พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=98217

    <TABLE class=tborder id=post787597 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 02:36 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>javapor<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_787597", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 12:10 AM
    วันที่สมัคร: Jul 2007
    อายุ: 31 ปี
    ข้อความ: 24 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 5 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 259 ครั้ง ใน 26 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_787597 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->==== เบื่อพวกหลอกขายพระในนี้จริงๆ ====
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->หลังๆมานี่รู้สึกจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุดเสียด้วยสำหรับพวกที่เช่าพระมาถูกๆแล้วมาโขกราคากับ
    คนที่ไม่รู้นี่ ชอบอ้างกันจังว่าเอาเงินไปทำบุญ บางคนเอาไปทำจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ โพสมาเป็นล้านปีแสงแล้ว
    กระทู้ยังไม่ปิด ใบอนุโมทนา ใบกฐิน ไม่เคยเห็นสักใบ สงสัยเข้ากระเป๋าตัวเองหมด บางคนนี่ก็เว่อร์ไม่ลิก
    ดีแต่หลอกให้คนหลงงมงาย เอาไปใช้ถ้าได้โน่นได้นี่เห็นไอ้โน้นบ้างไอ้นี่บ้าง ถ้าสมาธิไม่ถึงได้ก็บ้าแล้ว
    หาเงินบนศรัทธาคนอื่น โขกราคากันเข้าไป เอารูปมาจากเวปอื่นบ้าง เอามาโพสขาย โหกำไรบาน 3-4 เท่า ไม่ลงทุนเลย
    ใครไม่รู้ราคาตลาดก็ซวยไป เสี้ยนพระพวกนี้ไม่ได้บุญเท่าไหร่หรอก เผลอๆลงนรกด้วยซ้ำ
    แนะนำว่าให้ไปดูที่อื่นกันบ้าง
    แหล่งพระมีอีกมากมาน ที่คุณหาของดีได้สบายๆ
    ไม่ชอบเดินก็ยังมีอีกหลายเวปที่มีของให้เลือก เช่น
    www.uamulet.com
    www.g-pra.com
    www.siamamulet.com เป็นต้น
    ใครรู้เวปดีๆแหล่งพระดีๆก็ช่วยมาโพสกัน อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล...



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post789976 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 04:49 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #36 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>javapor<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_789976", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 04:57 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2007
    อายุ: 31 ปี
    ข้อความ: 26 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 5 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 262 ครั้ง ใน 26 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_789976 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->เห็บในศาสนาโผล่มาแล้วหนึ่งตัว พรหลวงตา รู้สึกอิ่มบุญว่ะที่ได้ขัดขวางธุรกิจเลวๆของนายกับพรรคพวก
    คนคิดดีทำดีมาอ่านคงไม่รู้สึกอะไรหรอก เพราะไม่ได้ทำ มีแต่พวกคิดชั่วๆทำชั่วๆ ที่เสียผลประประโยชน์ ที่ต้องออกมา
    โวยวาย พยายามใช้ภาษาที่ถนัด ชวนคนมาทะเลาะ อยากให้กระทู้โดนลบไวๆ จะได้หลอกเอาเงินต่อ นายนี่มันน่าสมเพชจริงๆ ไม่ต้องรอลงนรกหรอก
    ปัจจุบันก็เห็นๆกันอยู่ เกาะศาสนากิน ชีวิตมันคงได้แค่ขายพระกิน
    คนทำบุญแค่บาทสองบาทแต่เจตนาดียังได้บุญมากกว่า ไอ้สัมพะเวสีพวกนี้เยอะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post788684 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 11:58 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#13 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>อาวเซ่าเทียน<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_788684", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 01:54 PM
    วันที่สมัคร: Oct 2007
    ข้อความ: 12 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 0 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 43 ครั้ง ใน 11 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_788684 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ผมก็เบื่อครับ พวกหลอกขายพระในนี้ แต่ไม่อยากขวางทางปืนใคร
    พระที่ในเว็บนี้ขาย เกือบทุกองค์(99.99%)เป็นพระเบ็ดเตล็ด พระย่อย ไม่ใช่พระหลักของวงการ (นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องแท้ไม่แท้ ราคาแพงหรือถูก)
    ผมบอกตรงๆเลยนะครับ พระที่พวกคุณซื้อๆกันในนี้ เป็นพระยิบย่อย วงการเขาไม่นิยมกัน เอาไปขายก็ขายยาก ราคาไม่มีขยับ ใครไม่เชื่อผมท้าให้เอาไปลองขายดูที่พันธ์ทิพงามวงวาน หรือ ท่าพระจันทร์ดูก็ได้ ว่าจะขายได้ไหม คนที่เล่นพระพวกนี้คือชนกลุ่มน้อย ผมยกตัวอย่างนะครับ เช่น พระหลวงปู่ทวด เขาก็นิยมของวัดช้างให้กันเป็นหลัก ของอาจารย์นองวัดทรายขาวก็พอไปได้บ้างแต่ฝืด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพระหลวงปู่ทวดของวัดอื่น
    แล้วถ้าถามต่อมา ว่าทำไมเราต้องซื้อพระที่เขานิยมกัน ก็เพราะพระที่เขานิยมคือพระที่มีประสบการณ์ ปากต่อปาก พิธีปลุกเสกดี เกจิอาจารย์เก่ง มวลสารเป็นเลิศ
    ของแบบนี้ใครไม่อยู่ในวงการพูดไปก็ไม่เข้าใจหรอกครับ

    พระเครื่องที่ผมอาราธนาขึ้นคอ ต้องมั่นใจได้จริง มิฉะนั้นก็ไม่ต่างจากเอาอิฐเอาดินมาห้อยคอ

    สำหรับเรื่องราคา คนซื้อควรหาข้อมูลก่อน ไปดูราคาเว็บอื่นดู ถ้าซื้อแบบโง่ๆก็โทษใครไม่ได้
    สำหรับเรื่องเก๊-แท้ มันอยู่ที่ตาคนซื้อ จะไปโทษคนขายฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะบางทีคนขายเขาก็ไม่รู้ว่าจริง หรือ ปลอม

    ผมอยากจะให้ข้อคิดนิดนึงนะครับ ว่า พระเครื่องที่ไม่ได้ผ่านการปลุกเสก มันก็คือก้อนอิฐก้อนดินธรรมดา ไม่มีพุทธคุณใดๆ ถ้าคุณคิดว่ามันเหมือนกัน ก็ไปซื้อดินน้ำมันมาปั้นเป็นรูปพระแล้วห้อยคอดีกว่า ประหยัดกว่าไปซื้อพระปลอม
    <!-- / message -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2007
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948


    ไม่เห็นด้วย

    สิ่งที่คนสมัยนี้ไม่รู้ ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่เนื่องจากด้อยการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนากับน้องเอครับ

    สิ่งที่คนเหล่านี้โพสไว้ ท่านที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในเรื่องของบุญและบาป และการลงโทษ ได้มีบันทึกไว้แล้ว

    สำหรับคนเหล่านี้ที่ขวางการทำบุญเพื่อการศึกษาของเณรผู้ไม่มีโอกาสในสังคม คนเหล่านี้ที่ขวางการทำบุญในการสร้างพระเจดีย์เพื่อสืบอายุพระศาสนาให้ครบ 5,000 ปี ก็ยังไม่รู้ว่าอีกกี่หมื่นกี่แสนชาติจึงจะหลุดจากกรรมนี้
    เมื่อพระศาสนาล่วงมา 2,500 กว่าปี จะมีพวกอลัชชีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกนี้มีแต่การนำพระพิมพ์ หรือที่วงการพระเรียกว่า พระเครื่อง นำมาขายเหมือนสินค้าประเภทหนึ่ง นำเงินมาเลี้ยงชีพบ้าง นำเงินไปเข้าเรื่องอบายมุขบ้าง นำเงินไปบำรุงบำเรอประโยชน์ส่วนตนบ้าง

    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้(2/11/2550) เวลา 17.37 น. ผมได้โอนเงินของท่านผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ร่วมทำบุญมหากฐิน สนส.บ่อเงินบ่อทอง จำนวน 200 บาท (ซึ่งโอนมาให้ผมทางไปรษณีย์ออนไลน์) ผมโอนเงินไปเข้าบัญชี 203-0-06304-5 บัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง ปริยัติศึกษา บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม จำนวนเงิน 200 บาท เรียบร้อยแล้ว

    ส่วนค่าธรรมเนียมการโอนเงิน ผมเป็นผู้ที่จ่ายค่าธรรมเนียมการโอนเงิน จำนวน 10 บาท(ผมจ่ายให้นะครับ) ส่วนเงินที่อยู่ที่ไปรษณีย์ ไว้ผมจะไปเอาที่หลังเองครับ

    ขอโมทนาบุญกับผู้ไม่ประสงค์ออกนามอย่างสูงครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สมเด็จพระสังฆราชเสด็จวัดพระแก้ว เจริญพระพุทธมนต์ถวายในหลวง-สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNew...=9500000130407



    </TD><TD vAlign=baseline align=right width=85>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 พฤศจิกายน 2550 17:11 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450> [​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>สมเด็จพระสังฆราช เสด็จวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เจริญพระพุทธมนตร์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เผยเป็นพระราชประสงค์ของสมเด็จพระสังฆราชโดยเฉพาะ ระบุได้นำบทสวดภูมิพลมหาราชวรชยมงคลคาถาที่แต่งถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษามาใช้ในวันนี้ด้วย

    วันนี้ (2 พ.ย.) เวลา 16.15 น. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปริณายก เสด็จยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามวรมหาวิหาร หรือวัดพระแก้ว เพื่อเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จบรมบพิธ พระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยมีคณะสงฆ์ จากวัดบวรนิเวศวิหาร และวัดอื่นๆ ใน กทม.ประมาณ 50 รูป ร่วมเจริญพระพุทธมนต์ ซึ่งมีประชาชนร่วมเจริญพระพุทธมนต์ โดยรอบอุโบสถวัดพระแก้ว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ทั้ง 2 พระองค์เป็นจำนวนมาก

    ทั้งนี้ บทเจริญพระพุทธมนต์ รวมทั้งสิ้น 19 บท ประกอบด้วย บทที่ 1 นโม ตัสสะ 2.สรณคมนปาฐ 3.นมการสิทธิคาถา 4.นโมการฎฐกคาถา 5.มงคลสุตตคาถา 6.ฉรตตนคาถา 7.กรณียเมตตสุตตคาถา 8.ขนธปริตต 9.โมรปริตต 10.วฎฎกปริตต 11.อนุสสรรณปาฐ 12.อาฎานาฎิยปริตต 13.โพชฌงคปริตต 14.อภยปริตต 15.อุยโยชนคาถา 16.สุขาภิยาจนคาถา 17.ภูมิพลมหาราชวรชยมงคลคาถา 18.ถวายพรพระ และ 19.โหตุ สพพ




    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450> [​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>สำหรับพิธีเจริญพระพุทธมนต์ครั้งนี้ เป็นพระประสงค์ของสมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปริณายก ส่วนพระองค์ที่ต้องการถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นการเฉพาะ

    นอกจากนี้ ในบทสวดภูมิพลมหาราชวรชยมงคลคาถา ทางมหาเถรสมาคม มีมติให้แม่กองบาลีสนามหลวง แต่งเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุ ครบ 80 พรรษาโดยเฉพาะ



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2007
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา fwd mail ครับ

    เรามักถูกสอนให้มองด้านดีว่า แก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วนั้น
    มีน้ำเหลือตั้งครึ่งแก้วมากกว่าที่จะมองว่าน้ำหายไปครึ่งแก้ว
    แต่จะมองด้านไหนก็ตามก็ทำให้เราคิดว่าแก้วยังขาด พร่อง
    ยังต้องหาน้ำมาเติมให้เต็ม


    ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราจะรู้สึกว่า เรายังมีไม่พอ ต้องมีนั่น มีนี่
    เสียก่อนแล้วเราจะอิ่มจะเต็ม สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยถูกสอนก็คือ
    ไม่ว่าเราจะพัฒนาความสามารถ ในการหาเงิน หาของ
    หาความรักให้ได้มากสักเท่าไหร่ก็ตาม น้ำในแก้วไม่มีวันเต็ม
    เพราะความอยากในใจเราไม่เคยหยุด แก้วของเราก็จะโตขึ้น
    ไปเรื่อยๆ ไม่เคยพอ


    เมื่อก่อนที่เราคิดว่า ถ้าเรามีเงินล้าน เราจะมีความสุข
    พอเรามีเข้าจริงๆปริมาณความต้องการ มาตรฐานการครองชีพ
    ความเป็นอยู่ของเราก็โตรุดหน้าไป จนเราต้องหาเพิ่มตลอดเวลา
    ซึ่งอย่าว่าแต่คนมีเงิน 10 ล้าน 100 ล้านขนาดคนที่มีเป็นหมื่นล้าน
    ยังหาเงินอย่างไม่รู้จักอิ่มรู้จักพอ รวมทั้งคนที่เรารักหนักหนา
    ยากลำบากกว่าจะได้มา พออยู่กันไปนาน ๆใจเราก็เรียกร้อง
    มากขึ้นๆ เห็นจุดอ่อนข้อบกพร่อง ไม่อิ่ม ไม่เต็มได้ตลอดเวลา
    แก้วน้ำหรือความอยากในใจเราไม่เคยหยุดโตหาเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม


    เคล็ดลับของความสุขก็คือ เราพยายามอย่างเต็มที่ในการหาเงิน
    หาความรัก เหมือนหาน้ำมาใส่แก้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ
    เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับขนาดของแก้วให้พอดีกับน้ำ
    ให้ใจเราสามารถที่จะมีความสุขสงบพอใจกับขณะนี้ เดี๋ยวนี้โดยไม่ต้องรออนาคต
    ถ้าเรามีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว แต่เราสามารถลดขนาดของแก้วน้ำลง
    จนเหลือเพียง 1 ใน 4 น้ำที่มีครึ่งแก้ว ก็จะล้นมีเกินอยู่อีกเท่าตัว
    มีเกินพอสำหรับเรา และ พอที่จะแบ่งให้คนอื่นเมื่อเราเต็ม
    เราก็ไม่ต้องไปวิ่งหาน้ำมาเติมอีก มีเวลาเหลือเฟือให้คนที่เรารัก
    ให้กับสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตเราอย่างแท้จริง


    การลดขนาดของแก้วน้ำก็คือ การที่เราหมั่นตามรู้ ตามดูจิตใจ
    ความรู้สึก ความคิดของเราแต่และขณะที่เรารู้ทันใจเราที่อยากได้
    อยากให้คนอื่นคิดให้ถูกใจเรา ทุกขณะที่เรารู้ทัน ความอยากทำงาน
    ไม่ได้ เราก็ได้ลดขนาดของแก้วลงทุกขณะที่เรามีความรู้สึกตัว
    ชีวิตเราก็จะเป็นแก้วที่อิ่มเต็มพอดี
     
  7. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    [​IMG]
    รูปประกอบจากคุณ Duckygallery จาก <!--WapAllow0=Yes--><!--pda content="begin"--><b><big><big> <!--Topic-->ภาพจากวัดบวรฯ งานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี</big></big></b>


    พระ ดร.อนิล ธัมมสากิโย ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้เล่าว่า...... "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงผูกพันกับพระอาจารย์คือสมเด็จพระสังฆราชมากอย่างเรื่องสีจีวรพระราชนิยม
    ทรงตั้งปุจฉากับสมเด็จพระสังฆราชสีจีวรสมัยพุทธกาลเป็นอย่างไร
    เพราะพระสงฆ์ครองจีวรหลายสี
    สมเด็จพระสังฆราชทรงขอให้พระองค์ช่วยค้นหาคำตอบ จึงทรงค้นหาจากสีของต้นไม้ได้กว่า 100 สี แต่สุดท้ายทรงคัดเหลือ 5 สี และให้สมเด็จพระสังฆราชทรงวินิจฉัย จนท้ายสุดได้สีจีวรที่คล้ายสมัยพุทธกาลที่สุด เป็นสีฝาดที่เราเห็นพระสงฆ์ครองจีวรในพระราชพิธี หรืออย่างเรื่องพระมหาชนกทรงปรึกษาสมเด็จพระสังฆราช จนสำเร็จในที่สุด และตอนนี้เนปาลขอพระบรมราชานุญาตไปจัดพิมพ์เผยแพร่ ทั้งสองเรื่องแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพและความผูกพันของทั้งสองพระองค์ได้เป็นอย่างดี"
    ที่มา:http://www.asa.or.th/2008/index.php?q=node/92515
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2007
  8. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    จะเลือกถวายจีวรสีใด
    ที่มา: http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=9197
    ผู้โพส คุณบุญโต

    จีวร ถือว่าเป็นธงชัย หรือเครื่องหมายของพระอรหันต์ มีหลักฐานปรากฏในพระคัมภีร์อุบาลีเถราปทาน ว่า

    "บุคคลเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ที่ (แม้) เปื้อนอุจจาระที่ถูกทิ้งไว้ตามถนนหนทาง ก็ควรประนมมือไหว้ผ้านั้น อันเป็นธงชัยของพระอริยเจ้า ด้วยเศียรเกล้า"

    ในฉัททันตชาดก ติงสนิบาต กล่าวว่า "พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาช้างฉัททันต์ กำลังจะเดินตรงเข้าไปทำร้ายนายพรานป่าใจบาป ผู้คิดจะฆ่าตน แต่พอมองเห็นจีวรที่นายพรานชูให้เห็นกลับคิดได้ว่า ผู้มีธงชัยหรือเครื่องหมายแห่งพระอรหันต์ ไม่ควรถูกฆ่า จึงไม่ได้ทำร้าย และให้อภัยแก่นายพรานปล่อยให้รอดไป..."

    ในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา กล่าวว่า "สมัยที่พระพุทธองค์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ พระธนิยะได้ตัดไม้เป็นสมบัติของหลวงจำนวนมาก มีความผิดตามกฎหมายบ้านเมืองโทษฐานถึงขั้นประหารชีวิต แต่พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ผู้ครองกรุงราชคฤห์ ก็ทรงมีรับสั่งให้พระราชทานอภัยโทษ เพราะทรงเห็นแก่จีวร (ผ้าเหลือง) ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องหมายของพระอรหันต์นั่นเอง"


    ๏ กำเนิดแบบตัด - เย็บจีวร

    วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จถึงทักขิณาคิรีชนบท พร้อมด้วยพระภิกษุจำนวนหนึ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นท้องนาของชาวมคธแล้ว มีรับสั่งกับพระอานนท์ว่า "อานนท์ เธอสามารถออกแบบตัดเย็บจีวรให้มีรูปร่างอย่างนี้ได้หรือไม่"

    พระอานนท์กราบทูลว่า "สามารถทำได้พระเจ้าข้า" หลังจากนั้นพระอานนท์ได้ออกแบบทำจีวรให้มีรูปร่างตามพุทธประสงค์ถวาย คือมีลักษณะคล้ายผืนนาที่มีคันนาคั่นเป็นระยะๆ พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญว่า "พระอานนท์เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถเข้าใจคำสั่งของเราได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนถูกต้องและชัดเจน"

    ที่พระพุทธองค์มีรับสั่งให้ออกแบบจีวรเช่นนั้น เพราะมีพระประสงค์ ๓ ประการ คือ

    ๑. ผ้าที่มีราคาแพงๆ หากตัดเป็นชิ้นๆ จะทำให้ผ้าราคาตก แทบไม่มีใครต้องการ

    ๒ .เมื่อนำเศษผ้าที่ตัดแล้วมาเย็บติดกัน จะทำให้เกิดรอยตะเข็บ มีตำหนิขาดความสวยงาม

    ๓. ยิ่งนำไปย้อมเปลี่ยนสีพร้อมทั้งทำเครื่องหมาย (ทำพินทุ ใช้ปากกาหรือดินสอทำเป็นจุดที่ผ้าจีวร) ทำให้สีของผ้าเศร้าหมอง ไม่มีค่าไม่มีราคา ไม่เป็นที่ต้องการของใคร ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าสนใจ ไม่มีประโยชน์สำหรับใครๆ โจรผู้ร้ายไม่แย่งชิง แบบจีวรที่ถูกกำหนดตัดเย็บมาแต่โบราณ จึงถือเป็นแบบอย่างใช้มาจนถึงปัจจุบัน

    สีของจีวร แต่เดิมพระภิกษุใช้มูลโค (โคมัย) หรือดินแดงย้อมจีวร ทำให้สีของจีวรเป็นสีคล้ำไม่เหมาะสม มีการทักท้วงกันขึ้น จึงนำความกราบบังคมทูลให้พระองค์ทรงทราบ พระพุทธเจ้ามีดำรัสว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำย้อม ๖ ชนิดสำหรับย้อมจีวร คือ น้ำย้อมจากรากไม้ น้ำย้อมจากต้นไม้ น้ำย้อมจากเปลือกไม้ น้ำย้อมจากใบไม้ น้ำย้อมจากดอกไม้ และน้ำย้อมจากผลไม้"

    เมื่อย้อมเสร็จแล้วจีวรจะออกมาเป็นสีกรัก สีเหลืองหม่น หรือสีเหลืองเจือแดงเข้มเหมือนย้อมด้วยแก่นขนุน แต่ทรงห้ามไม่ให้ภิกษุย้อมจีวรด้วย ขมิ้น ฝาง แกแล มะหาด เปลือกโลท เปลือกคล้า ใบมะเกลือ คราม ดอกทองกวาว ฯลฯ

    สีจีวรที่ต้องห้าม คือ

    ๑. สีเขียวคราม สีเหมือนดอกผักตบชวา

    ๒. สีเหลือง สีเหมือนดอกกรรณิการ์

    ๓. สีแดง สีเหมือนชบา

    ๔. สีหงสบาท (สีเหมือนเท้าหงส์) สีแดงกับเหลืองปนกัน

    ๕. สีดำ สีเหมือนลูกประคำดีควาย

    ๖. สีแดงเข้ม สีเหมือนหลังตะขาบ

    ๗. สีแดงกลายๆ แดงผสมคล้ายใบไม้แก่ๆ ใกล้ร่วง (เหมือนสีดอกบัว)

    มีบางแห่งระบุว่าสีต้องห้าม คือ สีดำ สีคราม สีเหลือง สีแดง สีบานเย็น สีแสด และ สีชมพู ถ้าจีวรมีสีตรงตามนี้ ให้ภิกษุย้อมใหม่ ถ้าทำลายสีเดิมไม่ออกก็ให้นำไปใช้เป็นผ้าปูลาดสำหรับรองนั่ง หรือใช้งานอื่นๆ หรือใช้ซับในระหว่างจีวรสองชั้นก็ได้

    สีจีวรที่พระพุทธเจ้าและพระอัครสาวกใช้ การที่จะยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทรงใช้จีวรสีใดย่อมเป็นการยากที่จะระบุให้ชัดเจนได้ เนื่องจากไม่เคยมีใครได้พบเห็นพระพุทธองค์ด้วยตัวเอง แต่สามารถประเมินได้จากหลักฐานพระคัมภีร์ในหลายแห่งที่พอเปรียบเทียบได้ คือ

    ๑. พระผู้มีพระภาคเจ้า (พระพุทธเจ้า) ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาซึ่งมีสีดุจทอง ออกจากระหว่างบังสุกุลจีวรอันมีสีแดง

    ๒. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งผ้าสองชั้นที่ย้อมดีแล้ว ทรงห่มจีวรมหาบังสุกุล ได้ขนาดสุตตประมาณ ปานผ้ารัตตกัมพล (ผ้าสีแดง)

    ๓. พระผู้มีพระภาค ทรงห่มบังสุกุลจีวรอันประเสริฐสีแดง มีสีคล้ายสียอดอ่อนของต้นไทร

    สีจีวรของพระอัครสาวกมีหลักฐานปรากฏว่า ๑. แม้พระมหาเถระทั้งหลาย มีพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น ห่มบังสุกุลจีวร มีสีแดงเหมือนเมฆ ๒. พระมหาเถระทั้งหลาย มีพระมหากัสสปะ เป็นต้น ห่มบังสุกุลจีวรมีสีแดงเหมือนเมฆ

    สีจีวรของพระเถระผู้ใหญ่ในสมัยพุทธกาล ก็เหมือนกับสีจีวรของพระพุทธเจ้า คือ สีแดง ตรงตามพระบรมพุทธานุญาต คือ สีเหลืองเจือแดงเข้ม ที่ใช้ย้อมด้วยแก่นขนุน คือสีกรักนั่นเอง

    สีจีวรของพระสงฆ์ไทยปัจจุบัน ในสมัยพุทธกาล แม้พระภิกษุสงฆ์จะย้อมจีวรด้วยสีธรรมชาติแท้ๆ แต่ก็เชื่อว่าสีคงจะไม่ออกมาเป็นมาตรฐานเดียวกันหมดแน่นอน คงจะมีผิดเพี้ยนแตกต่างกันไปบ้าง แม้ในยุคปัจจุบันก็มีการใช้สีจีวรต่างๆ แต่พอแยกออกได้ ๒ สี คือ สีเหลืองเจือแดงเข้ม และ สีกรักสีเหลืองหม่น

    วัดใดจะใช้จีวรสีไหนก็ได้ ไม่มีข้อห้าม เพราะถือว่าถูกต้องตรงตามพระบรมพุทธานุญาตทั้ง ๒ สี แต่ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณรที่ยู่ในวัดเดียวกัน ก็น่าจะใช้จีวรสีเดียวกัน ส่วนสีที่นิยมในพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวัง (วัดพระแก้ว) นิยมใช้สีกรัก หรือสีเหลืองหม่น เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนผ้าไตรที่ทางฝ่ายพระราชพิธีจัดเตรียมไว้ถวายพระด้วย ทั้งนี้ เพื่อความสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย และปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน

    ผู้มีจิตศรัทธาต้องการถวายผ้าจีวรแก่พระสงฆ์ควรทราบ

    ๑. ข้อควรปฏิบัติ คือ จะเลือกซื้อจีวรแบบไหนสีใดไปถวายพระวัดใด ต้องคำนึงถึงคุณภาพของผ้า ที่พระท่านสามารถใช้สอยได้อย่างเหมาะสม อีกอย่างหนึ่งคือ ต้องเลือกสีให้ถูกต้องตรงตามความนิยมของแต่ละวัด

    ๒. จุดประสงค์การถวายผ้าจีวร เพื่อให้พระภิกษุหมดภาระในการแสวงหาผ้านุ่งห่ม ไม่ต้องกังวลใจ มีเวลาปฏิบัติธรรมอย่างเพียงพอ และเป็นการช่วยให้พระภิกษุมีผ้านุ่งห่ม ป้องกันเหลือบยุง บำบัดความหนาว ป้องกันความร้อน ป้องกันไม่ให้ป่วยไข้เพราะร้อนและหนาวเกินไป และรักษาสุขภาพอนามัยคือใช้ชายจีวรกรองน้ำดื่มเมื่อถึงคราวจำเป็น

    ๓. อานิสงส์การถวายจีวร ผู้ถวายต้องตั้งเจตนาบริจาคให้เป็นทานบารมีที่บริสุทธิ์จริงๆ ไม่ให้เกิดการเสียดาย จึงบังเกิดเป็นบุญมหาศาล แยกได้ดังนี้

    (๑) สามารถตัดบาปออกไปจากจิตใจได้เด็ดขาด

    (๒) กำจัดกิเลสขวางโลก คือ ความโลภ ความตระหนี่ถี่เหนียว ให้บรรเทาเบาบางจนจางหายไปในที่สุด

    (๓) ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นสุขสดใสใจเบิกบาน

    (๔) เกิดความภาคภูมิใจที่มั่นคงอยู่ในบุญกุศล

    (๕) พ้นจากความยากจน ความลำบากขัดสนทุกภพทุกชาติ

    (๖) มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยปัจจัย ๔ ทุกภพทุกชาติ

    (๗) เกิดชาติใดภพใดจะเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผุดผ่องแจ่มใส

    (๘) ทำให้บังเกิดความอิ่มบุญ เย็นใจตลอดเวลาทุกครั้งที่นึกถึง


    ๏ คำถวายจีวร

    อิมานิ มะยัง ภันเต จีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ จีวะรานิ สะปะริวารานิ ปฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ

    หรือจะกล่าวเฉพาะคำแปลก็ได้ คือ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายจีวร พร้อมทั้งของบริวารเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์ โปรดรับจีวร พร้อมทั้งของบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ

    .............................................................
    คัดลอกมาจาก
    นสพ.คม ชัด ลึก คอลัมน์ พระเครื่อง คม ชัด ลึก
    ฉบับวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2547

    ---------------------------------------------------------
    ความเห็นส่วนตัวครับ
    การถวายจีวร พร้อมทั้งของบริวาร ในปัจจุบัน ผมพบว่าในบางจังหวัดได้มีข้อตกลงในระดับจังหวัด ใ้ห้พระสงฆ์้ใช้สีใด สีหนึ่ง
    ตัวอย่างเช่น จังหวัดสงขลา ปัจจุบันได้ ระบุว่า สีของจีวรจะใช้ สีจีวรพระราชนิยม
    ครับ ซึ่งบางจังหวัดอาจไม่ระบุไว้ชัดเจน อาจไม่เหมือนกัน

    ฉะนั้น ก่อนที่จะถวายควรศึกษาให้ดีก่อนนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2007
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันที่ 02 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10828

    เรือพระราชพิธี และเห่เรือ มาจากไหน? เมื่อไร?


    คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นพิธีกรรมทางน้ำที่พระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาต้องเสด็จมาประกอบพิธีเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของราชอาณาจักร ภาพลายเส้นนี้เป็นฝีมือชาวยุโรปที่เข้ามาสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1688 (พ.ศ.2231)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>วิชาความรู้หลายเรื่องล้าสมัยหรือไม่มีหลักฐานและร่องรอยสืบเนื่องรองรับสนับสนุน แต่พากันเชื่อถือสืบต่อมาโดยไม่มีสถาบันการศึกษาค้นคว้าตรวจสอบ ทำให้วิชาความรู้ที่ยกย่องล้วนบกพร่องผิดพลาด เช่น อ้างว่าเรือพระราชพิธีมีมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยทั้งๆ ไม่มีหลักฐานเลย ส่วนที่อ้างอิงตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือนางนพมาศ ก็เป็นหนังสือแต่งใหม่สมัยรัชกาลที่ 3 กรุงรัตนโกสินทร์ เรือพระราชพิธีในเรื่องจึงเป็นสมัยรัตนโกสินทร์ ไม่ใช่สมัยกรุงสุโขทัยตามที่อ้างอิงยกย่องกัน

    เรือพระราชพิธี มาจากไหน? เมื่อไร?

    เรือพระราชพิธี มีต้นกระแสพัฒนาการจากเรือศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มชาติพันธุ์สุวรรณภูมิราว 3,000 ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย

    เรือศักดิ์สิทธิ์ มีหลักฐานให้เห็นเป็นรูปลายเส้นสลักบนกลองทอง (สัมฤทธิ์) หรือมโหระทึก เมื่อไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว พบในประเทศไทย, เวียดนาม, จีน ที่มณฑลกวางสี, และที่อื่นๆ ในสุวรรณภูมิบริเวณอุษาคเนย์ แสดงว่าชุมชนและบ้านเมืองยุคดึกดำบรรพ์ในภูมิภาคนี้ล้วนมีเรือศักดิ์สิทธิ์ที่จะเติบโตเป็นเรือพระราชพิธีเหมือนกันทุกแห่ง มิได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น

    เรือ มีรูปร่างจากงู ที่ต่อมาเรียกนาค (ตามคำละตินและบาลี) หัวเรือมีรูปเป็นงูหรือนาค ส่วนหางเรือเรียวยาวไปเป็นงูหรือนาคนั่นเอง

    คนสุวรรณภูมิทุกชาติพันธุ์ รวมทั้งบรรพชนคนไทยทุกวันนี้ มีความเชื่อ งู เรียก นาค เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นสัตว์บรรพบุรุษ สถิตอยู่บาดาลคือใต้ดิน เมื่อคนตายลงต้องกลับไปหาบรรพบุรุษในถิ่นเดิม คือโลกบาดาลอยู่ใต้ดิน งูหรือนาคเท่านั้น จะพากลับได้ปลอดภัย คนดึกดำบรรพ์สุวรรณภูมิเลยทำเรือรูปงูหรือนาคเป็นพาหนะ ใส่ศพรับกลับไปบาดาล หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทำโลงศพด้วยไม้เป็นรูปงูหรือนาค แล้วเรียกภายหลังว่าเรือ

    ยามปกติคนยุคดึกดำบรรพ์ของสุวรรณภูมิทุกชาติพันธุ์ยกย่องงูหรือนาคเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองจากสิ่งชั่วร้ายอื่นๆ จึงเดินทางด้วยพาหนะศักดิ์สิทธิ์คือเรือรูปงูหรือนาค แล้วยังใช้ทำพิธีกรรมอื่นๆ อีก เช่น เสี่ยงทาย เป็นต้น แสดงออกโดยการแข่งเรือ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    (บน) เรืออนันตนาคราชที่เมืองบางกอก กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ.2408 (ค.ศ.1865-1866) สมัยรัชกาลที่ 4 (ล่าง) เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชในรัชกาลที่ 4 ภาพนี้วาดจากรูปถ่ายเมื่อคราวรัชกาลที่ 4 เสด็จฯไปพระราชทานพระกฐินทางฝั่งธนบุรี เมื่อ พ.ศ.2408 (ลายเส้นหนังสือ The English Governess at the Siamese Court. โดยแอนนา เลียวโนเวนส์ หรือ Anna Harriette Leonowens. พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1870 หรือ พ.ศ.2413.)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    หลังรับศาสนาพราหมณ์-พุทธจากอินเดีย (ชมพูทวีป) แล้วมีราชสำนักขึ้นในบ้านเมืองและรัฐตั้งแต่ราวหลัง พ.ศ.1000 ลงมา ราชสำนักในภูมิภาคนี้ล้วนรับความเชื่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของพราหมณ์ที่นำเข้ามาใหม่ เช่น นาค เป็นแท่นบรรทมพระนารายณ์, หงส์เป็นพาหนะของพระพรหม, ฯลฯ ก็เริ่มดัดแปลงหัวเรือที่มีมาก่อนให้เป็นรูปสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามคติในศาสนาพราหมณ์ เพื่อยกย่องพระเจ้าแผ่นดินที่ประทับในเรือให้เป็นเทวดาตามคติพราหมณ์

    นานเข้าก็มีเรือพระราชพิธีเพิ่มมากขึ้นจนเป็นขบวน เรียกขบวนเรือพระราชพิธีสืบเนื่องถึงปัจจุบัน



    เห่เรือ มาจากไหน? เมื่อไร?

    เห่เรือในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นประเพณีที่เพิ่งสร้างใหม่ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ น่าเชื่อว่าเริ่มมีในละครและเพลงดนตรีที่สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์ ทรงสร้างสรรค์ขึ้นในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 เพราะถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานตรงว่ายุคกรุงศรีอยุธยามีเห่เรือแบบเดียวกับที่มีทุกวันนี้ แต่มีผู้พบว่าแรกมีในรัชกาลที่ 4 แล้ว

    เห่เรือ ทุกวันนี้หมายถึงขับลำนำเป็นทำนองอย่างหนึ่งในขบวนเรือพระราชพิธีพยุหยาตราทางชลมารค มีต้นเสียงเห่นำ แล้วมีลูกคู่เห่ตาม

    แต่ เห่ หมายถึงทำนองขับลำนำเพื่อวิงวอนร้องขอหรือทำให้เพลินใจแล้วเคลิบเคลิ้มถึงหลับไปก็ได้ บางทีก็ใช้ควบคู่กับกล่อม คือเห่กล่อมพระบรรทมถวายเจ้านายเมื่อจะทรงบรรทม

    กล่อม หมายถึงร้องเป็นทำนองเพื่อเล้าโลมใจ เช่น กล่อมเด็กคือร้องลำนำกล่อมให้เด็กเพลินจนนอนหลับ กล่อมหอ ขับร้องหรือเล่นดนตรีบนเรือนหอเพื่อให้รื่นเริงในพิธีแต่งงาน ฯลฯ

    ในพิธีพราหมณ์สยาม มีพิธีกล่อมหงส์เป็นทำนองอย่างหนึ่งเรียกช้าเจ้าหงส์ คือเอาเทวดาลงเปล แล้วไกวพร้อมกล่อมช้าเจ้าหงส์ เป็นต้น ในกฎมณเฑียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยาไม่มีกล่าวถึงเห่เรือ จะมีก็แต่การละเล่นเพลงเรือของราษฎรทั่วไป ที่มีโห่ร้องแล้วมีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ดีดสี ตีเป่า ประกอบด้วย แต่เห่เรือต่างจากโห่ร้อง ฉะนั้นอย่าเอาไปปนกัน



    ทวาทศมาส ไม่มีเห่เรือ
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    พิธีพระบรมศพของกษัตริย์เวียดนามสมัยก่อน ด้านบนเป็นลายเส้นกระบวนเรือในพิธีพระบรมศพ (เขียนเมื่อ ค.ศ.1782 (พ.ศ.2325) จาก Encyclopedia HANOI VIETNAM, 2000.)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วรรณคดีเก่าสุดยุคต้นกรุงศรีอยุธยาแต่งขึ้นราว พ.ศ.2000 พรรณนาประเพณีพิธีกรรม 12 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือน 5 ราศีเมษ ตามคติพราหมณ์ พอถึงเดือน 11 มีแข่งเรือ เดือน 12 มีลอยโคม (ปัจจุบันเรียกลอยกระทง) แต่โคลงดั้นที่พรรณนากระบวนเรือ "ไกรสรมุข" และ "ศรีสมรรถไชย" ไม่มีกล่าวถึงเห่เรือ หรืออื่นใดที่เกี่ยวข้องกับเห่กล่อมเลย ดังโคลงดั้นพรรณนาเริ่มต้นฤดูแข่งเรือเดือน 11 อาสยุช

    ถ้าจะเกี่ยวข้องเห่เรือบ้างแม้จะไม่กล่าวถึงโดยตรง แต่ชวนให้เชื่อได้ว่ามีพิธีขับลำนำเป็นทำนองวิงวอนร้องขอ เช่น ขอขมาดินและน้ำ ฯลฯ ก็จะมีในพิธีบริเวณตำบลบางขดาน

    ทวาทศมาสโคลงดั้น ระบุตำบลย่านที่ทำพิธีไล่น้ำชื่อบางขดาน มีเอกสารระบุว่าอยู่ใต้ขนอนหลวงวัดโปรดสัตว์ ที่แห่งนี้เมื่อ พ.ศ.2129 สมเด็จพระนเรศวรฯ เคยยกทัพมาตั้งค่าย มีปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า "ครั้งนั้นเสดจ์ออกไปประชุมพลทั้งปวง ณ บางกะดาน เถิง ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 เพลาอุษาโยค เสดจ์พยุหยาตราจากบางกะดานไปตั้งทัพชัย ณ ชายเคือง แล้วเสดจ์ไปละแวก ครั้งนั้นได้ช้างม้าผู้คนมาก" ในกำสรวจสมทุรเขียนว่า "จากมามาแกล่ใกล้ บางขดาน ขดานราบคือขดานดือ ดอกไม้" เพราะบริเวณนี้เป็น "ดินสะดือ" หมายถึงมีน้ำวนเป็นเกลียวลึกลงไป ถือเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำ เป็นทางลงบาดาลของนาค ต้องทำพิธีกรรมเห่กล่อมวิงวอนร้องขอต่อ "ผี" คือนาคที่บันดาลให้เกิดน้ำ

    นี่เองเป็นที่มาของ "เห่เรือ" เพื่อไล่น้ำ หรือวิงวอนร้องขอให้น้ำลดลงเร็วๆ



    เจ้าฟ้ากุ้ง ไม่มีเห่เรือ

    กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก ของ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (กุ้ง) ทรงพรรณนาประเพณีพิธีกรรม 12 เดือน เมื่อถึงเดือน 12 มีแต่ลอยโคม ไม่มีเห่เรือ

    แม้พระนิพนธ์กาพย์เห่เรือของเจ้าฟ้ากุ้งก็ไม่พบหลักฐานว่าเคยใช้เห่เรือในยุคของพระองค์หรือยุคต่อมา ฉะนั้น น่าจะเป็นพระนิพนธ์กาพย์กลอนสังวาสที่ใช้ลีลาเห่เรือจริงๆ ของราษฎรยุคนั้น มาแต่งเลียนแบบตามที่ทรงพระนิพนธ์ว่า "ร้องโห่เห่ โอ้เห่มา" สอดคล้องกับยุคพระเจ้าบรมโกศนี้ โน้มหาธรรมชาติและความเป็นเสรีมากที่สุด (นิราศธารโศกพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์) มีตัวอย่างจำนวนมากในพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้ากุ้ง

    ในคำให้การขุนหลวงหาวัด พรรณนาถึงขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค ก็ไม่มีเห่เรือ



    กรุงธนบุรีถึงยุคต้นกรุงเทพฯ ไม่มีเห่เรือ

    ตลอดยุคกรุงธนบุรีไม่มีพยานเรื่องเห่เรือพระราชพิธีสืบจนยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ก็ไม่พบหลักฐานแม้เอกสารสำคัญที่น่าจะเป็นพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 3 อย่างเรื่องนางนพมาศ ก็ไม่พรรณนาเห่เรือ ทั้งๆ ที่พรรณนาเสด็จทางชลมารคยืดยาว จะมีก็แต่ร้องเล่นอย่างสักวา และเพลงเรือของราษฎร

    "เสมียนมี" หรือหมื่นพรหมสมพัตสร กวีสมัยรัชกาลที่ 3 แต่งนิราศเดือน พรรณนาประเพณี 12 เดือน พอถึงเดือน 11 เดือน 12 มีประเพณีทางเรือแต่ไม่มีเห่เรือ



    เห่ละคร เจ้าฟ้านริศ

    เห่เรือในขบวนพยุหยาตราทางชลมารคที่รู้จักทั่วไปบัดนี้ น่าจะมีขึ้นจาก รัชกาลที่ 4 มีพระราชนิยมปรับเปลี่ยนโบราณราชประเพณีให้ทันสมัย ส่งผลให้วัฒนธรรมด้านอื่นๆ ต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย เช่น งานละครและเพลงดนตรีแบบหนึ่งของสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ที่ทรงเริ่มสร้างสรรค์ตั้งแต่ พ.ศ.2442 มีร่องรอยในเพลงเต่าเห่ (มีคำอธิบายในสารานุกรมศัพท์ดนตรีไทย ภาคประวัติและบทร้องเพลงเถา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2538)

    เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงปรับปรุงเพลงเต่าเห่ร่วมกับหลวงเสนาะดุริยางค์ (ทองดี ทองพิรุฬห์) บรรจุไว้ในบทคอนเสิร์ตเรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางลอย ได้จัดให้มีการเห่สอดปี่พาทย์เพิ่มเข้าไปในตอนท้ายต่อจากท่อน 3 อีกกระบวนหนึ่ง เป็นเหตุให้ผู้ฟังพากันเรียกเพลงนี้ว่า "เพลงเต่าเห่" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    เห่เรือทุกวันนี้มีลูกคู่สอดแทรกจังหวะ ชะ กับ สร้อย ฮ้าไฮ้ ล้วนได้จากเพลงเรือที่ชาวบ้านร้องเล่นตั้งแต่ลุ่มน้ำโขงถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยา แล้วมีเหลือร่องรอยเค้าต้นอยู่ในเพลงเทพทอง, เพลงอีแซว, เพลงเรือ ฯลฯ ซึ่งน่าเชื่อว่าเห่เรือทางชลมารคของหลวงได้จากประเพณีชาวบ้านมาปรับใช้เป็นประเพณีในราชสำนักสืบจนทุกวันนี้

    http://matichon.co.th/matichon/matic...sectionid=0131<!-- / message --><!-- sig -->
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันที่ 02 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10828

    เรือพระราชพิธี 3,000 ปีมาแล้ว มีทุกชาติพันธุ์ทั้งสุวรรณภูมิ


    คอลัมน์ สยามประเทศไทย

    โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    ลายเส้นรูปไหสัมฤทธิ์พบที่เวียดนาม มีรูปเรือศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมสำคัญของชุมชนคนสุวรรณภูมิเมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว เป็นต้นแบบเรือพระราชพิธีทุกวันนี้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>เรือพระราชพิธี มีรากเหง้าเค้ามูลจากเรือศักดิ์สิทธิ์ของนานาชาติบรรพชนคนสุวรรณภูมิราว 3,000 ปีมาแล้ว แต่เห่เรือที่ได้ยินได้ฟังและมองเห็นในยุคนี้เป็นประเพณีสร้างใหม่สมัยกรุงเทพฯที่ได้แบบจากเพลงเรือร้องเล่นของชาวบ้านยุคก่อนๆ

    หลักฐานและร่องรอยทางประวัติศาสตร์โบราณคดีจนถึงมานุษยวิทยา ได้รวบรวมแล้วเรียบเรียงอย่างง่ายๆ พิมพ์ให้อ่านอย่างพินิจพิจารณาในพื้นที่สุวรรณภูมิสังคมวัฒนธรรมข้างล่างนี้แล้ว กรุณาตรวจสอบตามสะดวก

    แต่รูปลายเส้นที่ยกมาพิมพ์ประกอบตรงนี้ได้จากหนังสือภาษาจีนที่มีผู้ซื้อหามาฝากจากเมืองจีนนานมากแล้ว จนจำไม่ได้ว่าใครฝากมา ก็ขอให้รู้ว่าเอามาใช้ประโยชน์แล้วแม้อ่านอักษรไม่ออก แต่อ่านลายเส้นอย่างรูปนี้ได้

    ลายเส้นนี้เป็นรูปภาชนะหล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ อาจารย์ ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง เคยหิ้วผมให้ตามไปดูไหสัมฤทธิ์ตั้งแสดงอยู่ในตู้ของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเวียดนาม กรุงฮานอย เมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว

    ผิวนอกสลักเป็นรูปเรือศักดิ์สิทธิ์ 2 ลำ ลอยตามกันในพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง มีคนทำพิธีและมีฝีพายแต่งตัวสวมเทริดอุบะหลายคน แล้วมีอุปกรณ์อื่นๆ หลายอย่างที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร? ทำอะไร?

    ภาชนะทรงนี้บางทีก็เรียกไห มีฝาปิด ใช้ใส่กระดูกคนตายคล้ายที่เราเรียกโกศทุกวันนี้ วัฒนธรรมอย่างนี้มีอยู่ทั่วไปราว 3,000 ปีมาแล้วในดินแดนสยามประเทศไทย โดยเฉพาะทุ่งกุลาร้องไห้มีทำด้วยดินเผามากสุด นับเป็นต้นเค้าพิธีเก็บกระดูกและโกศเก็บกระดูก

    ฉะนั้น ลายเส้นขบวนเรือศักดิ์สิทธิ์ย่อมมีอายุไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว นี่คือต้นแบบเรือพระราชพิธีที่รู้จักทุกวันนี้ ฉะนั้นที่สถาบันราชการบอกว่าเพิ่งมียุคสุโขทัย (รัฐในอุดมคติ) จึงไม่จริง และไม่เคยพบหลักฐานยุคสุโขทัยเลย ควรปรับปรุงคำอธิบายของราชการให้ตรงตามหลักฐานด้วย กรุณาอย่า "มั่วนิ่ม"

    เรือพระราชพิธีมีต้นแบบจากเรือศักดิ์สิทธิ์ยุคดึกดำบรรพ์ 3,000 ปีมาแล้ว และมีทุกชาติพันธุ์ทั้งในแม่น้ำลำคลองและหมู่เกาะ แต่ชาติพันธุ์อื่นๆ เลิกเรือพระราชพิธีไปนานแล้ว ขณะนี้เหลืออยู่แห่งเดียวในประเทศไทย ที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญมากกว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เช่น ทำอู่เรือพระราชพิธีไว้กลางแม่น้ำเจ้าพระยา เปิดให้ประชาชนเข้าชมทุกวันอย่างมีคำอธิบาย แล้วสร้างบรรยากาศเห่เรือ เพลงเรือ และขบวนเรือราษฎร ฯลฯ ได้ตลอดปี

    http://matichon.co.th/matichon/matic...sectionid=0131<!-- / message --><!-- sig -->
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันที่ 02 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6182 ข่าวสดรายวัน


    เจ้านายหญิง "ในกำแพงแก้ว"




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>"ในกำแพงแก้ว" เป็นเรื่องราวในรั้วในวังที่เรียกว่าเขตพระราชฐานชั้นในหรือเรียกว่า "ฝ่ายใน" ที่เป็นเขตหวงห้ามสำหรับผู้ชายและเด็กชายที่มีอายุเกิน 10 ปี บริเวณนี้เป็นที่ตั้งพระตำหนักของพระมเหสี พระราชธิดา เจ้านายราชนารี พระสนมเอก เจ้าจอมและข้าราชบริพารซึ่ง รศ.ธงทอง จันทรางศุ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้กล่าวว่าเจ้านายผู้ชายมีคนพูดถึงมามากแล้ว แต่เจ้านายผู้หญิงไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก

    ด้วยความที่สนใจเรื่องราวและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในรั้วในวังเป็นทุนเดิม ประกอบกับอาชีพการงานที่ข้องเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์ อีกทั้งทำงานถวายเชื้อพระวงศ์มานาน ความรู้ที่สะสมมามีมากพอสมควรและเห็นว่าเจ้านายบางพระองค์หรือบางคนมีเรื่องราวที่น่าสนใจจึงถ่ายทอดบอกเล่าในนิตย สารลลนาเป็นตอนๆ ระหว่างปี 2528-2529 และตีพิมพ์รวมเล่มครั้งที่ 1 เมื่อปี 2531 และครั้งนี้เป็นการพิมพ์ครั้งที่ 2

    รศ.ธงทองกล่าวว่า นอกจากจะได้ความรู้เกี่ยวกับเจ้านายฝ่ายในในสมัยก่อนแล้ว ยังเห็นแบบอย่างความประพฤติของแต่ละพระองค์ว่ามีการอบรมสั่งสอนกันอย่างไรถึงมีผู้คนสักการะและเป็นที่เคารพเลื่อมใสในสถาบันพระมหากษัตริย์ คนอ่านจะได้คติสอนใจถึงการดำรงอยู่ของความไม่แน่นอน แม้เป็นถึงเจ้านายก็เสื่อมพระยศได้เหมือนกัน <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เช่น เวลาเปลี่ยนแปลงการปกครอง กรมพระยาชัยนาถ ถูกถอดพระยศเป็นเพียงนักโทษชาย เจ้านายอีกหลายพระองค์ก็ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ เมื่อบ้านเมืองเข้าที่เข้าทางจึงค่อยเสด็จกลับ

    ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปรา โมช ผู้ประพันธ์เรื่อง "สี่แผ่นดิน" สะท้อนถึงมุมมองใหม่เกี่ยวกับบทบาทและสถานะของผู้หญิงในสมัยก่อน โดยเขียนถึงตอนที่ช้อยคุยกับคุณอาสายว่า "ต่อไปนี้ ฉันไม่กลัวผู้ชายอีกต่อไป" "ทำไม" คุณสายถามตาเขียว "อ้าว! คุณอาไม่รู้หรอกหรือว่าเวลานี้ผู้หญิงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน" ช้อยตอบอย่างองอาจ

    ส่วน "เสด็จอธิบดีหญิงคนแรกของกรุงสยาม" หรือ เสด็จอธิบดีกรมหลวงทิพยรัตน์กิริฏกุลลินี ได้รับตำแหน่งอธิบดีในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยทรงบัญชา การรักษาภายในพระราชวังมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมาจนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำหน้าที่ดูแลความเป็นไปในเขตพระราชฐานชั้นใน <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระองค์ทรงมีพระชนม์อยู่ถึงสมัยรัชกาลที่ 9 และทรงทำหน้าที่ลาดพระแท่นถวาย (ปูที่นอน) ตามขัตติยราชประเพณีในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 9

    สำหรับพระนาม "เจ้าหนู" เป็นพระนามที่รัชกาลที่ 5 ตรัสเรียก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ สุนทรศักดิ์กัลยาวดี หรือ "พระองค์ใหญ่" ซึ่งเป็นพระราชธิดาที่ทรงรักมากและตรัสเรียกพระนามด้วยพระราชหฤทัยเอื้อเอ็นดู ทรงรับสั่งว่า "เป็นลูก คู่ทุกข์คู่ยาก" จึงทรงสถาปนาให้เป็น กรมขุน สุพรรณภาควดี เป“นพระองค์เจ้าหญิงองค์เดียวที่ทรง "กรม" โดยเป็น "พี่สาวใหญ่" ดูแลน้องๆ แม้จะต่างพระมารดา

    เมื่อ "เจ้าหนู" เสด็จสวรรคต พระบรมราชชนกก็ทรงพระภูษาขาวให้เป็นแบบธรรมเนียมสมัยรัชกาลที่ 1 ที่เคยทรงเวลาที่พระราชธิดาผู้ทรงเป็นที่รักเสด็จสวรรคต

    เจ้าจอมเพียงคนเดียวที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้คือ เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ในรัชกาลที่ 5 เป็นคนสามัญที่ถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาของพระเจ้าแผ่นดินและเป็นคนที่ถวายตัวคนสุดท้าย ท่านอายุยืนจนผู้เขียนมีโอกาสพบและพูดคุยด้วยจึงนำมาเขียนถึงไว้ด้วย ข้อมูลหลายตอนในหลายบทที่เขียนในหนังสือนี้ก็ได้ข้อมูลมาจากท่าน อีกท่านที่คุยและได้ข้อมูลเก่าๆ มา คือคุณอัญชัน บุนนาค ทำหน้าที่ดูแลเครื่องฉลองพระองค์รัชกาลที่ 5

    เรื่องราวของเจ้านาย 19 พระองค์และ 1 คน ที่บันทึกไว้ "ในกำแพงแก้ว" จะย้อนเวลากลับไปสู่อดีตให้ผู้อ่านติดตามจนรู้สึกเหมือนได้เห็นภาพจริยวัตรของแต่ละพระองค์กระจ่างชัดในใจ

    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNeE5BPT0=&day=TWpBd055MHhNUzB3TWc9PQ==
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เรื่องการไปวัดพระแก้ววังหน้า ยังคงดำเนินการอยู่นะครับ ไม่ได้หายไปไหน ช่วงนี้จับหลายงานเลยวุ่นๆไม่มีเวลามาแจ้งให้ทราบถึงความคืบหน้า ดึกๆแบบนี้เลยจัดเวลามาคุยให้ฟังครับ...


    มีเรื่องบังเอิญ(อีกแล้ว)เกี่ยวกับการติดต่อเรื่องการเข้าชม(จริงๆคือเข้าไปสักการะหลวงปู่ทุกพระองค์ หลวงปู่ท่านเจ้าฯ ที่ยังดำรงกระแสบารมีอยู่ถึงทุกวันนี้)ครับ ผมเปะปะคุยเรื่องวิทยาลัยนาฎศิลป์เข้า น้องคนหนึ่งใน office หันมาบอกว่ามีเพื่อนคนหนึ่ง(มาทราบภายหลังว่าเป็นคนใกล้ชิด) จบจากที่นี่ จึงให้น้องเค้าช่วยหาข้อมูลว่าควรดำเนินการแจ้งความประสงค์ที่หน่วยงานไหน? เพราะช่วงนี้คือการทำงานแข่งกับเวลา(จริงๆคิดไว้ตั้งแต่ก่อนพรรษา ยังไม่ได้เวลาซักที เมื่อเวลามาถึงเหลือเพียง 30 วัน มาวัดดวงกันว่า จะได้ไป หรือไม่ได้ไป)น้องท่านนี้บอกว่าสถานที่นี้เค้าเอาไว้ทำพิธีเท่านั้น และไม่สามารถจะสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป และพิธีที่ว่านี้ คือพิธีเกี่ยวกับการเรียนศาสตร์ทางศิลปะนั่นแหละ จริงๆ หากเขาทราบว่าเมื่อ ๑๕๐ กว่าปีที่ผ่านมาตรงบริเวณนี้ "หลวง"ท่านทำอะไรกัน คงจะตาสว่าง ฟังว่าน้องท่านนี้ก็ชอบเรื่องราวด้านนี้อยู่เช่นกัน ชะรอยจะพบช้างงามพาไปพบทางสะดวกในการติดต่อแล้วนะครับ วันนี้เลยให้เบอร์มือถือเขาไปเพื่อติดต่อกลับมา จะได้รีบดำเนินการยื่นหนังสือให้ถูกหน่วยงาน งานนี้คงต้องใช้"วงใน"ช่วยด้วยครับ ผมเลือก"วันฤกษ์พรหมประสิทธิ์"นะครับ


    ขณะนี้จึงขอประเมินโอกาสการได้เข้าไปสักการะไว้ที่ ๖๐-๔๐ ก่อนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2007
  13. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เห็นด้วยกับข้อความที่ "เอ" นำมาแสดงว่าไม่เห็นด้วยกับข้อความที่"คุณหนุ่ม"นำมาลงให้อ่าน

    หึหึ ไม่รู้ว่าวันไหนจะเผลอไปโมทนากับที่เราไม่เห็นด้วยนะ ชักงง...ช่วยเตือนๆกันบ้างนะครับ หากเกิดความผิดพลาดขึ้น
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TURObFkyOHlOVEF6TVRFMU1BPT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBd055MHhNUzB3TXc9PQ==

    วันที่ 03 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6183 ข่าวสดรายวัน


    แบงก์ปลอมว่อน

    คอลัมน์ เศรษฐกิจพาที

    ถุงแดง



    แม้ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้นำเทคโนโลยีชั้นสูง มาใช้ในการพิมพ์ธนบัตร และพยายามปรับปรุงให้มีการเลียนแบบได้ยาก โดยการเพิ่มรายละเอียดต่างๆ มากขึ้น เช่น การเพิ่มแถบฟอยล์สีขาว และใช้ตรวจสอบธนบัตรในเชิงรุกมากขึ้น โดยการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและธนาคารพาณิชย์อย่างใกล้ชิด

    แต่ขณะนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีทำให้มิจฉาชีพยังคงแอบผลิตแบงก์ปลอมออกมาต่อเนื่อง

    นายนพพร ประโมจนีย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายออกบัตรธนาคารและกรรมการผู้จัดการโรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งเตือนให้ประชาชนระมัดระวังการใช้ธนบัตรให้มากขึ้น

    โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่มีการจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก จากเดิมที่พบการปลอมแปลงระบาดแถบตะเข็บชายแดน แต่ปัจจุบันมีการพบธนบัตรปลอมในท้องตลาดมากขึ้น

    ส่วนสถานที่ที่พบการใช้จ่ายธนบัตรปลอมส่วนมากจะอยู่ตามร้านค้าทั่วไปและตามท้องตลาด เพราะประชาชนจะไม่ค่อยสังเกตและอาจจะมีการสอดแทรกอยู่ตามธุรกรรมที่มีจำนวนธนบัตรมากๆ ทำให้ไม่ทันได้สังเกต มิจฉาชีพจึงอาศัยช่องว่างตรงนี้ ในการปลอมปนการใช้ธนบัตร

    แม้ว่าปริมาณธนบัตรปลอมที่ ธปท.ร่วมกับตำรวจตรวจจับได้และพบจากระบบธนาคารพาณิชย์ในรอบ 9 เดือนแรกของปีนี้ จะมีปริมาณทั้งสิ้น 8,000-9,000 ฉบับ ลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน

    แต่ธนบัตรปลอมที่ตรวจพบส่วนใหญ่จะเป็นธนบัตรที่มูลค่าสูง เช่น ธนบัตรชนิดราคา 500 บาท และชนิดราคา 1,000 บาท

    ดังนั้นของให้ประชาชนและผู้ค้าขายโดยสุจริตต้องระมัดระวังมากขึ้นเพื่อไม่ให้สูญเสียทรัพย์สิน
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เข้าห้องน้ำสาธารณะให้ปลอดภัย

    [​IMG]
    วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เวลา 08:59 น.

    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>เวลาที่เราต้องเข้าห้องน้ำสาธารณะ อาจจะเกิดอันตรายได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีระมัดระวังตัวมาฝากกัน...
    - ถ้าต้องเดินเข้าไปห้องน้ำคนเดียว ควรระมัดระวังตัว และสังเกตสิ่งรอบข้าง เพราะคนร้าย มักจะคอยซุ่ม ดูอยู่ในจุดที่สามารถซ่อนตัวได้ หรือยากต่อการสังเกตเห็น โดยคนร้าย จะเลือกเหยื่อที่เหมาะ แล้วเข้าโจมตีและจัดการให้เร็วที่สุด
    - ขณะที่กำลังเดินเข้าไปในห้องน้ำ คอยฟังเสียงฝีเท้า หรือเสียงลากเท้าบนพื้น เพราะนั่น อาจเป็นเสียงที่ใครบางคน กำลังจับตาดูอยู่ และอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมโจมตี นอกจากนี้ ควรสังเกตเงาบนผนัง หรือบนพื้น ของคนที่เคลื่อนไหวและหยุดนิ่ง ซึ่งนั่นอาจเป็นเงาของคนร้าย
    - ตามธรรมชาติของมนุษย์ มักต้องการความเป็นส่วนตัว (ในกรณีที่มีหลายห้อง) ซึ่งคนร้ายเอง ก็มักซุ่มแอบอยู่ในห้องน้ำห้องในสุด เช่นกัน ดังนั้น หากจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำ ควรเลือกห้อง ที่อยู่ใกล้ประตูทางออกที่สุด หรือห้องแรก ๆ ซึ่งหากเกิดภัยอันตรายขึ้นมา บุคคลภายนอก ที่ผ่านไปมา สามารถได้ยินเสียงร้องได้
    ที่สำคัญอย่าลืมระมัดระวังตัวเองให้มากที่สุด เพื่อความปลอดภัย.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.dailynews.co.th/web/html/...e=2&Template=1
    <!-- / message --><!-- sig -->

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: left"><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-bold>คอลัมน์ย้อนหลัง</TD></TR><TR><TD><TABLE id=ctl00_ContentPlaceHolder1_ctl00_Popup_news_15_oldcolumn1_dlsOColumn style="WIDTH: 100%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">เข้าห้องน้ำสาธารณะให้ปลอดภัย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วิธีลอกป้ายราคาให้ออกอย่างง่าย ๆ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">เคล็ดลับรักษารองเท้าให้เหมือนใหม่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ดอกชบาช่วยขจัดไขมันในหลอดเลือด
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">การกินของย่างให้ห่างจาก “มะเร็ง”
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วิธีขับรถตอนน้ำท่วม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">นิสัยที่ทำร้ายสมอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วิธีทำหมี่กรอบให้กรอบนาน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วิธีแก้ผ้าที่เก็บไว้นานจนเหลือง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ปลานึ่ง-ย่าง ป้องกันโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ต้องช่วยกันประหยัดยุคน้ำมันแพง
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=48136&NewsType=2&Template=1

    [​IMG]
    วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เวลา 09:02 น.


    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>ราคาน้ำมันเบนซินได้ทะยานทะลุถึงลิตรละ 31 บาทเศษแล้ว ส่วนจะพุ่งสูงขึ้นไปอีกเท่าไหร่ยังไม่สามารถคาดคะเนได้ แม้ว่าจะมีการวิเคราะห์ว่าการปรับตัวสูงขึ้นนี้อยู่ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ อันเนื่องมาจากการ เก็งกำไรในวงการค้าขายน้ำมันของโลก อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการปรับลดราคา น้ำมันลงมาบ้าง แต่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับแพงมากแล้ว ซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลถึง ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชาติ และการขยายตัวของเศรษฐกิจจะลดลง ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้สมมุติฐานกรณีราคาน้ำมันแพงว่า ถ้าราคาน้ำมัน ปรับขึ้นอีก 1 เหรียญสหรัฐ ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 0.1%

    เป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในเรื่องราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้กราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคก็ต้องมีการเรียกร้องเพิ่ม ราคาขึ้นมาจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ประชาชนย่อมได้รับผลกระทบจากราคาสินค้า ที่จะแพงขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน แม้ว่าทางด้านกรมการค้าภายใน กระทรวง พาณิชย์ จะได้มีการประชุมขอความร่วมมือกับผู้ผลิตสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของประชาชนให้ชะลอการปรับราคาขึ้นไว้ก่อน ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถ ยับยั้งการปรับราคาได้นานเท่าไหร่ เพราะในที่สุดคงต้องยอมให้มีการปรับสินค้าบางชนิดขึ้นไปตามความเป็นจริงของต้นทุนในการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น
    ปัญหาการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันอย่างต่อ เนื่อง ผู้ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนมีรายได้ประจำต้องประสบปัญหาอย่างแน่นอน ทาง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกสำรวจพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนกรุงเทพมหานครที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท ซึ่งเป็นชนชั้นกลางของประเทศ สำรวจพบว่าประชาชนได้ปรับพฤติกรรมในการลดค่าใช้จ่ายลงมา อาทิ ลดการท่องเที่ยว ลงมา ลดความถี่ในการไปรับประทานอาหารนอกบ้าน หันมาทำอาหารทานเองที่บ้าน และรับประทานอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่า ประชาชนยังลด การใช้บริการสถานเสริมสวย การดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ การชมคอนเสิร์ต รวมทั้งลดการซื้อหนังสือ และแต่ละครัวเรือนพยายามหามาตรการลดค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าไฟค่าน้ำ โดยลดการใช้เครื่องปรับอากาศ ลดการดูโทรทัศน์ วิดีโอ ลดการใช้โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

    จากภาวะราคาน้ำมันแพง ทำให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าจะต้องพึ่งตัวเองให้มากโดยหันมาใช้จ่ายอย่างพอเพียง ไม่ใช้จ่ายเกินตัวที่จะทำให้เกิดหนี้สินเพิ่มขึ้น ถ้าประชาชนทุกคนช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้จ่ายให้ประหยัดโดยยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นภาวะที่เกิดขึ้นทั่วโลกมิใช่ที่ประเทศไทยที่เดียว แม้ว่าสินค้าจะได้ทยอยกันขึ้นราคาไป ก็จะไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อความเป็นอยู่มากนัก ที่สำคัญรัฐบาลจะต้องมีมาตรการเสริมให้เห็นเป็นรูปธรรมออกมาช่วยเหลือรองรับอย่างเร่งด่วน เพื่อที่ประชาชนคนไทยทุกระดับสามารถฝ่าฟันวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังประสบอยู่ผ่านพ้นไปได้อย่างพอกินพออยู่พอใช้.

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: left"><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-bold>คอลัมน์ย้อนหลัง</TD></TR><TR><TD><TABLE id=ctl00_ContentPlaceHolder1_ctl00_Popup_news_15_oldcolumn1_dlsOColumn style="WIDTH: 100%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ต้องช่วยกันประหยัดยุคน้ำมันแพง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ขอคนรถไฟอย่ามี
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องพระพิมพ์ที่เข้าประกวด

    ผมขอเตือนไว้นะครับ ห้ามนำพระพิมพ์ที่เข้าประกวดทุกประเภท ทุกๆองค์ที่นำเข้าประกวด ห้ามนำมาห้อยคอโดยเด็ดขาด เพราะว่าท่านจะได้พระแท้นอก-เก๊ใน (เนื้อหาทรงพิมพ์แท้ แต่พลังอิทธิคุณ(พลังพุทธคุณ ที่วงการพระเครื่องเรียก) ไม่มีแล้ว)

    .
     
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ทำใจกล้าๆหน่อย เวลาลงไปที่"แดน"นั้น อย่าทำตกอกตกใจไปเมื่อวันนั้นมาถึง น่าเห็นใจที่ไม่สามารถจะคาบ"ข่าวคาว"มาบอกว่าตัวเองกำลังรับผลกรรมอะไรบางอย่างอยู่
     

แชร์หน้านี้

Loading...