รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ภูมินที ครับ

    สวัสดีครับ คุณXorce คือผมมีปัญหาจะถามนะครับ

    ตอนกำหนดแผ่เมตตาอัปมานฌาน ผมกำหนดแผ่รัศมีสีทองไม่ได้อ่ะครับ ผมชอบนึกถึงภาพดอกบัวแก้ว หรือไม่ก็พระพุทธรูปแก้วสีขาวที่มีประกายระยิบระยับ พอคิดอย่างนี้แล้วจะมีความสุข แล้วจึงกำหนดแผ่เมตตาออกไป

    คำถามก็คือ ถ้าไม่ใช่รัศมีสีทอง จะหมายความว่าผมตกคุณธรรมเรื่องความเมตตาไปรึป่าวครับ?

    ปกติแล้วจะเป็นสีทอง แต่ถ้าไม่เป็นก็ไม่เป็นไรครับ
    ถ้าเราแผ่เมตตาออกจากองค์พระ หรือด้วยอารมณ์พระนิพพานก็จะเป็นสีอื่นได้เหมือนกัน
    ให้เราจับภาพพระท่านให้ชัดเจนแจ่มใส จากนั้นกำหนดจิตแผ่เมตตาออกจากองค์พระได้เลยครับ

    และคนที่จะฝึกเป็นครูสอนคนอื่นนี่ต้อง แผ่กระแสเมตตาได้ไกลแค่ไหนครับ?

    อย่างต่ำก็ต้องคลุมคนที่เราจะสอนทั้งหมด
    ถ้าจะให้ดีก็ต้องแผ่ให้ได้ทั้งจักรวาล ทุกมิติ ทุกภพภูมิครับ

    ถ้าเราจะสอนคนอื่น เราจะต้องขอบารมีพระท่านทุกครั้ง ให้พระท่านเป็นผู้แนะนำผู้ถ่ายทอดสมาธิผ่านทางเรา
    และให้ตั้งจิตตั้งกำลังใจว่า เราสอนเพื่อให้เขาได้เข้าถึงความดี มีพระนิพพานเป็นที่สุด ไม่ใช่เพื่อให้คนมายกย่องสรรเสริญบูชาเรา
    พอเราตั้งกำลังใจได้ถูกต้อง และขอบารมีพระท่านแล้ว การสอนก็จะดำเนินไปได้ด้วยดีครับ
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Ouivi ครับ

    ขอถามอีกค่ะ

    เวลาทำสมาธิ ดิฉันลองทำแบบที่คุณXorceว่าคือ
    ทำจิตใจให้สบายๆ ปล่อยนิ่ง หน้าที่ของเราคือดูจิต ดูลมหายใจเท่านั้น
    พอดูไปเรื่อยๆซักพัก เหมือนลมหายใจมันเริ่มนิ่งสงบขึ้นค่ะ แล้วพอผ่านไปซักพัก เหมือนร่างกายมันเริ่มเก็บลมหายใจไว้ในอก ดิฉันเลยลองตามดูลมหายใจต่อ เหมือนในอกมันเก็บลมเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะไม่หายใจ เหมือนมันจะหยุดไป จนไปถึงจุดหนึ่ง รู้สึกว่าลมมันอัดแน่นอยู่ในอกค่ะ พอถึงตรงนี้ดิฉันเลยไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะรู้สึกว่าลมมันแน่นอกมาก รบกวนคุณXorceช่วยบอกทีค่ะว่าดิฉันมาถูกทางรึป่าว? หรือว่าต้องแก้ไขตรงไหน เพราะพอถึงตรงนี้แล้วดิฉันไปต่อไม่เป็นจริงๆค่ะ


    ลมแน่นที่อกนี่ เกิดจากลมหายใจติดขัด ลมไม่ลื่นไหล อาจจะมีอารมณ์หนักไปด้วยครับ

    และเพื่อทำให้ลมหายใจลื่นไหล หรือว่าอารมณ์หนักไปนี้
    ก่อนที่จะจับลมหายใจให้เรา ล้างลมหายใจหยาบ ด้วยการ

    หายใจเข้าลึกๆ สัมผัสถึงความเย็นเบาสบายของลมหายใจ จนลมหายใจเต็มปอด
    จากนั้นกักลมหายใจเอาไว้สบายๆและภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆๆๆ ไปที่ท้อง ซ้ำไปซ้ำมาประมาณ10วินาที

    พอครบ10วินาทีจึงหายใจออกและทำซ้ำ10ครั้ง
    เสร็จแล้วให้เราจับลมหายใจเหมือนเดิมให้เราคอยตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆ

    ลมหายใจของเราจะไหลลื่น และช้าลงๆ จนหยุดไปเอง
    จากนั้นก็ประคองลมหายใจที่หยุด จิตที่หยุดนิ่ง หยุดคิดเอาไว้ตามที่เราต้องการครับ


     
  3. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    มาถามอีกแล้วคับพี่ชัด ตามดูลมแต่ ดูได้สักพักลมนั้นจะมีความรู้สึกเย็นโดยที่เรามองแค่ลมเท่านั้น แต่วันนั้นที่ได้ไปนั่งสมาธิ ก็พอทำได้เห็นขาวๆเหมือนกับไปนั่งที่วัดแต่ไม่ได้ขาวถึงขนาดนั้นแต่ก็ได้ในระดับนึง และลมหายใจมันละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆแต่ ถ้าหากยังมีกิเลสอยู่ จิตเราก็ตก กำลังไม่พอ ถ้าหากถึงจุดๆหนึ่งที่กำลังใจเต็ม แล้ว เห็นหลวงพ่อฤษีลิงดำ พระ ท่านก็บอกว่าจะมีคนมาบอกให้ทำยังไงไปไหนต่อ อันนี้ จริงแท้ประการใดคับ อนุโมทนาครับ พี่ชัด
     
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    มาถามอีกแล้วคับพี่ชัด ตามดูลมแต่ ดูได้สักพักลมนั้นจะมีความรู้สึกเย็นโดยที่เรามองแค่ลมเท่านั้น

    สัมผัสถึงความเย็น ลื่นไหลของลมหายใจใจจะมีความเบาสบาย แบบนี้ถูกแล้วครับ

    แต่วันนั้นที่ได้ไปนั่งสมาธิ ก็พอทำได้เห็นขาวๆเหมือนกับไปนั่งที่วัดแต่ไม่ได้ขาวถึงขนาดนั้นแต่ก็ได้ในระดับนึง และลมหายใจมันละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ

    แต่ ถ้าหากยังมีกิเลสอยู่ จิตเราก็ตก กำลังไม่พอ

    ถ้าเราทำจิตเราให้สะอาดจากกิเลสชั่วระยะเวลาหนึ่งๆ เราก็สามารถจะทรงสมาธิ จนลมหายใจดับได้ ทรงมโนมยิทธิได้ครับ

    ถ้าจะให้จิตไม่มีกิเลสเลย ต้องเป็นพระอริยเจ้าแล้วครับ

    ถ้าหากถึงจุดๆหนึ่งที่กำลังใจเต็ม แล้ว
    เห็นหลวงพ่อฤษีลิงดำ พระ ท่านก็บอกว่าจะมีคนมาบอกให้ทำยังไงไปไหนต่อ อันนี้ จริงแท้ประการใดคับ อนุโมทนาครับ พี่ชัด<!-- google_ad_section_end -->

    อันนี้หมายถึงมโนใช่ไหมครับ

    ถ้าจะฝึกมโนเอง ผมยังไม่แทบไม่เคยเจอใครที่ทำเองได้เลยครับ จะมีก็น้อย
    ถึงได้ก็ไม่แจ่มใส ไม่คล่องเท่าฝึกกับครู ให้เราไปฝึกที่ซอยสายลมดีกว่าครับ

    ถ้ากำลังใจของเราเต็มแล้ว เราก็จะยอมและมีโอกาสได้ไปฝึกที่ซอยสายลมเองแหละครับ
    ถ้ายังไม่ยอมไป หรือไปไม่ได้ แปลว่ากำลังใจของเรายังไม่เต็ม ลองพิจารณาดูครับ

    วันที่4-5 กรกรฏาคมนี้ อย่าลืมไปนะครับ เป็นช่วงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาด้วย
    ถือว่าเป็นการทำบุญในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาไปในตัวด้วยครับ

    ถ้าใครมีความสนใจในการปฏิบัติมโนมยิทธิ ก็ขอให้ไปกันดูนะครับ
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
  5. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    วันอาทิตย์คราวนี้ไปได้แน่นอนครับ วันเสาร์ไม่แน่ แต่ก็ไม่อยากจะขาดงาน คงต้องไปแต่ช่วงเย็นๆของวันเสาร์ถึงนู๊นก็คงช่วงหัวค่ำ ไปฝึกนั่งที่นั้น นั่งสมาธิช่วงดึกๆ ที่นั่นก็คงจะดี ก็จะขออาศัย นอนที่วัด สัก1คืน อยากไปกวาดลานวัดสักวันสองวันแต่ ที่แน่ๆ กำลังใจมีพอครับพี่ชัด แต่มันไม่รู้จักเส้นทางเนี๊ยะสิ ค่อยข้างลำบาก ขนาดวันนั้น กว่าจะหาเจอ ก็แทบแย่เหมือนกันออกมาเกือบเที่ยงมาถึงก็ตกบ่าย2โมงแล้วเดินทางจริงๆแค่ 20-30นาทีก็ถึงแล้ว ส่วนอีกชั่วโมงกว่าๆเดินวนหา ^^; แต่ก็ยังจับผลัดจับถูไปถึงจนได้ดั่งที่ตั้งใจไว้ ถึงจะติดงานก็เถอะ อนุโมทนาครับ
     
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ที่ซอยสายลม ไม่ใช่วัดครับ
    เป็นสถานีที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งพระจากวัดท่าซุงท่านจะเดินทางมา ทุกๆเสาร์อาทิตย์ต้นเดือน
    รู้สึกว่าจะไม่มีให้ค้างคืนครับ

    ควรจะไปให้ถึงซอยสายลมก่อน 11.00 ครับ ถ้าจะให้ดีไปก่อน 10.30เลย
    จะได้มีเวลาถวายสังฆทาน และทานอาหารกลางวันก่อนฝึก
    จะเริ่มฝึกตอน12.00 ถ้าไปช้ากว่า12.00 จะเข้าห้องไม่ได้

    ให้เดินทางไปลงสถานีซอยอารีย์ จากนั้นเรียกแท๊กซี่ บอกเขาว่าซอยสายลมเลยครับ รู้จักทุกคัน

     
  7. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    สับสนระหว่างวัดท่าซุงกับซอยสายลมหน่ะคับ ^^;
     
  8. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อ่อ ที่ทำงานหน่ะคับ มันต้องบางทีก็ก๊อบปี้แล้วเอามาดัดแปลง ถามว่า มันผิดศีลรึเปล่าครับ ข้อนี้สงสัย คือ เราเอาของเค้ามาเป็นต้นแบบแล้วก็มาดัดแปลงตามสไตท์ของเราเอง ผิดไหมเพราะมันเป็นงานที่ต้องทำ เลี้ยงไม่ได้ อนุโมทนาคับพี่ชัด
     
  9. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    ขอถามท่าน Xorce นอกเรื่องครับ ขออภัยที่ถามเรื่องส่วนตัว ขอเป็นวิทยาทานเพื่อนำไปปรับแบบปฏิบัติของตนเอง *-*
    1. ชื่อท่านนี่แปลว่าอะไร
    2. ท่านเป็นสงฆ์ หรือ ฆราวาส
    3. ท่านมีวิธีปฏิบัติแบบใด เช่น สวดมนต์ก่อนมั้ย ค่อยเข้าสมาธิ หรือเข้าสมาธิเลย เข้านานแค่ไหน ท่านมักเข้าสมาธิเวลาใด

    * อารมณ์ละเอียดกับการที่ต้องมาทำงาน วุ่นวายกับชีวิตประจำวันนี่ มันช่างเข้ากันได้ยาก
    * การใช้ผล จากอารมณ์ละเอียด บางครั้งผมก็กลัวเป็นบาป เพราะรู้สึกว่ากำลังมันจะมีมากโข ผมเลยเข้าใจว่า มิน่ามันจึงสามารถทำให้คนวิปลาศไปได้ หากใช้ไปในทางไม่ดี ไม่มีสติคุมไว้
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    อ่อ ที่ทำงานหน่ะคับ มันต้องบางทีก็ก๊อบปี้แล้วเอามาดัดแปลง ถามว่า มันผิดศีลรึเปล่าครับ ข้อนี้สงสัย คือ เราเอาของเค้ามาเป็นต้นแบบแล้วก็มาดัดแปลงตามสไตท์ของเราเอง ผิดไหมเพราะมันเป็นงานที่ต้องทำ เลี้ยงไม่ได้ อนุโมทนาคับพี่ชัด<!-- google_ad_section_end -->

    แบบนี้ไม่ผิดศีลครับ
    การลอกเลียนแบบทางความคิดเอง ก็ไม่ถือว่าเป็นการขโมยครับ

    ถ้ามีบุคคลตั้งร้านขายของ แล้วเราเห็นว่าดี
    เราไปตั้งร้านขายของบ้าง และปรับปรุง จนขายได้ดีกว่าเขา
    ก็ไม่ผิดศีลเช่นกัน

    แต่ถ้าเราไปเอาความคิดหรือผลงานของบุคคลอื่น แล้วมาจดลิขสิทธิ์ในชื่อของเรา
    โดยไม่ได้รับอนุญาติ หรือทำให้เขาเสียผลประโยชน์

    ยกตัวอย่าง มีผลงานหลายชิ้น ที่เจ้าของคิดค้นขึ้นเอง
    แต่มีผู้มีอำนาจใช้เส้นสาย นำผลงานนั้นไปจดลิขสิทธิ์ในนามของตัวผู้มีอำนาจเอง
    ทำให้คนที่คิดค้นผลงานขึ้นมาเอง ไม่อาจจะขายสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเองได้

    แบบนี้เป็นการขโมย ผิดศีลครับ

    เรื่องบางเรื่องถูกต้องตามกฏเกณฑ์ทางสังคม แต่ผิดศีลธรรม
    ส่วนเรื่องบางเรื่องอาจจะไม่ถูกตามกฏเกณฑ์ขทางสังคม แต่ถูกศีลธรรมก็มี
    ต้องพิจารณาแยกกันด้วยครับ
     
  11. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ โทสะ ครับ

    ขอถามท่าน Xorce นอกเรื่องครับ ขออภัยที่ถามเรื่องส่วนตัว ขอเป็นวิทยาทานเพื่อนำไปปรับแบบปฏิบัติของตนเอง *-*
    1. ชื่อท่านนี่แปลว่าอะไร

    จริงๆ ผมชื่อ ชัด ครับ
    ส่วนชื่อล็อกอิน เนื่องจากผมสมัครชื่อไหนๆ ก็มีแต่คนใช้แล้ว
    ผมจึงนำคำว่า force มาเปลี่ยน f เป็น x ก็เลยเป็น xorce ครับ
    คิดชื่อไม่ออกว่างั้นก็ได้ครับ

    2. ท่านเป็นสงฆ์ หรือ ฆราวาส

    ฆราวาสครับ

    3. ท่านมีวิธีปฏิบัติแบบใด เช่น สวดมนต์ก่อนมั้ย ค่อยเข้าสมาธิ หรือเข้าสมาธิเลย เข้านานแค่ไหน ท่านมักเข้าสมาธิเวลาใด

    ผมเน้นปฏิบัติตลอดเวลา ในทุกๆอิริยาบถครับ
    และผมจะพยายามแนะนำให้ทุกๆคนฝึกปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา
    และพัฒนาจิตจนไปถึงจุดที่จิตสามารถทรงอยู่ในอารมณ์ปฏิบัติได้ตลอดเวลา

    ลองพิจารณาว่า ในวันนึง เรามีเวลา24ชั่วโมง ถ้าเราจะรอตอนเวลาว่าง
    เราจะปฏิบัติได้ไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง ก่อนนอน หรือตอนตื่น
    ซึ่งร่างกายเราก็เหนื่อยล้ามาทั้งวัน พอมาทำสมาธิก็อาจจะเพลียจนหลับได้
    ซึ่งก็จะไม่เกิดผลในการปฏิบัติเท่าที่ควร

    แต่หากเราหันมามองใหม่ว่าการปฏิบัตินี้เราจะต้องทำตลอดเวลา ตั้งแต่เราตื่นจนเราหลับ


    ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราเข้าห้องน้ำทำความสะอาดร่างกาย
    เราก็พิจารณาว่า ร่างกายของเรา มีความสกปรกแบบนี้ พิจารณาทั้งภายในร่างกาย และภายนอกร่างกาย
    ดูทั้งปอด ตับ ไต ลำไส้ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง
    ถ้าร่างกายเราสะอาดจริง เราจะต้องมาคอยแปรงฟัน อาบน้ำทุกวันไหม
    ถ้าร่างกายเราสะอาดจริง ดีจริง เราก็ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องแปรงฟัน ไม่ต้องขับถ่าย

    แต่เราก็ทำไม่ได้ ไม่นานร่างกายก็จะมีกลิ่นเหม็น และเกิดความสกปรก
    ก็แปลว่าร่างกายนี้สกปรกจริงๆ
    ความสกปรกนี้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย
    ร่างกายของเราสกปรก ร่างกายของคนอื่นๆก็สกปรก
    เมื่อจิตของเราเห็นความสกปรก อันเป็นธรรมดาของร่างกายแล้ว
    จิตของเราควรที่จะปล่อยวางไม่ปรารถนาทั้งในร่างกายของเราและผู้อื่น เพราะมีความสกปรก เป็นธรรมดา เหมือนกันหมด

    พอเรารับประทานอาหาร เราก็พิจารณาว่าอาหารที่เรากินนี้
    พอผ่านลำคอของเราลงไป ก็ต้องกลายเป็นของสกปรกเน่าเหม็น ที่เราไม่พึงปรารถนาอีก
    แต่ของสกปรกเหล่านี้ ก่อนที่เราจะทานลงไป เราก็ไปหลงว่ามันสวย มันเป็นของดี รสอร่อย

    ถ้ามันดีจริง ทำไมเราจึงไม่แม้แต่อยากจะมองอุจจาระ ปัสสาวะของตัวเราเอง
    เราก็เห็นความธรรมดา ว่าของสกปรก หรือของสะอาด แท้ที่จริงก็คือของชิ้นเดียวกัน มีสภาพไม่ต่างกัน
    เราไม่ควรจะไปติดทั้งในการกิน และรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

    จิตเห็นเป็นความธรรมดาของวัตถุ ไม่รัก ของสวย และไม่รังเกียจในของสกปรก
    จากนั้นก็พิจารณาต่อว่า สัตว์ทั้งหลายที่สละชีวิตให้เรากิน พ่อค้า แม่ค้า ชาวนาที่ปลูกข้าว คนเลี้ยงสัตว์ มีพระคุณต่อเรา ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่มีข้าวกิน
    ก็ให้เราตั้งจิตแผ่เมตตาความรักอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณออกไปยังทั้งคนและสัตว์
    จนจิตใจของเราชุ่มเย็นเป็นสุข
    ทานอาหารไปทรงอารมณ์เมตตาไป ประคองใจให้เป็นสุข

    บุคคลใดที่ทำกสิณได้ ภาพพระเป็นเพชรได้ ก็ตั้งจิตเพิ่ม
    อธิษฐานว่าขออาหารที่เรากินนี้เป็นอาหารทิพย์
    นึกภาพให้เห็นว่าอาหารที่เรารับประทานนี้เป็นเพชร
    และน้อมถวายต่อพระรัตนตรัย เพื่อให้สัตว์และคนทั้งหลายได้อานิสงค์ไปด้วย

    พอทานอาหารเสร็จ เราก็ออกมาทำงาน ระหว่างเดินทาง เราก็ประคองจิตให้เป็นสมาธิตลอดการเดินทาง
    การเดินทางของเราจะมีความปลอดภัย ไม่มีอุปสรรคใดๆ

    จากนั้นพอถึงที่ทำงาน เราก็ประคองสมาธิ แผ่เมตตาจนจิตใจของเรามีความสบาย
    พบเจอใครก็มีอารมณ์เบิกบานแจ่มใส เข้าได้ดีกับทุกคน
    หากพบเจอปัญหา หรือมีอารมณ์มากระทบ ก็พิจารณาว่า เป็นเรื่องธรรมดาของโลก
    นัตถิ โลเก อนินทิโต ผู้ไม่ถูกนินทาในโลกนี้ย่อมไม่มี
    พระพุทธองค์ดีอย่างหาที่สุดหาที่ประมาณมิได้ ยังมีบุคคลว่าร้ายพระองค์
    เราหรือจะพ้นจากการถูกนินทาไปได้
    เห็นความเป็นธรรมดา ตั้งจิตขออโหสิกรรม และให้อภัยแก่บุคคลนั้น และแผ่เมตตาไปให้เขา

    พิจารณาว่างานที่เราทำนี้ จะส่งผลให้เกิดความสุขแก่ส่วนรวม แก่ประเทศชาติอย่างไรบ้าง
    ไม่มีสายงานใดที่ถ้าพิจารณาดีๆ ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

    ก็ให้เราตั้งจิตว่า การทำงานทั้งหมดของเรา เราขอทำถวายต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    การทำงานทั้งหมดเป็นไปเพื่อความสุขของผู้อื่นไม่ใช่เพื่อตัวเรา
    ขอให้การตั้งจิตอธิษฐานนี้ เป็นปัจจัยให้สายงานที่เราทำอยู่ สร้างความเจริญรุ่งเรือง แก่ส่วนรวม และแก่ประเทศชาติด้วยเทอญ

    ยอมเหนื่อยเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อตัวเอง กำลังจิต กำลังใจของเราจะยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ

    พอกลับมาถึงบ้าน ก็อาบน้ำ ชำระร่างกาย ตั้งจิตว่า
    นอกจากเราจะชำระร่างกายแล้ว เราจะขอชำระ จิตใจของเรา ที่อยู่กับตัวเราตลอดเวลานี้ ให้ใสสะอาด ปราศจากความมัวหมองขุ่นข้องในดวงจิต
    และตั้งจิตเข้าสมาธิ แผ่เมตตา พิจารณาในร่างกาย เพื่อชำระล้างดวงจิตของเรา
    ให้ใสสะอาด สว่าง สงบจากกิเลส
    ไปพร้อมๆกับน้ำที่ชำระกายและใจของเรา

    ก่อนจะนอน เราก็สวดมนต์ เจริญสมาธิ จากนั้น
    เราก็ประคองจิตให้อยู่ในเมตตา ในสมาธิ ในอารมณ์พระนิพพาน จนกระทั่งเราหลับไป

    ให้เราพิจารณาก่อนนอนว่า การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์
    เป็นเทวดา เป็นพรหมก็สุขแค่ชั่วคราว เดี้ยวก็ต้องกลับมาเป็นมนุษย์
    ต้องมาดูแลร่างกายเฉกเช่นนี้อีก เราจะไม่พึงปรารถนาอีกต่อไป
    ตั้งกำลังใจว่า หากเราตายขณะที่เราหลับไปนี้ เราจะไม่เกิดยังสถานที่ใดอีกต่อไป
    เราจะไปจุดเดียวคือพระนิพพานเท่านั้น

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานเข้าสู่ยังสถานที่แห่งใด
    ข้าพเจ้าจะขอตามเสด็จองค์พระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าสู่ยังสถานที่แห่งเดียวกับพระองค์
    คือพระนิพพาน เพียงจุดเดียวเท่านั้น
    ถ้ากำลังใจแน่วแน่ถึงที่สุด หากเราตายขณะที่เราหลับ เราก็จะไปพระนิพพานทันที


    สรุปว่า ในวันนึง เราปฏิบัติสมาธิ เจริญจิตอยู่ในธรรม ตลอด24ชั่วโมง
    การปฏิบัติของเราจะมีความต่อเนื่อง สามารถจะทรงสมาธิเป็นเดือน เป็นปี โดยไม่ถอนจากอารมณ์ก็สามารถทำได้
    การปฏิบัติของเราจะมีความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว
    ไม่ว่าเราจะตายขณะใดของวัน อย่างเลวที่สุด เราก็มีพรหมเป็นที่ไป
    เพราะเราทรงสมาธิ ทรงจิตอยู่ในเมตตาพรหมวิหาร4ตลอดทั้งวัน

    ขอให้ทุกๆคน ฝึกทรงอารมณ์จิตให้ตั้งอยู่ในกุศลให้ได้ทุกๆขณะจิต ทุกๆอิริยาบถ และมีพระนิพพานเป็นที่สุดในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2009
  12. Ga_t

    Ga_t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +867
    อนุโมทนา สาธุครับ
     
  13. center-in-center

    center-in-center เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,717
    หง่าวววววววววววว ถามบ้างนะงับ อยากฮู้เจงๆ
    1. แยกจิตกับใจอย่างถาวร ด้วยวิธีใดงับ
    2. กลั่นจิตให้บริสุทธิ์ เพื่อปัญญาญาณ ทำยังไงงับป๋ม
    3. การไม่กลับมาเกิดซึ่งจิตอีก จะทำยังไงดีงับ

    หว่าวววววววววววววววว......เมี๊ยว
     
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ center-in-center ครับ

    1. แยกจิตกับใจอย่างถาวร ด้วยวิธีใดงับ
    3. การไม่กลับมาเกิดอีก จะทำยังไงดีงับ

    ข้อ 1 กับ 3 ขอตอบรวมเป็นคำตอบเดียวครับ

    เพราะมีวิธีเดียว คือ ตัดสังโยชน์ทั้งสิบข้อให้หมด จนเป็นพระอรหันต์

    โดยเฉพาะข้อที่8 มานะทิษฐิ
    ความรู้สึกที่ว่า เราดีกว่า ผู้อื่น เราเสมอผู้อื่น เราเลวกว่าผู้อื่น
    การยกตนข่มท่าน การตีตัวเสมอท่าน หรือตีว่าตัวเองแย่กว่าท่าน

    เป็นภัยร้าย เพราะทำให้จิตของเรามีความหนัก ทำให้เกิดการแข่งขัน การเอาชนะซึ่งกันและกัน
    เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์

    ถ้าเราปราบมานะทิษฐิได้ เราก็ปราบกิเลสได้ทุกตัว
    จิตที่สะอาดจากมานะทิษฐิ มีอารมณ์จิตที่อ่อนน้อม นอบน้อมถ่อมตน จิตเปิดกว้าง
    มองเห็นบุคคลทั้งหมด เป็นเพื่อนของเราเสมอกัน ไม่สำคัญว่าใครดีกว่าใคร ใครเลวกว่าใคร ใครเสมอใคร
    ทุกๆคนเป็นเพื่อนของเราหมด เรามีความรักความเมตตา ต่อทุกๆคนเสมอกัน

    ดังนั้นมานะทิษฐิ เราต้องพิจารณาให้มาก ปราบมันให้ได้
    ถ้าปราบมานะทิษฐิได้ สังโยชน์ข้ออื่นเราก็ตัดได้เช่นกัน


    2. กลั่นจิตให้บริสุทธิ์ เพื่อปัญญาญาณ ทำยังไงงับป๋ม

    เข้าฌาณในสูงที่สุดเท่าที่เราทำได้ รูปฌาณถือว่าใช้ได้ ถ้าอรูปฌาณได้ยิ่งดี
    เมื่อเข้าฌาณสูงสุดที่เราทำได้แล้ว จึงค่อยพิจารณาในวิปัสสนาญาณ เพื่อตัดสังโยชน์ทั้ง10 ข้อ

    ขอให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ
     
  15. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    โดยเฉพาะข้อที่8 มานะทิษฐิ
    ความรู้สึกที่ว่า เราดีกว่า ผู้อื่น เราเสมอผู้อื่น เราเลวกว่าผู้อื่น
    การยกตนข่มท่าน การตีตัวเสมอท่าน หรือตีว่าตัวเองแย่กว่าท่าน

    ตอบตรงๆข้อนี้ผมก็มีอยู่ พอประมาณ มีบ้าง

    ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้นั่งสมาธิเป็นจริงเป็นจังเท่าไหร่แต่ก็เข้าทุกเวลาตามที่ท่านชัดชี้แนะนั่นแหละ
    และเหตุ ก็เกิดเมื่อวันก่อน ผมไม่ค่อยได้นั่งสมาธิ และ จู่ๆจิตมันคิดถึงความชั่วและก็หลงและหมกมุ่นกับกรรมชั่วนั้นและได้ส่งความชั่วออกไป เหตุก็คือทุข จิตยังรู้ว่ามันไม่ผิดศีลแต่มันผิดคำนองคลองธรรมแต่ก็ยังทำคือ จิตนาการไปในทางที่ผิด จิตเลยส่งความชั่วออกไปและคนที่ทุขก็คือผมเอง(ผมรู้ได้เลยว่ามันเป็นความชั่วที่ส่งออกไปลักษณะมันจะเป็นแบบคลื่นดำๆเหมือนกลุ่มควัญเมฆฝนสีดำและส่งออกลอยออกไปจากร่างผม พอมันถูกส่งออกไปสักพักผมก็หลุดจากห้วงแห่งความชั่วความทุขนั้นได้เหมือนกับหลุดจากการครอบงำของความชั่วร้ายที่อยู่ในตัว ผมก็รู้สึกแย่ที่ได้ส่งความชั่วออกไป อย่างที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันก็สามารถส่งออกไปเหมือนกับการแผ่เมตตา (จิตคิดแต่ไม่ได้ทำถ้าหากคนสมัยนี้ความคุมสติไม่ได้ที่เค้าเรียกว่า คนสมัยนี้การควบคุมของสมองได้ลดน้อยลงไปเรือ่ยๆ พูดง่ายๆคนสมัยนี้เริ่มห่างออกจากธรรมะไปเรื่อยๆจึงมีคนมักง่ายโจร ฆ่าข่มขืนกันเยอะขึ้น อีกหน่อยก็คงเข้าสู่กรียุคซึ่งเป็นที่ไม่มีศาสนาไม่มีกฎหมายใครจะทำอะไรก็ได้ซึ่งไม่ต่างอะไรกับนรกบนดินดีๆนี่เอง)) จึงทำให้ผมมองเห็นว่าคนเราไม่ต่างอะไรกับเหรียญสองด้านเลยจริงๆ มีทั้ง กรรมดีและกรรมชั่วอยู่ในตัว ล้วนแล้วแต่จะเลือกว่าอยู่ฝั่งไหน อยู่ด้านใดของเหรียญ และหลังจากนั้นแค่ไม่ถึงชั่วโมงผมก็ได้รับกรรมทันตาเห็นเลยครับ

    ผมล้มหัวกระแทกพื้นซึ่งจริงๆผมเป็นคนระมัดระวังนะ แล้วอีกวันต่อมา สุนัขที่ทำงานผมกัดซึ่ง แต่ก่อนผมก็ลูบหัวมันเล่นอยู่เลย(ตอนนี้มันมีลูกสงสัยมันจะหวงลูกของมัน ^^) วันนี้ก็ต้องลาป่วยเพราะไปฉีดยากันบาดทะยัก เลยนอนซมอยู่ในห้อง แต่ผมก็คิดว่าผมก็ยังโชคดีในความโชคร้ายที่ได้เห็นถึงผลกรรม คิดดีทำดีเข้า ไว้ ^^;
    (กรรมชั่วนี่ติดจรวจจริงๆ ^^) ส่วนกรรมดียังไม่เห็นผลจะเห็นผลก็ตอนที่เราสิ้นบุญในภพชาตินี้ ถ้าใครโชคดีก็แสดงว่าคนนั้นบุญตามทันบุญถึงทำกรรมดีไว้มาก หมั่นทำดีเข้าไว้นะครับเพื่อนพี่ๆน้องๆทุกคน
    ผมก็มีเรื่องที่พบด้วยตัวเอามาเล่าสู่กันฟัง เท่านั้นเองครับ อนุโมทนาสาธุ ที่ทนอ่านครับ สาธุ สาธุ

    ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มิถุนายน 2009
  16. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    สวัสดีครับ คุณชัด ที่นับถือ
    ก่อนอื่นต้องขอบคุณมากที่แนะนำการปฏิบัติอย่างละเอียด ผมไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรกับคำแนะนำที่ได้รับ ขอบคุณอีกครั้งครับ
    ขอเล่าประสบการณร์การฝึกให้ฟังครับ ( เมื่อวานครับ) เผื่อท่านจะกรุณาแนะนำเพิ่มเติม ผมนอนกำหนดลมหายใจเข้า ออก ภาวนาพุทธ-โธไปด้วย ใจหาย ลมหาย ดิ่งลึก แต่สติรู้ดีเยี่ยม ผมจึงขอบรมีพระพุทธองค์พาไปยังสถานหนึ่งครับ เห็นแสงพุ่งมา จากที่เคยอ่านตำราหลวงพ่อบอกให้ไปตามแสงครับ ผมก็พุ่งไปสุดตัวครับ ไปวูบเดียวตัวผมสั่นยังกะเจ้าเข้าแต่ขณะสั่นก็พอจะเห็นอะไรบ้างเล็กน้อย แต่ไม่นานนักอาการสั่นแรงขึ้นจนผมต้านไม่ไหวแล้วก็วูบกลับมาที่เดิม หลุดจากสมาธิ ถามครับ ทำยังไงอาการสั่นมันจะหมดไปไม่มากวนสมาธิ แล้วท่านเคยฝึกกสิณมั้ยครับ หากฝึกช่วยแนะวิธีที่ท่านปฏิบัติ เป็นธรรมทานสำหรับผู้ด้อยปัญญาครับ ขอบคุณมาก
     
  17. center-in-center

    center-in-center เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,717
    ขอบคุณสำหรับคำตอบนะงับ ...............หง่าววววววววววววววววว
    การเข้าถึงนิพพานของป๋มคงยากอยู่ ที่จะทำได้ในตอนนี้ เพราะ บารมี 10 ทัศ หรือ 30 ทัศ ยังมะเต็มเลย
    ทำให้กำลังในฌาณยังอ่อน กำลังพิจาณาไตรลักษณ์ยังเขลาอยู่มาก
    การเข้าใจไตรลักษณ์ ขันธ์5 หรือ ธรรมขันธ์ทั้งหลายนั้น อาจเข้าใจได้ระดับหนึ่งด้วยปัญญาระดับโลกียญาน หรือ สมถะภาวนา แต่ การ เข้าถึงไตรลักษณ์ ขันธ์5 หรือ ธรรมขันธ์ทั้งหลายนั้นทำได้ยากพอควรหากกำลังบารมียังไม่สมส่วนพอดี(หรือประจวบเหมาะพอดี) เปรียบเสมือนคนทั่วไปต่างรู้ว่า น้ำบริสุทธิ์ นั้น ไร้สี ไร้กลิ่น เป็น H2O มีความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 1 แต่น้อยคนนักที่ได้ดื่มน้ำบริสุทธ์นี้
    ดังนั้น คนที่ เข้าใจ + เข้าถึง รสพระธรรมนั้น มีน้อยมาก
    แต่ คนที่ เข้าใจ + เข้าไม่ถึง รสพระธรรมนั้น มีมากมาย ทำให้มีการโต้เถียง โอ้อวดกัน ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นเพราะไม่เคยดื่มรสพระธรรมที่แท้จริงด้วยตนเองเลย

    ขอให้คุณ Xorce เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเช่นกัน เทอญ<!-- google_ad_section_end -->
     
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    โดยเฉพาะข้อที่8 มานะทิษฐิ
    ความรู้สึกที่ว่า เราดีกว่า ผู้อื่น เราเสมอผู้อื่น เราเลวกว่าผู้อื่น
    การยกตนข่มท่าน การตีตัวเสมอท่าน หรือตีว่าตัวเองแย่กว่าท่าน

    ตอบตรงๆข้อนี้ผมก็มีอยู่ พอประมาณ มีบ้าง

    มีบ้างทุกคนครับ เพราะผู้ที่ไม่มีมานะทิษฐิเหลือแล้ว คือ พระอรหันต์เท่านั้น
    แต่เราจะต้องพยายามควบคุมจิต ไม่ให้ถูกมานะทิษฐิครอบงำให้ได้
    เพราะมานะทิษฐินี่ ทำให้เกิดความทุกข์ได้อย่างมหาศาล
    จะต้องคอยไปแข่งขันกับผู้อื่นอยู่เสมอ ทะเลาะโต้เถียงกันไปเรื่อยๆ
    เพียงเพื่อให้เรารู้สึกว่าเราเหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งก็ไม่ได้เหนือกว่าจริงๆหรอก เพียงแต่ใจจะรู้สึกแบบนั้น

    ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้นั่งสมาธิเป็นจริงเป็นจังเท่าไหร่แต่ก็เข้าทุกเวลาตามที่ท่านชัดชี้แนะนั่นแหละ

    เรียกคุณชัด หรือชัด เฉยๆก็ได้ครับ

    และเหตุ ก็เกิดเมื่อวันก่อน ผมไม่ค่อยได้นั่งสมาธิ และ จู่ๆจิตมันคิดถึงความชั่วและก็หลงและหมกมุ่นกับกรรมชั่วนั้นและได้ส่งความชั่วออกไป เหตุก็คือทุข จิตยังรู้ว่ามันไม่ผิดศีลแต่มันผิดคำนองคลองธรรมแต่ก็ยังทำคือ จิตนาการไปในทางที่ผิด จิตเลยส่งความชั่วออกไปและคนที่ทุขก็คือผมเอง(ผมรู้ได้เลยว่ามันเป็นความชั่วที่ส่งออกไปลักษณะมันจะเป็นแบบคลื่นดำๆเหมือนกลุ่มควัญเมฆฝนสีดำและส่งออกลอยออกไปจากร่างผม พอมันถูกส่งออกไปสักพักผมก็หลุดจากห้วงแห่งความชั่วความทุขนั้นได้เหมือนกับหลุดจากการครอบงำของความชั่วร้ายที่อยู่ในตัว ผมก็รู้สึกแย่ที่ได้ส่งความชั่วออกไป อย่างที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันก็สามารถส่งออกไปเหมือนกับการแผ่เมตตา (จิตคิดแต่ไม่ได้ทำถ้าหากคนสมัยนี้ความคุมสติไม่ได้ที่เค้าเรียกว่า คนสมัยนี้การควบคุมของสมองได้ลดน้อยลงไปเรือ่ยๆ พูดง่ายๆคนสมัยนี้เริ่มห่างออกจากธรรมะไปเรื่อยๆจึงมีคนมักง่ายโจร ฆ่าข่มขืนกันเยอะขึ้น อีกหน่อยก็คงเข้าสู่กรียุคซึ่งเป็นที่ไม่มีศาสนาไม่มีกฎหมายใครจะทำอะไรก็ได้ซึ่งไม่ต่างอะไรกับนรกบนดินดีๆนี่เอง)) จึงทำให้ผมมองเห็นว่าคนเราไม่ต่างอะไรกับเหรียญสองด้านเลยจริงๆ มีทั้ง กรรมดีและกรรมชั่วอยู่ในตัว ล้วนแล้วแต่จะเลือกว่าอยู่ฝั่งไหน อยู่ด้านใดของเหรียญ และหลังจากนั้นแค่ไม่ถึงชั่วโมงผมก็ได้รับกรรมทันตาเห็นเลยครับ

    ผมล้มหัวกระแทกพื้นซึ่งจริงๆผมเป็นคนระมัดระวังนะ แล้วอีกวันต่อมา สุนัขที่ทำงานผมกัดซึ่ง แต่ก่อนผมก็ลูบหัวมันเล่นอยู่เลย(ตอนนี้มันมีลูกสงสัยมันจะหวงลูกของมัน ^^) วันนี้ก็ต้องลาป่วยเพราะไปฉีดยากันบาดทะยัก เลยนอนซมอยู่ในห้อง แต่ผมก็คิดว่าผมก็ยังโชคดีในความโชคร้ายที่ได้เห็นถึงผลกรรม คิดดีทำดีเข้า ไว้ ^^;

    จริงๆ ความคิดนี่ก็เป็นกรรมอย่างนึง เรียกว่ามโนกรรม กรรมทางใจ
    ซึ่งกรรมที่เกิดจากความคิด เมื่อสะสมกันเข้าจะทำให้เกิดเป็นกรรมทางวาจา และกาย

    ดังนั้นเราจะต้องหมั่นทำจิตของเราให้ใสสะอาดอยู่เสมอ
    เพื่อให้คำพูด และการกระทำการแสดงออกของเรา มีความสะอาดงดงาม และเปี่ยมด้วยเมตตาอยู่เสมอเช่นกัน
    ถ้าจิตเรามีเมตตามันทำร้ายใครไม่ลง ด่าใครไม่ลง ศีล5เราจะสมบูรณ์
    ถ้ามีเมตตา จิตมันละเมิดศีลไม่ลง

    จึงมีคำพูดที่ว่า ถ้าจะเลี้ยงศีลให้อ้วน ต้องเจริญเมตตา

    (กรรมชั่วนี่ติดจรวจจริงๆ ^^) ส่วนกรรมดียังไม่เห็นผลจะเห็นผลก็ตอนที่เราสิ้นบุญในภพชาตินี้ ถ้าใครโชคดีก็แสดงว่าคนนั้นบุญตามทันบุญถึงทำกรรมดีไว้มาก หมั่นทำดีเข้าไว้นะครับเพื่อนพี่ๆน้องๆทุกคน
    ผมก็มีเรื่องที่พบด้วยตัวเอามาเล่าสู่กันฟัง เท่านั้นเองครับ อนุโมทนาสาธุ ที่ทนอ่านครับ สาธุ สาธุ

    กรรมทั้งดีและชั่ว ให้ผลทันที ไม่ต้องรอให้ตายถึงจะให้ผล
    ถ้าทำดี ใจเราก็เป็นสุขทันที ไม่ต้องรอจนกระทั่งตายแล้ว จึงไปเสวยบุญ
    ถ้าทำชั่ว ใจก็ทุกข์ทันทีเช่นกัน

    ถ้าแผ่เมตตาปุ้ป ใจก็ชุ่มเย็น เป็นสุขทันที
    นอกจากใจจะเป็นสุขทันทีแล้ว หากเราตายขณะที่ทรงอยู่ในเมตตา
    อย่างเลวที่สุด เราก็จะไปยังพรหมโลกทันที
    ถ้ากำลังใจของเราแน่วแน่ว่า การเกิดไม่ว่าภพภูมิใดก็เป็นทุกข์ เราปรารถนาจุดเดียวคือพระนิพพาน
    หากตายณขณะจิตนั้น ก็ถึงพระนิพพานทันทีเช่นกัน

    ดังนั้นขอให้อย่าเข้าใจว่า การทำดีจะต้องรอจนถึงตายแล้ว จึงจะให้ผล
    เพราะบางครั้งจะทำให้เกิดความย่อท้อ หรือรู้สึกท้อแท้ ท้อถอยในการทำความดีได้

    ถ้าจิตของเรา กำลังใจของเราพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
    เราจะคิดว่า เราไม่ได้ทำดี เพียงเพื่อให้เราได้รับผลดีเป็นการตอบแทน
    แต่เราทำดี เพราะว่ามันเป็นความดี ทำความดีเพื่อความดี

    พอเราตั้งกำลังใจว่า เราจะทำความดี เพื่อความดี
    เราจะไม่สนอีกต่อไปว่า เมื่อเราทำดีแล้ว
    ต่อไปเราจะมีสมบัติอย่างนั้นอย่างนี้ เราจะมีคนสรรเสริญ ยกยอปอปั้นต่างๆ

    แต่ว่าเราทำความดี เพียงเพราะว่าความดีเป็นสิ่งที่ควรจะทำ
    เราทำความดี เพื่อความสุขของผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อความสุขของตัวเอง
    เรายอมให้ตัวเองลำบาก เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าถึงธรรมะ เข้าถึงความดี มีพระนิพพานเป็นที่สุด

    ถ้าจิตของเราคิดได้แบบนี้ เราจะไม่มีความย่อท้อในการทำความดี
    เราจะไม่รอคอย นึกถึง หรือคาดหวังกับสิ่งที่เราจะได้รับเป็นการตอบแทน
    เราจะทำความดีอย่างไม่หยุดหย่อน ทำความดีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
    เป็นผู้ไม่รู้จักพอในการทำความดี

    ถ้าใครสามารถประคองกำลังใจให้ได้แบบนี้ การเข้าถึงซึ่งพระนิพพานของบุคคลนั้น จะทำได้โดยไม่ยาก
    เพราะกำลังใจในการทำความดี มันเต็มแล้ว ทำความดีเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง


    ขอให้ทุกๆคนทำความดีให้ยิ่งๆขึ้นไป และเป็นผู้ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้จักย่อท้อ ในการทำความดีกันทุกๆคนด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2009
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณโทสะครับ

    สวัสดีครับ คุณชัด
    ก่อนอื่นต้องขอบคุณมากที่แนะนำการปฏิบัติอย่างละเอียด ผมไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรกับคำแนะนำที่ได้รับ ขอบคุณอีกครั้งครับ

    ยินดีเสมอครับ

    ขอเล่าประสบการณร์การฝึกให้ฟังครับ ( เมื่อวานครับ) เผื่อท่านจะกรุณาแนะนำเพิ่มเติม ผมนอนกำหนดลมหายใจเข้า ออก ภาวนาพุทธ-โธไปด้วย ใจหาย ลมหาย ดิ่งลึก แต่สติรู้ดีเยี่ยม

    ขั้นตอนนี้ดูมีคล่องในระดับนึง

    ผมจึงขอบรมีพระพุทธองค์พาไปยังสถานหนึ่งครับ เห็นแสงพุ่งมา จากที่เคยอ่านตำราหลวงพ่อบอกให้ไปตามแสงครับ ผมก็พุ่งไปสุดตัวครับ

    ถูกครับ

    ไปวูบเดียวตัวผมสั่นยังกะเจ้าเข้าแต่ขณะสั่นก็พอจะเห็นอะไรบ้างเล็กน้อย แต่ไม่นานนักอาการสั่นแรงขึ้นจนผมต้านไม่ไหวแล้วก็วูบกลับมาที่เดิม หลุดจากสมาธิ ถามครับ ทำยังไงอาการสั่นมันจะหมดไปไม่มากวนสมาธิ

    ถ้าจะให้จิตออกมา ครั้งแรกๆแนะนำให้นอนครับ มันจะง่ายกว่า
    แต่บางคนนั่งอยู่ก็ทำได้ อันนี้แล้วแต่คนครับ
    แต่ผมจะแนะนำให้นอน

    ส่วนที่สั่นนี่ ถ้าเรายังสั่นอยู่มันยังไม่ออกครับ
    ต้องรอจนหายสั่นนั่นแหละครับ
    สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ทำใจสบายๆ ขอบารมีพระ
    ถ้าสั่นก็ให้เราวาง อุเบกขา ไม่ไปสนใจกับมัน จะสั่นก็สั่นไป เดี้ยวมันจะหยุดเอง

    แล้วท่านเคยฝึกกสิณมั้ยครับ หากฝึกช่วยแนะวิธีที่ท่านปฏิบัติ เป็นธรรมทานสำหรับผู้ด้อยปัญญาครับ ขอบคุณมาก

    เดี้ยวผมขอลงคร่าวๆให้ก่อนครับ เดี้ยวเอาแบบเต็มมาลงให้อีกที<!-- google_ad_section_end -->

    ขอแนะนำให้เราลองปฏิบัติแบบลืมตาเลยครับ
    ขณะที่เรากำลังอ่านข้อความนี้ ให้เรานึกตามเลยครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ให้เราจินตนาการ นึกถึงภาพของลูกบอลสีแดงกลมๆ<O:p></O:p>
    ได้ไหมครับภาพของลูกบอลกลมๆสีแดง<O:p></O:p>
    ลืมตานะคัรบ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วนึกภาพต่อว่าลูกบอลกลมสีแดงนี้<O:p></O:p>
    ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาว<O:p></O:p>
    จนกลายเป็นลูกบอลกลม สีขาวทั้งลูก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นให้นึกภาพต่อว่าลูกบอลสีขาวนี้ค่อยๆใสขึ้นๆ<O:p></O:p>
    ใสขึ้นๆ จนกลายเป็นเนื้อแก้วทั้งลูก<O:p></O:p>
    กลายเป็นลูกแก้ว เนื้อใสทั้งลูก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ให้นึกภาพต่อว่ามีแสงสว่างพวยพุ่งออกมาจากลูกแก้วนี้ มีประกายระยิบระยับออกมาจากลูกแก้ว<O:p></O:p>
    แสงสว่าง และประกายระยิบระยับมกาขึ้นๆ<O:p></O:p>
    จนลูกแก้วนี้กลายเป็นเนื้อเพชรทั้งลูก<O:p></O:p>
    เป็นลูกเพชรใสสว่าง มีประกายระยิบระยับทั้งลูก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วให้เรานึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เราเคารพมาองค์หนึ่ง<O:p></O:p>
    จากนั้นนึกภาพว่าพระพุทธรูปนี้<O:p></O:p>
    เปลี่ยนเป็นพระพุทธรูปเนื้อเพชรใสสว่างเปล่งประกายระยิบระยับทั้งองค์<O:p></O:p>
    เป็นพระพุทธรูปเนื้อเพชรทั้งองค์<O:p></O:p>
    มีความใสสว่างงดงามถึงที่สุด<O:p></O:p>
    ทุกส่วนของพระพุทธรูปเป็นเนื้อเพชรทั้งหมด<O:p></O:p>
    มีแสงสว่างพวยพุ่งออกมาเป็นประกายระยิบระยับทั้งองค์<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นให้เรานึกต่อว่า<O:p></O:p>
    มีภาพพระพุทธรูปเป็นเพชรนี้<O:p></O:p>
    ลอยอยู่เหนือศรีษะของเราองค์หนึ่ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    มีองค์ที่สอง อยู่ในสมองขนานกับระหว่างคิ้วของเรา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    มีองค์ที่สาม อยู่ในอกของเรา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นนึกให้เห็นภาพพระพุทธรูปทั้งสามองค์พร้อมๆกัน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นให้เราตั้งจิตอธิษฐานว่า<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถทรงภาพพระพุทธรูปเป็นเพชรทั้งสามฐานนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อธิษฐานย้ำไปสามครั้ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ ออกช้าๆสามครั้ง<O:p></O:p>
    ครั้งที่1 เข้า พุทออก โธ<O:p></O:p>
    ครั้งที่2 เข้า ธัมออก โม<O:p></O:p>
    ครั้งที่3 เข้า สังออกโฆ<O:p></O:p>
    แล้วค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขั้นตอนทั้งหมด ขอให้เราลืมตาทำ และใช้การนึกภาพ ใช้จินตนาการจินตภาพของเราครับ<O:p></O:p>

    ลองนำไปปฏิบัติดูครับ คราวนี้เวลาเราจะขอบารมีพระให้นึกถึงพระท่านเป็นเพชรเลยครับ

    ขอให้สามารถทรงภาพพระเป็นเพชรได้อย่างง่ายดายด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2009
  20. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    พี่ชัดครับ ผมอยากทราบว่าความรู้ที่เกิดจากการไตร่ตรองขณะเรามีสมาธิมันถูกรึปล่าวครับ ผมเริ่มมองเห็นทางแล้วก็เดินตามทางไป ช่วงที่ทำสมาธิ(เดิน)รู้สึกตัวได้ ว่าเรามองเห็นเป็นเส้นทาง ซึ่งเราก็เดินก้าวตามมันไปช้าๆแบบเดินจงกรมได้ ซักพักนึงก็เหมือนกับความอยากรู้ อยากได้ ความโกรธ ความหลง มันหายไป รู้สึกใจโล่งๆ ผมก็เลยยืนนิ่งๆซักพักสำรวจจิตตัวเอง ความรู้สึกบอกว่า พอแล้ว ผมก็รู้สึกถึงธรรมชาติบริเวณนั้นเลย มันอบอุ่น ร่มเย็น เสร็จแล้วผมก็เดินต่อไปอีก3-4ก้าว แล้วก็ออกจากสมาธิ ในหัวมีแต่ความรู้สึกอบอุ่น กับลำแสงสีทอง จากการแผ่เมตตา

    ผมมาถูกทางรึปล่าวครับ???

    ช่วงนี้ผมพยายามเข้าสมาธิทุกช่วงเวลาเลยครับ เริ่มจากพื้นฐานของชีวิต นั่งกินนอนเดิน
    ผมก็มีสมาธิแล้วแม้ว่าจะไม่ตลอดก็ตามนะครับ แต่พอเหนื่อยๆ มันก็ไม่มีสมาธิแล้วครับจะหลับท่าเดียว เวลาไปดื่มอะไรกะใครพอมันพอแล้วตัวผมก็สั่งหยุดเองเลย ปฏิเสธไม่ดื่มต่อเริ่มรู้จักตัวเองมากขึ้น มองเห็นถึงความพอดี จัดสรรค์เวลาได้มากขึ้น ต้องขอขอบคุณพี่ชัดที่แนะนำมาด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2009
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...