รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    มีประโยชน์มากครับ ท่านชัดไม่ธรรมดา จริง ๆ น่านับถือยิ่งแล้ว ท่าน อนุโมนาครับ
     
  2. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    การปฏิบัติเมตตาอัปปมาณฌาณที่ละเอียดขึ้นค่ะ

    <TABLE class=tborder id=post2630398 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->kananun<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2630398", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: May 2006
    ข้อความ: 8,717
    Groans: 10
    Groaned at 16 Times in 16 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 36,795
    ได้รับอนุโมทนา 165,442 ครั้ง ใน 8,766 โพส
    พลังการให้คะแนน: 9770 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2630398 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    เมตตา ในทุกความคิด

    เมตตา ในทุกวาจา ที่เปี่ยมไปด้วยกำลังใจให้ผู้อื่น

    เมตตา ในทุกการกระทำที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจอันอบอุ่น

    เมตตา ไปในทุกก้าวย่างที่สัมผัสผืนแผ่นดิน

    เมตตา ไปในทุกสัมผัส

    เมตตาไปในทุกครั้งที่เรารินน้ำ ที่เราดื่มเองก็ดี รินให้ผู้อื่นก้ดี ใจเรารินดั่งการกรวดน้ำแผ่เมตตาไปในอาการแห่งการรินหลั่งสายน้ำไปในทุกหยาดด้วยเมตตา

    เมตตาให้ล้นหัวใจเราได้ในทุกครั้งที่ เรารำลึกได้เองเป็นธรรมชาติ

    เมตตาโดยไร้สิ่งขวางกั้น ขัดขวางใด ไม่ว่าเป็นระยะทาง เวลา มิติ ภพ จนจิตเรามีเมตตาไม่มีประมาณ

    เมตตาอย่างไม่หมดสิ้น ไม่เหือดหายไปจากใจ มีแต่ความสุข ความชุ่มฉ่ำใจสุขเย็นไม่สิ้นสุด

    จนทุกเวลาเราดำรงทรงอยู่ในพรหมวิหารสี่เป็นปกติ

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
    " จิตใจที่ดีงามจะคงอยู่ตลอดไป "

    วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
    แจกเหรียญทำน้ำมนต์เพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ทั่วประเทศไทย

    บัญชี เพื่องาน พลังจิตพิชิตภัยพิบัติ คณานันท์ ทวีโภค
    บัญชี ออมทรัพย์ ธ.กรุงเทพ สาขาคลองสานเลขที่ 151-0-91868-1
    บัญชี เพื่องานพระบรมสารีริกธาตุ และ การสร้างพระเจ้าองค์แสน
    ธ.กรุงเทพ สาขาสยามพารากอน เลขที่ 855-0-14998-6
    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. เมตตาบารมี

    เมตตาบารมี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2009
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +133
    ขอขอบคุณพี่มากนะค่ะที่ตอบปัญหาที่ต้องการรู้ขออนุโมทนาสาธุนะค่ะพี่
     
  4. nataphat

    nataphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2009
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +246
    พี่ครับพอดีตอนนี้ย้ายบ้านมาอยู่จังหวัดอุทัยธานีแล้วไม่เคยฝึกมโนอิทธิเลยจะไปฝึกเต็มกำลังได้ไหมครับหรือต้องค่อยเป็นค่อยไปครับ
     
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ sagi kaew ครับ

    นั่งสมาธิแล้วก็รู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในบ่อน้ำหรือในทะเล เป็นสีน้ำเงิน
    รู้สึกเย็นสบาย
    เคยพยายามไม่สนใจ ปล่อยๆไป
    แต่มันก็ยังนิ่งไปเรื่อยๆ

    แล้วควรจะทำยังไงต่อไปคะ ก็ปล่อยไว้อย่างนั้นไปเรื่อยๆรึป่าว

    แล้วบางทีชอบมีเสียงดังรอบๆตัว มาทำให้ตกใจอยู่ตลอดในเวลาที่ทำสมาธิ
    ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีค่ะ

    เสียงที่ดังรอบๆตัวนั้น ให้เราทำใจสบายๆ อย่าไปสนใจ
    และอย่าให้ใจกระเพื่อมหวั่นไหว ไปกับเสียง เพราะจะทำให้เราเสียสมาธิครับ
    บางครั้งก็เป็นวิบากของเราครับ ให้เราแผ่เมตตาเยอะๆ เดี้ยวก็จะหายไปเองครับ
    และลองหันมาทำสมาธิโดยไม่ต้องหลับตา ลืมตาทำสมาธิ ก็จะช่วยได้ครับ
    <!-- google_ad_section_end -->

    ส่วนความเย็นนั้น เป็นความเย็นที่เกิดจากสมาธิ จะเย็น เบา สบาย ซ่านๆนิดๆ

    ก่อนอื่นนะครับ ให้เราอธิษฐานปักหมุดเอาไว้ก่อนครับ

    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งสภาวะแห่งความสุข ชุ่มเย็นจากสมาธินี้ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำไปสามครั้งครับ

    เสร็จแล้วอารมณ์นี้ยังไม่สุดครับ ยังทำได้เต็มที่มากกว่านี้
    ตอนนี้เรามีความสุขแล้ว ความชุ่มเย็น ได้บังเกิดขึ้นแก่ดวงจิตของเราแล้ว
    ให้เรามอบความสุข แผ่ความสุข ความชุ่มเย็น ที่เราได้สัมผัสนี้ ออกไปยังทั้งโลก ทั้งจักรวาล ออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณครับ

    อ่านแล้วทำตามเลยนะครับ

    โดยทำความรู้สึกว่า ตอนนี้เรากำลังอยู่ในน้ำใช่ไหมครับ
    ให้ทำความรู้สึกว่า มีคลื่นแห่งความสุขกาย สุขใจ อารมณ์ที่ทำให้เรามีความสุข
    ความชุ่มเย็น ความเบาสบาย ความอิ่มเอิบใจ ที่เรากำลังสัมผัสอยู่ ณ ขณะนี้
    ให้แผ่กระจายออกไปเป็นวงคลื่น คล้ายผืนน้ำราบเรียบมีหินตกกระทบ แผ่คลื่นวงน้ำ
    คลื่นแห่งความสุข ความเย็น กระจายออกไป จากหัวใจ จากดวงจิตที่กลางอกของเรา
    ออกไปยังรอบๆตัวของเรา คลื่นที่แผ่ออกไป ให้เป็นคลื่นสีเพชร ประกายเพชรระยิบระยับ
    มหาสมุทรที่ราบเรียบ มีคลื่นเพชร รัศมีเพชร ส่องสว่าง จากดวงจิตของเราแผ่กระจายออกไป
    ไปยังทั้งร่างของเราก่อน เห็นว่าร่างกายของเรา ทุกส่วน เปลี่ยนเป็นเพชร ใสประกายระยิบระยับทั้งร่าง
    ปรับธาตุ ชำระธาตุ ล้างธาตุที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บในร่างกายของเราออกไป ด้วยรัศมีเพชรแห่งเมตตา
    แล้วให้รรัศมีเพชร คลื่นความเย็นจากเมตตานี้ ส่องสว่างออกไป จนปกคลุมยังบ้านของเรา
    จนบ้านของเราเป็นเพชรทั้งหมด แผ่ขยายกระจายออกไปจนปกคลุมยังทั้งจังหวัด ประเทศ
    เห็นว่า อณูของ ธาตุดินน้ำลมไฟ ทั้งหมดบนผืนแผ่นดินไทย เปลี่ยนสภาพกลายเป็นเพชรไปหมด
    ให้มีบรรยากาศแห่งความสุข บรรยากาศแห่งความเมตตา แผ่กระจายส่องสว่างไปยังทั้งโลกใบนี้
    ผืนน้ำ ผืนมหาสมุทรทั้งโลก เปลี่ยนเป็นผลึกเพชร ใส สว่าง สัตว์น้อยใหญ๋ ทั้งบนบกในน้ำ
    เมื่อได้สัมผัสคลื่นแห่งความเมตตาของเราแล้ว ก็เห็นร่างกายของเขาทั้งหมด ดวงจิตของทุกๆคนบนโลกใบนี้
    แปรสภาพ เปลี่ยนสภาพ กลายเป็นเพชรเม็ดงาม
    ทำความรูสึกว่า ดวงจิตของเรา ค่อยๆแย้มยิ้ม ค่อยเบิกบาน เหมือนกับดอกไม้จากภายในจิตใจของเรา
    ให้ใจของเราเบิกบาน ตื่นขึ้น สว่างขึ้น จากภายใน สัมผัสให้ถึงซึ่งอาการที่ดวงจิตเบิกบาน เบ่งบาน แย้มยิ้ม จากภายใน
    ให้รอยแย้มยิ้มภายในจิตใจของเรา ฉายออกมาทางรูปกายภายนอก ให้แย้มยิ้มตามดวงจิตของเรา ฉายออกมาในการกระทำที่มีความอ่อนโยน ออกมาทางวาจาที่จรรโลงจิตใจของผู้อื่น ออกมาทางความคิด ที่คิดแต่บุญแต่กุศล
    แผ่ความรักความเมตตาส่องสว่างออกไปยังทั้งจักรวาล แผ่ออกไปยังทุกๆทิศทาง ทุกมิติทุกภพภูมิ แผ่ออกไปยังทั้งจักรวาล อย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ
    ส่องสว่างทั้งจักรวาล ให้เป็นเพชร ให้ใสสว่าง เป็นเพชรระยิบระยับ ด้วยความเมตตาจากหัวใจของเรา
    เรามีแต่ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อทุกๆดวงจิตเสมอกัน
    แผ่คลื่นแห่งความสุข ความรัก ความชุ่มเย็น จากหัวใจของเราออกไปเรื่อยๆ
    จนใจของเราเกิดความเบาสบาย ความชุ่มเย็น ความอิ่มใจ

    รักษาประคองอารมณ์ใจ ให้ดวงจิตของเราเป็นเพชร เป็นดอกไม้บาน แย้มยิ้มอยู่เสมอ

    เสร็จแล้วก็ให้เราตั้งจิตอธิษฐานว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งความรักความเมตตา อันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ ความงดงามภายในจิตใจ ความเป็นเพชรของดวงจิต
    ได้ตลอดไป ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำเอาไว้สามครั้ง

    เสร็จแล้วให้เราประคองอารมณ์เมตตานี้เอาไว้
    แล้วค่อยๆหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ หายใจออกช้าๆ
    แล้วค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิ
    ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ
    แล้วให้จิตเบิกบาน เบ่งบาน แย้มยิ้ม อย่างถึงที่สุด พร้อมๆกับที่เราถอนออกจาสมาธิ และลืมตาขึ้น

    พอเราได้อารมณ์เมตตาอย่างเต็มที่แล้ว ให้เราฝึกประคับประคอง และทรงเอาไว้ให้ได้ตลอดเวลา ทั้งยามหลับยามตื่น หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข

    พอทำได้จนคล่องแล้ว เราค่อยหันไปทำขั้นวิปัสสนา คือการพิจารณาเพื่อปล่อยวาง เพื่อละกิเลส เพื่อตัดสังโยชน์ต่อไป

    ขอให้ทุกๆคนสามารถเข้าถึงซึ่งความชุ่มเย็น ความสบาย ความสุขใจ การตื่นขึ้นจากภายในจิตใจ ความงดงาม ความเบิกบานจากเมตตาที่ยิ่งๆขึ้นไป
    ได้ตลอดทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกภพชาติ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  6. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post753397 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Hma<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_753397", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 714
    Groans: 4
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 5,056
    ได้รับอนุโมทนา 7,977 ครั้ง ใน 707 โพส
    พลังการให้คะแนน: 634 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_753397 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->เสียงธรรมจากพระองค์ที่ 10<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    [​IMG]
    ธรรมใดขององค์สมเด็จพระศาสดาที่พ่อเราได้สอนไว้ เธอทั้งหลายได้ชื่อว่า ศากยบุตรพุทธะ เธอเป็นลูกของพ่อ มีความดีเป็นพื้นฐาน จงปฏิบัติตนให้ได้ดังพ่อของเธอ

    เอ้าทุกคนก็เชื่อว่า ฤาษีเขาสอนเด็กได้ดี การเกรงแย่งชิงดี เกิดจากโลภะจริต เกิดจากความหลงว่าสิ่งที่ตัวทำเป็นตัวกูของกู ดังนั้นเราอธิบายคร่าวๆว่า ทำให้พุทธศาสนาเจริญ ทุกคนมีเป้าหมายอันเดียวกัน อธิบายอย่างนี้แล้วเขาก็จะเชื่อว่า เขาจะไม่มีตัวหลงนั้นเกิดขึ้น เราต้องแก้ที่เหตุใช่ไหม ว่าสิ่งที่เราทำนี้เพื่อประโยชน์อะไร ประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ส่วนบุคคล ถ้าเป็นประโยชน์ส่วนรวม ทุกคนมีอุดมการณ์ เมื่อทุกคนมีอุดมการณ์ ก็จงทำให้สมกับอุดมการณ์ที่มี ดังหลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่ ในวัดไม่ใช่หรือ

    การปฏิบัติในพระพุทธศาสนา หรือธรรมที่องค์พระพุทธเจ้า ทรงสั่งสอน ฉันขอยกแนวสมเด็จองค์ปฐมซักนิด พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า คนเรานี้มีจิตเป็นพุทธะ คือความสะอาด สว่าง แล้วก็มีกายพระอรหันต์อยู่ในใจเสมอ แต่เหตุที่เราไม่สามารถบรรลุธรรมอันวิเศษที่พระอรหันต์ หรือไม่สามารถบรรลุธรรมใดๆได้ ตรงนี้ เพราะมีตัวป้องกัน กำแพงหรือตัวกีดขวางที่เหนียวแน่น กำแพงนั้นประกอบด้วย สามชั้น แล้วก็มี 108-1009 กำแพง มีมากเหลือเกิน แล้วเราก็คิดว่าไม่มี ความคิดว่าไม่มี มันเป็นความประมาทเลือนเลอ เผลอตัว จงทำตัวให้ปราศจากกิเลสหรือขันธ์ห้า ธรรมสว่างที่ใจ จิตพระอริยเจ้าจึงเกิดขึ้น แค่นี้เธอก็จะสว่าง

    จงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท กำจัดกิเลสทั้งมวลที่เกิดขึ้น ทำใจให้โปร่งว่าง และสบาย สิ่งที่ทำในปัจจุบันที่เป็นความผิดยกทิ้งไป คิดซะใหม่ ซะว่าเธอจะตั้งตนทำความดีใหม่

    ความผิดก็ส่วนความผิด ความถูกก็ส่วนความถูก เพราะฉะนั้นเธอทั้งหลายทำความผิดมันจัดเป็นความดี เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยๆ ถ้าเธอรู้ก็กลับตัวกลับใจทำเสียงใหม่ ก็ถือว่าเรายังไม่สายเกินไป ไม่ใช่หรือ ถ้ากรรมใดที่ไม่ประกอบโดยเจตนา ไม่มีจิตที่เป็นอกุศล ถือว่ากรรมนั้นเป็นโมฆะ จงจำข้อตัดสินนี้เอาไว้

    พระพุทธเจ้าก่อนพระปรินิพพาน ตรัสกับพระอานนท์ว่า เธอจงบอกหัวใจเธอเอง พระธรรมวินัยเท่านั้น ที่จะเป็นศาสดาของเธอเองตลอดไป พระธรรมวินัยเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ปฏิบัติพระธรรมวินัยเป็นใช้ได้ อย่างมาคิดติดอยู่กับวัตถุสิ่งของหรือบุคคล ใช้ประโยชน์มิได้ วัตถุสิ่งของที่มีย่อมแตกสลาย ไม่มีสิ่งใด เที่ยงแท้แน่นอน อนิจจังไม่เที่ยงไม่ใช่หรือ

    ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

    ศีลเป็นภาคพื้น สมาธิเป็นกำลังเดินทาง วิปัสสนาญาณเป็นคบเพลิงสำหรับส่องทาง

    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ปฏิบัติตนให้อยู่ในเขตพระพุทธศาสนา มีศีลบริสุทธิ์ สมาธิก็เกิด เมื่อสมาธิเกิด ปัญญาย่อมมี ปัญญามี ตัวราคะ โทสะ โมหะ ย่อมหาย เมื่อราคะ โทสะ โมหะหาย นั้นแหละคือพระนิพพาน ที่สุดของจิต จบกิจพระพุทธศาสนา

    ธรรมะท่านว่า จงปฏิบัติตนให้ละตัวเราตัวเขา คือกายและจิต จงมีจิตที่ปราศจากกิเลส อย่าคิดว่าสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตัวเราและตัวเขา สิ่งทั้งหลายนี้ย่อมมีความเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้น แยกตัวในท่ามกลาง แตกสลายในที่สุด ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราและตัวเขา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา เมื่อมันไม่ใช่ของเรา ไม่ใช้ของเขา เราไม่สามารถต่อไปได้ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญ เธอจงมองดูใจเธอว่ามีอะไรอยู่ในใจ มีอะไรอยู่ แล้วเราก็ปราศจากสิ่งที่มีอยู่ในใจอยู่ ก็ถือว่าถึงที่สุดแห่งพระนิพพาน

    เออ! แม่ทัพนี้รบจนวันตาย ชาติสุดท้ายมันอยู่ตรงไหนล่ะ การรบในชาติสุดท้ายก็ต้องพิจารณาดู เธอจงทำจิตให้ปราศจากกิเลส พระนิพพานไม่ใช่คำพูดหรือคำเขียน จิตที่ปราศจากกิเลสนั้นแหละคือ พระนิพพาน ถ้าเธอจะรบเป็นชาติสุดท้าย ก็ไม่ยาก เธอต้องรู้จักตัวเธอเองเสียก่อน ว่าตัวเธอ เธอมีลักษณะเช่นไร เมื่อรู้จักตนเธอเองแล้ว จงทำจิตให้เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน แค่นี้ก็ถึงที่สุดพระศาสนาแล้ว

    วิญญาณหรืออทิสมานกายที่ชาวมโนมยิทธิเรียกว่า กายทิพย์นั้น อทิสมานกายหรือกายทิพย์นี้มีกับสัตว์ทุกประเภท ทุกคน ทีนี้คละและสัตว์มีจิตวิญญาณเหมือนกันไหน เหมือนกันคุณโยมเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นขาว เป็นดำ เป็นด่าง เป็นแดง ไอ้แต้ม ไอ้จุก อะไรก็แล้วแต่เถอะ มันมีจิตวิญญาณเหมือนกันทั้งหมด เมื่อมีจิตวิญญาณเหมือนกันก็แสดงว่า วิญญาณตัวนี้แหละ คือ ตัวร่างกายเรา ทีนี้เมื่อเราเจ็บ จิตวิญญาณมิได้เจ็บด้วย เมื่อเราป่วยจิตวิญญาณไม่ได้ป่วยด้วย (เธอห้ามถ่ายรูป) เมื่อจิตวิญญาณมิได้ป่วย ร่างกายเราป่วย แต่เหตุที่เรามีความรู้สึก มีอาการเหล่านั้นเพราะเคยชิน ความที่เราผูกพันธ์ต่อมันว่านี้เป็นของเรานะ ตัวกูก็เป็นของกู ผมของกู ฟันของกู เล็บของกู หนังของกู ความจริงมันไม่ใช่ของเขา แต่เราไปยืมเขามาใช้ ใช้แล้วก็หลงระเริงไม่ยอมคืนชาวบ้านเขา นึกว่า กูจะไม่คืนต่อไปล่ะ กูจะคงตลอดชาติ ตลอดสมัย พวกนี้โง่บันไร บัดซบที่สุดใช่ไม่ได้ ไม่มีปัญญาแล้วยังโง่ หลอกหรือโกงของชาวบ้านเขามาอีก เมื่อเรารู้สภาพความเป็นจริงว่า ตัวเราจริงๆ คือจิตวิญญาณเสียแล้ว พระองค์พระจอมไตรทรงดำรัสต่อไปว่า นี้ในคัมภีร์วัชรวัญญา ฝ่ายมหายาน มีการเขียนคัมภีร์ไว้ในขณะนี้ว่า จิตวิญญาณหรือจิตเดิมแท้ของมนุษย์ทุกประเภทเป็นจิตของพุทธะ พุทธะเป็นความเบิกบาน ความบริสุทธิ์เป็นความใสสะอาด เมื่อจิตของพุทธะมีอยู่ในร่างกายคนเราทุกคนแล้ว ทำไมเราจึงไม่เห็นจิตเดิมแท้ ไม่เห็นธรรมพุทธะหรือไม่เห็นกายที่เข้าใจเรียกว่า กายพระอริยะเจ้านั้นได้ เพราะเหตุที่มีตัวสีมาฉาบให้ไม่สามารถเห็นไอ้ตัวนี้แหละเป็นเครื่องเกาะกินใจอย่างร้ายกาจเป็นเครื่องทำรลายความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณ สีมีกี่อย่าง กี่ประเภท สีที่องค์สมเด็จพระจอมไตรถือว่าเป็นตัวคอมมิวนิสต์เกาะกินความดีก็คือ ตัวราคะ เมื่อสีราคะเกิดจิตวิญญาณที่ใสสะอาดย่อมเศร้าหมองขุ่นมัว ต่อไปสีตัวที่สอง คื อโทสะ เมื่อตัวโทสะเกิดขาดปัญญา เมื่อสีตัวที่สองมี สีตัวที่สามก็ย่อมมี เมื่อมีตัวที่สาม คือ ราคะ โทสะ ตัวที่สามโมหะ ทั้งสามตัวนี้เป็นสีใหญ่ๆ ที่มาแปลบเปลื้องจิตวิญญาณของเราหรือตัวเราจริงๆ ไม่สามารถใช้พลังหรืออำนาจจิตวิญญาณหรือใช้อำนาจกายของเราได้ เพราะนั้น พระองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงบอกวิธีการปฏิบัติ ทำต้นให้เข้าถึงจิตแท้ของเธอ จิตเดิมของพระอริยะเจ้า หรือพูดง่ายๆที่พวกเราเรียกว่า กายของพระพุทธเจ้า หรือ กายของพระอรหัตนั้นเองถ้านั้นเมื่อเรามีกายพระอรหัต กายของพระอริยะเจ้า เราก็มาหาวิธีปฏิบัติให้เข้าถึงกายของพระอรหัติองด์นั้น วิธีปฏิบัติให้ถึงกายพระอริยเจ้าในจิตของเราก็คือ พระองค์ทรงสอนว่า เริ่มแรกต้องทำกายให้เป็นปกติ วาจาให้เป็นปกติ ที่นี้กายวาจาจะปกติได้ พระองค์ทรงบอกว่า ต้องมีสิกขาบท สิกขาบท คือข้อห้าม ข้อยกเว้น ข้อห้ามนี้เรียกว่า ศีล ศีลแปลว่าปกติ บุคคลใดมีศีล บุคคลนั้นปกติ เมื่อมีกายปกติแล้ว ความสมอาจ ความสมบูรณ์ ความบริสุทธิ์ของใจย่อมแพร่พลานุภาพให้เห็น เกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ คือพลังสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้วปัญญาย่อมเกิด เมื่อปัญญาเกิดจึงนำเอาปัญญาเหล่านี้ ที่ได้มาจากอำนาจของสมาธิ ศีลนี้ ไปตัดตัวสีทั้งสามตัว คือ ราคะ โทสะ โมหะ เมื่อเราสามารถชำระล้างจิตใจ คนที่เป็นพระโสดาบัน ก็สามารถเอาพลังอำนาจของจิตวิญญาณแปลสภาพเป็นพลังปัญญานั้นมาล้างตัวราคะ โทสะ โมหะให้เบาบางน้อยลงหน่อย ถือว่าเป็นพระโสดาบัน คนที่เป็นพระสกิทาคา อนาคา ก็ล้างให้สะอาดมากขึ้นไปอีกนิดนะลดหลั่นตามชั้นของพระอริยะเจ้า คนที่เป็นพระอรหัตนี้หนักแน่นหน่อย ล้างมากหน่อย จึงใสสะอาด เพราะฉะนั้นอำนาจพลังสมาธิเกิดได้เพราะศีล อำนาจศีลเกิดได้เพพราะใจ เราตั้งปกติ กายปกติ อำนาจปัญญาเกิด ปกติอำนาจปัญญาเกิดได้เพราะอาศัยสมาธิเป็นเกณฑ์ เมื่อพวกเราทราบอย่างนี้ จิตเดิมแท้ของเราเป็นพุทธะ เราก็น้อมนำตนให้ถึงจิตเดิมแท้ เมื่อพวกเราทราบอย่างนี้ จิตเดิมแท้ของเราเป็นพุทธะ เราก็น้อมนำตนให้ถึงจิตเดิมแท้ ทำความรู้สึกว่าธรรมะอยู่กับตัวเรา เราคือธรรมะ ธรรมะเป็นข้อที่พระพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนไม่ใช่อยู่ที่ไหน มิใช้อยู่ที่พระไตรปิฏก มิใช่อยู่ที่ตำราหรือตัวอาตมา หรืออาศัยครูบาอาจารย์ แต่พวกเรามีธรรมะทุกคน แต่เหตุนี้เราไม่รู้จักเอาธรรมะหรือเอาพระอริยะเจ้าในจิตของเรามาใช้ เพราะว่าเราไปโง่หลงงมงายว่า นี้ของกู ลูกของกู ผัวของกู เมียของกู สมบัติภัสฐาณทั้งหมดที่อยู่ในรอบกายเราเป็นของกู เมื่อเป็นของกูตัวนี้ ภาษาศัพย์ธรรมะเรียกว่าอะไร เขาเรียกว่า ความผูกพันธ์ทางใจ ความผูกพันธ์ทางร่างกาย เริ่มแรกนี้มีความผูกพันธ์ทางร่างกายเสียก่อน สร้างพันธะให้แก่ร่างกายขึ้นมา เมื่อพันธะของร่างกายเกิด ใจก็เกิด ใจก็ผูกพันธ์ขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นเมื่อใจผูกพันธ์ ไอ้ใจที่เคยใสสะอาดเปรียบเหมือนลูกฌโป่งที่ลอยไปในอากาศกับไปโดนผูกตึงไว้ มันก็ไม่มีความบริสุทธ์ ไม่มีความสะอาด ไม่มีการเป็นอิสระ ใจอันนี้แหละที่ว่าใจที่โดนสีทั้งสามอย่าง เข้าทำร้ายหรือเข้ามอมเมาให้เกิดความไม่บริสุทธิ์ เรียกว่าใจพระอริยะเจ้าโดนทำรายแต่โดยไม่ชื่อว่าโดนทำลาย เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเราทราบถึงตัวเองว่า เราก็เป็นพระอริยะเจ้าคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้าสามารถทำได้ ทุกคนก็สามารถทำให้ถึงซึ่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้ คือเข้าถึงแดนพระนิพพาน เพราะใจสว่าง จบ. อาจไม่เข้าใจสำหรับบางคน มีอะไรจะถามอีกไหม

    ถามปฏิบัติแล้วจิตระเบิด? พวกเราใช้ธรรม เป็นธรรมเมากันไปหมด เอะอะ อะไรก็เป็นธรรมเมา เอาธรรมไปใช่ในทางที่ผิด กลายเป็นว่าต้องมีโทษมีประโยชน์อย่างนั้นๆ ความจริงแล้ววิธีการปฏิบัติพระกรรมฐานทั้ง 40 อย่างที่องค์สมเด็จพระศาสดาทรงสอนไว้นั้น ความมุ่งหมายของพระองค์ เพื่อหวังให้จิตเราสะอาด บริสุทธิ์เท่านั้น เพื่อให้จิตเราสงบ เพราะฉะนั้น เมื่อจิตเราสงบก็ถึงแดนพระนิพพานได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถบังคับ ควบคุม อารมณ์กาย อารมณ์ใจขึ้นได้ ถือว่ามันยังไม่ระเบิดหรอก การตั้งคำถามต้องถามให้ตรง ถามให้ถูก ถามอย่างผู้รู้ อย่าถามแบบคนโง่ ผู้รู้ทำไมต้องถามกันบาง เพราะฉะนั้นคนที่มีคำถามถือว่าไม่เป็นคนโง่ แต่ถ้าถามชนิดที่เรายังไม่เข้าใจคำถามของเราเลย อย่าเอาคำถามนั้นมาใช้เลยดีกว่า เพราะตัวเราเอง ยังไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรเลย แล้วเราจะไปถามชาวบ้านเขาได้ยังไง

    ขอดวงตาเห็นธรรม ดวงตาเห็นธรรมไม่ใช่อยู่ที่ฉัน ดวงตาเห็นธรรมอยู่ที่จิตของโยม เพราะฉะนั้นจงทำจิตให้เห็นธรรม โดยการตัดตัว ราคะ โทสะ โมหะ ทิ้ง ทำจิตให้ว่าง นั้นแหละคือพระนิพพาน

    ถ้าเราอยากได้พระนิพพาน พระนิพพานไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่ตัวหนังสือ หรืออักษร แต่เป็นการปฏิบัติ พระนิพพานต้องทำใจให้ว่างสะอาด ผ่องใส นี้คือพระนิพพาน ความว่างเกิดขึ้นกับใจเมื่อใด นั้นคือพระนิพพานของเธอ เพราะฉะนั้นอยากได้พระนิพพานอย่ามาเดินขอชาวบ้าน ต่างคนต่างทำเอา ถือว่าอยู่ที่ความปราถนาและความสามารถของตน

    เทศน์โปรดครั้งสุดท้ายก่อนไม่รับแขก


    เธอทั้งหลายที่พากันมาประชุมในที่นี้ อาราธนาให้เราแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า พวกเธอทั้งหลายมีใจเป็นบุญเป็นกุศล คิดว่าจะปฏิบัติในกิจของพระพุทธศาสนาให้บรรลุถึงที่สุด คือพระนิพพาน พวกเธอทั้งหลายมีใจที่เป็นบุญเป็นกุศล คิดว่าจะปฏิบัติในกิจของพระพุทธศาสนาให้บรรลุถึงที่สุด คือพระนิพพาน พวกเธอทั้งหลายจงทำใจให้ได้ซึ่งกระแสพระนิพพานเสียก่อน วิธีทำใจให้ได้กระแสพระนิพพานนั้น วันนี้ฉันจะพูดทั้งวันเรื่องจิตของเธอเอง ทำความรู้สึกของจิตหรือใจของเราว่าอะไรเป็นของเราบ้าง กายมั่นอยู่ที่ไหน ใจมันอยู่ที่ไหน สิ่งไหนกายและใจ อะไรเป็นของเรา เมื่อมีความรู้สึกว่าเป็นของเราแล้ว เราก็สามารถ คัดเอาสิ่งที่ไม่ดีไม่งามออก จากตัวเรา คือ จิตหรืออทิสมานกาย คนที่ตายไปมีลักษณะเปรียบเหมือนใยบัวที่ทุกคนเห็น นี้เป็นร่างกายส่วนข้างในคือ อทิสมานกายหรือกายทิพย์ เพราะฉะนั้นร่างกายมีลักษณะที่เหยี่ยวย่น ไม่มีลักษณะอาการที่น่าดู แต่ว่าใจโปร่งใส และเบาใช่ไหม เมื่อข้างในโปร่งใส จิตอันนี้แหละ เป็นจิตพระอริยะเจ้า ทุกคนมีจิตอย่างนี้อยู่เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายวิธีทำใจให้เข้าถึงจิตแห่งพระอริยะเจ้า จงวาง ภาระธุระทั้งหมด ครั้งใดที่คิดจะทำกิจพระพุทธศาสนา อย่าให้มีภาระธุระ มีความกังวลใจ ความว้าวุ่น เศร้าหมอง ข้องใจ ปรากฏในจิต แค่นี้เธอก็สามารถบรรลุถึงจิตพระอริยะเจ้าได้โดยไม่ยาก เข้าถึงกระแสพระนิพพาน ขีดสุดพระพุทธศาสนา จบคำเทศน์ครั้งสุดท้าย

    [​IMG]
    ให้พรหลังเทศน์ครั้งสุดท้าย

    ขอตั้งสัจจาอธิษฐาน ท่านผู้มาแล้วก็ดี ยังไม่มาแล้วก็ดี ผู้หวังพบเราก็ดี มิได้หวังพบเราก็ดี ขอเธอทั้งหลายเหล่านั้น ผู้มีใจเป็นบุญเป็นกุศล จงสำเร็จสัมฤทธิ์ผลตามมโนรสพึงปราถนา สิ่งใดที่ไม่ผิดในธรรมวินัยแล้วไซร้ ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและถูกกฎหมายบ้านเมือง สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จงพึงบังเกิดแก่ท่านที่มาแล้วก็ดี มิได้มาก็ดี ด้วยที่สุดสิ้นทุกข์ด้วยเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    (คัดจากเทปบางตอนจากเสียงธรรมจากพระองค์ที่10 ม้วน1-4 บันทึกในปี2528)
    ที่มา : http://www.praruttanatri.com



    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    เมื่อเราได้ทรงอารมณ์แล้ว รู้แล้ว แต่ ไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ทำเป็นระยะเวลาหนึ่ง

    หนึ่ง เราจะยังคงสามารถทำสมาธิในขั้นนี้ได้ยากขึ้นหรือเปล่า แต่ก็มิได้ลืม นึกได้บางครั้ง

    บางครั้งก็ยังมิได้ทำแต่ก็ พยายามทรงไว้ บางครั้งจักใฝ่รู้แต่รู้ไม่ทำ ทำแต่ไม่เต็มที่

    อย่างนี้อย่างนั้น จิตเป็นแบบนี้แบบนั้น ยังชล่าใจ เอาอสุภะมาข่มก็แล้ว วิปัสญา ก็แล้ว ก็ยัง

    จักชล่าใจอีก

    ขออภััยหลังๆมานี่มันแปลกๆคับ บางทีบางครั้งผมพูดแล้วเข้าใจกันยากขึ้นหรือผมเป็นคนเริ่มที่จะเข้าใจอะไรๆได้ง่ายขึ้นกันแน่ แต่นึกอารมณ์ปุ๊บเข้าถึงปั๊บแต่การปฏิบัติในอุปจาระสมาธินี้มันมีเสื่อม แล้วถ้าเสื่อมแล้ว จะกลับมาอีกมันจะยากไหมคับผม

    อนุโมทนาุบุญกุศลในชาตินี้ให้เป็นชาติสุดท้ายของทุกดวงจิตที่ปราถนาเข้าถึงพระนิพพานด้วยเทอญ(ขอบคุณ คุณชัดด้วยคับ)
     
  8. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    ตอนนี้ชีวิตรู้สึกเหมือนอยู่ไปวันๆเลยครับเหมือนคนตายไปแล้วครึ่งนึงตลอด

    เหมือนพอรู้อะไรมากๆมันก็ไม่ค่อยอยากจะทำอะไร
     
  9. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    อยากเรียนวิชาไท้เก็ก กับท่านจางซานฟง แต่ยังไม่ได้มโนมยิทธิครับ ทำยังไงได้บ้างครับ ยังอยู่ขั้น บริกรรม ฝึกรู้ตัวให้มากอยู่ครับ ที่อยู่ไกลจากสำนักฝึกมากครับ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2009
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ nataphat ครับ

    พี่ครับพอดีตอนนี้ย้ายบ้านมาอยู่จังหวัดอุทัยธานีแล้วไม่เคยฝึกมโนอิทธิเลยจะไปฝึกเต็มกำลังได้ไหมครับหรือต้องค่อยเป็นค่อยไปครับ

    ลองหาเวลาไปฝึกมโนมยิทธิ ครึ่งกำลังดูก่อนครับ ยังมีเวลาถึง12ธ.ค. เกือยครึ่งเดือนครับ
    ปรกติคนได้ครึ่งกำลังแล้ว ไปเต็มกำลังยังไม่ค่อยจะออกกันเลยครับ
    ถ้าไม่ได้ครึ่งกำลัง แล้วไปฝึกก็จะยิ่งยากครับ แต่ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่มีน้อยคนครับ
    เราเอาชัวร์ไปฝึกที่วัดซักรอบ สองรอบก่อนก็ได้ครับ มโนมยิทธิครึ่งกำลัง มีเกือบทุกวันที่วัดครับ

    ลองไปดูนะครับ ฝึกไม่ยากครับ ขอแค่เคารพพระพุทธเจ้า เคารพครูบาอาจารย์ถึงที่สุด ก็ทำได้แล้วครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    เมื่อเราได้ทรงอารมณ์แล้ว รู้แล้ว แต่ ไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ทำเป็นระยะเวลาหนึ่ง

    หนึ่ง เราจะยังคงสามารถทำสมาธิในขั้นนี้ได้ยากขึ้นหรือเปล่า แต่ก็มิได้ลืม นึกได้บางครั้ง

    ก็จะไม่คล่องเท่าเมื่อก่อนครับ จริงๆเราก็ทรงเอาไว้24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องตั้งท่า ไม่ต้องจำกัดเวลา
    จะดีที่สุดครับ ฝึกให้ได้แบบนั้น และประคองให้ได้เรื่อยๆ
    ถ้าจะไปพระนิพพานก็ควรจะให้ได้ตลอดครับ
    อย่างน้อยอารมณ์ที่ใช้ตัดสังโยชน์สามข้อ เราต้องได้ตลอด ไม่มีเคลื่อน
    1.ศีล5บริสุทธิ์ อันเกิดจากเมตตามาก จนทำร้ายใครไม่ลง
    2.เคารพ นอบน้อม ต่อพระรัตนตรัย อย่างถึงที่สุด
    3.พิจารณาว่า เราอาจจะตายได้ตลอดเวลา ถ้าตายตอนนี้เราจะไปพระนิพพานเท่านั้น

    ถ้าสามข้อนี้ยังอยู่ก็โอเคครับ

    บางครั้งก็ยังมิได้ทำแต่ก็ พยายามทรงไว้ บางครั้งจักใฝ่รู้แต่รู้ไม่ทำ ทำแต่ไม่เต็มที่

    ทรงไว้ก็ถือเป็นการทำครับ แต่บางครั้งอารมณ์อาจจะพี๊คไม่เต็มที่ ก็ไม่เป็นไร
    อย่างน้อยก่อนนอน กับตอนพึ่งตื่น อารมณ์น่าจะทำให้เย็นเต็มที่ได้ครับ
    ให้เราหลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ทุกคืนวัน ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    อย่างนี้อย่างนั้น จิตเป็นแบบนี้แบบนั้น ยังชล่าใจ เอาอสุภะมาข่มก็แล้ว วิปัสญา ก็แล้ว ก็ยัง

    จักชล่าใจอีก

    เอาไว้ตัดจริงๆตอนเป็นพระอนาคามีครับ
    พระโสดาบัน เช่น นางวิสาขา ท่านยังแต่งงาน มีลูกได้
    ต้องพระอนาคามีจึงจะตัดขาดโดยสมบูรณ์
    อย่าเร่งรัด จนกลายเป็นปมคาใจเราครับ
    ทรงอารมณ์พระโสดาบันให้ชัวร์ๆก่อน ค่อยขยับมาตัดอย่างจริงจังครับ

    ขออภััยหลังๆมานี่มันแปลกๆคับ บางทีบางครั้งผมพูดแล้วเข้าใจกันยากขึ้นหรือผมเป็นคนเริ่มที่จะเข้าใจอะไรๆได้ง่ายขึ้นกันแน่ แต่นึกอารมณ์ปุ๊บเข้าถึงปั๊บแต่การปฏิบัติในอุปจาระสมาธินี้มันมีเสื่อม แล้วถ้าเสื่อมแล้ว จะกลับมาอีกมันจะยากไหมคับผม

    ฌาณมีเสื่อมหมดครับ ฌาณ4 อรูป4 ก็ยังเสื่อมได้
    ถ้าไม่อยากให้เสื่อมต้องตัดสังโยชน์สามข้อให้ได้ อย่างที่อธิบายไปแล้วครับ
    พอตัดสังโยชน์สามได้ ฌาณจะกลายเป้นโลกุตตระฌาณ
    คือคนปรกติ จะทรงฌาณ เย็นจากความเย็น ความสงบ สบาย ได้พักผ่อนจากความคิดของสมาธิเฉยๆ
    แต่โลกุตตระฌาณ จะเย็น เบา สบายจากอารมณ์พระนิพพาน ซึ่งจะเย็น เบาสบายมากกว่าคนละเรื่องเลยครับ
    ต้องเป็นพระอริยเจ้าครับ จึงจะไม่รู้จักเสื่อมจากฌาณ

    อนุโมทนาุบุญกุศลในชาตินี้ให้เป็นชาติสุดท้ายของทุกดวงจิตที่ปราถนาเข้าถึงพระนิพพานด้วยเทอญ(ขอบคุณ คุณชัดด้วยคับ)

    ถ้าตั้งใจจริงถึงแน่นอนครับ
    สิ่งสำคัญคือ ให้ปฏิบัติ ด้วยใจสบาย ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน เร่งรีบในการตัดกิเลสมากเกินไป
    การเร่งตัดกิเลสมากไป ก็เป็นอารมณ์หนัก เป็นการบีบคั้นตัวเอง เป็นอัตถะกิลมถานุโยค ได้เช่นกัน
    เอาแต่พอดีๆ เอาแต่สบายๆ ตามกำลังใจของเราครับ
    เร่งมากก็ไม่ขาด ต้องใจสบาย ใจผ่อนคลายจึงจะตัดได้

    หมือนพระอานนท์ ท่านเดินจงกรมเท่าไหร่ก็ไม่บรรลุ
    พอตั้งใจจะนอนพัก ใจเกิดความสบาย คลายจากความตึงของข้อวัตรปฏิบัติ
    จึงได้เกิดบรรลุเป็นพระอรหันต์โดยฉับพลัน
    ท่านไม่ได้บรรลุเพราะท่านตั้งใจจะเดินอย่างไม่ลดละ แต่ท่านบรรลุเพราะท่านตั้งใจว่าจะพัก
    เราเองก็ต้องไม่เร่งรัดจนเกินไปเช่นกันครับ
    จริงๆจะทรงแค่ตัดสังโยชน์สาม เอาไว้ทั้งชาติ แล้วรอตัด ที่เหลือทั้งหมดตอนก่อนตายก็ยังได้ครับ

    ทำไปเรื่อยๆ สบายๆน่ะดีแล้วครับ แต่ก็อย่าชะล่าใจเกินไป ต้องซ้อมตายเอาไว้เสมอๆครับ

    ขอให้ทุกๆดวงจิต มีพระนิพพานเป็นที่สุดในชาติปัจจุบัน ได้โดยง่ายดาย ได้โดยฉับพลันทันใด ด้วยบารมีของพระพุทธองค์ด้วยเทอญ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  12. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    รบกวนถามครับ
    ช่วงนี้ งานค่อยข้างยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลาฝึกเท่าไหร่ แต่เวลาทำบุญหรืออารธนาพระ ก็จะจับภาพซึ่งคล่องเป็นปกติอยู่แล้ว อันนี้เรียกว่า อารมณ์ชินหรือเปล่าครับ

    พอดีว่า มีน้องคนหนึ่งที่ทำงาน เรามองหน้าแล้วรู้สึกแปลก ๆ มันตะงิ๊ด ๆ บอกไม่ถูกก็เลยลองจับภาพพระดูสะหน่อย(แต่ก็เก็บไว้ในใจคนเดี่ยวนะครับ)บังเอิญน้องเขาก็ถามอะไรบอกอย่างพอผมตอบไป มันตรงเพ่ง อันนี้เรียกว่า คล่้องหรือเปล่าครับ

    บังเอิญผมติดตามการตอบคำถามของคุณ Xorce ในกระทู้เป็นประจำลองนำเอา วิธีการชำระมโน ทำดู ทำไมมันง่ายทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่เคยทำแต่ถูกผิดนี้ คงฟันธงไม่ได้ เพราะคิดว่าตัวเองยังห่วยอยู่ อันนี้เรียกว่า คล่องตัวหรือเปล่า

    ทั้ง ๆ ที่เกือบประมาณเดือนแล้วที่ไม่ค่อยได้ นั่งเป็นจริงเป็นจังครับ

    ขอบคุณครับ
     
  13. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อนุโมทนาบุญกับคำตอบครับ เรื่องของการซ้อมตายนั้น ผมว่าเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้วคับ ตอนนี้คิดเสมอทุกลมหายใจคือเราไม่ได้หายใจ อยู่ก็เหมือนกับไม่ได้อยู่ เป็นก็เหมือนกับไม่ได้เป็น บางครั้งจิตคิดพิเลน ลองนึกตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ที่นี่ไม่ใช่คน แต่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อยู่ที่ไหนสักที่ แต่ยังมีสายเชื่อมโยงถึงร่างนี้ โดยที่เราไม่ได้กำหนด มันเป็นไปเองพอเราไล่ตามก็ดูอยู่เรื่อยๆมันก็ไปของมัน แต่ถ้าเกินจากนั้นก็ดึงกลับ ผมทำถูกไหมคับ เพราะถ้าเกินไปกว่านั้นมันคงไม่ดีแน่ ทั้งๆที่มันยังหนักอึ้งอยู่มากโขทีเดียว
    แต่จิตก็ใฝ่ดีมีอยู่บ้างที่คิดเสมอเวลาตายจิงๆ นึกถึงภาพพระนิพพานตลอดและเราอยู่ตรงภาพนิพพานนั้นเมื่อนึงถึงความตายจิงๆที่เราประสบ
    ตอนนี้ทรงไว้อยู่คับ ไม่รีบเหมือนแต่ก่อน แต่ มันรู้สึกว่า หลังจาก พ้น ช่วงๆนึงไป มันจะดีขึ้นมากโขทีเดียวเพราะบุญบารมีเก่ามาเสริมบวกกับเราปฏิบัติจริงๆไม่ชล่าใจ หรือผมวิตกคิดไปเองคับแต่ความรู้สึกมันเป็นเช่นนั้น

    และใน3ข้อนี้ผมมีพร้อมหมดหัวใจโดยเฉพาะข้อ2 ผมเจอเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อ แต่ถึงครานั้นไม่ได้เจอเหตุการณ์นั้นผมก็ยังคงเคารพนอบน้อมพระรัตนตรัย อยู่เสมอคับ

    1.ศีล5บริสุทธิ์ อันเกิดจากเมตตามาก จนทำร้ายใครไม่ลง
    2.เคารพ นอบน้อม ต่อพระรัตนตรัย อย่างถึงที่สุด
    3.พิจารณาว่า เราอาจจะตายได้ตลอดเวลา ถ้าตายตอนนี้เราจะไปพระนิพพานเท่านั้น

    ผมลองปฏิบัติดูมันต่างจากแต่ก่อนที่หวือหว๋า แต่ผมก็แผ่เมตตาได้เหมือนเดิมหรืออาจจะดีกว่าเดือนเสียอีก และเห็นชัดกว่าแต่ก่อนด้วยคับ หรืออาจจะเป็นเพราะผมทรงไว้จนชินหรือว่าอย่างไรก็ไม่รู้ หรือไม่รู้ตัว จนตอนนี้ เรามาตั้งใจทำตั้งใจปฏิบัติก็ทำได้คับ เพราะแต่ก่อนเคยปักหมุดเอาไว้(แต่ไม่ได้ตึงเหมือนเมื่อก่อน) และตอนนี้กลับมีความรู้สึก ไม่ใช่อารมณ์เบื่อแต่มันมีความรู้สึกคล้ายกลับเบื่อ เรื่อยๆคับ มีเพื่อประทังชีวิต ทำเืพื่อให้ขันติ์5ไม่เสื่อม หน่ะคับ บางครั้งลองคิดว่าตัวเองตายไปแล้วก็มีตายอยู่ ตายเป็นปรกติ

    จะว่าอีกทีนึงผมไม่ได้นั่ง ตั้งสมาธิปฏิบัติสมาธิ เลยคับในช่วงระยะเวลาหลังๆ จะมีก็แต่กำหนดในช่วงเวลากิจวัตร ประจำวันเท่านั้น เอง ไม่ได้นั่งเป็นเรื่องเป็นราว จึงคิดว่าตัวเองไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย

    ขออภัยคำถามอาจจะไม่เรียงคับ

    อนุโมทนาบุญกับคุณชัดด้วยครับ

    สิ่งใดสมประสงค์ขอให้สิ่งนั้นมาบรรจบอยู่ที่ๆเราอยู่ด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 ธันวาคม 2009
  14. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ท่านชัด ขยันจัง นี่สิให้ชื่อว่าคนทำเพื่อส่วนรวม จริง ๆ ยังไงก็ ตอบปัญหาของนักปฏิบัติ ไปเรื่อย ๆ นะ ครับ ผมว่า ดีนะครับ ดีมาก น่านับถือยิ่งแล้ว อนุโมทนาด้วยครับ
     
  15. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    งง จ้า
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    ตอนนี้ชีวิตรู้สึกเหมือนอยู่ไปวันๆเลยครับเหมือนคนตายไปแล้วครึ่งนึงตลอด

    เหมือนพอรู้อะไรมากๆมันก็ไม่ค่อยอยากจะทำอะไร

    ต้องระวังอารมณ์ใจของเรา ไม่ให้มีความเศร้าหมองครับ
    การพิจารณาธรรมะนั้น เมื่อพิจารณาแล้ว จิตใจ จะต้องมีความผ่องใส เบา สบาย วาง
    คลายจากสังโยชน์ที่เป็นเครื่องร้อยรัดพันใจ จิตใจมีความเบิกบาน มีความแช่มชื่นยิ่งกว่าเดิม

    หากเรายิ่งพิจารณา ยิ่งหมดอาลัยตายอยาก แปลว่าอารมณ์ของเราหนักเกินไป เศร้าหมองเกินไปครับ
    เป็นการพิจารณาที่ ยังวางอารมณ์ไม่ถูกครับ
    กลายเป็น ยิ่งพิจารณา ยิ่งหดหู่ ยิ่งเบื่อโลก เป็นการเบื่อแบบเซ็งๆ ไม่ใช่เบื่อแบบปล่อยวาง

    การพิจารณาที่ถูก จิตจะต้องเบา ต้องแจ่มใส ต้องรื่นเริง ยิ่งกว่าเดิมครับ
    ต้องลองปรับอารมณ์ดูครับ

    พระอรหันต์ ท่านไม่ได้รู้สึก ว่าตัวเองตายไปแล้วครึ่งนึง อยู่ตลอดเวลานะครับ
    เพราะอันนั้นคือ การท้อแท้ หมดกำลังใจ
    พระอรหันต์ท่านจะรู้สึกว่า ท่านพร้อมจะตาย ไม่มีอะไรให้ติดใจ ให้กังวลใจ
    เพราะตายเมื่อไหร่ท่านไปพระนิพพานแน่นอน
    ส่วนใจของท่าน ยิ้มแย้ม แจ่มใส มีความสุขตลอดเวลา
    พระพุทธเจ้า รวมถึงพระอรหันต์ ทุกๆพระองค์ ใจของท่านทั้งหลายยิ้มอยู่เสมอ

    ลองปรับอารมณ์ดูนะครับ ต้องเบื่อแบบปล่อยวาง ไม่ใช่เบื่อแบบเซ็งๆครับ

    ขอให้มีจิตใจที่มีความเบาสบาย ผ่อนคลาย ปล่อยวาง ประคองอยู่ในอารมณ์ที่มีความสุข ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    มาเขียนคำ อธิษฐานเพื่อส่วนรวม ในกระทู้พระเจ้าองค์แสนด้วยนะครับ
    จะได้ให้บุญตรงนี้หนุน ให้การปฏิบัติ ยิ่งก้าวหน้า มีความสุขยิ่งขึ้นไปครับ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  17. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ wuttichai0329 ครับ

    อยากเรียนวิชาไท้เก็ก กับท่านจางซานฟง แต่ยังไม่ได้มโนมยิทธิครับ ทำยังไงได้บ้างครับ ยังอยู่ขั้น บริกรรม ฝึกรู้ตัวให้มากอยู่ครับ ที่อยู่ไกลจากสำนักฝึกมากครับ ขอบคุณครับ

    เซฟเอาไว้แล้วค่อยๆไปทำตามนะครับ
    <!-- google_ad_section_end -->ลองเอา4ขั้นนี้ไปทำก่อนเลยก็แล้วกันครับ

    1. ชักนำลมปราณ
    -ยืนในท่า นั่งม้า
    -ชูแขนสองข้างมาข้างหน้า แบมือออก
    -ให้เรานึกภาพว่า เราขอชักนำพลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธาตุธรรม ธาตุพระนิพพาน พลังบริสุทธิ์จากธรรมชาติ เป็นลำแสงเพชร ประกายสว่างระยิบระยับ
    -พร้อมๆกับชักมือเข้ามา เพื่อชักนำ ลมหายใจให้ไหลเวียนเข้ามาในร่างกายของเรา เวลาหายใจเข้ให้ หายใจแรงๆ ยิ่งแรงดีครับ
    -ให้ลมหายใจไหลเวียนเข้ามาจนเต็มท้อง เต็มอก เต็มขึ้นมาจนถึงขั้วปอด ใช้มือดึงลมหายใจไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ขั้วปอดจะอยู่ระนาบเดียวกันกับหัวไหล่ของเรา ดึงขึ้นมาจนสุด
    -ให้เรานึกภาพ ทำความรู้สึกว่า พลังบริสุทธิ์ เข้ามาชำระล้าง ร่างกายของเราจนเป็นเพชรทั้งร่าง
    -พอลมหายใจเต็มขั้วปอดแล้ว ค้างไว้ซักอึดใจหนึ่ง จึงหายใจออก
    -เวลาหายใจออก หายใจออกแรงๆเช่นกัน แล้วเรานึกภาพ ทำความรู้สึกว่า
    ของเสียโรคภัยไข้เจ็บในร่างกายของเรา สลายออกไป เป็นไอสีดำ พร้อมๆกับลมหายใจของเรา
    และผลักมือของเราออกไปพร้อมๆกัน ให้รู้สึกว่ากำลังดันอะไรบางอย่างอยู่
    -ทำซ้ำ เป็นจำนวนครั้ง เพิ่มไปทีละ8 เช่น 16 24 32 40 48 ครั้ง เพิ่มไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ
    จนได้เป็นร้อยครั้ง ต่อวัน
    -แล้วเราจะแข็งแกร่งขึ้นครับ

    2. ชำระธาตุของร่างกาย
    -ให้เรานึกให้มี ภาพพระผุดขึ้นกลางอกของเรา เห็นภาพพระท่านแย้มยิ้ม ชัดเจนแจ่มใส
    ใจของเราก็เอิบอิ่มแย้มยิ้มตามภาพพระ ยิ่งเห็นภาพพระท่าน เป็นเนื้อเพชร ใส ระยิบระยับได้เท่าไหร่ยิ่งดีครับ
    -เสร็จแล้วให้เรานึกภาพต่อว่า ความเป็นเพชร ความเป็นประกายพรึกของภาพพระ ค่อยๆแผ่ขยาย ไปตามส่วนต่างๆของร่างกายของเรา
    -ทำให้ร่างกายของเราเป็นเพชรไปทุกส่วน
    -ไล่ตั้งแต่แขนเป็นเพชร ๆ ไล่มาจนถึงมือ ไล่ให้ครบทั้งสองข้าง
    -ไล่ลงขา เป็นเพชรๆ ความเป็นเพชรไล่ลงจนถึงเท้า เป็นเพชรทั้งหมด
    -ไล่ขึ้นศรีษะของเรา จนเป็นเพชรทั้งหมด
    -ไล่มองอวัยวะในร่างกายของเรา ให้เป็นเพชรทุกส่วน หากป่วยที่ไหน ให้นึกว่าจุดนั้นเป็นเพชร
    -นึกภาพว่า โมเลกุลทั้งหมด ในร่างกายของเรา สั่นสะเทือนๆ และเปลี่ยนเป็นเพชร ตั้งแต่ระดับโมเลกุล เซล อวัยวะ จนถึงทั้งร่าง
    -พอร่างกายของเราเป็นเพชร ครบทั้งร่างแล้ว ให้เราแผ่รัศมีเพชร แผ่กระจายขยายส่องสว่าง ออกจากภาพพระที่แย้มยิ้มกลางอกของเรา
    แผ่ขยายกระจายส่องสว่าง ไปยังละแวกบ้าน ไปยังจังหวัด ประเทศสยาม ไปยังัท้งโลก ทั้งจักรวาล
    -สถานที่ใด ที่รัศมีเพชรนี้ คลื่นแห่งความชุ่มเย็น จากเมตตา ความสุข ความอิ่มใจ แผ่ขยายไป ก็ปรับธาตุ ปรับสภาวะ ให้ทุกๆอย่าง กลายเป็นธาตุบริสุทธิ์ กลายเป็นเพชรไปหมด
    -แผ่รัศมีเพชร จากภาพพระกลางอกของเรา ให้ใจของเราเบิกบาน เบ่งบานเหมือนกับดอกไม้ ให้ใจของเราแย้มยิ้มตามภาพพระ ยิ่งใจแย้มยิ้มมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นเพชรมากเท่านั้น
    -ให้ดวงจิตของเราตื่นขึ้นจากภายใน สว่างขึ้น เป็นเพชรขึ้นจากภายใน ให้สรรพวิชชาทุกอย่างที่ได้เคยฝึกมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นจอมยุทธ์ก็ดี กลับมารวมตัวกันอีกครั้งนึง ณ ขณะจิตนี้ด้วยเทอญ ร่างของเรา ยิ่งใสขึ้น ยิ่งสว่างขึ้น ยิ่งเป็นเพชรมากขึ้น
    -แผ่คลื่นเย็น คลื่นเพชร ไปยังทุกๆดวงจิต แผ่ไปยังทั้งจักรวาล เชื่อมจิตของเรา เข้ากับธาตุเพชรทั้งจักรวาล
    -ยิ่งแผ่ออกไปมากเท่าไหร่ ธาตุในร่างกายของเราก็ยิ่งสะอาด ยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งรองรับความเป็นทิพย์ ยิ่งรองรับอภิญญามากเท่านั้น แล้วทุกๆดวงจิตที่เราแผ่รัศมีเป็นเพชรไปให้
    ดวงจิตของเขาก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น ใสขึ้นด้วยเช่นกัน จะได้เป็นเพชรกันทุกๆดวงจิต
    -แล้วเราก็ตั้งใจว่า
    เราจะรักษา ดวงจิตของเรา ให้เป็นเพชร ให้มีความงดงาม มีความเย็น มีพระอยู่ในใจ สรรพวิชชากลับมารวมตัว ได้ตลอดไป ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกภพชาติ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำไว้สามครั้ง


    หมั่นชำระ หมั่นล้างธาตุ ให้เป็นเพชร ให้มีพระอยู่ในใจ ให้ได้ตลอดเวลาครับ

    สมัยโบราณ ลัทธิเต๋าเขามีการฝึกจนเป็นเซียน ก็คือได้อภิญญา เหาะเหินเดินอากาศได้ดั่งใจ
    เผอิญ ไปเจอตำราของลัทธิเต๋า ปรากฏว่า เขาใช้วิธีนึกภาพว่า ร่างกายของเขาเป็นเพชรทั้งร่าง
    แล้วก็ฝึกไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ เป็นชำระธาตุให้เป็นเพชร จนกระทั่งได้อภิญญา
    ที่ได้ก็เพราะว่า การนึกภาพให้ร่างกายเป็นเพชร ก็เป็นกสิณ เป็นฌาณ4 โดยตรง ก็เลยเกิดเป็นฤทธิ์ขึ้นมา

    3.โคจรลมปราณ
    -เราก็นึก ก็ทำความรู้สึกว่า กระแสเพชร ไหลเวียนทั่วร่าง ทะลุทะลวง ตามทางเดินของลมปราณทุกๆเส้น จากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย จากหน้าไปหลัง จากหลังไปหน้า
    -หาหนังสือลมปราณมาเปิด แล้วนึกภาพว่า กระแสเพชร ไหลเวียนตามทางเดินลมปราณแต่ละเส้นได้เลยครับ

    4.รักษาโรค
    -ให้เราแบมือข้างซ้าย แล้วนึกภาพว่า ในมือข้างซ้ายมีพระพุทธรูป เป็นเนื้อเพชร ใสระยิบระยับ มีรอยยิ้ม องค์ใหญ่มาก ประทับลอยอยู่เหนือมือของเรา
    -แล้วก็ ตั้งจิตขอบารมีท่าน ตั้งกำลังใจว่า
    การรักษาโรคนี้เราทำด้วยความเมตตา ปรารถนาให้ผู้ที่เราสงเคราะห์ หายใจจากโรคภัยไข้เจ็บ ขอบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตาสงเคราะห์ รักษาบุคคลนี้ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บด้วยเทอญ
    -แผ่เมตตาไปยังคนที่เราจะรักษา และเจ้ากรรมนายเวรของเขาก่อน
    -เสร็จแล้ว นึกภาพว่า กระแสเพชร ไหลจากภาพพระ เข้ามาทางมือซ้าย มาตามแขน ผ่านอก มายังแขนขวา ไปยังมือขวา แล้วออกมาทางมือขวา ไปยังคนที่เราต้องการจะรักษา
    -ให้กระแสเพชร ที่มาจากภาพพระ ชะโลมล้าง ชำระล้าง ทั้งร่างกาย จิตใจ และส่วนที่ป่วยของเขา ให้เป็นเพชรทั้งหมด
    -พอส่งกระแสเพชรไปเรื่อยๆ จนเรารู้สึกว่าพอ ก็หยุดครับ

    จอมยุทธ์สมัยก่อนจึงเรียกว่า เป็นผู้ทรงกสิณก็ว่าได้
    ทำให้คนโบราณมีความสามารถมากกว่าคนในยุคปัจจุบัน ที่เน้นฝึกแต่ร่างกาย แต่ไม่ได้ฝึกจิต ควบคู่ไปด้วย
    แก่นคือ ขอบารมีพระ และนึกทุกอย่างให้เป็นเพชรครับ

    ลองนำไปปฏิบัติดูครับ

    ขอให้เข้าถึงซึ่งจิตใจที่อ่อนโยน งดงาม เป็นเพชร เป็นจอมยุทธ์ที่มีเมตตา ที่ผดุงคุณธรรม ที่ทำเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ตลอดไป ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกภพชาติ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2009
  18. Ukie

    Ukie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +594
    ไม่เคยเห็นอะไร และยังรักษาอาการสงบได้ไม่นาน

    ช่วยแนะนำวิธีปฏิบัติให้ถูกกับจริตหน่อยค่ะ

    ของเดิมคือ พุทโธ ๆ ๆ ๆ ภาวนาไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้กำหนดตามลมหายใจเข้าและออกค่ะ แบบภาวนา พุทโธ ๆๆๆๆ ต่อ ๆ กัน
    พอจิตนิ่ง ๆ สักพัก จะหยุดภาวนา และเลิกคิด นั่นนี่โน่นค่ะ ถูกไหมค่ะ แต่ว่าสมาธิยังไม่แข็งแรงเท่าไหร่

    แล้วจะทราบได้อย่างไรว่านั่งถึงขั้นไหนแล้ว แต่ชอบนั่งสมาธิมาก ๆ คิดว่าคนอื่น ๆ สงบได้ ข้าพเจ้าก้อน่าจะทำได้ แต่ไม่ได้หวังเทียบเท่าคนอื่น เพราะคิดว่าแต่ละคนทำมาไม่เหมือนกัน

    แล้วก้อไม่เคยเห็นอะไรเลย ควรนั่งให้สงบ ๆ รักษาจิตที่สงบ ๆ ไปนาน ๆ ใช่ไหม ไม่ควรไปติดใจสงสัยอะไร รึเปล่าค่ะ แล้วสักวันจะพัฒนาเองใช่ไหม
    จะรู้ได้อย่างไรว่าฐานของเราดี

    แล้วเวลาสวดมนต์ควรสวดออกเสียงใช่ไหมค่ะ จะดีกว่าภาวนาในใจ

    ตั้งแต่มานั่งสมาธิได้ 2 วันอ่ะค่ะ รู้สึกว่าชอบนั่งสมาธิมากกว่า สวดมนต์ซะอีก
    ทั้ง ๆ ที่ ก้อยังนั่งไม่ได้ สงบเท่าไหร่ (มีแววไหมค่ะ)
    แล้วพอชอบนั่งสมาธิมากกว่า จิตเลยไม่สงบเวลาสวดมนต์ เพราะอยากนั่งสมาธิเร็ว ๆ ค่ะ

    ควรปฏิบัติควบคู่กันใช่ไหมค่ะ ไม่ควรละทิ้งอย่างใด


    ขอบคุณค่ะ ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  19. dewvader

    dewvader Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +88
    รบกวนถามหน่อยครับ

    ช่วยระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม แล้วนับไปประมาณ 7-8วัน หรือ 2-3วัน วันที่ 5 6 7 (รู้สึกเหมือนมี บวชเนขัมมะ ถวายเป็นประราชกุศล แต่ไม่ทราบว่าที่ไหนแล้ว)
    มีที่ไหนที่เปิดให้ปฏิบัติธรรมมั่งครับ

    จะไปสิงอยู่ซักอาทิตย์

    ช่วยแนะนำหน่อยคับ
     
  20. takamura15

    takamura15 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +34
    มโนเต็มกำลังที่ท่าซุงมีวันไหนครับ

    ถ้าว่างผมจะลองไปดูครับ ตอนนี้อยากเห็นแบบเต็มตัวนะครับ เอาแบบหลุดออกจากร่างไปเลย จะได้วัดกันจะจะ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...