ยุบสำนักแล้ว ใช้ "งู" ฝึกสมาธิ

ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 31 พฤษภาคม 2009.

  1. ราชาปิดบัญชี

    ราชาปิดบัญชี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +7
    เป็นความเชื่อส่วนบุคคล...แล้วแต่คนศรัทธาครับ
     
  2. ชาวสวรรค์

    ชาวสวรรค์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +202
    คิดจะศรัทธาสิ่งใด***ก็ควรพิจารณาด้วยเหตุผลด้วยปัญญา
    ศาสนาพุทธวิถีพุทธ****สอนให้มีปัญญาที่สามารถแก้ปัญหาต่างๆๆได้
    โดยเฉพาะปัญหาภายในจิตใจของตนเอง***
     
  3. poppyo

    poppyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +346
    เดินทางสายกลางดีกว่า ครับ
     
  4. นัย

    นัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +32
    แนวไหนกัน ดูข่าวแล้วเห็นแต่เด็กร้องกรี๊ดๆ แม่ชีก็บอกว่าเร่งภาวนา

    เฮ้อ ทำอะไรกันเนี่ย
     
  5. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    จริงเท็จอย่างไร ลึกตื้นหนาบางแบบไหน ผมเองก็ไม่ทราบรายละเอียด
    ที่แน่ชัด (รายละเอียดและจุดประสงค์ที่แท้จริง ที่ได้นำเสนอมาทั้งหมด)
    ผมเองก็ไม่อยากด่วนสรุป (ประมาณว่า ปากไว มือไว เกินไปครับ)
    เหตุการณ์อย่างนี้เร็วเกินไป ประมาณว่า
    "ในความเท็จก็ย่อมมีความจริงแอบแฝงอยู่ และในความจริงก็ย่อมที่จะ
    มีความเท็จปะปนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย"

    จะว่าไปแล้ว การฝึกปฏิบัติธรรม(ตามข่าวที่ได้ยิน ได้อ่านมาทั้งหมด)
    ดังกล่าวนั้น ไม่ว่าจะ ยืน นั่ง เดิน หรือ นอน เนี่ย
    การฝึกแบบนี้ ในความคิดของผม ผมคิดว่า "มันค่อนข้างที่จะประหลาดมาก ๆ"

    ปฏิบัติธรรมแบบพื้นฐานธรรดาก็ได้ครับ เพียงพออยู่แล้ว
    แต่นี่ถึงกับใช้ "งู" ในการฝึกปฏิบัติธรรมด้วย ผมว่า มันไม่เหมาะสมครับ
    นึกถึงทีไร ผมเองก็รู้สึกสะกิดใจอยู่ไม่น้อยครับ ทะแม่ง ๆ ยังไงชอบกล
     
  6. puy_191

    puy_191 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +33
  7. goygf

    goygf Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +90
    จะว่าไปแล้วเราควรพิจารณาถึงข่าวสารกันโดยความแยบคายสักเล็กน้อยครับ
    ทุกวันนี้เรายอมรับกันว่าสื่อนั้นมีอิทธิพลกับเรามากเพียงใด
    เมื่อมีเรื่องราวเกิดขึ้นเราควรจะได้รับการไตร่สวนอย่างเป็นธรรมก่อนน่ะครับ
    ไม่ควรตัดสิน โดยความสะใจ และลำเอียงแต่อย่างใด

    อันนี้เห็นด้วยค่ะ ว่าควรจะพิจารณาสื่อก่อน แต่ว่าอย่าลืมนะค่ะว่าสื่อก็ทำหน้าที่ของสื่อที่ต้องตีแผ่ข้อมูล สื่อคงไม่ได้เสนอเพราะความสะใจ หรือลำเอียงหรอกค่ะ เพราะภาพข่าวที่ออกมาก็ได้มาจากคลิปมือถือของผู้ปกครอง ข้อมูลที่เอามาลงก็มาจากผู้ปกครองของเด็กที่เกิดเรื่องค่ะ ซึ่งการนำเสนอก็คงขึ้นอยู่กับว่าด้านไหนมีมูลมากกว่ากัน

    การสั่งปิดสำนักและส่งพระกลับภูมิ บ้านเกิด ไปโดยเร็วนั้น คงเป็นการด่วนสรุปการแก้ไขปัญหาไปสักหน่อย
    แม้ว่าทางสงฆ์อาจจะเป็นฝ่ายผิด แต่ก็ควรพิจารณาให้ดีก่อนน่ะครับ

    ปิดไปก่อนดีแล้วค่ะ ถ้าปล่อยให้เปิดต่อไปในขณะที่ข่าวนี้กำลังเป็นที่วิพากวจารณ์ และเป็นที่จับตาของสังคม คงเกิดปัญหารุนแรงมากกว่านี้ และกระทบต่อวงการพระสงฆ์บ้านเราอย่างมากแน่นอนค่ะ ส่วนเรื่องผิดหรือไม่นั้น หาสืบหาแล้วว่า ไม่มีความผิด ก็คงได้เปิดตามปกติค่ะ ปิดเพื่อให้เรื่องสงบ ดีกว่าปล่อยไว้แล้วเป็นเรื่องใหญ่โตนะค่ะ

    ทุกวันนี้เรามักจะเอาบรรทัดฐานความพอใจ ชอบใจ ของกระแสสังคมมาเป็นฝ่ายตั้ง
    แต่การตัดสินโดยชอบธรรมนั้น ดูจะเป็นลองลงไป

    อย่าลืมค่ะว่า มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม เมื่ออยู่ในสังคมก็ต้องดำเนินชีวิตไปตามกระแสของสังคมเป็นธรรมดาค่ะ ส่วนเป็นธรรมหรือไม่นั้น ผู้คนที่อยู่ในสังคมส่วนใหญ่ คงตัดสินกันได้ค่ะ ส่วนจะพอใจ หรือชอบใจ ต่อคนส่วนน้อยหรือไม่นั้น อันนี้ คนส่วนน้อยในสังคม ต้องยอมรับ กับเสียงคนส่วนใหญ่ค่ะ นั้นก็คือหลักประชาธิปไตยนั้นเองค่ะ

    ก็ยังโชคดีที่น้องไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่เรามาลองเทียบเคียงกัน มองมุมมองประเด็นอีกด้านหนึ่ง
    กรณีมีผู้บาดเจ็บจากการทะเลาะ ตี กันในผับ บาร์ พวกคุณจะรู้สึกอย่างไร วันรุ่งขึ้นคุณจะสั่งปิด ผับนั้น
    เหมือนกับปิดสำนักสงฆ์หรือเปล่า

    ใช่ค่ะโชคดีที่น้องเค้าไม่เสียชีวิต และโชคดีที่น้องคนที่โดนงูรัดจนเกือบตายไม่ใช่ลูกหลานของคุณ ที่คุณจะมาเทียบเคียงกับผู้คนที่บาดเจ็บในผับและบาร์ และทุกครั้งที่มีเรื่องในผับบาร์ สื่อก็ตีแผ่ทุกครั้ง และเจ้าหน้าที่ตำรวจเค้าก็ได้ทำการสั่งปิดทุกครั้ง ที่สำคัญที่สุด คนที่ตีกันในผับบาร์ เกิดจากผู้เที่ยวทั้ง 2 ฝ่ายตีกันเองโดยอาศัยผับ เป็นสถานที่ตี แต่สำนักสงฆ์ที่นี้ มีพระผู้เป็นเจ้าของ แม่ชีผู้เป็นคนดูแล เป็นฝ่ายกระทำต่อเด็ก หรือง่ายๆก็คือผู้ที่เข้าไปใช้บริการ ฉะนั้น คุณจะเอามาเทียบใส่กัน คงจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่

    การตีกัน ทะเลาะ กันด้วยอำนาจของฤทธิ์ สุรา กับ งูเหลือม ปี ๆ มันฆ่า ชีวิตคนดี ๆ ไป อย่างไหนมากกว่ากัน
    คนมีปัญญานั้นพอจะแยกแยะออกไหม ว่าอะไรควรปิดมากกว่ากัน
    ผมไม่อยากจะเอามาเปรียบเทียบกันนักหรอก เพราะ ชีวิตคนเรามีค่าไม่อาจจะนำอาเปรียบเทียบกันได้
    แต่มันก็อดไม่ได้ เพราะจริตนิสัย สันดาน ของคนมันเป็นอย่างนี้

    ผมไม่อยากให้เรามานั่งดา ทอ พระสงฆ์องค์เจ้า โดยที่เรายังไม่รู้เจตนา ครับ บาปมันจะตกมากับพวกเรานี่แหละ

    ถ้าเป็นในแง่บาปบุญคุณโทษก็คงจะบาปจริงอย่างที่คุณได้กล่าว ที่เรามานั่งวิจารณ์พระสงฆ์ องค์เจ้า ทั้งที่ยังไม่ทราบเจตนา แต่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นมนุษย์ปถุชน ธรรมดา ที่ศีลยังไม่ครบถ้วน และตามหลักวิทยาศาตร์ ทุกอย่างมีเหตุและผล เรามีการตั้งสมมุติฐาน มีการทดลอง มีการสรุปผลและมีการวิเคราะห์ผล ซึ่งสำหรับกรณีนี้ พวกเราก็คงตั้งสมติฐานกันอยู่ค่ะ แต่ว่าจะตั้งในทางดีทางร้ายก็เป็นสิทธิและความคิดของแต่ละคน
    และทุกคนในโลกนี้ เป็นคนที่มีปัญญากันทุกคนค่ะ ไม่เคยเห็นใครในโลกไม่มีปัญญา แต่จะมากจะน้อยหรือมากในด้านไหนน้อยในด้านใน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลค่ะ

    เรื่องของสงฆ์ก็ควรว่ากันไปตามพระวินัย ครับ การนำสัตว์เดรัจฉานมาเลี้ยงในสำนัก
    มันผิดวินัยไม่ใช่หรือ เรื่องนี้มันผิดเห็น ๆ อยู่

    แต่ว่าเราก็ควรที่จะปรับปรุง เอาประเด็นร้าย ๆ แยกออกจาก ประเด็นในส่วนดี
    ให้คนยังพอเห็นสิ่งดีงามที่พระพุทธเจ้าทรงอบรมสั่งสอนมานาน นับ สองพันปี เถอะครับ

    เรื่องของสงฆ์ก็ควรว่ากันไปตามพระวินัย ถูกต้องค่ะ แต่การนำสัตว์เดรัจฉานมาเลี้ยงในสำนักนั้นผิดวินัยรึเปล่าอันนี้ต้องให้ท่านผู้รู้มาช่วยตอบค่ะ แต่ว่า หมา แมว ก็เป็นสัตว์เดรัจฉานไม่ใช่หรือค่ะ และดิฉันก็เห็นหลายวัด หลายๆสำนักสงฆ์ที่เมตตานำสัตว์มาอุปการะ เนื่องจากญาติโยมนำมาทำบุญ ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่าผิดวินัยต่อไปก็คงไม่มีหมาแมวที่วัด หรือสำนักสงฆ์ค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นพระท่านคงอาบัติกันหมด
     
  8. นาคาริณี

    นาคาริณี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +5
    ติดตามข่าวสาร ที่สื่อนำเสนอ ร่วมกับ อ่านข้อความคิดเห็นมานาน


    ฉันเองก็เคยนั่งวิปัสนากรรมฐานในกรงงู

    แต่รู้สึกดีจากการปฏิบัติธรรมครั้งนั้น

    เนื่องจากฉันเกลียดลักลัวงูมาก เมื่อมีความกลัวเป็นอารมณ์

    จิตของฉันตื่นตัวมากเป็นพิเศษ ไวต่อผัสสะที่มากระทบ

    ความกลัวเกิดขึ้น มากขึ้น น้อยลง และหายไป

    จากนั้นก็เกิดขึ้นใหม่ รอบแล้วรอบเล่า

    เมื่อจิตมีสติ พิจารณาถึงความกลัว ช่างไม่แน่นอนจริงๆ

    คำถามเกิดขึ้นในจิต กลัวอะไร กลัวงูชก กลัวงูรัด สรุปแล้วคือ กลัวตายนั่นเอง

    จากนั้นนิมิตเรื่องตายมาปรากฎ

    เมื่อหมดสงสัยเรื่องตาย คลายลงจากความกลัวตาย<O:p></O:p>

    จิตก็ดิ้นไปว่าเราไม่ชอบใจ ขยะแขยงงู

    เมื่อพิจารณาถึงความขยะแขยง ก้อไม่คงที่ไม่แน่นอน

    คำถามเกิดขึ้นทำไมเราขยะแขยงงู <O:p></O:p>

    ขยะแขยงอะไรของมัน คำตอบคงคล้ายกับทุกท่าน

    ที่เกลียดและกลัวงู นิ่ม ลื่น เย็น กลิ่น และใจบอกว่ามันคืองู

    ที่เราเกลียดเรากลัว<O:p></O:p>

    เมื่อดูไปเรื่อยขณะจิตมีสติ พบว่าเป็นเพราะสัญญา และอุปปาทานนั่นแหละ
    <O:p></O:p>
    จึงเกลียด จึงกลัว พิจารณาดูดีดี <O:p></O:p>

    งูเองก้อเช่นกัน ทุกครั้งเราขยับ มันก้อกลัวเราจะทำร้ายรักตัวกลัวตาย

    และรังเกียจเราว่าร่างกายเราไม่สวยงามเช่นกัน<O:p></O:p>

    จิตของงูและเราเอง ไม่ได้ต่างกันเลย เป็นจิตที่มีความไม่รู้ครอบคลุมอยู่

    แม้ตัวฉันเองแง้มกะลาที่ครอบอยู่ออกมาสัมผัสดูถึงธรรมได้บ้าง

    จากนั้นก้อนำมาใช้ในการอยู่อย่างฆาราวาสตามเดิม

    พบว่ายินดีในชีวิตได้ง่ายขึ้น<O:p></O:p>

    ลองคิดดู...<O:p></O:p>

    ถ้าเปิดกะลาที่ครอบออก จิตจะเป็นอิสระแค่ไหน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    นั่นคือสิ่งที่ฉันได้ และเชื่อว่าคงมีผู้ปฏิบัติรายอื่นอีกมาก

    ที่ได้แสงธรรมส่องนำชีวิต

    จากการวิปัสนากรรมฐานในกรงงู ณ.สำนักสงฆ์บ้านสะพานยาวแห่งนั้น
    <O:p></O:p>
    เจตนาของพระอาจารย์นั้น ต้องการจะให้ได้รู้ถึงธรรมด้วยตนเอง

    โดยมิต้องไปเดินธุดงถ์ให้เหนื่อยยาก อย่างที่พระกรรมฐานปฏิบัติกันมา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แล้วสิ่งที่น้องรติรส ได้รับจากการปฏิบัติธรรมล่ะคืออะไร...

    สำนักปฏิบัติธรรมได้รับอะไร...

    และสังคมได้อะไรจากข่าวนี้
    <O:p</O:p
    ช่างน่าสลดใจจริงๆ<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2009
  9. มรรค 8 ประการ

    มรรค 8 ประการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    884
    ค่าพลัง:
    +2,641
    ในกรรมฐาน 40 การฝึกสมาธิด้วยวิธีนี้อยู่ในกรรมฐานกองใด บอกหน่อยสิครับ
     
  10. Readome

    Readome เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +130
    เขาเรียกว่า การฝึกสมาธิเพื่อให้เกิดจิตเตลิด ลดเลิกกามอารมณ์
    เรียกว่าการฝึกแบบจิต วิบปราส นั่นเอง น่าฝึกนะครับ เพื่อนๆทุกคน
    หนักกว่าอสุภกรรมฐาน เขาเรียกว่า อสุระกรรมเกิน
     
  11. นาคาริณี

    นาคาริณี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +5
    มรณานุสติ โดยใช้หลักของมหาสติปัฏฐาน4 ค่ะ
     
  12. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    ตุ้งแช่
     
  13. เขตปกครอง230

    เขตปกครอง230 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +324
    ถ้าเด็กตาย ปัญหาจะยุ่งยากกว่านี้เยอะ จะเอาที่ไหนใช้เค้าเนี่ยท่านสายฝน ทีตอนทำล่ะไม่คิด
     
  14. ก็จะ

    ก็จะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +3
    ทำเป็นรายการ Fear Factor ไปได้
     
  15. plasmid

    plasmid สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    ออกตัวไว้ก่อน ว่าผมอาจใช้คำรุนแรง แต่คิดไงเขียนแบบนั้น ไม่เสเสร้ง

    คนที่บอกว่าอย่าเอาวิทยาศาสตร์มาจับนะ เอาวิทยาศาสตร์มาจับมันไม่ดียังไง
    ถ้าพิสูจน์ได้อย่างมีเหตุมีผล ไม่ดีหรือครับ ไอ้วิทยาศาสตร์มันแย่ยังไงบอกหน่อย เคืองมากมาย

    ส่วนเรื่องคนในผ้าเหลือง (ขออภัยผ้าเหลืองปลิวมาห่มหมา ผมไม่เรียกว่าพระ)

    มันบ้ารึเปล่า สติดีไหม
    บอกว่าโดนรถคว่ำ ทานโทษ มุสานี่ศีลห้านะ ยังรักษาไม่ได้เลย

    บอกว่าน้องมีเคราะห์ เอ็งนะจะมีเคราะห์ กรูนี่แหละเคราะห์ อยากจะเคาะกบาลให้แยก
    คิดได้ไง กักขัง หน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกาย ขู่ตลอด เดี๋ยวไม่ผ่านนะๆ บังคับอะไรกันขนาดนั้น

    ดูในทีวี เด็กกำลังกรี๊ด แล้วให้เร่งบริกรรม ยุบหนอพองหนอ เร็วๆ จะบ้าเหรอ ไม่รู้หรือไง ว่าหายใจเร็วๆนั่นแหละ สาเหตุหนึ่งของการชักเกร็ง

    ขออภัยที่รุนแรง มีอะไรสอบถามได้ ยินดีตอบ ถ้าไม่โดนผู้คุมกฎแบนก่อน
     
  16. นาคาริณี

    นาคาริณี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +5
    วิทยาศาสตร์เกิดขึ้นหลังพุทธศาสนา
    พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบและประกาศเปิดเผยกฎธรรมชาติไว้เมื่อสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว ต่อมาวิทยาศาสตร์สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ได้ค้นพบกฎธรรมชาติเดียวกันนั้นหรือเพิ่มเติมอื่นใด สิ่งที่ศาสตร์ทั้งหลายค้นพบย่อมจะนำไปสู่ความจริงเดียวกัน นั่นคือสัจธรรม

    หากจะมีความแตกต่างอยู่บ้างก็เพราะมีเป้าหมายที่ต่างกันในการแสวงหาความจริง หรือ สัจธรรม วิทยาศาสตร์แสวงหาความจริงเพื่อเป็นนายเหนือโลกที่ควบคุมสภาวการณ์ต่างๆไว้ได้ ขณะที่พระพุทธศาสนาแสวงหาความจริงเพื่อความเป็นผู้พ้นโลกคือดับทุกข์

    ฟิสิกส์ควอนตัมศึกษาความจริงที่คนทั่วไปยากที่จะเข้าใจเพราะโครงสร้างอะตอมนั้นเล็กมากขนาดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า พระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน คือ ศึกษาเรื่องจิตที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งยากที่จะเข้าใจถ้าไม่ฝึกปฏิบัติ

    อะตอมหรืออัตตาเป็นสิ่งที่แบ่งย่อยออกไปได้ ไม่มีอะไรที่เป็นแก่นสารตั้งอยู่ได้ตามลำพังตนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้นตามหลักปฏิจจสมุปบาท ประการต่อมา หลักการแห่งความไม่แน่นอน (Uncertainty Principle) ของฟิสิกส์ควอนตัมช่วยให้เราเข้าใจคำสอนเรื่องอนิจจังคือความไม่เที่ยงในพระพุทธศาสนาได้ดียิ่งขึ้น

    การค้นพบของฟิสิกส์ควอนตัมช่วยสนับสนุนหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาในเรื่องของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเรามองเห็นสิ่งต่างๆ ว่าไม่แน่นอนเช่นเดียวกับหลักการแห่งความไม่แน่นอน เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้แต่คนที่เราคบหามานานก็ต้องเปลี่ยนไปเพราะมีเหตุปัจจัยมากมายที่ทำให้เขาเปลี่ยนไป เมื่อเราไม่สามารถที่จะรู้เหตุปัจจัยเหล่านั้นทั้งหมด เราก็ต้องทำใจยอมรับความไม่แน่นอน ตามหลักการแห่งความไม่แน่นอน นั่นคือตามหลักอนิจจัง คือความไม่เที่ยงในพระพุทธศาสนา

    เหตุนี้คำสอนของพระพุทธศาสนาในหลายเรื่องจึงมีลักษณะเป็นเงื่อนไข เราไม่อาจฟันธงลงไปว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เวลาที่เรามองเห็นสรรพสิ่งเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนั้นในตัวของมันเองหรือเราคิดไปเอง บางทีสรรพสิ่งที่เราเห็นนั้น มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดหรือเราเข้าใจ มุมมองของเราต่างหากไปจัดให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้




    โลกเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ความจริงจึงเป็นเรื่องสัมพัทธ์ มันไม่ได้จริงในตัวมันเอง มันสัมพันธ์กับมุมมองของผู้มอง

    หากจะนำวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ ในการวิเคราะห์ ถึงเหตุ และปัจจัย อันนำไปสู่ผล
    น่าจะใช้แนวทางของฟิสิกส์ควอนตัม มากกว่า ฟิสิกส์นิวตันที่สังคมนิยมใช้กันทั่วๆไป

    ผลคือเราท่านทั้งหลายจะมองโลกอย่างเป็นในทางธรรมขึ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...