิม ท่านเห็นว่า หลวงพ่อโอน ท่านมีความสามารถดีแล้ว ท่านจึงมอบหมายให้ หลวงพ่อโอน เป็นผู้กระทำการแทนท่านทุกอย่าง
    FB_IMG_1707388281793.jpg
    หลวงพ่อโอน ท่านได้ตั้งใจที่จะเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อให้รู้จริง และนำมาปฏิบัติให้ได้ผลเพื่อเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจริงๆ เพราะท่านมองเห็นการไกลว่าอนุชนรุ่นหลังจะได้ปฏิบัติตามให้ถูกต้องตามแบบ อย่างที่ดีต่อไป หลวงพ่อโอน ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาจาก หลวงพ่อเดิม เป็นส่วนใหญ่ทั้งเรื่องการสร้าง มีดหมอ การทำน้ำพระพุทธมนต์ และวิชาทุก ๆ ชนิดของ หลวงพ่อเดิม และยังมีอีกท่านหนึ่งคือ โยมสว่าง ณ บ้านทับคล้อ.. หลวงพ่อเดิม ท่านได้มาช่วยสร้างถาวรวัตถุที่วัดโคกเดื่อไว้หลายอย่าง เช่น ศาลาการเปรียญเป็นศาลาทรงไทย 1 หลัง สร้างเจดีย์หน้าพระอุโบสถ 1 องค์ สร้างพระอุโบสถ 1 หลัง เมื่อปี 2466 สร้างรูปหล่อเท่าองค์จริงมอบให้วัดโคกเดื่อ 1 องค์ เมื่อปี 2482 เป็นต้น... เมื่อเวลาผ่านไป สังขารก็ไม่เที่ยง หลวงพ่อโอน ท่านได้มรณภาพลงเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2532 สิริอายุได้ 82 ปี

    Cr.ข้อมูล และ รูปภาพ จากเว็ปเพื่อนบ้าน


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อโอนวัดโคกเดื่อปี 2528 ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240208_173546.jpg IMG_20240208_173612.jpg
     
  3. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +1,190
    จองครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341

    ประวัติหลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ
    วัดคลองมอญ (สุวรรณโคตมาราม) อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อมหาโพธิ์ ญาณสังวโร เกิดเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2463 ตรงกับทางจันทรคติ วันอังคาร แรม 13 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก จ.ศ. 1282 ยามเด็กนอนสมัยนั้น (ประมาณเวลา 19.20 น.) ลัคนาศรี พฤษภ เสวยฤกษ์ที่ 5 มฤคสิระ ประกอบด้วย เทศาตรี แห่งฤกษ์ นามเดิม นายโพธิ์ จั่นเที่ยง โยมบิดาชื่อ นายวอน จั่นเที่ยง โยมมารดาชื่อ นางทองสุข จั่นเที่ยง มีพี่น้องด้วยกัน 6 คน หลวงพ่อเป็นลูกคนที่ 4 บ้านเกิด ณ บ้านหนองพญา ต.มะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อท่านได้เล่าว่า ตอนเด็ก ๆ ไม่สามารถอยู่บ้านได้ พระใบฎีกาบุญยัง เป็นทั้งอาจารย์และหลวงน้าของท่าน ได้นำเอาท่านมาเลี้ยงไว้ที่วัดหนองน้อย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านท่านประมาณ 3 กิโลเมตร ต่อมาหลวงพ่อบุญยังได้พาท่านมาฝากบวชเรียน พระปริยัติธรรมที่วัดอรุณอัมรินทร์ (วัดโบสถ์น้อย) บางกอกน้อยธนบุรี ได้จำพรรษาบวชเรียนเป็นสามเณรโพธิ์ ณ ที่วัดอรุณอัมรินทร์ และต้องเดินไปเรียนนักธรรมและบาลีปเรียญสาม ขณะจำพรรษาอยู่นี้หลวงพ่อบุญยังได้มาเยี่ยมเยียนอยู่ เเสมอและก็ได้ถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ให้ สามเณรโธิ์ท่านก็จะแปรพระคาถาต่าง ๆ เป็นใจความบ้าง ไม่ได้ใจความบ้าง ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไร หลวงพ่อบุญยังบอกว่า �คุณมหาโพธิ์อย่าไปแปล วิชาก็คือวิชาแปลภาษาบาลีก็แปลไป วิชาอาคมต่าง ๆ ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดกันมามิได้ให้แปลไม่สมควรแปล เพราะเป็นหลักของวิชาในการใชคาถาอาคม ด้วยจิตเป็นเครื่องกำหนด� ดังนั้นสามเณรโพธิ์จึงไม่คิดแปลคาถาอีกต่อไป เมื่อได้เข้าใจในหลักวิชาที่หลวงพ่อบุญยังได้ถ่ายทอด ให้
    เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณื สามเณรมหาโพธิ์ ก็ได้บวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดอรุณอัมรินทร์ บางกอกน้อย ธนบุรี โดยโยมบิดาและมารดาได้เดินทางจาก อ.วัดสิงห์ มายังกรุงเทพฯ เพื่ออุปสมบทสามเณรมหาโพธิ์ด้วความปลื้อมปิติยินดียิ ่งนัก ต่อมาอีก 1 ปี ท่านได้กลับสมาอยู่ที่ วัดหนองน้อย จ.ชัยนาท และขอลาสิกขาบทกับหลวงพ่อบุญยัง แต่หลวงพ่อบุญยังไม่สึกให้ ท่านให้ไปสึกกับหลวงพ่อปลื้ม(น้องชายหลวงปู่ศุข) ณ วัดปลากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อปลื้มก็สึกพระให้ตามความประสงค์
    ชีวิตทหาร
    หลังจากที่หลวงพ่อมหาโพธิ์ได้ลาสิกขาบทจากพระภิกษุใน ปี พ.ศ. 2484 อายุท่านครบ 21 ปีบริบูรณ์ ตามหน้าที่ของชายไทยทุกคนต้องรับใช้ชาติเพื่อคัดเลือ กเกณฑ์ทหารเป็นเวลา 2 ปี ท่านได้กราบลาหลวงพ่อบุญยัง ซี่งหลวงพ่อบุญยังได้อวยพรให้ท่าน �ท่านมหาโพธิ์ไปคราวนี้จะได้อยู่อย่างสบายๆ� พร้อมกับได้มอบผ้ายันต์ขาวแดงลงด้วยยันต์นะหน้าทอง 1 ผืน และยัต์ปีโยเล็ก 1 ผืน ให้พกติดตัวไป ผ้ายันต์ 2 ผืนนี้ดีทางเมตตามหานิยมเป็นที่รัดใคร่ของผู้ใหญ่ดุจ ลูกในอุทร วันแรกที่ไปฝึกทหารใหม่สะบักต้นขาของท่านได้หลุดออกเ หมือนคนขาหัก ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากการฝึกทหารใหม่ 3 เดือนเสร็จสิ้นแล้วทุกคนจะต้องเข้าประจำกองต่างๆ หลวงพ่อท่านเล่าว่า ท่านแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่คนคอยห่วงใยในความเป็นอยู่ กินนอนก็อยู่อย่างสบายเหมือนยังกับเจ้านาย มีคนคอยดูแล จนผู้คยในกรมทหาร จ.ลพบุรี เรียกท่านว่า �หลวงตา� ดังคำอวยพรของหลวงพ่อบุญยังให้ไว้ว่า �จะได้ไปอยู่อย่างสบายๆ�
    กลับมาอยู่กับท่านอาจารย์
    หลังจากที่รับใช้ชาติครบ 2 ปี ก็ปลดประจำการมาอยู่กับหลวงพ่อบุญยัง วัดหนองน้อย อยู่ปรนนิบัติและศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อบุญยัง พอมีญาติโยมเจ็บป่วยมาหาหลวงพ่อบุญยัง หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านจะช่วยเก็บยาสมุนไพรให้กับอาจารย ์ ท่านปรุงเป็นยารักษาญาติโยมอยู่บ่อยๆ ยามว่างอาจารย์ของท่านจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับวิชาต่าง ๆ ให้ฟัง เพื่อที่จะให้หลวงพ่อมหาโพธิ์สนใจอย่างไม่รู้ตัว อาทิเช่น วิชาเกี่ยวกับการฝึกธาตุทั้ง 4 ขึ้นมา อาจารย์ของท่านให้เอาโหลแก้วบรรจุน้ำเต็มตั้งไว้และใ ห้เอาขี้ผึ้งมามาปั้นเป็นก้อนกลมๆ ขนาดลูกพอประมาณ ใส่ลงในโหลแก้ว ขึ้ผึ้งจะลอยอยู่บนน้ำ และอาจารย์ท่านได้แสดงให้ดูก่อน โดยบังคับขี้ผึ้งให้ลอยและจมตามจิตบังคับ แล้วหลวงพ่อบุญยังก็พูดว่า ต้องใช้ความเพียรมากๆ ตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อมหาโพธิ์ก็ฝึกวิชาธาตุทั้ง 4 ด้วยความขยันหมั่นเพียรจนสามารถทำได้เหมือนกับอาจารย ์ของท่านเป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์ยิ่งนัก
    สมัยที่หลวงพ่อบุญยังไปเรียนวิชากับหลวงปู่ศุข ที่วัดปากของมะขามเฒ่านั้น
    หลวงปู่ศุขได้ทดสอลความอดทนของท่านต่างๆ นานา ถ้าคนไม่มีความเพียรพยายามก็ต้องท้อเลิกไป แต่หลวงพ่อยุญยังท่านอดทนเพียรพยายามมาก แม้แต่กลางคืนหลวงปู่ศุขให้ไปฝึกวิชาที่โบสถ์ พอเดินออกไปก่อนจะถึงโบสถ์ฝนก็ตกน้ำท่วมถึงเอวต้องลุ ยน้ำไป จนเดินเลยโบสถ์กลับไปกลับมาตั้งหลายเที่ยวกว่าจะขึ้น โบสถ์ได้ วิชาต่างๆ ที่เรียนไปต้องฝึกให้สำเร็จและต้องแสดงต่อหน้าหลวงปู ่ศุขว่าทำได้แล้ว จึงจะขอเรียนวิชาอื่นๆ ต่อไปได้ เป็นระยะเวลาหลายปีทีเดียวที่หลวงปู่ศุขได้ถ่ยทอดวิช าต่างๆ ด้านพุทธคุณให้แก่หลวงพ่อบุญยัง และมอบคัมภีร์ไสยศาสตร์ทางพุทธคุณให้รักษาไว้สืบพระศ าสนาต่อไป จนตกมาถึงหลวงพ่อมหาโพธิ์ได้รับมอบคัมภีร์พุทธคุณจาก อาจารย์ของท่าน เป็นคัมภีร์ด้านพุทธคุณ ที่ประกอบด้วยอักขระ เลข ยันต์ต่างๆ ทั้งสูตรวิชาลบผงพุทธคุณในวิชา ปถมัง, อิทธิเจ, มหาราช, อิธิเจภาคพิศดาร หลวงพ่อมหาโพธิ์ได้ฝึกตามคัมภีร์จนเจนจบทุกวิชา การลบผงมหาราชจะต้องขึ้นต้นด้วยการตั้งชื่อนามให้ได้ 5 ชื่อ แล้วลบมาบังเกิดเป็น นะโมพุทธายะ จากนั้นก็ลบต่อไปเรื่อยๆ มาเป็นองค์พระ 5 องค์ มาเป็น มะอะอุ แล้วมาบังเกิดเป็นนะต่างๆ เป็นยันต์ต่างๆ จนถึงยันต์ครูองค์พระ และสิ้นสุดด้วยมหาสูญ, นิพพานสูญ, ทุกวิชาปถมัง, อิทธิเจ, มหาราช จะมีหลักเกณฑ์ต่างๆแนวเดียวกัน ทุกสูตรจะต้องมีตัวตั้งก่อเกิดขึ้นและนมัสการสูตรยัน ต์ต่างๆ ทุกขั้นตอนกว่าจะเสร็จสิ้น 1 กระดานการลบผงต้องใช้เวลาทั้งวัน ผงพุทธคุณต่างๆ จะเก็บไว้เพื่อนำผงมาผสมทำพระเครื่องต่างๆ หรือจะนำมาผสมแป้งเจิม
    ฝึกวิชา
    พระอาจารย์บุญยังได้พยายามถ่ายทอดวิชาต่างๆ ด้านพุทธคุณให้ ตอนแรก ๆ หลวงพ่อไม่สนใจ แต่เมื่ออยู่กับท่านนาน ๆ ไปหลวงพ่อเริ่มมีความสนใจขึ้น เห็นพระอาจารย์ท่านทำอะไร ๆ แปลกๆ ให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ เช่น ทำควายธนูด้วยตอกสาน โดยสานมือเดียวแล้ววางไว้ ควายธนูก็มีการขยับเขยื้อนได้ เสกน้ำมันจนเดือดเหมือนน้ำร้อน ฟองเดือดขึ้นมา แต่เมื่อไปสัมผัสด้วยมือกลับไม่ร้อน ทำให้ท่านอยากจะเรียน พระอาจารย์ของหลวงพ่อก็ถ่ายทอดให้ทั้งคาถาปลุกเสก และวิธีฝึก
    วิชาเกราะเพชร
    วิชาหนึ่งที่ท่านชอบและฝึกมาตั้งแต่ต้น คือ �ยันต์เกราเพชร� หรือตาข่ายเพชร โดยหลวงพ่อบุญยังได้เล่าให้ท่านฟังว่าสมัยหลวงปู่ศุข ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ลองวิชาเกราะเพชรกับพระะรูปหนึ่ง ที่แก่กล้าวิชาที่เดินทางผ่านวัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยบอกหลวงปู่สุขว่าจะขี่ม้าพยนต์เข้ามาในโบสถ์ให้ดู หลวงปู่ศุขท่านได้เอาผ้ายันต์เกราะเพชรขึงไว้หน้าประ ตู ปรากฎว่าม้าพยนต์ไม่สามารถผ่านยันต์เกราะเพชรหรือตาข ่ายเพชรไปได้ พระรูปนั้นเมื่อแพ้วิชาของหลวงปู่ศุข ก็ได้เดินทางกลับไปจากวัดปากคลองมะขามเฒ่าเมื่อหลวงพ ่อมหาโพธิ์ได้ฟังจากหลวงพ่อบุญยังเล่าท่านจึงสนใจและ เล่าเรียนวิชาเกราะเพชรลงตระกรุด และผ้ายันต์เกราะเพชรมาตลอดอายุของท่าน
    การลงยันต์เกราะเพชร ต้องท่องสูตรคาภาพระอิติปิโสรัตนมาลา ๕๖ บาท ให้ได้จนขึ้นใจทั้งเดินหน้า และถอยหลังได้รวมทั้งบทปลีกย่อยอื่น ๆ อีกมากมาย ในการลงยันต์เกราะเพชร ท่านบอกว่ายันต์เกราะเพชร เป็นยันต์ที่ค่อนข้างยากผู้เรียกจะต้องมีความขยันหมั ่นเพียร กับความอดทน และการประสิทธิ์ประสาทจากครูบาอาจารย์ น้อยคนนักที่จะลงยันต์เกราะเพชรได้ บางคนมาขอเรียนเห็นพระคาถา ๕๖ บาท ก็ท้อแล้วไม่อยากจะท่องจำ ความเพียรพยายามไม่มี การลงยันต์ก็ต้องหายใจลงตามสูตรพระคาถา ๕๖ บาท ผู้ที่ฝึกฝนใหม่ ๆ ต้องใช้เวลาเรียนเกือบทั้งวันกว่าจะลงยันต์เสร็จ อย่างตัวของหลวงพ่อเองใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่งโมง ถือว่าลงได้เร็วมากแล้วเพราะท่านฝึกมา ตั้งแต่อายุยังรุ่นอยู่
    ในสมัยก่อนยามว่าง ท่านมักลงตระกรุดเกราะเพชรและทำผงพุทธคุณเกราะเพชรทั ้งชนิดป้องกันตัว และถอนคุณถอนของคนที่ถูกผีเข้า ท่านจะเอาตะกรุดเกราะเพชรที่เป็นแผ่นแบบยังไม่ได้ม้ว นเป็นตะกรุด ตบหัวคนถูกผีเข้า ผีจะทรุดลง และออกจากตัวคนไข้ไปทันที ตะกรุดส่วนใหญ่ท่านจะใช้แผ่นทองแดงมาลงยันต์เกราะเพช ร ยกเว้นแผ่นถอนของท่านจะใช้แผ่นตะกั่ว ส่วนตะกรุดเนื้อเงินท่านจะลงให้เฉพาะกับศิษย์ใกล้ชิด เท่านั้น เกี่ยวกับประสบการณ์ในตะกรุดเกราะเพชร มี ส.ส.ท่านหนึ่งใน จ.ชันนาท ที่เคารพนับถือหลวงพ่อมากได้ขอตะกรุดท่านไปใช้พกติดต ัว ขณะหาเสียงถูกผู้ที่ปองร้ายใช้ระเบิดปาใส่ ปรากฏว่า ส.ส.ท่านนั้นไม่เป็นอะไรเลย

    ขอบคุณที่มา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงใบลานทรงครุฑหลังยันต์พุทธมนต์โลกหลวงพ่อมหาโพธิ์วัดคลองมอญให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240208_220410.jpg IMG_20240208_220332.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2024
  5. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,925
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ขอจองพระผงใบลาน หลวงพ่อมหาโพธิ์ครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    เหรียญพระกริ่ง ที่ระลึก108 ปี เนื้อทองแดงรมดำหลังยันต์สุกิตติมา ตอกโค๊ต วัดเกาะแก้วอรุณคาม จังหวัดสระบุรี
    ตอกโค้ดยันต์โสฬสมงคล
    พิธีพุทธาภิเศก 3 วัน 3 คืน วันที่ 11 - 13 ก.ค. พ.ศ. 2545 ณ วัดเกาะแก้วอรุณคาม ต.หนองหมู อ.วิหารแดง จ.สระบุรี
    มวลสารโลหะแผ่นชนวนวัดสุทศน์ ครูบาอาจารย์ในยุคนั้น นิมนต์มาเสกทั่ว ประเทศ พิธีใหญ่มาก ลองหาข้อมูลดูครับ พระกริ่งยอดแก้ว ๑๐๘ ปี วัดเกาะแก้วอรุณคาราม
    ยันต์นี้มีพุทธคุณทางด้านหนุนดวง ฟื้นดวงชะตาให้กลับจากร้ายกลายเป็นดี ให้ความเมตตามหานิยมสูงมาก และยังมีอนุภาพในการขับไล่เสนียดจัญไรด้วย เรียกได้ว่ามีทั้งรุกและรับในยันต์เดียวกันเลย
    ใครได้เห็นยันต์นี้ครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีว่า ไม่ใช่ยันต์ขั้นพื้นฐานแน่นอน มีอักขระขอมหวัดอยู่เต็มพื้นที่ในวงกลม และมีสัญลักษณ์แทนองค์พระทั้งสี่องค์อยู่ทั้งสี่มุมของวงกลมด้านใน
    คาถาที่ใช้เดินอักขระภายในยันต์ จะใช้คาถา “สุกิตติมา” ซึ่งในสมัยโบราณจะเรียกคาถานี้ว่า “วัวกินนมเสือ”
    คาถาสุกิตติมา มีส่วนประกอบของคำแปดคำ ดังต่อไปนี้
    สุกิตติมา สุภาจาโร
    สุสีละวา สุปาคะโต
    ยัสสะสิมา จะเจธิโร
    เกสะโรวา อะสัมภิโต
    ชื่อเดิมของคาถาบทนี้ที่เรียกกันว่า “วัวกินนมเสือ” ก็เพื่อจะสื่อให้เห็นว่า ขนาดเสือที่เป็นสัตว์ดุร้าย เห็นวัวเป็นอาหาร เมื่อโดนอนุภาพของคาถานี้เข้าไป ก็ยังเชื่องขนาดที่ว่า วัวสามารถเข้าไปดูดนมเสือได้
    ประโยคที่ว่า “วัวกินนมเสือ” เป็นประโยคที่ค่อนข้างสับสนในตัวเอง สามารถแปลได้สองความหมาย
    ความหมายแรก (ที่คนตั้งชื่อต้องการสื่อความหมาย) คือ วัวสามารถเข้าไปดูดนมเสือได้ โดยที่เสือจะไม่ทำร้ายวัวให้บาดเจ็บหรือตายได้
    ความหมายที่สอง คือ วัว (อย่างโหด) ดุกว่าเสือ จนสามารถเข้าไปกัดกินนมและตับไตไส้พุงของเสือได้
    เมื่อประโยคที่ใช้มีความหมายคลุมเครือ และด้วยที่คาถานี้ เป็นคาถาทางด้านเมตตามหานิยม การตั้งชื่อคาถาให้ดูไพเราะขึ้น โดยการใช้คำแรกของคาถาที่ว่า “สุกิตติมา”นั้น ดูจะเหมาะสมกว่ามาก

    ให้บูชาคู่กัน ชุดละ 400 บาทค่าจัดส่งด่วน30 บาทครับ มี 4 ชุดครับ สภาพเหรียญสวยทุกเหรียญครับ
    หายากแล้ว นะครับ ไม่มี พิธียิ่่งใหญ่ มาก
    IMG_20240208_222728.jpg IMG_20240208_222753.jpg IMG_20240208_222821.jpg IMG_20240208_222844.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2024
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    picture060616152213710vert.jpg picture060616153213721.jpg
    สุดยอดพระกริ่งที่ครูบาอินปลุกเสกอย่างทิ้งทวนและพิสดารที่สุด

    เมื่อปีพ.ศ.2544-2545 ครูบาอิน อินโท ปลุกเสก คือ

    1.พระกริ่งไจยะเบงชร ที่ระลึก 100 ปีเกิด ครูบาอิน

    2.พระกริ่งยอดแก้ว ที่ระลึก 108 ปี วัดเกาะแก้วอรุณคาม สระบุรี

    แต่พระกริ่งยอดแก้วนี้ นับเป็นพระกริ่งรุ่นสำคัญสุดยอดอีกรุ่น

    ที่อาจจะกล่าวได้ ว่า นอกจากครูบาอินจะเสกให้อย่างดีเยี่ยม

    และพิสดารสุดยอด (ทั้ง “โดยตรง”และ “โดยญาณ” ) คำว่าพิสดาร

    ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแปลก แต่ทางศาสนาหมายถึงโดยละเอียด

    เนื้อหามวลสารก็ยัง “พิเศษสุด” อย่างไม่อาจจะหาใดมาเทียมทันอีกต่างหากด้วย

    แม้แต่พระกริ่งไจยะเบงชรเอง ก็ไม่มีเหมือนกันด้วย

    เพราะนอกจากจะมี “หัวชนวน”พระกริ่งไจยะเบงชร

    ก็ยังได้ผสม “นวโลหะก้นเบ้า สมเด็จพระสังฆราชแพ”แท้ๆ น.น.กว่า 5.5 กิโลกรัม

    ทำพิธีเททองเป็นปฐมฤกษ์โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พุฒ) วัดสุวรรณาราม

    ศิษย์สายตรงองค์สุดท้ายของสมเด็จพระสังฆราชแพอีกต่างหาก ชนวนอีก 1000 ชนิด

    ครูบาอินท่านเมตตานั่งปรกให้นานถึง 45 นาทีด้วยกัน ..นับว่า “นานสุดๆ

    พระกริ่งองค์นี้ ถ้าท่านเป็นแฟนพันธุ์แท้สายตรงวัดสุทัศน์

    เห็นแค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าแท้ องค์นี้เป็นพระที่เนื้อหาเข้มข้น

    แต่มีตำหนิตรงฝ่ามือเป็นรอยเล็กน้อย พระกริ่งองค์นี้

    จึงจัดให้พระภิกษุที่มาร่วมพิธี โดยตอกโค๊ตยันต์นะปถมังไว้

    แทนยันโสฬส และยันต์ปทุมคง แต่เพิ่มอีกตัวหนึ่งคือ

    ตัวที่คล้ายเลข ๑ ไทย มีหางลงไปเล็กน้อย ที่จริงเป็นตัว พุท

    ซึ่งแทนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(พุฒ) นั่นเอง

    ในปี พ.ศ.2545 วัดเกาะแก้วอรุณคาม ต.หนองหมู อ.วิหารแดง จ.สระบุรี ได้จัดสร้างพระกริ่งและพระชัยวัฒน์ขึ้นรุ่นหนึ่ง ชื่อรุ่นว่าพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ยอดแก้ว เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาศที่วัดเกาะแก้วมีอายุครบ 108 ปี โดยจัดสร้างพระกริ่งตามแบบฉบับของ สมเด็จพระสังฆราชแพปี พ.ศ. 2482 มาปั้นแบบพิมพ์ขึ้นใหม่ เนื้อทองผสม หล่อดินไทยแบบโบราณ ผสมชนวนก้นเบ้าพระกริ่งสมเด็จพระสังฆราชแพ ตอกโค้ดยันต์โสฬสมงคล จำนวนสร้างทั้งหมด 9,999 องค์

    พิธีพุทธาภิเศก 3 วัน 3 คืน วันที่ 11 - 13 ก.ค. พ.ศ. 2545 ณ วัดเกาะแก้วอรุณคาม ต.หนองหมู อ.วิหารแดง จ.สระบุรี โดยพระเกจิอาจารย์ 108 รูปนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสก ดังนี้

    1. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณาราม กทม.
    2. พระพุทธวรญาณ วัดประยุรวงศาวาส กทม.
    3. พระวิสุทธาธิบดี วัดสุทัศนเทพวราราม กทม.
    4. พระพรหมมุนี วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
    5. พระเทพวิสุทธิเมธี (หลวงพ่อเที่ยง) วัดระฆังโฆสิตาราม กทม.
    6. พระเทพโมลี วัดราชผาติการาม กทม.
    7. พระราชนันทาจารย์ (หลวงพ่อผล) วัดเวตวันธรรมาวาส กทม.
    8. พระราชพิพัฒน์โกศล (หลวงพ่อเณร) วัดศรีสุดาราม กทม
    9. พระราชภาวนาวิกรม (หลวงพ่อธงชัย) วัดไตรมิตรวิทยาราม กทม.
    10. พระราชประสิทธิวิมล (หลวงพ่อประจวบ) วัดระฆังโฆสิตาราม กทม.
    11. พระโสภณธรรมวงศ์ (หลวงพ่อทองสืบ) วัดอินทรวิหาร กทม.
    12. พระญาณโพธิ วัดอัมพวัน กทม.
    13. พระครูสุวรรณวัยวุฒิ (หลวงปู่ทอง) วัดจักรวรรดิราชาวาส กทม.
    14. พระครูนิพัทธ์ธรรมกิจ (หลวงพ่อแคล้ว) วัดบางขุนเทียนนอก กทม.
    15. พระครูสังฆรักษ์หลุยส์ วัดลาดบัวขาว กทม.
    16. ครูบาอินตา วัดมหาพฤฒาราม กทม.
    17. หลวงพ่อสง่า วัดใหม่เจริญราษฏร์ กทม.
    18. พระครูภัทรวิริยคุณ (หลวงพ่อถนอม) วัดสุทัศน์ กทม.
    19. พระมหาประดิษฐ์ ถิรธมโม วัดสุทัศน์ กทม.
    ...และพระเกจิอาจารย์อีกหลายท่าน

    พระกริ่งและพระชัยวัฒน์รุ่นนี้ถือเป็นพระดีพิธีใหญ่น่าบูชาสะสมอีกรุ่นหนึ่ง

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชาเหรียญละ 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับแต่ถ้าบูชาเป็นคู่ 2 เหรียญ 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    มี ๘ เหรียญ สภาพสวยทุกเหรียญครับ

    img_20240208_222728-jpg.jpg img_20240208_222753-jpg.jpg img_20240208_222821-jpg.jpg img_20240208_222844-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2024
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    พระหลวงปู่อ้นวัดบางจากย้อนยุคออกวัดปรกสุทธารามและพระผงเจ้าสัวหลวงพ่อซำวัดตลาดใหม่พิธีใหญ่ ๒ องค์
    ให้บูชาชุดละ 100 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับมี 2 ชุด 1 ชุด๒องค์

    ชุดที่๑

    IMG_20240207_184913.jpg IMG_20240207_184946.jpg IMG_20240207_184846.jpg

    ชุดที่๒

    IMG_20240207_184759.jpg IMG_20240207_184819.jpg IMG_20240207_184739.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    1707487751232.jpg
    พระครูสิริธรรมสุธี นามเดิม สี นามสกุล พานคำ เกิดเมื่อวันที่8พฤษภาคม พศ.2451

    ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น8ค่ำ เดือน6ปีวอก บ้านเลขที่7หมู่3 บ้านเหล่าฮก ตำบลหนองผือ อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด

    เป็นบุตรนายพิมพ์ นางดา พานคำ อาชีพ กสิกรรม


    บรรพชา-อุปสมบท


    พ.ศ.2468 ได้บรรพชาเป้นสามเณรที่วัดเหนือ บ้านเหล่าฮก อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด
    โดยมีพระอธิการสอ เป็นพระอุปชฌา
    พ.ศ.2471 ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดเหนือ บ้านเหล่าฮก โดยมีพระอธิการพรหมาเป็นพระอุปชฌาได้รับฉายาว่า ยโสธโร
    พ.ศ.5474 ได้ย้ายมาสังกัดที่วัดไผ่เงินโชตนาราม ในขณะนั้นมีหลวงพ่อทอง เป็นเจ้าอาวาส วิทยฐานะ
    พ.ศ.2464 สอบไล่ได้ชั้นประถมปีที่2จากโรงเรียนบ้านเหล่าฮก จังหวัดร้อยเอ็ด
    พ.ศ.2477 สอบนักธรรมเอกได้ในสนามหลวง สำนักเรียนวัดมหาพฤฒนาราม กรุงเทพฯ
    พ.ศ. 2481 สอบเปรียญธรรม6ประโยค


    การปกครอง


    พ.ศ.2483 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไผ่เงินโชตนาราม
    พ.ศ. 2486 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบางโคล่ และรักษาการเจ้าคณะตำบลช่องนนทรี
    พ.ศ.2514 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวงบางโคล่


    สมณศักดิ์


    พ.ศ.2510 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูเทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอรามหลวงชั้นโท
    ที่พระครูสิริธรรมสุธี
    พ.ศ.2515 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌายะ
    พ.ศ.2517 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูเทียบ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสชั้นพระอารามหลวง
    ชั้นพิเศษ ในพระราชทินนามเดิมที่ พระครูสิริธรรมสุธี
    พระครูสิริธรรมสุธีหรือหลวงปู่สี เป็นพระเถระที่มีข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัดตามหลักพระธรรมวินัย
    ดำรงชีวิตแบบเรียบง่ายไม่สนใจในลาภยศ มีอุปนิสัยที่จริงจังต่อการงาน และเป็นพระเถระที่มี
    ความเมตตากรุณาต่อสาธุชนทั้งหลาย หลวงปู่สียังเป็นผู้ที่อัญเชิญองค์หลวงพ่อสัมฤทธ์ มาจากวัดพระยาไกร ซึ่งเป็นวัดร้างและเป็นวัดดั้งเดิมของหลวงพ่อสัมฤทธ์และหลวงพ่อทองคำแห่งวัดไตรมิตร ที่โด่งดังไปทั่วโลก มาประดิษฐานยังวัดไผ่เงินโชตนารามจวบจนถึงปัจจุบัน

    หลวงหลวงปู่สีท่านมักจะนิยมปลุกเสกเดี่ยว นอกจากถ้ามีงานสำคัญๆท่านจึงจะนิมนต์พระเกจิจากที่อื่นมาร่วมปลุกเสกด้วย แต่ก็หาได้น้อยรุ่นมากครับที่จะเสกแบบหมู่การปลุกเสกของท่านแต่ละครั้งก็จะไม่ค่อยเหมือนพระเกจิองค์อื่นๆ เพราะท่านจะปลุกเสกอยู่ในโบสถ์เป็นเวลา7วัน7คืนโดยจะไม่ออกมาจากโบสถ์เลยจนกว่าจะสำเร็จในการเสก ท่านจะสั่งให้ลูกศิษย์ปิดประตูโบสถ์ทั้งหมดและกำชับว่าไม่อนุญาติให้ใครเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาดในขณะทำพิธีตลอด7วัน



    หลวงพ่อสัมฤทธิ์

    เป็น วัสดุสำริด ลงรักปิดทอง หน้าตักกว้าง 2.2 เมตร ศิลปะสมัยสุโขทัย เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระยาไกร เช่นเดียวกับพระสุโขทัยไตรมิตร

    หลวงพ่อสัมฤทธิ์ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ ส่วนพระสุโขทัยไตรมิตร ประดิษฐานอยู่ในพระวิหาร เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากสุโขทัยทั้งสององค์ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ หัวหน้ากองพิพิธภัณฑ์และโบราณวัตถุ กระทรวงธรรมการในขณะนั้น ได้ทำการสืบประวัติหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ทราบแต่เพียงว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยตอนปลายต่ออยุธยา ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระยาโชฏิกราช (เจ้าสัวบุญมา) ข้าหลวงเดิมของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ปฏิสังขรณ์วัดพระยาไกร เสร็จแล้วจึงน้อมฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง สถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงนามว่า "วัดโชตนาราม" ได้อัญเชิญหลวงพ่อสัมฤทธิ์ มาประดิษฐานไว้ในอุโบสถ

    ต่อมาเมื่อพุทธศักราช 2482 บ้านเมืองในตอนนั้นได้มีการเวนคืนที่ดินบริเวณคลองเตย เพื่อสร้างท่าเรือคลองเตย ในการนั้น มีวัดที่จะต้องถูกรื้อถอนยุบไปหลายวัด หนึ่งในนั้นคือวัดเงินที่ต้องถูกรื้อถอน โดยทางการได้ให้วัดเงินกับวัดไผ่ล้อมเดิม มารวมกันเป็นวัดไผ่เงินโชตนาราม ท่านพระมงคลสุธีได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอา วาสในพุทธศักราช 2483 ประจวบกับมีเหตุการณ์ที่กรมการศาสนามีนโยบายแจกจ่ายพระพุทธรูปที่ตกค้างอยู่ ที่วัดพระยาไกร ซึ่งเป็นวัดร้างอยู่เป็นพุทธบรรณาการ เมื่อสมเด็จพระวันรัตน์ (เฮง เขมจารี) อดีตเจ้าคณะแขวงล่างและสมเด็จพระวันรัตน์ องค์สังฆนายก มีเถระบัญชาให้คณะกรรมการวัดสามจีนไปอัญเชิญพระพุทธปฏิมาปูนปั้นที่ วัดไผ่เงินโชตนาราม (พระยาไกร) ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้าง มีพระพุทธปฏิมาปูนปั้นสององค์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถองค์หนึ่งและอยู่ในพระวิหารอีกองค์หนึ่ง เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธปฏิมาที่อัญเชิญมาจากอยุธยาทั้งสององค์

    พระมงคลสุธี (สี ยโสธโร) เจ้าอาวาสวัดไผ่เงินโชตนาราม กรุงเทพฯ ได้อัญเชิญพระพุทธปฏิมาในพระอุโบสถมาประดิษฐานที่วัดไผ่เงินโชตนาราม พระมงคลสุธี ได้เลือกองค์"หลวงพ่อสัมฤทธิ์"ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ชำรุด ขณะที่องค์พระพุทธปฏิมาหลวงพ่อสุโขทัยไตรมิตรที่ถูกปูนหุ้มอยู่มีรอยร้าวจาก ไหล่ถึงเอวไปถึงรากฐานเป็นร่องเล็กๆ มองเห็นเนื้อสัมฤทธิ์สีเขียวๆ ที่ยังประดิษฐานอยู่

    เมื่อพระพุทธปฏิมาหลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้มา ประดิษฐานที่วัดไผ่เงินโชตนารามแล้ว กองพิพิธภัณฑ์และโบราณวัตถุ กระทรวงธรรมการได้สืบประวัติของพระพุทธรูปองค์นี้ ทราบเพียงแต่ว่าเป็นพระพุทธรูปศิลปะสมัยสุโขทัยตอนปลายต่อสมัยอยุธยาและได้ ขนานนามให้ว่า "หลวงพ่อสัมฤทธิ์" ด้วยเป็นพระพุทธปฏิมาที่หล่อด้วยสำริดและเป็นสำริดแก่เงินจัด ปางมารวิชัย มีขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอกเศษ

    มีการปิดทองหลวงพ่อสัมฤทธิ์ทั้งองค์ อีกครั้งในช่วงฉลองกรุงรัตนโกสินทร์สองร้อยปี พ.ศ.2525 หลวงพ่อสัมฤทธิ์เป็นที่เคารพกราบไหว้ของประชาชนในย่านนั้น เจ้าอาวาสกล่าวว่า ท่านสามารถสร้างวัดไผ่เงินฯ ขึ้นมาได้ก็ด้วยบารมีของหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ด้วยเหตุนี้จึงประดิษฐาน หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดไผ่เงินโชตนาราม ไว้ในพระวิหารแทนที่จะเป็นพระอุโบสถ เพื่อสะดวกแก่ประชาชนที่ต้องการเข้ามากราบไหว้บูชา...

    ประเพณีเทศกาลหลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดไผ่เงินโชตนาราม
    และในวันขึ้นปีใหม่ของทุกปีจะมีงิ้วแสดงตลอด 3 วัน 3 คืน จนกลายเป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จหลวงพ่อสัมฤทธิ์วัดไผ่เงินหลวงปู่สีปลุกเสกเดี่ยวปี 2525
    ให้บูชา บาทค่าจัดส่งด่วน
    30 บาทครับ
    (ปิดรายการ)

    IMG_20240209_210350.jpg IMG_20240209_210417.jpg เปิดดูไฟล์ 6327023
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2024
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    เหรียญสมเด็จพุฒาจารย์โต อินทรวิหารบางขุนพรหมรุ่น ๓ โพธิ์ปี ๒๕๓๐
    ให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240209_210514.jpg IMG_20240209_210550.jpg IMG_20240209_210444.jpg
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341


    ผ้ายันต์และพระผงรูปเหมือนหลวงพ่อจ้อยวัดศรีอุทุมพรอายุ 93 ปี มาเป็นชุดแบบนี้ ครับ เดิมๆ
    ให้บูชาชุดละ 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240209_225825.jpg IMG_20240209_225855.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2024
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    วันนี้ จัดส่ง
    1707552545499.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    phramongkol_index.jpg

    หลวงพ่อพระมงคลเทพโมลี เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมพ.ศ. 2471 ณ บ้านเลขที่ 12 หมู่ 8 ต. คลองสิบสอง อ. หนองจอก จ. พระนคร มีนามว่า “โพธิ์” นามสกุล “สมนึกแท่น” โยมบิดาชื่อ ปลื้ม โยมมารดาชื่อ แช่ม โยมบิดามารดามีอาชีพทำนา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 6 คนด้วยกันคือ มีพี่สาว 5 คน ส่วนท่านเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว และเป็นลูกคนสุดท้อง โดยมีลำดับดังนี้

    1. นางนิ่ม เสือจุ้ย (ถึงแก่กรรมแล้ว)

    2. นางผ่อน ทับท่าไม้ ยังมีชีวิตอยู่

    3. นางผัน บันเทิง (ถึงแก่กรรมแล้ว)

    4. นางผาด แก้วลูกอินทร์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)

    5. นางเผือด สมนึกแท่น (ถึงแก่กรรมแล้ว)

    6. เด็กชายโพธิ์ สมนึกแท่น (ผู้ซึ่งต่อมา คือ หลวงพ่อ พระมงคลเทพโมลี)



    ตั้งแต่เยาว์วัยได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากโยมบิดามารดาด้วยความรักและอบอุ่น ตามสมควรแก่ฐานะจนถึงวัยอันสมควรจึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนวัดแสนเกษม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านที่สุด โดยสภาพท้องถิ่นเป็นที่ราบลุ่มเป็นท้องทุ่งกว้างขวาง มองโล่งสุดสายตาดินเหนียวสีดำ หน้าฝนจะปกคลุมด้วยหญ้าป่ากก และต้นข้าวสีเขียวขจี ให้ความรู้สึกสดชื่น เนื้อดินจะอ่อนนุ่ม ถ้ามีน้ำขังก็จะเป็นโคลนเลน การเดินทางไปมาหาสู่กันในหน้าฝนจะต้องเดินบนคันนา หรือใช้เรือแจวเรือพายเท่านั้น เดินลัดทุ่งนาไม่ได้แต่ในหน้าแล้งดินจะแห้ง แข็ง และแตกระแหง

    ด้วยเหตุนี้ พ่อจึงขอฝาก เด็กชายโพธิ์ ไว้กับหลวงปู่เปรม เจ้าอาวาสวัดแสนเกษม ให้อยู่เป็นเด็กวัด รับใช้หลวงปู่และเรียนหนังสือไทยในโรงเรียนวัด เพื่อตัดปัญหาในการเดินทาง ครอบครัว พ่อแม่ก็มาทำบุญที่วัดเป็นประจำได้รับรู้ความเป็นอยู่ตลอดเวลา ตัดปัญหาเรื่องความห่วงหากังวลใจด้วยความรักลงได้

    การอยู่กับพระผู้ใหญ่มีผู้คนหลายระดับชนชั้นมาเคารพกราบไหว้ท่านเสมอ ถือเป็นโชคดีที่มีโอกาสจะได้เติบโตมาพร้อมกับการซึมซับเอาสิ่งดีงาม จากผู้คนเหล่านั้นมาเป็นแม่แบบหล่อหลอมชีวิตของตน

    เมื่อเรียนหนังสือจบชั้นประถมบริบูรณ์ (ประถมปีที่ 4) ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด ก็กลับมาอยู่ที่บ้านด้วยหวังจะช่วยพ่อแม่ประกอบอาชีพ และเป็นการฝึกงานเตรียมตัวเป็นเกษตรกรสืบต่อไป เมื่อเติบใหญ่ไปในภายภาคหน้า

    เพียงปีแรก ที่กลับมาช่วยพ่อในอาชีพเกษตรกร ก็พบได้ด้วยตัวเองว่าเห็นท่าจะเอาดีทางนี้ไม่ได้ เพราะไม่มีความชอบ (ฉันทะ) จึงขาดความขยันหมั่นเพียร (วิริยะ) ทำไปตามหน้าที่ ไม่มีความบากบั่น (จิตตะ) แม้จะต้องทำงานจนเสร็จก็ไม่ติดตามว่าผลเป็นเช่นไร (วิมังสา) แม้พ่อปลื้มเองในฐานะครู ก็มองออกว่า ลูก (ศิษย์) คนนี้คงเอาดีทางนี้ไม่ได้จึงมองหาลู่ทางที่เหมาะสมสำหรับลูกชายคนเดียวของตนต่อไป

    พ.ศ. 2485 อายุได้ 14 ปี พ่อปลื้มจึงนำลูกชายกลับเข้าวัดอีกครั้ง ได้บรรพชาเป็นสามเณร โดยมีพระครูมนูญสีลขันธ์ วัดหนองจอก เป็นพระอุปัชฌาย์ และอยู่ที่วัดแสนเกษมกับหลวงปู่เปรมอีกครั้ง แต่คราวนี้หลวงปู่เปรมมีอายุมากแล้ว อายุกว่า 90ปี (หลวงพ่อเล่าให้ฟัง) หลวงปู่ช่วยตัวเองได้น้อย ก็ต้องปรนนิบัติท่าน (คงรวมถึงการสรงน้ำป้อนข้าวด้วยบางครั้ง) เพียง 2 พรรษา หลวงปู่ก็สิ้น (ละสังขาร) และในช่วง 2 พรรษา สามเณรโพธิ์ ก็สอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท ตามลำดับ หลวงปู่เปรม ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์มีความขลังในหลายด้าน เช่นปลุกเสกปรอท ตะกรุดและน้ำมนต์ ได้เป็นที่พึ่งพิงช่วยขจัดทุกข์ร้อนของผู้ที่เคารพนับถือตลอดอายุของท่านในช่วงเวลาดังกล่าว สงครามมหาเอเชียบูรพายังไม่สงบมีเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในกรุงเทพฯโดยเฉพาะแถวโรงไฟฟ้าวัดเลียบ,สพานพระพุทธยอดฟ้าและสำเพ็ง ผู้คนคอยฟังสัญญาณเตือนภัยและเสียงเครื่องบินจะได้วิ่งเข้าที่หลบภัยทัน เศรษฐกิจย่ำแย่ ไม้ขีดไฟหนึ่งก้านต้องผ่าครึ่งจะได้ใช้ ถึง 2 ครั้งเพราะหาซื้อยากของขาดตลาด (คำบอกเล่าของหลวงปู่ศุข)

    ในเวลานั้นพระครูวินัยธรทองศุข สิริวัฑฒโน (เงินมา) ที่รู้จักกันต่อมา คือ หลวงปู่ศุข ท่านจำอยู่ที่วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหารตำบลเสาชิงช้า เห็นว่าวัดอยู่ในย่านอันตราย ท่านจึงออกไปจำพรรษาที่วัดแสนเกษมอำเภอหนองจอก เพราะยังมีความปลอดภัย ด้วยห่างจากเขตสู้รบ ท่านจำอยู่ที่วัดแสนเกษมจนญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามสงบปี พ.ศ. 2487 สงครามสงบแล้ว หลวงปู่ศุขจึงย้ายกลับวัดสุทัศน์ฯและได้ให้สามเณรโพธิ์ติดตามมาด้วย คงเป็นเพราะมองเห็นแววและความใฝ่ใจในการศึกษาเล่าเรียน พอที่จะปลูกฝังให้เป็นศาสนทายาทและเป็นกำลังสำคัญในการธำรงพระศาสนาสืบไปในอนาคต ได้นำสามเณรมาฝากไว้ในสังกัดวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหารกับพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ซึ่งเป็นอธิบดีสงฆ์ (เจ้าอาวาส) ในขณะนั้น (คำบอกเล่าของหลวงปู่ไสว วัดหนองจอก)

    ในปี พ.ศ. 2489 สามเณรโพธิ์ ก็สอบได้นักธรรมชั้นเอก ในสำนักเรียนวัดสุทัศน์ฯ (คงจะเป็นระยะเวลานี้ที่ท่านได้เปลี่ยนชื่อเป็น สุพจน์และเปลี่ยนนามสกุลเป็น ชูติรัตน์)

    พ.ศ. 2492 ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดสุทัศน์ฯ โดยมีพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สมเด็จพระพุฒาจารย์ =โสม ฉันนะมหาเถระ) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระศรีสมโพธิ์ (สมเด็จพระพุฒาจารย์ =เสงี่ยม จันทสิริมหาเถระ)เป็นพระกรรมวาจาจารย์, พระศรีสัจจญาณมุนี (พระมงคลราชมุนี =สนธิ์ ยตินธระเถระ) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2492 ได้รับฉายาว่า โชติปาโล ซึ่งแปลว่าผู้รักษาความสว่างโชติช่วง(แห่งธรรม)ขณะที่ท่านเป็นเด็กวัดและเป็นสามเณรอยู่ที่วัดแสนเกษม หลวงปู่เปรม ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสผู้ปกครองก็เป็นพระเกจิอาจารย์ผู้มีวิทยาคม เป็นที่เคารพของผู้คนในท้องถิ่นในยุคสมัยนั้น เมื่อท่านมาอยู่ที่วัดสุทัศน์ฯ ท่านอยู่ใกล้กับหลวงปู่ศุข ซึ่งเป็นพระอาจารย์ผู้เป็นเอกทางเลขผานาที เป็นเอกในการให้ฤกษ์ยาม ในการประกอบพิธีมงคลต่าง ๆ ทำนายดวงชะตาราศี เพื่อขจัดความคับข้องใจความวิตกกังวล ของศิษยานุศิษย์ และผู้ที่เคารพนับถือทั่วไป น่าจะส่งผลผลักดันความสนใจส่วนตัวที่ท่านมีอยู่ ให้มีพลังมากขึ้น ทำให้ความตั้งใจที่จะศึกษาชั้นภูมิที่สูงขึ้นในทางปริยัติธรรมเปลี่ยนเป็นความสนใจในด้านวิทยาคม แทน ด้วยความสนใจในการเรียนวิทยาคมต่าง ๆ ในปลายปี พ.ศ.2492 หลังออกพรรษาแรก ท่านก็ได้พระมหาอำนวย (ต่อมาได้เป็นเจ้าคณะ14 วัดสุทัศน์ฯ จนถึงมรณภาพ) เป็นพระสหจร (เพื่อนร่วมทาง) ไปเรียนวิทยาคมต่าง ๆ จากหลวงปู่แต้ม วัดพระลอยเมืองสุพรรณ (จ. สุพรรณบุรี)วิชาที่เล่าเรียนคือตำราการทำพระเครื่องจากผงต่าง ๆ และการเสกน้ำพระพุทธมนต์อีกครั้งหนึ่ง คือการไปเรียนอาคมจากหลวงปู่หงส์ เมืองนครสวรรค์ (ไม่ทราบเวลา และสถานที่) นอกจากนั้นท่านยังได้เรียนคาถาอาคมจากท่านเจ้าคุณสนธิ์ (พระมงคลราชมุนี=ตำแหน่งสุดท้าย) อยู่หลายปี รวมทั้งการเรียนอักษรขอม เพื่อลงอักขระเลขยันต์ต่าง ๆ(บันทึกส่วนตัว) รวม ทั้งการเรียนการทำนายดวงชะตา ส่วนรายละเอียดนั้นคงเป็นไปตามวิธีการเล่าเรียนในยุคสมัยนั้น

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท่านเน้นหนัก คือสมาธิ คิดจะทำอะไรก็ตามความตั้งใจแน่วแน่ ทำจิตให้มั่นคงทำให้เวทย์มนตร์ คาถาอาคมมีความขลังท่านไม่เคยเหน็ดเหนื่อย ที่จะทำทุกอย่างให้บรรลุผลแก่ศิษย์ผู้มีความเลื่อมใสและแก่ทุกคนที่มาหาท่าน อย่างเท่าเทียมกัน

    ด้วยความตั้งใจจริง และมุมานะบากบั่น อย่างมั่นคง ท่านได้กลายเป็นพระเกจิอาจารย์ ผู้มีชื่อเสียงเข้มขลังและเคร่งครัดในการประกอบพิธีต่าง ๆตามแบบอย่างของบูรพาจารย์ เพื่อความถูกต้องแน่นอน ได้รับการยอมรับว่าเป็นพระเกจิอาจารย์เจ้าพิธี เป็นที่รับรู้กันทั่วไป ดังจะเห็นได้จากการที่ท่านได้รับนิมนต์ให้เป็นเจ้าพิธีในเรื่องสำคัญ ๆ เสมอ

    งานสาธารณูปการ (สังคมสงเคราะห์)

    ในช่วงสงครามอินโดจีน ประเทศไทยได้ส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเวียดนาม ที่รู้จักกันทั่วไป คือกองพลจงอางศึก (ในราวปี 2505) และกองพลเสือดำ (ในปี 2512) คราวนั้นเวลาเช้าตรู่ เป็นเวลาปล่อยกำลังพลออกศึเสียงพระสวดชะยันโต หลวงพ่อพระพุทธมนต์วราจารย์ ยืนบริกรรมอาคมพร้อมประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้แก่กำลังพลที่เดินแถวผ่านหน้า เพื่อเป็นการปลุกขวัญสร้างกำลังใจ และขอให้มนตานุภาพเป็นเครื่องคุ้มครอง ป้องปกให้ปลอดภัยจากอริราชศัตรู นำชัยกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ

    ด้วยความสามารถของเหล่าทหารหาญ และอานุภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมือง และกำลังใจที่ดี กำลังพลเหล่านั้นกลับบ้านด้วยชัยชนะโดยสวัสดิภาพ พร้อมเกียรติประวัติอันงดงาม เมื่อโอกาสเหมาะสมกำลังพลส่วนหนึ่งได้ขอเข้ารับการอุปสมบทที่วัดสุทัศน์ฯทั้งสองครั้ง ด้วยสายสัมพันธ์แห่งศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อ ทางทหารสื่อสารได้เคยถวายความอุปถัมภ์ เครื่องขยายเสียง พร้อมกำลังพลผู้ควบคุม ในงานประจำปีของวัดสุทัศน์ฯ อยู่หลายปี ทางสถานีวิทยุรักษาดินแดนก็เคยมาช่วยถ่ายทอดรายการบันเทิง เช่นดนตรีลูกทุ่ง เป็นต้น ในงานประจำปีของวัด ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ที่ก้าวหน้าในยุคสมัยนั้น

    เป็นประธานอำนวยการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ ชื่อโครงการ “สวนป่าหลวงรักษ์น้ำ” ในเนื้อที่ 340 ไร่ที่ตำบลเกาะจันทร์ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี (เริ่มเมื่อ 9 มีนาคม 2539)เป็นกรรมการดำเนินการสร้างเหรียญ “พระชัยหลังช้าง ภปร.” เพื่อเทิดพระเกียรติ และบุญญาธิการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ หารายได้ทูลเกล้าถวายตามโครงการของมหาเถรสมาคม

    บริจาคทรัพย์สนับสนุนโครงการอาหารกลางวัน แก่โรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายปีในเวลาที่ท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง

    เป็นผู้อุปถัมภ์โครงการธรรมะ ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 อยู่ระยะหนึ่ง ในระยะที่ท่านสามารถทำได้

    เป็นกรรมการดำเนินการสร้างเหรียญ “พระชัยหลังช้าง สก.” เพื่อเฉลิมพระเกียรติและบุญญาธิการสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนารถเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ รายได้ทูลเกล้าถวาย เพื่อสมทบทุนโครงการส่งเสริมศิลปาชีพ ตามโครงการของมหาเถรสมาคม และกระทรวงอุตสาหกรรม

    ในขณะที่หลวงพ่อเป็นหัวหน้าสงฆ์ ประจำวัดไทยในลอสแองเจลีสท่านได้ตั้งหน่วยบริการชุมชนชาวไทยขึ้น (ไทยคอมมูนิตี้ เซอร์วิส) เพื่อช่วยชุมชนไทย (มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Thai Immigrant Acculturation Project = TIAP) โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ในกรณีรีบด่วนเช่นการสื่อสาร การคมนาคมและการแสวงหาความช่วยเหลืออื่นๆ โครงการนี้ รัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจ้างบุคลากร ค่าเช่าที่ทำการและค่าใช้จ่ายในสำนักงานอย่างประหยัดโครงการนี้ดำเนินมาได้ 2 ปีหมดเทอมของหลวงพ่อ ก็ไม่ได้ต่ออายุโครงการอีก แต่ทราบว่าหน่วยชุมชนอิสระอื่นๆ ของไทย ได้ยื่นขออนุญาตทำต่อในชื่อโครงการอื่นโดยวัดไทยไม่ได้เกี่ยวข้องแล้ว

    ท่านได้ก่อตั้งสมาคมไทย-อเมริกันขึ้น และจดทะเบียนเป็นสมาคมถูกต้องตามกฎหมาย ของมลรัฐคาลิฟอร์เนียสมาชิกก็คือคนไทยที่อยู่ในคาลิฟอร์เนียภาคเหนือ (ซาน ฟรานซิสโก) ภาคใต้ (ลอสแองเจลีส) ร่วมกันดำเนินการในกิจการของสมาคม เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในคราวจำเป็น

    หลวงพ่อ เป็นกรรมการอุปถัมภ์และที่ปรึกษาสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เริ่มต้นจ
    ฉากสุดท้าย

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ถ้าดูภาพทั่วไปจะเห็นมีญาติโยม ลูกศิษย์มากมาย มาถวายสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แต่หลวงพ่อท่านก็บริโภคขบฉันเท่าที่จำเป็น บริจาค เสียสละส่วนเกินเพื่อผู้อื่น ถ้าเหลือเป็นกลุ่มก้อนก็จะบริจาคสร้างสาธารณประโยชน์อื่นๆ ท่านมีชีวิตเรียบง่ายและพอเพียงแต่เป็นระบบ เจ้าระเบียบและเข้มงวด ลูกศิษย์ใกล้ชิดบางคนจะบอกว่าท่านดุ เพราะท่านจะบังคับให้ทำให้ได้ ท่านเป็นคนเข้มแข็งและแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านพักผ่อนน้อย แต่ท่านหลับได้ง่าย แม้จะมีกิจนิมนต์ต้องเดินทางบ่อย ๆ ท่านก็ยังเจียดเวลาพักผ่อนพร้อมกับการเดินทางได้

    จนเมื่อปี พ.ศ. 2542 ท่านเริ่มมีอาการเส้นเลือดในสมองตีบ ทำให้ร่างกายในซีกซ้าย ไม่มีแรง ได้เข้ารับการตรวจร่างกาย และรับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ระยะแรก ๆ การรักษาไม่ค่อยต่อเนื่อง เพราะเวลาใดที่ท่านสามารถไปไหนมาไหนได้ ท่านก็จะไปเพื่อฉลองศรัทธาของลูกศิษย์ หลังจากนั้นท่านก็เริ่มมีโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานซึ่งเป็นโรคที่จะต้องรักษาแบบควบคุม ไม่ใช่โรคที่รักษาให้หายขาดและอาการเจ็บไข้เพิ่มขึ้น ในขณะที่ร่างกายก็เสื่อมลงตามวัย

    เมื่อปี พ.ศ. 2544 - 2545 ท่านเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเดชาหลายเดือนจนอาการท่านดีขึ้น สามารถกลับมาพักรักษาตัวที่วัดได้ท่านก็กลับวัด โดยมีพระภิกษุคอยดูแลปรนนิบัติ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วง ปีพ.ศ. 2546 ประมาณกลางปี พระครูปลัดสรพงศ์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องเป็นเหลนของหลวงปู่ ก็ได้มีศรัทธาเข้ามาเป็นผู้ดูแล (คิลานุปัฏฐาก) และหลังจากนั้น พระครูสมุห์มานะซึ่งสนิทสนมกับพระครูปลัดสรพงศ์ ก็อาสามาช่วยดูแลอีกรูปหนึ่ง ประกอบกับท่านเป็นผู้มีความสามารถเฉพาะตัวในการปรับภูมิทัศน์สภาพแวดล้อมและพระภิกษุผู้ดูแลทั้งสองรูปก็ได้ทำหน้าที่เป็นอย่างดีเรื่อยมาอย่างหาที่ติมิได้ (ตั้งแต่นั้น จนถึงวันสุดท้าย) เดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2546 คุณหมอวีรยุทธเชาว์ปรีชา เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกจากโรงพยาบาลวิภาวดีได้มาพบท่าน เห็นว่าเป็นอาการที่น่าจะรักษาให้หายได้ด้วยวิธีทางกายภาพบำบัด จึงกราบนมัสการนิมนต์ท่านไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลวิภาวดี อาการดีขึ้นบ้างแล้วท่านก็กลับมารักษาตัวที่วัด และได้กลับไปรับการรักษาอีกครั้ง ทางโรงพยาบาลและคุณหมอได้ถวายการรักษาและค่ารักษาพยาบาลแก่หลวงพ่อฯทั้งหมด คณะศิษย์ของหลวงพ่อทุกท่าน/ทุกคนขออนุโมทนา และขอบคุณเป็นอย่างสูง

    หลวงพ่อมาหัดเดินอยู่ที่วัด เกิดขาอ่อนแรงทำให้ท่านทรุดตัวนั่งกระแทกลง ท่านบ่นว่าเจ็บที่สะโพก แต่ไม่มากนัก ทุกคนคิดว่าอีกไม่กี่วันคงหาย แต่ใกล้เวลาที่ท่านจะเดินทางไปต่างประเทศ จึงต้องให้หมอตรวจร่างกายก่อน ท่านจึงไปให้หมอตรวจร่างกาย ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์กลับพบว่ากระดูกสะโพกร้าว ในที่สุดต้องผ่าตัดและนอนพักฟื้นนานพอสมควรที่โรงพยาบาลจุฬาฯ จนต้องงดการเดินทางในคราวนั้น

    ท่านเดินทางกลับจากอเมริกาครั้งสุดท้าย เมื่อปลายปี 2550 ก็ได้เตรียมจัดงานฉลองอาคารพิพิธภัณฑ์ -ห้องสมุดที่ท่านสร้างขึ้นเป็นผลงานสุดท้าย ณ วัดแสนเกษม เขตหนองจอก แต่การก่อสร้างยังไม่ค่อยเรียบร้อย ต้องเก็บงานที่เหลืออีกระยะหนึ่ง และจัดงานฉลองขึ้น เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 อีก 3 วันจากนั้น คือวันที่ 13 พฤษภาคม ท่านก็ต้องเข้ารักษาตัว ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพราะเห็นว่ามีประวัติการเจ็บป่วย (เวชระเบียน) อยู่ที่นี่แล้ว จากการตรวจอย่างละเอียดของคณะแพทย์ พบว่าเนื้อร้าย (มะเร็ง) ในลำไส้เริ่มพัฒนา ในทางกลับ กันแนวต้านในร่างกายก็ลดลงเรื่อยๆ หลังจากคณะแพทย์ได้พยายามหาทางเยียวยา และท้ายที่สุด ก็ตัดสินใจร่วมกันกับคณะลูกศิษย์ว่าไม่ตัดเนื้อร้าย ไม่ต้องรักษาด้วยเคมีบำบัด เพราะจะทำให้ท่านเจ็บปวดมากขึ้น และกระตุ้นให้เนื้อร้ายพัฒนาเร็วขึ้น เพราะสังขารของท่านอาจไม่สามารถต้านทานต่อผลข้างเคียงของการรักษาบางวิธี

    ท่านกลับมาพักฟื้นที่วัด 2 เดือน วันที่ 6 กันยายน ต้องกลับไปโรงพยาบาลอีกเป็นครั้งที่ 2 หมอดูแลอยู่ 10 วัน จนถึงวันที่ 16 กันยายนหมอเห็นว่าท่านดีขึ้นแล้วอยากให้กลับวัด เพราะการอยู่โรงพยาบาลเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ก็ตกลงกลับวัดอีกครั้ง กลับมาคราวนี้เพียง 3 วันท่านมีอาการไข้สูงก็ต้องกลับเข้าโรงพระบาลอีกครั้ง วันนั้น เป็นเวลาเย็นฝนก็ตกเป็นฟ้ารั่วมองไปที่ไหนก็มืดมิด แต่ไม่มีอะไรจะกีดกั้นไว้ได้ ลูกศิษย์ได้พาหลวงพ่อฝ่าสายฝนไปจนถึงห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลจุฬาฯจนได้ คราวนี้อยู่นาน... จนถึงวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ขณะที่ลูกศิษย์ลูกหาส่วนหนึ่งกำลังเตรียมข้าวของ เพื่อตักบาตรในวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ (4 ธันวาคม) ดังที่เคยปฏิบัติมาเช่นทุก ๆ ปี เวลา 5 โมงเย็นเศษ หลวงพ่อก็ได้ละสังขารไปเสียก่อน ณ เวลาเช่นนี้เอง สัจธรรมได้ปรากฏชัด ศิษย์ทุกคนเข้าใจดีว่า แม้จะโศกเศร้าอาลัยอย่างไร แต่เราไม่มีอำนาจต่อรองหรือแม้จะขอผ่อนผันกับพญามัจจุราช ผู้มีรี้พลเป็นจำนวนมาก...งานทุกอย่างก็ต้องดำเนินไปอย่างดีที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น การตักบาตรวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อฯ ก็ดำเนินไปตามปกติ แม้สังขารของหลวงพ่อจะยังฝากอยู่ที่โรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ เพราะติดวันหยุดราชการสำคัญ

    พระภิกษุผู้เป็นคิลานุปัฏฐาก (เฝ้าไข้) และลูกศิษย์ที่จะต้องไปเยี่ยมไข้หลวงพ่อบ่อย ๆ ได้พบเห็นการปฏิบัติงานของคุณหมอ, พยาบาล และเจ้าหน้าที่นานวันเข้า ทำให้เกิดความเข้าใจที่ดีต่อกันมากขึ้น เพราะท่านเหล่านั้นต้องปฏิบัติดูแล ผู้คนที่ไม่รู้จักมักคุ้น ด้วยความรู้สึกจริงใจ และหวังดีไม่ว่าผู้ป่วยจะอยู่ในสภาพอย่าง ได้พบเห็นเหตุการณ์อย่างนี้แทบทุกวันคณะลูกศิษย์ของหลวงพ่อขอชมเชยในน้ำใจอันสูงส่งนี้ และขอขอบคุณในความเอื้ออาทรเป็นอย่างสูง ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย ฯ

    พระปิดตามหาเศรษฐี หลวงปู่ศุข เงินมา อดีต
    พระเกจิอาจารย์เรืองวิทยาคมแห่งวัดสุทัศน์
    เทพวราราม จัดสร้างด้วนผงมวลสารว่าน
    มงคลมากมาย ปลุกเสกหลายพิธีมหามงคล
    ในปี 2527 จำลองแบบจากพระปิดตาหลวงปู่
    ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า นับเป็นพระดี
    ราคาเบา พระเก่าพุทธคุณสูง ที่ควรค่าแก่การ
    บูชาสะสม

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระปิดตามหาเศรษฐีหลวงปู่ศุข ให้บูชาองค์ละ 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ มี องค์สวยเดิมๆในกล่อง นานๆจะเจอสมบูรณ์แบบนี้ ครับ

    องค์ที่๑

    IMG_20240211_174333.jpg IMG_20240211_174352.jpg IMG_20240211_174304.jpg

    องค์ที่๒

    IMG_20240211_174439.jpg IMG_20240211_174501.jpg IMG_20240211_174417.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2024
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    1707650192857.jpg
    พ่อท่านพรหม เป็นพระเกจิอาจารย์สายสำนักตักศิลาเขาอ้อขนานแท้ เนื่องจากเป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมสายเขาอ้อจากหลวงพ่อคง สิริมโต ซึ่งเป็นศิษย์สืบสายของพ่อท่านเอียด หรือ พระครูสิทธยาภิรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดดอนศาลา และพ่อท่านเอียดก็เป็นศิษย์รูปสำคัญที่ได้รับการสืบทอดวิชาจากพ่อท่านทองเฒ่า (พระครูสังฆวิจารย์ฉัททัณต์บรรพต) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 9 ของวัดเขาอ้อ
    ปัจจุบันพ่อท่านพรหม อายุ 74 พรรษา 52 มีนามเดิมว่า พรหม ดำรงพิพรรธน์ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2483 ณ บ้านเลขที่ 115 หมู่ที่ 5 ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ในวัยเยาว์มีอุปนิสัยเรียบร้อย เป็นเด็กดี ฉลาด ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดบ้านสวน (คงวิทยาคาร) อ.ควนขนุน และจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ร.ร.วัดไตรมิตรวิทยาราม เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ

    เมื่ออายุครบ 20 ปีได้เข้าอุปสมบทที่วัดบ้านสวน เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2504 โดยมีพระครูพิพัฒน์สิริธร (หลวงพ่อคง สิริมโต) เจ้าอาวาสวัดบ้านสวน เป็นพระอุปัชฌาย์ และหลวงพ่อคล้อย อโนโม วัดภูเขาทอง อ.ควนขนุน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา ขันติโก มีความหมายว่า ผู้มีความอดทนเป็นเลิศ

    หลังอุปสมบทตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยและพระปริยัติธรรมในสำนักเรียนวัดบ้านสวนจนสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับเมื่อปี พ.ศ.2509 จากนั้นได้ไปศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลีที่สำนักเรียนวัดไตรมิตร วิทยาราม เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ จนสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค เมื่อปี พ.ศ.2517

    ภายหลังหลวงพ่อคงมรณภาพลง คณะพุทธบริษัทของวัดบ้านสวนได้นิมนต์ท่าน ซึ่งขณะนั้นกำลังศึกษาธรรมบาลีอยู่ที่วัดวิเศษการ กรุงเทพฯ มารักษาการในปี พ.ศ.2518 และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ.2519 ต่อมาได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็น พระครูขันตยาภรณ์ ในปี พ.ศ.2531

    พ่อท่านพรหม เป็นพระนักพัฒนาและเป็นพระผู้มีความรู้ความสามารถ มีความมุ่งมั่นจะพัฒนาในหลากหลายด้าน ทั้งด้านวัตถุและด้านจิตใจ มีวัตรปฏิบัติเรียบง่าย ปฏิปทางดงามเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ได้พบเห็น ด้วยเหตุที่เป็นศิษย์สืบทอดวิชาสายเขาอ้อ จึงมีความเชี่ยวชาญวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่วสารทิศ จนได้รับการยกย่องเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้าของภาคใต้รูปหนึ่งในยุคปัจจุบัน



    วัตถุมงคลของท่านทุกรุ่นล้วนมีประสบการณ์เลื่องลือ เพราะสร้างและปลุกเสกตามตำรับไสยเวทย์เขาอ้อ พุทธคุณเด่นทางแคล้วคลาด คุ้มครองป้องกันภัย เป็นที่ประจักษ์ในหมู่ศิษยานุศิษย์
    ประวัติโดยสังเขป " พระยอดขุนพล 9 " (จัดสร้างเมื่อปีพ.ศ. 2538)

    พระผงบารมีทรงยอดขุนพล หลวงพ่อคงแห่งวัดบ้านสวน และพระอาจารย์ชุม ไชยศรี ได้สร้างขี้นมาครั้งหนึ่งแล้ว
    ในปีพ.ศ. 2497 จากพระผงยอดขุนพลเดิมที่พระอาจารย์คง วัดแคสร้างให้ขุนแผนเมื่อคราวไปรบที่เชียงใหม่ เมื่อนั้นเอง-
    พระอาจารย์คงได้เข้าประทับทรงอาจารย์ชุม ให้ไปขุดเอาพระผงยอดขุนพลเก่าจากกรุ แล้วสร้างแบบเดิมตามตำราเดิมของ
    ท่านเพื่อบรรจุไว้ในพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชเป็นพุทธบูชาจำนวนหนึ่ง สร้างเพียง 2,500 องค์ พิธีนั้นสุดยอดยิ่งใหญ่
    มาก ปลุกเสกตลอดไตรมาสโดยหลวงพ่อคงและพระอาจารย์ชุม จึงเกิดอภินิหารมากมายมีพลานุภาพ อิทธานุภาพ พุทธานุภาพ
    เป็นเลิศ บัดนี้พระดังกล่าวหมดไป ยากแก่ผู้ที่เกิดมาภายหลังจักมีไว้บูชาเพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตัวเองและผู้อื่น

    พระผงบารมีที่พระอาจาย์พรหม (เจ้าอาวาสวัดบ้านสวนปัจจุบัน) จัดสร้างขี้นครั้งนี้ นับเป็นประวัติการณ์ เป็นการ
    รักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของพระยอดขุนพลเดิม และได้นำมวลสารที่หลวงพ่อคงสะสมไว้ รวมกับที่พระอาจารย์พรหม ศิษย์ของ
    หลวงพ่อคงได้รวบรวมไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อใช้ในการจัดสร้างพระผงบารมีทรงยอดขุนพลขี้น


    มวลสารในการจัดสร้าง "พระยอดขุนพล 9"

    พระยอดขุนพล เป็นพระรูปแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระพุทธคุณของ
    พระองค์มีมงคล 9 ประการ และพระอาจารย์พรหมยังได้ประมวลมาซี่งเป็นที่มงคลมากมาย พอที่จะนำเป็นนิมิตอย่างละ 9
    ดังนี้

    1. ดินแห่งพุทธภูมิประเทศอินเดีย-เนปาล 9 แห่ง
    2. ดินยอดภูเขาซึ่งเป็นมงคล 9 ยอด
    3. ดินยอดจอมปลวก 9 ยอด
    4. ดินรูปูปิด 109 รู
    5. ปูนผสมสูตรโบราณจากยอดพระเจดีย์จังหวัดนครศรีธรรมราช น้อยใหญ่ 9 ยอด
    6. ผงอธิษฐานจิตจากลูกนิมิต 9 วัด
    7. ผงดอกไม้มงคล 9 วัด
    8. ผงดวงยันต์มหาหลวงพ่อคง 9 ดวง
    9. ผงจากการอธิษฐานจิตคณาจารย์สายเขาอ้อ 9 รูป
    10. ผงคงไชยขุม, ผงพระมหาว่าน, ผงพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ อย่างละ 9
    11. ผงพระปิดตานอโมจากว่าน 108
    12. ผงดินกากยายักษ์ และผงนะเมตตา 9 ดวง
    13. ผงจากกรุต่างๆ ที่เป็นยอดแห่งพระผงคุณมรกต รวบรวมไว้นานถึง 30 ปี
    14. ผงชื่อที่เป็นมงคลของนายพล 9 ท่านที่พระอาจารย์พรหมขอไว้เป็นนามอุปถัมภ์

    และผงอื่นๆ อีกมากมาย จึงเป็นการสร้างพระผงบารมีทรงยอดขุนพลสุดยอดในครั้งนี้

    ด้านหน้า เป็นแบบเดิม ด้านหลัง เป็นรูปดวงยันต์ใบโพธิ์อยู่เป็นเอกลักษณ์ มีพระคาถาเป็นยอดแห่งพระพุทธองค์ว่า
    "พุทโธ นะ อะ ระหัง" มีอักษรภาษาไทระบุไว้ว่า "รุ่นสร้างพระธาตุเจดีย์วัดบ้านสวน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง

    มีคำกล่าวไว้ถึงอิทธิคุณของการได้บูชาพระยอดขุนพล 9 นี้ว่า "ผู้ใดได้บูชาแล้วซึ่งพระยอดขุนพล 9 นี้เพียง
    องค์เดียวจักมีพุทธานุภาพ มีพลานุภาพ มีอิทธิภานุภาพยิ่ง สาธุชนทั่วไปมีไว้บูชาจักเป็นบุญญาบารมียิ่งๆ ขี้น
    ผู้นำ แม่ทัพ นายกอง นายพล นายพัน มีไว้จักคุ้มครองป้องกันกำลังพลอันเกิดจากอันตรายทั้งปวง ท่านผู้ใดจัก
    ได้ปรารถนาให้เกิดบุญบารมี พร้อมด้วยมีอำนาจวาสนา ขอให้ท่านบูชาพระยอดขุนพล 9 เพราะกำจัดภัยได้จริง
    พร้อมเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ พรั่งพร้อมด้วยธนสารสมบัติ ทั้งตนเองและครอบครัว หมู่คณะให้มีแต่
    ความเจริญ ก้าวหน้าด้วย"

    พระผงบารมีทรงยอดขุนพล 9 นี้จึงได้ถูกสร้างขี้นจากความตั้งใจจริงอันบริสุทธิ์ที่ต้องการจะดำรงไว้ซึ่งความ
    เข้มขลังแห่งพุทธานุภาพของหลวงพ่อคง และพระอาจารย์ชุม, ความวิริยะอุตสาหะในการประมวล และรวบรวมมวลสาร
    สำคัญให้ครบอย่างละ 9 ประการเป็นเวลารวมหลายปี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งมงคลทั้งสิ้น พร้อมทั้งยังได้สร้างเหรียญที่พระ
    คณาจารย์บริกรรมอธิษฐานจิตให้เกิดขี้นเป็นพลังแห่งยอดขุนพล 9 ด้วย จึงนับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ในการสร้างพระธาตุเจดีย์
    ์แห่งวัดบ้านสวนไปชั่วนิรันดร์

    พระอาจารย์พรหมได้จัดสร้างพระยอดขุนพล 9 ขี้นในครั้งนี้มีทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ ทั้งเหรียญกลมมีห่วง
    และไม่มีห่วง นับเป็นประวัติการณ์แห่งวงการมงคลวัตถุที่มีพระเปรียญธรรม 9 ประโยค และท่านนายพลถึง 9 ท่านทีได้ให้
    ความอุปถัมภ์ อาทิ พลเอกนฤต เดชประดิยุทธ์ ที่ปรีกษาพิเศษกองบัญชาการสูงสุด, พลโทปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ แม่ทัพ-
    ภาคที่ 4 รวมทั้งนายพลทั้งหมดในเขตกองทัพภาคที่ 4 เป็นผู้อุปถัมภ์ฝ่ายทหาร ฝ่ายตำรวจมีพล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช
    ซึ่งเป็นยอดแห่งขุนพลศิษย์สายเขาอ้อ บริกรรมแผ่เมตตาปลุกเสกด้วย รวมทั้งพระเกจิอาจารย์อื่นๆ อีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น
    พระอาจารย์พรหม ศิษย์หลวงพ่อคง ยังได้บริกรรมแผ่เมตตาปลุกเสกเป็นประจำทั้งเช้าและเย็นหลังจากไหว้พระสวดมนต์
    และทำวัตรเช้าเย็นตลอดทั้งไตรมาส จึงนับเป็นที่สุดทั้งพิธีปลุกเสก และสุดยอดมวลสารของวัตถุมงคลแห่งวัดบ้านสวน

    และในศุภวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชสมบัติครบปีที่ 50 พระอาจารย์พรหมจะได้นำ
    พระผงบารมีทรงยอดขุนพล 9 นี้ถวายแด่พระองค์ท่านจำนวน 99 องค์ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติอีกด้วย

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระยอดขุนพล ๙ พ่อท่านพรหมวัดบ้านสวนให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240211_182223.jpg IMG_20240211_182305.jpg IMG_20240211_182148.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2024
  15. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,925
    ค่าพลัง:
    +6,846
    -ขอจองครับ
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    FB_IMG_1707670297987.jpg

    ประวัติหลวงปู่เส็ง วัดบางนา สุดยอดพญาครุฑอันดับต้นของเมืองไทย

    หลวงปู่เส็งเป็นพระปฏิบัติท่านมักจะออกธุดงค์ไปปริวาสกรรมทุกปีมิได้ขาดมีปฏิปทาใน ทางสมถะหมั่นบริกรรมภาวนาเจริญพระคาถาวิชาต่างๆ

    เล่ากันว่าเวลาว่างจากงานที่ต้องกระทำ ท่านจะนั่งนับลูกประคำที่คล้องคออยู่บริกรรมพระคาถาตลอดเวลา หลวงปู่เป็นคนพูดน้อยไม่ค่อยพูดว่ากล่าวผู้ใด
    หลวงปู่เส็งเป็นสมภารปกครองวัดเรื่อยมา จนกระทั่งอายุ 65 ปีท่านจึงเริ่มทำวัตถุมงคล

    การทำวัตถุมงคลครั้งแรกนั้น ท่านสร้างพระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกของวัดบางนา ในปี พ.ศ.2510 หลังจากสร้างพระผงสมเด็จ 3 ชั้นออกมาแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหาแล้ว ในปีนั้นเองหลวงปู่ก็ทำเหรียญรูปอาร์ม หรือใบเสมาคว่ำเป็นรุ่นแรกออกมาอีก และนับแต่ปี พ.ศ.2510 เป็นต้นมาหลวงปู่เส็งก็สร้างวัตถุมงคลในรูปแบบต่างๆออกมามากมายแทบจะนับ
    รุ่นกันไม่ได้เลยทีเดียว

    หลวงปู่สร้างวัตถุมงคลทุกปีๆหนึ่งสร้าง 2-3 แบบจนกระทั่งท่านมรณภาพในปี พ.ศ.2530 รวมระยะเวลาการทำวัตถุของหลวงปู่เส็ง 20 ปี และวัตถุมงคลของหลวงปู่ทุกรุ่นทุกแบบก็มีผู้เลื่อมใสหามาพกติดตัวและบูชากันมากมาย

    วัตถุุมงคลของหลวงปู่เส็งนั้น ออกไปในทางแคล้วคลาดเมตตามหานิยม และการค้าขายดีเยี่ยม วัตถุมงคลของหลวงปู่เส็งรุ่นนิยมเท่าที่พอลำดับความได้มีดังนี้

    พระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกจัดสร้างปี 2510 ผงที่นำมาสร้างเป็นผงอิทธิเจซึ่งจะโน้มไปในทางเมตตามหานิยม และค้าขาย พระผงสมเด็จ 3 ชั้นรุ่นแรกด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธรูปพระประธานนั่งสมาธิ มีซุ้มครอบแก้วด้านหลังเป็นลายมือเขียนว่า พระครูเส็ง บางองค์เขียนว่า เส็ง และบางองค์ก็เขียนว่า พระครูเส็ง จันทฺรังสี แล้วแต่ว่าหลวงปู่จะเขียนอะไรคำไหน แต่ส่วนใหญ่จะทำเป็นแบบพิมพ์เป็นบล็อคใช้กดลงไปบนหลังพระเวลากดพิมพ์

    เนื้อพระมีทั้งเนื้อน้ำมัน ลักษณะพระจะออกแกร่งมันกับสูตรผสมเนื้อกล้วยพิมพ์ออกมามีทั้งหมด 5 สี คือ สีดำ เหลือง เขียวแดง และ ขาวพอทำเสร็จหลวงปู่ก็ปลุกเสกเดี่ยวแล้วออกแจกจ่ายแก่ญาติโยมที่ไปหาท่าน บางรายนำพระพกติดตัวไปประสบอุบัติเหตุเกิดแคล้วคลาดอย่างเหลือเชื่อกิตติศัพท์พกพระหลวงปู่เส็งแล้วแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุมีบ่อยครั้งมากจนกระทั่งเลื่องลือไปทั่ว

    พุทธคุณพระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกของหลวงปู่เส็งเรื่องแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุเป็นเลิศหลังทำพระผงรุ่นแรกทิ้งช่วงปลายปีท่านก็ทำเหรียญรุ่นแรกออกมาเป็นเหรียญใบเสมาคว่ำมีทั้งเนื้อกะไหล่ทองเงิน
    และทองแดง ด้านหน้าเหรียญเป็นรูปหลวงปู่ครึ่งองค์มีอักษรเขียนว่า อาจารย์เส็ง ด้านหลังเป็นยันต์ใต้ยันต์มีอักษรระบุชื่อวัดบางนา พ.ศ.2510 ปีที่จัดสร้างและพระผงที่ทำออกมานั้นส่วนใหญ่จะบรรจุตะกรุดสาริกาดอกเล็กๆ ไว้ที่ฐานด้วยเพื่อเสริมพุทธคุณ
    การทำพระเครื่องของหลวงปู่เส็งจนถึงปี 2512 หลวงปู่จะเอาพระเครื่องที่ทำออกมาไปปลุกเสกเดี่ยวในอุโบสถ ถ้าเป็นเหรียญท่านจะทำพิธีพุทธาภิเษกนิมนต์พระระดับเจ้าอาวาส ละแวกวัดบางนามา
    เจริญพุทธมนต์ด้วย หลังจากปี 2512 การทำวัตถุมงคลหลวงปู่จะจัดพิธีพุทธาภิเษกในอุโบสถตลอด

    พระผงรุ่นที่โด่งดังมากก็คือ รุ่นขี่หมูซึ่งรุ่นนี้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่เป็นคนจัดสร้างขึ้นมานำไปให้หลวงปู่ทำพิธีพุทธภิเษกแล้วก็มอบพระให้หลวงปู่ไว้จำนวนหนึ่ง บรรดานักเล่นพระนิยมกันมาก

    สำหรับวัตถุมงคลรูปแบบต่างๆ นั้นครั้งแรกหลวงปู่จัดสร้างหมูทองแดงในปี 2522 สาเหตุการจัดทำหมูทองแดงของหลวงปู่เส็งนั้นสืบเนื่องมาจากในตำนานกล่าวกันว่าหมูทองแดงตามป่าเขาที่เป็นหมูเขี้ยวตันนั้นปืนยิงไม่เข้าหลวงปู่ก็เลยคิดทำวัตถุมงคลเป็น
    หมูทองแดงเขี้ยวตันขึ้นมา เล่ากันว่าระหว่างที่หลวงปู่ปลุกเสกหมูทองแดงร่วมกับพระที่ี่นิมนต์มาเจริญพุทธมนต์อยู่ในโบสถ์นั้นมีชาวบ้านเห็นหมูวิ่งเข้าไปในโบสถ์ขณะที่พระสงฆ์กำลังปลุกเสกวัตถุมงคลอยู่ทั้งๆที่รอบโบสถ์ด้านนอกปิดกั้นอย่างดีไม่ให้
    ใครเข้าไปรบกวนสมาธิขณะที่พระสงฆ์กำลังเจริญพระพุทธมนต์ และบริกรรมปลุกเสก

    วัตถุมงคลหลังเสร็จพิธีคนที่พบเห็นเข้าไปบอกหลวงปู่ ท่านก็เฉยๆ แถมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีท่านไม่ได้พูดอะไรแต่รับฟังเอาไว้ ครั้นเมื่อทำหมูทองแดงออกมาแจกกันเป็นที่ฮือฮาพอสมควรหมูทองแดงที่สร้างนั้นเป็นเนื้อทองแดงผสมโลหะ มีหมูทองแดงตัวใหญ่และเล็กข้างลำตัวซ้ายมีอักษรเขียนว่า วัดบางนา ปทุมธานี ข้างลำตัวด้านขวาเป็นอักขระขอมมียันต์ที่โคนขาทั้ง 4 ลักษณะเป็นหมูป่าเขี้ยวตัน และในปี 2524 หลวงปู่เส็งได้จัดสร้าง ทำหมู 7 หัวขึ้นมาเป็นลักษณะหมูป่าเขี้ยวตัน คู้ขาหมอบที่เรียกว่า 7หัวนั้นหมายถึงหัวของปลัดขิกที่ทำไว้ตามลำตัวมี 7 แห่ง คือที่หัว หาง ที่เพศและที่ปลายเท้าทั้งสี่ข้าง เป็นเนื้อทองแดงผสมโลหะ ข้างลำตัวด้านซ้ายระบุปีพ.ศ.ที่จัดสร้างคือปี 2524 นอกจากนี้หลวงปู่เส็งได้ทำหมูจัมโบ้ ขนาดใหญ่ออกมาอีก 1 รุ่นหมูทองแดงรุ่นแรกทำออกมาแค่ 2,500 ตัวเท่านั้นพุทธคุณไปในทางแคล้วคลาดและค้าขาย

    หลังจากทำหมูทองแดงออกมาหลวงปู่ก็จัดทำครุฑทองแดงซึ่งครุฑเป็นสัตว์ที่มีอำนาจ จัดทำพิธี
    พุทธาภิเษกในโบสถ์มีพระอาจารย์มาร่วมบริกรรมพุทธคุณอีก 10 รูป ครุฑทองแดงด้านหลังเขียนว่า หลวงปู่เส็ง วัดบางนาปทุมธานี 2522 สลับกับอักขระขอมประสบการณ์มีผู้นำติดตัวไปแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุทางรถ และทางเรืออีกทั้งยังป้องกันภัย จากงูเงี้ยวเขี้ยวขอดีนัก

    ต่อมาหลวงปู่จัดสร้างรูปเหมือนหนุมานเหตุผลที่จัดทำนั้นท่านถือว่าหนุมานเป็นลิงประจำปีวอกและด้วยหนุมานเองก็เป็นศิษย์ของพระนารายณ์
    ์มีอานุภาพฤทธิ์เดชมากมาย ที่จัดทำไว้มีเนื้อกะไหล่เงินและทองแดง ไม่ระบุปีจัดสร้างจาก หมู ครุฑ หนุมาน ต่อมาท่านก็สร้างพญาเต่าเลือนเนื้อทองแดงผสมโลหะแล้วจัดสร้างหงส์ทอง หงส์เงิน อีก 1 ชุด เนื้อกะไหล่ทองและกะไหล่เงินทำเพื่อเป็นที่ระลึกว่าวัดบางนานั้นเป็นวัดที่ชาวรามัญสร้างขึ้นมา

    นอกจากวัตถุมงคลรูปแปลกๆ แล้วหลวงปู่ยังสร้างพระกริ่งรูปเหมือนท่าน มีทั้งแบบหลังตรงและหลังค่อม เนื้อทองแดงผสม สร้างพระปิดตาเนื้อทองเหลืองผสม สร้างเหรียญรูปไข่ รุ่นขี่วัวเนื้อทองแดงผสม สร้างเหรียญจอบรูปหลวงปู่มีทั้งจอบเล็กและจอบใหญ่ สร้างเหรียญหยดน้ำเนื้อทองแดงผสมสร้างรูปหล่อเนื้อผงปิดทอง ที่กล่าวมานี้เป็นวัตถุมงคลรุ่นเก่าๆที่หลวงปู่สร้างขึ้นมา

    ส่วนรุ่นใหม่ๆ ก็มีหลายสิบแบบมีทั้งนางกวักพระผงพิมพ์สมเด็จ พระผงปิดตา เรียกว่าการจัดทำวัตถุมงคลของหลวงปู่เส็งนั้นมากมายจริงๆ ถ้าหากวัตถุ มงคลใดไม่ระบุพ.ศ. เอาไว้แทบจะไม่ทราบกันเลยว่าหลวงปู่จัดสร้างในพ.ศ.อะไรเพราะไม่มีการบันทึกเอาไว้ และก็ทำออกมามากแบบ สำหรับเงินรายได้ที่ มีผู้นำมาบริจาคหรือเช่าวัตถุมงคลนั้น หลวงปู่นำเงินไปสร้างวัดวังหิน อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี

    ส่วนหนึ่งอีกส่วนหนึ่งท่านก็ทำนุบำรุงหมู่กุฏิเสนาสนะ
    วัดบางนาที่ชำรุดทรุดโทรมให้ดีขึ้น สาเหตุที่หลวงปู่ไปสร้างวัดวังหินอีกแห่งหนึ่งนั้นก็เนื่องจากท่านเห็นว่าสมัยนั้นชาวบ้านยากจนมากถิ่นที่อยู่ก็ทุรกันดารเป็นแหล่งหลบซ่อนของเหล่าเสือปล้นหลวงปู่เกรงว่า
    ชาวบ้านและลูกหลานจะมีนิสัยดุร้ายกันไปหมดจึงไปสร้างวัดให้เพื่อบรรเทาจิตใจให้ร่มเย็นลงบ้างเพื่อให้ธรรมะได้เข้าถึงจิตใจลูกหลานและผู้ที่คิดกลับตัวกลับใจหันมาบวชเรียนทำให้ผู้คนมีศีลธรรมขึ้น

    พอท่านสร้างวัดวังหินเสร็จวันที่ 21 มกราคม พ.ศ.2531 หลวงปู่เส็งผู้ที่เป็นประดุจเทพเจ้าของชาวรามัญย่านวัดบางนาก็ถึงแก่มรณภาพลงรวมอายุได้ 87 ปี

    ท่านสิ้นลมอย่างสงบที่โรงพยาบาลคุ้มเกล้า ตึกคุ้มเกล้าครั้นเมื่อหลวงปู่มรณภาพลงท่านพระครูอนุกูลศาสนกิจหรือหลวงพ่อแสวง ก็ขึ้นเป็นสมภารแทนท่านก็ทำนุบำรุงวัดเอาวัตถุมงคลหลวงปู่เส็งมาจำหน่ายจ่ายแจกรายได้สร้างวัดยุคของหลวงพ่อแสวง เป็นยุคของการพัฒนาวัดอย่างจริงจังไม่มีการออกวัตถุมงคลจะมีออกเหรียญรูปไข่ในงานฉลองสมณศักดิ์ของหลวงพ่อแสวงที่ได้เลื่อนเป็นพระครูชั้นโทเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ปี 2535 เสร็จสิ้นงานฉลองไม่นานหลวงพ่อแสวงก็มรณภาพเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ปลายปีนั้นเอง รวมอายุ 70 ปี

    เมื่อสิ้นหลวงพ่อแสวงพระอธิการยงยุทธ ยโสธโร ก็ขึ้นเป็นสมภารปกครองวัดสืบมาจนทุกวันนี้วัดบางนาตั้งอยู่ในเขตตำบลบางโพธิ์เหนือ หมู่1 อำเภอสามโคก หน้าวัดติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ไปวัดบางนาและไปกราบศพหลวงปู่เส็งที่ไม่เน่าไม่เปื่อยในโลงแก้วทางวัดสร้างวิหารติดริมแม่น้ำไว้เก็บสรีระของหลวงปู่เป็นสัดส่วนให้ไปขอพรขอโชคลาภจาก
    หลวงปู่

    เว็บนิตยสารมงคลโสฬส

    เหรียญหลวงปู่เส็งวัดบางนาปี2527
    หลวงปู่เส็ง ท่านเป็นพระเถระเชื้อสายรามัญ สืบทอดวิทยาคมจากหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ท่านจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นหลายอย่างทั้ง หมูทองแดง ครุฑ ตะกรุด ผ้ายันต์ ฯลฯ มีประสบการณ์ในหลายด้านทั้งคงกระพัน แคล้วคลาด ตลอดจนเมตตาโชคลาภ หมูตะกั่วอาบทองแดงพิมพ์เล็กรุ่นแรก หลวงปู่เส็ง วัดบางนา ท่านจัดสร้างขึ้นเมื่อปี ๒๕๒๑ มีสองแบบคือแบบพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็กจำนวนการสร้างไม่มากนักองค์นี้เป็นแบบพิมพ์เล็กสภาพสวยครับ
    การสร้างหมูทองแดงของหลวงปู่เส็ง จันทรังสี แห่งวัดบางนานั้น สาเหตุมาจากที่หลวงปู่เส็งท่านเป็นพระที่มีเมตตาจิตสูง ในกุฏิของท่านจึงเต็มไปด้วยหมาและแมวเป็นจำนวนมาก ในราวปี พ.ศ. ๒๕๑๕-๒๕๑๖ หลวงปู่เส็งท่านได้เลี้ยงหมูไว้หนึ่งตัว อันที่จริงหมูตัวนี้ก็มีบุญดี ที่ได้มาอยู่กับหลวงปู่ เพราะหมูตัวนี้ถูกคนนำเอาไปทิ้งน้ำ หวังจะให้ตาย แต่เดชะบุญที่หมูไม่ตายลอยน้ำมากับผักตบชวา ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงท่าน้ำของวัด ผู้คนได้ยินแต่เสียงร้องจึงมาพบและได้ช่วยชีวิตเอาไว้ จากนั้นจึงนำมาให้หลวงปู่เส็ง ท่านได้เลี้ยงหมูตัวนั้นไว้ ชั่วระยะเวลาไม่ถึงปีหมูก็โตอ้วนอย่างสมบูรณ์ กินนอนอยู่ข้างกุฏิหลวงปู่เส็งตลอดมา จนมาถึงประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๑ หมูจึงตายลง ญาติโยมบริเวณวัดก็มาช่วยกันนำหมูตัวนั้นออกไปจากวัด โดยไม่ได้แจ้งให้หลวงปู่เส็งรับทราบ เพราะคิดว่าเป็นสัตว์ที่ตายแล้ว จากนั้นจึงนำไปแล่เนื้อด้วยคนประมาณ ๓-๔ คนที่หามออกไป แต่ทว่าน่าแปลกประหลาดตรงที่ว่า เพราะเหตุใดหมูจึงแล่ไม่เข้า จะสับหรือจะฟันอย่างไรก็ยังคงอยู่ในสภาพปรกติ ผู้คนเหล่านั้นจึงมากราบเรียนบอกหลวงปู่เส็งให้ทราบ เมื่อหลวงปู่เส็งได้รับทราบแล้วท่านจึงอนุญาติให้กลับไปแล่เนื้ออีกครั้งหนึ่งและปรากฎว่าได้แล่เนื้อหมูตัวนั้นได้ หมูที่ท่านหลวงปู่เส็งได้เลี้ยงไว้นี้เกิดเขี้ยวงอกยาวออกมาและปรากฎว่าเป็นเขี้ยวตัน จึงเป็นแรงดลใจให้หลวงปู่เส็งคิดค้นตำราการสร้างหมูทองแดงเขี้ยวตัน ท่านจึงได้ให้ลูกศิษย์และฆราวาสศึกษารูปแบบ ถ่ายแบบจากหมูป่าจริงๆ เพื่อนำมาถอดรูป ทำแบบเป็นหมูทองแดงเขี้ยวตัน เมื่อใส่รูปแบบที่ถูกต้องตามลักษณะของหมูป่าแล้ว หลวงปู่เส็งท่านจึงได้ลงแผ่นทองสามกษัตริย์ และวัตถุมงคลอื่นๆ ให้ช่างแกะพิมพ์และหล่อออกมา เป็นรูปหมูทองแดงตามรูปลักษณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

    คาถาโภคทรัพย์หลวงปู่เส็ง

    ตั้งนะโมฯ 3 จบ

    อิ สะ วา สุ สุ สะ วา อิ นะมะพะทะ

    จะ ภะ กะ สะ นะโมพุทธายะ นะชาลีติ

    จันทะรังสี เอ สะ มะ สุ อิทธิฤทธิ ภะวันตุเม

    ใช้ไปในทางติดต่อเจรจา ค้าขาย เป็นโชคลาภ และในขณะที่ท่านนำเหรียญหลวงปู่เส็งติดตัวไปด้วย ก่อนออกจากบ้านหรือเดินทาง จะต้องอาราธนาว่าคาถาโภคทรัพย์ก่อน

    พุทธคุณเด่นในด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัยพุทธคุณจึงแรงมากๆๆๆ และมีประสบการณ์สูงมาก จึงเหมาะมากสำหรับผู้ที่อยากให้ตำแหน่งหน้าที่การงานเจริญเติบโตก้าวหน้า หรือ ผู้ที่มีใจใฝ่ทางด้านการเสี่ยงโชคลาภทุกชนิด ควรมีไว้บูชาพกพาติดตัวไว้เป็นอย่างเนืองนิจ ทั้งผู้ที่นิยม และศรัทธา รวมไปถึงผู้นำ นักการปกครอง ผู้บังคับบัญชา หรือ นักบริหารทุกระดับชั้น ข้าราชการทุกตำแหน่ง ทุกประเภทไม่ว่าชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้น้อย นายทหารทุกเหล่าทัพ (โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติภารกิจอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) ตำรวจ ครูบาอาจารย์ นักพูด นักขาย (ที่ต้องหายอดลูกค้า) นักเจรจา ดารา นักร้อง นักแสดง ผู้ที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นทุกประเภท นักกีฬาทุกประเภท นักทำมาหากินทุกประเภท มนุษย์เงินเดือน ผู้ที่ต้องแข่งขันกับผู้อื่น ไม่ว่าทั้งโดยตรง หรือโดยอ้อม พ่อค้า แม่ค้า ประชาชนทั่วไป ก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน ควรมีไว้บูชาเป็นอย่างยิ่ง

    พุทธคุณแรงเกินราคา คุ้มค่ามากๆๆๆ กับความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน การมีชื่อเสียง ตำแหน่งที่สูงขึ้น การมีโชคลาภขั้นสูง มหาเสน่ห์ มหานิยมที่รุนแรง การชนะเหนือคู่แข่งขันทั้งหลาย ฯลฯ เป็นต้น
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    หลวงพ่อเส็งวัดบางนาปี 2527 ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240212_000744.jpg IMG_20240212_000725.jpg
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    FB_IMG_1707674627335.jpg


    ประวัติของหลวงพ่อพยุง สุนฺทโร วัดบัลลังก์ อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี ตอนที่ ๑. ปฐมวัย หลวงพ่อท่านมีนามเดิมว่า พยุง เกตุประทุม ท่านเป็นชาวสุพรรณบุรีโดยกำเนิด ท่านเป็นบุตรของ นายเจิม นางปั่น เกตุประทุม ตามหลักฐานที่บันทึกไว้ในสมุดข่อยซึ่งน่าจะเป็นลายมือของบิดาท่านได้บันทึกไว้ว่า ท่านเกิดเมื่อ วันศุกร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะแม พ.ศ.๒๔๗๔ ที่บ้านปู่เจ้า อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี (แล้วย้ายมาทำนาที่บ้านห้วยมะซาง)แต่เมื่อตรวจสอบทางปฏิทิน ๑๐๐ ปีแล้ว ในปี ๒๔๗๔ นั้น ไม่มีวันศุกร์ที่ตรงกับขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๗ เลย แต่ไปปรากฏอยู่ในปีถัดไปคือ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ปี ๒๔๗๕ ตรงกับ วันศุกร์ ขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๗ ตามหลักฐานการเกิดของท่าน หลวงพ่อท่านมีพี่น้องรวมกัน ๗ คน คือ ๑.นายน้อม พลอยสุข ๒.นางน่วม เกตุประทุม ๓.นางเนี่ยม จันทนา ๔.นางละออง เกตุประทุม ๕.หลวงพ่อพยุง สุนฺทโร ๖.นายประคอง เกตุประทุม ๗.นายสุรินทร์ พลอยสุข วัยเด็กของท่านนั้น ท่านเป็นคนสุภาพ ใฝ่รู้ ขยันหมั่นเพียร ตื่นแต่เช้า ทำอะไรทำจริงเมื่อท่านตั้งใจทำงานอะไรแล้วถ้าไม่เสร็จจะไม่ยอมเลิกเด็ดขาด ท่านมีความอดทนไม่หวั่นต่ออากาศร้อนหนาว จึงเป็นที่รักใคร่ของบิดามารดาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถึงเกณฑ์ที่เข้ารับการศึกษาบิดาจึงส่งเข้าเรียนที่โรงเรียนวัดบัลลังก์ แต่เรียนได้แค่ ป.๓ คืออายุได้ ๙ ปี ในช่วงปิดเทอมในเดือน เมษายน ท่านไปเลี้ยงควายกับนางโน้มพี่สาวของท่าน ช่วงเย็นระหว่างกลับบ้านท่านขี่หลังควายมาด้วย อาจเป็นเพราะว่าเหนื่อยจากการตากแดดตากลมและตื่นแต่เช้าด้วย ทำให้ท่านเพลียจึงหลับมาบนหลังควาย เมื่อควายข้ามคันนา ท่านจึงตกจากหลังควายทำให้ช้ำใน นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาท่านจึงเป็นโรคหอบหืดอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอากาศหนาวๆอาการจะกำเริบจนไม่ได้หลับได้นอนเพราะหายใจไม่ออก จึงไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้อีก แต่บิดาของท่านมีความรู้เกี่ยวกับการรักษาด้านสมุนไพรและคาถาอาคม ตลอดทั้งอักระเลขยันต์และการทำนาย เห็นว่าบุตรชายมีความสนใจเรียนจึงถ่ายทอดวิชาต่างๆให้ โดยเฉพาะวิชาการทำนายแบบ จันทกลา คือการดูลมหายใจเข้าออกแบบวิปัสสนาณาณ ท่านจะสนใจเป็นพิเศษ ท่านเล่าว่าการเพ่งดูลมหายใจเข้าออกนี้ทำให้จิตเป็นสมาธิและเข้าสู่ฌาณได้เร็ว ท่านทำเป็นปกติไม่ว่าจะอยู่ในอริยาบทใด ท่านเล่าว่าไปเลี้ยงควายก็ปล่อยให้มันกินหญ้าไปส่วนเราก็นั่งสมาธิดูลมกายใจไปจนจิตนิ่งสงบมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งหลับตาและลืมตา ท่านจึงลองเพ่งกิ่งไม้มะซางที่ห้อยลงมาแล้วพิจารณา เมื่อเราจะตัดกิ่งไม้นั้นให้ขาดเราเพ่งดูแล้วนึกว่าขาด กิ่งไม้นั้นก็ขาดทันที ทำให้อัศจรรย์ในสมาธิเป็นอย่างยิ่ง เมื่อจิตถึงจุดนี้แล้วทำให้มีความศรัทธาในพระรัตนตรัยเป็นอย่างยิ่ง จึงตั้งความปรารถนาว่าจะบวชให้จงได้ แต่เนื่องจากตัวท่านไม่แข็งแรงด้วย และต้องช่วยทางบ้านด้วยจึงไม่สามารถออกบวชได้ในขณะนั้น อีกประการหนึ่งครอบครัวของท่านก็ชอบทำบุญให้ทานรักษาศีลอยู่เนืองนิจ ฝึกหัดอยู่ที่บ้านนั้นเอง จึงนับได้ว่าท่านเกิดในตระกูลที่ดี เป็นสัมมาทิฏฐิ ทั้งครอบครัว..สมดังมงคลข้อที่ว่า ปฏิรูปเทสวาโส นั่นเอง....โปรดติดตามตอนต่อไปนะ
    ..ประวัติของหลวงพ่อพยุง สุนทโร ตอนที่ ๒ อุปสมบท หลังจากช่วยงานบิดามารดาและศึกษาวิชาความรู้จากบิดาด้วยความเอาใจใส่อยู่เป็นนิจตามปกตินิสัยของท่านแล้ว เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีจึงขออนุญาติบิดามารดาไปบวช ตามความตั้งใจเดิมที่มีมาตั้งแต่เด็ก นายเจิมและนางปั่น เกตุประทุม ผู้เป็นบิดามารดา มีความยินดีเป็นยิ่งนัก จึงไปปรึกษากับเจ้าอาวาสวัดหนองหลวง เรื่องการบวชและเดินทางไปนิมนต์พระครูศรีคณานุรักษ์(หลวงพ่อสม คงฺคสุวณฺโณ)พระอุปัชฌาย์ วัดดอนบุพผาราม อ.ศรีประจันต์ เพื่อกำหนดวันบวช สมัยนั้ยหนทางสัญจรไปมาลำบาก ถ้าไม่เดินก็ต้องใช้วัวเทียมเกวียน และพระอุปัชฌาย์ก็มีอยู่เพียงรูปเดียวคือหลวงพ่อสมเท่านั้น จะจัดงานบวชแต่ละครั้งก็ต้องบวชพร้อมกันหลายองค์ เพราะวัดพระอุปัชฌาย์อยู่ไกลไปมาลำบาก ไม่สะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน เมื่อกำหนดวันบวชแล้วจึงนำท่านไปฝากวัดเพื่อฝึกหัดท่องขานนาคและดูอุปนิสัย ท่านเล่าว่าการบวชในสมัยนั้นต้องท่องขานนาคให้ได้ด้วยตนเอง เพราะเวลาบวชไม่มีใครสอน ไม่ได้บอกไม่ได้สอนกันทีละคำเหมือนสมัยนี้ ใครท่องไม่ได้พระอุปัชฌาย์ก็ไม่บวชให้ ดังนั้นผู้ใดจะบวชต้องมีศรัทธาและความเพียรอย่างจริงจัง ในปีนั้นมีนาคที่จะบวชในคราวเดียวกัน ๒๐ องค์ เมื่อถึงกำหนดท่านจึงอุปสมบทในวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๔ ณ.วัดหนองหลวง อ.สามชุก (ปัจจุบันอยู่ในเขตอ.หนองหญ้าไซ) โดยมีพระครูศรีคณานุรักษ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาผล วัดพังม่วง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดเตี้ยม อาภสฺสโร วัดดอนบุพผาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายานามว่า สุนฺทโร เมื่อบวชแล้วท่านจึงเดินทางไปจำพรรษาที่วัดปู่เจ้า อ.ศรีประจันต์ อันเป็นบ้านเกิดและเป็นบ้านมารดาของท่าน อีกทั้งญาติพี่น้องก็อยู่อาศัยที่บ้านปู่เจ้ากันมาก....โปรดติดตามตอนต่อไป
    ประวัติหลวงพ่อพยุง สุนฺทโร ตอนที่ ๓ หลังจากบวชแล้วท่านมีความปรารถนาที่จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้ถึงมรรคผลนิพพานในชาตินี้จึงมุ่งมั่นฝึกฝนตนเองตามธรรมวินัย แต่เนื่องจากไม่มีพระที่ชำนาญในด้านนี้โดยตรง เจ้าอาวาสเห็นความตั้งใจของท่านที่เด็ดเดี่ยวจริงจังจึงแนะนำให้ไปศึกษาวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อสด ที่วัดปากน้ำ เมื่อออกพรรษาที่วัดปู่เจ้าแล้วปลายปี พ.ศ.๒๔๙๕ จึงกราบลาเจ้าอาวาสเพื่อเดินทางไปศึกษาวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อสด จนฺทสโร วัดปากน้ำภาษีเจริญ เมื่อกราบเรียนจุดประสงค์ให้หลวงพ่อสดทราบแล้ว ท่านมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่คนบ้านเดียวกันมีความสนใจ จึงได้แนะนำด้วยความเมตตา เมื่อฝึกหัดตามแนวทางของหลวงพ่อสดได้แล้วสภาวจิตของท่านก็เข้าสู่สมาธิได้เร็วยิ่งขึ้น จนสำเร็จวิชาธรรมกายดังใจหวัง เมื่อกราบเรียนความเป็นไปของจิตที่ปฏิบัติมาให้หลวงพ่อสดทราบ ท่านก็กล่าวชืนชมอย่างมีเมตตาว่า" เออ..ท่านพยุงนี่มีความตั้งใจดี เอาล่ะใช้ได้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งของญาติโยม" เมื่อพิจารณาคำของหลวงพ่อสดแล้ว สามารถตีความได้สองนัยคือ ๑.หลวงพ่อสดท่านชื่นชมในความตั้งใจที่ปฏิบัติจริง ๒.หลวงพ่อสดท่านเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าว่าท่านจะบวชไม่สึกจึงพยากรณ์ว่าจะได้เป็นที่พึ่งของญาติโยม ดังนี้ เมื่อเรียนวิชาธรรมกายจนได้ผลเป็นที่พอใจแล้วจึงกราบลาเจ้าหลวงพ่อสดกลับไปยังวัดปู่เจ้าอีกครั้งหนึ่ง รวมเวลาที่ท่านได้ศึกษาอยู่กับหลวงพ่อสดที่วัดปากน้ำเป็นเวลา ๔ เดือน....
    ประวัติ หลวงพ่อพยุง สุนฺทโร ตอนที่ ๔ ในปีพ.ศ.๒๔๙๘ อันเป็นพรรษาที่ ๕ ทางวัดบัลลังก์ขาดพระคอยดูแลเพราะพระพร มุนินาโภ เจ้าอาวาสได้ลาสิกขาไป ญาติโยมจึงพร้อมใจกันไปกราบอาราธนานิมนต์หลวงพ่อซึ่งขณะนั้นอยู่ที่วัดปู่เจ้า ให้มาช่วยดูแลวัดบัลลังก์เพื่อโยมจะได้มีโอกาสทำบุญตักบาตรสืบต่อไป สภาพวัดบัลลังก์ในขณะนั้นมีเพียงแท่นหินศิลาแลงที่ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่มาของการสร้างวัดอยู่ในเพิงเล็กๆ กับศาลาดินและกุฏิมุงแฝกเพียงสองหลังเท่านั้น เมื่อท่านมาอยู่ก็เริ่มพัฒนาวัดขึ้นเรื่อยๆ วัดในถิ่นทุรกันดารอย่างวัดบัลลังก์นั้นยากที่จะหาพระมาอยู่ได้เพราะไม่มีเอกลาภอะไร มีเพียงอาหารบิณฑบาตรที่พอฉันเพียงวันละมื้อเท่านนั้น ซึ่งท่านก็มีความพึงพอใจเพราะท่านถือธุดงควัตรเป็นประจำอยู่แล้วจึงไม่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติแต่อย่างใด แต่น้ำที่จะใช้และฉันนั้นต้องเดินไปตักที่บ่อของบ้านโยมซึ่งอยู่ไกล บางครั้งญาติโยมก็ตักหาบมาใส่โอ่งไว้ให้ใช้ที่วัด น้ำในสมัยนั้นจะดื่มจะใช้ต้องประหยัดเพราะหายาก พอถึงหน้าฝนก็ต้องรองน้ำฝนไว้ใช้ แต่ท่านก็ไม่ท้อถอยยังคงรักษาปฏิปทาการปฏิบัติไว้อย่างมั่นคง ถึงกระนั้นท่านก็ยังรักการศึกษา และเรียนรู้สิ่งต่างๆอีกมากมาย เมื่อได้ยินข่าวว่ามีครูบาอาจารย์ที่ไหนดีก็สนใจที่จะไปศึกษาธรรมด้วย เช่นเดียวกันในถิ่นแถบนั้นพระที่มีชื่อเสียงที่สุดของสุพรรณบุรีก็คือพระครูสุวรรณวุฒาจารย์(หลวงพ่อมุ่ย)วัดดอนไร่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดบัลลังก์มากนัก ท่านจึงเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อศึกษาวิชาอาคมจากหลวงมุ่ย ในเบื้องต้นท่านให้ท่องสาธยายบทสวดมนต์สูตรต่างๆทั้งสิบสองตำนานและเจ็ดตำนาน ซึ่งท่านก็ท่องได้หมดแล้วหลวงพ่อมุ่ยจึงให้สวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร อนัตตลักขณสูตร อาทิตตปริยายสูตร สติปัฏฐาน มหาสมัย คิริมานนท์ และสูตรต่างๆจนกระทั่งสวดพระปาฏิโมกข์จนคล่องแคล่วชำนาญในการสวดมนต์ เรื่องนี้เด่นชัดมากในยุคหลังเพราะพระที่บวชรุ่นหลังในวัดบัลลังก์นั้นไม่มีใครสวดมนต์เก่งเท่าหลวงพ่อได้เลยเพราะท่านสวดได้ทุกบท เมื่อสวดได้แล้วหลวงพ่อมุ่ยจึงให้เรียนอักขระเลขยันต์ ต่างๆในคำภีร์สมุดข่อยและสมุดไทยดำ ตลอดทั้งวิธีการลบผง การปลุกเสกพระ และการทำนายทายทักต่างๆ ทุกอย่างต้องใช้สมาธิจนจิตสงบถึงฌานเป็นหลักจึงจะสามารถทำได้ แต่การไปศึกษากับหลวงพ่อมุ่ยนั้นไม่ได้ไปค้างแรมจำพรรษาเหมือนที่ผ่านมา เพราะท่านมีหน้าที่ต้องดูแลวัดบัลลังก์ด้วย เมื่อได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อมุ่ยแล้วก็จะมาฝึกหัดทำที่วัดบัลลังก์ จนเกิดผลเป็นที่พอใจ จึงจะไปกราบเรียนให้หลวงพ่อมุ่ยทราบ เมื่อหลวงพ่อมุ่ยเห็นความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวและจริงจังของท่านแล้ว จึงมอบตำราสมุดข่อยและสมุดไทยดำอันเป็นมรดกสืบทอดมาแต่โบราณกาลให้ท่านมาศึกษาเพิ่มเติม อีกทั้งอุปนิสัยใจคอของท่านนั้นก็คล้ายกับหลวงพ่อมุ่ยยิ่งนัก คือท่านเป็นพระพูดน้อย มีความสำรวมอินทรีย์เป็นอย่างยิ่ง ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามท่านว่าทำไมหลวงพ่อไม่ค่อยพูดเลย ท่านตอบว่า "สมัยเป็นฆราวาสพูดมาเยอะแล้วเป็นพระจึงไม่อยากพูด เอาเวลาไปสวดมนต์ดีกว่า" เพราะการไปศึกษากับหลวงพ่อมุ่ย จนมีความสนิทคุ้นเคยฉันท์ศิษย์กับอาจารย์แล้วเมื่อทางวัดบัลลังก์ขาดสิ่งใดหลวงพ่อมุ่ยก็จะเมตตาช่วยเหลือทุกอย่าง แม้กระทั่งกุฏิ หลวงพ่อมุ่ยก็ยังเมตตาเอาไม้มาสร้างให้หลังหนึ่งด้วย และเวลาท่านผ่านมาทางวัดบัลลังก์ก็มักแวะเยี่ยมเยียมเสมอซึ่งก็มีบ่อยครั้งที่หลวงพ่อมุ่ยมาพักค้างคืนอยู่ที่วัดบัลลังก์ด้วย .....โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้
    ประวัติหลวงพ่อพยุง สุนฺทโร ตอนที่ ๖ ตั้งแต่หลวงพ่อพยุง สุนฺทโร ได้มาอยู่ที่วัดบัลลังก์ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ นั้นท่านก็พัฒนาวัดเรื่อยมา พร้อมกับศึกษาวิทยาคมกับหลวงพ่อมุ่ยไปด้วย จนถึงปี พ.ศ.๒๕๐๕ ท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นต้นมา จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ท่านดำริที่จะสร้างศาลาการเปรียญ จึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาหลวงพ่อมุ่ย ผู้เป็นอาจารย์ หลวงพ่อมุ่ยท่านว่างานนี้เป็นงานใหญ่ ต้องใช้เงินจำนวนมากและเวลานาน ควรที่จะสร้างวัตถุมงคลไว้บ้างเพื่อเป็นของที่ระลึกให้กับผู้มีศรัทธา ดังนั้นท่านจึงทำพิมพ์พระสมเด็จปรกโพธิ์ขึ้นมา ในปีนั้นเมื่อหลวงพ่อมุ่ยได้เดินทางไปกิจนิมนต์ที่ตลาดหนองหญ้าไซ เวลากลับได้ มาพักค้างแรมที่วัดบัลลังก์ จึงได้แนะนำวิธีการลบผงสูตรต่างๆให้เป็นการเพิ่มเติม ซึ่งขณะนั้น คุณลุงสนิท พลอยสุข ได้บวชอยู่กับหลวงพ่อ จึงได้อุปฐากรับใช้หลวงพ่อมุ่ยด้วย วิชาที่หลวงพ่อมุ่ยแนะนำในวันนั้นคือวิชาทำ นะปัดตลอด หลวงพ่อมุ่ยเขียนตัวนะที่ฝ่ามือแล้วเป่าพ้วงเดียวนะทะลุไปถึงหลังมือของท่านเลยทีเดียว แล้วท่านก็ให้หลวงพ่อพยุงหัดทำบ้าง ซึ่งท่านก็ทำได้ในเวลาเพียงคืนเดียวเท่านั้น หลังจากฉันเช้าแล้วหลวงพ่อมุ่ยก็เดินทางกลับวัดดอนไร่ เมื่อสำเร็จวิชานะปัดตลอดแล้วท่านจึงได้ลบผงตามแบบอักขระเลขยันต์ในสมุดข่อยที่หลวงพ่อมุ่ยมอบให้มา และหามวลสารเพิ่มเติมจนเพียงพอแล้วจึงได้สร้างพระขึ้นมาเป็นรุ่นแรกของท่านเรียกว่า"สมเด็จปรกโพธิ์" ซึ่งสร้างเพียงแค่ ๕๐๐ องค์เท่านั้น ในภาพนี้ถ่ายเมื่อมองไปที่ด้านหลังพระจะเห็นหมู่กุฏิอยู่ หลังแรกที่เห็นนั้นแหละเป็นไม้ที่หลวงพ่อมุ่ยมอบให้มาสร้าง นับเป็นความเมตตาอย่างหาที่สุดไม่ได้ แม้ปัจจุบันผุพังไปแล้ว แต่ความเมตตาของหลวงพ่อมุ่ยก็ยังคงจารึกอยู่ในใจของหมู่ศิษย์หลวงพ่อตลอดมา ส่วนโยมที่นั่นอยู่ด้านหน้าหลวงพ่อพยุงนั้น คือนายเจิม เกตุประทุม บิดาของหลวงพ่อนั่นเอง จากการที่ท่านเป็นคนจริงทำอะไรก็ทำจริงท่านจึงทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจในการพัฒนาวัดคู่กับการปฏิบัติเรื่อยมา จะเห็นได้ว่าท่านผ่ายผอมมาก แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังคงรักษาความเพียรคือการเดินจงกลม หลังจากทำวัตรเช้าหรือเย็นแล้วต้องนำพาพระเณรนั่งกรรมฐานอย่างน้อย ๑ ชั่วโมง เป็นต้น บางครั้งนั่งถึงเที่ยงคืนก็มี เรียกว่างานหลวงไม่ขาด งานราฏษ์ไม่เสียเลย....โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้
    เรื่อง....หลวงพ่อปราบผี
    เรื่ิองที่จะเล่าให้ท่านทั้งหลายได้ฟังนี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๖ ซึ่งในขณะนั้น อาตมาอายุ ๑๔ ปี ในปีนั้นมีพระจำพรรษา ๑๐ กว่ารูป สามเณรมี ๒ องค์ คืออาตมาและสามเณรหัส เดิมทีอาตมามีความศรัทธาหลวงพ่ออยู่แล้ว เพราะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของท่านมาจากบิดา ของอาตมาเอง ซึ่งแกจะเล่าเรื่องของหลวงพ่อให้ฟังมาตั้งแต้ยังเด็ก คล้ายนิทานที่ผู้ใหญ่เล่าให้เด็กฟังก่อนนอน เรื่องที่แกเล่าให้ฟังนั้นส่วนมากเป็นเรื่องในสมัยที่แกบวชอยู่จำพรรษา กับหลวงพ่อที่วัดบัลลังก์ โดยแกเล่าให้ฟังถึงปฏิปทา และอิทธิปาฏิหารของหลวงพ่อให้ฟังอยู่เป็นประจำ แต่อาตมาไม่เคยเห็นกับตาเลยสักครั้ง จนได้มาบวชอยู่กับท่าน จึงได้เห็นปฏิปทาของท่าน ว่าเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ตามที่โยมบิดาเล่าให้ฟังทุกประการ และในปีนั้นเอง อาตมาได้เห็นอิทธิฤทธิ์ ในพลังจิต และวิชาอาคมของท่านอย่างแท้จริง

    เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยนั้นจะมีญาติโยมเดินทางมาหาหลวงพ่อเป็นประจำ เรียกว่าไม่ขาดสาย เลยในแต่ละวัน ซึ่งหลวงพ่อท่านก็จะนั่งพับเพียบต้อนรับสาธุชนที่เดินทางมากราบนมัสการ อยู่ที่กุฏิหลังเก่า ซึ่งกุฏิหลังนี้ ท่านอยู่จำพรรษามาตั้งแต่ปี ๒๕๒๕ เป็นต้นมา
    การนั่งของท่านนั้นเป็นภาพที่คุ้นตากันดีในหมู่สานุศิษย์ ที่เดินทางไปกราบท่าน คือท่านนั่งพับเพียบตลอดทั้งวัน ไม่ขยับเลย ไม่ว่าใครจะไปจะมา ท่านก็นั่งอยู่อย่างนั้น แต่การต้อนรับญาติโยมนั้น โดยปกติก็ตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น. จนถึง ๑๑.๐๐ น.และช่วงเวลา ๑๓ .๐๐ น.จนถึง ๑๘.๐๐ น.เป็นประจำ ถ้าวันไหนมีญาติโยมมากันมาก ฉันเพลเสร็จท่านก็ออกมารับญาติโยมเลย บรรดาพระเณรที่เป็นอุปฐาก จะรู้หน้าที่ดี คือหลังจาก ๑๘.๐๐น.แล้ว ท่านจะสรงน้ำ พระเณรที่อุปฐากก็จะปิดประตูเหล็ก ที่ท่านนั่งรับแขกอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งในพรรษานั้น ก่อนที่ท่านจะเข้าสรงน้ำ ท่านได้สั่งอาตมาไว้ว่า วันนี้อย่างเพิ่งปิดประตู เดี๋ยวจะมีคนมาหา แล้วท่านก็เข้าห้องไป อาตมาจึงเข้าไปเตรียมน้ำสรง และบริขารถวาย น้ำที่สรงนั้นจะเป็นน้ำอุ่น ในขณะนั้นที่วัดไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ต้องต้มน้ำใส่กา แล้วนำไปเทผสมน้ำเย็นให้ได้หนื่งถัง ส่วนผ้าบริขารของท่านที่ใช้ในการสรงน้ำก็มี สบง ๑ ผืน อังสะ ๑ ผืน ผ้าขนหนู ๓ ผืน คือ สำหรับเช็ดหน้าผืนหนึ่ง เช็ดตัวผืนหนึ่ง เช็ดเท้าผืนหนึ่ง การถวายน้ำสรงท่านนั้น พระเณรอุปฐากต้องทำด้วยความนอบน้อม คล่องแคล่ว และรวดเร็ว จึงจะถูกนิสัยกับองค์ท่าน
    . ดังนั้นพระเณรที่คอยอุปฐากหลวงพ่อจึงมีเพียงสองรูปเท่านั้น คือ พระอรุณ(พระใหญ่) และอาตมาซึ่งเป็นสามเณรอีกองค์หนึ่ง เท่านั้น ส่วนมากบรรดาพระเณรทั้งหลายไม่ค่อยเข้าไปอุปฐากองค์ท่าน เพราะถ้าเข้าไปสนิทกับองค์ท่านแล้ว เกรงว่าจะไม่ได้สึก ซึ่งองค์ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะปกติองค์ท่านก็นิ่งเฉยอยู่แล้ว หลังจากองค์ท่านสรงน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พักอิริยาบท อยู่ในห้องโดยมีอาตมาเป็นผู้ถวายการนวด จนถึงทุ่มครึ่ง องค์ท่านก็ลุกขึ้นครองจีวร แล้วออกมานั่งที่รับแขกของท่าน .ซึ่งขณะนั้นอาตมาคิดว่าท่านหรือโยมคงนัดกันไว้ อาตมาก็นั่งอยู่แถวนั้นเผื่อองค์ท่านจะเรียกใช้ อีกอย่างเป็นเวลาวิกาล หากผู้ที่มาเป็นผู้หญิงทั้งหมดก็ไม่ต้องด้วยพระวินัย อาตมาจึงคอยสังเกตุการณ์อยู่แถวนั้น
    จนกระทั้งเวลาล่วงไปถึง ๒๐.๐๐ น.กว่าๆ ได้มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาในวัด ในขณะที่รถคันนั้นแล่นเข้ามา บรรดาสุนัขทั้งหลายก็พากันส่งเสียงเห่าหอนจนดังไปทั้งวัด รถคันนั้นแล่นมาจอดใต้ต้นพิกุล หน้าหอสวดมนต์ ครู่หนึ่งก็มีผู้ชาย ๕ คน ผู้หญิง ๒ คน ลงจากรถ แล้วช่วยกันฉุดกระชากลากจูงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ลงจากกระบะรถ ซึ่งมีหลังคาอยู่ด้วย ผู้หญิงคนนั้นปากก็พูดว่า กูไม่ไป อย่ามายุ่งกับกู พูดอยู่อย่างนี้ บรรดาสุนัขเจ้ากรรมทั้งหลายก็ส่งเสียงหอนกันไม่เลิก จนอาตมาขนลุกไปทั้งตัว ต้องเข้าไปอยู่ใกล้ๆหลวงพ่อ จึงพอหายกลัวไปได้บ้าง ส่วนคนพวกนั้นกว่าจะขึ้นมาได้ ก็ต้องช่วยกันจับแขน จับขาผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา พอมาถึงหลวงพ่อ ผู้หญิงคนนั่นก็ด่าหลวงพ่อเป็นการใหญ่ ซึ่งท่านก็เฉยไม่แสดงอาการอะไร จนผู้หญิงคนนั้นเลิกด่า ท่านจึงถามโยมที่มาว่า #มาแต่ไหนกันเล่า โยมตอบว่ามาจากหนองปลาไหลครับ ท่านก็ถามอีกว่า เป็นอะไรมาล่ะ โยมที่มาก็แย่งกันเล่าให้ท่านฟังว่า ไม่รู้มันเป็นอะไรหลวงพ่อ มันไปไร่กลับมาตอนค่ำ มันก็มีอาการแปลกๆ กลางวันมันเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ปิดประตูหน้าต่างหมด ข้าวปลาไม่กินเลย มันจะกินแต่ของสดๆคาวๆเท่านั้นแหละ พาไปหาหมอ หมอตรวจดูก็ไม่เป็นอะไร บางคนก็ว่าผีเข้า หมอผีที่เขาว่าเก่งๆก็ไปหามาทั่วก็ไม่หาย พระอะไรที่ว่าเก่งๆก็ตระเวนไปหามาหลายวัดแล้วหลวงพ่อ จนมีคนเขาบอกว่าให้พามาหาหลวงพ่อนี่แหละ จึงได้พากันมา กว่าจะมาถึงก็ต้องถามเขามาเรื่ิิอย นี่ก็เป็นมา ๗ วันแล้ว ถ้าหลวงพ่อรักษาไม่หาย ก็จะไม่รักษาแล้วล่ะ จะปล่อยให้มันตายไปนี่แหละ ไม่รู้ตะทำยังไงแล้วหลวงพ่อ
    . เมื่ิอถึงตอนนี้หลวงพ่อท่านได้ถามผู้หญิงที่ป่วยว่า เอ็งเป็นอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ตอบ ท่านจึงถามอีกว่า เอ็งชื่ออะไร ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า บอกไม่ได้ ท่านก็ถามอีกว่า ใครใข้เอ็งมา ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า ยอกไม่ได้ โยมที่มาด้วยกันก็ช่วยถามอีกว่า มึงก็บอกท่านไปสิ ผู้หญิงคนนั่นก็ตอบว่าบอกไม่ได้ เขาไม่ให้บอก โยมก็ถามอีกว่าใครไม่ให้บอก เขาก็ตอบว่าบอกไม่ได้ เขาไม่ให้บอก ตอบอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อจึงถามว่า เอ็งจะเอาอะไร รึจะกินอะไร ผู้หญิงคนนั่นตอบทันทีเลยว่า อยากจะกินใส้หมู ไส้ไก้ หลวงพ่อท่านก็ตอบไปว่า ที่วัดนี้ไม่มีให้หรอก ไส้หมู ไส้ไก่อะไรนั้นน่ะ มีแต่น้ำมนต์นี่แหละ เอาไปกินก่อน ว่าแล้วท่านก็ใช้แก้วตักน้ำมนต์ในบาตร ซึ่งอยู่ข้างๆท่านส่งให้ โยมที่เป็นผู้ชายค่อนข้างอายุมากหน่อยก็รับน้ำมนต์จากท่านไปให้หญิงคนนั้นกิน แต่หญิงคนนั้นไม่ยอมกินปัดป้องเป็นพัลวัน พอน้ำมนต์หก รดถูกตัว ก็กรีดร้องอย่างโหยหวล จนพระเณรที่อยู่ตามกุฏิแตกตื่นมาดูกันทั้งวัด เมื่อหญิงคนนั้นไม่ยอมกินน้ำมนต์ ท่านจึงเอาน้ำมนต์พรมให้ หญิงคนนั้นก็ร้องดิ้นไปดิ้นมาอยู่อย่างนั้น ปากก็ร้องว่าร้อนๆไม่หยุด จากนั้นหลวงพ่อท่านก็นั่งดูอยู่ครู่หนึ่ง ท่านจึงหยิบด้ายมงคลที่ีอยู่ข้างๆมาจับเป็นมงคลคล้ายสร้อย แล้วบริกรรมอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า เอ้าเอาไปสวมคอดูซิ โยมผู้ชายคนเดิมก็รับด้ายมงคลไป หญิงคนนั้นพอเห็นด้ายมงคลเข้าไปใกล้ตัวเท่านั้นแหละ รีบถอยหลังหนี โยมที่มาด้วยกันต้องช่วยกันจับไว้ แต่หญิงคนนั้นก็ดิ้นจนสุดฤทธิ์ พอได้จังหวะ โยมผู้ชายก็เอาด้ายมงคลใส่คอทันที พอด้ายมงคลใส่เข้าไปเพียงศรีษะเท่านั้น หญิงคนนั้นก็กรีดร้องอย่างสุดเสียง แล้วมีอาการประหนึ่งว่าโดนถีบอย่างแรงหงายท้องทันที พอดีกับโยมที่นั่งอยู่ข้างๆรับศรีษะเอาไว้ทัน หญิงคนนั้นก็แน่นิ่งไป ตลอดเวลาที่หญิงคนนั้นร้องอยู่ สนัขทั้งหลายก็หอนโหยหวลอยู่อย่างนั้น พอหญิงคนนั้นนิ่งไป บรรดาสุนัขก็หอนรับกันไปเป็นทอดๆ ตั้งแต่กุฏิหลวงพ่อจนถึงท้ายวัดเลยทีเดียว
    . เมื่ิอสงบลงแล้ว หญิงคนนั้นก็รู้สึกตัวแต่ก็งงไปหมด ถามว่าที่นี่ที่ไหน แล้วฉันเป็นอะไร พวกที่พามาก็อนะนำให้กราบหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็ถามว่า เป็นอย่างไรบ้าง
    เขาตอบว่า ไม่รู้สึกตัวเลยหลวงพ่อ จำได้ว่าไปจุดมันจนเย็นค่ำจึงกลับบ้าน พอเดินมาผ่านจอมปลวกใหญ่ข้างทางก็ไม่รู้ตัวอีกเลย จนถึงตอนนี้แหละ
    หลวงพ่อท่านจึงแนะนำว่าหากพวกเรารู้จักไหว้พระ สวดมนต์ ก็จะไม่มีภูติผี ปีศาจ อะไรมากล้ำกราย แล้วท่านก็พรมน้ำมนต์ให้ทุกคนที่มา แต่โยมเขาขอด้ายมงคลเอาไปใส่คอด้วย ท่านก็ทำให้ทุกคน แต่ละคนก็ขอนำไปเผื่อลูกหลานอีก .ซึ่งท่านก็ทำให้ตามประสงค์ จากนั้นพวกโยมก็พากันกราบลากลับ เมื่อโยมลงจากกุฏิหลวงพ่อแล้ว อาตมายังสงสัยอยู่จึงเข้าไปถาม โยมที่มาว่า โยมนัดหลวงพ่อไว้หรอ เขาตอบว่าเปล่า ไม่ได้นัด ตั้งใจอธิฐานมาตั้งแต่บ้านว่าจะมาขอให้เจอหลวงพ่อ แล้วก็มากันเลย แล้วโยมก็พากันขึ้นรถกลับไป และเวลากลับนี้ สุนัขก็ไม่ได้หอนรับเหมือนตอนที่มา ตอนนั้นอาตมาสงสัยว่าหลวงพ่อรู้ได้อย่างไร ว่าใครจะไปจะมา อีกอย่างในขณะปี ๒๕๓๖ นั้นที่วัดบัลลังก์ก็ยังไม่มีโทรศัพย์ใช้เลย เพิ่งจะมีโทรศัพย์ใช้ครั้งแรกเมื่อปลายปี ๒๕๓๗ แต่หลวงพ่อก็ไม่ได้ใช้ รองเจ้าอาวาสเป็นผู้ใช้อีกต่างหาก จากเรื่องนี้ จึงทำให้เห็นได้ว่า #หลวงพ่อท่านมีอภิญญาสมาบัติและญาณอันแก่กล้า สมกับเป็นพระผู้เป็นที่พึ่งของประชาชนโดยแท้


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จฝังตะกรุดสามกษัตริย์หลวงพ่อพยุงวัดบัลลังก์ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240212_004900.jpg IMG_20240212_004958.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2024
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    วันนี้จัดส่ง
    1707729636922.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    1707385957159-jpg.jpg
    ประคำ หมายถึงลูกกลมๆ ที่ร้อยเป็นพวงสำหรับเป็นเครื่องหมายการนับในเวลาบริกรรมภาวนาหรือสำหรับใช้เป็นเครื่องราง เรียกโดยทั่วไปว่า ลูกประคำ

    ประคำของท่าน จะทำมาจากแก่นไม้มงคลหลากหลายชนิด บางเส้นที่พบเจอจะมีเม็ดประคำทำจากไม้หลายชนิด บางเส้นก็จะชนิดเดียวล้วนๆ โดยแต่ละชนิดก็ล้วนแล้วแต่เป็นไม้มงคลและชื่อที่เป็นมงคล อาทิเช่น ไม้ประดู่ คูณ ขนุน ยม มะขาม รัก วาสนา สัก พะยุง กันเกรา ทองหลาง ชัยพฤกษ ราชพฤกษและอีกหลากหลายชนิดฯลฯ โดยใช้แก่นไม้ส่วนที่แข็ง นำมาแกะเป็นเม็ดๆ ขัดตกแต่งเคลือบผิว ตามพิธีตำหรับตำรา แล้วค่อยเข้าพิธีปลุกเสก

    ***เป็นวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงของหลวงพ่ออุตตมะมาเป็นเวลาเนิ่นนานหลายสิบปีมาแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลวงพ่ออุตตมะเข้ามาอยู่ในเมืองไทยใหม่ ๆ หลวงพ่อท่านก็ได้นำประคำมาแจกให้กับผู้ที่ไปกราบนมัสการท่าน นอกจากจะให้ช่วยปกป้องคุ้มครองตัว และเป็นเมตตามหานิยมแล้ว ยังมีนัยเพื่อให้เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ หรือคุณพระศรีรัตนตรัยอีกด้วย เพื่อให้ผู้ที่ได้รับประคำไปนั้นมุ่งมั่นกระทำแต่ความดีตามรอยบาทพระศาสดา นอกจากประคำไม้ยุคแรกๆแล้ว ท่านยังได้ทำไว้หลายแบบ หลายชนิดเช่น ประคำผง ประคำกรามช้าง เป็นต้น

    หลวงพ่ออุตมะท่านก็สร้างตามตำรามอญโบราณ สำหรับผู้ที่เคยไปนมัสการหลวงพ่ออุตตมะ แห่งวัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ภาพที่พบเห็นหลวงพ่อท่านจะนั่งทักทายลูกศิษย์ลูกหาพร้อมร้อยพวงเม็ดประคำของท่านไปด้วย และคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าร้อยทั้งร้อยจะต้องได้ประคำสายหลากหลายชนิดติดคอกลับมาแทบทุกคน "เห็นประคำก็เหมือนได้เห็นหลวงพ่อ ถ้าได้พบเจอหลวงพ่อก็ต้องได้เห็นประคำ" ดังนั้น ประคำ จึงเปรียบเสมือนเครื่องรางที่เป็นเอกลักษณ์ของหลวงพ่ออุตตมะมาเนิ่นนานแล้ว
    ซึ่งแต่ละชนิดก็สร้างจำนวนไม่มากค่ะ บางท่านอาจสงสัย พร้อมคำถามว่า เส้นประคำเม็ดกลมโต ถ้าหากคล้องคอไปไหนมาไหนอาจจะดูไม่เหมาะกับการทำงานในสภาพปัจจุบันนัก ซึ่งก็โดยมากที่หลวงพ่อท่านให้นั้น ก็ไว้เพื่อพกพาติดตัว ติดรถติดบ้าน เพื่อความปลอดภัย แคล้วคลาด เมตตามหานิยม บันดาลโชคลาภ อีกทั้งไว้ฝึกจิตนับลูกประคำสำหรับทำสมาธิในแต่ละครั้ง ระลึกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดจนคุณครูบาอาจารย์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ลูกประคำเสาร์ 5 มหามงคลหลวงพ่ออุตตมะแจกงานพระราชทานเพลิงศพข้าราชการทหารอากาศปี 2539
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240212_182631.jpg IMG_20240212_182611.jpg IMG_20240212_182510.jpg
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,341
    FB_IMG_1707738227173.jpg
    หลวงพ่อชม หรือ พระ ครูวิสุทธิกิจจาทร วัดนพทองดี ศรีพฤฒาราม (วัดโป่ง) อ.บางละมุง ชลบุรี ท่านเป็นพระเก่งไม่ธรรมดา ขนาดมรณภาพแล้วตอนที่จะฉีดยากันศพเน่า ปรากฏว่าเข็มแทงไม่เข้า ต่อมาร่างกายของท่านแห้งไม่เน่าเปือย ในช่วงประมาณ เมย 2556 มีข่างดังในหนังสือพิมพ์ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่บางละมุง ถูกยิงถล่มด้วยปืนสงครามเข้าลำตัวหลายนัด ปรากฏว่าไม่ละคายผิว ในคอของผู้ใหญ่บ้านนี้มีพระเครื่องของ หลวงพ่อชม วัดโป่ง ห้อยติดอยู่ในพวงพระด้วยครับ จริงๆแล้วในพื้นที่แถวชลบุรี ชื่อเสียงหลวงพ่อชม วัดโป่ง ก็ดังพอสมควร เนื่องจากประวัติของท่านไม่ค่อยมีคนเขียนและเชียร์ ประกอบกับหลวงพ่อชม ไม่ค่อยเน้นสร้างวัตถุมงคลมากนัก ดังนั้นพระของท่านจะมีหมุนเวียนไม่กี่รุ่น หลวงพ่อชม มีวิชาอาคาขลังพอตัว ทราบว่าท่านเรียนวิชามาจากสายหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย เป็นต้น

    ประวัติย่อ
    หลวงพ่อชม เป็นชาวบ้านโป่ง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เกิดเมื่อวันที่ 8 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2451 เมื่ออายุครบ 21 ปี ก็ได้เข้ารับการเกณฑ์ทหารเป็นเวลา 2 ปี เมื่อออกจากทหารแล้ว ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาในสังกัดมหานิกายที่ วัดนพทองดีศรีพฤฒาราม (วัดโป่ง) เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2474 ได้รับฉายาว่า พระชม กสโร โดยมี พระครูธรรมมาธรโลขณะเขต เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อบัว วัดนพทองดีศรีพฤฒาราม (วัดโป่ง) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์ ไว เป็น พระอนุสาวนาจารย์ เมื่อท่านบวชได้ 12 พรรษาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดโป่ง ซึ่งท่านก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจ และแรงศรัทธา ชักจูงชาวบ้านในละแวกนั้นมาร่วมกันพัฒนาวัด นอกจากนี้หลวงพ่อชม ยังมีความรู้ในด้านสมุนไพรรักษาโรค และได้ช่วยเหลือประชาชนกำจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ รักษาพยาบาลแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากด้วยความเมตตา หลวงพ่อชม เป็นพระสมถะ ไม่สะสมเงินทอง ทำวัตถุมงคลออกมาแต่ละรุ่นก็แบบรู้กันเฉพาะคนแถววัด ในช่วงปลายชีวิตมีนิตยสารพระเครื่องเอาประวัติของท่านมาลงบ้าง พอท่านเริ่มจะดังก็มามรณภาพลงเสียก่อน พวกนักเล่นพระที่เป็นนายทุนสร้างก็เลยอไม่ค่อยมาเกี่ยวข้อง พระเครื่องของท่านแม้ว่าจะยังไม่รู้จักกันกว้างมากนัก แต่คนในพื้นที่เจอจะเก็บกันหมด เพราะประสบการณ์เยี่ยมจิรงๆโดยเฉพาะด้านคงกระพัน แคล้วคลาด หลวง พ่อชม กสโร มรณภาพ เมื่อ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2539 อายุ 88 ปี นับพรรษาได้ 66 พรรษา

    หลวงพ่อชมท่านเป็นพระที่เสกวัตถุมงคลได้เข้มขลังมาก สังเกตได้จากวัตถุมงคลของท่านแต่ละรุ่นล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์เกือบทุกรุ่นไม่ว่าจะเป็น เหรียญ ผง โดยเฉพาะ ตะกรุดกับชานหมากท่านขลังมาก ขนาด อาจารย์หมอสมสุข คงอุไร ยังนับถือ บางท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าหมอสมสุข คงอุไรคือใคร (ผมจะเล่าประวัติหมอสมสุขให้ฟังย่อๆครับ)
    อาจารย์หมอสมสุข คงอุไร ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
    คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก เริ่มก่อตั้งโดยอาจารย์หมอสมสุข คงอุไร เมื่อพ.ศ.2515ตอนนั้นยังใช้ชื่อคณะศิษย์รัศมีพรหม โดยตั้งตามคำพูดของหลวงพ่อพรหม ถาวโรวัดช่องแค จ.นครสวรรค์ หลังจากที่ปลุกเสกพระสมเด็จรุ่น ปืนแตก พ.ศ.2515 เมื่อปลุกเสกเสร็จท่านว่าพระรุ่นนี้มีรัศมีสว่างไสวเหมือนรัศมีของพรหม สว่างออกไปข้างละ 9 วา ดังนั้นอาจารย์หมอสมสุข คงอุไร จึงนำคำว่า รัศมีพรหมมาตั้งเป็นชื่อคณะ เมื่อหลวงพ่อพรหมมรณภาพลงในปี 2518 อาจารย์หมอสมสุข คงอุไร ได้เจออาจารย์องค์ที่ 2 คือครูบาชุ่มโพธิโก วัดวังมุย จ.ลำพูน ท่านจึงนำฉายาโพธิโก มาต่อท้ายคำว่า รัศมีพรหม จึงกลายมาเป็น“คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก” ครูบาอาจารย์ของหมอสมสุขคงอุไรคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโกที่ถ่ายทอดหลักการปฎิบัติอานาปานสติอันสัมปะยุตต์ด้วยสมาธิ,ฌาน,อรูปฌาน,และวิปัสสนาญาณ ให้แก่อาจารย์หมอสมสุข คงอุไร มีดังนี้
    1.หลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค จ.นครสวรรค์
    2.ครูบาชุ่มโพธิโก วัดวังมุย จ.ลำพูน
    3.ครูบาอินทรจักร อินทจักรโก วัดน้ำบ่อหลวง จ.เชียงใหม่
    4.ครูบาพรหมา พรหมจักรโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน
    5.ครูบาขันแก้ว อุตตโม วัดสันพระเจ้าแดง จ.ลำพูน
    (ประวัติอาจารย์หมอสมสุข คงอุไรย่อๆครับ)

    กลับมาต่อครับ อาจารย์หมอสมสุข คงอุไรท่านนับถือ หลวงพ่อชม มากๆ ถึงขนาดเคยบอกลูกศิษย์ท่านว่า หลวงพ่อชม วัดโป่ง ท่านเป็นพระปัฏิบัติดีและเข้มขลังในวิชาอาคมมาก ท่านสำเร็จธาตุ เสกอะไรก็ขลัง โดยเฉพาะ ตะกรุดและชานหมาก ท่านเข้มขลังมาก........
    นอกจาก หลวงพ่อวงศ์ หลวงปู่อี๋ หลวงปู่ศุข หลวงพ่อเนื่อง หลวงพ่อแช่ม และอีกหลายๆท่านทั้งฆาราวาสและพระสงฆ์นั้น อาจารย์อีกท่านหนึ่งที่หลวงปู่ชมท่านไปร่ำเรียนด้วย คือ หลวงปู่หิน วัดหนองสนม พระอริยะเจ้าผู้เคร่งครัดวินัยและเข้มขลังในวิชา แห่งจังหวัดระยอง (ผมจะขอเล่าประวัติและอภินิหารของหลวงปู่หินซะหน่อยนะครับ)

    หลวงพ่อหิน เป็นพระที่หลวงพ่อสังข์เฒ่า บวชให้ โดยมี หลวงพ่อแอ่ววัดป่าประดู่เป็นพระกรรมวาจาจารย์ได้รับฉายาว่า “ถาวโร” หลังจากที่บวชแล้ว ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดทับมาประมาณ พ.ศ. 2449

    .......หลวงพ่อหิน ท่านได้เล่าเรียนวิชาอาคมต่างๆ จาก หลวงพ่อสังข์เฒ่า เนื่องจากอุปนิสัยของหลวงพ่อหินนั้นท่านเป็นคนดื้อและแข็งกร้าว เป็นคนอยากลองดี โดยเหตุที่พระอุปัชฌาย์ ของท่านเป็นพระที่ดุมาก มีระเบียบวินัยจัด ใครทำผิดวินัยแล้ว หลวงพ่อสังข์เฒ่าจะต่อว่าและดุด่าทีนที คนไหนที่ท่านดุด่าแล้วไม่รู้จักจำ ท่านจะไล่ออกจากนอกวัดทันทีแต่หลวงพ่อหินท่านไม่กลัวหลวงวพ่อสังข์เฒ่า ดุก็ดุไปถ้าท่านไม่ทำผิดวินัยซะอย่าง

    .......เวลาวัดมีงานท่านก็ออกมาช่วยอะไรที่ไม่ดี ท่านก็ทำให้ดีขึ้น คาถาอาคมที่ตนเองเล่าเรียนมา ถ้าไม่รู้ท่านจะรีบถาม “หลวงพ่อสังข์เฒ่า” ทันทีจึงทำให้หลวงพ่อสังข์เฒ่าท่านรักหลวงพ่อหินมาก และก็ได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้หลวงพ่อหินจนหมด

    มีอยู่ครั้งนึง หลวงปู่ทิม ได้เล่าว่า หลวงพ่อหินมีวิชาคงกระพันสูง สามารถปลุกเสกผ้าและหมากพลูให้เป็นสัตว์ต่างๆได้สมัยที่ท่านไปกราบหลวงพ่อหินที่วัดหนองสนม ได้สนทนาธรรมกับหลวงพ่อเคยเอ่ยถามหลวงพ่อหินว่า “เรื่องคาถาอาคมนั้นมีจริงหรือไม่? และท่านพ่อมีความเชื่อในด้านคาถาที่เกี่ยวกับเสกของให้เป็นสัตว์นั้นเป็นจริงหรือ?”

    .......หลวงพ่อหิน ได้ฟังเช่นนั้นท่านก็ไม่ตอบได้แต่ยิ้ม สักพักหนึ่งท่านก็กวักมือทำเป็นเรียกตัวอะไรให้ออกมาจากใต้โต๊ะ ปรากฏว่าเป็นลูกหนูตัวหนึ่ง ซึ่งท่านเอามือเคาะที่พื้นเบาๆ ลูกหนูตัวนั้นก็วิ่งไปที่มือของท่านหลวงปู่ทิมเห็นเช่นนั้นก็มองดู สักพักหนึ่งปรากฏว่าลูกหนูที่อยู่ในมือหลวงพ่อหินกลายเป็นเส้นด้ายขดหนึ่ง

    .......ท่านมองหลวงปู่ทิมและพูดว่า “คาถาอาคมที่เราถืออยู่ทุกวันนี้ ถ้าคิดว่าเป็นจริงมันก็จริง แต่คนที่จะทำถึงขั้นนี้ได้ ต้องฝึกจิตมาเป็นอย่างดี”

    กลับมาต่อเรื่องหลวงปู่ชมนะครับ หลวงปู่ชมท่านได้เรียนวิชาจากหลวงปู่หินไว้พอสมควร แต่วิชาของหลวงปู่หินที่หลวงพ่อชมนำมาใช้อันเป็นที่ร่ำลือ คือวิชาถอนของและไล่ผี ............. ขอจบไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนและพระสมเด็จเจ็ดชั้นหลังคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า ออกในงานผูกพัทธสีมา เป็นของดีที่น่าเก็บด้วยราคาไม่แพง
    พระสมเด็จหลวงพ่อชมวัดโป่งนาเกลือปี 33 ให้บูชา
    250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    (ปิดรายการ)
    IMG_20240212_185746.jpg IMG_20240212_185809.jpg IMG_20240212_185833.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2024

แชร์หน้านี้

Loading...