พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การกินเจของชาวจีนนั้นเป็นการถือศีลบูชาดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวง และถือไป 9 วัน เริ่มต้นในเดือนที่ 9 (ของจีน) หรือประมาณเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปี ในการกินเจนั้นก็คือการถือศีลงดเว้นการกินเนื้อสัตว์ก็ไม่ต้องมีใครเบียดเบียนชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง รวมทั้งศีล 5 ที่ชาวพุทธปฏิบัตินั่นเองเพียงแต่ชาวจีนจะถือเพื่อบูชาพระเคราะห์ ทั้งนี้เพราะตามคติมหายานถือว่าพระเคราะห์ทั้ง 9 คือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ เป็นผู้บริหารธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และธาตุทอง ให้โลกเราเป็นไปปกติ
    อย่างไรก็ดี บางตำนานก็กล่าวว่า การกินเจเนื่องมาแต่การไว้ทุกข์ให้แก่พระมหากษัตริย์ คือ มีพระมหากษัตริย์องค์หนึ่งทรงหนีข้าศึกไปสวรรคตในทะเล ราษฎร์ชาวฮั่น (คนจีนเดิม) จึงเกิดความอาลัยในพระองค์เป็นอย่างมาก จึงพากันสยายผมนุ่งขาวห่มขาวกินเจไว้ทุกข์ให้แก่พระองค์ท่านทั้งแผ่นดิน ฝ่ายศัตรูผู้ยึดครองอยู่เห็นพฤติกรรมผิดแกติดังนั้นก็ถาม ครั้นจะบอกความจริงว่าไว้ทุกข์บำเพ็ญอุทิศส่วนกุศลให้แก่กษัตริย์องค์ก่อนก็เกรงจะถูกขัดขวางและมีอันตราย จึงแกล้งบอกไปว่าทำพิธีบูชาดาว จึงกลายเป็นพิธีบูชามาทุกวันนี้
    อนึ่งในการกินเจทุกวัน พอถึงวันที่ 8 นับจากวันกินเจ เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ผู้ที่กินเจจะพากันไปลอยกระทงเพื่อบำเพ็ญกุศลอุทิศทางน้ำเพื่อประกาศให้พระเขี้ยวแก้และนาคราชในบาดาลเชื้อเชิญ ปรทัตตูปชีวีเปรตทั้ง 36 ประเภท ให้มารับส่วนบุญในการบำเพ็ญกุศลครั้งนี้
    ส่วนกรณีคนไทเชื้อสายจีนวันสุดท้ายก่อนออกเจจะจะเรือสำเภาลอยแทนถือเป็นการบูชาพระเคราะห์เพื่อความสวัสดิมงคล ให้ทำมาค้าขึ้น
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พี่คิดว่าตามประเพณี ๙ วัน แต่บางท่านอาจจะอยากให้รู้สึกว่าเก้าจริงๆ คือไม่อยากให้มีอาหารที่เป็นเนื้อค้างในกระเพาะ หรือลำไส้ใหญ่ และเล็กเลย จึงอาจจะใช้วิธีทานเป็น ๑๐ วัน เพื่อเอา"เจ"ล้าง"ชอ" ล่วงหน้าไปก่อนครับ ช่วงนี้ก็ดูหน่อยก็ดีนะครับ เจน่ะดี แต่ภาชนะที่ใส่เจอาจมีปัญหาสารตะกั่วปนเปื้อน..
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ..... ปัญหาที่เกิดขึ้นและไม่มีการยุติของการนิยมพระเครื่องก็คือ ฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า“วงการ” และ “นอกวงการ” ต่างมีทัศนะและแนวโน้มไปคนละอย่าง หากจะถือเป็นตำราก็นับเป็นฉบับมาตรฐานกับฉบับพิสดารฝ่ายวงการนับเป็นสำนักมาตรฐาน มีการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน อาศัยการศึกษาและกฎเกณฑ์จากของที่เชื่อกันว่าของแท้ จำกัดในเนื้อหา ทรงพิมพ์ หรือของที่ขุดค้นพบจากกรุใดกรุหนึ่ง เป็นบุคคลที่คลุกคลีกับพระเครื่องโดยตรง หูไวตาไวทราบการเคลื่อนไหวของราคาพระในท้องตลาด นิยมการแลกเปลี่ยนเช่าซื้อ และปฏิบัติเพียงอามิสบูชา เหตุที่ปฏิเสธในด้านทางใน เพราะเหตุที่ว่า การเช่าซื้อแลกเปลี่ยนก็ดี เพียงใช้แว่นเป็นเครื่องตรวจ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีภูมิธรรมอันใดจะแสดงออกมาได้ว่าซาบซึ้งถึงภายใน การแห่ก็ดี การประกวดพระก็ดี ถ้าจะยึดหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบทางในจะเกิดปัญหาแตกร้าวกันขึ้น เพราะจะเชื่อว่าใครเป็นผู้วิเศษ แลเชื่อว่าใครบริสุทธิ์ใจ หรือบริสุทธิ์ใจแต่ตรวจไปปรากฏว่าเป็นพระเครื่องที่เสื่อมคุณภาพ เปรียบเสมือนคนตายแล้ว หรือผู้ที่โกนคิ้วปลงผมห่มกาสาวพัตรแต่มิได้บรรพชาอุปสมบทจะนับเป็นพระภิกษุได้หรือไม่ จึงตัดเรื่องคุณภาพออกไป ของเพียงให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์เป็นอันใช้ได้ ถึงกระนั้นก็ตามราคาพระจะถูกแพงคุณภาพภายในก็มีบทบาทเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาใคร่ครวญมิใช่น้อย และมีส่วนสนับสนุนอยู่ด้วย พิจารณาแล้วรู้สึกชัด ๆ ชอบกลอยู่ คือไม่ยอมเชื่อแต่อยากรู้ การกล่าวถึงพระเครื่องถ้าไม่กล่าวถึงคุณวิเศษ ก็เสมือนแกงอ่อนพริก มันก็ไม่ใช่แกงที่ดีและหมดรสอร่อย ประเภทนี้เรียกว่าฝึกพลังภายนอก เป็นพวกวัตถุนิยม ส่วนพวกนอกวงการนั้น กระจัดกระจายทั่วไปมิได้รวมตัวเป็นกลุ่มก้อน สะสมพระเครื่องด้วยใจรักและศรัทธา ไม่นิยมการแลกเปลี่ยนเช่าซื้อ บางท่านก็ประพฤติในด้านปฏิบัติบูชาชอบค้นคว้าในศาสตร์เร้นลับอย่างกว้างขวาง ถ้าเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกปรือพลังภายนอกมาพอควรก็มักจะปลีกตัวไปในแนวทางอันสงบ มิได้คลุกคลีกับพระเครื่องถึงขั้นวสี จากการหากฎเกณฑ์อันตายตัวมิได้ ทั้งระดับความรู้ห่างไกลกัน จะจัดเป็นสำนักอันมิเป็นมาตรฐานก็ยังไม่ได้ เพียงแต่อาศัยการแห่จากผู้ทรงคุณวุฒิทางในเป็นเทรนเนอร์ ถ้าเทรนเนอร์นั่นเก่งจริงก็รอดตัว ถ้าไปคบเทรนเนอร์กำมะลอก็อาจตกห้วยตกเหวได้ง่าย ๆ จำพวกนี้ต้องการเพียงเสาะแสวงหาของดีและของม้ามืดไว้ใช้ เรียกว่าฝ่ายพลังภายใน .....

    ที่มา หนังสือปู่เล่าให้ฟัง
    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร สงวนลิขสิทธิ์

    .<O:p</O:p<!-- / message --><!-- sig -->
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อย่าประมาทของดีก็มีการเสี่อมตามสภาวธรรม<O:p</O:p

    ผู้เขียนจะกล่าวอีกศาสตร์หนึ่ง เพราะเห็นว่ายังไม่เข้าใจกัน อย่าว่าผู้เขียนอวดรู้เลย เพียงเป็นวิทยาทานเท่านั้น ผู้เขียนต้องใช้สมองความคิดเหนื่อยกายเหนื่อยใจมิใช่น้อย มิได้นั่งคัดตำรา กล่าวออกมาด้วยประสบการณ์และใจจริงเท่านั้น หากไม่เป็นที่พอใจจะไม่เชื่อก็ได้ ผู้เขียนไม่โต้แย้งคัดค้านไม่ว่าในกรณีใดๆทั้งสิ้น
    <O:p</O:p
    ธรรมชาติในโลกย่อมมีการเสื่อมสิ้นไปตามสภาวธรรมทุกรูปทุกนาม ทั้งสิ่งที่มีวิญญาณครองและสิ่งปราศจากวิญญาณครอง จะสังเกตดูตัวเองนับวันจะแก่ชราหูตามัว ผมเผ้าหงอกขาว เนื้อหนังหดเหี่ยว หูตาก็ขาดความว่องไว เหลียวมองดูบ้านเรือนมันก็ทรุดโทรมปักหลักพัง เพราความทนอยู่มิได้ นี่คือทุกข์อริยสัจ พุทธองค์ก็บอกว่า มันเสื่อม ทนอยู่ไม่ได้ดอก สิ่งที่เป็นพลังงานก็เสื่อม หม้อแบตเตอรี่ใช้นานวันเข้าก็ต้องอัดใหม่ จิตก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง เหตุไฉนจักไม่มีการเสื่อม เพียงแต่เสื่อมช้าหรือเร็วเท่านั้น พระเครื่องบางองค์เปิดออกจากกรุที่บรรจุไว้เป็นเวลานานเสื่อมซึ่งอำนาจแห่งกฤตยาคมก็มี และบางองค์ที่ยังไม่เสื่อมก็มี เพราะอย่างไรพระเครื่องก็มิได้นับเป็นอมตะธรรม เกิดได้ก็ดับได้เป็นของคู่กัน อย่าไปคิดในแง่มิจฉาทิฐิว่า ชื่อว่าเป็นทองคำแล้วไม่มีการเสื่อม ไม่เชื่อทดลองดูก็ได้ ไปซื้อสร้อยทองคำมาเส้นหนึ่ง พอรุ่งขึ้นนำไปขาย ราคาจะเสื่อมลงทันที โดยถูกหักค่ากำเหน็จ เรียกว่าพอออกจากร้านก็ใช้ได้ ทีนี้ใช้ไปนานๆลองไปชั่งดูใหม่ว่าน้ำหนักมันจะคงที่หรือเปล่า หากจะเปรียบกันพริกมูลหนู กล่าวว่าแม้จะหล่นลงในส้วมนำมาล้างน้ำก็ยังคงมีรสเผ็ดร้อนเช่นเดิม ทำไมเอาพริกมูลหนูหรือทองคำไปอุปมาอุปมัยกับพระเครื่อง เราก็วิ่งเป็น รถยนต์ก็วิ่งเป็น ลองวิ่งแข่งกันดูสัก 50 กิโลเมตร รถยนต์ลิ้นไม่ห้อย แต่กลัวว่าเราจะหัวใจวายเสียก่อน เป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ถูกต้อง

    ที่มา หนังสือปู่เล่าให้ฟัง
    ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร สงวนลิขสิทธิ์
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post310977 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> 04-09-2006, 07:33 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1304 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรื่องของคุณ ( ต่อ 2 ) โดยปรัศนี ประชากร<O:p</O:p

    <O:p</O:p


    อรหัตคุณ<O:p</O:p

    คือ พระอเสขะ ( ผู้ไม่ต้องศึกษา ) หรือ อนุปาทิเสสบุคคล ( ผู้ไม่มีเชื้อ คือ อุปาทานเหลืออยู่เลย คือ พระอรหันต์ ผู้ควร ( แก่ทักขิณาหรือการบูชาพิเศษ ) หรือ ผู้ฝ่ากำแพงแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้สิ้นอวะ เป็นผู้ทำได้บริบูรณ์ในสิกขาทั้งสามคือ สมาธิ และปัญญา ละสังโยชน์เบื้องสูงได้อีก 5 ข้อ ( รวมเป็นละสังโยชน์ทั้งหมด 10 ข้อ )<O:p</O:p
    อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ( สังโยชน์เบื้องสูง หรือขั้นละเอียด ) 5 อย่าง คือ<O:p</O:p
    1. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันปราณีต เช่น ติดใจอารมณ์แห่งรูปฌาน พอใจในรสความสุข ความสงบของสมาธิขั้นรูปฌาน ติดใจปารถนาในรูปภพ เป็นต้น<O:p</O:p
    2. อรูปราคะความติดใจในอรูปธรรม เช่น ติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน ติดใจปรารถนาในอรูป เป็นต้น<O:p</O:p
    3. มานะ ความถือตัว หรือสำคัญตนเป็นนั่นเป็นนี่ เช่นว่าสูงกว่าเขา เท่าเทียมเขา ต่ำกว่าเป็นต้น<O:p</O:p
    4. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน จิตใจไม่สงบ ว้าวุ่น ซัดส่าย ติดพล่านไป<O:p</O:p
    5. อวิชชา ความไม่รู้จริง ไม่รู้เท่าทันสภาวะ ไม่เข้าในกฎธรรมดาแห่งเหตุและผลหรือไม่อริยสัจจ์
    <O:p</O:p


    จำแนกอรหัตคุณ<O:p</O:p

    1. พระปัญญาวิมุต คือ ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา ได้แก่ ท่านผู้มุ่งหน้าบำเพ็ญแต่วิปัสสนา อาศัยสมเพียงใช้สมาธิเท่าที่จำเป็น พอเป็นบาทฐานของวิปัสสนาให้บรรลุอาสวักขยญาณเท่านั้น ได้สมถะไม่เกินรูปฌาน 4 ไม่มีความสามารถพิเศษ เช่น เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ ไม่ได้โลกียอภิญญา 5 เป็นต้น จำแนกได้ดังนี้<O:p</O:p
    ก. พระสุกขวิปัสสก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน ได้สมาธิถึงระดับฌานต่อเนื่องถึงขณะแห่งมรรค<O:p</O:p
    ข. พระปัญญาวิมุติได้ฌาน 4 อย่างน้อยขั้นหนึ่งก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนาที่ให้บรรลุอรหัตต<O:p</O:p
    ค. ปฏิสัมภิทัปปัตตะ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4 คือ ได้ปัญญาแตกฉาน 4 ประการ<O:p</O:p
    1) อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ หรือปรีชาแจ้งเจนในความหมาย<O:p</O:p
    2) ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม ปรืดปรีชาแจ้งเจนในหลัก <O:p</O:p
    3) นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุกติ หรือปรีชาแจ้งเจนในภาษา<O:p</O:p
    4) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ หรือปรีชาแจ้งเจนในความคิดทันการ<O:p</O:p
    2. พระอุภโตภาควิมุต แปลว่า ผู้หลุดพ้นโดยส่วนทั้งสอง คือ หลุดพ้นจากรูปกายด้วยอรูปสมบัติ และหลุดพ้นจากนามกายด้วยอริมรรค เป็นการหลุดพ้น 2 วาระ คือ ด้วยวิกขัมภนะ ( กดข่มกิเลสในด้วยกำลังสมาธิของฌาน ) หนหนึ่ง และด้วยสมุจเฉท ( ตัดกิเลสถอนรากเง่าด้วยปัญญา ) อีกหนหนึ่ง จำแนกได้ดังนี้<O:p</O:p
    ก. พระอุภโตภาควิมุต คือ พระอรหันต์ผู้ได้สมถะถึงอรูปฌานอย่างน้อยหนึ่งขั้น แต่ไม่ได้วิชชา โลกียอภิญญา<O:p</O:p
    ข. พระเตวิชชะ พระอรหันต์ผู้ได้วิชชา 3 คือ พระอุภโตภาควิมุตนั้น ผู้ได้วิชา 3 ด้วย<O:p</O:p
    1) ปุพเพนิวานานุสติญาณ ญาณเป็นเหตุระลึกได้ซึ่งขั้นที่เคยอยู่อาศัยในก่อนคือ การระลึกชาติได้<O:p</O:p
    2) จุตูปปาตญาณ ญาณหยั่งรู้การจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปตามกรรม ถือว่า ตรงกับ ทิพพจักขุ หรือ ทิพยจักษุ<O:p</O:p
    3) อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายหรือความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ<O:p</O:p
    ค. พระฉฬภิญญะ พระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 คือ พระอุภโตภาควิมุตผู้ได้อภิญญา 6 ด้วย คือ<O:p</O:p
    1) อิทธิวิธา หรืออิทธิวิธี ความรู้ที่ทำให้แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้<O:p</O:p
    2) ทิพพโสต ญาณที่ทำให้เกิดหูทิพย์<O:p</O:p
    3) เจโตปริยญาณ ญาณที่ทำให้กำหนดใจคนอื่นได้ คือทายใจเขาได้<O:p</O:p
    4) ปุพเพนิวาสานิสุติ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้<O:p</O:p
    5) ทิพพจักขุ ญาณที่ทำให้เกิดตาทิพย์<O:p</O:p
    6) อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป<O:p</O:p
    ช. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ พระอรหันต์อุภโตภาควิมุตผู้บรรจุปฏิสัมภิทา 4 อย่างที่กล่าวแล้วข้างต้น เมื่อรวมเข้าเป็นชุดเดียวกัน และเรียงตามชื่อที่ใช้เรียกมี 6 ประเภทดังนี้<O:p</O:p
    1. พระสุกขวิปัสสก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน<O:p</O:p
    2. พระปัญญาวิมุต ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา ( ที่นอกจากสุกขวิปัสสก )<O:p</O:p
    3. พระอุภโตภาควิมุต ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน<O:p</O:p
    4. พระเตวิชชะ ผู้ได้วิชชาสาม<O:p</O:p
    5. พระฉฬภิญญะ ผู้ได้อภิญญาหก<O:p</O:p
    6. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทาสี่<O:p</O:p
    พระอรหันต์องค์ใดเป็นทั้งฉฬภิญญะ และปฏิสัมภิทัปปัตตะ ย่อมเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนบริบูรณ์ครอบคลุมทั้งหมด<O:p</O:p
    ที่กล่าวมานี้ก็คือ อรหัตคุณ<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    (เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)

    <O:p</O:p********************************************************
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post311663 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">05-09-2006, 07:47 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1312</TD></TR></TBODY></TABLE>

    มาต่อ เรื่องของคุณ ครับ

    เรื่องของคุณ ( ต่อ 3 ) โดยปรัศนี ประชากร<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระพุทธคุณ<O:p</O:p

    เมื่อได้กล่าวถึงอริยคุณ อรหัตคุณ เป็นพื้นฐานแล้ว ต่อไปจะได้จำกัดความของคำว่า “ พุทธคุณ “ อันคือ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งเป็นคุณโดยเฉพาะของพระพุทธเจ้า พระอรหันตาเจ้าและพระปัจเจกโพธิ์เจ้ายังมีคุณไม่เท่าเทียม พระปัจเจกโพธิ์เจ้าไม่สามารถสั่งสอนสัตว์โลกได้ พระอรหันตาเจ้าก็มีถึง 6 ประเภท มีคุณต่างกันไม่เป็นมาตรฐานเพียงแต่สิ้นอาสวิวิสัยสังโยชน์เหมือนกันเท่านั้น พระพุทธองค์ตรัสรู้พระสัทธรรมอันขาวสะอาดขัดเกลากิเลสตัดอนุสัยสังโยชน์เครื่องร้อยด้วยเจโตวิมุต และปัญญาวิมุตเรียกว่าอุภโตภาควิมุต และสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้บรรลุถึงอรหัตผลได้จำนวนมากพระองค์คิดค้นทั้งภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎี ได้โดยไม่มีครูสั่งสอน พระปัญญาธิคุณนั้นทรงสัพพัญญารู้แจ้งแทงตลอดในสัจจธรรมทั้งหลายทั้งปวง โลกะวิทู แจ้งโลกเป็นครูของมนุษย์ เทวดา ตลอดทั้งอินทร์พรหม ตามพระบาลีกล่าวถึงแสงสว่างแห่งดวงปัญญา เช่นในการระลึกชาติไว้ดังนี้<O:p</O:p
    ความสว่างไสวในการระลึกชาติได้ แห่งโยคีและพระฤาษีซึ่งเป็นเยรถีย์ภายนอกพระพุทธศาสนานั้น ย่อมเปรียบได้กับรัศมีสีแสงแห่งหิ่งห้อย<O:p</O:p
    ความสว่างไสวในการระลึกชาติได้ แห่งพระปรกติสวกทั้งหลาย ย่อมเปรียบได้กับเสงสว่างแห่งแสงประทีป<O:p</O:p
    ความสว่างไสวในการระลึกชาติได้ แห่งพระอสิติมหาสวกทั้งหลาย ย่อมเปรียบได้กับแสงสว่างแห่งคบเพลิง<O:p</O:p
    ความสว่างไสวในการระลึกชาติได้ แห่งพระอัครสาวกทั้งหลาย ย่อมเปรียบได้กับแสงสว่างแห่งดาวประกายพรึก<O:p</O:p
    ความสว่างไสวในการระลึกชาติได้ของแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเปรียบได้กับแสงสว่างแห่งดวงจันทร์เจ้า<O:p</O:p
    ความสว่างไสวในการระลึกพระชาติได้ แห่งองค์สมเด็จสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมเปรียบได้กับแสงสว่างแห่งพระสุริยมณฑลอันแจ่มแจ้งในสรทกาล ซึ่งตระการไปด้วยรัศมีเป็นอันมาก<O:p</O:p
    สำหรับพระมหากรุณาธิคุณไม่มีกล่าวไว้สำหรับพระอรหันต์ เว้นแต่ท่านจะปารถนาพระพุทธพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นพระนิยตโพธิสัตว์มาก่อน โพธิกิจของพระองค์จึงหาที่อุปมามิได้ ด้วยปณิธาณที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากโอฆะสงสาร และบำเพ็ญเพียรมานานนับชาติไม่ถ้วนอย่างนี้แล้ว อิฐ หิน ดิน ปูน โลหะ อันจัดอยู่ในประเภทเครื่องรางของขลัง เหตุใดจึงเรียกกันว่ามีพุทธคุณซึ่งพิจารณาดูแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ชนชาวพระเครื่องไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่สนใจในพระพุทธศาสนาจึงไม่สามารบัญญัติติศัพท์ที่ถูกต้องได้ ทั้งไม่คิดจะแก้ไขอีกด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    (เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)

    .<O:p</O:p
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post312309 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">06-09-2006, 07:48 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1313</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรื่องของคุณ ( ต่อ 4 ) โดยปรัศนี ประชากร<O:p</O:p

    <O:p</O:pเอกคุณ<O:p</O:p

    ทีนี้จะกล่าวถึงพระเครื่องบ้างละ คำว่าเอกคุณไม่เคยใช้กันมาก่อนและก็ไม่จำเป็นที่จะใช่เว้นในกรณียพิเศษซึ่งหาคำใดเหมาะสมกว่านี้ไม่ได้ “ เอกคุณ “ คือคุณที่จัดเป็นเด่นเป็นเอกลักษณ์ของพระเครื่องชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งก็เป็นไปในด้านของนาม พระเครื่องนั้นโดยปกติย่อมมีคุณสมบัติหลายประการด้วยกัน แต่ชาวพระเครื่องมักจะมองในจุดเด่น เช่นพระรอดมีเอกคุณในด้านแคล้วคลาด ขึ้นชื่อว่าพระรอดไว้ว่ากรุใดย่อมมีความดีเด่นในด้านแลัวคลาดส่วนใหญ่ แต่ส่วนอื่นของท่านก็ไม่ต่ำกว่า 3 อย่าง พระหลวงพ่อหรือหลวงพ่อโป้มีเอกคุณทางชาตรี ทนตะพดดีนัก ส่วนแคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุดบางกรุก็มี พระกริ่งคลองตะเคียน เอกคุณทุกองค์ดีทางคงกระพัน นอกนั้นให้สังเกตตัวนะอักรวิเศษที่ลงด้านหลัง เช่นนะคนึงหา จะดีเด่นทางเสน่ห์ นะหน้าทอง จะดีเด่นทางมหานิยม แต่จุดยืนคือ คงกระพัน ที่สมมุติจุดยืนผิดคือพระนางพญาพิษณุโลกกรุแรก เป็นพระหน้าศึก ไม่มีเมตตามหานิยม มีแต่คงกระพันลูกเดียว

    <O:p</O:p</O:p
    (เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)



    <O:p</O:p*******************************************************
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post313137 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">07-09-2006, 08:28 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1320 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรื่องของคุณ ( ต่อ 5 ) โดยปรัศนี ประชากร<O:p</O:p




    อิทธิคุณ
    <O:p</O:p

    “ อิทธิ แปลว่าความสำเร็จ ความสัมฤทธิ์ การได้จำเพาะ การถูกต้อง การประจักษ์แจ้ง การบำเพ็ญให้ถึงพร้อมด้วยธรรมเหล่านั้น<O:p</O:p
    อิทธิ แปลว่า ฤทธิ์ อย่างที่เรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ “ ภิกษุทั้งหลาย อิทธิเป็นไฉน ( กล่าวคือ ) ภิกษุในธรรมวินัย ย่อมประกอบฤทธิ์ต่าง ๆ ได้มากมายหลายอย่าง คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา กำแพง ภูเขา ไปได้ไม้ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ใช้มือจับต้องลูบคลำพระจันทร์ พระอาทิตย์ก็ได้ ซึ่งมีกำลังฤทธิ์เดชมากมายถึงเพียงนี้ก็ได้ ใช้อำนาจทางกายถึงพรหมโลกก็ได้ นี้เรียกว่า อิทธิ
    <O:p</O:p
    ในสมัยพุทธกาล เคยมีบุตรคฤหบดีผู้หนึ่งทูลขอให้พระพุทธองค์แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ โดยกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมืองนาลันทานี้เจริญรุ่งเรือง มีประชาชนมาก มีผู้คนกระจายอยู่ทั่ว ต่างเลื่อมใสในองค์พระผู้มีพระภาค ขออันเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดรับสั่งพระภิกษุไว้สักรูปหนึ่งที่จะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมเหนือมนุษย์ โดยการกระทำเช่นนี้ ชาวเมืองนาลันทานี้ก็จักเลื่อมใสยิ่งนักในพระผู้มีพระภาคเจ้าสุดที่จะประมาณ “<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบบุตรคฤหบดีผู้นั้นว่า<O:p</O:p
    “ นี่แน่ะเกวัฎฎ์ เรามิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า มาเถิด ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะกระทำอิทธิปาฏิหารย์ ซึ่งเป็นธรรมเหนือมนุษย์ แก่ชนนุ่งขางชาวคฤหัสถ์ทั้งหลาย “<O:p</O:p
    พระองค์ได้ตรัสแสดงเหตุผลต่อไปว่า ในบรรดาปาฏิหาริย์ 3 อย่างนั้น ทรงรังเกียจ ไม่ที่โปรดไม่โปร่งพระทัยต่ออิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทศนาปาฏิหาริย์ เพราะทรงเห็นโทษว่า คนที่เชื่อเห็นจริงตามไป ส่วนคนที่ไม่เชื่อได้ฟังแล้ว ก็หาช่องขัดแย้งคัดต้านเอาได้ว่า ภิกษุที่ทำปาฏิหาริย์นั้น คงใช้คันธารีวิทยา และมณิกาวิทยา ทำให้คนมัวทุ่งเถียงทะเลาะกัน และได้ทรงชี้แจงความหมายและคุณค่าของอนุสาสีปาฏิหาริย์ให้เห็นว่า เอามาใช้ปฏิบัติเป็นประโยชน์ประจักษ์ได้ภายในตนเองจนบรรลุถึงอาสวักขัย อันเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นยังทรงยกตัวอย่าง ภิกษุรูปหนึ่งมีฤิทธิ์มาก อยากจะรู้ความจริงเกี่ยวกับจุดดับสิ้นของโลกวัตถุธาตุ จึงเหาะเที่ยวไปในสวรรค์ ดั้นด้นไปแสวงหาคำตอนจนถึงพระพรหม ก็หาคำเฉลยที่ถูกต้องไม่ได้ ในที่สุดต้องเหาะกลับลงมาแล้วเดินดินไปทูลถามพระองค์เพื่อความรู้จักโลกตามความเป็นจริงแสดงถึงอิทธิปาฏิหาริย์มีขอบเขตจำกัด อับจนและมิใช่แก่นธรรม
    <O:p</O:p
    บาลีอีกแห่งหนึ่งชี้แจงเรื่องอิทธิวิธี ( การแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ ) ว่ามี 2 ประเภทคือ<O:p</O:p
    1. ฤทธิ์ที่มีใช่อริยะ คือ ฤทธิ์ที่ประกอบด้วยอาสวะ ยังมีอุปธิ ( มีกิเลส และทำให้เกิดทุกข์ได้ ) ได้แก่ ฤทธิ์ที่เข้าใจกันทั่ว ๆ ไป ดังได้บรรยายมาข้างต้น คือ สมณะหรือพราหมณ์ ( นักบวช ) ผู้ใดผู้หนึ่งบำเพ็ญเพียรจนได้เจโตสมาธิ แล้วแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ เช่นแปลงตัวเป็นคนหลายคน ไปไหนก็แหวกทะลุฝ่ากำแพงเหิรฟ้า ดำดิน เดินบนน้ำ เป็นต้น<O:p</O:p
    2. ฤทธิ์ที่เป็นอริยะ คือ ฤทธิ์ที่ไม่ประกอบด้วยอาสวะ ไม่มีอุปธิ ( ไม่มีกิเลส ไม่ทำให้เกิดทุกข์ ) ได้แก่ การที่ภิกษุสามารถทำใจกำหนดหมายได้ตามต้องการ บังคับความรู้สึกของตนได้ จะให้มองเห็นสิ่งที่น่าเกลียดเป็นไม่น่าเกลียดก็ได้ เช่น เห็นคนหน้าตาน่าเกลียดชัง ก็วางจิตเมตตาทำใจให้รักใคร่มีเมตรี ได้ เห็นสิ่งที่ไม่น่าเกลียดเป็นน่าเกลียดก็ได้ เช่น เห็นคนรูปร่างน่ารักยั่วยวนให้เกิดราคะ จะมองเป็นอสุภะไปก็ได้ หรือจะวางใจเป็นกลางเฉยเสีย ปล่อยวางทั่งทั้งสิ่งที่น่าเกลียดและไม่น่าเกลียดก็ได้ เช่นในกรณีที่จะใช้ความคิดพิจารณาอย่างเที่ยงธรรม ให้เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง เป็นต้น <O:p</O:p
    เรื่องฤทธิ์ทั้ง 2 ประเภท นี้ ย่อมทำให้เห็นว่า อิทธิปาฏิหาริย์จำพวกฤทธิ์ที่เข้าใจกันทั่วไป ซึ่งทำอะไรได้ผาดแผลงพิสดารเป็นที่น่าอัศจรรย์นั้น ไม่ได้รับความยกย่องในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หลักการที่แท้ของพระพุทธศาสนา ฤทธิ์ที่สูงส่งดีงามตามหลักพระพุทธศาสนา ไม่มีพิษมีภัยแก่ผู้ใด เป็นเครื่องมือสร้างคุณธรรมกำจัดกิเลส<O:p</O:p
    เมื่อพิจารณาในแง่ผลต่อคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับฤทธิ์แล้ว คราวนี้มาลองพิจารณาดูแนวปฏิบัติจากพระจริยาวัตรของพระบรมศาสดาและพระสาวกทั้งหลสยผู้เรืองฤทธิ์ ว่าท่านใช้ฤทธิ์หรือปฏิบัติ ต่ออิทธิปาฏิหาริย์อย่างไรกัน สำหรับพระพุทธองค์นั้น ปรากฏชัดจากพุทธดำรัสที่อ้างแล้วข้างต้นว่าทรงรังเกียจ ไม่ทรงโปรดทั้งอิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทศนาปาฏิหาริย์ แต่ทรงสนับสนุนอสุสาสนีปาฏิหาริย์ และทรงใช้ปาฏิหาริย์ข้อหลังนี้อยู่เสมอ เป็นหลักประจำแห่งพุทธกิจ หรือว่าให้ถูกแท้นับเป็นตุวพุทธกิจที่เดียว ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลดังได้แจ้งแล้วข้างต้น แต่ก็ปรากฎอยู่บางคราวว่ามีกรณีที่ทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์บ้างเหมือนกัน และเมื่อพิจารณาจากกรณีเหล่านั้นแล้ว ก็สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์เฉพาะในกรณีที่จะทรมานผู้ทรงฤทธิ์ ผู้ถือฤทธิ์เป็นเรื่องสำคัญ หรือผู้ถือตัวว่าเป็นผู้วิเศษ ให้ละความหลงไหลมัวเมาในฤทธิ์ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ใช้ฤทธิ์ปราบฤทธิ์ เพื่อให้ชอบฤทธิ์หรือลำพองในฤทธิ์ ตระหนักในคุณค่าอันจำกัดของฤทธิ์ มองเห็นสิ่งอื่นที่ดีงามประเสริฐกว่าฤทธิ์ และพร้อมที่จะเรียนรู้หรือรับฟังสิ่งอันประเสริฐนั้น ซึ่งจะทรงชี้แจงสั่งสอนแก่เขาด้วยอนุสาสนีปาฏิหาริย์ต่อไป ตรงกับหลักที่กล่าวข้างต้นว่า ใช้อิทธิปาฏิหาริย์ประกอบอนุสาสนีปาฏิหาริย์ แต่เป็นการใช้ประกอบภายในขอบเขตจำกัดอย่างยิ่ง คือเฉพาะกรณีที่ผู้รับคำสอนฝักใฝ่ในฤทธิ์หรือเมาฤทธิ์ แสดงทิฎฐิมานะต่อพระองค์เท่านั้น เช่น เรื่องการทรมานพระพรหม เป็นต้น ส่วนพระมหาสาวกทั้งหลาย ก็มีเรื่องราวเล่ามาบ้างว่าใช้ฤทธิ์ประกอบอนุสาสนีแก่ผู้ฝักใฝ่ฤทธิ์ เช่น เรื่องที่พระสารีบุตรสอนหมู่ภิกษุศิษย์พระเทวทัตด้วยอาเทศนาปาฏิหาริย์ควบภัยอนุสาสนีปาฏิหาริย์ พระมหาโมคคัลลาน์ สอนด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ควบกับอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ส่วยการทำอิทธิปาฏิหาริย์เพื่อช่วยเหลืออนุเคราะห์ มีเรื่องเล่ามาบ้างน้อยเหลือเกิน แต่กรณีที่ของร้องให้ช่วยเหลือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ไม่พบในพระไตรปิฎกเลยแม้แต่แห่งเดียว จะมีผู้ขอร้องพระบางรูปให้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์บ้าง ก็เพียงเพราะอยากดูเท่านั้น และการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้ชาวบ้านดู พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามไว้แล้ว ฤทธิ์ที่ถูกต้องตามหลักการของพระพุทธศาสนา มีทั้ง อามิสฤทธิ์ และธรรมฤทธิ์ โดยถือธรรมฤทธิ์เป็นหลักนำ


    <O:p</O:p(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)
     
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มาดูกันว่าองค์ไหนที่เรารู้จักกัน..

    <CENTER>[​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถร ในวันพิธีศพหลวงปู่มั่น[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][/FONT] </CENTER><CENTER><TABLE cellSpacing=0 cols=2 cellPadding=0 width="90%" border=0><TBODY><TR><TD>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]๑. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ( พิมพ์ ธมฺมธโร ) [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๒. พระพรหมมุนี ( ผิน สุวโจ ) [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๓. พระธรรมเจดีย์ ( จูม พนฺธุโล )[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๔. พระเทพวรคุณ ( อ่ำ ) [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๕. - [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๖. พระเทพญาณวิศิษฐ์ ( เติม )[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๗. พระอริยคุณาธาร(ปสฺโส เส็ง)[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๘. พระธรรมบัณฑิต [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๙. พระญาณวิศิษฐ์ ( สิงห์ ขนตฺยาคโม )[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๑๐. พระพิศาลสุธี ( ทองอินทร์)[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๑๑. - [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๑๒. หลวงปู่ขาว อนาลโย [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๑๓. - [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๑๔.เจ้าคุณพระราชฯ (เจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดนครพนม)[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๑๕. พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฐ์[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๓๕. พระสุธรรมคณาจารย์ ( แดง )[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๑๖. -[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๑๗. หลวงปู่ฝั้น อาจาโร [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๑๘. พระอาจารย์กว่า สุมโน [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๑๙. พระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)[/FONT]</TD><TD>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]๒๐. หลวงพ่อขุนศักดิ์ [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๒๑. หลวงพ่อทองสุข[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๒๒. -[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๒๓. -[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๒๔. พระครูอุดมธรรมคุณ(ทองสุข สุจิตฺโต)[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๒๕. เจ้าคุณพระราชฯ(วัดศรีโพนเมือง สกลนคร)[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๒๖. พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๒๗. พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๒๘. พระอาจารย์อ้วน[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๓๐. พระราชวุฒาจารย์(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๓๑. -[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๓๒. -[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๓๓ . พระเกตุ วณฺณโก[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๓๔. พระราชสังวรญาณ ( หลวงพ่อพุธ ฐานิโย )
    ๓๖. พระครูปัญญาวราภรณ์
    [/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๓๗. พระวินัยสุนทรเมธี(เจ้าคณะจ.ขอนแก่น)[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๓๘. พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๓๙. พระครูวุฒิวราคม ( พุฒ )[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ๔๐. พระอาจารย์อ่อนสา[/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=92191

    <TABLE class=tborder id=post746165 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px">วันนี้, 05:57 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #6 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_746165", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต



    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 05:47 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 15,742 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 18,883 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 88,511 ครั้ง ใน 12,019 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 10455 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_746165 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ผมมาแลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ

    เรื่องของปูนนั้น เท่าที่ผมได้ศึกษามา ปูนจะเป็นปูนเพชร ซึ่งนำเข้ามาจากประเทศจีน(เทือกเขาฮันซุย จากการค้าขายกับประเทศจีน) จะไม่ใช้ปูนเปลือกหอยในการสร้างพระพิมพ์ การใช้ปูนเปลือกหอยนั้น เป็นซากสัตว์เดรัจฉาน เทวดาจะไม่อยู่ในองค์พระพิมพ์ และองค์ผู้อธิษฐานจิต จะไม่สามารถอธิษฐานจิตลงไปได้ครับ

    ส่วนทรายทองนั้น เป็นมวลสารประเภทหนึ่งในการผสมลงบนพระพิมพ์ครับ

    ในพระวังหน้าหรือวังหลวง การสร้างนั้นจะต้องผสมเศษทองคำลงไปด้วยเสมอ บางรุ่นจะมีเศษเพชรหรือเศษพลอยอยู่ในองค์พระพิมพ์ บางรุ่นจะมีจ้าวน้ำเงิน(ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากๆประเภทหนึ่ง)

    การสร้างพระพิมพ์ของวังหน้า,วังหลวงและวังหลังนั้น เริ่มสร้างกันเมื่อประมาณปี พ.ศ.2367 จวบจนปลายรัชกาลที่ 6 พระพิมพ์ที่ตั้งแต่เริ่มสร้างนั้น องค์ผู้อธิษฐานจิตจะมีตั้งแต่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ,หลวงปู่แสง(พระอาจารย์สมเด็จโต) ,สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน จนถึงปลายรัชกาลที่ 6 คือสมเด็จพระสังฆราชแพ (วัดสุทัศน์) ครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เอามาจากเวปลัทธิเต๋าแห่งไต้หวัน ช่วยกันเผยแพร่ไปด้วยนะ http://www.ctcwri.com/chapter.asp?id=995

    ส่วนที่เกี่ยวข้องครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    北斗第一陽明貪狼太星君

    北斗第二陰精巨門元星君

    北斗第三真人祿存真星君

    北斗第四玄冥文曲紐星君

    北斗第五丹元廉貞綱星君

    北斗第六北極武曲紀星君

    北斗第七天關破軍關星君

    北斗第八洞明外輔星君

    北斗第九隱光內弼星君
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    ธรรมจักรวาลนพเคราะห์บุราณพุทธนิรันตรายวัฒนะชันษามัญชูศรีสูตร <O:p></O:p>
    (ปักเต้า เซียว ไจ เอียง ซิ่ว เมียว เกง)<O:p</O:p
    ดาวนนพเคราะห์สูตร สุคนธ์บูชา สรรเสริญ<O:p</O:p

    ความหอมหวนของธูป. ที่อธิษฐานล่องลอยบูชาถึงพุทธเกษตรทั้งสิบทิศตถาคตเจ้าผู้มีวัฒนะชันษาอันหา ประมาณมิได้ต่างรับรู้ถึงคำอธิษฐาน. ทุก ๆ ธรรมสถานถูกปกคลุมด้วยเมฆอันมงคล ด้วยจิตศรัทธาอันยิ่งใหญ่ . ดลถึง พระพุทธองค์ทรงปารกฏด้วยรัศมี รับทราบในคำอธิฐาน
    นะโมพุทธะ โพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์
    นะโม พุทธะโพธิสัตว์ ธรรมสันนิบาต วัฒนะชันษาทุกองค์
    ธ รรมจักษุ อันลึกซึ้ง ร้อยพันหมื่นกัปป์ก็ยากยิ่งที่จะพบบัดนี้ข้าพเจ้า (พระมัญชูศรี) ก็ได้สดับรับฟัง จะขอปฏิบัติตามพุทธวจนะของพระพุทธองค์พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงธรรมจักรวาลนพ
    เคราะห์ บุราณ พุทธ นิรันตรายวัฒนะชันษาสูตร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังได้สดับรับฟังมาดัง นี้ ในขณะที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ สวรรค์ชั้นพรหมสุธาวาสท่ามกลางเหล่าทวยเทพ และท้าวสักกะท้าวมหาพรหม ธรรมบาลทั้งแปด พุทธบริษัทสี่ทรงแสดงหลักธรรมอันสำคัญ ซึ่งในขณะนั้น พระมัญชุศรี โพธิสัตว์ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญดังได้เห็นมาว่า พระมหาจักรพรรดิ ข้าราชบริพาร คหบดี ทุคตะ สรรพสัตว์ทั้งหลายพุทธบริษัทสี่ และธาตุทั้งห้า อีกทั้งเจตภูตต่าง ๆล้วนอยู่ในอำนาจแห่งการรักษาของดาวนพเคราะห์ ด้วยเหตุใดหนอ ด้วยเทพนพเคราะห์ทั้งเก้าพระองค์ จึงบริบูรณ์ด้วยเดชและอำนาจ ตลอดจนคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ปกครองทั่วทั้งจักรวาล ข้าแต่พระผู้มีพระ ภาคเจ้าผู้เจริญ ได้โปรดประกาศถึงคุณธรรมของดาวเทพนพเคราะห์ให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประจักษ์อ ันจะถือเป็นสรณะ ในขณะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระสุระเสียงตรัสตอบแด่พระมัญชุศรีโพธิ สัตว์ และท่ามกลางสันนิบาตทั้งหลายว่าสาธุ สาธุ . บัดนี้ตาถาคตจะประกาศแจ้งแก่เธอ และสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ทราบ

    ในขณะพ ุทธสมัย และที่เกิดในกาลต่อไป จะได้ประจักษ์แจ้งโดยทั่วกันถึงบุญญาธิการแห่งดาวเทพนพเคราะห์ อันอลังการไพศาลอภิบาลสรรพสัตว์ทั้งหลาย พระมหาเมตตากรุณาของดาวเทพนพเคราะห์แผ่ไปถึงเหล่าสรรพสัตว์ทั่วทุกสารทิศเป็ นมหาคุณานิสงส์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย.

    ในกาลนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจังมีพุทธดำรัสแสดงถึงพระนามแห่งอดีตพระพุทธเจ้าทั้งเก้าองค์ซึ่งอวตารเป็นดาวเทพนพเคราะห์อันมีรายนามดังต่อไปนี้

    <O:p</O:pดาวเทพนพเคราะห์องค์ที่หนึ่ง อวตาร เป็นพระสุริยะ
    สถิต ณ บูรพาพุทธเกษตร คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ

    ดาวเทพนพเคราะห์องค์ที่สอง อวตาร เป็นพระจันทรา
    สถิต ณ บูรพาพุทธเกษตร คือ พระศรีรัตนโลกประเภทโฆษอิศวรพุทธะ

    ดาวเทพนพเคราะห์องค์ที่สาม อวตาร เป็นพระอังคาร
    สถิต ณ บูรพาพุทธเกษตร คือ พระเวปุลลรัตนะโลกสุวรรณสิทธิพุทธะ

    ดาวเทพนพเคราะห์องค์ที่สี่ อวตาร เป็นพระพุทธ
    สถิต ณ บูรพาพุทธเกษตร คือ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ

    ดาวเทพนพเคราะห์องค์ที่ห้า อวตาร เป็นพระพฤหัสบดี
    สถิต ณ บูรพาพุทธเกษตร คือ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ

    ดาวเทพนพเคราะห์องค์ที่หก องตาร เป็นพระศุกร์
    สถิต ณ บูรพาพุทธเกษตร คือ พระธรรมมติโลกธรรมสาครจรนันทิพุทธะ

    ดาวเทพนพเคราะห์องค์ที่เจ็ด อวตาร เป็นพระเสาร์
    สถิต ณ บูรพาพุทธเกษตร คือ พระ เวปุลลจันทรโลกไภษัชยไวฑูรย์พุทธะ

    ดาวเทพนพเคราะห์องค์ที่แปด อวตาร เป็นพระราหู
    สถิต ณ ปัจฉิมพุทธเกษตร คือ พระศรีสุขโลกปัทมครรภอลังการโพธิสัตว์

    ดาวเทพนพเคราะห์องค์ที่เก้า อวตาร เป็นพระเกตุ
    สถิต ณ ปัจฉิมพุทธเกษตร คือ พระศรีเวปุลลสังสารโลกสุขะอิศวรโพธิสัตว์

    ในขณะนั้นพระมัญชูศรีโพธิสัตว์ และบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย
    ต ่างได้สดับรับฟัง พระดำรัสของพระพุทธองค์ ถึงดาวเทพนพเคราะห์โดยแท้จริง ซึ่งประจักษ์แจ้งว่าแท้คือพระผู้เป็นมิ่งขวัญมหามงคลในกาลอดีต

    ข้าแต่บุราณพุทธะผู้เจริญ ที่มีพระมหากุณาธิคุณอันไพศาล กำจรกำจายไปทั่งทั้งสรรพสัตว์ทรงนิรมาณกายไปนานาลักษณะ เป็นที่ปรีดาปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง อย่างไม่เคยปรากฏจึงพร้อมกันนอบน้อมสรรเสริญ และกล่าวสัมโมทนียกถาว่า

    พ ระนพบรมมหาอริยะศาสดาเจ้าในอดีต พระโลกนาถผู้ทรงเป็นมิ่งขวัญมหามงคลอันประมาณมิได้พระองค์ได้ถึงซึ่งพระริวา ณแล้ว ได้ข้ามพ้นจากวัฏสงสารด้วยเมตตาอันหาประมาณมิได้ ที่บังเกิดความสงสารในบ่วงสรรพสัตว์จึงนิรมาณกายมาในจักรวาล คือดาวเทพนพเคราะห์ทั้ง 9 ดวงปกป้องคุ้มครองรักษา เหล่าปวงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ปลอดภัยสาธุศากยะศาสดาสุคตเจ้า ได้ดำรัสแจ้งแก่ปวงสรรพสัตว์ทั้งหลายข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายบัดนี้ได้สดับแล ้ว บังเกิดปณิธานที่มั่นคงด้วยพระสูตรนี้กอปรด้วยคุณานิสงฆ์เอนกอนัต์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จงดำรัสแจ้งจนสิ้นด้วยเทอญ

    ขณะนั้นสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระสุระสียงตรัสตอบบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายว่า

    ห ากมีกุลบุตรกุลธิดาใดเมื่อถึงดิถีแก่การเริ่มต้นศตวรรษใหม่ในมนุษย์ภพ หรือในตัสตมาส(คือเดือน 7 ถึง 7 ค่ำ) หรือในนพมาส(เดือน 9 ถึง 9 ค่ำ) และในแต่ละมาสทุก 7 วัน หรือ 9 วัน หรืออาจจะเป็นวาระอันคล้ายวันกำเนิด ให้สวมใส่อาภรณ์อันบริสุทธิ์และอยู่ ณ เบื้อหน้าพระปฏิมาหรือหน้าชื่อดาวเทพนพเคราะห์แล้วตั้งจิตอธิษฐานสวดสรรเสริ ญ ถึงพระนามของดาวเทพนพเคราะห์อันถือเป็นการสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้า อดีตทั้ง 9 พระองค์สิ่งที่ตั้งใจหมาย ก็จะสมดังมโนรส

    ถ้าหากสามารถบูชาด้วยตะเกียง 9 ดวง และน้ำอันบริสุทธิ์ตลอดจนดอกไม้หอมในยามนิศากาล อธิษฐานด้วยศรัทธา ก็จะได้สมดังมโนรสเช่นกัน
    ตถาคตได้ทรงตรัสกับพระมัญชูศรีโพธิสัตว์ว่า

    ข ้าราชบริพารในโลกมนุษย์อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย จะเป็นคหบดีหรือ คนยากจนก็ดีหากมีจิตหวั่นไหวด้วยอารมณ์ ล้วนอยู่ในการอารักษ์ปกครองแห่งดาวเทพนพเคราะห์หากได้สดับรับพังพระสูตรนี้แ ล้ว นำมาปฏิบัติและสวดสาธยาย หรือจัดสร้างปฏิมาบูชา หรือถวายด้วยกุสุมาอันหอม บุคคลนั้น จะบริบูรณ์ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์มีอายุวัฒนะยืนยาว มีวาสนาอันประมาณมิได้

    ห ากแม้ผู้ใดถึงแก่กาลมรณะไปแล้ว จะเป็นกาลในปัจจุบันก็ดี หรือในกาลนาน ก็ดี ที่ยังไม่ไปสู่ในสุคติภพ และหากมีกุลบุตรตั้งใจสวดสาธยายมนต์บทนี้ หรือคัดลอกพระสูตรนี้แจกจ่ายเป็นธรรมทาน ก็จะส่งผลถึงดวงวิญญาณบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปสู่จุติยังเทวพิภพ

    ส่วนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่หากเป็นหญิงหรือชายใด ซึ่งถูกอำนาจอวิชามารเบียดเบียน วิญญาณภูตผีมุ่งร้ายนิมิตแต่สิ่งที่เป็นอัปมงคล จิตใจมีแต่ความตื่นกลัวเป็นนิจ ปฏิบัติสวดสาธยายพระสูตรนี้ตั้งจิตสักการบูชา วิญญาณภูตผีวิชาร้ายต่าง ๆ จะถดถอยไป จะพบแต่ความสุขความเจริญ

    หากว่าชีวิตถึงคราวอุปสรรค์หรือมีโชคร้ายมาเบียดเบียนเป็นนิจเมื่อปฏิบัติตามพระสูตรนี้เช่น ถือศีลกินเจ สวดสาธยายสูตรเคราะห์ร้ายต่าง ๆ จะหมดไป ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียนหากดวงชะตาประสบเคราะห์กรรม ดาวเคราะห์เสวยอายุ ให้เกิดจักษุโรคต่าง ๆ หรือนัยมืดมัว บังเกิดแต่คดีความถึงอันต้องจองจำบ้าง บ้างก็เกิดนิมิตร้ายในยามราตรี บ้างก็มีสัตว์อัปมงคลมาร้องรังควานในรีบจัดหาปทีปเก้าดวงมาบูชาต่อหน้าดาวเท พนพเคราะห์ พร้อมทั้งธูปหอมดอกไม้และน้ำบริสุทธิ์แล้วสวดสาธยายพระสูตรนี้เจ็ดครั้ง ถึงสี่สิบเก้าครั้งอาเพศร้ายจะมลายสิ้นจะพบแต่สิ่งที่เป็นศิริมงคล

    หากมีกลุบุตรใดหมายจะสอบเป็นบัณฑิต ก็สามารถจุดธูปหอมดอกไม้หอมบูชาเบื้องหน้าดาวเทพนพเคราะห์และสวดพระสูตรบทนี ้เจ็ดครั้งถึงร้อยครั้งจะเป็นบุราที่มีปัญญาเฉลียวฉลาดมีสมาธิในการท่องจำแล ะสามารถสอบได้ในขั้นสูงสุด

    หากมีไร่สวนหรือสัตว์เลี้ยง มีพืชผลไม่ตามต้องการ ก็สามารถบูชาสักการะสวดสาธยายมนต์บทนี้จะได้มีพืชผลเก็บเกี่ยวมากมายสัตว์เล ี้ยงสมบูรณ์แข็งแรง

    หากมีหญิงใดมีครรภ์และมีความยากลำบากในครรภ์เมื่ อใกล้ถึงกาลเวลาให้กำเนิดบุตรและมีจิตวิตกกังวล สามารถที่จะบูชาด้วยธูปหอมและดอกไม้ และสวดพระสูตรบทนี้ เพื่อให้กรรมที่ผูกมาแต่กาลก่อนได้รับการปลดเปลื้องจะได้กำเนิดบุตรโดยสะดวก มารดาและบุตรปลอดภัย บุตรชายหรือบุตรสาวจะเป็นผู้ดีพร้อม

    ตถาคตได้ตร ัสไว้อีกว่า กุลบุตรหรือธิดา จงทราบไว้ว่าดาวเทพนพเคราะห์หรืออดีตพระพุทธเจ้าทั้งเก้าพระองค์ล้วนแต่เป็น ผู้ทรงด้วยความเมตตาสูงสุดซึ่งได้แสดงให้ประจักษ์ท่ามกลางนภดลและทรงควบคุมช ะตาประจำศกของสรรพสัตว์ตั้งแต่องค์ภูมินทร์จนถึงคนต่ำจัณฑาล ควบคุมดินฟ้า ภูเขา ลำธาร สัตว์ และต้นไม้ใบหญ้าต่าง ๆก็ล้วนอยู่ในอำนาจการปกครองดูแลจากดาวเทพนพเคราะห์ทั้งสิ้น

    หากมีอุปัทวันตราย อุปภาคย์อาดูร ให้จุดประทีปชวาลา ตั้งจิตอธิษฐานสวดสาธยายพระสูตรนี้ จะได้รับบารมีคุ้มครองสมดั้งมโนรส

    หากมีนครใดใกล้เกิดศึกสงคราม ให้เสนาธิการจงปฏิบัติตามพระสูตรนี้โดยมีจิตใจที่ไม่ย่อท้อต่อหน้าพระปฏิมาบูชา สักการระด้วยปฏิบัติเป็นพุทธบูชา ก็จะได้รับเดโชพละ จากดาวเทพนพเคราะห์ให้มีพละไพศาลน่าเกรงขาม มีไพร่พลที่เข้มแข็ง มีม้าศึกที่คะนอง และเมื่อเผชิญเหล่าศัตรู ที่ก่อจะเกิดความครั่นคร้ามต่ออริราชจนมิกล้าต่อกร

    ตถาคตได้ทรงตรัสอีกว่า ถ้าเป็นเช่นนี้หนอ ดาวเพทนพเคราะห์ทรงมีคุณเป็นอเนกอนันต์ต่อเหล่าสรรพสัตว์ผู้สิ้นหนทาง และมีความทุกข์อันประมาณมิได้เหล่านั้น จึงได้ตรัสแสดงสัมโมนียกถาท่ามกลางสันนิบาตว่า

    งัน .ฮอ นอ. ทันนอ . จา จา ตี . มอ ฮอ ตี . จือ จา .จือ จา ตี. ฮอ ปอ นอ อี . ซอ ผ่อ ฮอ.

    ตถาคตได้แสดงพระสูตรบทนี้แก่พระมัญชูศรีโพธิสัตว์ และท่ามกลางพุทธบริษัท ตลอดจนธรรมบาลทั้งแปด ทวยเทพและวิญญาณ ต่างพร้อมกันน้อมมนัสสนะโดยดุษฎี และเกิดศรัทธาประสาทะ ต่างน้อมนำมาเป็นมรรคาปฏิบัติสืบไป

    พระพุทธวจนะได้แสดงถึงจักรวาล ดาวเทพนพเคราะห์บุราณพุทธนิรันตรายวัฒนะชันษามัญชูศรีสูตร

    <O:p</O:pขอขอบคุณ บทความในหนังสือ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://th.wikipedia.org/wiki/เทศกาลกินเจ

    เทศกาลกินเจ

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ประเพณีการกินเจกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือเริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนทุกๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนมานานแล้ว โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน
    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>

    [แก้] ตำนาน


    [แก้] ตำนานที่ 1

    ชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [แก้] ตำนานที่ 6

    ชายขี้เมานามว่า เล่าเซ็ง เข้าใจผิดคิดว่าแม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่ได้มาเข้าฝันบอกว่า แม่ตายไปได้รับความสุขมากเพราะแม่กินแต่อาหารเจและตอนนี้แม่อยู่บนเขาโพถ้อซัว ตั้งอยู่บนเกาะน่ำไฮ้ ในมณฑลจิ๊ดเจียงถ้าลูกอยากพบแม่ให้ไปที่นั่น
    ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งอยากไปแต่ไปไม่ถูกจึงตามเพื่อนบ้านที่จะไปไหว้พระโพธิสัตว์ เพื่อนบ้านเห็นเล่าเซ็งสัญญาว่าจะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงให้ไปด้วย ระหว่างทางเดินสวนกับคนขายเนื้อเล่าเซ็งลืมสัญญาที่ให้ไว้เพื่อนบ้านก็หนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาและต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เล่าเซ็งจึงขอตามนางไป
    เมื่อถึงเขาโพถ้อซัวขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูปที่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเดินทางกลับเขาได้แยกทางกับหญิงสาวและได้พบเด็กชายคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่จึงเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าเป็นลูกของเขากับภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วยแล้ววันหนึ่งหญิงสาวที่นำทางไปเขาโพถ้อซัวมาขออาศัยอยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
    หญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมและถือศีลกินเจอยู่เนืองนิตย์ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้วจึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางอาบน้ำแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่ขาวสะอาดแล้วนั่งสักครู่ก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่จึงเกิดศรัทธายกสมบัติให้ลูกชายแล้วประพฤติตนใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่และหญิงสาวและประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้น

    [แก้] ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต

    มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้นานเป็นแรมปี แล้วบังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้นคณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจและสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็หายสิ้น ชาวกะทู้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงปฏิบัติตาม และหลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์ตามแบบประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) ในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน

    [แก้] ความหมายของ เจ

    คำว่า เจ ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายเดียวกับคำว่า อุโบสถ ดังนั้นการกินเจก็คือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน เหมือนกับที่ชาวพุทธในประเทศไทยที่ถืออุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 โดยไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว
    แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมนำการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกันเข้ากับคำว่ากินเจ กลายเป็นการถือศีลกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่ากินเจ ฉะนั้นความหมายก็คือคนกินเจมิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ

    [แก้] กินเจเพื่ออะไร?

    ผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
    1. กินเพื่อสุขภาพ อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต เมื่อกินติดต่อกันไปช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ
    2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากอาหารที่เรากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่อาจกินเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้นซึ่งมีเลือดเนื้อ จิตใจและที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา
    3. กินเพื่อเว้นกรรม ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นองเราเป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่าเพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้าทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้หยั่งรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้จึงหยุดกินหยุดฆ่าหันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโตได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น
    [​IMG] พืชผักผลไม้ถือว่าเป็นยาดีๆ นี่เอง



    [แก้] ประโยชน์

    การกินอาหารเจ นอกจากจะเป็นการถือศีลและรักษาประเพณีแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้
    1. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมดทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืชผักและผลไม้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ
    2. เมื่อรับประทานเป็นประจำโลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลงทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส นัยน์ตาแจ่มใสไม่พร่ามัวร่างกายแข็งแรงรู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด มีสุขภาพพลานามัยดี
    3. อวัยวะหลักสำคัญภายใน ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด และอวัยวะประกอบคือ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาอาหาร ถุงน้ำดี แข็งแรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์
    4. ร่างกายสามรถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้แก่
      1. สารเคมี ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง สารดีดีที
      2. มลภาวะและก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักร เครื่องยนต์ซึ่งแพร่กระจายปะปนไปในอากาศที่เราหายใจอยู่เป็นประจำและยังพบว่ามีปะปนอยู่ในแหล่งน้ำดื่มด้วย
      3. กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์และในการทำสงคราม สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายสามารถทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ
    5. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดาสารพิษที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ในบรรดาผู้ที่กินอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฏโดยเฉพาะโรคที่รุนแรงหรือเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคไต ไขข้ออักเสบ โรคเก๊าส์ โรคเบาหวานฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ
    [แก้] หลักธรรมในการกินเจ

    ในทัศนะของคนกินเจ การกินที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นต้องเดือดร้อนล้มตายนั้น
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://members.tripod.com/chaiwat_s/anisong_food.htm

    อานิสงส์ 10 ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์ (กินเจ)
    อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์และไม่เบียดเบียน
    สัตว์ คือ จะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วย ปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่
    ่ตายด้วยเหตุกาณ์อันน่าสยดสยองหรือภัยพิบัติต่างๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมใน
    เรื่องการฆ่าและยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย องค์สมเด็จพระบรม
    ศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาอันมิอาจประมาณได้
    ทรงรักใคร่สรรพสัตว์ทั้งหลายประดุจลูกในอุทรของพระองค์เองเมื่อได้บรรลุอนุต
    ตรสัมโพธิญาณสูงสุดแล้ว ก็ยังทรงมีพระทัยห่วงใยปรารถนาให้เวไนยสัตว์ทั้ง
    หลาย ได้หลุดพ้นออกจากบ่วงกรรมและระงับดับการจองเวรซึ่งกันและกัน ใน
    บรรดา บาปกรรมทั้งหลายที่คนหลงผิดกระทำไปการเบียดเบียนฆ่าทำลายชีวิต
    ผู้อื่นถือ เป็นบาปกรรมที่ร้ายแรงที่สุดแม้ว่าจะกระทำลงไปโดยไม่เจตนา ก็ยังต้อง
    ไปรับโทษ นับประสาอะไรกับการจงใจเจตนาฆ่าเขาให้ตาย โทษทัณฑ์
    ์นั้นจะ ยิ่งใหญ่ หลวงและ ไม่อาจให้อภัยได้ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงมี พระ
    ประสงค์ ์ให้เราทุกคนละเว้นจาก การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเลิกเบียดเบียน
    ผู้อื่นโดยเด็ดขาด พระองค์จึงทรงบัญญัติ ศีลข้อ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/009816.htm


    <TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>ความคิดเห็นที่ 11 : (กระดิ่งน้อย)
    โดยปกติแล้ว คนทั่วไปจะเชื่อว่า การไม่กินเนื้อสัตว์ถือมังสวิรัตหรือกินเจจะได้บุญ หรือช่วยให้บรรลุธรรมได้ง่ายกว่า

    จึงมีคนเคยไปถามหลวงปู่แหวนว่า "ระหว่างคนกินเจกับไม่กินเจ ใครจะบรรลุธรรมได้ง่ายกว่ากัน" (คนถามเป็นคนกินเจ แต่ไม่ได้บอกให้หลวงปู่ทราบ)

    หลวงปู่แหวนท่านก็ตอบมาทำนองนี้คือ (ส่วนนี้จำมา)
    "คนไหนที่กินเจอยู่ ถ้าได้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ก็สามารถจะบรรลุธรรมได้
    คนไหนที่กินเนื้ออยู่ ถ้าได้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ก็สามารถจะบรรลุธรรมได้เช่นกัน
    เราปฏิบัติธรรมออกธุดงค์ ได้ประสบพบเห็นผ่านอะไรต่ออะไรมาสารพัด เราก็เห็นมีแต่ช้าง ม้า วัว ควาย เท่านั้นที่มันกินผักกินไม้มาตลอดชีวิต ส่วนเรื่องที่มันจะบรรลุธรรมขั้นไหนบ้างนั้น ก็ขอให้สูเขา(ให้พวกเธอ)ไปถามมันเอาเองเน้อ..."

    เช่นเดียวกันกับหลวงปู่ดูลย์อุตโต ท่านก็เคยกล่าวไว้ว่า
    "ภิกษุเมื่อจะบริโภคปัจจัยสี่ต้องพิจารณาเสียก่อน ครั้นเมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าอาหารที่ตั้งอยู่เฉพาะหน้านี้ แม้จะมีผักบ้าง เนื้อบ้าง ปลาบ้าง ข้าวสุกบ้าง แต่ก็เป็นของบริสุทธิ์โดยสามส่วน คือไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และเข้าไม่ได้ฆ่าเพื่อเจาะจงเรา และเราก็แสวงหามาโดยชอบธรรมแล้ว ญาติโยมเขาก็ถวายด้วยศรัทธาเลื่อมใสแล้ว ก็พึงบริโภคอาหารนั้นไป ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็ปฏิบัติอย่างนี้มาแล้วเหมือนกัน"
    ท่านยังมีแถมเรื่องกินนี้อีกว่า
    "อนึ่งที่ว่าจิตใจสงบเยือกเย็นดีนั้น ก็เป็นผลเกิดขึ้นจากพลังการตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ไม่เกี่ยวกับอาหารใหม่ อาหารเก่า ที่อยู่ในท้องเลย"​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : กระดิ่งน้อย [ 17 ก.ย. 2546 / 23:28:44 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 203.113.50.140 ]
    [/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ส่วนความเห็นอื่นๆ ลองไปอ่านกันดูนะครับ

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?p=104356#post104356

    <TABLE class=tborder id=post104356 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">08-08-2005, 05:27 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #2 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>[​IMG] WebSnow<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_104356", true); </SCRIPT>
    เว็ปมาสเตอร์ (วีระชัย)
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 03:18 PM
    วันที่สมัคร: Sep 2004
    สถานที่: London, England
    อายุ: 32 ปี
    ข้อความ: 6,293 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 1,028 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 27,080 ครั้ง ใน 3,425 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 50000 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_104356 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : .........(ถามเกี่ยวกับเรื่อง “ช่างเขาเถอะ”).........
    ตอบ: ช่างเขาเถอะ นั้นเป็นเรื่องของอารมณ์ใจ เราจะไม่เก็บมาคิด ให้มันเสียเวลา เพราะถ้าเราเก็บเข้ามาเมื่อไร ก็คือการเอาสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในใจ เราก็ปล่อย ช่างเขาเถอะ เขาเองเขาคิดว่าดี เขาถึงทำ ส่วนเราของเรา เรารู้ว่าตรงนี้ดีเราก็ทำให้เต็มที่ของเราไป
    ถาม : มีคนบอกว่าถ้าเราจะรักษาศีลไม่ทานเนื้อสัตว์......(ฟังไม่ชัด)...
    ตอบ: แต่เราอยากรู้ เราไม่รู้ว่าการที่เขาทำ เขาจะคิด.......(ฟังไม่ชัด).......
    ตอบ: ตัวนั้นไม่เกี่ยวกันเลย ไม่คิดนั่นมันยาก เพราะส่วนใหญ่เขาจะคิดกันทั้งนั้นส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบว่าตัวทุกข์เพราะความคิดตัวเอง จะรู้สึกมันมากกับการคิด เหมือนกับคนกินของเผ็ด รู้อยู่ว่ามันเผ็ดแต่มันอร่อย หารู้ไม่ว่ามันทำให้ลำบากปวดท้องปวดไส้ทีหลัง ตั้งหน้าตั้งตากินแล้วมาบ่นทีหลังว่าเผ็ดจังเลย
    ถาม : เคยมานั่งคิดเหมือนกันนะ อย่างที่บอกเรื่องการเบียดเบียนเมื่อกี้ แต่มาพิจารณาแล้วว่าในขณะเดียวที่เราทำตรงนั้น ถ้าเราไม่เต็มร้อยคือจิตใจเรานี่มันยังอยากกินอยู่เป็นปกจติอยู่ มันก็เป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับอยู่เอง
    ตอบ: มันกลายเป็นทุกข์มากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
    ถาม : มากกว่าเดิม ต้องลำบากอีกแล้วทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนอีก
    ตอบ: แล้วที่แน่ ๆ ก็คือว่า มีอยู่จำพวกหนึ่ง ที่เอาอาหารปรุงแต่งด้วยโปรตีนเกษตรน่ะ ทำขึ้นมาเป็นขาหมู เป็นไส้หมู เป็นพะโล้ เป็นอะไรทุกอย่าง ตัวนั้นนี่มันปรุงแต่งมากกว่าเราเยอะเลย เพราะฉะนั้นดูให้ดี ถ้าขืนทำลักษณะนั้น แทนที่จะลดกิเลส กลายเป็นเพิ่มเสียด้วยซ้ำไป หลอกตัวเองสองชั้น เขาเรียกว่าโง่สองชั้น หลอกตัวเองไม่พอหลอกชาวบ้านด้วย
    ถาม : ..............(ฟังไม่ชัด)..........
    ตอบ: พระพุทธเจ้าท่านสอนที่เรียกว่า สายกลาง คือไม่เบียดเบียนทั้งตัวเอง ไม่เบียดเบียนทั้งผู้อื่น ท่านบอกว่าได้ก็คือได้ คราวนี้ได้ในสภาพของท่าน ก็คือ อย่าฆ่าเอง..... อย่างสั่งเขาฆ่าอย่างนี้ เราก็ทำตามนั้น
    ถาม : ..............(ฟังไม่ชัด)..........
    ตอบ: ต้องหลวงปู่แหวน คนไปคุยหลวงปู่แหวนบอกว่า เขาเป็นมังสะวิรัต เขาคุยลักษณะที่ว่าดีกว่าคนอื่นเขา หลวงปู่แหวนก็เปรย ๆ ขึ้นมา ท่านบอกว่าเห็นวัวเห็นควายมันกินหญ้าทั้งชีวิต ไม่เห็นว่าเป็นพระอรหันต์ซะที ( หัวเราะ) นั้นท่านพูดเปรย ๆ นะท่านไม่ได้ว่าใครคือเวลาคนคุยใส่ท่านมาก ๆ ท่านก็คงเซ็งในอารมณ์ โดยเฉพาะที พระเทวทัต ขอพระพุทธเจ้าว่าขอให้พระภิกษุในธรรมวินัยนี้ฉันมังสะวิรัตทุกองค์ พระพุทธเจ้าบอกว่า ผู้ใดต้องการเป็นมังสะวิรัต ก็ให้ฉันมังสะวิรัต ผู้ใดต้องการฉันอาหารปกติ ก็ให้ฉันปกติ เพื่อจะได้ไม่ลำบากแก่ญาติโยมที่เขาให้อาหารไม่อย่างนั้น สมมุติว่าพระสององค์ไปบ้านเดียวกัน ก็แย่ละสิ ต้องอาหารปกติชุดหนึ่งอาหารมังสะวิรัตชุดหนึ่ง ลำบากเขาเยอะ เวลาไป วัดหนองบัวก็จะมังสะวิรัตตามเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องทำอาหารสองชุดถึงเวลาเขามาเมืองไทยเราเองก็สั่งมังสะวิรัตไปเลย คือไม่ต้องแยกต่างหาก ฉันเป็นเพื่อนเขาไป พอเรากลับมาอยู่ตามสภาพปกติของเรา เราก็ว่าของเราต่อไป
    ถาม : แล้วถ้าเราต้องการรักษาโรค หรือว่าเรามีจุดประสงค์ของเรา
    ตอบ: ถ้าอย่างนั้นก็ทำได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็รู้เลยว่ามันลำบากกว่าเดิม บางทีเรื่องของการปรุงแต่ง ถ้าหากว่าจิตมันสั่งให้ทำอย่างนั้นมันก็กลายเป็นหลอกตัวเองด้วย หลอกคนอื่นด้วย เพิ่มกิเลสให้กับตัวเองซะเปล่า ๆ ทำได้น่ะดี ไม่ใช่ไม่ดี ขนาดหมอเขายังบอกเลยว่า ถ้าหากว่าอายุยังไม่ถึงยี่สิบอย่าเพิ่งกินมังสะวิรัต เพราะว่ากระดูกกล้ามเนื้อมันยังไม่โตเต็มที่เดี๋ยวกระดูกผุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
    ถาม : หลวงพี่ทำงานองค์เดียว ไม่มีกรรมการวัด ?
    ตอบ: คือกรรมการวัดนั้นมันมากเรื่อง บางทีเขาเข้ามาโดยตำแหน่งแล้วเขาให้มีตำแหน่งเดียว คือ ไวยาวัจกร ไวยาวัจกรนี่จริง ๆ มีอยู่ลักษณะของโยมวัด มีหน้าที่ช่วยเหลือพระ แต่พอตั้งขึ้นเป็นตำแหน่งขึ้นมาแล้วส่วนใหญ่นั้นเข้ามาควบคุมพระโดยเฉพาะควบคุมการเงินทั้งหมด แล้วถ้าหากว่าเงินถึงมือพวกเขาจะจัดการยากมาก บางทีก็หายไปเฉย ๆ โดยหาสาเหตุมิได้ ถ้าหากมีกรรมการวัดมักจะใช้แต่พระด้วยกัน
    ถาม : เขาบอกว่า พี่จะทำก็ หนูจะฝากเงินไปด้วย เราก็กลัวว่าเขาจะเต็มใจหรือเปล่า แล้วพอดีคนแนะนำเขามาแนะนำให้ทำชุดใหญ่ ๑,๐๐๐ หนึ่งน่ะ (ทำให้ผู้ตาย)
    ตอบ: ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้นหรอกจ๊ะ สังฆทานอย่างไรก็ได้กับข้าวสักถุง ตั้งใจใส่บาตรพระหน้าวัด อยู่หน้าบ้านก็ได้ คือถ้าไม่เกิน ๓ เดือนทำไปยังทัน เวลาของข่างล้างเขาต่างจากเราเยอะ วันหนึ่งอยู่ประมาณ ๕๐ ปีมนุษย์ เพราะฉะนั้นภายใน ๓ เดือนของเรานี่ มันเป๊ปเดียวของเขายังทันอยู่
    ถาม : ที่ว่า ๑๐๐ วันใช่มั้ยคะ ? แต่นี่เขาถือว่าเขาก็ทำแล้ว
    ตอบ: เขาก็ทำแล้ว แต่บางทีบุญที่เขาทำ กำลังมันไม่สูงพอโดยเฉพาะการทำบุญ ถ้าเริ่มต้นด้วยบาป ผีเขาไม่เอา เช่นว่าต้องไปฆ่าสัตว์ ฆ่าปลา ฆ่าไก่ ของพวกนี้เขาจะไม่เอา เพราะเขาจะได้ส่วนของบาปนั้นด้วย เขาต้องการบุญบริสุทธิ์ที่ทำโดยที่ไม่เบียดบียนใคร ไม่เริ่มต้นด้วยบาปเหล่านั้น
    ถาม : แล้วเขาตายนี่ เขาตามมาจริงใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ: ส่วนใหญ่แล้วคนตาย ถ้าหากว่าหาที่ไปไม่ได้ เขาเป็นผู้ที่ตายก่อนหมดอายุขัย ความเคยชินก็จะกลับบ้าน ถ้าหากกลับบ้านแล้วไม่มีใครให้ความสนใจ บางทีก็ตามคนที่เขารู้จัก (หัวเราะ)
    ถาม : แหงเลยหละ !
    ตอบ: อันนี้ไม้กล้ายืนยัน (หัวเราะ) ความจริงเขาตามเราก็ดีไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว
    ถาม : ก็ตกใจ ขี้กลัวผีอยู่แล้วด้วย
    ตอบ: จำเอาไว้แล้วกัน ถ้ากลางค่ำกลางคืนเสียงอะไรดัง ๆ อย่าทักเพราะบางทีผีเขาเข้าบ้านไม่ได้เขาจะทำให้เราตกใจแล้วส่งเสียงทักขึ้นมา เขาสามารถที่จะเกาะเราเข้ามาตอนนั้นได้ ให้เราระวังไว้ว่าถ้ามีเหตุการณ์อะไรพวกนี้ก็อย่าไปตกใจ อย่าไปทักอะไรง่าย ๆ เพราะถ้าเราทัก เหมือนกับเราเปิดประตูบ้านให้เขาเข้า พระภูมิเจ้าที่เขาไม่สามารถจะกันได้เพราะถือว่าเจ้าของบ้านอนุญาตแล้ว ระวัง ๆ ไว้ ครั้งหน้ามีสุ้มมีเสียงอะไรขึ้นมาออกไปดูให้มันชัดเจนไปเลย อย่าไปทักไปถามว่าใคร มาจากไหน อะไรอย่างนี้ เดี๋ยวแย่
    ถาม : ทำไมมันมีอะไรแปลก ๆ
    ตอบ: ความจริงมันไม่แปลก เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ มีเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ว่าเราจะสัมผัส หรือว่ารู้เห็นไม่ได้ เป็นเพราะว่าสภาพจิตของเราบางทีมันก็มัวไปเยอะ ถ้าหากว่าคนที่สามารถขัดเกลาจิตของเขาให้ใสให้สะอาดได้ ก็สามารถรู้เห็นได้เป็นปกติ
    ถาม : อย่างนั้นก็แล้วไป เขาก็รู้ว่า อะไรเป็นอะไรใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ: อันนี้ของเราประเภทรู้ว่าบ้าง ไม่รู้บ้าง ก็ลำบากนิดนึงเดี๋ยวเพื่อความแน่ใจคืนนี้ลองใหม่อีกครั้ง (หัวเราะ)
    ถาม : ไม่เอาาาาาว์..........
    ตอบ: เขาก็คงจะหวังจากลูกหลานยาก ก็เลยมาพึ่งเรา คือ ถ้าหากว่าเป็นสังฆทานนี่ถวายที่ไหนก็ได้ พระจะปฎิบัติดี หรือปฎิบัติไม่ดีก็ตาม ถ้าเป็นสังฆทานอานิสงส์จะเท่ากันหมด ตัวบุญจะเท่ากันหมด แต่มันสำคัญตรงที่พระที่รับไป ถ้าทำไม่ดีนี่ขาดทุนเยอะเลย คนรับน่ะขาดทุน ของเราทำนี่เราไม่เป็นไร สังฆทานจะเป็นทานของหมู่สงส์ทั่วไปไม่จำเพาะเจาะจงว่าคนใดคนหนึ่ง ถ้าเอาไปกินไปใช้คนเดียวนี่ พระองค์นั้นนี่โทษเยอะเลย
    ถาม : ถ้าอย่างนั้นภายใน ๗ วัน เขาก้ได้แล้ว แล้วเขามาหาเราทำไม ?
    ตอบ: บอกแล้วว่า บุญบางอย่างถ้าเริ่มต้นด้วยบาป เขาไม่เอาเราก็ไม่มั่นใจว่าในงานนั้น เขาได้ฆ่าปลา ฆ่าไก่อะไรหรือเปล่า ถ้ามีโอกาสก็ทำให้เขาหรือไม่ก็บอกเขาไปหาลูกหลานเหอะ
    ถาม : ...........(เสียงไม่ชัด)..........
    ตอบ: ไม่มีอะไรหรอก ทำใจสบาย ๆ สวดมนต์ไหว้พระ แขวนพระเอาไว้ ขอบารมีท่านสงเคราะห์
    ถาม : ต้องอาราธนาย่อยเลย ทุกวัน
    ตอบ: ดีแล้ว ถ้าเราเกาะพระเป็นปกติ อันตรายอื่นจะทำได้ยากมาก อาราธนาพระไว้ทุกวัน แขวนติดตัวไปทุกวัน นึกถึงท่านให้ช่วยด้วยถ้าหากเราไม่นึกถึงไม่ขอ บางทีท่านก็ไม่รู้จะช่วยยังไง อธิษฐานขอท่านช่วยคุ้มครอง ช่วยรักษาเราด้วย
    ถาม : แล้วที่ฝันว่าไอ้สิงโตมางับนี่ก็ไม่เป็นไร ?
    ตอบ: ในฝันนี่ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ถ้าหากว่าฝันว่าโดนสัตว์ร้ายขบกัดเขาบอกว่าให้ระวังจะมีศัตรู ศัตรูก็น่าจะเป็นคนด้วยกัน ผีเขาคงไม่มาทำตัวเป็นศัตรูของเราหรอก
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 17 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 14 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, nehan, ong224 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ท่านที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเว็บพลังจิต ก็สมัครสมาชิกได้นะครับ
    ส่วนท่านที่ไม่ได้ login ก็ login เข้ามาได้นะครับ

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“พาณิชย์” เต้น! ค่าครองชีพพุ่งลิ่ว-สั่งตรึงราคา “มาม่า” ซองละ 5 บาท </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>8 ตุลาคม 2550 14:32 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>อธิบดีกรมการค้าภายใน เตรียมส่งเจ้าหน้าที่พบผู้บริหารเครือสหพัฒน์ ขอร้องอย่าเพิ่งปรับราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ขึ้นอีก 1 บาทต่อซอง หวั่นกระทบค่าครองชีพของผู้บริโภคหนักขึ้น พร้อมเตรียมเชิญผู้บริหารห้างสรรพสินค้าและผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่หารือสัปดาห์หน้า เพื่อขอร้องช่วยตรึงราคาสินค้าไปก่อน และยังดึงกลุ่มแม่บ้านทั่วประเทศเข้าเป็นเครือข่ายช่วยราชการดูแลราคาสินค้าอีกทางหนึ่ง

    วันนี้(8 ต.ค.) นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัท ไทยเพรสซิเดนท์ ฟูดส์ จำกัด ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือสหพัฒน์เตรียมปรับราคาขึ้นอีก 1 บาทต่อซอง จากปัจจุบันอยู่ที่ 5 บาทต่อซอง เป็น 6 บาทต่อซอง ด้วยเหตุผลไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ว่า กรมการค้าภายในเข้าใจถึงผลกระทบดังกล่าวดี แม้ว่ามาม่าจะไม่เป็นสินค้าควบคุม แต่เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการครองชีพและจำเป็นต่อการบริโภคของผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก โดยสินค้ามาม่ามีมูลค่าการตลาดสูงกว่าร้อยละ 52 ยังไม่รวมสินค้าชนิดเดียวกันที่มีมูลค่าการตลาดและความต้องการของผู้บริโภคสูง

    “ผมจะส่งเจ้าหน้าที่ของกรมการค้าภายในไปพบและชี้แจงให้ผู้บริหารในเครือสหพัฒน์ทราบและจะขอร้องในฐานะเป็นผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่จะสามารถตรึงราคาสินค้าชนิดดังกล่าวต่อไปอีกได้หรือไม่ เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภค แต่หากฝ่ายบริหารเครือสหพัฒน์ไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนดังกล่าวต่อไปได้ ก็เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคจะต้องรับภาระการปรับราคาสินค้าดังกล่าวต่อไป” นายยรรยง กล่าว

    อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวอีกว่า สัปดาห์หน้ากรมการค้าภายในจะเชิญกลุ่มผู้บริหารห้างสรรพสินค้ารายใหญ่และผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่มาหารือถึงผลกระทบต่อต้นทุนและจะขอร้องผู้ประกอบการ หากรายใดยังแบกรับภาระต้นทุนได้ก็ขอให้แบกรับไปก่อน เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอยในช่วงที่ค่าครองชีพมีแนวโน้นสูงขึ้นในช่วงปลายปีนี้

    ส่วนแนวทางการดูแลราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค นอกจากมีการติดตามตั้งแต่ต้นทุนอย่างใกล้ชิดแล้ว มีแนวความคิดที่จะดึงกลุ่มแม่บ้านทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มที่รู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคเป็นอย่างดีให้เข้ามาเป็นอาสาสมัครดูแลราคาสินค้าในแต่ละพื้นที่ หากพื้นที่ใดมีการปรับขึ้นราคาสินค้าแพงเกินเหตุและไม่มีเหตุผล อาสาสมัครสามารถแจ้งให้เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคดำเนินการทางกฎหมายได้ทันที

    ขณะที่แนวทางการออกตรวจเช็กราคาสินค้าตามตลาดสดต่าง ๆ ยังมีอยู่ต่อเนื่อง และจะออกตรวจสอบโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ทราบ

    สำหรับเทศกาลอาหารเจที่จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 11-20 ตุลาคมนี้ กรมการค้าภายในร่วมกับผู้ประกอบการและตลาดสด 11 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศจะจัดมุมอาหารเจช่วยเหลือคนไทยเชื้อสายจีนให้ซื้ออาหารเจไม่แพงจนเกินไป และเท่าที่มีการตรวจสอบราคาผักสดเปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลอาหารเจปีที่แล้ว ราคาไม่แตกต่างกันมากนัก ยกเว้นผักขึ้นฉ่ายปีที่แล้วราคาอยู่ที่ 30-40 บาทต่อกิโลกรัม แต่ขณะนี้อยู่ที่ 50-60 บาทต่อกิโลกรัม โดยได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมปริมาณผักมีน้อยจึงมีราคาแพงขึ้น แต่หากดูผักสดชนิดอื่น ๆ ที่เป็นวัตถุดิบมาทำอาหารเจ เช่น ผักบุ้งจีนปีที่แล้วอยู่ที่ 8-12 บาทต่อกิโลกรัม ปีนี้อยู่ที่ 12-15 บาทต่อกิโลกรัม

    ขณะเดียวกัน ผักสดที่มีราคาลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เช่น ผักกวางตุ้งปีที่แล้วอยู่ที่ 15-20 บาทต่อกิโลกรัม ปีนี้อยู่ที่ 10-12 บาทต่อกิโลกรัม ถั่วฝักยาวปีที่แล้วอยู่ที่ 30-35 บาทต่อกิโลกรัม ปีนี้อยู่ที่ 20-22 บาทต่อกิโลกรัม ผักคะน้าปีที่แล้วอยู่ที่ 16-22 บาทต่อกิโลกรัม ปีนี้อยู่ที่ 15-22 บาทต่อกิโลกรัม กะหล่ำปีปีที่แล้วอยู่ที่ 8-10 บาทต่อกิโลกรัม ปีนี้อยู่ที่ 7-12 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งนายยรรยง กล่าวว่า ผักสดเหล่านี้ถือเป็นวัตถุดิบอาหารเจ เมื่อไม่ปรับขึ้นจึงไม่มีเหตุผลที่อาหารเจสำเร็จรูปจะปรับราคาแพงขึ้น โดยกรมการค้าภายในจะขอร้องให้ผู้ค้าอาหารเจสำเร็จรูปไม่ปรับราคาอาหารแพงเกินเหตุ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่จะรับประทานอาหารอีกทางหนึ่ง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9500000119000
     

แชร์หน้านี้

Loading...