เรื่องเด่น มนุษย์ต่างดาวติดต่อเราหรือยัง-ควรบอกว่า เมื่อไหร่จะไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chandayot, 18 เมษายน 2012.

  1. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    นายนรินทร์สู้กับญาณบารมีหลวงปู่ฤาษีลิงดำ
    --ใน บ.บ้าบอของเราก็ได้รับ ผจก.ฝ่ายขายมาทำงานคนนึง นายตือ เป็นคนผอมสูง ท่าทางกร้านโลก แววตาแข็ง ตาแดงน่ากลัวเหมือนปีศาจ คนจีนคงบอกว่า ลักษณะเหมือนผีห้าอย่าง(โหงวกุ้ย) แกมีพลังบารมีคือ เหยียบเข้าตรงไหนที่นั้นจะร้อนเป้นไฟ จริงๆนะ เพราะว่าคำภีร์ ที่เป็นเพื่อนของเราทั้งสองคนก็เล่าแบบนี้ว่า คนๆนี้อยู่บ้านเค้า แล้วมันทำให้รุ่มร้อนใจเหมือนไฟเผา อย่างนี้ก้เรียกว่า บารมีมั้ง แต่เป็นบารมีดำ
    --พี่สาวพี่หม่อม พี่ส.เป็นคนใจดี-ธรรมมะธรรมโม ได้มาช่วยบริหาร จัดทำบัญชี ให้ดูดีเป็นระบบ--แต่พวกเซลส์ ก้มากดดัน ขอเงินเดือนที่ค้าง- คอมมิชชั่น ขอเบิกอยู่เรื่อย ปะทะฉะกันก็หลายหน
    --"ไปๆเลย อย่ามายืนแถวนี้ ไอ้.หัวตอ" เขาก็สวนด่ากันไปมา พี่ส.เหลืออด ตบะแตกระเบิดกระจาย "ไอ้ฉิบหายหัว.. กล้วย" ผู้เคร่งธรรมะเหลืออด ยิงอาวุธคือคารมออกมาตามหน้าที่ แกก็คงงตัวเองเหมือนกันนะ พลังชั่วร้ายมันรุนแรงพาให้เป้นไปจนบรรยากาศร้อนเป้นไฟ สักพักก็เข้าที่เดิม(เรื่องตบะแตกนี้ เล่ากันเป้นที่สนุกสนานได้อีกนาน)
    --ผมก็เข้าไปพูดหยอกให้แกสบายใจ แล้วลองไปยืนข่มทาง เพื่อกดดันพี่เค้าที่หน้าโต๊ะ
    "พี่ ผมยืนแบบนี้แล้วพี่รู้สึกร้อนๆ- กดดันมั่งมั้ย"
    --พี่เค้าเงยหน้าขึ้นมามองแบบแปลกใจ "ก็กระแส(จิต)ของเธอมันเย็นๆ แบบไม่มีกระแสเลยว่ะ"
    (ถ้าคนเราเห็นแสงสี ของกระแสจิต ก็น่าจะทำให้การทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น)
    --ไอ้ตือ พอกดดันพี่ส.ไม่ได้ ก็ขึ้นชั้นบนไปกดดันเจ้านายต่อไป ณ ชั้นบน

    เป็นงี้ต่อไปเรื่อยๆ จนพักนึง หลายวันเข้า เริ่มชินกัน เรียกว่าลองของกัน ทั้งตอนเลิกงานในวงเหล้า อะไรต่างๆ จนคุณนรินทร์คิดว่าจะใช้พลังจิต เพ่งพลังญาณใส่มัน "มันจะกินดีหมี หัวใจเสือมาจากไหนถึงไม่กลัวกรู"
    --จิตของพี่นรินทร์วิ่งเข้าไปยังกลางกระหม่อมนายตือ เป็นที่โล่งก็จริง แต่เหมือนบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมีห้องมากมาย คือเป้นห้องยันต์สีทองสวยงาม นี่หรือ "ยันต์เกราะเพขร" ที่เขาว่ากันว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองในยุทธจักรวิชายันตร์ ในด้านแล้วคลาดอันตราย กันคุณไสยได้ทั้งจากคนและผี นรินทร์เปิดปุ่มเทอร์โบ เดินหน้านำญาณฝ่าเข้าไปชับๆๆ ทะลวงฝ่าไปหลายห้อง แต่ "บ้าจริงนี่มันแท่งเหล็กแท่งกระบองอะไรนี่" มันตรืงกายทิพย์ของนักธุรกิจหนุ่ม มิให้ฝ่าเข้าไปได้ แท่งนี้เหรอ ที่เขาเรียกว่า "กระดูกยันต์" เหมือนไม้พลองเป็นร้อยอัน ที่ทั้งยันและยึดตัวเขาอยู่ เมื่อเดินหน้าไม่ได้ เขาเข้าเกียร์ถอย พรื๊ด โอ..หลุดออกนอกยันต์ได้ละวะ เห็นหลวงพ่อฤาษีนั่งมองอยู่ เขายกมือไหว้นิดนึงพอไม่ให้เสียกิริยา ปากก็บอกว่า "หลวงพ่อมายุ่งทำไม นี่มันเรื่องของโยม ฆราวาสเค้าจะตีกัน หลวงพ่อไม่เกี่ยว" "กูก็มานั่งดูมึงมาทำลายวิชากูนะซีวะ--ถึงมันจะเป็นคนชั่ว แต่มึงก็กำลังใช้มันเป็นแม่ทัพอยู่ไม่ใช่หรือ"
    ---พอกลับเข้าร่าง เขาบ่นกระปอดกระแปด" โห นี่หรือยันต์เกราะเพขร เข้าไปไม่ได้ แต่ออกมาได้ เดี๋ยวจะเล่าให้ไอ้เจษมันฟัง แต่ก็ยอมรับเลยวะ วิชานี้ของเค้าเยี่ยมสุดยอด ทอดตาทั่วแผ่นดินนี้คือ หนึ่งไม่มีสอง ยังไม่มีใครมาเทียบได้"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2012
  2. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เป้นไงครับ งวดนี้ ปล่อยของ-โชว์ของแบบเต็มๆ วิชชายันตร์แบบนี้ไม่น่าจะใช่ไสยศาสตร์ --น่าจะมาจากพระพุทธเจ้าโบราณ -ที่อาจจะอยู่ดาวอื่นก้ได้ครับ เพราะปู่ฤาษีท่านเคยไปถึงดาวที่มีชาวต่างดาว และทราบเรื่องจานบินว่า มันไม่มีเครืองยนต์หรอก มีแต่ลูกแก้วลูกหนึ่งใหญ่เท่าไข่นกกระจอกเทศแค่นั้นเอง

    นายนรินทร์เจอแม่ชีเจโต ตอกเอาหน้าหงาย เค้าก็เล่าให้ผมฟังเอง ของดีค่อยๆปล่อยครับจะมันส์ ออกตัวแรงมาสองรอบแล่ว จขกท.เองยังแหง่าวยังกะแมวป่วยอยู่เลย
    ----------------------------------------------
    -----------แมวสีไหนจึงจับหนูได้ดี--ไม่สำคัญ ขอให้เป้นแมว-สีอะไรก็ได้- สำนวนจีน หรือสุภาษิตนี้--หมายความว่า เราไม่ต้องเกี่ยงเครื่องมือ หรือวิธีการ ขอให้วิธีนี้มันเวิร์ค(ทำงานได้) ก็พอแล้ว--(คำนึงแต่ผลประโยชน์อย่างเดียว (--บางครั้งวิธีการอาจจะชั่ว)

    --อยากได้ไฟฟ้า ก็หาโซล่าร์เซล- เครื่องปั่นไฟสิ ได้ผล ชัวร์
    -- เอ๊ะ แล้วทำไมต้องมีสนามแม่เหล็ก ทำไมต้องหมุน จึงมีไฟฟ้าออกมา ทำไมและทำไม
    -- เอ่อ อยากได้ไฟฟ้าไม่ใช่เหรอ--อืม แล้วได้ยัง อืม แล้วสงสัยทำไมล่ะ เสียเวลา จบป่ะ
    --กุมารมาสอนคน--
    อ้างอิงจาก 15 วันก่อน ที่พวกเราทะลึ่งไปถูกหวย--เช้าวันที่ผมไปตรวจที่ รพ.--องค์หญิงสั่ง "บอกทางคุณแมวด้วยนะว่าอย่าซื้อเยอะ หวยพลิกได้ เพราะมือคนทำ กุมารสั่งมา" ผมก็บอกไปตามนั้น พอสายๆมา ภรรยาผมโทรหาสิงโต "โต อย่าทุ่มนะ เงินพันสองพัน ไม่ถูกมาเสียดายตายนะลูกโต" -----หวยไม่ถูก นังแหม่มมาขอเงินคืน 500 "ถูกก็จะเอา แต่แทงผิดกรูขอคืน" คนแบบไหนวะนี่ เอาเปรียบแม้แต่แม่ของตนเอง เงินเดือนเป็นหมื่น-โห
    --สายๆบ่ายของวันนี้ กุมารนั่งสอนคนโตๆ ว่า "การพนันคือการเสี่ยงโขค มีได้มีเสีย เพราะเราโลภมาก ก็แทงเยอะ ไม่คิดถึงตอนพลาด ถ้าคิดหวังรวยง่ายๆทางลัดแบบนี้ ต่อไปนี้หนูจะไม่มายุ่ง และไม่มาเหยียบที่นี่อีก" พวกเค้าจึงคิดได้ และรีบขอโทษ กุมารเทพเค้าเป็นครูสอนพวกเราก็ได้ เพราะอายุเป็นหมื่นๆ ปีแล้ว จะมาเป็นภาคปู่ก็ยังได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2012
  3. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ที่ไหนๆ ประเทศไหนก็มีคนเก่ง ...แน่ใจเหรอปล่าว..
    --ตอบหน่อยซิ ผู้เขียนสงสัย สมัยหนึ่ง ไม่ต้องถามหาตำรวจให้มากมาย ทั้งกรมไม่ว่าง รบกับ อั้งยี่ หรือที่เขาเรียกว่า (คณะสาม) -ไทรแอด-Triad หรือ แชขั้ง เก้ายอด อะไรเยอะแยะ แม้แต่ในตำรากฏหมาย ก็ยังมีอยู่ ในเรื่องวำตนเป็นกลุ่มอั้งยี่ ความจริงก็เป็นแก๊งค์นึง ดังนั้นคำว่าอั้งยี่ จึงไม่ครอบคลุม

    นักเลงเลือดมังกร เชื้อสายจีน แล้วทำไมต้องไปสักเก้ายอด -เสือเผ่น ทำไมต้องวิ่งหาวัดไทย ทำไมต้องหาผ้าพิมพ์รอยเท้าหลวงพ่อเดิม ของไสยศาสตร์ สายจีนมีเยอะแยะจะท่วมหัวตาย
    --เขาว่า ท่านจัดงานเจ็ดวัน ไม่มีข่าวสาร การสื่อสารไม่ดีในสมัยนั้น แต่คนมากันมืดฟ้ามัวดิน ท่านยกเท้าจุ่มนในน้ำหมึกแล้วประทับลงกองผ้าขาว เป็นตั้งๆ รอยเท้าก็ติดลงไปจนถึงผืนสุดท้ายเแป็นอัศจรรย์ ผู้เขียนมี รูปหล่อเล็กๆ ของตัวท่าน ซึ่งไม่ได้ปลุกเสกอะไรเลย ก็ติดไว้ี่น้หารถ รู้สึกดี พอลุกค้าพวกธนาคารเห็นก็มาขอ สักเดือนนึงเจอกันอีกที่ ๐ มีหลวงพ่อติดหน้ารถแล้วแล้วดีมั้ยล่ะ" ผมถาม "ดีครับ" "ไงเหรอ" "ผมสังเกตว่า ถ้าเราเผลอ ไม่ได้มองข้างหน้า รถจะเลี้ยวพวงมาลัย หลบการชนได้ด้วยตัวเอง" " เหรอ องค์ของผมก็เป็นเหมือนกัน ทีแรกผมนึกว่าผมอุปาทานไปเอง"."ทำไมของแบบนี้ พวกฝรั่งที่ว่าเก่งๆ มันไม่คิดทำมามั่งวะ ใช้ดีออก" ผมรำพึง..จบ
    กดอ่านลิ้งค์ได้

    ผีอั้งยี่ วัดเมือง

    กำเนิดอั้งยี่

    อั้งยี่ฝรั่ง

    ห้ามพลาด อั้งยี่สร้างชาติจีนและไต้หวัน ยังโยงใย อิลลูมิเนติ

    เรารู้จักคำว่าอั้งยี่ น้อยมาก ครั้งนี้ผมให้พวกเราได้เจาะได้ลึกเท่าที่ต้องการครับ โชคดี
    ---ทำไมไทยจึงหันหลังให้กับจีน เพราะจีนเ.็นคอมมิวนิสต์ และถ้ามีโยงใย จะนำการขัดแย้งรุนแรงงระหว่างจีนสองชาติมาในบ้านเราด้วย
    --ลัทธิคอมมิวนิสต์ในจีน มาจากมาร์กซิสต์ --มาร์กซิสต์มาจากเลนินนิสต์ เป็นเพราะว่า เลนินเขาเห็นกรรมกร โดนเอาเปรียบจากนายทุนจนทนไม่ไหว จึงนั่งคิดระบบใหม่ออกมา คือเห็นกรรกรสี่คนหามศพเพื่อนมา ทั้งๆที่เมาแอ๋กัน จนโลงหล่นลงมากระแทกกับพื่นแตกกระจาย เขาเห็นเป็นชีวืตคนที่เหมือนทาส อยู่ไปวันๆ ไม่มีทางจะลืมตาอ้าปากได้--จขกท.
    --------
    ลัทธิเลนิน (Leninism) หรือ ลัทธิมาร์กซิสต์-ลัทธิเลนิน (Marxism-Leninism) ลัทธิทางการเมืองของสหภาพโซเวียต เลนินไม่ได้ปฏิวัติตามหลักวิทยาศาสตร์แบบของมาร์กซ์ได้กำหนดไว้ โดยมาร์กซ์ได้บอกว่า ประเทศที่สามารถปฏิวัติคอมมิวนิสต์ได้คือประเทศที่ได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมมาแล้ว ซึ่งในขณะนั้นประเทศรัสเซียยังล้าหลังกว่าประเทศอื่นๆ ประชากรส่วนใหญ่ยังเป็นชาวนา เลนินจึงปรับปรุงแนวคิดของเขาให้สามารถใช้ได้กับประเทศรัสเซียในขณะนั้น ในหนังสือ What is to be done ของเลนินสรุปได้ดังนี้
    1. การปฏิวัติต้องเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์
    2. กรรมกรในฐานะที่เป็นชนชั้น ต้องทำงานจนไม่มีสำนึกทางสังคม ดังนั้นกรรมกรจึงต้องการผู้นำในการปฏิวัติ
    3. การปล่อยให้กรรมกรปฏิวัติเพียงลำพัง จะไม่สามารถเอาชนะนายทุนได้ เพราะกรรมกรมีภาระมากมาย จึงต้องการความช่วยเหลือจากนักปฏิวัติอาชีพ ที่มีสติปัญญา และมีพื้นเพเป็นกรรมกรเช่นกัน และต้องเชื่อฟังศูนย์กลางคือพรรคคอมมิวนิสต์

    ประวัติเลนิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2012
  4. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    พรรค-ผ่อน--พักผ่อนน่ะ
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=aeYTBvanFmE"]THE MOST RELAXING MUSIC IMAGINABLE - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=c_2Fp8wYKl8&feature=related"]http://www.youtube.com/watch?v=c_2Fp8wYKl8&feature=related[/ame] เพลงชื่อ เซลาวี --นี่แหละคือชีวืต this is life

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=-No-226O0tg&feature=related"]http://www.youtube.com/watch?v=-No-226O0tg&feature=related[/ame] เสียงคลื่น เสียงน้ำไหล เสียง นก และแมลง คือดนตรีของธรรมชาติ ภาพของน้ำนิ่งสงบ ก็ทำให้ใจสงบ และมีความสุข เพราะจิตเดิมของคุณ ก็คือความสงบ และอะไรคือหน้าตาของคุณ ก่อนที่คุณจะถือกำเนิดออกมา
    ส่งเข้านอนละนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2012
  5. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
  6. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_1036848 class=t_msgfont>ชื่นใจดีครับครับ สำหรับข้อเขียนจาก คุณสายฝนฉ่ำเย็น เหมือนดั่งฝนโปรยมา ณ ตอนนี้วันนี้ ไม่ร้อนแต่เยือกเย็นดี ผมคิดจะโทรไปหา แต่บัดนั้น ตัวตนของผมได้กลายเป็นเด็กเล็กๆไปทันที จังหวะไม่มีแม้โทรศัพท์ก็พร้อม จนส่งข้อมุลไปที่เว็ปญาณทิพย์ คุณรุ้งก็จะโทรหาคุณ ผมก็จะโทร แต๋ ส่งคำพูด-พูดไปไม่ได้ มีเหตุ เหตุเพราะปากเบี้ยว ออกเสียงไม่ชัด
    --ในจิตบอก ค่อยๆคุยสิ คุยแบบนี้ก็ได้ มีเวลาลำดับความคิดมากกว่าเยอะ-ประหม่ากว่าจีบสาวครั้งแรกอีกเอ้า..
    --ในตอนที่อ่อนล้า สับสนและเหมือนไร้พลัง มองไปที่จอคอมพ์ เหมือนมุมบนขวาที่มีโฆษณา มีรูปหญิงไทย ใส่ผ้าถุงสีดำ สไบเหลืองปราฏฏอยู่ แต่มีสองคนยืนซ้อนกัน ผมพยายามคิดและลำดับการ ปรากฏว่า "จิตเห็น" ไม่ใช่ตาเห็นนะครับ หรือผมเบลอ
    เรื่องนี้แม้พูดออกไปก็รู้และเข้าใจกันแค่ผม กับคุณฝน จะอธิบายยังไง ก็ขึ้นอยูกับเธอจะอนุญาต เหมือนรักแรกพบ(เชอะ บังอาจ..เล่นของสูง) แบบว่าเราชอบเค้า เค้ายังไม่บอก จะพูดแทนเค้าได้ไง--จริงๆแล้วก็เหมือนสองคนมีความจำเป็นที่ต้องมานัดพบกันข้งถนน ก็เป็นแบบนี้สำหรับความสัมพันธ์ที่เริ่มก่อ คือมันไม่ใช่อย่างที่คุณอ่านตามหนังสือดาราอึเหม็นนะครับ คือค่อไปผมกะคุณฝนอาจจะมีหน้าที่บางอย่างร่วมกัน ก็แล้วแต่เบื้องบนนะครับ ทักกันก่อน ภรรยาตูก็ขี้หึง เค้าก็มีเนื้อคู่เค้าอยู่แล้ว บ้าหรือไงนี่ พวกคนอ่านนี่ บอกว่าเค้าเขิลๆๆนะ --ยูๆ อิทอิสนอทไทยมูฟวี่หลังข่าว น้ำเน่าสนิทยิ่ง

    --ขอพักแป๊บนึงนะครับ แฟนๆ ผมยกของหนักเกี่ยวกลับเศษเหล็กและอุปกรณ์เครื่องเสียงงี้ ยังดีที่ได้ขายออกไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_1036848 class=t_msgfont>ชื่นใจดีครับครับ สำหรับข้อเขียนจาก คุณสายฝนฉ่ำเย็น เหมือนดั่งฝนโปรยมา ณ ตอนนี้วันนี้ ไม่ร้อนแต่เยือกเย็นดี ผมคิดจะโทรไปหา แต่บัดนั้น ตัวตนของผมได้กลายเป็นเด็กเล็กๆไปทันที จังหวะไม่มีแม้โทรศัพท์ก็พร้อม จนส่งข้อมุลไปที่เว็ปญาณทิพย์ คุณรุ้งก็จะโทรหาคุณ ผมก็จะโทร แต๋ ส่งคำพูด-พูดไปไม่ได้ มีเหตุ เหตุเพราะปากเบี้ยว ออกเสียงไม่ชัด
    --ในจิตบอก ค่อยๆคุยสิ คุยแบบนี้ก็ได้ มีเวลาลำดับความคิดมากกว่าเยอะ-ประหม่ากว่าจีบสาวครั้งแรกอีกเอ้า..
    --ในตอนที่อ่อนล้า สับสนและเหมือนไร้พลัง มองไปที่จอคอมพ์ เหมือนมุมบนขวาที่มีโฆษณา มีรูปหญิงไทย ใส่ผ้าถุงสีดำ สไบเหลืองปราฏฏอยู่ แต่มีสองคนยืนซ้อนกัน ผมพยายามคิดและลำดับการ ปรากฏว่า "จิตเห็น" ไม่ใช่ตาเห็นนะครับ หรือผมเบลอ
    เรื่องนี้แม้พูดออกไปก็รู้และเข้าใจกันแค่ผม กับคุณฝน จะอธิบายยังไง ก็ขึ้นอยูกับเธอจะอนุญาต เหมือนรักแรกพบ(เชอะ บังอาจ..เล่นของสูง) แบบว่าเราชอบเค้า เค้ายังไม่บอก จะพูดแทนเค้าได้ไง--จริงๆแล้วก็เหมือนสองคนมีความจำเป็นที่ต้องมานัดพบกันข้งถนน ก็เป็นแบบนี้สำหรับความสัมพันธ์ที่เริ่มก่อ คือมันไม่ใช่อย่างที่คุณอ่านตามหนังสือดาราอึเหม็นนะครับ คือค่อไปผมกะคุณฝนอาจจะมีหน้าที่บางอย่างร่วมกัน ก็แล้วแต่เบื้องบนนะครับ ทักกันก่อน ภรรยาตูก็ขี้หึง เค้าก็มีเนื้อคู่เค้าอยู่แล้ว บ้าหรือไงนี่ พวกคนอ่านนี่ บอกว่าเค้าเขิลๆๆนะ --ยูๆ อิทอิสนอทไทยมูฟวี่หลังข่าว น้ำเน่าสนิทยิ่ง

    --ขอพักแป๊บนึงนะครับ แฟนๆ ผมยกของหนักเกี่ยวกลับเศษเหล็กและอุปกรณ์เครื่องเสียงงี้ ยังดีที่ได้ขายออกไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2012
  7. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ประจักษ์พยานหรือ..ก็อยู่บนหัวมึงแล้วในทุกๆวัน

    --ด้วยความที่เป็นคนขี้สงสัย ไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ กลัวคนอื่นเข้าใจผิด พวกเค้าจะว่าเราโม้ป่าวน๊า เค้าจะคิดเหมทือนเราคิดหรือปล่าว จะว่าเราตอกไข่ใส่ข่าว นั่งเทียนเขียนเกินจริงหรือเปล่า
    ---ชั่วโมงก่อน ผมออกไปข้างนอก ขับรถไป มีข่าวสารแว็บเข้ามา ดังที่หัวข้อ ที่หัวมึงนี่ไง หลักฐานพยานเห็นอยูทนโท่

    --อืม เพิ่งนึกได้ ผมเรียนก่อนเกณฑ์หนึ่งปี (ความจริงพี่น้องทุกคนก็เรียนก่อน แม้แต่หลาน)
    ดังนั้นทุกตัวละครในเรื่องรักระหว่างเรียนนี่ แก่กว่าผมทุกคนแม้แต่ส้มเองก็ตาม
    --ช่วงก่อนไปพบเพื่อนรุ่นเดียวกันตอนเลี้ยงรุ่น
    พบว่าทุกคนเป็นชายชรา หัวหงอกขาวหมดแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังเริ่มมีเอง

    --ครั้นพอมีมากๆเข้า ข้าพเจ้าเริ่มบ่นทันที คิดในใจว่า "นี่ๆ เวลาในชีวิตที่เสียไปนี่ เพราะเชื่อเทพใช่ไหม แล้วจะชดเชยกันยังไงละนี่ คืนเวลาผมมาสิ"--ข้าพเจ้านึกเรื่อยเปื่อยเหมือนคนบ้า--บ้าที่คิดเรียกร้องเอาในสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้

    --ตั้งแต่นั้นมา ส่วนที่ผมหงอกมาก็หยุด ผมที่ขึ้นมาใหม่จะดกดำ มีหงอกน้อยมาก ใจคิดว่า แปลก บังเอิญจังเลย ฟลุคป่าว แต่ก็โทรไปบอกพี่สาวแล้ว เธอเองก็แปลกใจมาก

    --ก็อาจจะฟลุค แต่นาทีนี้ ผมแน่ใจ "ผมได้รับพลังบุญ พลังกุศลที่ตอบแทนมาตั้งนานอล้ว แต่ตัวเองก็ไม่คิด คิดแต่ว่า "ฟ้าเบื้องบนไร้ความยุติธรรม ทำดีแต่ไม่ได้ดี อยู่ร่ำไป" เพราะในขณะที่เพื่อนฝูงแก่หง่อมชราลงไป ผมกลับแข็งแรงขึ้น หน้าตาดีขึ้น ร่างกายกระฉับกระเฉงไม่แก่เฒ่า คงไม่บังเอิญหรอก คิดเช่นดั่งว่า มีทางแยกในตอนนั้น พวกเขาก็เดินไปตามทางนั้น ส่วนผมเดินตามทางพิเศษ มีพาหนะเหินบินสู้ท้องฟ้า ไม่มีความอดอย่าก มันก็ตั้ง สี่ปีมาแล้ว จะคิดว่าความดีไม่มีผลได้ยังไง พลังบุญเค้าก็สนองตอบเราอยู่ทุกวัน ตั้งแต่เล็ก จนโต จนแก่ ไม่เคยเจออุบัติเหตุร้ายแรง อวัยวะเหลือรอดมาครบถ้วน หูตาก็ดีพอควร ไม่ถึงขนาดลำบากมากเจียนจะอดตาย ชีวิตก็ไปได้เรื่อยๆ มีการมีงานทำ สังคมยอมรับ และยกย่อง ได้เป็นครูช่วยสอนคนให้เป็นคนดีของสังคม -ยังคิดจะทวงบุญอีก เออหนอ คนเราหนอ ช่างคิดเอาแต่ได้เพียงส่วนเดียว โลภมากจริงๆเลยนายเจษฎานี่
     
  8. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    [​IMG]


    อืมมมมมมมมมมมมมมมมม.....
     
  9. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ตะกี้ดูข่าว ราชบัณฑิตท่านว่าจะออกเสียงภาษาทับศัพทNยังไง มีวรรณยุกต์หรือไม่มี ปกติก็ไม่มี
    --ของข้าพเจ้าใส่ไว้เรียบร้อย เพราะห่วงคนอ่านนะครับ
    ---ขออภัยที่ยกตัวอย่างทะลึ่ง มันบังเอิญที่คำภาษาไทยมีความหมายเยอะและกว้าง และมันตรงกัน กับภาษาก็ไอ้นั่นมันเป้น แบบนั้น -ก็ทะลึ่งแล้ว
    --ทับทิม-Ruby--อังกฤษเรียก...บี้ ยุ่งตายห่า
    นายดอว์สัน Dawson เรียกว่า ดอว์สั้น..น่าเกลียดจัง
    ---ครูประถมของผมบอกว่า เชียงรายมีภัตตาคารประตูเขียว กรีน ดอร์.. ก็หยาบแล้วถ้าจะทะลึ่งนะ
    -----
    คุณนรินทร์ประกาศในลงเหล้าว่า เราจะทำการตลาดแบบ น็อค ดอร์ (เคาะประตูทุกบ้าน) เอาให้เป็นแบบดอร์ทูดอร์(หัวเราะ) เข้าหน้าบ้านไม่ได้ ก็เข่้าประตูห"ลัง(ทะลึ่งละ) ซึ่งประตูหลังก็เรียกเป็นศัพท์วิขาการว่า "เรียร์ ดอร์"
    ---พูดง่ายๆว่าเรื่องแบบนี้ "ยุ่งตายห่า"
    --เพื่อนหญิงของผม ในรั้วมหาลัย ไปเมืองนอกแล้วจะหนักใจ เพราะนามสกุลเธอ "เที่ยงฟัก" -- ฝรั่งหัวเราะตาย "ฟัก"กันแต่เที่ยงเลยนะ (ฟัค คือคำหยาบมากที่สุดของภาษาอังกฤษ จึงบอกแทนว่า คำสี่อักษร--โฟร์ เลทเต้อร์ เวิร์ด -4-letter wordX

    --ในหนังบุญชู เขาว่า ใข้คำจากชื่อปู่ย่ามาเป็นชื่อ รวมเป็น นาย ฟัก นามสกุล ยู้แหมน-- เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า F**ck You, Man ก็คือคำด่าเราดีๆนี่แหละ ภาษามันทำให้ตลกทะลึ่งกันไปได้ แต่ก็ดีกว่านั่งเครียดตาย ฝรั่งเรียกว่า "ตลกสัปดน" หรือ เดอร์ตี้โจ๊ก จะว่าไป ไม่รู้คำนี้ ก้คงดุหนังไม่รู้เรื่อง เพราะ นั่งฟังหนังบางเรื่อง สองนาทีเจอเป็นร้อยคำ ฟักอัพ ฟักออฟ วอทอะฟัก
    อะไรไม่ดี ก็ฟักกิ้งไว้ก่อน แดมน์(ด่า) ชิท(ขี้)---ของเสียจริงๆ ฝรั่งเรียกว่า ไปทำเค้ก ฉีก็ เยลโล่ ริเว่อร์ ของเหล่านี้กเป้นเรื่องธรรมชาติ
    --บริสุทธ์แบบธรรมชาติก็จะดีมั้ย ทำไมพวกเรามนุษย์ ไม่แก้ผ้าท้าพระพายกันเสียเลย--ก็มนุษย์ยัง
    มีความเอียงอาย ประกอบกับมนุษย์มรแนวโน้มจะทำขั่วทางเพศ ประเทศญี่ปุ่นนเขาอาบน้ำในโรงรวม เด็กๆก้รู้ว่า ชายกะหญิงต่างกันตรงไหนสังคมเขาจัดการเรื่องเพศนี้ไว้เป็นระบบแล้ว
    --เมื่อคืนนี้ผมคิดว่าหมดความรู้สึกทางนี้ เสียดาย หรือโหยหาของที่เคยมี จิตก็ว่า ถามจริง ตอนนั้น หรือตอนที่เราคิดว่าจะมีทายาทสืยบสกุล หรือเพื่อให้ลูกหลานเทพได้ลงมาเกิด มันก็สำคัญสิเรื่องนี้ ตามโอกาสที่เหมาะ ตาม อายุ -วันและเวลาสิ ถ้าเจอหมาดุก็ อยากได้ไม้ไว้ป้องกันตัวสักท่อน ถ้าไม่มีหมาก็ไม่จำเป็นต้องถือมันไป แบกมันไปจะหนักเปล่าๆ
    --ตอนนี้คงมีประโยชน์สำหรับ ผู้มีคู่ครอง --มีครอบครัวแล้วนะครับ คนโสดก็อ่านไว้เป็นความรู้ สังคมมนุษย์ก็เกิดจากความรักและความใคร่แบบนี้ ยังไงถือว่า พระเจ้า คือธรรมชาติได้เก็บโบนัสไว้ให้ทุกชีวิต อย่ารีบใช้ให้สิ้นเปลือง--บางคนบอก ชีวิตนี้ ฉันขอเน้นบันเทิง(ความสุข-สนุกทางเพศ ไม่เน้นผลผลิต(มีลูกมีหลาน)
    ----------------------------

    ---ที่รร.มัธยมที่ผมเคยเรียน รุ่นเก่าท่านได้แต่งเพลงมาร์ช ประจำ รร.ไว้มาก เป็นเพลงที่แปลกและดี มีเพลงหนึ่ง จะร้องท่อนนึงว่า "ทุกๆคนมีพร้อมจรรยา" แน่นอนว่า จะต้องเปลี่ยนไปเป็น "ทุกๆคนมีพร้อมภรรยา--ขาว-น้ำเหงิ่น" ก้ทำให้สนุกสนานมาก จนไม่รู้ว่าชื่อเพลงอะไร แต่ขึ้นต้นได้ เรียกว่า ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ถ้าท่านร้องเพลงนี้ขึ้นมา คนในร้านสองร้อยคนก็ร้องตามท่าน เพราะเราจะจบจากสภาบันเดียกันครับ คือ รร.สามัคคิวิทยาคม วิชาแกร่ง นักเรียนเก่ง แม้แต่ตึกแรกก็ยังมีอยู่เหมือนป้อมปราการ เป้นโบราณสถานของชาติ--ในความรู้สึกของผม นี่คือ สถาบันระดับรองๆของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ รร.ธรรมดาเลย
    (ถ้าอยากฟัง คงต้องร้องให้ฟัง คือถ้อยคำจะมีพลังหนักแน่นมาก)--

    สามัคคีวิทยาคม สะสมไว้ในกีฬาสากล ฝึกฝนให้แข็งแรงอดทน ทุกๆคนมีพร้อมจรรยา--
     
  10. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เรา..มาขอขมากรรมกันนะครับ
    ---ข้าพเจ้า ชื่อ.. นามสกุล.. (นาย เจษฏา ) ซึ่งในอดีตชาติใดๆก็ดี ได้สร้างเวรกรรมอันชั่วร้าย เช่นการดูหมิ่นพระสงค์ การทำลายข้าวของศาสนสถาน การทำร้ายพระสงฆ์ ยุยงให้แตกความสามัคคีเป้นต้น ซึ่งเป็นบาปกรรมอันหนัก -----บัดนี้ ข้าพเจ้าได้ทราบแล้วว่า กรรมอันใด เป็นสิ่งที่ดูหมิ่นต่อพระรัตนตรัย จึงกราบขอให้พระพุทธองค์และพระอรหันต์ทั้งหลาย เช่นหลวงปู่มั่นหลวงปู่ฝั้น หลวงตาบัว หลวงปู่ปาน ปูฤาษีลิงดำ พระผู้สำเร็จทั้งหลาย ขอจงยกโทษ อภัยโทษแด่ข้าพเจ้า เช่น ในดังในอดีตชาติหนึ่ง ข้าพเจ้าเป็นคนโลภ ได้นำเหล้าเข้าไปขายในวัด พระหนุ่มเณรน้อยก็ประมาท ได้ลองฉันจนเมามาย จนต้องได้ให้ลาสิกขาออกไป เป็นกรรมหนึ่งที่ทำลายพุทธศาสนา ข้าพเจ้าจึงขอนำบูชาด้วยหลักธรรมจากหลวงปู่หลวงตา พระอริยะเจ้าท่าน ขึ้นมาเผยแพร่ เพื่อเป็นธรรมทานแด่ผู้ที่เข้าใจธรรมเพียงเปลือกนอก หรือเข้าใจครึ่งๆกลางๆ หรือเข้าใจดีอยู่แล้ว แต่เป็นการเสริมแรง ผลบุญที่ได้ข้าขอนำถวายต่อพระพุทธองค์ ข้านี้ขอมอบกายถวายชีวิตต่อพระพุททธศาสนา เป็นผู้หมดพยศ ละทิษฏิแล้ว ขอตัดหัวเชือดคอบูชาแด่พระพุทธเจ้าองค์นี้ กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้ทำไปแล้ว ไม่ดีประการใด ขอพระองค์จงอด ลดโทษแก่ข้าพเจ้า กรรมใดที่ดีขอให้ชะล้างบาปกรรม
    -- และแม้แต่ผู้ที่เข้ามาอ่าน แม้ผู้ที่ไม่เคยอ่าน แต่ก็นับว่า มีบุพพกรรมวนเวียนผูกพันกัน- จึงได้มาพบกัน ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมในสิ่งที่ไม่ดีต่อพวกท่าน เช่นการอิจฉากลั่นแกล้ง จนถึงการฆ่าพวกท่าน ผู้ใกล้ชิดรักใคร่ เป็นญาติที่รักยิ่งของท่าน กรรมเบากรรมหนักอันใด ทั้งกาย วาจา และใจ ทั้งเจตนา และไม่เจตนา ที่กระทบต่อ ทุกท่าน ขอทุกท่านจงได้อโหสืกรรมต่อข้าพเจ้าด้วย ณบัดนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2012
  11. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัยแล้วสบายใจจังครับ
    --ขำๆนะ คาถาบูชาเมีย


    คาถาบูชาผัว
    รักผัว ต้องให้ผัว หมดทั้งตัว หมดทั้งใจ รักผัว ต้องอ่อนไหว ผัวว่าไง ต้องว่าตาม รักผัว ต้องเคารพ ต้องประจบ ไม่ลามปาม รักผัว ต้องคล้อยตาม ไม่วู่วาม คอยเอาใจ รักผัว ต้องอดทน ผัวเป็นคน ไม่ยอมใคร รักผัว ต้องทำใจ ใช่ผัวใคร ก็ผัวเรา รักผัว ต้องหมั่นสวย เดี๋ยวจะซวย ผัวไม่เอา รักผัว ต้องคอยเฝ้า ถึงผัวเมา ก็ตามใจ รักผัว ต้องฝึกฝน ผัวเป็นคน ชอบของใหม่ รักผัว ต้องเข้าใจ ผัวไปไหน อย่าห้ามปราม รักผัว ต้องแข็งแรง ต้องพลิกแพลง ให้วาบหวาม รักผัว ต้องทุกยาม ไม่ซักถาม ให้กวนใจ รักผัว ต้องกล้าเสีย ยกน้องเมีย ให้ผัวไป รักผัว ต้องสนใจ ผัวเป็นไง ต้องคอยดู รักผัว ต้องพูดง่าย ไม่โวยวาย ไม่ลบหลู่ รักผัว ต้องเฝ้าดู หาอีหนู มาเอาใจ รักผัว ต้องเชื่อฟัง ผัวเสียงดัง ต้องทนไหว รักผัว ต้องรู้ใจ ผัวอยากได้ ต้องหามา รักผัว ต้องใจเย็น ผัวเป็นเช่น เทวดา รักผัว ต้องบูชา ผัวมีค่ากว่าสิ่งใด รักผัว ต้องรักเดียว อย่าไปเที่ยว รักผัวใคร รักผัว ต้องแน่ใจ ผัวของใคร ก็ของมัน รักผัว ต้องแน่วแน่ ต้องรักแท้ ผัวของฉัน รักผัว ต้องยึดมั่น ทุกข้อนั้น สำคัญเอย

    คาถาบูชาเมีย
    รักเมียต้องอดทน ต้องเป็นคนเคารพเมีย รักเมียต้องส่งเสีย อย่าให้เมียต้องสงสัย รักเมียต้องรักเดียว อย่าได้เที่ยวไปรักใคร รักเมียต้องทำใจ ถึงอย่างไรเธอก็เมีย รักเมียอย่าขี้เหล้า ถ้าเมียเหงาเราจะเสีย รักเมียอย่าอ่อนเพลีย คนรักเมียต้องเข็งแรง รักเมียอย่าเที่ยวดึก จะเกิดคึกผิดสำแดง รักเมียอย่ารุนแรง ค่อย ๆ แซงอย่าขับไว รักเมียต้องยอมเมีย เพราะว่าเมียไม่ยอมใคร รักเมียต้องเข้าใจ ไม่มีใครใหญ่กว่าเมีย รักเมียอย่าเถียงเมีย คำพูดเมียใหญ่กว่าใคร ชาติหน้ามีฉันใด จงจำไว้อย่ามีเมีย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2012
  12. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    [​IMG]

    มงคล คือเหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญหรือมี "มงคลชีวิต" ซึ่งก็มี ๓๘ ประการได้แก่​

    <CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" cols=3><TBODY><TR><TD>๑. การไม่คบคนพาล</TD><TD>๑๔.ทำงานไม่ให้คั่งค้าง</TD><TD>๒๗.มีความอดทน</TD></TR><TR><TD>๒. การคบบัญฑิต</TD><TD>๑๕.การให้ทาน</TD><TD>๒๘.เป็นผู้ว่าง่าย</TD></TR><TR><TD>๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา</TD><TD>๑๖.การประพฤติธรรม</TD><TD>๒๙.การได้เห็นสมณะ</TD></TR><TR><TD>๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร</TD><TD>๑๗.การสงเคราะห์ญาติ</TD><TD>๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล</TD></TR><TR><TD>๕. เคยทำบุญมาก่อน</TD><TD>๑๘.ทำงานที่ไม่มีโทษ</TD><TD>๓๑.การบำเพ็ญตบะ</TD></TR><TR><TD>๖. การตั้งตนชอบ</TD><TD>๑๙.ละเว้นจากบาป</TD><TD>๓๒.การประพฤติพรหมจรรย์</TD></TR><TR><TD>๗. ความเป็นพหูสูต</TD><TD>๒๐.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา</TD><TD>๓๓.การเห็นอริยสัจ</TD></TR><TR><TD>๘. การรอบรู้ในศิลปะ</TD><TD>๒๑.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย</TD><TD>๓๔.การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน</TD></TR><TR><TD>๙. มีวินัยที่ดี</TD><TD>๒๒.มีความเคารพ</TD><TD>๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม</TD></TR><TR><TD>๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต</TD><TD>๒๓.มีความถ่อมตน</TD><TD>๓๖.มีจิตไม่เศร้าโศก</TD></TR><TR><TD>๑๑.การบำรุงบิดามารดา</TD><TD>๒๔.มีความสันโดษ</TD><TD>๓๗.มีจิตปราศจากกิเลส</TD></TR><TR><TD>๑๒.การสงเคราะห์บุตร</TD><TD>๒๕.มีความกตัญญู</TD><TD>๓๘.มีจิตเกษม</TD></TR><TR><TD>๑๓.การสงเคราะห์ภรรยา</TD><TD>๒๖.การฟังธรรมตามกาล</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
     
  13. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ตอนที่ผมบวช ไปอยู่ที่ถ้ำเสือ จ.กระบี่ พระหนุ่มๆก็มักจะชวน "ไปอยู่บ้านนายพันมั้ย ท่านรับตลอด"
    --หมายถึง บ้านอดีตนายพันตำรวจท่านหยนึง อยู่แถว ม.ปัฐวิกรณ์ ลองหาอ่านเรื่องท่าน ดู พบว่าท่านใส่ชุดสีกรัก เป็นฤาษี ที่บ้านต้อนรับผู้ทรงศีล จะอยู่นานเท่าใดก็ได้ ในแวดวงคนมีศีล จะรู้จักท่านดี
    ------ท่านคงไปสุคติแล้ว อดีตท่านคือเจ้าเมือง แต่ก่อกรรมกันกับอีกเมือง ทั้ง ศึกรบ ศึกรัก--ไสยเวทอาคม เสกวัวกระทิงในท้องมียาพิษ--บาปเวร-จนคนทั้งเมืองต้องมาเกิดเป็นปลวก---
    ----------------------------------------------
    ---ท่านอาจารย์จำเนียร เป็นพระที่แปลก ผมมองดูท่าน ท่านอยู่กับเด็กก็เป็นเด็กน้อย หยอกก็เด็กไป ไม่ต้องนั่งเกร่งเป็นเกจิอาจารย์ อย่างที่เรียกว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานโดยแท้"

    ---ตอนที่บวชเป็นพระ พระเพื่อนผม นำไปแนะนำตัวกับท่าน ผมก็ไหว้ท่าน พระเพื่อนว่า "ยืนเฉยทำไม ก้มกราบเท้าท่านซี" ผมก็ก้มตัวลง "มั๊บ "พระอาจารย์ท่านคว้าข้อมือข้าพเจ้าไว้ทั้งสองข้าง น้ำใจคนที่เป็นครูอาจารย์นั้นยิ่งใหญ่คล้ายพ่อม่ ดั้งน้ำบริสุทธ์ที่ให้ทั้งดื่มกินและอาบไม่เคยเหือดแห้ง ไม่มานั่งวางมาดถือตัว รอประเคนข้าวหรือรินน้ำชา ไม่อวดอ้างว่ามีคุณธรรมคุณวิเศษสูงกว่า เป็นบุคคลที่ชี้นำสังคมให้ก้าวไป สร้างสรรให้ได้ดังใจปรารถนา ตามแนวของพุทธองค์โดยแท้
    หาได้ยากครับ พระแบบนี้ ท่านไปแห่งใด ที่นั้นก็จะเจริญมั่งคั่ง โดยไม่ต้องมีวงเวียนบาป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2012
  14. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    อยากดูของเพลินตา ช่วงนี้ขอเสนอ-- ปารีสมอเตอร์โชว์ครับท่าน จริงแล้วผมจะไปดู (ทางเน็ต) ตั้งแต่เมื่อวาน แต่งานยังไม่เริ่ม ไยังไม่จตัดริบบิ้) จะทำลิ้งค์ ก๋็ไม่มีเวลา และที่สำคัญ ไม่เอื้อหนุนกับบทความช่วงนี้ พวกอาร์ติ๊สท์-ศิลปินก็งี้แหละ ตามอารมณ์
    --ธรรมมะพื้นฐาน ยังเสนอไม่ครบ ตั้งจิตยังไงฝึกไปทางไหน ยังไม่ต้องไปดูเรื่องยั่วกิเลส มันจะไม่ทันกัน นรกที่เผาให้ดังกับไฟ ก็เผาใจเราอยู่ทุกวันคืน

    --เมื่อคืน อ่านเรื่องพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ท่านก็เหมือนให้ผู้เขียนจินตนาการไป เห็นมั้ย นั่นไงไฟนรก ไฟบาป เทพทั้งหลาย นางฟ้าก็มองดูในตัวพวกเขาล้วนมีเปลวไฟ จริงๆแล้วที่ได้เป็นเทพยาดานางฟ้า เพราะบังเอิญนึกไปในกรรมที่ดีเสี้ยววินาทีก่อนตาย-- แต่ผลกรรมชั่ว วิบากยังมีแฝงอยู่ จงอย่าได้ชะล่าใจ ท่านปู่ฤาษีลิงดำท่านก็มองตนเองก็มีไฟลุกอยู่ จึงได้เข้าใจ วัฏฏะสงสาร-การเวียนตายเวียนเกิด-เป็นสิ่งที่น่ากลัว หลุดพ้นได้ยาก คงไม่มีใครมานั่งอบรมสั่งสอนทีละน้อย และจูงมือพาไป ดั่งพระพุธองค์ท่านสอนเรา และแนวของบรรดาพระสาวก ความกรุณาท่านมากล้นพ้นประมาณ และเหล่าโพธิสัตว์นิกายมหายาน มีพระแม่กวนอิมผู้ทรงกรุณา ตั้งใจขนสัตว์ไปสูแดนนิพพานให้ใด้มากที่สุด จะไม่ให้มีเหลือตกค้าง
    ---แม้แต่ภัยธรรมชาติที่เข้ามารอจ่อคอหอยอยู้ มนุษย์ส่วนหนึ่ง ยังหลงเพลิน ไม่รู้อะไรเลย


    [​IMG] สมมุติว่า เราเลียนแบบท่านได้
    จะงามได้ประมาณนี้ ที่งานสมโภของค์เจ้าแม่ ปากน้ำโพ นครสวรรรค์

    [​IMG] ท่าทำนิ้วมือแบบนี้ ทางจีนเรียกว่ "มุทรา"เป็นเคล็ดวิชชาพลังแบบหนึ่ง

    เที่ยวเมืองโบราณ แล้วไปดูนกนางนวล จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net พาเที่ยวเมืองโบราณ เจ้าแม่กวนอิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2012
  15. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เอกสารลึกลับ--ข้อมูลจากอดีต
    --อ่านหรือยัง ที่ว่าประเทศจีน สามรถสร้างยานรบ จากคัมภีร์ของอินเดีย ความรู้ที่มี อย่าไปตีกรอบ ก็จะได้ความรู้ที่ไร้ขอบเขต--No Realm No border
    --คนมีพลังจิต สามารถเป็นสายลับพลังจิตได้ ช่วยตำรวจหาคนร้ายก็ได้ เมืองนอกมี ในไทย ไม่ใช่ว่าจะไม่มีนะ

    --ในวงเหล้าของนายนรินทร์ มักมีของแปลก บางครั้งนำพระไตรปอฏกมาวิจารรแกว่า " ผมเคยให้ช่างถาวร ดูนะ นี่บางบทเหมือนหนังเอ็กซ์ บางบท นางภิกษุณีโดนข่มขืน และบรรลุธรรมได้ตอนนั้น" นรินทร์ว่า " ผมว่า การรู้สึกถึงจุดสุดยอดทำให้บรรลุธรรม "แต่ผิดครับ ในนั้นท่านบรรยายว่า พระอรหันต์เหมือนตอไม้แห้ง ไม่มีทางที่จะงอกได้ มีอารมณ์ สุข ทุกข์ ชอบ ไม่ชอบ ก็มีเหมือนคนธรรมดาๆ แต่ท่านเสพอารมร์ไปงั้นๆ เหมือนคนสูบบุหรี่แก้เลี่ยนปาก หรือบางคนก็สูบเพราะเสพติดจะลงแดงขาดไม่ได้
    --ในพระไตรปิฎก นอกจากมีหลักธรรม ยังมีเรื่องการปกครอง สภาพสังคม แม้การปรพะกอบอาชีพ ภูมิประเทศ วิชาไสยศาสตร์มายากล ผีสางเทวดา โอปปาติกะ จักรวาลต่างๆ--จะว่าไป ก็ขาดภาพและเสียงเแบบคลิปวีดิโอ ท่านั้นเองมั้ง
    --ขอทวงสิทธิในการบรรลุธรรมให้เพศหญิงด้วย เมืองไทยไม่มีภิกษุณี สังคมไม่ยกย่อง ไม่ให้ผู้หญิงพร้อมที่จะบรรลุธรรมได้ง่ายๆ มีแม่ชี ซึ่งต้องทำงานทุกอย่างในวัดแบบผู้ชายคนหนึ่ง

    --ดูเทวดานางฟ้า กดเลย-- เสด็จแม่องค์สมมุติงามมาก จัดเต็มโดยชาวนครสวรรค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2012
  16. มังกรน้อย101

    มังกรน้อย101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +4,390
    ขอบคุณมากครับ

    ขอบคุณมากครับพี่เจษ นี่ล่ะผมถึงกล้าพูดว่ากะทู้พี่มีมากกว่าความรู้ที่ผมมีอยู่ และหาอยู่จริงๆ และเหมือนกับพี่จะรู้ใจคนได้น่ะครับ เพราะว่าความรู้นี่ผมต้องขอบคุณพี่มากจริงๆเพราะว่าผมสงสัยมานานแล้วครับว่าการนั่งสมาธิจะได้ญาณอย่างไร แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เป็นยังไง แล้วผมก็ได้รู้จากพี่ที่นี่แล้วครับ ...แล้วก็ตามเคยครับพี่ผมขอก็อบเอาไว้อ่านควบคู่กับการปฎิบัติของผมหน่อยน่ะครับ
    (รู้สึกว่าผมจะเป็นหนี้ความรู้กับพี่มากอยู่น่ะครับ) จากการที่อ่านแล้วรู้สึกว่าผมได้แค่2เองครับถึงว่าเวลานั่งจับลมหายใจเข้าออกนานๆอยู่ๆก็ลืมจับไปซ่ะเฉยๆแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในที่โล่งแห่งหนึ่งแล้วก็รู้สึกตัวผมก็กลับมาจับลมหายใจเข้าออกอีกที กะจ่างจริงๆเหมือนมีอะไรมาดลใจให้มาติดตามอ่านกะทู้พี่เจษจนมาเจอกับคำตอบที่ผมต้องการ จะติดตามเรื่อยๆครับมีประโยชน์จริงๆสำหรับผม
     
  17. มังกรน้อย101

    มังกรน้อย101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +4,390
    ขอบคุณมากครับ

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ chandayot [​IMG]
    <table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" width="90%"><tbody><tr><td>


    เรื่องของญาณ 4




    -ปฐมฌานนี่เป็นฌานที่หนึ่ง ที่บรรดาพวกเราเหล่าพุทธบริษัทต้องทำให้ได้ เพราะเป็นฌานโลกีย์ อาการที่ทรงฌานที่หนึ่งนี้ไม่มีอะไรยาก เราใช้คำภาวนาและพิจารณาในขันธ์ 5 ก็ ดี ภาวนาบทใดบทหนึ่งก็ดี หรือว่าจะพิจารณาลมหายใจเข้าออกก็ดี ให้จิตมันทรงอยู่อย่างนี้เป็นปกติ นี่หมายความว่าไม่ยอมให้ใจของเราเคลื่อนจากอารมณ์ที่เราต้องการ อย่างเราอยากจะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เมื่อว่างจากกิจอื่น จิตมันจะมีความรู้สึกไปโดยอัตโนมัติ รู้ลมเข้าลมออก หรือภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ อะไรก็ช่าง จะพิจารษายังไงก็ช่างให้จิตมันทรงตัว แล้วทรงจนกระทั่งให้อารมณ์จิตนี่แม้แต่ได้ยินเสียงภายนอกเข้ามาจิตก็ไม่ รำคาญ สามารถใช้คำภาวนาและพิจารณาได้ตามอัธยาศัย อย่างนี้ชื่อว่าปฐมฌาน

    -พอจิตเข้าถึงฌานที่สอง คำภาวนาหายไปเฉย ๆ หยุดไปเอง เมื่อคำภาวนาหยุดไปเอง เราก็มีใจสบายชุ่มชื่นดีกว่า เพราะว่าไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติ พอเริ่มก็มีความชุ่มชื่นสบายแล้วก็สุข เอกัคตารมณ์ทรงตัวดีก่าฌานที่หนึ่ง ตอนนี้เราจะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลงไปหน่อยกว่าเดิม กว่าฌานที่หนึ่ง ตอนนี้ก็มีหลาย ๆ ท่าน เมื่อจิตถอยลงมาถึงปฐมฌาน คือ ทรงฌานที่ 2 ได้ไม่นานรู้สึกตัวว่า ตายจริง นี่เราลืมภาวนาไปเสียแล้วรึ หรือเราหลับไป แต่ความจริงนั้นไม่ใช่หลับ มันก็โงก อาการจะโงกไปข้างหน้าหรือข้างหลัง ทั้งนี้ไม่ใช่หลับ คือจิตเข้าถึงปฐมฌาน เราทิ้งภาวนาไปเอง ถ้าเข้าถึงฌานที่ 2 คือ ทุติยฌาน จะทิ้งภาวนาไปเอง

    -สำหรับฌานที่สามนี้จะรู้สึกว่าลมหายในเบามาก ร่างกายเราจะตัด ความอิ่มเอิบจะหายไป เหลือแต่ความสุขเยือกเย็น มีความสบาย ๆ ขาดความอิ่ม แต่จิตจะทรงตัวมาก อารมณ์จะไม่เคลื่อนไหว หูจะไม่ได้ยินเสียงภายนอก เบาลงไปมาก เสียงที่ดังมาก ๆ เราได้ยินเหมือนกันแต่เบามาก มีการทรงตัวแบบแน่นสนิท มีความรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเราเกร็งไปทั้งตัว แต่ความจริงนั้นเป็นเรื่องอาการของจิตไม่ใช่เรื่องอาการของกาย

    -แล้ว ตอนนี้ถ้าคนทั้งหลายเข้าถึงฌานที่สาม แล้วก็ทรงฌานที่สามได้ดี สมมติว่าเช้ามืดท่านตื่นขึ้นมานอนอยู่หรือนั่งอยู่ก็ตาม จิตทรงสมาธิถึงฌานที่สามได้ดี วันทั้งวันนั้นรู้สึกว่าเราไม่ต้องการอยากจะพูดกับใคร อาการพูดมันจะน้อยทั้งวัน เพราะว่าจิตมันทรงตัวได้ดี ถ้าอาการมีอย่างนี้กับท่าน ก็ขอให้ท่านภูมิใจว่า เราทรงฌานได้ดีมาก แต่ทว่าเลิกแล้วก็อยากจะพูดอยากจะคุย อยากจะสนทนาปราศรัย อยากจะพูดมาก

    -นั่น ก็แสดงว่า สำหรับอารมณ์ที่เป็นฌานของท่าน มันได้แต่เวลาที่นั่งอยู่หรือปฏิบัติอยู่เท่านั้น พอเวลาเลิกแล้ว กำลังฌานนั้นไม่ได้ตามจิตของท่านไปด้วย อย่างนี้ไม่ดี ควรจะพยายามรักษาให้มันทรงอยู่ได้ทั้งวัน ถ้าทรงไม่มากก็ทรงน้อย อย่างน้อยที่สุดก็ให้จิตมันอยู่ในอุปจารสมาธิในวันทั้งวันนี่ละ สามารถจะทรงได้ถ้าจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ ในวันทั้งวันนี่ละสามารถจะทรงได้ ถ้าจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธินี่เราก็คุยกับชาวบ้านได้ แต่ว่าคุยน้อยไปหน่อย ถ้าจะพูดก็พูดในเรื่องที่เป็นสาระจริง ๆ เรื่องที่เป็นอกุศลทุกอย่างจะไม่ยอมพูด ใจจะไม่ยอมคิดในเรื่องของอกุศล

    -ฌานที่สี่ท่านกล่าวว่าตัดสุขเสียได้ มีองค์สองเหมือนกัน ตัดสุขออกไปเหลือแต่เอกัคตา แล้วเพิ่มอุเบกขาเข้ามา เอกัคตานี่แปลว่ามีอารมณ์เป็นอันเดียว มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ฉะนั้น เมื่อมันตัดสุขออกไปได้ ไม่สัมผัส การกระทบกระทั่งจิตไม่รับการสัมผัส เสียงจะมาจากภายนอกดังเท่าไรก็ตามที หูจะไม่ได้ยินเสียงภายนอก การสัมผัสจากลมแรงก็ดี เหลือบยุงจะเข้ามาเกาะตัวก็ดี ไม่มีความรู้สึก แต่ว่าอาการทางจิตไม่ใช่หลับ มีความรู้สึก มีสติสัมปชัญญะทรงตัวเป็นคนมีสติสัมปชัญญะดีมาก มีความสว่างไสวในจิต จงอย่าลืมคำว่าฌานนี้ไม่ใช่นั่งหลับ จิตจะทรงตัวสมาธิดี สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นี้เป็นการฝึกอารมณ์จิตของเราให้มีการทรงตัวเพื่อเตรียมรับสภานการณ์ที่จะ เจริญวิปัสสนาญาณ

    -จิตของฌาน 4 มีเอกัคตากับอุเบกขาเป็นปกติ จิตดวงนี้ต้องจำเอาไว้ว่า ต้องให้มันทรงอยู่ตลอดเวลา ถ้ามันทรงตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วเรื่องทิพจักขุญาณมันง่ายเหลือเกิน ยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก แต่ถ้าว่า ถ้าจิตเข้าถึงจุดนี้แล้ว ท่านที่มีความรู้ในขั้นนี้จริง ๆ ท่านบอกว่า ถ้ายังใช้อารมณ์จิตของตนรู้อยู่ ท่านบอกว่าใช้ไม่ได้ ต้องหาทางเข้าถามถึงพระ ถามพระสอนกันตอนไหน จับภาพนิมิตพระองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นเป็นบรรทัดฐาน เรียกว่าภาพพระพุทธนิมิต จับแล้วเวลาที่ต้องการอยากจะทราบอะไรก็ถามพระ พระบัญชาการมาอย่างไรเป็นคำตอบที่เราได้ปรากฎรับเอง แล้วก็ถูกต้องตามความเป็นจริง ต้องจำไว้เลยทีเดียวว่า พระลักษณะนี้ที่เราเห็น เราถามแล้ว ทรงพยากรณ์ตรงตามความเป็นจริงทุกประการ จำภาพพระไว้ ถ้าทำอย่างนี้จนชำนาญก็เลิก ฝึกวิธีอื่น ต้องการอะไรก็ถามพระ

    -ถ้าทำใจสบาย จิตเข้าถึงฌาน 4 หรือฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ก็ตาม เวลาที่จิตสงัด ปัญญามันจะเกิดเอง มันจะบอกชัด มันจะมีความเบื่อหน่ายในร่างกายขึ้น มาเอง มีความรู้สึกว่าร่างกายนี่มันไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร ไม่มีการทรงตัว เพราะอะไร เพราะเมื่อมีความเกิดขึ้น แล้วก็มีความป่วย ความตาย ในขณะที่ทรงกายอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ เราจะบริหารร่างกายสักเพียงใดก็ตามที ร่างกายก็เต็มไปด้วยความทรุดโทรมอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 คือร่างกายเสีย นี่ตัวปัญญามันจะเห็น ปัญญามันจะสอนต่อไปว่า ถ้าหากว่าเราไม่ต้องการเกิดต่อไปแล้ว ก็ตัดรากเหง้าของกิเลสทั้ง 3 ประการทิ้งเสียให้หมด คือตัด อำนาจของความโลภด้วยการให้ทาน ตัดรากเหง้าของความโกรธ ด้วยการเจริญเมตตาบารมี และตัดรากเหง้าของความหลงด้วยการพิจารณาหาความจริงของขันธ์ 5 ปัญญามัน จะเห็นชัดว่า ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ 4 ไม่มีการทรงตัว มีการเปลี่ยนแปลง ภายในเต็มไปด้วยความสกปรก นี่มันจะบอกชัด ปัญญามันดีกว่านี้มาก ถ้ามันได้ถึงจริง ๆ

    -คำว่าเอกัคตารมณ์ ก็คืออารมณ์เป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่งในที่นี้เรานิยมเรียกว่า ฌาน อารมณ์มันจะทรงตัว ก็มีหลายคนเคยถามว่า อารมณ์เป็นหนึ่งดิ่งอย่างนี้จะทำอย่างไรต่อไป ก็ขอตอบว่า เวลานั้นไม่ใช่เวลาที่ทำอย่างอื่น ถ้าจิตเป็นฌานมีอารมณ์ทรงตัวเป็นเอกัคตารมณ์ อารมณ์เป็นหนึ่งอย่างนั้นต้องปล่อยไปตามนั้น เพราะอะไรจึงปล่อย เพราะเราต้องการให้อารมณ์ว่างจากกิเลส เวลานั้นถ้าจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งในลมหายใจเข้าออกก็ดี ในคำภาวนาก็ดี ในนิมิตก็ดี ถ้าจิตจับเฉพาะอย่างนั้น กิเลสจะเข้ากวนใจไม่ได้ มันจึงเป็นหนึ่ง มีอารมณ์ดิ่งก็ควรจะพอใจว่า เวลานี้จิตเราว่างจากกิเลส เราต้องการจุดนี้

    -ขณะใดที่เรารู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รู้คำภาวนาว่า พุทโธ ขณะนั้นเชื่อว่าจิตของเราเป็นสมาธิตาม ความต้องการ ถ้าหากว่าภาวนาไป ๆ ใจมันเกิดความสบาย คำภาวนาหยุดไปเฉย ๆ เป็นความสุขที่ยิ่งกว่า อย่างนี้ก็จงอย่าตกใจ อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ 2 ซึ่งเป็นอารมณ์ดีขึ้น หากว่าทำไปความชุ่มชื่นหายไป มีอาการเครียด ลมหายใจเบาลง หูได้ยินเสียงภายนอกเบามากจิตใจทรงตัวแนบสนิทอย่างนี้ เป็นอาการของฌานที่ 3 ถ้าบังเอิญภาวนาไปกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ปรากฎว่า ไม่รู้ว่าลมหายใจเข้าออกมีหรือเปล่า มันมีอาการเฉย ๆ มีอาการจิตใจสบาย ๆ อยางนี้เป็นอาการของฌานที่ 4 จัดว่าเป็นอารมณ์ฌานที่มีความสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา




    </td></tr><tr><td align="right">โดย kancht958</td></tr></tbody></table>
    ขอขอบคุณเจ้าของข้อเขียน และเว็ปโอเคเนชั่น ซึ่งจะได้บุญมากมาย-จขกท.
    </td> </tr> </tbody></table>
    ขอบ คุณมากครับพี่เจษ นี่ล่ะผมถึงกล้าพูดว่ากะทู้พี่มีมากกว่าความรู้ที่ผมมีอยู่ และหาอยู่จริงๆ และเหมือนกับพี่จะรู้ใจคนได้น่ะครับ เพราะว่าความรู้นี่ผมต้องขอบคุณพี่มากจริงๆเพราะว่าผมสงสัยมานานแล้วครับว่า การนั่งสมาธิจะได้ญาณอย่างไร แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เป็นยังไง แล้วผมก็ได้รู้จากพี่ที่นี่แล้วครับ ...แล้วก็ตามเคยครับพี่ผมขอก็อบเอาไว้อ่านควบคู่กับการปฎิบัติของผมหน่อยน่ะ ครับ
    (รู้สึกว่าผมจะเป็นหนี้ความรู้กับพี่มากอยู่น่ะครับ) จากการที่อ่านแล้วรู้สึกว่าผมได้แค่2เองครับถึงว่าเวลานั่งจับลมหายใจเข้า ออกนานๆอยู่ๆก็ลืมจับไปซ่ะเฉยๆแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในที่โล่งแห่งหนึ่งแล้ว ก็รู้สึกตัวผมก็กลับมาจับลมหายใจเข้าออกอีกที กะจ่างจริงๆเหมือนมีอะไรมาดลใจให้มาติดตามอ่านกะทู้พี่เจษจนมาเจอกับคำตอบ ที่ผมต้องการ จะติดตามเรื่อยๆครับมีประโยชน์จริงๆสำหรับผม

    แปลกจริงๆครับพี่เจษผมอ้างอิงข้อความพี่หน้า70พอกดดันมาโผล่หน้า57วานพี่ช่วยตรวจสอบทีครับผมงง
     
  18. มังกรน้อย101

    มังกรน้อย101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +4,390
    ขอบคุณมากครับ

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ chandayot [​IMG]
    <table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" width="90%"><tbody><tr><td>


    เรื่องของญาณ 4




    -ปฐมฌานนี่เป็นฌานที่หนึ่ง ที่บรรดาพวกเราเหล่าพุทธบริษัทต้องทำให้ได้ เพราะเป็นฌานโลกีย์ อาการที่ทรงฌานที่หนึ่งนี้ไม่มีอะไรยาก เราใช้คำภาวนาและพิจารณาในขันธ์ 5 ก็ ดี ภาวนาบทใดบทหนึ่งก็ดี หรือว่าจะพิจารณาลมหายใจเข้าออกก็ดี ให้จิตมันทรงอยู่อย่างนี้เป็นปกติ นี่หมายความว่าไม่ยอมให้ใจของเราเคลื่อนจากอารมณ์ที่เราต้องการ อย่างเราอยากจะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เมื่อว่างจากกิจอื่น จิตมันจะมีความรู้สึกไปโดยอัตโนมัติ รู้ลมเข้าลมออก หรือภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ อะไรก็ช่าง จะพิจารษายังไงก็ช่างให้จิตมันทรงตัว แล้วทรงจนกระทั่งให้อารมณ์จิตนี่แม้แต่ได้ยินเสียงภายนอกเข้ามาจิตก็ไม่ รำคาญ สามารถใช้คำภาวนาและพิจารณาได้ตามอัธยาศัย อย่างนี้ชื่อว่าปฐมฌาน

    -พอจิตเข้าถึงฌานที่สอง คำภาวนาหายไปเฉย ๆ หยุดไปเอง เมื่อคำภาวนาหยุดไปเอง เราก็มีใจสบายชุ่มชื่นดีกว่า เพราะว่าไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติ พอเริ่มก็มีความชุ่มชื่นสบายแล้วก็สุข เอกัคตารมณ์ทรงตัวดีก่าฌานที่หนึ่ง ตอนนี้เราจะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลงไปหน่อยกว่าเดิม กว่าฌานที่หนึ่ง ตอนนี้ก็มีหลาย ๆ ท่าน เมื่อจิตถอยลงมาถึงปฐมฌาน คือ ทรงฌานที่ 2 ได้ไม่นานรู้สึกตัวว่า ตายจริง นี่เราลืมภาวนาไปเสียแล้วรึ หรือเราหลับไป แต่ความจริงนั้นไม่ใช่หลับ มันก็โงก อาการจะโงกไปข้างหน้าหรือข้างหลัง ทั้งนี้ไม่ใช่หลับ คือจิตเข้าถึงปฐมฌาน เราทิ้งภาวนาไปเอง ถ้าเข้าถึงฌานที่ 2 คือ ทุติยฌาน จะทิ้งภาวนาไปเอง

    -สำหรับฌานที่สามนี้จะรู้สึกว่าลมหายในเบามาก ร่างกายเราจะตัด ความอิ่มเอิบจะหายไป เหลือแต่ความสุขเยือกเย็น มีความสบาย ๆ ขาดความอิ่ม แต่จิตจะทรงตัวมาก อารมณ์จะไม่เคลื่อนไหว หูจะไม่ได้ยินเสียงภายนอก เบาลงไปมาก เสียงที่ดังมาก ๆ เราได้ยินเหมือนกันแต่เบามาก มีการทรงตัวแบบแน่นสนิท มีความรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเราเกร็งไปทั้งตัว แต่ความจริงนั้นเป็นเรื่องอาการของจิตไม่ใช่เรื่องอาการของกาย

    -แล้ว ตอนนี้ถ้าคนทั้งหลายเข้าถึงฌานที่สาม แล้วก็ทรงฌานที่สามได้ดี สมมติว่าเช้ามืดท่านตื่นขึ้นมานอนอยู่หรือนั่งอยู่ก็ตาม จิตทรงสมาธิถึงฌานที่สามได้ดี วันทั้งวันนั้นรู้สึกว่าเราไม่ต้องการอยากจะพูดกับใคร อาการพูดมันจะน้อยทั้งวัน เพราะว่าจิตมันทรงตัวได้ดี ถ้าอาการมีอย่างนี้กับท่าน ก็ขอให้ท่านภูมิใจว่า เราทรงฌานได้ดีมาก แต่ทว่าเลิกแล้วก็อยากจะพูดอยากจะคุย อยากจะสนทนาปราศรัย อยากจะพูดมาก

    -นั่น ก็แสดงว่า สำหรับอารมณ์ที่เป็นฌานของท่าน มันได้แต่เวลาที่นั่งอยู่หรือปฏิบัติอยู่เท่านั้น พอเวลาเลิกแล้ว กำลังฌานนั้นไม่ได้ตามจิตของท่านไปด้วย อย่างนี้ไม่ดี ควรจะพยายามรักษาให้มันทรงอยู่ได้ทั้งวัน ถ้าทรงไม่มากก็ทรงน้อย อย่างน้อยที่สุดก็ให้จิตมันอยู่ในอุปจารสมาธิในวันทั้งวันนี่ละ สามารถจะทรงได้ถ้าจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ ในวันทั้งวันนี่ละสามารถจะทรงได้ ถ้าจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธินี่เราก็คุยกับชาวบ้านได้ แต่ว่าคุยน้อยไปหน่อย ถ้าจะพูดก็พูดในเรื่องที่เป็นสาระจริง ๆ เรื่องที่เป็นอกุศลทุกอย่างจะไม่ยอมพูด ใจจะไม่ยอมคิดในเรื่องของอกุศล

    -ฌานที่สี่ท่านกล่าวว่าตัดสุขเสียได้ มีองค์สองเหมือนกัน ตัดสุขออกไปเหลือแต่เอกัคตา แล้วเพิ่มอุเบกขาเข้ามา เอกัคตานี่แปลว่ามีอารมณ์เป็นอันเดียว มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ฉะนั้น เมื่อมันตัดสุขออกไปได้ ไม่สัมผัส การกระทบกระทั่งจิตไม่รับการสัมผัส เสียงจะมาจากภายนอกดังเท่าไรก็ตามที หูจะไม่ได้ยินเสียงภายนอก การสัมผัสจากลมแรงก็ดี เหลือบยุงจะเข้ามาเกาะตัวก็ดี ไม่มีความรู้สึก แต่ว่าอาการทางจิตไม่ใช่หลับ มีความรู้สึก มีสติสัมปชัญญะทรงตัวเป็นคนมีสติสัมปชัญญะดีมาก มีความสว่างไสวในจิต จงอย่าลืมคำว่าฌานนี้ไม่ใช่นั่งหลับ จิตจะทรงตัวสมาธิดี สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นี้เป็นการฝึกอารมณ์จิตของเราให้มีการทรงตัวเพื่อเตรียมรับสภานการณ์ที่จะ เจริญวิปัสสนาญาณ

    -จิตของฌาน 4 มีเอกัคตากับอุเบกขาเป็นปกติ จิตดวงนี้ต้องจำเอาไว้ว่า ต้องให้มันทรงอยู่ตลอดเวลา ถ้ามันทรงตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วเรื่องทิพจักขุญาณมันง่ายเหลือเกิน ยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก แต่ถ้าว่า ถ้าจิตเข้าถึงจุดนี้แล้ว ท่านที่มีความรู้ในขั้นนี้จริง ๆ ท่านบอกว่า ถ้ายังใช้อารมณ์จิตของตนรู้อยู่ ท่านบอกว่าใช้ไม่ได้ ต้องหาทางเข้าถามถึงพระ ถามพระสอนกันตอนไหน จับภาพนิมิตพระองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นเป็นบรรทัดฐาน เรียกว่าภาพพระพุทธนิมิต จับแล้วเวลาที่ต้องการอยากจะทราบอะไรก็ถามพระ พระบัญชาการมาอย่างไรเป็นคำตอบที่เราได้ปรากฎรับเอง แล้วก็ถูกต้องตามความเป็นจริง ต้องจำไว้เลยทีเดียวว่า พระลักษณะนี้ที่เราเห็น เราถามแล้ว ทรงพยากรณ์ตรงตามความเป็นจริงทุกประการ จำภาพพระไว้ ถ้าทำอย่างนี้จนชำนาญก็เลิก ฝึกวิธีอื่น ต้องการอะไรก็ถามพระ

    -ถ้าทำใจสบาย จิตเข้าถึงฌาน 4 หรือฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ก็ตาม เวลาที่จิตสงัด ปัญญามันจะเกิดเอง มันจะบอกชัด มันจะมีความเบื่อหน่ายในร่างกายขึ้น มาเอง มีความรู้สึกว่าร่างกายนี่มันไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร ไม่มีการทรงตัว เพราะอะไร เพราะเมื่อมีความเกิดขึ้น แล้วก็มีความป่วย ความตาย ในขณะที่ทรงกายอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ เราจะบริหารร่างกายสักเพียงใดก็ตามที ร่างกายก็เต็มไปด้วยความทรุดโทรมอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 คือร่างกายเสีย นี่ตัวปัญญามันจะเห็น ปัญญามันจะสอนต่อไปว่า ถ้าหากว่าเราไม่ต้องการเกิดต่อไปแล้ว ก็ตัดรากเหง้าของกิเลสทั้ง 3 ประการทิ้งเสียให้หมด คือตัด อำนาจของความโลภด้วยการให้ทาน ตัดรากเหง้าของความโกรธ ด้วยการเจริญเมตตาบารมี และตัดรากเหง้าของความหลงด้วยการพิจารณาหาความจริงของขันธ์ 5 ปัญญามัน จะเห็นชัดว่า ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ 4 ไม่มีการทรงตัว มีการเปลี่ยนแปลง ภายในเต็มไปด้วยความสกปรก นี่มันจะบอกชัด ปัญญามันดีกว่านี้มาก ถ้ามันได้ถึงจริง ๆ

    -คำว่าเอกัคตารมณ์ ก็คืออารมณ์เป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่งในที่นี้เรานิยมเรียกว่า ฌาน อารมณ์มันจะทรงตัว ก็มีหลายคนเคยถามว่า อารมณ์เป็นหนึ่งดิ่งอย่างนี้จะทำอย่างไรต่อไป ก็ขอตอบว่า เวลานั้นไม่ใช่เวลาที่ทำอย่างอื่น ถ้าจิตเป็นฌานมีอารมณ์ทรงตัวเป็นเอกัคตารมณ์ อารมณ์เป็นหนึ่งอย่างนั้นต้องปล่อยไปตามนั้น เพราะอะไรจึงปล่อย เพราะเราต้องการให้อารมณ์ว่างจากกิเลส เวลานั้นถ้าจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งในลมหายใจเข้าออกก็ดี ในคำภาวนาก็ดี ในนิมิตก็ดี ถ้าจิตจับเฉพาะอย่างนั้น กิเลสจะเข้ากวนใจไม่ได้ มันจึงเป็นหนึ่ง มีอารมณ์ดิ่งก็ควรจะพอใจว่า เวลานี้จิตเราว่างจากกิเลส เราต้องการจุดนี้

    -ขณะใดที่เรารู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รู้คำภาวนาว่า พุทโธ ขณะนั้นเชื่อว่าจิตของเราเป็นสมาธิตาม ความต้องการ ถ้าหากว่าภาวนาไป ๆ ใจมันเกิดความสบาย คำภาวนาหยุดไปเฉย ๆ เป็นความสุขที่ยิ่งกว่า อย่างนี้ก็จงอย่าตกใจ อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ 2 ซึ่งเป็นอารมณ์ดีขึ้น หากว่าทำไปความชุ่มชื่นหายไป มีอาการเครียด ลมหายใจเบาลง หูได้ยินเสียงภายนอกเบามากจิตใจทรงตัวแนบสนิทอย่างนี้ เป็นอาการของฌานที่ 3 ถ้าบังเอิญภาวนาไปกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ปรากฎว่า ไม่รู้ว่าลมหายใจเข้าออกมีหรือเปล่า มันมีอาการเฉย ๆ มีอาการจิตใจสบาย ๆ อยางนี้เป็นอาการของฌานที่ 4 จัดว่าเป็นอารมณ์ฌานที่มีความสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา




    </td></tr><tr><td align="right">โดย kancht958</td></tr></tbody></table>
    ขอขอบคุณเจ้าของข้อเขียน และเว็ปโอเคเนชั่น ซึ่งจะได้บุญมากมาย-จขกท.
    </td> </tr> </tbody></table>
    ขอบ คุณมากครับพี่เจษ นี่ล่ะผมถึงกล้าพูดว่ากะทู้พี่มีมากกว่าความรู้ที่ผมมีอยู่ และหาอยู่จริงๆ และเหมือนกับพี่จะรู้ใจคนได้น่ะครับ เพราะว่าความรู้นี่ผมต้องขอบคุณพี่มากจริงๆเพราะว่าผมสงสัยมานานแล้วครับว่า การนั่งสมาธิจะได้ญาณอย่างไร แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เป็นยังไง แล้วผมก็ได้รู้จากพี่ที่นี่แล้วครับ ...แล้วก็ตามเคยครับพี่ผมขอก็อบเอาไว้อ่านควบคู่กับการปฎิบัติของผมหน่อยน่ะ ครับ
    (รู้สึกว่าผมจะเป็นหนี้ความรู้กับพี่มากอยู่น่ะครับ) จากการที่อ่านแล้วรู้สึกว่าผมได้แค่2เองครับถึงว่าเวลานั่งจับลมหายใจเข้า ออกนานๆอยู่ๆก็ลืมจับไปซ่ะเฉยๆแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในที่โล่งแห่งหนึ่งแล้ว ก็รู้สึกตัวผมก็กลับมาจับลมหายใจเข้าออกอีกที กะจ่างจริงๆเหมือนมีอะไรมาดลใจให้มาติดตามอ่านกะทู้พี่เจษจนมาเจอกับคำตอบ ที่ผมต้องการ จะติดตามเรื่อยๆครับมีประโยชน์จริงๆสำหรับผม

    แปลกจริงๆครับพี่เจษผมอ้างอิงข้อความพี่หน้า70พอกดดันมาโผล่หน้า57วานพี่ช่วยตรวจสอบทีครับผมงง
     
  19. มังกรน้อย101

    มังกรน้อย101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +4,390
    ขอบคุณมากครับ

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ chandayot [​IMG]
    <table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" width="90%"><tbody><tr><td>


    เรื่องของญาณ 4




    -ปฐมฌานนี่เป็นฌานที่หนึ่ง ที่บรรดาพวกเราเหล่าพุทธบริษัทต้องทำให้ได้ เพราะเป็นฌานโลกีย์ อาการที่ทรงฌานที่หนึ่งนี้ไม่มีอะไรยาก เราใช้คำภาวนาและพิจารณาในขันธ์ 5 ก็ ดี ภาวนาบทใดบทหนึ่งก็ดี หรือว่าจะพิจารณาลมหายใจเข้าออกก็ดี ให้จิตมันทรงอยู่อย่างนี้เป็นปกติ นี่หมายความว่าไม่ยอมให้ใจของเราเคลื่อนจากอารมณ์ที่เราต้องการ อย่างเราอยากจะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เมื่อว่างจากกิจอื่น จิตมันจะมีความรู้สึกไปโดยอัตโนมัติ รู้ลมเข้าลมออก หรือภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ อะไรก็ช่าง จะพิจารษายังไงก็ช่างให้จิตมันทรงตัว แล้วทรงจนกระทั่งให้อารมณ์จิตนี่แม้แต่ได้ยินเสียงภายนอกเข้ามาจิตก็ไม่ รำคาญ สามารถใช้คำภาวนาและพิจารณาได้ตามอัธยาศัย อย่างนี้ชื่อว่าปฐมฌาน

    -พอจิตเข้าถึงฌานที่สอง คำภาวนาหายไปเฉย ๆ หยุดไปเอง เมื่อคำภาวนาหยุดไปเอง เราก็มีใจสบายชุ่มชื่นดีกว่า เพราะว่าไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติ พอเริ่มก็มีความชุ่มชื่นสบายแล้วก็สุข เอกัคตารมณ์ทรงตัวดีก่าฌานที่หนึ่ง ตอนนี้เราจะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลงไปหน่อยกว่าเดิม กว่าฌานที่หนึ่ง ตอนนี้ก็มีหลาย ๆ ท่าน เมื่อจิตถอยลงมาถึงปฐมฌาน คือ ทรงฌานที่ 2 ได้ไม่นานรู้สึกตัวว่า ตายจริง นี่เราลืมภาวนาไปเสียแล้วรึ หรือเราหลับไป แต่ความจริงนั้นไม่ใช่หลับ มันก็โงก อาการจะโงกไปข้างหน้าหรือข้างหลัง ทั้งนี้ไม่ใช่หลับ คือจิตเข้าถึงปฐมฌาน เราทิ้งภาวนาไปเอง ถ้าเข้าถึงฌานที่ 2 คือ ทุติยฌาน จะทิ้งภาวนาไปเอง

    -สำหรับฌานที่สามนี้จะรู้สึกว่าลมหายในเบามาก ร่างกายเราจะตัด ความอิ่มเอิบจะหายไป เหลือแต่ความสุขเยือกเย็น มีความสบาย ๆ ขาดความอิ่ม แต่จิตจะทรงตัวมาก อารมณ์จะไม่เคลื่อนไหว หูจะไม่ได้ยินเสียงภายนอก เบาลงไปมาก เสียงที่ดังมาก ๆ เราได้ยินเหมือนกันแต่เบามาก มีการทรงตัวแบบแน่นสนิท มีความรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเราเกร็งไปทั้งตัว แต่ความจริงนั้นเป็นเรื่องอาการของจิตไม่ใช่เรื่องอาการของกาย

    -แล้ว ตอนนี้ถ้าคนทั้งหลายเข้าถึงฌานที่สาม แล้วก็ทรงฌานที่สามได้ดี สมมติว่าเช้ามืดท่านตื่นขึ้นมานอนอยู่หรือนั่งอยู่ก็ตาม จิตทรงสมาธิถึงฌานที่สามได้ดี วันทั้งวันนั้นรู้สึกว่าเราไม่ต้องการอยากจะพูดกับใคร อาการพูดมันจะน้อยทั้งวัน เพราะว่าจิตมันทรงตัวได้ดี ถ้าอาการมีอย่างนี้กับท่าน ก็ขอให้ท่านภูมิใจว่า เราทรงฌานได้ดีมาก แต่ทว่าเลิกแล้วก็อยากจะพูดอยากจะคุย อยากจะสนทนาปราศรัย อยากจะพูดมาก

    -นั่น ก็แสดงว่า สำหรับอารมณ์ที่เป็นฌานของท่าน มันได้แต่เวลาที่นั่งอยู่หรือปฏิบัติอยู่เท่านั้น พอเวลาเลิกแล้ว กำลังฌานนั้นไม่ได้ตามจิตของท่านไปด้วย อย่างนี้ไม่ดี ควรจะพยายามรักษาให้มันทรงอยู่ได้ทั้งวัน ถ้าทรงไม่มากก็ทรงน้อย อย่างน้อยที่สุดก็ให้จิตมันอยู่ในอุปจารสมาธิในวันทั้งวันนี่ละ สามารถจะทรงได้ถ้าจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ ในวันทั้งวันนี่ละสามารถจะทรงได้ ถ้าจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธินี่เราก็คุยกับชาวบ้านได้ แต่ว่าคุยน้อยไปหน่อย ถ้าจะพูดก็พูดในเรื่องที่เป็นสาระจริง ๆ เรื่องที่เป็นอกุศลทุกอย่างจะไม่ยอมพูด ใจจะไม่ยอมคิดในเรื่องของอกุศล

    -ฌานที่สี่ท่านกล่าวว่าตัดสุขเสียได้ มีองค์สองเหมือนกัน ตัดสุขออกไปเหลือแต่เอกัคตา แล้วเพิ่มอุเบกขาเข้ามา เอกัคตานี่แปลว่ามีอารมณ์เป็นอันเดียว มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ฉะนั้น เมื่อมันตัดสุขออกไปได้ ไม่สัมผัส การกระทบกระทั่งจิตไม่รับการสัมผัส เสียงจะมาจากภายนอกดังเท่าไรก็ตามที หูจะไม่ได้ยินเสียงภายนอก การสัมผัสจากลมแรงก็ดี เหลือบยุงจะเข้ามาเกาะตัวก็ดี ไม่มีความรู้สึก แต่ว่าอาการทางจิตไม่ใช่หลับ มีความรู้สึก มีสติสัมปชัญญะทรงตัวเป็นคนมีสติสัมปชัญญะดีมาก มีความสว่างไสวในจิต จงอย่าลืมคำว่าฌานนี้ไม่ใช่นั่งหลับ จิตจะทรงตัวสมาธิดี สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นี้เป็นการฝึกอารมณ์จิตของเราให้มีการทรงตัวเพื่อเตรียมรับสภานการณ์ที่จะ เจริญวิปัสสนาญาณ

    -จิตของฌาน 4 มีเอกัคตากับอุเบกขาเป็นปกติ จิตดวงนี้ต้องจำเอาไว้ว่า ต้องให้มันทรงอยู่ตลอดเวลา ถ้ามันทรงตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วเรื่องทิพจักขุญาณมันง่ายเหลือเกิน ยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก แต่ถ้าว่า ถ้าจิตเข้าถึงจุดนี้แล้ว ท่านที่มีความรู้ในขั้นนี้จริง ๆ ท่านบอกว่า ถ้ายังใช้อารมณ์จิตของตนรู้อยู่ ท่านบอกว่าใช้ไม่ได้ ต้องหาทางเข้าถามถึงพระ ถามพระสอนกันตอนไหน จับภาพนิมิตพระองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นเป็นบรรทัดฐาน เรียกว่าภาพพระพุทธนิมิต จับแล้วเวลาที่ต้องการอยากจะทราบอะไรก็ถามพระ พระบัญชาการมาอย่างไรเป็นคำตอบที่เราได้ปรากฎรับเอง แล้วก็ถูกต้องตามความเป็นจริง ต้องจำไว้เลยทีเดียวว่า พระลักษณะนี้ที่เราเห็น เราถามแล้ว ทรงพยากรณ์ตรงตามความเป็นจริงทุกประการ จำภาพพระไว้ ถ้าทำอย่างนี้จนชำนาญก็เลิก ฝึกวิธีอื่น ต้องการอะไรก็ถามพระ

    -ถ้าทำใจสบาย จิตเข้าถึงฌาน 4 หรือฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ก็ตาม เวลาที่จิตสงัด ปัญญามันจะเกิดเอง มันจะบอกชัด มันจะมีความเบื่อหน่ายในร่างกายขึ้น มาเอง มีความรู้สึกว่าร่างกายนี่มันไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร ไม่มีการทรงตัว เพราะอะไร เพราะเมื่อมีความเกิดขึ้น แล้วก็มีความป่วย ความตาย ในขณะที่ทรงกายอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ เราจะบริหารร่างกายสักเพียงใดก็ตามที ร่างกายก็เต็มไปด้วยความทรุดโทรมอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 คือร่างกายเสีย นี่ตัวปัญญามันจะเห็น ปัญญามันจะสอนต่อไปว่า ถ้าหากว่าเราไม่ต้องการเกิดต่อไปแล้ว ก็ตัดรากเหง้าของกิเลสทั้ง 3 ประการทิ้งเสียให้หมด คือตัด อำนาจของความโลภด้วยการให้ทาน ตัดรากเหง้าของความโกรธ ด้วยการเจริญเมตตาบารมี และตัดรากเหง้าของความหลงด้วยการพิจารณาหาความจริงของขันธ์ 5 ปัญญามัน จะเห็นชัดว่า ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ 4 ไม่มีการทรงตัว มีการเปลี่ยนแปลง ภายในเต็มไปด้วยความสกปรก นี่มันจะบอกชัด ปัญญามันดีกว่านี้มาก ถ้ามันได้ถึงจริง ๆ

    -คำว่าเอกัคตารมณ์ ก็คืออารมณ์เป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่งในที่นี้เรานิยมเรียกว่า ฌาน อารมณ์มันจะทรงตัว ก็มีหลายคนเคยถามว่า อารมณ์เป็นหนึ่งดิ่งอย่างนี้จะทำอย่างไรต่อไป ก็ขอตอบว่า เวลานั้นไม่ใช่เวลาที่ทำอย่างอื่น ถ้าจิตเป็นฌานมีอารมณ์ทรงตัวเป็นเอกัคตารมณ์ อารมณ์เป็นหนึ่งอย่างนั้นต้องปล่อยไปตามนั้น เพราะอะไรจึงปล่อย เพราะเราต้องการให้อารมณ์ว่างจากกิเลส เวลานั้นถ้าจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งในลมหายใจเข้าออกก็ดี ในคำภาวนาก็ดี ในนิมิตก็ดี ถ้าจิตจับเฉพาะอย่างนั้น กิเลสจะเข้ากวนใจไม่ได้ มันจึงเป็นหนึ่ง มีอารมณ์ดิ่งก็ควรจะพอใจว่า เวลานี้จิตเราว่างจากกิเลส เราต้องการจุดนี้

    -ขณะใดที่เรารู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รู้คำภาวนาว่า พุทโธ ขณะนั้นเชื่อว่าจิตของเราเป็นสมาธิตาม ความต้องการ ถ้าหากว่าภาวนาไป ๆ ใจมันเกิดความสบาย คำภาวนาหยุดไปเฉย ๆ เป็นความสุขที่ยิ่งกว่า อย่างนี้ก็จงอย่าตกใจ อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ 2 ซึ่งเป็นอารมณ์ดีขึ้น หากว่าทำไปความชุ่มชื่นหายไป มีอาการเครียด ลมหายใจเบาลง หูได้ยินเสียงภายนอกเบามากจิตใจทรงตัวแนบสนิทอย่างนี้ เป็นอาการของฌานที่ 3 ถ้าบังเอิญภาวนาไปกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ปรากฎว่า ไม่รู้ว่าลมหายใจเข้าออกมีหรือเปล่า มันมีอาการเฉย ๆ มีอาการจิตใจสบาย ๆ อยางนี้เป็นอาการของฌานที่ 4 จัดว่าเป็นอารมณ์ฌานที่มีความสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา




    </td></tr><tr><td align="right">โดย kancht958</td></tr></tbody></table>
    ขอขอบคุณเจ้าของข้อเขียน และเว็ปโอเคเนชั่น ซึ่งจะได้บุญมากมาย-จขกท.
    </td> </tr> </tbody></table>
    ขอบ คุณมากครับพี่เจษ นี่ล่ะผมถึงกล้าพูดว่ากะทู้พี่มีมากกว่าความรู้ที่ผมมีอยู่ และหาอยู่จริงๆ และเหมือนกับพี่จะรู้ใจคนได้น่ะครับ เพราะว่าความรู้นี่ผมต้องขอบคุณพี่มากจริงๆเพราะว่าผมสงสัยมานานแล้วครับว่า การนั่งสมาธิจะได้ญาณอย่างไร แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เป็นยังไง แล้วผมก็ได้รู้จากพี่ที่นี่แล้วครับ ...แล้วก็ตามเคยครับพี่ผมขอก็อบเอาไว้อ่านควบคู่กับการปฎิบัติของผมหน่อยน่ะ ครับ
    (รู้สึกว่าผมจะเป็นหนี้ความรู้กับพี่มากอยู่น่ะครับ) จากการที่อ่านแล้วรู้สึกว่าผมได้แค่2เองครับถึงว่าเวลานั่งจับลมหายใจเข้า ออกนานๆอยู่ๆก็ลืมจับไปซ่ะเฉยๆแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในที่โล่งแห่งหนึ่งแล้ว ก็รู้สึกตัวผมก็กลับมาจับลมหายใจเข้าออกอีกที กะจ่างจริงๆเหมือนมีอะไรมาดลใจให้มาติดตามอ่านกะทู้พี่เจษจนมาเจอกับคำตอบ ที่ผมต้องการ จะติดตามเรื่อยๆครับมีประโยชน์จริงๆสำหรับผม

    แปลกจริงๆครับพี่เจษผมอ้างอิงข้อความพี่หน้า70พอกดดันมาโผล่หน้า57วานพี่ช่วยตรวจสอบทีครับผมงงมากหรือว่าผมทำผิดอะไรครับ T_T
     
  20. มังกรน้อย101

    มังกรน้อย101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +4,390
    ขอบคุณมากครับ

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ chandayot [​IMG]
    <table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" width="90%"><tbody><tr><td>


    เรื่องของญาณ 4




    -ปฐมฌานนี่เป็นฌานที่หนึ่ง ที่บรรดาพวกเราเหล่าพุทธบริษัทต้องทำให้ได้ เพราะเป็นฌานโลกีย์ อาการที่ทรงฌานที่หนึ่งนี้ไม่มีอะไรยาก เราใช้คำภาวนาและพิจารณาในขันธ์ 5 ก็ ดี ภาวนาบทใดบทหนึ่งก็ดี หรือว่าจะพิจารณาลมหายใจเข้าออกก็ดี ให้จิตมันทรงอยู่อย่างนี้เป็นปกติ นี่หมายความว่าไม่ยอมให้ใจของเราเคลื่อนจากอารมณ์ที่เราต้องการ อย่างเราอยากจะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เมื่อว่างจากกิจอื่น จิตมันจะมีความรู้สึกไปโดยอัตโนมัติ รู้ลมเข้าลมออก หรือภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ อะไรก็ช่าง จะพิจารษายังไงก็ช่างให้จิตมันทรงตัว แล้วทรงจนกระทั่งให้อารมณ์จิตนี่แม้แต่ได้ยินเสียงภายนอกเข้ามาจิตก็ไม่ รำคาญ สามารถใช้คำภาวนาและพิจารณาได้ตามอัธยาศัย อย่างนี้ชื่อว่าปฐมฌาน

    -พอจิตเข้าถึงฌานที่สอง คำภาวนาหายไปเฉย ๆ หยุดไปเอง เมื่อคำภาวนาหยุดไปเอง เราก็มีใจสบายชุ่มชื่นดีกว่า เพราะว่าไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติ พอเริ่มก็มีความชุ่มชื่นสบายแล้วก็สุข เอกัคตารมณ์ทรงตัวดีก่าฌานที่หนึ่ง ตอนนี้เราจะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลงไปหน่อยกว่าเดิม กว่าฌานที่หนึ่ง ตอนนี้ก็มีหลาย ๆ ท่าน เมื่อจิตถอยลงมาถึงปฐมฌาน คือ ทรงฌานที่ 2 ได้ไม่นานรู้สึกตัวว่า ตายจริง นี่เราลืมภาวนาไปเสียแล้วรึ หรือเราหลับไป แต่ความจริงนั้นไม่ใช่หลับ มันก็โงก อาการจะโงกไปข้างหน้าหรือข้างหลัง ทั้งนี้ไม่ใช่หลับ คือจิตเข้าถึงปฐมฌาน เราทิ้งภาวนาไปเอง ถ้าเข้าถึงฌานที่ 2 คือ ทุติยฌาน จะทิ้งภาวนาไปเอง

    -สำหรับฌานที่สามนี้จะรู้สึกว่าลมหายในเบามาก ร่างกายเราจะตัด ความอิ่มเอิบจะหายไป เหลือแต่ความสุขเยือกเย็น มีความสบาย ๆ ขาดความอิ่ม แต่จิตจะทรงตัวมาก อารมณ์จะไม่เคลื่อนไหว หูจะไม่ได้ยินเสียงภายนอก เบาลงไปมาก เสียงที่ดังมาก ๆ เราได้ยินเหมือนกันแต่เบามาก มีการทรงตัวแบบแน่นสนิท มีความรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเราเกร็งไปทั้งตัว แต่ความจริงนั้นเป็นเรื่องอาการของจิตไม่ใช่เรื่องอาการของกาย

    -แล้ว ตอนนี้ถ้าคนทั้งหลายเข้าถึงฌานที่สาม แล้วก็ทรงฌานที่สามได้ดี สมมติว่าเช้ามืดท่านตื่นขึ้นมานอนอยู่หรือนั่งอยู่ก็ตาม จิตทรงสมาธิถึงฌานที่สามได้ดี วันทั้งวันนั้นรู้สึกว่าเราไม่ต้องการอยากจะพูดกับใคร อาการพูดมันจะน้อยทั้งวัน เพราะว่าจิตมันทรงตัวได้ดี ถ้าอาการมีอย่างนี้กับท่าน ก็ขอให้ท่านภูมิใจว่า เราทรงฌานได้ดีมาก แต่ทว่าเลิกแล้วก็อยากจะพูดอยากจะคุย อยากจะสนทนาปราศรัย อยากจะพูดมาก

    -นั่น ก็แสดงว่า สำหรับอารมณ์ที่เป็นฌานของท่าน มันได้แต่เวลาที่นั่งอยู่หรือปฏิบัติอยู่เท่านั้น พอเวลาเลิกแล้ว กำลังฌานนั้นไม่ได้ตามจิตของท่านไปด้วย อย่างนี้ไม่ดี ควรจะพยายามรักษาให้มันทรงอยู่ได้ทั้งวัน ถ้าทรงไม่มากก็ทรงน้อย อย่างน้อยที่สุดก็ให้จิตมันอยู่ในอุปจารสมาธิในวันทั้งวันนี่ละ สามารถจะทรงได้ถ้าจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ ในวันทั้งวันนี่ละสามารถจะทรงได้ ถ้าจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธินี่เราก็คุยกับชาวบ้านได้ แต่ว่าคุยน้อยไปหน่อย ถ้าจะพูดก็พูดในเรื่องที่เป็นสาระจริง ๆ เรื่องที่เป็นอกุศลทุกอย่างจะไม่ยอมพูด ใจจะไม่ยอมคิดในเรื่องของอกุศล

    -ฌานที่สี่ท่านกล่าวว่าตัดสุขเสียได้ มีองค์สองเหมือนกัน ตัดสุขออกไปเหลือแต่เอกัคตา แล้วเพิ่มอุเบกขาเข้ามา เอกัคตานี่แปลว่ามีอารมณ์เป็นอันเดียว มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ฉะนั้น เมื่อมันตัดสุขออกไปได้ ไม่สัมผัส การกระทบกระทั่งจิตไม่รับการสัมผัส เสียงจะมาจากภายนอกดังเท่าไรก็ตามที หูจะไม่ได้ยินเสียงภายนอก การสัมผัสจากลมแรงก็ดี เหลือบยุงจะเข้ามาเกาะตัวก็ดี ไม่มีความรู้สึก แต่ว่าอาการทางจิตไม่ใช่หลับ มีความรู้สึก มีสติสัมปชัญญะทรงตัวเป็นคนมีสติสัมปชัญญะดีมาก มีความสว่างไสวในจิต จงอย่าลืมคำว่าฌานนี้ไม่ใช่นั่งหลับ จิตจะทรงตัวสมาธิดี สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นี้เป็นการฝึกอารมณ์จิตของเราให้มีการทรงตัวเพื่อเตรียมรับสภานการณ์ที่จะ เจริญวิปัสสนาญาณ

    -จิตของฌาน 4 มีเอกัคตากับอุเบกขาเป็นปกติ จิตดวงนี้ต้องจำเอาไว้ว่า ต้องให้มันทรงอยู่ตลอดเวลา ถ้ามันทรงตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วเรื่องทิพจักขุญาณมันง่ายเหลือเกิน ยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก แต่ถ้าว่า ถ้าจิตเข้าถึงจุดนี้แล้ว ท่านที่มีความรู้ในขั้นนี้จริง ๆ ท่านบอกว่า ถ้ายังใช้อารมณ์จิตของตนรู้อยู่ ท่านบอกว่าใช้ไม่ได้ ต้องหาทางเข้าถามถึงพระ ถามพระสอนกันตอนไหน จับภาพนิมิตพระองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นเป็นบรรทัดฐาน เรียกว่าภาพพระพุทธนิมิต จับแล้วเวลาที่ต้องการอยากจะทราบอะไรก็ถามพระ พระบัญชาการมาอย่างไรเป็นคำตอบที่เราได้ปรากฎรับเอง แล้วก็ถูกต้องตามความเป็นจริง ต้องจำไว้เลยทีเดียวว่า พระลักษณะนี้ที่เราเห็น เราถามแล้ว ทรงพยากรณ์ตรงตามความเป็นจริงทุกประการ จำภาพพระไว้ ถ้าทำอย่างนี้จนชำนาญก็เลิก ฝึกวิธีอื่น ต้องการอะไรก็ถามพระ

    -ถ้าทำใจสบาย จิตเข้าถึงฌาน 4 หรือฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ก็ตาม เวลาที่จิตสงัด ปัญญามันจะเกิดเอง มันจะบอกชัด มันจะมีความเบื่อหน่ายในร่างกายขึ้น มาเอง มีความรู้สึกว่าร่างกายนี่มันไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร ไม่มีการทรงตัว เพราะอะไร เพราะเมื่อมีความเกิดขึ้น แล้วก็มีความป่วย ความตาย ในขณะที่ทรงกายอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ เราจะบริหารร่างกายสักเพียงใดก็ตามที ร่างกายก็เต็มไปด้วยความทรุดโทรมอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 คือร่างกายเสีย นี่ตัวปัญญามันจะเห็น ปัญญามันจะสอนต่อไปว่า ถ้าหากว่าเราไม่ต้องการเกิดต่อไปแล้ว ก็ตัดรากเหง้าของกิเลสทั้ง 3 ประการทิ้งเสียให้หมด คือตัด อำนาจของความโลภด้วยการให้ทาน ตัดรากเหง้าของความโกรธ ด้วยการเจริญเมตตาบารมี และตัดรากเหง้าของความหลงด้วยการพิจารณาหาความจริงของขันธ์ 5 ปัญญามัน จะเห็นชัดว่า ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ 4 ไม่มีการทรงตัว มีการเปลี่ยนแปลง ภายในเต็มไปด้วยความสกปรก นี่มันจะบอกชัด ปัญญามันดีกว่านี้มาก ถ้ามันได้ถึงจริง ๆ

    -คำว่าเอกัคตารมณ์ ก็คืออารมณ์เป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่งในที่นี้เรานิยมเรียกว่า ฌาน อารมณ์มันจะทรงตัว ก็มีหลายคนเคยถามว่า อารมณ์เป็นหนึ่งดิ่งอย่างนี้จะทำอย่างไรต่อไป ก็ขอตอบว่า เวลานั้นไม่ใช่เวลาที่ทำอย่างอื่น ถ้าจิตเป็นฌานมีอารมณ์ทรงตัวเป็นเอกัคตารมณ์ อารมณ์เป็นหนึ่งอย่างนั้นต้องปล่อยไปตามนั้น เพราะอะไรจึงปล่อย เพราะเราต้องการให้อารมณ์ว่างจากกิเลส เวลานั้นถ้าจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งในลมหายใจเข้าออกก็ดี ในคำภาวนาก็ดี ในนิมิตก็ดี ถ้าจิตจับเฉพาะอย่างนั้น กิเลสจะเข้ากวนใจไม่ได้ มันจึงเป็นหนึ่ง มีอารมณ์ดิ่งก็ควรจะพอใจว่า เวลานี้จิตเราว่างจากกิเลส เราต้องการจุดนี้

    -ขณะใดที่เรารู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รู้คำภาวนาว่า พุทโธ ขณะนั้นเชื่อว่าจิตของเราเป็นสมาธิตาม ความต้องการ ถ้าหากว่าภาวนาไป ๆ ใจมันเกิดความสบาย คำภาวนาหยุดไปเฉย ๆ เป็นความสุขที่ยิ่งกว่า อย่างนี้ก็จงอย่าตกใจ อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ 2 ซึ่งเป็นอารมณ์ดีขึ้น หากว่าทำไปความชุ่มชื่นหายไป มีอาการเครียด ลมหายใจเบาลง หูได้ยินเสียงภายนอกเบามากจิตใจทรงตัวแนบสนิทอย่างนี้ เป็นอาการของฌานที่ 3 ถ้าบังเอิญภาวนาไปกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ปรากฎว่า ไม่รู้ว่าลมหายใจเข้าออกมีหรือเปล่า มันมีอาการเฉย ๆ มีอาการจิตใจสบาย ๆ อยางนี้เป็นอาการของฌานที่ 4 จัดว่าเป็นอารมณ์ฌานที่มีความสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา




    </td></tr><tr><td align="right">โดย kancht958</td></tr></tbody></table>
    ขอขอบคุณเจ้าของข้อเขียน และเว็ปโอเคเนชั่น ซึ่งจะได้บุญมากมาย-จขกท.
    </td> </tr> </tbody></table>
    ขอบ คุณมากครับพี่เจษ นี่ล่ะผมถึงกล้าพูดว่ากะทู้พี่มีมากกว่าความรู้ที่ผมมีอยู่ และหาอยู่จริงๆ และเหมือนกับพี่จะรู้ใจคนได้น่ะครับ เพราะว่าความรู้นี่ผมต้องขอบคุณพี่มากจริงๆเพราะว่าผมสงสัยมานานแล้วครับว่า การนั่งสมาธิจะได้ญาณอย่างไร แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เป็นยังไง แล้วผมก็ได้รู้จากพี่ที่นี่แล้วครับ ...แล้วก็ตามเคยครับพี่ผมขอก็อบเอาไว้อ่านควบคู่กับการปฎิบัติของผมหน่อยน่ะ ครับ
    (รู้สึกว่าผมจะเป็นหนี้ความรู้กับพี่มากอยู่น่ะครับ) จากการที่อ่านแล้วรู้สึกว่าผมได้แค่2เองครับถึงว่าเวลานั่งจับลมหายใจเข้า ออกนานๆอยู่ๆก็ลืมจับไปซ่ะเฉยๆแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในที่โล่งแห่งหนึ่งแล้ว ก็รู้สึกตัวผมก็กลับมาจับลมหายใจเข้าออกอีกที กะจ่างจริงๆเหมือนมีอะไรมาดลใจให้มาติดตามอ่านกะทู้พี่เจษจนมาเจอกับคำตอบ ที่ผมต้องการ จะติดตามเรื่อยๆครับมีประโยชน์จริงๆสำหรับผม

    แปลกจริงๆครับพี่เจษผมอ้างอิงข้อความพี่หน้า70พอกดดันมาโผล่หน้า57วานพี่ช่วยตรวจสอบทีครับผมงง
     

แชร์หน้านี้

Loading...