++ร่วมแชร์เรื่องราว++หลวงปู่ครูบาวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ดุจเพชร, 22 พฤศจิกายน 2014.

  1. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]

    [​IMG]
    รูปภาพวัดสวยๆจากเว๊ปPANTIP.COMขอบพระคุณครับ​
     
  2. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326




    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    พระผงรุ่นนี้ใช้เนื้อกวางคำบดผสมลงไปด้วย
     
  3. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    สาธุ... มีส่วนผสมเนื้อกวางคำด้วยน่าบูชาเป็นที่สุดครับ:cool:
     
  4. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]
    น้อมกราบหลวงพ่อฤาษี น้อมกราบหลวงปู่ครูบาวงศ์​
     
  5. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    พระรุ่นพิเศษ ครูบาวงศ์ โดย อ.เล็ก พลูโต



    หนึ่งในบรรดาวัตถุมงคลของหลวงปู่ครูบาวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ. ลำพูน ที่น่าอาราธนาขึ้นคอมากที่สุดก็คือ รูปหล่อเหมือน ฝังพระธาตุ และ พระผงรูปเหมือน เนื้อพระธาตุ ที่สร้างปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งวัตถุมงคลรุ่นนี้ นับว่าเป็นรุ่นพิเศษสุดของหลวงปู่ก็ว่าได้ เพราะถึงพร้อมด้วยสิ่งที่ดีงามถึง ๓ ประการ คือ
    ๑. เจตนาสร้างดี หลวงปู่ท่านตั้งใจสร้างรุ่นนี้ขึ้นมาเพื่อศิษยานุศิษย์ และสาธุชนทั่วไป ได้มีวัตถุมงคลที่ศักดิ์สิทธิ์ไว้บูชา เพื่อความคล่องตัวในการดำรงชีวิต มุ่งเน้นลาภผล ความเจริญรุ่งเรืองต่างๆ ในภาวะเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ลงทุกวัน และเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ โดยมีข้อแม้ของผู้ที่จะอาราธนาวัตถุมงคลของหลวงปู่ติดตัวเพียงข้อเดียว คือ จะต้องรักษาศีล ๕ อยู่เป็นประจำ โดยนำรายได้จากการให้บูชาวัตถุมงคลชุดนี้ ไปสร้างโบสถ์ของวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม และสร้างเจดีย์ ๓ ครูบา คือ ครูบาศรีวิชัย ครูบาอภิชัยขาวปี และครูบาชัยวงศาพัฒนา ที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ เชียงใหม่ อันเป็นสาขาหนึ่งของวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
    ๒. มวลสารที่ใช้สร้าง และอุดใต้ฐานรูปหล่อ ดีเยี่ยม (จะได้กล่าวในรายละเอียดต่อไป)
    ๓. การปลุกเสก ที่ยาวนานถึง ๒ พรรษา หรือ ๒ ปี คือ สร้างในปี ๒๕๓๕ และเข้าปลุกเสกในพรรษา ๒๕๓๕ และ พรรษา ๒๕๓๖ จึงค่อยออกให้บูชา เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๗
    วัตถุมงคลที่สร้างในรุ่นนี้
    ๑. รูปเหมือนหลวงปู่ครูบาวงศ์ หล่อด้วยโลหะ มีด้วยกัน ๓ ขนาดคือ ขนาดเล็ก ฐานกว้าง ๒ ซ.ม. ขนาดใหญ่ ๑ นิ้ว (๒.๕ ซ.ม.) และขนาดจัมโบ้ ๑ นิ้วครึ่ง โดยที่ใต้ฐานบรรจุ พระธาตุสิวลี, พระธาตุอรหันต์ ๕๐๐ องค์, ดินจากสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง ในประเทศอินเดีย, เส้นเกศาของหลวงปู่ โดยเฉพาะขนาด ๑ นิ้วครึ่ง ซึ่งเป็นขนาดจัมโบ้ ยังได้บรรจุ "พระธาตุข้าวบิณฑ์" เพิ่มอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อความอุดมสมบูรณ์ เมตตา มหาลาภ แก่ผู้สักการบูชา โดยให้ชื่อรูปหล่อรุ่นนี้ว่า "เมตตามหาลาภ"
    ๒.พระผงเนื้อพระธาตุ ทำเป็นรูปเหมือนหลวงปู่ครูบาวงศ์ นั่งอยู่หน้าพระพุทธรูป ด้านหลังเป็นคาถาเมตตามหานิยม และป้องกันภัยต่างๆ ฉะนั้น จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในพิมพ์เดียวกัน และมีลักษณะพิเศษคือ เมื่อส่องแดดจะเห็นประกายของพระธาตุระยิบระยับ (เฉพาะองค์ที่แก่พระธาตุ เป็นเนื้อพิเศษ สร้าง ๕๐๐ องค์) แบบพิมพ์แกะโดย อาจารย์ปฐม พัวพันธุ์สกุล จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลวงปู่ให้ชื่อพระผงรูปเหมือนรุ่นนี้ว่า "รุ่นพระสุปฏิปันโน"
    มวลสารที่นำมาสร้างพระผง
    ๑. ผงพระธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้า ให้คุณด้านลาภผล ๒. พระผงพระธาตุสิวลี ให้คุณด้านโชคลาภ ๓. ผงพระธาตุพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ซึ่งหลวงปู่ได้ให้ศิษย์สงฆ์ และฆราวาส ไปนำมาจากถ้ำแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ได้มาด้วยความยากลำบากชนิดเสี่ยงชีวิตเข้าแลก ๔. ดินจากสังเวชนียสถาน ๔ แห่งในประเทศอินเดีย ซึ่งผู้บูชาจะอธิษฐานขอในสิ่งที่ไม่ผิดศีลธรรมได้ ๕. ผงธูปจากวัด ๒๐ แห่ง ซึ่งพระพุทธองค์เคยเสด็จไปประทับ เป็นกระแสเมตตาคุณของพระพุทธเจ้า ที่แผ่มายังผู้ที่เคารพบูชาพระพุทธองค์ ๖. น้ำจากบ่อพญานาค ซึ่งมีคุณวิเศษในทางป้องกันไฟไหม้ และดับพิษไฟ ๗. ผงไม้จันทน์ และผงกำยาน (ในบางองค์จะมีกลิ่นหอมตลบอบอวล)
    การสร้างพระผง คณะศิษย์ร่วมแรงทำกันเอง โดยผสมมวลสารเอง เพื่อบรรจุผงพระธาตุให้มากที่สุด และใช้สารเคมีที่ยึดผงให้เกาะกันในปริมาณน้อยที่สุด อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพระผงที่เป็นเนื้อพระธาตุล้วนๆ ก็ว่าได้ มีด้วยกัน ๕ สี คือ เขียว ชมพู เหลือง เทา และ สีขาว
    สำหรับมูลเหตุในการสร้างพระผงนั้น มีบันทึกของศิษย์ท่านหนึ่ง ดังนี้
    เดือนกรกฎาคม ๒๕๓๕ พระพงษ์ศักดิ์ คัมภีร์ธมโม ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่ครูบาวงศ์ฯ ได้มาปรารภกับข้าพเจ้าว่า ท่านอยากจะสร้างพระผง ด้วยวัตถุมงคลที่ไม่เคยมีผู้ใดกระทำมาก่อนเนื่องจากพระคุณเจ้ามี ผงพระธาตุพระสิวลี พระธาตุพระอรหันต์ และพระธาตุพระปัจเจก อยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งได้เคยนำมาให้หลวงพ่อตรวจสอบความจริงแท้แล้ว และได้มีความคิดเห็นตรงกันว่า ควรจะนำพระธาตุทั้งหมด มาทำเป็นพระผงรุ่นพิเศษ และจะช่วยกันทำเอง นับตั้งแต่การบด ผสม และปั๊มเป็นรูปพระผงตามต้องการ เพื่อจะได้มีพระธาตุครบสมบูรณ์ และมีส่วนผสมของพระธาตุมากที่สุด
    คณะผู้ดำเนินการจัดทำ จึงได้เดินทางไปปรึกษาขอคำแนะนำจากหลวงปู่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน ซึ่งหลวงปู่ก็เห็นชอบด้วย ขณะที่เรากำลังปรึกษากันอยู่ถึงรูปแบบของรูปองค์พระผงที่จะพิมพ์ในครั้งนี้ ได้มีศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง คือ อาจารย์ปฐม พัวพันธุ์สกุล แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มากราบนมัสการหลวงพ่อ ก่อนที่คณะของพวกเราจะไปถึง และท่านได้ลาหลวงพ่อเพื่อจะเดินทางกลับไปยังจังหวัดเชียงใหม่แล้ว แต่ได้ขับรถยนต์กลับมาที่วัดอีกครั้งหนึ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ (คงถูกหลวงพ่อเรียกกลับมา)
    ขณะที่เข้าพบหลวงพ่ออยู่นั้น ท่านได้ยินคณะของพวกเรากำลังปรึกษากันถึงรูปแบบของพระผงที่จะจัดทำขึ้น จึงถามว่า มีใครแกะรูปแบบเพื่อทำบล๊อคให้แล้วหรือยัง ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่ายังไม่มี อาจารย์ปฐม จึงขอรับอาสาแกะรูปแบบให้ ทั้งนี้เพราะท่านเป็นปฏิมากรฝีมือเยี่ยมสอนนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พวกเรามีความยินดีเป็นอย่างมาก หลวงพ่อได้ให้แนวความคิดว่า พระผงรุ่นนี้มีความสำคัญเป็นกรณีพิเศษ เพราะวัตถุธาตุที่นำมาทำเป็นองค์พระ เป็นสิ่งที่หาได้ยาก และได้ปฏิมากรฝีมือเยี่ยมมาช่วยปั้นรูปแบบให้ หลวงพ่อจึงให้ปั้นรูปของท่านนั่งอยู่ด้านหน้าองค์พระพุทธรูป และด้านหลังของพระผง ท่านเขียนคาถา “นวภา” ให้ ซึ่งเป็นคาถาที่ให้ความเมตตามหานิยม และป้องกันภัย ภายหลังจากที่ได้ทำการออกแบบ และย่อส่วนเพื่อทำเป็นบล๊อคพิมพ์เสร็จแล้ว ได้ทำการปั๊มพระผงรุ่นแรก ได้ภาพหลวงพ่อชัดเจนเหมือนองค์จริง และมีภาพพระพุทธรูปปรากฏอยู่ด้านหลังอย่างเด่นชัดสวยงามมาก
    การสร้างพระผงรุ่น “พระสุปฏิปันโน” ครั้งนี้ หลวงพ่อได้บอกให้พวกเราไปนำวัตถุมงคลที่ถ้ำแห่งหนึ่ง อยู่ในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มาเป็นส่วนผสมที่ศักดิ์สิทธิ์ ท่านเล่าให้ฟังว่า วัตถุมงคลที่ให้ไปเอามานี้ เป็นพระธาตุของพระอรหันต์ถึง ๕๐๐ องค์ ซึ่งมานิพพานพร้อมกันที่ถ้ำแห่งนี้
    มีคนเคยเอาพระธาตุ ๕๐๐ อรหันต์ไปเช็ค เขานั่งข้างใน เขาบอกว่า ไม่ใช่ห้าร้อยนะท่าน คือ อาตมาไม่ได้ไปเองหรอก โยมเขาอยากทราบว่านี่คือ ห้าร้อยอรหันต์ จริงไหม มีความศักดิ์สิทธิ์ไหม ปรากฏว่า มีคนเห็นพระอรหันต์เต็มท้องฟ้า นับพันๆ องค์ เป็นพระอรหันต์ล้วนๆ ไม่ใช่แค่ห้าร้อย แต่เป็นพันๆ เลย สำหรับเรื่องราวของพระธาตุอรหันต์ ๕๐๐ องค์ มีความเป็นมาอย่างไร ก็จะขอนำเสนอให้ได้อ่านกัน ดังนี้
    ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้ากัสสปะ ได้มีค้างคาวหนู ๕๐๐ ตัว ห้อยอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง วันหนึ่งได้มีพระเถระ ๒ รูป เข้ามาบำเพ็ญสมณธรรม และสวดมนต์ (อภิธรรม) ค้างคาวหนูทั้ง ๕๐๐ ตัวก็ได้ฟังเสียงสวดมนต์ ด้วยความดื่มด่ำเพลิดเพลิน ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจในความหมายแห่งบทสวดมนต์นั้นๆ ด้วยอานิสงส์นี้ ค้างคาวหนูทั้ง ๕๐๐ตัวจึงได้ไปเกิดเป็นเทวบุตรในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นานถึงพุทธันดร เมื่อจุติจากสวรรค์ ก็ได้มาเกิดในโลกมนุษย์ ในกรุงสาวัตถี สมัยพระพุทธเจ้ายุคปัจจุบัน ในพรรษาที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ โปรดพระมารดาที่ชั้นดาวดึงส์ ด้วยพระพุทธนิรมิตจนกว่าจะกลับ แต่พระวรกายจริงกลับเสด็จไปยังป่าหิมพานต์ แล้วโปรดพระสารีบุตร กับศิษย์กุลบุตร ๕๐๐คน (ค้างคาวหนูทั้ง ๕๐๐ ตัวที่มาเกิด) กุลบุตรทั้ง ๕๐๐ คน เลื่อมใสในยมกปาฏิหาริย์ จึงได้บวชกับพระสารีบุตร พระพุทธองค์ก็ทรงเสด็จกลับเทวโลก พระสงฆ์ทั้ง ๕๐๐ องค์ ได้เป็นผู้ชำนาญในปกรณ์ทั้ง ๗ และบำเพ็ญจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมด ๕๐๐ องค์ และได้พักจำพรรษาอยู่ ณ ถ้ำแห่งหนึ่ง
    .............ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ได้ทรงแวะทำภัตกิจ ณ ถ้ำแห่งนี้ พร้อมกับทรงประชวร เนื่องจากทรงเสวยเนื้อสุกร จึงได้ประทับในถ้ำเป็นเวลาพอสมควร ก่อนหน้าที่หมอชีวกโกมารภัจจ์จะติดตามมาทัน ดังนั้นจึงได้มีการสร้างพระพุทธไสยาสน์ ประทับบนแท่นที่พระพุทธองค์เคยประทับมาก่อน เพื่อเป็นพุทธานุสรณ์ว่า พระพุทธองค์ได้เคยเสด็จมาประทับ ณ ที่แห่งนี้ก่อนเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา
    .............เมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ซึ่งยังคงอยู่ที่ถ้ำแห่งนั้น ก็ได้นิพพานในเวลาที่ใกล้เคียงกับพระพุทธองค์ ส่วนพระอินทร์เมื่อทราบว่า พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์นิพพานแล้ว ก็ได้เนรมิตไฟมาถวาย เพลิงไฟที่เผาไหม้ได้ร้อนไปถึงเมืองบาดาล พญานาคจึงขึ้นมาพ่นน้ำดับไฟจนเหลือแต่เถ้า จึงเรียกว่า ถ้ำดับเถ้า ตอนหลังเพี้ยนเป็น ถ้ำตับเต่า
    .............ปัจจุบัน "รู" ที่เกิดจากพญานาคผุดขึ้นมาจากเมืองบาดาล ก็ยังคงสภาพเดิมอยู่อย่างนั้น เนื่องจากไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ เพราะกลัวพญานาค และน้ำที่ผุดขึ้นมาค่อนข้างจะน่ากลัว เพราะเกิดจากแรงดันจากใต้บาดาล ทำให้น้ำไหลเชี่ยว และแยกเป็นหลายลำธาร ไม่เคยขาดสายตลอดปี สามารถนำมาใช้อาบ และต้มดื่มกินได้ และยังมีความศักดิ์สิทธิ์สามารถดับพิษไฟได้อีกด้วย ส่วนเถ้าอังคารที่จมอยู่ในน้ำตามลำธารใกล้ถ้ำดังกล่าว ได้จับตัวรวมกันเป็นพระธาตุ มีหลายขนาด และหลากสีสันวรรณะ เราจึงเรียกพระธาตุเหล่านั้นว่า พระธาตุพระอรหันต์๕๐๐ หรือ พระธาตุ ๕๐๐อรหันต์
     
  6. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    เกร็ดประวัติ อภินิหาร ครูบาวงศ์ โดย อ.เล็ก พลูโต

    Font Size:
    เรื่องที่ ๓๓ หลวงปู่ไม่ลาพุทธภูมิ สลับเรื่องลูกศิษย์ท่านอื่น เขียนลงหนังสือบ้างจากหนังสือ พระชัยวงศาปูชนียาลัย
    ประมาณปี ๒๕๓๕ ในช่วงเวลานั้น หลวงปู่ครูบาวงศ์ ท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง หลวงปู่มักจะมาโปรดลูกหลานที่วัดบุปผาราม ฝั่งธนบุรีอยู่บ่อยๆ
    มีพระภิกษุรูปนึงถามครูบาว่า "หลวงปู่ไม่ลา (พุทธภูมิ) หรือครับ"
    หลวงปู่ตอบพร้อมคายน้ำหมาก และพูดทีเล่นทีจริงว่า "ขี้เกียจลา"
    พระรูปนั้นถามต่อไปว่า "แล้วอีกนานไหมครับ กว่าจะถึงคิวหลวงปู่"
    หลวงปู่ตอบว่า "จะว่านาน ก็นาน เมื่อตอนอธิษฐานปรารถนาอย่างนี้ ไม่คิดว่ามันจะนาน ไม่อยากลา เดี๋ยวเสียสัจจะ"
    จากหนังสือ สรณะในดวงใจ หลวงปู่กล่าวว่า
    "พระโพธิสัตว์บางองค์ บารมีแก่ แต่ไปนิพพานยังไม่ได้ เพราะเป็นหนี้ลูกหลาน อย่างหลวงพ่อ จะไปนิพพานชาตินี้ ลูกๆ ขอเกาะชายผ้าเหลือง ปรารถนาจะไปนิพานร่วมกับหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อโปรด จะติดตามหลวงพ่อไปให้ได้
    หลวงพ่อก็ต้องอยู่เมตตาไปอย่างนี้ เพราะคนที่ขอติดตาม บารมีไม่เท่ากัน ก็ไปลำบาก ลูกๆ ทั้งหลายที่มีกิเลส มีกรรมมาก หลวงพ่อก็ต้องรอจนกว่าจะไปนิพพานได้ทั้งหมด แม้ว่าลูกศิษย์ที่ขอติดตามหลวงพ่อจะถูกจำคุกตลอดชีวิต หลวงพ่อก็จะคอยแต่หลวงพ่อจะไม่คอยสำหรับคนที่มีโทษประหาร"
    ที่ครูบาท่านย้ำเสมอคือ "ลูกๆ ที่บารมีแก่แล้ว ใครไปได้ให้ไปก่อน ไม่ต้องคอยหลวงพ่อ มันช้า"ขอบารมีครูบาวงศ์ คุ้มครองลูกหลานทุกคน
    หลายท่านอาจจะสงสัย หรือมีข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องของ "พระโพธิสัตว์" หรือ ผู้ที่ตั้งความปรารถนาบำเพ็ญเพียร สร้างบุญบารมี เพื่อที่จะตรัสรู้เป็น "พระพุทธเจ้า" ในอนาคต ในเรื่องของการ "ลาพุทธภูมิ" หรือ "ล้มเลิกความต้องการที่จะเป็นพระพุทธเจ้า" ว่า ทำได้ด้วยหรือ ขอตอบว่า "ทำได้ครับ" เช่น หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านเป็นองค์หนึ่งที่ "ลาพุทธภูมิ" และดับขันธ์เข้าสู่แดนนิพพาน ไม่กลับมาเกิดเพื่อสร้างบุญบารมีอีกต่อไปแล้ว
    พระโพธิสัตว์ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ประเภทที่ได้รับพุทธพยากรณ์ จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ว่าจะได้อุบัติเป็นพระพุทธเจ้าในกัปใด เป็นองค์ที่เท่าใด ในระยะเวลาเนิ่นนานเพียงใด อย่างเช่น พระศรีอริยเมตไตรย์ เป็นต้น ถ้าในกรณีนี้ จะลาพุทธภูมิไม่ได้ เพราะพุทธพยากรณ์จะต้องเป็นจริงเสมอ
    ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็คือ ประเภทที่ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ ในกรณีหลังนี้ ผู้ที่ตั้งความปรารถนาเพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้า อาจจะรู้ด้วยอนาคตังสญาณด้วยตนเองว่า จะต้องสร้างสมบุญบารมีอีกเนิ่นนานเพียงใด หรืออาจจะไม่รู้ก็ได้ ถ้าท่านบำเพ็ญบารมีมากพอที่จะดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานแล้ว ท่านอาจจะลาพุทธภูมิได้ ไม่ต้องบำเพ็ญเพียรบารมีเพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอีกต่อไป
    ผมเองก็ไม่มีญาณหยั่งรู้ใดๆ หรอกครับว่า หลวงปู่ครูบาวงศ์ ท่านจัดอยู่ในพระโพธิสัตว์ ประเภทใด เพราะท่านไม่ได้บอกใครให้รู้ และไม่มีพระอรหันต์องค์ใด ที่เป็นสหธรรมิกกับท่าน มีญาณหยั่งรู้ที่จะบอกท่าน หรือบอกใครต่อใครได้ หรืออาจจะหยั่งรู้ แต่ไม่อาจบอกก็เป็นได้ สรุปง่ายๆ ก็คือ ท่านไม่ลาพุทธภูมิ ตามที่ลูกศิษย์ได้เรียนถามท่านก็แล้วกัน นั่นหมายความว่า ท่านไปอุบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ในฐานะหน่อพุทธางกูรบรมโพธิสัตว์เจ้า เพื่อรอการกลับมาอุบัติเพื่อสร้างบารมีที่จะเป็นพระพุทธเจ้า หรือ รอเวลาที่จะได้รับอาราธนาให้มาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า โปรดชาวโลกต่อไป
    เท่าที่ผมศึกษา ก่อนสะสมพระเครื่องรางของขลังของพระเกจิอาจารย์ต่างๆ ผมทราบเพียงไม่กี่องค์เท่านั้น ที่ท่านปรารถนาพุทธภูมิ หรือเป็นพระโพธิสัตว์เจ้า อุบัติขึ้นมาเพื่อสร้างสมบารมี เช่น หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ที่ในตำนานบอกว่า ท่านคือ พระศรีอาริยเมตไตรย์ ในอนาคต, หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค, ครูบาศรีวิชัย, ครูบาขาวปี และสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง เป็นต้น
    ซึ่งเราจะเห็นว่า วัตถุมงคลที่เกี่ยวเนื่องในพระโพธิสัตว์เหล่านี้ ล้วนมีอภินิหารอย่างมากมาย ในด้านการคุ้มครองป้องกันภัยอันตราย และอำนวยลาภผลต่างๆ จึงเป็นที่ต้องการของศิษยานุศิษย์ มาทุกยุคทุกสมัย ตราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
    ดังนั้น วัตถุมงคลของครูบาวงศ์ ที่ผมนำมาแบ่งปันนั้น จึงเป็นวัตถุมงคลที่มุ่งเน้นเรื่อง ลาภผล และการคุ้มครองป้องกันโดยเฉพาะ ตอนนี้พื้นที่เริ่มหวง ไม่ยอมให้ออกมาสู่สนามส่วนกลาง หรือคนต่างถิ่นแล้ว ที่ผมได้มาก็เพราะมีคนท้องถิ่นหาให้ โดยหาจากลูกหลานชาวบ้านแถวนั้น (ส่วนมากเป็นลูกหลานเชื้อสายกระเหรี่ยง) ที่ได้รับตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แล้วไม่รู้คุณค่าของที่ตนมีอยู่ หรืออยากจะได้เงินมากกว่าเก็บพระเอาไว้ บ้างก็ขโมยพ่อแม่มาออกตัว ซึ่งนับวันของจะร่อยหรอลงไป ต่อไปคงจะหาได้ยาก ราคาก็จะแพงขึ้นด้วย หากท่านเก็บสะสม หรือบูชาได้ในขณะนี้ ก็ขอให้รีบหามาบูชานะครับ เพราะของดีมีคุณค่าสูงเช่นนี้ มีเงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีบุญวาสนาด้วยครับ

    เรื่องที่ ๓๔ เรื่องรอยเท้าของครูบา.. ก็เป็นที่รู้กัน ว่าครูบาท่านประทับรอยเท้าของท่านไว้หลายที่หลายแห่ง เท่าที่ผมบันทึกไว้ก็หลายรอย รอยที่วัดบ้านปาง ดูจะมีคนทราบเนื่องจากมีลูกศิษย์ถ่ายภาพเอาไว้ มีเรื่องเล่าเกี่ยวข้องกัน...
    เมื่อวันที่หลวงปู่ไปรับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ ท่านได้แวะพักผ่อนที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูนและอาจารย์ปฐม พัวพันธ์สกุล ได้ถ่ายภาพขณะที่ท่านวัดรอยเท้าของท่านเอง เมื่อครั้งท่านอายุได้ ๒๒ ปี ที่ท่านได้เคยประทับไว้บนก้อนหินก้อนนี้ ในขณะที่ท่านได้ไปทำธุระส่วนตัวในป่าข้างทาง
    หลังจากทำธุระเสร็จแล้ว เทวดาได้ขอให้หลวงปู่ประทับรอยเท้าลงบนหินก้อนใหญ่ใต้ต้นไผ่หน้าประตูทางขึ้นวัดบ้านปาง เพื่อพวกเขาจะได้กราบไหว้บูชาปัจจุบันหินก้อนนี้เจ้าอาวาสวัดบ้านปางได้นำขึ้นไปประดิษฐานไว้บนวัด (ใกล้ประตูทางเข้าเขตอุโบสถ)และได้ให้หลวงปู่ประทับรอยมือไว้บนหินก้อนดังกล่าว พร้อมทั้งสร้างมณฑปครอบไว้อย่างสวยงาม
    (จากหนังสือพระชัยวงศานุสสติ)
    เพิ่มเติมข้อมูลวันหนึ่งผมได้เรียนถามท่านเรื่องรอยพระบาทครูบาวงศ์ ที่วัดบ้านปาง ว่า รอยเท้าบนหินของท่านอยู่ตรงไหนครูบาท่านก็บอกตำแหน่งให้ผมไปหา เจอสภาพในตอนนั้นเหมือนก้อนหินธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจจึงนำความมาบอกครูบา บอกท่านว่า ไม่มีใครสนใจรอยเท้าของครูบาที่วัดบ้านปางเลย
    ท่านบอกผมว่า ถ้าไม่มีใครสนใจก็ให้ผมยกกลับมาไว้ที่ห้วยต้ม
    ผมก็ถามท่านว่า ไม่เป็นไรหรือ เทวดาที่ขอท่านจะว่าผมไหม
    ท่านบอก ไม่เป็นไร แต่ให้บอกขออนุญาตเจ้าอาวาสก่อน ถ้าเจ้าอาวาสอนุญาตก็ให้ยกมาได้ภายหลังได้มาวัดบ้านปางอีกครั้ง จึงเรียนเจ้าอาวาสว่า จะขอยกก้อนหินที่ครูบาวงท่านประทับรอยเท้าไว้กลับห้วยต้ม
    ท่านเจ้าอาวาสไม่อนุญาต ผมจึงบอกท่านว่า ถ้าไม่ให้ยกกลับ ผมขอสร้างมณฑปครอบรอยเท้าอาจารย์ผม เพื่อจะได้เป็นที่สักการะสืบไป
    ได้กลับมาแจ้งให้ครูบาท่านทราบท่านก็บอกแล้วแต่ศรัทธาของผม มณฑปที่วัดบ้านปาง จึงได้ก่อสร้างด้วยความตั้งใจของผมได้บริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้ทางวัดบ้านปางก่อสร้างร่วมกับศรัทธาจนแล้วเสร็จ ไว้เป็นที่สักการะแก่คนรุ่นหลังต่อไปในภายภาคหน้าสมตามความตั้งใจที่ได้ทำเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงครูบาท่าน
    เรื่อง รอยเท้าของครูบา.....บันทึกเอาไว้ผมถามครูบาว่า ครูบาทำไว้อย่างไร(อธิษฐานเหยียบรอยเท้า ไว้บนหิน)
    ครูบาบอก...ครูบาอาจารย์ สอนเอาไว้วันหลังมีโอกาสถามเรื่องนี้อีก คำถามเดิมครูบาตอบแบบตลก...ใช้กำลังภายใน
    เรื่องการเหยียบรอยพระบาท รอยเท้าของครูบาท่าน คงเป็นอุปนิสัยแต่เดิมของท่าน ในประวัติแต่อดีตท่านก็ทำไว้ลูกศิษย์หลายคนชอบให้ท่านเอาเท้า เหยียบที่ศีรษะถือว่าเป็นมงคลกับตัวเองรอยเท้าตามสถานที่ต่างๆ ก็จดบันทึกเอาไว้ เกรงว่าภายหลังจะไม่มีคนทราบ หรือบางคนอาจจะไปทำอันตรายกับรอยเท้าของท่าน จะเป็นบาป
    เมื่อก่อน การจะบอกเรื่องนี้ ก็เกรงจะไม่ดี ส่วนมากก็ทราบแต่ในลูกศิษย์บางคน
     
  7. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]

    [​IMG]
    รูปภาพวัดสวยๆจากเว๊ปPANTIP.COM ขอบคุณครับ​
     
  8. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]

    คาถาประจำตัวของหลวงปู่
    ริตติ ริตติ มิตติ จิตติ ธรณีปริตตะ สมุหะติ สมุหะตา สมุหะเสนา สมุหะนัยยะ เอวัง เอหิ

     
  9. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]

    คำบูชานมัสการหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา
    สาธุ อะหัง นะมามิ พระชัยยะวงศาภิกขุ พระอาจาริเยนะ อังคาละวิชัยโย บัณฑิตโต ทะสะปาระมีโย ทะสะอุปะปาระมีโย ทะสะปะระมัตถะปาระมีโย กะตัง ปุญญังโน เมนาโถ เมนาถัง สิระสานะมามิ​
     
  10. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]

    มณฑปพระเจ้าเก้าตื้อ (จำลอง)
    มีโดมหลังคา ภายในปิดกระจกเงารอบ และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองเหลือง ปางมารวิชัย จำลองจากพระเจ้าเก้าตื้อวัดสวนดอกเชียงใหม่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกได้เมตตาเสด็จมาเป็นองค์ประธานในการเททองที่โรงหล่อบางแค เขตตลิ่งชัน กรุงเทพ ฯ ทำพิธีเททองเมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๓๑ โดยมีฐานกว้าง ๔ ศอก สูง ๕ ศอก ปัจจุบันพระเจ้าเก้าตื้อจำลองประดิษฐานเป็นประธานอยู่ในมณฑป ณ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จแทนพระองค์ ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเมื่อ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๔๔
     
  11. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]

    หอพระไตรปิฎก
    เป็นทรงศิลปะล้านนา ขนาดความกว้าง ๑๐.๖๕ เมตร ยาว ๑๐.๖๕ เมตรใช้เป็นสถานที่เก็บรักษาพระไตรปิฎกและพระธรรมคัมภีร์ ใบลานแบบล้านนา
     
  12. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    สาธุ กราบครูบาวงศ์ด้วยความศรัทธาครับ
     
  13. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    อ่านประวัติการสร้างพระผงสุปฏิปันโนเนื้อพระธาตุแล้วอยากมีไว้บูชาสักองค์ครับ
     
  14. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    สาธุครับ
     
  15. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    <center>
    </center>
    [​IMG]เกร็ดประวัติหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา ๑
    วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน
    ข้อมูลจาก เวปพระรัตนตรัย กระดานสนทนาธรรม กระทู้ที่ 01107 โดย คุณ : คนรู้น้อย 23-06-2003
    <center> [​IMG]
    </center> เนื้อความ :
    “เรื่องราวในตอนแถมพกนี้ ขอเรียนว่าเป็นการเขียนถึง หลวงปู่คำแสนใหญ่ หรือพระครูสุคันธศีล แห่งวัดสวนดอก, หลวงปู่ครูบาวงศ์ฯ หรือ พระครูใบฎีกาชัยยะวงศา แห่งวัดพระบาทห้วย (ข้าว) ต้ม ราชากะเหรี่ยง , หลวงปู่ครูบาธรรมชัย แห่งวัดทุ่งหลวง, หลวงปู่แหวน สุจิณโน แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง, หลวงปู่บุดดา ถาวโร และ พระอาจารย์โกวิน แห่งสำนักสงฆ์ไผ่รื่นรมย์ ในแบบมวยหมู่เลยครับ ไม่เช่นนั้นหนังสือเล่มนี้ จะยาวเกินไปจนต้องแบ่งเป็น เล่ม ๑ และ เล่ม ๒ ไม่ทันกินครับ เพราะในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นี้ ผมจะต้องเข็นเขียนให้จบ ๑ เล่มตามที่ได้รับปากเอาไว้กับหลวงพ่อ (ฤๅษีฯ) ให้จงได้ เรื่องยาวๆ เอาไว้คราวหน้าครับ คราวนี้จะเอาสั้นๆ ที่พอจะนึกออก และเกี่ยวโยงสัมพันธ์กับเรื่อง ในตอนก่อนๆ ที่ได้เล่าไปแล้ว
    (ตัดตอนเอามาเฉพาะเรื่องหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระบาทห้วยต้ม)
    <table id="table1" border="0" align="left"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript"> ครูบาขาวปี
    </td></tr></tbody></table> ประวัติหลวงปู่ฯ และความเป็นมาผมคงจะไม่เขียนให้ยืดยาว เพราะว่าได้มีลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ฯ นำไปเขียนรวมเล่มแล้วยาวเหยียด ดังนั้นผมจึงจะเขียนเฉพาะที่หนังสือเล่มดังกล่าวไม่ได้เขียนเอาไว้ และที่สำคัญก็คือเรื่อง ไอ้ “วัวหำคด” ที่ได้อ้างค้างเอาไว้ ในตอนก่อนหน้านี้ ก็จะนำมาเล่าในตอนนี้แหละครับ
    ถ้าพวกเราสังเกต จะพบว่าศิษย์สายครูบาเจ้าศรีวิชัย มักจะพบวิบากกรรมเฉกเช่นครูบาอาจารย์ของท่าน หลายองค์ เช่นท่านครูบาอภิชัยปี ถูกบังคับจับสึก แต่ใจท่านไม่ยอมสึกตามไปด้วยยังคงถือวัตรปฏิบัติ เช่นเดียวกับพระภิกษุสงฆ์ เพียงแต่นุ่งขาวห่มขาว เกิดเป็นศัพท์ใหม่ที่ชาวบ้านเรียกกันเองว่า “ผ้าขาว”
    หลวงปู่ครูบาวงศ์ฯ ก็เช่นเดียวกัน ถูกบังคับจับสึก ต้องเป็นผ้าขาววงศ์ฯ อยู่ถึง ๔ ปี อธิกรณ์ที่ตั้งก็ตั้งกันไป โดยกลุ่มของเสือเหลืองที่เรืองอำนาจอยู่ในพุทธจักรสมัยนั้น ซึ่งดูเหมือนจะพากเพียรเหลือเกินในอันที่จะสึกพระที่เป็นพระแท้ พระปฏิบัติ พระพัฒนา ให้จงได้
    อธิกรณ์ส่วนใหญ่มักจะกล่าวหาเหมือนๆ กันอยู่ข้อหนึ่งก็คือ “ซ่องสุม” ผู้คน ถ้าเป็นสมัยนี้หลวงพ่อฯ คงแย่เลยครับ เพราะซ่องสุมผู้คนเป็นแสนๆ ป่านนี้ต้องคอยแก้อธิกรณ์กันอย่างเดียวให้กลุ้มไป ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว (อธิกรณ์นั้นก็เหมือนกับข้อกล่าวหา ซึ่งจะต้องมีการบรรยาย เหมือนกับการบรรยายคำฟ้องคดีต่อศาลนั่นแหละครับ)
    แต่ถ้าลองไปอ่านข้อความที่เขาบรรยายในอธิกรณ์ที่ตั้งฟ้องครูบาเจ้าศรีวิชัยดู เราจะรู้สึกว่าเป็นตลกร้ายทีเดียวแหละครับ คำบรรยายฟ้องนั้นเหมือนกับคนร่างฟ้องนั้น ฟ้องตนเอง ว่าไม่มีคุณสมบัติที่ดีวิเศษ เฉกเช่นครูบาเจ้าศรีวิชัย จึงอิจฉาริษยาจนเนื้อตัวสั่นต้องเอามาฟ้อง เช่น ฟ้องว่าครูบาเจ้าทำตัวเป็นผู้วิเศษ เวลาเดินทางไม่ใช้เท้าเดินไปเช่นเดียวกับที่ผู้อื่นกระทำ แต่ได้ใช้วิธีเหินไป (เหิน เป็นอาการเคลื่อนไหวอย่างหนึ่งซึ่งใกล้เคียงกับเหาะ แต่เป็นการเหาะแบบเรี่ยๆ พื้นดินนั่นเอง)
    เราลองมาพิจารณาศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวเหนือ ที่กระทำกันให้เราท่านเห็นอยู่เนืองๆ ก็คือ ถ้าพระภิกษุองค์ไหนที่เขาเชื่อถือศรัทธาผ่านมา ชายก็จะทอดกายลงนอนบนทาง หญิงก็จะสยายมวยผมสลัดออกปูบนทาง รองบาทพระคุณเจ้าผู้คนเป็นหมื่นๆ ทำเช่นนี้ไม่ว่าครูบาเจ้าจะไปทางไหน
    ทีนี้หลังคนนั้นมันไม่เรียบ การเดินย่ำไปนั้นดีไม่ดีคนเดินนั่นแหละ ไม่เกินห้าก้าวสิบก้าว ไม่ปากก็หัวแตก ซึ่งเป็นการลำบากไม่สะดวก และท่านก็คงไม่อยากที่จะเหยียบย่ำลงไปจริงๆ แต่เพื่อเป็นการฉลองศรัทธา และเมื่อท่านสามารถเหินได้ ท่านก็เลยเหินเรี่ยๆ พื้นพอให้พ้น ไม่ได้ตั้งใจจะโชว์หรอกครับ แต่พวกขี้อิจฉาดันไปเห็นเองก็เลยคาบมาฟ้อง
    <table id="table3" border="0" align="right"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript"> ครูบาศรีวิชัยถ่ายคราวถูกกักขัง ณ ศาลาบาตร
    วัดศรีดอนไชย เมืองเชียงใหม่
    </td></tr></tbody></table> การพิจารณาอธิกรณ์นั้นก็ไม่ได้ถกเถียงกันว่า เหินได้จริงหรือไม่จริง แต่รับกันว่าได้เหินจริง และเหินได้จริง เพียงแต่จะผิดพระวินัยหรือไม่เท่านั้น และในที่สุดท่านก็ให้ยกอธิกรณ์นั้นเสีย สาธุ ... ยังโชคดีที่พระผู้ใหญ่ท่านไม่เชื่อเปรตสอพลอ
    ย้อนมาเรื่องหลวงปู่ครูบาวงศ์ฯ สมัยที่ผมเป็นผู้บังคับหมวด ตชด. อยู่ที่ กก.พตท.เขต ๕ ค่ายดารารัศมี (พตท.เขต ๕ คือ พลเรือน ทหาร ตำรวจ) รายงานว่าพบพระสงฆ์องค์หนึ่ง สงสัยว่าน่าจะเป็นบุคคลต่างชาติอำพรางตนเป็นพระ ซ่องสุมพวกกะเหรี่ยงจำนวนมากอยู่ที่ อ.ลี้ มีการปลุกระดมกันทุกคืน สร้างหอประชุมไว้ใหญ่โตมาก หอประชุมก็สงสัยว่าน่าจะเป็นไม้เถื่อน ให้ส่ง ตชด.ไปสืบสวน ถ้าพบการกระทำผิดให้จับกุมคุมขัง และให้ดำเนินคดีโดยเฉียบขาด
    พระองค์นี้ก็คือ หลวงปู่ครูบาวงศ์ฯนั่นเอง
     
  16. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    พระองค์นี้ก็คือ หลวงปู่ครูบาวงศ์ฯนั่นเอง
    <table id="table5" border="0" align="right"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript"> ศรัทธาของชาวกะเหรี่ยง
    </td></tr></tbody></table> เพื่อนผมคนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายมาหารือกับผม ผมจึงแนะนำให้ปลอมตัวเป็นชาวบ้าน ไปดูเหตุการณ์ อย่าเพิ่งทำอะไรให้มันบุ่มบ่ามเดี๋ยวจะพลาดลงนรก มันก็เชื่อครับ
    พอมันกลับมามันก็ด่าพ่อล่อแม่คนสั่งเสียลั่นค่าย ใส่ไม่ทันนับคะแนนให้ไปเลยครับ มันเล่าว่าพอตกค่ำพระองค์นั้นก็นำกะเหรี่ยงทั้งหมู่บ้านนับได้เป็นพันๆ คนล้นห้องประชุม สวดมนต์ทำวัตรเย็น แล้วก็เทศน์เป็นภาษากะเหรี่ยง (ที่รู้เพราะได้นำกะเหรี่ยงแหล่งข่าวติดตามไปด้วย) เทศน์จบแล้วก็สอนกรรมฐาน กะเหรี่ยงนั่งหลับตาภาวนานับลูกประคำกันเป็นทิวแถว
    มันโวยวายว่า ไอ้จระเข้น้อย เอ๊ย มารดางู ! หาว่าพระท่านซ่องสุมผู้คนก่อการร้าย กูไม่เคยพบเคยเห็น ผู้คนมากมายศรัทธาในพระศาสนาออกอย่างนี้ ห้องประชุมที่มันรายงานมาที่แท้เป็นศาลาฟังธรรมว่ะ ยาวตั้ง ๑๐๐ เมตร อย่างนั้นยังไม่พอบรรจุ ผู้คนล้นออกไปนอกศาลา มากกว่าที่ได้อยู่ข้างในเสียอีกบานเบอะ ไอ้ฉิบหาไม่เจอ เกือบทำกูลงนรกไปแล้ว ไม้ถ่งไม้เถื่อนกูไม่สนใจแล้ว ท่านไม่ได้ตัดเองนี่หว่า ซื้อบ้าง กะเหรี่ยงตัดมาถวายบ้าง กูไปอยู่ ๗ วันแทบลงแดงตาย มันแดกผักกันทั้งบ้านทั้งเมือง ขี้งี้เขียวปี๋เลยกู ถ้าท่านจะสร้างเพิ่มเติมอีก คราวนี้กูจะไปตัดให้เอง มึงคอยดู
    ไอ้เพื่อนผมคนนี้ปกติมันไม่ค่อยจะเข้าวัดเข้าวาหรอกครับ ก็เหมือนกับผมในสมัยนั้น ส่วนใหญ่ก็จะไปแค่ใกล้ๆ กำแพงก็พอแล้ว ไม่เว้นวันพระวันโกน แต่ไม่ใช่กำแพงวัดครับ เป็นกำแพงดิน (สำนักบริการ ... อยู่ที่ จ.เชียงใหม่) ระยำจริงๆ พวกผมนี่...
    เป็นอันว่าหลวงปู่ครูบาวงศ์ฯนั้น ก็รอดจากการถูกจับสึกเป็นครั้งที่สอง ส่วนเพื่อนของผมเองนั้น ก็รอดจากนรกไป เส้นยาแดงผ่าแปด
    <table id="table4" border="0" align="left"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript"> ๑. คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ๒. พล.ต.ชวาล กาญจนกุล
    ๓. หลวงปู่คำแสน (เล็ก) ๔. หลวงปู่ชุ่ม ๕. หลวงปู่ธรรมชัย
    ๖. หลวงปู่สิม ๗. หลวงพ่อพระมหาวีระ ๘. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์
    (อธิบายภาพโดย - เว็บวัดท่าซุง)
    </td></tr></tbody></table> มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คณะของเราไปแจกสิ่งของ และเครื่อง ลาง ของขลัง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับนักรบชายแดน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจทหาร หรือพลเรือน ขากลับเราแวะรับหลวงปู่ครูบาวงศ์ฯ เดินทางมาโดยรถบัสคันเดียวกัน
    หลวงปู่ฯ ท่านรื่นเริงมาก เดี๋ยวก็เดินไปนั่งคุยกับคนนั้นคนโน้นไม่ได้หยุด ผมนั้นกำลังเคร่งขรึม เพราะพอใกล้จะถึงบ้านก็เหมือนใกล้ถึงนรก ซึ่งที่จริงแล้วนรกมันอยู่ในใจของผมนั่นเอง ผมกำลังคิดจะเปลี่ยนภริยาใหม่ครับ เป็นผู้หญิงคนใหม่ที่สวยสด การศึกษาดี มีทรัพย์สมบัติ และยินยอมพร้อมใจกับผมทุกอย่าง กำลังรอคอยคำตอบจากผม ขอเพียงให้ผมตอบเธอว่าตกลงเท่านั้น ผมก็จะพ้นจากนรกขุมเก่าทันที (ไปลงนรกขุมใหม่)
    หลวงปู่ฯ ท่านได้เดินมานั่งข้างๆ ผม ถามว่า คืนนี้จะค้างที่บ้านสายลมหรือเปล่า
    ผมตอบปฏิเสธ
    ท่านมองหน้าผมแล้วก็พูดขึ้นมาดังๆ ท่ามกลางคนหมู่มากที่กำลังสนใจอยู่ว่า รู้จัก “วัวหำคด” ไหม ?
    ผมส่ายหน้าว่าไม่รู้จัก
    ท่านก็อธิบายทันทีว่า วัวหนุ่มกำลังคึกคะนอง แต่โชคร้าย มันเกิดมาหำคดจึงทับตัวเมียไม่สำเร็จ ทำให้มันคลุ้มคลั่งเป็นบ้าเป็นบอไป
    ผมนึกในใจ เอ๊ะ ! นี่ท่านกำลังด่าผมอยู่หรือเปล่านะเนี่ย
    หลวงปู่ฯ ซึ่งกำลังจ้องหน้าผมอย่างเอาจริงเอาจัง พยักหน้ารับ แต่ไม่ได้พูด
    เป็นอันรู้กันสองคนว่าท่านกำลังว่าผม
    ท่านว่าอีกว่า วัวมันโง่ไม่มีความคิด ไม่รู้จักแก้ไข เราเป็นคนใช้หัวสมองแก้ไขได้ คืนนี้อยู่นวดให้หลวงปู่ฯ หลวงพ่อฯ ที่บ้านสายลมจะดีกว่านะ
     
  17. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    ผมก้มหน้านิ่งอึ้งไป ในที่สุดก็ตอบท่านไปว่า ไม่หรอกครับ ที่หลวงปู่ฯ เตือนนั้นผมเข้าใจ ผมคิดได้แล้ว และจะรีบไปแก้ไขปัญหาด้วยหัวสมอง
    หลวงปู่ฯ ท่านเอามือจับศีรษะผมแล้วภาวนาให้ศีลให้พรยาวเหยียด ขนาดผมที่นั่งฟังยังเหนื่อยแทน เสร็จแล้วท่านก็เป่าพรวดบอกว่า เอ้า! ดีแล้ว ไปได้ ไปสู้กับเขาได้แล้วทีนี้
    และผมก็สามารถรอดพ้นจากบ่วงกรรมไปได้อีกครั้งหนึ่ง เพราะไอ้วัวหำคดตัวนั้นนั่นเอง
    หลวงปู่ครูบาวงศ์ฯ นับเป็นพระสุปฏิปันโนที่อ่อนอาวุโสในเรื่องวัยวุฒิที่สุดเท่าที่พวกเราได้พบ มา แต่แปลกนะครับเราเรียกหลวงปู่ฯ ว่าหลวงปู่ฯ แต่กลับเรียกหลวงพ่อฯ ซึ่งวัยวุฒิสูงกว่าว่าหลวงพ่อฯ
    <table id="table2" border="0" align="right"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript"> หลวงปู่ทืมฯ
    </td></tr></tbody></table> หลวงปู่ฯ กับหลวงปู่ฯ ทืมฯ นับว่าเป็นพระที่สนิมสนมกันมาก เมื่อหลวงปู่ทืมฯ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูปลัดฯ ในท่านเจ้าคุณราช เจ้าอาวาสวัดจามเทวี ได้ขอตำแหน่งพระครูใบฎีกา ให้กับหลวงปู่วงศ์ฯ ด้วย ไปไหนก็มักจะไปด้วยกัน ทำอะไรก็มักจะคิดร่วมกัน ทำร่วมกันมาโดยตลอด
    ส่วนใหญ่หลวงปู่ทืมฯ คิด แต่ให้หลวงปู่วงศ์ฯ ทำ เพราะหลวงปู่ทืมฯ ไม่แข็งแรง ส่วนหลวงปู่วงศ์ฯ โน่น! พบกันคราวใดมักจะเห็นอยู่บนนั่งร้านหรือไม่ก็บนหลังคา ไม่ศาลาก็โบสถ์ ลงมือสร้างเองมุงเองเสร็จถาวรวัตถุในพระศาสนา
    หลวงพ่อของพวกเราก็ไม่เบานะครับ สมัยก่อนโน้นที่ท่านเล่าว่าติดตามหลวงพ่อปานฯ ไปสร้างถาวรวัตถุในพระศาสนาตามที่ต่างๆ สมัยโบราณท่านลงไม้ลงมือไสไม้เทปูนมุงหลังคาเป็นช่างไปในตัว ลงมือเองครับไม่ใช่เพียงแค่คุมช่างหรือสั่งการ
    สมัยที่ผมยังบวชและปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อฯ ๆ ก็จะลงมาคุมการก่อสร้างทุกวันไม่เคยขาด ถ้าไม่มีกิจสำคัญอย่างอื่น ท่านคุมไปสั่งงานการก่อสร้างไปแล้วก็เล่าเรื่องเก่าๆ ขำๆ เกี่ยวกับการก่อสร้าง และการก่อสร้างหรือตระเตรียมการงานต่างๆ กว่าจะได้แค่คืบ แค่ศอกก็แทบจะหืดขึ้นคอ ปัจจัยกว่าจะได้สักบาทสักสลึงไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ต้องตะลอนๆ ไปตามที่ต่างๆ อย่างเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด และการสร้างของหลวงพ่อฯ นั้น จะยึดหลักดังนี้
    ๑. ราคาถูกที่สุด
    ๒. คุณภาพดีที่สุด (ไม่เฉพาะเรื่องความมั่นคงแข็งแรงเท่านั้น แต่หมายความรวมถึงความสวยงามและความเป็นระเบียบถูกแบบแผนด้วย)
    ๓. รวดเร็วที่สุด (และต้องทันเวลาด้วย)
    ๔. จ่ายเงินตามเวลาที่นัดไว้
    ๕. มีของแถม
    เฉพาะ ๔ ข้อแรกก็ต้องนับว่ายอดเยี่ยมทำได้ยากแล้ว แต่ข้อ ๕ นี่ซีครับจึงจะนับว่า น่าทึ่ง ในความสามารถของหลวงพ่อฯ เป็นที่สุด
    ในสมัยที่ผมได้อยู่ใกล้ชิดและมีโอกาสติดตามหลวงพ่อฯ มักจะได้ยินได้ฟังการพูดคุยและเจรจาระหว่างนายช่างผู้รับเหมากับหลวงพ่อฯ เสมอๆ ซึ่งทุกครั้งดูเหมือนหลวงพ่อฯ จะต้องกลายเป็นผู้คอยแนะนำและชี้ช่อง หรือวิธีการในการก่อสร้างที่จะให้บังเกิดผล ตามที่ได้กล่าวเอาไว้ใน ๓ ข้อแรกเสมอๆ และเทคนิคที่หลวงพ่อฯ แนะนำให้กับผู้รับเหมา มักจะเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน บางเรื่องเหมือนเส้นผมบังภูเขา ซึ่งเมื่อเขาได้ไตร่ตรองดูแล้วก็มักจะพบว่าถ้าทำตามหลวงพ่อฯ แล้วงานของเขาจะง่ายเข้า เร็วขึ้นแถมต้นทุนก็จะลดลง ทำให้เขามีกำไรมากกว่าเท่าที่เคยประมาณการมา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะต้องเสนอการก่อสร้างเพิ่มขึ้นให้ฟรีๆ เป็นของแถมให้กับหลวงพ่อฯ เสมอๆ นี่แหละผมถึงว่า มีของแถม

     
  18. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]
     
  19. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]เกร็ดประวัติหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา ๓
    วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน
    โพสท์ใน เวบ PaLungJit.com โดย hero_ultra (ณพลเดช รักษ์บำรุง) เมื่อ 11-10-2007
    <center> [​IMG]
    </center>
    ประวัติพระบาทกบ
    จากหนังสือ ธรรมปกิณกะ เล่ม 1
    ...มีเรื่องของประวัติพระบาทกบ เกี่ยวเนื่องกับครูบาท่าน
    ในอดีตกาล ในยุคที่ พระพุทธตัณหังกะโร ได้มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    (ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ย้อนไป 28 พระองค์)
    มีเด็กชายพี่น้อง 4 คน เป็นคนยากจน กำพร้าพ่อแม่ ตั้งแต่ยังเล็กๆด้วยกัน จึงต้องหาอาชีพรับจ้างทั่วไป เพื่อหาเลี้ยงปากท้องไปวันๆ บางวันก็ไม่ค่อยพอ กินไม่ค่อยอิ่ม
    เด็กชายพี่น้อง 4 คน ต่างก็รับจ้างเป็นคนเลี้ยงควาย ให้กับนายบ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) ผู้มีฐานะคนหนึ่งเป็นประจำ พวกเขาจะต้อนควายฝูงใหญ่ให้หากินหญ้าตามประสาที่กลางทุ่งแห่งหนึ่ง ส่วนพวกเขาก็จะไปหลบพักนั่งหลบแดดอยู่ภายใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง คือ "ต้นทองกวาว"
    ในขณะที่นั่งพักก็จะเฝ้าดูควายไปด้วย พอตกเย็นก็ช่วยกันต้อนควายเหล่านั้นกลับเข้าคอก จะกระทำเช่นนี้อยู่ทุกวันเป็นประจำ
    วันหนึ่งประมาณเที่ยงวัน ขณะที่พวกเขา 4 คนพี่น้อง นั่งหลบแดดเฝ้าดูควายอยู่ภายใต้ร่มต้นทองกวาวอยู่นั้น ก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย
    ในที่สุดก็เลยถามกันเองว่า "พวกเรา 4 พี่น้องนี้ ใครปรารถนาอยากจะเป็น อยากจะได้อะไรบ้าง ใครนึกอยากจะมีอะไร ทำอะไรก็ให้บอกมา"
    โดยพวกพี่ทั้ง 3 คน ได้พูดถามกับน้องคนสุดท้องว่า "น้องล่า..จะเป็นอะไรอยากได้อะไร อยากจะเป็นเจ้านาย เศรษฐีร่ำรวยมีข้าวของ เงินทอง หรืออยากได้อะไรให้พูดมาเลย"
    น้องคนสุดท้อง ก็มานั่งคิดพิจารณาว่าจะเป็นอะไรดี จะเป็นเจ้าบ้านเจ้าเมืองก็มีความทุกข์ ปัญหามาก เป็นคนมั่งมีข้าวของเงินทองก็ทุกข์ ต้องคอยระวังรักษา เป็นเจ้าลูก-เจ้าเมียก็ทุกข์ อันใดก็ทุกข์ทุกอย่าง ไม่เห็นดี ไม่เป็นสุขโดยตลอดเลย สู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าดีกว่า จะได้พ้นทุกข์ มีสุขอย่างแท้จริง
    จึงได้กล่าวตอบพวกพี่ๆ ไปว่า
    "พี่ของข้าทั้ง 3 เอ๋ย ตัวข้าปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว"
    แล้วน้องสุดท้องก็ถามกลับยังพี่ชายคนที่ 3 ว่า
    "แล้วอ้ายล่ะ ปรารถนาอะไร อยากเป็นอะไร อยากได้อะไร"
    พี่คนที่ 3 ก็ว่า "ถ้าน้องปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ตัวอ้ายก็ปรารถนาจะเอาขี้บูชา"
    น้องสุดท้องก็ตอบว่า "ดีแล้ว...ถ้าอ้ายปรารถนาอย่างนี้"
    หลังจากนั้นน้องสุดท้องก็ถามพี่ชายคนที่ 2 ว่า "อ้ายล่ะ ปรารถนาอยากได้อะไร อยากเป็นอะไร ขอให้บอกแก่น้องด้วย"
    พี่คนที่ 2 ก็ตอบว่า "ถ้าน้องปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า อ้ายก็ปรารถนาจะถอนขนที่ก้นบูชา"
    น้องก็ตอบว่า "ดีแล้ว อ้ายปรารถนาอย่างนั้นดีแล้ว"
    พี่ชายคนโตเมื่อได้ยินน้องรองทั้งสองกล่าวคำปรารถนาเช่นนั้นต่อน้องสุดท้อง ก็ไม่พอใจ
    จึงได้กล่าวดุด่าน้องทั้งสองว่า "พวกสูนี่โง่เง่าหรืออย่างไร น้องปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แต่สูทั้งสองกลับจะเอาของไม่ดีไปบูชา สูนี่แย่ โง่เง่าเต่าตุ่น ที่ถูก เราควรปรารถนาอย่างน้องล่าดีกว่า"
    พี่น้องทั้ง 4 พูดกันแค่นี้แล้วก็เลิกกันไป
    เวลาผ่านไป จนพี่คนโตถึงแก่กรรม ก็ได้ไปเกิดเป็น พญากบ เฝ้าดอกบัวอยู่
    น้องคนที่สอง เมื่อถึงแก่กรรมก็ไปเกิดเป็น พญานกยูง
    น้องคนที่สาม ถึงแก่กรรมตามอายุขัยก็ไปเกิดเป็น พญาผึ้ง
    ส่วนน้องคนสุดท้องปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อถึงแก่กรรมก็ไปเกิดเป็นผู้มีศีล มีสัตย์ มีเมตตาและได้เกิดเป็นหน่อพุทธางกูรมาทุกชาติ จนเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
    ส่วนพี่ๆ ทั้ง 3 คน ก็ได้บำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ ไป ในอนาคตกาลตามวิถีแห่งความปรารถนาในภายหลัง
    ผลจากการตั้งจิตปรารถนาอะไร อย่างไรไว้ ก็ต้องเป็นไปตามผลแห่งความปรารถนา ตามนั้น
    น้องคนสุดท้องปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องมีความอุตสาหะ วิริยะ บำเพ็ญบารมี สร้างสมคุณงามความดี เป็นเวลาถึง 4 อสงไขยแสนกัป จึงได้เป็นพระพุทธเจ้าตามความปรารถนา
    ส่วนพี่คนที่ 3 (ตัวครูบา) ที่ปรารถนาจะเอาขี้บูชา ก็ได้เป็นพญาผึ้ง ซึ่งคนทั้งหลายจะนำเอาขี้มาทำเป็นเทียน เพื่อจุดบูชาพระพุทธรูป หรือพระธาตุเจดีย์วิหาร เป็นปูชนียวัตถุแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ส่วนพี่คนที่ 2 ที่ปรารถนาจะเอาขนที่ก้นบูชาพระพุทธเจ้า ก็ได้มาเกิดเป็นพญานกยูง ซึ่งพุทธบริษัทได้นำเอาขนหางที่สวยงามมาทำเป็นพัดและเครื่องประดับ เพื่อใช้บูชาในพิธีทางศาสนาต่างๆ
    ส่วนผลกรรมของพี่ชายคนโตที่ว่า "น้อง 2 คน โง่เง่า" ทำให้มาเกิดเป็นพญากบ เฝ้าดอกบัวอยู่ โดยไม่รู้คุณค่าของดอกบัว และยังติดตามมาในชาติต่อๆมา แม้เมื่อมาเกิดเป็นกษัตริย์ บริวารของท่านก็ใช้คำพูดไม่ดีเป็นอาจิณกรรม คือชอบว่าผู้อื่น "โง่ เซ่อ" เป็นประจำ
    ฝ่ายพญานกยูง ซึ่งเป็นน้องคนที่ 2 เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ บริวารของท่านคือ พม่า และ ไทยใหญ่ ซึ่งมีนิสัยใช้ผ้าโสร่งที่ปกปิดก้น เอามาเช็ดหน้า เอามาหนุนนอน เช่นเดียวกับนกยูงซึ่งถือหางเป็นสำคัญ
    ส่วนพญาผึ้ง ซึ่งเป็นน้องคนที่ 3 เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์อีก บริวารของท่านคือ พวกกระเหรี่ยง พวกละว้า พวกชาวเขาเผ่าต่างๆ พวกนี้มีอาจิณกรรม คือ มีนิสัยนุ่งผ้าแล้วไม่ยอมซัก นุ่งจนผุจนขาด ถ้วยไหตะไลชามของใช้ก็ไม่ยอมล้าง ตัวก็ไม่ใคร่จะอาบน้ำ ขี้ไคลพอกอยู่หนา แทบจะเอามาปั้นเป็นก้อนเหมือนขี้ผึ้งได้ คล้ายๆ กับผึ้งที่สะสมขี้เอาไว้ฉะนั้น
    อาจจะกล่าวได้ว่า อุปนิสัยของแต่ละคน แต่ละเชื้อชาติ ย่อมสืบทอดสะสมกันมาเป็นอเนกชาติ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ในชาติปัจจุบัน แม้แต่พระอัครสาวกก็ไม่เว้น จะมียกเว้นแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
    [​IMG]
     
  20. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    ขอย้อนกล่าวถึงพี่ชายคนโต ซึ่งมาเกิดเป็นพญากบ ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระพุทธกัสสปะ (พระพุทธเจ้าองค์ก่อนพระสมณโคดม) ในระยะนั้นมีพระมหาเถระเจ้าองค์หนึ่ง ธุดงค์มาที่วัดพระบาทห้วยต้ม มาหยุดพักอยู่พี่พระบาทกบในปัจจุบัน ท่านได้สวดพระอภิธรรมและมาติกา ณ ที่นั้น
    ขณะเดียวกันพญากบได้ออกจากฝั่งแม่น้ำและเข้ามาใกล้พระมหาเถระ พญากบก็ได้ยินเสียงมหาเถระเจ้าสวดอยู่ก็ยินดีนั่งฟัง เข้าใจว่าเสียงนี้เป็นเสียงของพระพุทธเจ้า
    พญากบตั้งสตินั่งฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ในขณะที่พระมหาเถระเจ้ายังสวดไม่จบ ก็มีหมอพรานปลาผู้หนึ่ง ซึ่งหากินด้วยการหาปลา นำเอาเหล็กแหลมสำหรับแทงตะพาบน้ำมาด้วย
    เมื่อเดินมาพบพระมหาเถระเจ้ากำลังสวดอยู่ แต่ไม่เห็นพญากบที่กำลังฟังธรรมอยู่นั้น หมอพรานปลาผู้นั้นก็เอาเหล็กแหลมที่ถือมานั้นทิ้ง (ปัก) ลงไปถูกพญากบโดยไม่ตั้งใจ
    ส่วนพญากบนั้นถูกเหล็กแหลมแทงตัวก็ยังไม่รู้สึกตัว เพระฟังพระสวดเพลินอยู่
    ส่วนพรานปลาผู้นั้นก็น้อมตัวเข้าไปใกล้พระมหาเถระเจ้า นั่งลงคุกเข่าไหว้ แล้วฟังเทศน์ที่นั่นจนพระมหาเถระเทศน์จบ
    เมื่อจบแล้วก็ไหว้พระมหาเถระ แล้วก็กลับหลังออกมาเอาเหล็กแหลมที่ปักไว้ ก็เห็นเหล็กแหลมแทงใส่พญากบก็ถอนออก แล้วร้องว่า "โอ้หนอ....เหล็กนี่แทงถูกกบตายเสียแล้ว"
    ส่วนพระมหาเถระได้ยินเสียงหมอพรานร้องอย่างนั้น ก็เข้ามาใกล้ที่หมอพรานแทงพญากบ และบอกว่า
    "อ้าว....หมอพรานทำไมแทงใส่กบ กบนี้ไม่ใช่กบธรรมดาสามัญ เป็นพญากบตัววิเศษ มันดักนิ่งฟังธรรมอยู่"
    <table id="table20" border="0" align="left"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
    หมอพรานก็บอกมหาเถระเจ้าว่า
    "ข้าพเจ้าไม่รู้ว่ากบอยู่ที่นี่ ข้าก็เอาเหล็กแหลมนี่ทิ้งลงไปซ่อนไว้ที่นี่ เพื่อจะไปฟังธรรมที่ท่านเทศน์อยู่ เพราะจะเอาเหล็กแหลมนี่ไปด้วย ก็ไม่สมควรจะนำไปฟังเทศน์ ข้าพเจ้าก็เลยเอาทิ้งไว้นี่ เพราะไม่รู้ว่ากบอยู่ที่นี่"
    พระมหาเถระก็สงสารกบตัวนั้น จึงตั้งสัจจะอธิษฐานเอาเท้าเหยียบหลังกบ ให้เป็นรอยพระบาทไว้ เพื่อให้เป็นอนุสรณ์ต่อไปเบื้องหน้า
    ส่วนพญากบ ขณะที่ถูกแทงก็ไม่รู้ตัวว่าตาย เมื่อรู้ตัวก็กลายเป็นเทพบุตรอยู่ชั้นฟ้าดาวดึงส์ อยู่ปราสาทสูง 12โยชน์ กว้าง 12 โยชน์ มีเทพยดาทั้งหลายเป็นบริวารอยู่มากมายหลายโกฏิ
    เนื่องจากผลบุญกุศลที่พญากบได้ตั้งใจฟังเทศน์อยู่นั้น ทำให้พญากบได้ไปเกิดชั้นดาวดึงส์ เป็นเทพอยู่ชั้นฟ้า7 ชาติ ตายจากชั้นฟ้าก็มาเกิดเป็นมหาเศรษฐีอยู่ในมนุษยโลก ได้เป็นใหญ่ในบรรดาเศรษฐีทั่วไป มีนามว่า เมณฑกมหาเศรษฐี
    ต่อจากนั้นมาก็ได้มาเกิดเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์อีกหลายชาติ และท่านเมณฑกมหาเศรษฐีนี้ ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภายหน้า
    ในขณะที่ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้านี้ ก็ยังเป็นหน่อพุทธางกูร บำเพ็ญบารมีอยู่ทุกชาติ จนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
    ฉะนั้น พวกเราพุทธบริษัททั้งหลายจึงควรเอานิสัยพญากบที่ได้ฟังเทศน์อย่างตั้งใจจนได้เป็น เมณฑกเทวบุตร
    <table id="table21" border="0" align="right"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript" colspan="2">มณฑปที่สร้างครอบรูปกบ</td></tr></tbody></table>
    ส่วนพญาผึ้ง และพญานกยูง ท่านก็เป็นหน่อพุทธางกูร บำเพ็ญบารมี 30 ทัศน์ ไปทุกชาติ จนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลก อีกองค์หนึ่ง ในภายหน้า
    ในหนังสือพระชัยวงศาปูชนียาลัย กล่าวกันว่าพี่ชายคนที่สอง ในอดีตชาติ ได้เกิดเป็นพระภิกษุในประเทศพม่า มีพระนามว่า พระอนันตยา ซึ่งเป็นพระภิกษุรูปหนึ่งที่มีชื่อเสียง และเป็นที่เคารพรักของชาวพม่าและมอญ รวมทั้งไทยใหญ่ โดยทั่วไป (ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว)
    หลวงพ่อองค์นี้ไม่เคยพบกันกับครูบา แต่ท่านทั้งสองก็รู้จักกันดี มีบันทึกยืนยันจากลูกศิษย์
    ส่วนพี่ชายคนที่สามนั้น (คือท่านครูบา) ต่อมาในสมัย พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ก็ได้เกิดเป็นพญากวาง ดังมีตำนานเล่ากันต่อมา
    [​IMG]
    หมายเหตุเพิ่มเติม
    ต่อมาพญากบตัวนั้นได้กลายเป็นหินเป็นรูปร่างกบ มีรอยพระบาทประทับอยู่ที่หลัง ปัจจุบันครูบาชัยวงศาท่านได้สร้างรูปกบครอบรอยจริงไว้ และสร้างมณฑปครอบอีกชั้นหนึ่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...