พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 26 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 21 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, ake7440, eakbordin, nanodent, ตั้งจิต+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

คุณตั้งจิตครับ
ถ้าผ่านเกณฑ์ ปกติต้องใช้คะแนน 60 % ไม่ใช่หรือครับ เหอๆๆๆๆ

 

กราบขอบพระคุณท่าน nanodent ที่ได้เมตตานะครับ วันนี้ผมได้รับพระเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
แต่น่าเสียดายที่ผมยังมีบุญวาสนาไม่ถึง พระเศียรบาตร ที่แยกอยู่องค์เดี่ยวจึงแตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ
ซึ่งผมกำลังตัดสินใจจะนำไปถวายให้หลวงพ่อเพื่อนำไปเป็นวัตุมงคลในการจัดสร้างพระพิมพ์ต่อๆไปเพื่อจะได้มีผู้ได้รับโอกาสร่วมบุญด้วยกันมากยิ่งๆขึ้นครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น ขออนุโมนาบุญที่จะได้รับให้กับท่าน nanodent ด้วยครับ

ไม่เปนไรครับเดี๋ยวผมจะส่งไปให้ใหม่ ตามรูปทั้งหมดผมมอบให้หมดครับ

 

อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
นำหลักฐานมาให้ดูกันว่า เดี๋ยวนี้ไม่เพียงแต่คณะเราที่นำพระวังหน้า มาให้ร่วมทำบุญกันแล้ว แต่..หลวงพ่อพระครูปลัดสุเทพ ปัญญาวชิโร เจ้าอาวาสวัดศรีมหาโพธิ์ จ.สุโขทัย ก็นำมาให้ร่วมบุญสร้างเจดีย์หลวงพ่อสามพี่น้อง ก็ลองมาวิเคราะห์ดูว่าพระท่านมีศีล ๒๒๗ ข้อจะกระทำการนำ"เณร" หรือที่เรียกกันว่า "พระมือผี" มาให้สาธุชนบูชาสร้างเจดีย์หรือ? สงสัยประการใดก็ลองโทรศัพท์สอบถามท่านพระครูเอา..

๒ ภาพท้ายดูให้ชัดๆ ดูให้ดีๆว่าพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดที่เสด็จมาวางศิลาฤกษ์พระพุทธวิหารเจดีย์หลวงพ่อสามพี่น้อง และทรงยกช่อฟ้าอุโบสถ พระครูท่านจะนำของไม่ดี ของเก๊มาร่วมสร้างบุญกับพระองค์ท่านหรือ? จะทำหนังสือถึงสำนักพระราชวังทูลเชิญพระองค์ท่านเสด็จมาร่วมในงานมหามงคลแบบนี้หรือ?

ผมนำข้อมูลเท่าที่สามารถหาได้มาให้ชมกัน สงสัยก็โทรไปถามกันได้ รู้มาก หากยังปรามาสกันก็กู่ไม่กลับแล้วคราวนี้ วัดภูค่าว ก็ทีนึงแล้ว คราวนี้วัดศรีมหาโพธิ์บ้าง...

สรุปแล้วพระวังหน้า วังหลวงมีจริงหรือเปล่า? พิจารณากันเอาเอง ของจริงมี ถึงจะมีของเก๊ ของจริงอยู่ติดลูกตาก็ยังว่าเก๊ ของเก๊อยู๋ติดจมูกก็ว่าเก๊ สรุปคือเก๊หมดหรือ? ไม่มีอยู่จริงๆหรือ? ตกลงว่ามั่วเอาว่าเก๊ หรือ"ไม่รู้ว่าไม่รู้ว่า"แบบไหนเก๊ แบบไหนแท้กันแน่

นับวันก็จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆแล้ว จับตาดูดีๆ..








</TD></TR></TBODY></TABLE>
อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ตั้งจิต
โอ้โฮ คุณเพชรหามาได้ยังไงเนี่ย (||).... อืมแต่ระวังจะมีรายการปรามาสพระสงฆ์เพิ่มอีกละกัน(smile)

</TD></TR></TBODY></TABLE>
นำข้อเท็จจริงมาให้พิจารณากัน และอีกทางหากพวกที่ไม่รู้จริงแล้วเที่ยววิจารณ์ทางเสียๆหายๆจะได้ทราบข้อเท็จจริง แล้วพิจารณาตามกำลังสติปัญญาเอง และหากยังปรามาสทั้งๆที่มีข้อมูลให้ไปสอบถาม คือปรามาสทั้งๆที่รู้แล้วแบบนี้ท่านก็ลองพิจารณาเอาว่าท่านเชื่อถือผู้ใด เพียงพระอาจารย์ ๒ รูป(พระอาจารย์ณรงค์ และพระครูปลัดสุเทพ ปัญญาวชิโร) ๒ วัด(วัดภูค่าว และวัดศรีมหาโพธิ์)ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ของแบบนี้หากไม่รู้จริง ก็ค่อยๆศึกษากันไป อย่าร้อนวิชา วิพากษ์วิจารณ์ไปแบบคนไม่รู้ หากไม่รู้จริงๆก็นิ่งไว้ ก็ไม่มีใครคิดว่าท่านไม่รู้หรอก แต่พอพูดออกมาเท่านั้นแหละ ไม่รู้จริงๆด้วย...
</TD></TR></TBODY></TABLE>
อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
เป็นเรื่องปกติของคนที่ไม่รู้ แล้วไม่สนใจที่จะศึกษา เอ้ยไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องของเงิน เงิน เงิน และ ผลประโยชน์ ผลประโยชน์ ผลประโยชน์ ที่สนใจและรักมากที่สุด โดยไม่สนใจว่า ตัวเองต้องรับกรรมอย่างไร ต้องไปนรกอีกนานแค่ไหน


</TD></TR></TBODY></TABLE>
**************************************



องค์ซ้าย พระพิมพ์ 2408 ชุด 44 พิมพ์ หน้าเดียว ด้านหลังบรรจุพระธาตุพระอรหันต์ (หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต ในความเห็นของผม)
องค์ขวา พระพิมพ์ ในพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวง ปี พ.ศ.2451 (หลวงปู่พระอภิญญาใหญ่ อธิษฐานจิต)



องค์ซ้าย เป็นพระวังหน้า
องค์ขวา พระพิมพ์ 2408 ชุด 44 พิมพ์ หน้าเดียว ด้านหลังบรรจุพระธาตุพระอรหันต์ (หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต ในความเห็นของผม)



เป็น พระพิมพ์ ในพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวง ปี พ.ศ.2451 (หลวงปู่พระอภิญญาใหญ่ อธิษฐานจิต)
.

 

หุหุ ท่านอาจารย์มาตรวจแล้วไม่ให้ผ่านนะครับนี่ ;8

 

กราบขอบพระคุณยิ่งครับ ด้วยเจตนาที่ผมนำมาเรียนให้ท่าน nanodent ทราบนั้นเพราะต้องการจะเรียนให้ท่านได้โมทนาบุญกับพระที่ผมจะนำไปมอบให้ทางวัดครับ
เพราะที่ท่านเมตตาต่อผมนั้นก็ทำให้ผมซาบซึ้งยิ่งแล้วครับ
ตอนที่เห็นพระแตกร้าวนั้นผมกลับไม่รู้สึกทุกข์ใจนะครับ กลับทำให้ผมรู้สึกว่า ท่านคงมาบอกให้เราเร่งสร้างบุญกุศลเพราะผมยังมีน้อยไปครับ

 

ผมอยากจะบอกอีกเรื่อง เรื่องของการสร้างบุญ สร้างกุศล การบอกบุญต่างๆ อย่าทำบุญปนบาป บุญกับบาป แยกกันชัดเจน เปรียบง่ายๆ น้ำกับน้ำมัน น้ำก็อยู่ส่วนน้ำ น้ำมันก็อยู่ส่วนน้ำมัน ทั้งๆอยู่ในแก้วเดียวกัน

จะเปรียบเทียบว่า หากเราทำบุญ เหมือนกับเราเติมน้ำลงไปในแก้ว และหากเราทำบาป เหมือนกับเราเติมน้ำมันลงไปในแก้วเดียวกันกับแก้วที่เติมน้ำ

เราเติมน้ำ และน้ำมันลงไป น้ำกับน้ำมันก็จะแยกกันอยู่คนละส่วน เราทำความดีเราก็ได้บุญเหมือนเรากินน้ำ เราทำความชั่วเราก็ได้บาปเหมือนเรากินน้ำมัน

ดังนั้น เราทำบุญเพื่อบุญ อย่าไปทำบาปเจือปนเลย เหมือนกับการที่บอกบุญให้คนมาทำบุญ แต่อีกส่วนหนึ่งก็บอกว่า อีกฝ่ายนำพระมือผี(พระเก๊) มาขาย ทั้งๆที่ผู้ที่มีปัญญาจะมองได้ว่า การขายหรือการมอบพระให้กับผู้ร่วมทำบุญ กระทำกันอย่างไร

พอแค่นี้ดีกว่า ว่าจะไม่พูดอยู่แล้วเชียว หรือว่าไงครับคุณเพชร ,คุณnongnooo และท่านอื่นๆ ????????

.

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 33 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 28 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, ake7440, nanodent, บูรพา250 </TD></TR></TBODY></TABLE>

สวัสดีครับ บุคคลทั่วไป 28 คน (และท่านสมาชิกที่ไม่ได้ login)ครับ

 

ผมขออนุญาตคุณnongnooo ที่ขอนำพระพิมพ์ที่คุณnongnooo ลงให้สมาชิกชมรมพระวังหน้า นำมาลงในกระทู้พระวังหน้า

************************************************

<INPUT class=inlinemod_checkbox id=gmessagelist_3915 title="" type=checkbox value=0 name=gmessagelist[3915] inlineModID="inlineMod_comment"> วันนี้ 12:53 PM
nongnooo

อ่าท่านมาถึงบ้านแล้วครับ นำมาลงให้ อาคุงชาง มึนๆครับ พระพิมพ์ในตำนานองค์นี้คือ?(ม่ายมีรางวัลเน้อ) ส่วนข้อสอบท่านปาทานนั้น ยากครับ...


**********************************************

นี่ก็คือ พระวังหน้า
การสร้างพระพิมพ์นี้ สร้างที่วังหน้า แต่นำไปบรรจุที่วัดรังษี ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดบวรนิเวศ ผมจำไม่ได้ว่า องค์ผู้อธิษฐานจิตเป็นหลวงปู่องค์ไหน แต่คลับคล้ายคลับคลาว่า จะเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เดี๋ยวผมจะยืมคุณnongnooo ไปลองตรวจดูครับว่า หลวงปู่องค์ไหนท่านเมตตาอธิษฐานจิตครับ

.

 

http://palungjit.org/showthread.php?t=22445&page=395

<TABLE class=tborder id=post676610 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">28-08-2007, 07:55 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #7895 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_676610", true); </SCRIPT>
สมาชิก



เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 09:10 PM
วันที่สมัคร: Jul 2006
อายุ: 43
ข้อความ: 4,618
Groans: 20
Groaned at 1 Time in 1 Post
ได้ให้อนุโมทนา: 6,187
ได้รับอนุโมทนา 49,859 ครั้ง ใน 4,744 โพส
<IF condition="">
</IF>พลังการให้คะแนน: 3323


</TD><TD class=alt1 id=td_post_676610 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
มีหลายๆท่าน นำพระพิมพ์มาให้ผมดูให้นั้น ผมต้องขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมไม่สามารถที่จะดูพระพิมพ์ทางจอคอมพิวเตอร์ได้ และอีกประการ ผมดูได้แต่เพียงเนื้อหาทรงพิมพ์ แต่ไม่สามารถตรวจสอบพลังอิทธิคุณองค์ผู้อธิษฐานจิตได้ ซึ่งเนื้อหาทรงพิมพ์ในตอนนี้ ปลอมได้เนียนจริงๆ

และผมคงป้องกันตนเองไว้ เนื่องจากว่า อาจจะมีบางท่านเห็นว่า ผมดูว่าพระตนเองแท้ แต่พระคนอื่นปลอม ผมจะไม่ตอบคำถามที่ทุกๆท่านสอบถามเรื่องพระพิมพ์เข้ามาในทุกๆกรณี ผมต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ผมเองศึกษามามากพอสมควร โดนมาก็เยอะ และโดนคนอื่นมาด่าก็มาก ดังนั้น ผมจะไม่ตอบ ไม่เตือนอีก ผมขอความกรุณาด้วยนะครับ อย่าถามผมเรื่องพระพิมพ์อีกเลย ส่วนจะให้ไปศึกษาที่ไหนนั้น เมื่อมีวาสนาบารมี ก็จะได้พบ ได้เจอ ได้รู้จัก ว่าพระแท้นั้นเป็นอย่างไรเอง

ขอบพระคุณอีกครั้ง

โมทนาสาธุครับ

.
</TD></TR></TBODY></TABLE>
พี่ๆน้องๆเพื่อนๆ ที่นำพระมาให้คุณหนุ่ม เช็คว่าเป็นยังไง แท้ ไม่แท้ แล้วใครเสก เป็นคำถามที่ยอดฮิตมากครับ ขอตอบแทนคุณหนุ่มใน ๒ ด้านของความเห็นคือ แท้ และไม่แท้ดีกว่านะครับ

หากคุณหนุ่มตอบว่า"แท้" หลายๆท่านก็สรรหามาจากตลาดพระ(เป็นตลาดจริงๆ เพราะเอาพระเครื่องมาวางขาย) หรือนำมรดกที่ได้รับมา แต่ไม่ทราบที่มาขององค์พระนั้น ย่อมอยากรู้เป็นธรรมดา จึงนำมาถามไม่เว้นแต่ละวัน คุณก็ถามคำถามลักษณะนี้แหละ คนอื่นอีกกี่ท่านก็จะถามในลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน คุณหนุ่มก็คงไม่เป็นอันทำอะไร เขาตอบอะไรซ้ำซาก เขาก็คงไม่ชอบ เช่นเดียวกับคุณ

หากคุณหนุ่มตอบว่า"ไม่แท้" คือ"เก๊" นั่นแหละ คุณก็จะเสียกำลังใจ อาจจะมีต่อท้ายว่า แน่ละสิ พระเอ็งแท้คนเดียว ของคนอื่นปลอมไปหมด เหอะๆ ไปดีกว่า...

แล้วคุณก็ไปจริงๆ และไม่ชอบหน้าคุณหนุ่มไปเลย แถมพาลจะเหมาเอาว่าไม่ชอบไอ่พวกกระทู้พระวังหน้าไปเลย (ขอโทษเสียงใน Film)

คำถามพวกนี้ ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับคุณหนุ่มเลยไม่ว่าพระที่คุณนำมาให้ดูนั้น จะแท้ หรือ จะไม่แท้ก็ตาม มีแต่เสมอตัว กับ เสียเปรียบ แล้วคุณเข้าใจหรือยังว่า ทำไมคุณหนุ่ม ถึงไม่อยากตอบ และต่อความยาวสาวความยืด

ผมคิดว่าแนวทางที่ดีที่สุดคือ ผู้ที่เข้ามาใหม่ หมายถึง เพิ่งจะทราบว หรือมีความสนใจในพระวังหน้าจริงๆ คุณก็ควรจะมีความ"พยายาม"ในการเริ่มต้นอ่านกระทู้หน้าที่ ๑ มาเรื่อยๆ หากเห็นว่าอันไหนไร้สาระ (ความจริงก็ไม่ได้ไร้สาระ ควรมองว่าคั่นด้วยเรื่องเฮฮามากกว่า ต้องเข้าใจว่ามันเป็น"ความเห็น" มันไม่ใช่"บทความ" บางความเห็นในกระทู้เป็นการนำบทความมาลง บางความเห็นเป็นความเห็นจริงๆ เรื่องราวของพระวังหน้า หรือวังหลวงล้วนมันผ่านเวลา ประสบการณ์ และถือเป็นประวัติศาสตร์มามากกว่า ๑๕๐ ปี แต่คุณเพียง"ยอม"อ่านซัก ๓ เดือน เท่ากับว่าคุณได้ย่นระยะเวลามามากแล้ว พยายามศึกษา และยอมรับบางส่วนไว้ก่อน มันทุ่นแรงคุณเรียนไปทั้งชีวิตแน่นอน คุณจะได้ไม่สงสัยอีก ว่ารู้คือรู้ ไม่รู้คือไม่รู้ ไม่มีมั่ว อย่าเป็นเช่น"ไม่รู้"ว่า"ไม่รู้"อีกเลย) และอันไหนที่พูดซ้ำซาก เช่นการไหว้ ๕ ครั้ง ฯลฯ(ที่พูดซ้ำไม่ใช่ว่าอยากทำ แต่เพราะมันสำคัญ คุณหนุ่มอาจจะเหมือนคุณครูสมัยโบราณ พูดจาไม่ได้ไพเราะเสนาะหูมาก ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ ดังนั้น style เขาเมื่อเห็นความสำคัญ ก็จะพูดย้ำๆๆๆ คุณอาจเบื่อ แต่คุณก็ข้ามไปก็ได้ อย่าไปมองมัน แต่คุณเลือกจะมอง แล้วชอบตำหนิคนนั้นคนนี้) ผมมั่นใจว่าจำนวนหน้าทั้งหมด ๔๑๕ หน้านี้ หากคุณ"ยอม"อ่านจริงๆ เพียง ๒๕% คือ ๑๐๐ หน้า คุณก็รู้เองได้แล้ว มาพูดคุยกันในลักษณะของคำถามที่น่าตอบ คุณน่าจะรู้นะว่าคุณควรถามอะไร ไอซ์สไตร์ ไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง แต่เป็นคนทีตั้งคำถามเก่ง ท่านแนะว่า กระบวนการตั้งคำถามจะนำมาซึ่งคำตอบที่ดี มีสาระ และคุณจะได้ประโยชน์สุดๆก็อยู่ที่ลักษณะคำถามของคุณเอง ผู้ตอบไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไรให้ถูกใจคุณ หากคำถามนั้นคลุมเคลือ หรือเสี่ยงต่อการถูกว่ากล่าว

สุดท้ายนี้ คณะเรายินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ มาพูดคุยกัน อย่าได้ถามคำถามแบบนั้นในครั้งแรกที่พบกัน อย่าเพิ่งให้ความสงสัยหลุดจากปากครั้งแรกที่ได้พบกัน คุณคิดว่าเขาจะไร้สาระขนาดมีเวลาว่างมานั่งพิมพ์เรื่องราวแบบนี้มานานถึง ๒ ปีกว่าเหรอ ลองคิดดูเอานะ..ขอให้อดทนอ่านดูเนื้อหาในกระทู้ไปซัก ๑๐๐ หน้าก่อน แล้วค่อยมาถามดีไม๊ครับ ผมเชื่อว่า คำถามของคุณ อาจเข้าใจได้เมื่อคุณอ่านไปไม่ถึง ๕๐ หน้านะ

"เมื่อนั้นความรู้ที่คุณควรมีก็พอจะเข้ากระแสของโลกอุดรได้แล้ว"

ผมไม่อยากใช้คำพูดคำนี้ แต่จำเป็นแล้วครับ<!-- / message --><!-- sig -->
<!-- / message --><!-- sig -->__________________

</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE class=tborder id=post1205020 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">16-05-2008, 02:28 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#16605 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>ขุนท้าว...<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1205020", true); </SCRIPT>
สมาชิก



เข้ามาครั้งล่าสุด: 16-05-2008 02:29 PM
วันที่สมัคร: Mar 2006
สถานที่: ทะเล
ข้อความ: 914
Groans: 0
Groaned at 1 Time in 1 Post
ได้ให้อนุโมทนา: 0
ได้รับอนุโมทนา 5,342 ครั้ง ใน 769 โพส
<IF condition="">
</IF>พลังการให้คะแนน: 635



</TD><TD class=alt1 id=td_post_1205020 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->คุณอ้อยครับ

ลืมอะไรกับผมหรือเปล่า ผมจำไม่ได้แล้วนะครับ ที่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ทำบุญอะไรซักกะอย่าง แล้วจะรับพระพิมพ์

ไม่ติดต่อมา ผมแจ้งความคนหายนะครับ

ปากหวานคุณสิทธิพงศ์ ระวังแม่ศรีเรือนแอบดูนะคะ
<!-- / message --><!-- sig -->__________________

ถ้าคุณแน่ อย่าแพ้ป.4​

<!-- / sig -->
</TD></TR></TBODY></TABLE>
**************************************

คิดถึงนะครับ

.

 

ที่คิดถึงอีกคน ก็คือคนที่มาหาผมที่ทำงานครับ ฝากความคิดถึงไปด้วยนะครับ

.

 

ผมไปหารายละเอียดมา จาก พระวัดรังษี โดย ราม วัชรประดิษฐ์ พันธุ์แท้พระเครื่อง ครับ
พระวัดรังษี




"ผู้ใดมีพระวัดรังษี ผู้นั้นชีวีไม่วางวาย" พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ตอนหนึ่งในของดีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สามารถบ่งบอกถึงคุณค่าของ "พระวัดรังษี" ได้อย่างชัดเจน ในอดีตนับเป็นพระที่มีชื่อเสียงมากและเป็นที่นิยมสูง สนนราคาเช่าหาช่วงนั้นแพงกว่าพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมถึง 3-4 เท่าทีเดียว ณ ปัจจุบัน "พระวัดรังษี" เรียกได้ว่าหายากมากๆ แทบจะไม่มีปรากฏในวงการพระเครื่องพระบูชาเลยครับผม

"วัดรังษี" เป็นวัดที่ตั้งอยู่ติดกันกับวัดบวรนิเวศในสมัยก่อน เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ สมัยนั้นคือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมพระยาปวเรศฯ ก็มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับท่านเจ้าคุณธรรมกิติ เจ้าอาวาสวัดรังษี มักไปมาหาสู่เพื่อแลกเปลี่ยนและศึกษาหาความรู้กันเป็นประจำ ต่อมาเมื่อท่านเจ้าคุณธรรมกิติมรณภาพ สมเด็จพระสังฆราช กรมพระยาปวเรศฯ จึงรวมวัดรังษีเข้ากับวัดบวรนิเวศ และตั้งชื่อใหม่ว่า "วัดบวรรังษี" หรือ "วัดบวรนิเวศวิหาร" ในปัจจุบัน

พระวัดรังษีที่ท่านเจ้าคุณธรรมกิติสร้างขึ้นนี้ ถ้าพิจารณาเนื้อมวลสารจะเห็นว่ามีลักษณะแห้งและหดตัวมาก ทำให้เส้นสายต่างๆ บนองค์พระเกิดเป็นเส้นนูนและคมชัดเจน เส้นนูนแต่ละเส้นตรงรอยที่ติดกับพื้นขององค์พระก็จะเป็นร่องจากการหดตัวคอดกิ่วเหมือนเอาเส้นขนมจีนไปวางเรียงไว้ ดังนั้น แนวทางการพิจารณาน่าเริ่มจากการจดจำภาพรวมให้ได้ก่อน โดยเน้น "หน้าตา" เป็นหลัก ได้หยิบจับผ่านตาเป็นประจำ เหมือนกับการจดจำใบหน้าคน มีข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ "กรรมวิธีการปิดทองพระวัดรังษี" ท่านเจ้าคุณธรรมกิติจะไม่มีการจุ่มรักก่อนปิดทองคำเปลวเหมือนพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แต่ท่านจะใช้ทองคำเปลวปิดลงบนแม่พิมพ์ก่อนแล้วกดพิมพ์ เมื่อถอดพระออกทองคำเปลวก็จะติดบนองค์พระเช่นกันแต่ไม่แน่นนัก เมื่อผ่านกาลเวลายาวนานเป็นร้อยปี องค์พระจึงมีทองเปลวติดอยู่บ้างและหลุดลอกออกไปบ้างก็มี

พระวัดรังษี สามารถแบ่งแยกได้ทั้งหมด 4 พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ เนื้อผงขาว, พิมพ์ใหญ่ เนื้อผงดำ หลังกดตรายันต์, พิมพ์กลาง เนื้อผงขาว และพิมพ์เล็ก เนื้อผงขาว โดยแต่ละพิมพ์ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยให้สังเกตอีกมากมาย สำหรับ "พันธุ์พระเครื่อง" ฉบับนี้ ขอนำเสนอ "พระวัดรังษี พิมพ์ใหญ่" ซึ่งแบ่งแยกเป็นเนื้อผงขาวและเนื้อผงสีดำ ลงรักล่องชาดและปิดทอง หลังกดตรายันต์ แต่ทั้งหมดจะมีเอกลักษณ์แม่พิมพ์เหมือนๆ กัน คือ องค์พระประธานประทับนั่งขัดสมาธิเพชร พระบาทข้างขวาขององค์พระที่ทับอยู่บนพระบาทข้างซ้ายจะลึกเห็นเป็นลำน่องอย่างชัดเจน สาเหตุมาจากการหดตัวขององค์พระนั่นเอง ขอบแม่พิมพ์ เส้นนอกเป็น "เส้นโค้ง" เส้นในเป็น "เม็ด" ปีกขอบปลิ้นขึ้นและเป็นสันคม บริเวณกึ่งกลางของพระกรรณจะมีลักษณะยุบลง และส่วนปลายพระกรรณมีเม็ดยื่นทั้งสองข้าง พระกรด้านซ้ายขององค์พระถือคนโทน้ำมนต์ พระอังคุฐมีลักษณะเหมือนก้ามปู ผ้าทิพย์ที่อยู่ระหว่างพระเพลาและฐานขององค์พระจะลึกและเป็นสันคมมาก ดอกบัวด้านล่างข้างขวาสุดขององค์พระไม่ติดขอบบนของฐาน ส่วนพิมพ์ด้านหลังนูนเหมือนหลังเบี้ย และปรากฏรอยเหมือนลายเส้นหัวแม่มือ บริเวณขอบจะคมและม้วนไปข้างหน้าครับผม
<!-- THE POST -->

 

อ้างอิง:

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ake7440
สวัสดีครับคุณเพชร ผมน้อง เอก นะครับ อย่างไรก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
ผมขอรับความเมตตามจากคุณเพชรช่วยอธิบายเกี่ยวกับรูปภาพแทนตัวของคุณเพชรได้ไหมครับ
ผมทราบว่านั่นเป็นสัญลักษณ์ของ อี้จิง แต่ผมไม่ทราบว่าทำไมจึงมีรูปทหารมากมายในนั้นครับ

</TD></TR></TBODY></TABLE>


มองสภาวะของภาพๆนี้ ให้ความรู้สึกถึงการเตรียมกำลังพล เตรียมพร้อม ซึ่งก็ตรงกับความหมายของสัญญลักษณ์อี้จิงนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า collective force หากแบ่งอาณาบริเวณเป็น ๓ บน ๓ ล่าง เส้นนี้อยู่ขีดที่ ๒ นับจากด้านล่างเป็นเส้นตรงเชื่อมต่อกัน ดังนั้นความหมายตรงนี้คือ เป็นผู้นำ แต่ยังไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาระดับสูง ดังนั้นจึงเป็นตัวกลางเชื่อมผู้ที่อยู่สูงกว่าเรา และผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ขณะเดียวกันต้องมีความสามารถในการโน้มน้าวใจสร้างความยอมรับในหมู่ของผู้ใต้บังคับบัญชา ในที่นี้จึงหมายถึงพรหมวิหาร ๔ เป็นผู้นำที่ดี มีความซื่อสัตย์ เข้าใจตนเอง และเข้าใจผู้อื่น มีความยุติธรรม มีกลยุทธที่แยบคาย

ในสภาวะอีกอย่างหนึ่งคือ หากใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างไม่เหมาะสม ย่อมเกิดผลเสียหายกับหมู่คณะ นี่คือข้อเตือนใจในเรื่องของกาลเทศะ สถานการณ์ โอกาส คือใช้อำนาจให้ได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง

สรุปสภาวะของสัญญลักษณ์นี้คือ "ความเป็นผู้นำ" ตามใครขอให้ตามให้ถูก นำใครขอให้นำให้เป็น

ผู้เขียนภาพนี้เข้าใจ"นามธรรม"แล้วแปลให้เป็น"รูปธรรม" จากนั้นหน้าที่ของเรา คือรู้สึกสภาวะของ"รูปธรรม"นั้นกระทบที่ใจเราเป็น"นามธรรม"อีกครั้ง
<!-- / message --><!-- sig -->

 

ใช่เลยครับ มือผีแน่นอน แต่ผมหมายถึงผู้ที่คิดว่ามือผีกระเจิงแน่นอนครับ อีกเรื่อง ถ้าวัดไม่รู้ที่มาที่ไปคงยากที่จะนำมามอบผู้ร่วมทำบุญครับ คงไม่มีผู้ใดนำความศรัทรา ของประชาชนมาเสี่ยงหรอกครับ

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กว้าหยางโถว ไม่โก่วโร่ว (挂羊头卖狗肉) : แขวนหัวแพะ ขายเนื้อสุนัข
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000088481
</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>29 กรกฎาคม 2551 20:05 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE> 挂 (guà) อ่านว่า กว้า แปลว่า แขวน
羊 (yáng) อ่านว่า หยาง แปลว่า แพะ
头 (tóu) อ่านว่า โถว แปลว่า หัว
卖 (mài) อ่านว่า ไม่ แปลว่า ขาย
狗 (gǒu) อ่านว่า โก่ว แปลว่า สุนัข
肉 (ròu) อ่านว่า โร่ว แปลว่า เนื้อ


</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> อ๋องรัฐฉีนาม ฉีหลิงกง มีนิสัยแปลกประหลาดประการหนึ่ง คือชมชอบให้สตรีรอบกายสวมใส่เสื้อผ้าและเลียนแบบท่าทางของบุรุษเพศ ต่อมาความนิยมนี้จึงค่อยๆ แพร่ออกจากพระราชวังของอ๋อง กระจายไปทั่วเมือง ส่งผลให้หญิงสาวทั้งเมืองต่างแต่งกายเช่นเดียวกับบุรุษไม่มีการแบ่งแยกหญิง-ชาย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่สุดแสนจะผิดธรรมชาติ

เมื่อฉีหลิงกงพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็เริ่มรู้สึกได้ว่า ค่านิยมดังกล่าวเป็นเรื่องพิสดารเกินไป จึงได้รับสั่งให้ บรรดาขุนนางทั้งหลายดำเนินการห้ามสตรีเพศแต่งกายบุรุษอีกต่อไป โดยกำชับว่า "หากวันหน้าวันใดพบเห็นสตรีแต่งการเลียนแบบบุรุษที่ใดก็ตาม ให้ทำการฉีกเสื้อผ้าตัดสายรัดเอวของพวกเธอได้ทันที"

ทั้งนี้ฉีหลิงกงเข้าใจว่ามาตรการที่เข้มงวดดังกล่าวของพระองค์จะสามารถแก้ไขปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ ทว่าผลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะแม้ว่าจะมีสตรีที่แต่งกายเช่นบุรุษเพศไม่น้อยที่ถูกลงโทษด้วยการฉีกเสื้อผ้าและตัดสายรัดเอวแบบบุรุษออกจากร่างกาย แต่ก็ยังมีสตรีที่แต่งกายแบบบุรุษเดินอยู่ทั่วเมือง

ครั้งหนึ่งฉีหลิงกงได้พบกับ ขุนนางนาม เอี้ยนอิง จึงตรัสถามเขาว่า "ข้าได้ออกคำสั่งห้ามมิให้หญิงแต่งกายแบบชาย ทั้งยังใช้มาตรการเด็ดขาดฉีกเสื้อผ้า ตัดสายรัดเอว แต่เหตุใดจึงไม่สามารถห้ามปรากฏการณ์นี้ได้?"

เอี้ยนอิงตอบว่า "ในเมื่อท่านอ๋องยังคงให้สตรีรอบกายที่อยู่ในวังแต่งกายเลียนแบบบุรุษ แต่กลับสั่งห้ามสตรีนอกวังแต่งกายเช่นนั้น อุปมาดั่งเช่นหน้าร้านแขวนหัวโคแต่ในร้านกลับขายเนื้อม้า เช่นนี้จะสร้างความเชื่อถือให้เกิดขึ้นได้เช่นไร หากท่านสั่งห้ามสตรีในวังแต่งกายเลียนแบบบุรุษด้วยเช่นนั้นสตรีนอกวังก็จะไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งเป็นแน่"

คำพูดของเอี้ยนอิงดังกล่าวต่อมาได้กลายเป็นสำนวนที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเปลี่ยนเป็น "แขวนหัวแพะ ขายเนื้อสุนัข" ใช้เปรียบเปรยถึงการใช้ฉลากปลอมสินค้าเก๊หลอกลวงผู้บริโภค หรือ ใช้คำพูดบิดเบือนไม่ตรงกับความเป็นจริง

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

เรื่องที่มาที่ไป เรื่องนี้ ต้องศึกษาอย่างจริงๆจังๆ และต้องวางทั้งตัวทั้งใจเป็นกลาง ในการศึกษา และที่สำคัญ ต้องไปเรียนรู้กับผู้ที่รู้จริงๆเท่านั้น

ง่ายครับ ไม่ยาก แต่ไม่ทำ เนื่องจากเงิน เงิน เงิน และ ผลประโยชน์ โดยไม่กลัวเวรกรรม และนรก

ผมสามารถกล้าท้าได้ว่า คนที่บอกว่าพระวังหน้าเป็นพระเก๊ พระมือผี เก่งจริงๆ นัดเจอกัน แล้วผมจะนำพระพิมพ์ไปให้หักกลางองค์ แล้วไปพิสูจน์ดูว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง คนเหล่านั้นเป็นคนที่บอกว่า พระเก๊เป็นพระที่ไม่มีอะไร เป็นเนื้อปูนเปล่าๆ เป็นเนื้อดินเปล่าๆ ก็ต้องกล้าหักกลางองค์ได้

ทุกๆท่านอาจจะมองว่า ผมให้คนเหล่านี้ทำเหตุที่รุนแรงมากเกินไป แต่จะบอกว่า คนย่อมมีหลายระดับ เหมือนกับบัวที่มี 4 เหล่าครับ

.

 

ขอบคุณคุณเพชรสำหรับคำอธิบายภาพครับ
และเห็นอย่างนี้แล้วก็ดีใจครับ ที่ประชาชนคนไทย จะได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตา และบางคนจะได้เข้าใจวงการพระเครื่องปัจจุบันมากขึ้นครับ

 

สำหรับเรื่องของตาบอดสีครับ

 

กรณีของการตั้งใจหักกลางองค์ เรื่องมีอย่างนี้

เคยมีคนได้พระสมเด็จจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครไป 1 องค์ ซึ่งท่านอาจารย์ประถมบอกกับผู้ที่ได้รับพระไปว่า เป็นพระสมเด็จแท้ แต่เมื่อคนที่ได้รับไป นำไปให้เซียนพระดู เซียนพระคนนั้นบอกว่า พระสมเด็จเก๊ คนที่ได้รับไปโมโหมาก ก็เลยหักพระสมเด็จองค์นั้น หักกลางองค์ แล้วขว้างทิ้งลงคลอง

ผลต่อมาอีก 6 เดือน ตามโดยไม่ทราบสาเหตุ

ต่อมาอีก มีผู้ทรงญาญ ได้ไปเห็นคนนี้ อยู่ในนรก และต้องรับกรรมอีกนาน น๊าน นาน

.

 

เฮือก!!! แล้วของผมที่ได้รับพระหักมาล่ะครับ ผมไม่ได้ทำแต่จะได้รับกรรมติดมาด้วยหรือเปล่าครับ และสำหรับผู้มอบให้ผมล่ะครับ แล้วก็ผู้ที่ไม่รู้ว่าข้างในมีพระแต่ว่าเขาทำให้หักล่ะครับ ผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อนเพราะผมเลยครับ