พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเพียงสมมุติบัญญัติที่ไม่มีอยู่จริงหรือ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 20 มกราคม 2012.

  1. โคกปีป

    โคกปีป สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +20
    เก่งๆกันทั้งนั้น อ่านจำเขามาอวดทับกัน จะจริงอย่างที่อ่านมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่รู้ๆกันก็คงยังไม่เคยทำหรอก พวกที่ออกมาฉะเนี๊ย
     
  2. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    รู้ได้ไงอะว่าไม่เคยทำ แสดงว่าเก่งกว่า อีกนะนี่ เขาก็แนะนำกันไปตามปกติ ไม่ได้บอกว่าใครดีใครไม่ดีเลยนี่นา เขาก็พยายามหาส่วนที่ติดอยู่ในตนเองมาเสนอ เผื่อว่าจะมีคนเป็นเหมือนกันแล้วมันอาจมีทางออกได้ นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับเขาว่า เขาจะยอมรับฟังหรือไม่ ครั้นหากไม่ตรงตามที่เขารู้เขาจะสวนกลับมาอีกนั่นแหละ และก็จะได้รู้อีกว่า จริงๆแล้วเขาหรือเรากันแน่ที่ติดอยู่ มันก็เป็นประโยขน์ทั้งสองฝ่ายหรือหลายฝ่าย ที่พูดออกมานี่ เรียกว่า ใช้หัวสมองคิดแล้วจึงพูด หรือ มีเพียงหัวกะโหลกไว้บรรจุสมอง แล้วใช้ อะไรก้อได้ที่สมองไม่ต้องใช้พูดหรือ เขาพูดเรื่องจิต ก็ว่าไปตามจิตนะ ตัวแดงเบ้อเร่อเลย มันแดงมาจากอะไรละจาก เจตสิก หรือ จากจิตละ หากมีกะโหลกไว้บรรจุสมองหรือมีหัวไว้ตัดผมหรือมีหัวไว้ตั้งบ่า เพื่อให้ครบ 32 ประการ ก็ไม่ต้องมาคุยหรือแสดงความคิดก็ได้เพราะมันไม่ได้เป็นประโยชน์กับทั้งตนเองและผู้อื่นเข้าใจไหม
     
  3. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    คนบางคนต้องตัวใหญ่ๆ ไงอาหลง คนบางคนอาจเห็นประโยชน์จากเศษธุลีก็ได้ อาหลงละ คิดว่า นอกจากพระศาสดาแล้วใครกันจะเป็นผู้รู้ทุกสิ่งอย่างแท้จริง เราทั้งหลายก็เรียนรู้ถูกผิดจากกันและกันนั่นแหละ และเพื่อความง่ายไม่เห็นต้องหลอกตัวเองเลยนี่นาว่า ไม่มีโลกธรรม 8 มาเกี่ยวข้อง แต่ต้องตั้งสติพิจารณาดีๆ เมื่อมีก็ต้องรู้ว่ามีและไม่ให้ อกุศล ทั้งหลาย ชักพาไป จริงไหมอาหลง
     
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ถูกต้องครับ ^^

    บางทีบุคคลทั่วไปเข้ามาทักโดยไม่รู้กาล

    ว่าเขากำลังคุยกันถึงไหน มันก็เป็นเรื่อง วงใน วงนอก

    ขอให้ใส่ใจเถิด เศษธุรีนั้นอาจเป็นเพชรในกองทรายได้
     
  5. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    และที่สำคัญคือจริงๆแล้วก็เห็นแต่เรื่องเดิมๆนั่นแหละ คือ รู้มาก กับ รู้น้อย และรู้มากเพราะมีการันตี ประทับตีตรา กลับ รู้มากเพราะมีความเพียรประทับตีตรา คือ คนที่รู้มากนี่บางทีมันก็ทำอะไรยากเป็นธรรมดานะ เพราะมันรู้มากไง โอย มีหลายบทเรียนที่พระศาสดาสอนไว้ เหตุเพราะความรู้มาก ไม่มีประโยชน์นั่นแหละ และก็เป็นต้นตอของปัญหาที่แท้จริง เพราะรู้มากก็ไม่สามารถนำใช้ประโยชน์กับตนและผู้อื่นได้จริง มันก็เลยมีแต่เรื่อง แล้วจะเอาอะไรมาพิสูจน์กันหนอ รู้เหมือนกันคือ ตำราเดียวกัน หรือ รู้เหมือนกันคือมีทั้งตำราและปฏิบัติ หรือ รู้เหมือนกันเพราะปฏิบัติมาเหมือนกัน คนที่แย่ๆ นะ จริงๆแล้ว ก็เป็นเพียงผู้ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรแย่ๆอยู่ พระธรรมมีไว้ขัดเกลาและหาคำตอบของชีวิตตัวเอง บางทีก็ดูดีนะเวลาเขียนหรือพิมพ์อะไรให้คนอื่นอ่าน แต่เวลาที่คนอื่นอ่านแล้วสงสัยนี่ คนที่เป็นครูบาอาจารย์ต้องอธิบายหรือแม้แต่คิดจะเป็นครูบาอาจารย์คนอื่นเมื่อกระทำอะไรลงไปก็ต้องอธิบาย ไม่ใช่พูดอย่างตอบอย่าง อินเตอร์เนตเทคโนโลยี มันเป็นแค่เปลือกนอก ของจริงมันอยู่ข้างในจิตใจทั้งหมด แม้แต่ตัวหนังสือพระอภิธรรมทุกอักขระมันก็เป็นแค่เปลือกนอกของจริงก็อยู่ในจิตใจทั้งหมดนั่นแหละ ใครคิดว่าที่พูดมานี่ไม่จริง ก็เชิญกล่าวมา
     
  6. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เรื่องรู้มาก รู้น้อย รู้ประสพการณ์ รู้ตำรา ได้อธิบายจบสิ้นแล้ว

    ใส่ใจตรงความรู้ที่สนทนาขณะนั้น ว่าเราเห็นว่ามันเป็นทราย หรือ เพขร

    ได้ประโยชน์ทั้งผู้พูดและผู้ฟังหรือไม่ อันนี้จะทำให้ปัญญามันไปต่อได้ ^^
     
  7. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ยกตัวอย่าง สิ่งที่ทำด้วยไม้หรือพลาสติกห่อหุ้ม มีใส้สีดำ เอาไว้เขียนหนังสือ
    เวลาคุณเอาไปพูดมันยาวไป เราก็เรียกมันว่าดินสอ เพื่อเอาไว้สื่อสารกับคนอื่น
    เจ้าของกระทู้ลองคิดดู เหตุผลง่ายๆ
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เห็นด้วยกับน้องเก่ง เรื่องการสนทนาธรรมนั้น
    เราสนทนาเพื่อค้นหาความจริง(สัจธรรม) ไม่ใช่จับผิดธรรม
    เมื่อเกิดความสงสัย ก็ให้รู้ว่าสงสัย ไม่ใช่ต้องบังคับให้เชื่อแบบทุกวันนี้.(สงสัยไม่ได้)
    และควรต้องตั้งคำถามอย่างไร ?จึงจะทำให้ข้อสงสัยลุล่วงไปได้ด้วยดี.

    แต่ไม่ใช่ใช้วิธีตอบแบบเบี่ยงประเด็นออกไป เพราะคิดไปเองว่า
    กลัวตอบผิดบ้างล่ะ กลัวเข้าทางคู่สนทนาบ้างล่ะ กลัวขาดความน่าเชื่อถือบ้างล่ะฯลฯ
    ความกลัวสารพัดเหล่านี้ ล้วนเกิดจากโมหะของตนเองแท้ๆ ทำให้การเข้าถึงสิ่งที่ถูกต้องได้ยากขึ้น
    ใครบ้างที่ไม่เคยผิดพลาดมาก่อนในการลงมือปฏิบัติธรรม.
    แม้องค์พระศาสดายังทรงเคยพลาด ทำให้เสียเวลามาก่อนถึง๖ปี

    เมื่อพูดถึงเรื่องการสนทนาธรรมแล้ว ล้วนมีแต่ไอ้แน่(ไม่สุภาพ)ทั้งนั้น ที่ผิดไม่เป็น
    เช่นเรื่องตัณหา+อุปาทาน เป็นที่รู้กันว่า ความทะยานอยาก+ความยึดถือเอามาเป็นของตนนั้น
    ล้วนเป็นอาการของจิต ที่เกิดขึ้นที่จิตของตนเอง(ของใครของมัน)
    และแสดงออกมาตามอารมณ์กิเลสความรู้สึกนึกคิดของต นคือจิตของคนนั้น
    เป็นกิเลส กรรม วิบาก ที่จิตของตนเอง(คนนั้น)เป็นผู้ที่เคยสะสมมาก่อนจึงเกิดมีตัณหา+อุปาทานขึ้นมา
    แต่กลับมีการพยายามแยกออกจากกัน ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว(fact) เป็นไปไม่ได้เลย
    ความทะยานอยากและอุปาทานนั้น เกิดมาขึ้นเองลอยๆไม่ได้ เพราะเป็นเพียงลักษณะนามของอะไรสักอย่าง
    ต้องมีที่ตั้งที่อาศัย เช่นเดียวกับ"ทิฐิ"เช่นกัน ความเห็นนั้นต้องมีผู้กระทำให้เกิดขึ้นใช่หรือไม่?

    การสนทนาธรรม จะให้เกิดประโยชน์โภชน์ผลนั้น
    ขั้นแรกต้องมีความจริงใจในการสนทนา ในการยอมรับข้อเท็จจริง(fact)ก่อน
    ไม่ใช่ตั้งป้อมหรือปักธงไว้แล้วว่า ถ้าไม่ตรงกับที่ตนเองเรียนรู้มา ขอไม่รับ(ปฏิเสธ)ไว้ก่อน
    ทั้งๆที่ สิ่งที่คู่สนทนาได้สื่อออกมานั้น ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ได้
    เพราะศาสนาพุทธนั้น"เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต"โดยเฉพาะ ได้มีการพิสูจน์มาแล้วจากองค์พระบรมศาสดา

    อะไรที่เป็น"วิทยาศาสตร์" ย่อมต้องพิสูจน์ได้ ยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตด้วยแล้ว
    พระพุทธเจ้าทุกๆพระัองค์ที่อุบัติขึ้นมาในโลก ล้วนพิสูจน์และสอนเหมือนกันหมดคือ
    "อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ"
    โดยทรงสั่งสอนวิธีการชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายได้จริง

    ผู้ที่เรียนให้ความรู้ท่วมหัวจากตำรา แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา(สัมมาสมาธิ)
    อย่างจริงจังตามแบบที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้ใน(มหาจัตตารีสกสูตร)
    ก็เป็นได้เพียงท่านผู้รู้ใบลานเปล่า สำเร็จได้ด้วยความรู้สึกนึกคิด(ตัณหา+อุปาทาน)ที่ตกผลึกของตนเองเท่านั้น

    เจริืญในธรรมทุกท่าน
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จขกท.ก็ลองคิดรู้แล้ว เหตุผลที่พูดว่าง่ายๆ จริงๆแล้ว ไม่ใช่ง่ายเลย

    ทำไมเวลาเอาไปพูดแล้วมันถึงต้องยาวล่ะ เพราะอะไร?

    เพราะคนที่ฟังนั้น ไม่เคยได้รู้ได้เห็นดินสอ มาก่อนเลยใช่หรือไม่?

    เหมือนกับคำว่า"อร่อย" คนที่ไม่เคยกินของสิ่งที่ว่ามาก่อนเลย

    บอกคำเดียวสั้นๆว่า"อร่อย" คนฟังคนนั้นจะรู้ได้มั้ย? เช่นกัน

    การที่จะติอะไรใคร ก็ควรหันมาดูตนเองและคำนึงถึงควา่มเป็นไปได้ด้วยสิ

    ไม่ใช่อาศัยรู้สึกนึกคิดอยากจะติใคร ก็ติด้วยความสะใจเท่านั้น

    เอ้าเข้าประเด็นดีกว่า ไหนๆก็ลองสื่อให้สั้นๆง่ายๆสิว่า

    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงเป็นจริงเพียงแค่สมมุติ(ติต่าง) แต่ไม่มีอยู่จริง?

    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ทำไมจึงสอนไม่เป็น ทั้งๆที่เป็นพุทธเจ้าองค์หนึ่งเช่นกัน?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  10. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมมากล่าวถึงเหตุที่พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ทรงสั่งสอนครับ

    ที่พูดคุยกันอยู่ทุกวันนี้ แม้แต่บอกกล่าวอันใดให้ฟัง ยังเชื่อได้ยากเลย

    บอกว่า"จิต"มีดวงเดียว ที่เหลือ คือ อาการของจิต ก็ยังไม่เชื่อเลย

    หากมีผู้ที่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกกล่าว ด้วยไม่รู้ว่าเป้นพระปัจเจกพุทธเจ้า

    จะเชื่อกระนั้นหรือ ก็ย่อมไม่เชื่อถือ เพราะพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีบัญญัติไว้แล้ว

    ยิ่งอ้างอิงตำรา ตามที่ได้เรียนรู้มา ยิ่งยากที่จะเชื่อผู้อื่น เพราะยึดถือว่าตนได้เรียนรู้พระธรรมมาแล้ว

    แต่ภายใน"จิตใจ"ยังขุ่นมัวอยู่ ยังติดข้องอยู่ ยังเต็มไปด้วยกิเลส ยังไม่รู้จักกิเลสเลย

    ว่าสิ่งใดที่เรียกว่ากิเลส และ ทำไมกิเลสก่อให้เกิดตัณหา แต่ยังมาอวดรู้ ไม่ยอมรับการถกธรรมของผู้อื่น

    แทนที่จะทำความเข้าใจให้ดีเสียก่อน หรือ แสดงความรู้ความเข้าใจของตน

    เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ได้เข้ามาอ่าน ได้เข้ามาศึกษา

    คนที่รู้ทั้งหมด ต่อให้เขาอธิบายมากกว่านี้ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี หากไม่เปิดใจยอมรับ

    หากอยากรู้ว่าจิตมีกี่ดวง ให้ปฎิบัติกรรมฐาน และ เฝ้าดูด้วยตนเอง

    ที่ว่ามีเป็นร้อยดวง เหตุใดจึงมีกล่าวไว้เช่นนั้น นั่นคือจิตของผู้ที่ไม่ได้ฝึกจิตใช่ไหม

    จิตเกิดการรับรู้ ไม่ใช่เกิดดับอย่างที่เข้าใจ และ เมื่อจิตรับรู้แล้วก็จดจำ และ วางลง

    สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ นั่นคือธรรมที่แท้จริง ส่วนที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่ใช่ธรรมที่แท้จริง

    หากแต่มาจากการนึกคิดเอาเอง จิตถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นด้วยตา แต่สามารถพิสูจน์ได้ทุกคน

    ไม่มียกเว้น หากเป็นมนุษย์ เห็นด้วยตนเอง รู้ด้วยตนเอง เข้าใจด้วยตนเอง นี่คือธรรม
     
  11. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    มองในมุมผมนะ ดินสอมีอยู่จริงมั้ย? ถ้ามีอยู่จริง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็มีอยู่จริง ในมุมมองของการอธิบาย ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่จริง แต่ไม่นิรันดร์ เพราะทุกอย่างมีนิยามไว้อธิบายลักษณะของกลุ่มคนที่สื่อสารกันอยู่แล้ว ถ้าสิ้นสุดกลุ่มคนที่สื่อสารนี่แล้ว ได้ตัวสมมุติที่เรียกไว้มันก็ลบหายไป
    ทำไมปัจเจกพุทธเจ้าถึงไม่สอนชาวบ้าน ถ้าสอนชาวบ้าน ก็ไม่เรียกว่าปัจเจกสิ พุทธเจ้าหมายถึงตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง หมายความว่า เรียนรู้จากสิ่งที่ผ่านๆมาแล้วมาประมวลเป็นความรู้เก็บไว้ แต่สอนไม่เป็นหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้
    อันเรื่องนี้มันมีคนยืนมอง อยู่คนละจุด ในมุมมองของเจ้าของ กระทู้ ยืนมองที่ระหว่างดำเนินการ แต่อีกพวกหนึ่งมองอยู่จุดสิ้นสุดของการดำเนินการ มันเลยพูดคนละอย่างกัน
    ผมไม่รู้นะฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด แต่ผมก็มองช่วงระหว่างดำเนินการ ก็เลยพูดว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีจริง แต่จะผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความหมายของคนโลกเก่าๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะมันผ่านมาทุกสิ่งสุดอย่างย่อมมีการเพิ่มเติมหรือตัดออก ขึ้นกับว่าคนที่เขียนคนที่เล่ามีความรู้และถ่ายทอดมาได้เที่ยงตรงแค่ไหน
    เช่น ดินสอ คุณพูดเป็นรายละเอียด กับ หาดินสอไปให้ดูแล้วอธิบายประกอบ อันไหนมันดีกว่ากัน มันอยู่ที่เทคนิคของแต่ละคนกับสิ่งที่หาได้ในขณะนั้น
    ปล. ผมอ่านแต่ชื่อเรื่องแล้วผมก็ตอบเลย ไม่ได้อ่านเนื้อหาข้างใน มันยาว พอกลับมาอ่านคราวๆ อ้อเจ้าของกระทู้เชื่อว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีจริงไม่ได้เป็นเพียงสมมุติ
     
  12. โคกปีป

    โคกปีป สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +20
    ยืนยันคำเดิมๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  13. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากไม่กล่าวในสิ่งที่อ่านมา คุณจะมีคำตอบว่ายังไงครับ ขอถามครับ ?

    หากมีคนที่ไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกมา กล่าวไว้ คุณจะมีคำใดในการกล่าวครับ ?

    หากผมถามในสิ่งที่ไม่มีในตำราคุณจะตอบได้ไหมครับ ?

    หากผมถามแต่เรื่องของ"จิต"ที่เห็นได้ในปัจจุบัน คุณจะตอบไหมครับ ?

    กรุณาเข้ามาตอบเร็วๆนะครับ เพราะผมอาจจะไม่ได้เข้ามาอีกนาน จนกว่าจะเข้าพรรษาน่ะครับ

    ต้องขอบคุณล่วงหน้าที่เข้ามาตอบคำถามนะครับ
     
  14. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    เคยเห็นคนที่พูดภาษาสัตว์รู้เรื่องไหม สงสัยไหมทำไมถึงมี เรื่องราวของการกล่าวว่า สมณบางจำพวกสามารถสื่อสารกับสัตว์ได้มากมายหลายชนิด และเคยได้ยินเรื่อวนี้ไหม กาลครั้งหนึ่งมีสหายธรรมสองคนเกิดมาร่วมกันอย่างดีมีความสุขแต่ด้วยวิบากกรรมบางอย่างคนหนึ่งเกิดเป็นเทวดา คนหนึ่งเกิดเป็นหนอนกินมูถคูถ วันหนึ่งเทวดาผู้สหายระลึกได้ว่านี่หนอนตัวนี้เคยเป็นสหายเรา เราจำต้องกระทำการใดสักอย่างเพื่อให้เขาได้คลายจากกรรมอันเป็นทุกข์นั่นโดยที่เทวดาผู้นั้นหารุ้เลยไม่ว่า แท้จริงเป็นอย่างไร จึงเข้าไปถามว่าสหายเอ๋ย เรามีทางแลวิธีที่จะช่วยผ่อนคลายความทุกข์ของท่านจากอัตตภาพนั้นลงได้มีอยู่ หนอนผุ้สหายตอบว่า อย่างไรก็ในเมื่อเราเป็นเช่นนี้ก็สบายดีอยู่หาต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนอย่างไร ตื่นมาก็ได้กิน สบายจะตาย นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่พออ่านแล้วก็เข้าใจได้หลายแบบแต่แบบหนึ่งคือ เมื่อเราแนะนำสิ่งดีๆหรือพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดแม้ว่าเราจะไม่ดีที่สุดแต่พอรู้ว่าดีกว่าเป็นเช่นไรเขาไม่พยายามคิดและเข้าใจมัน ก็ต้องสุดแล้วแต่กรรม หากใครมีต้นฉบับพระสัทธรรมบทนี้ก็นำมาเสนอได้เรื่อยๆเพราะสอนอะไรเราได้มากเลย (กำราบจิตที่กำเริบด้วยโมหะ ตัวริษยาได้เป็นอย่างดีหากใช้สติพิจารณา)
    สาธุคั๊บ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มกราคม 2012
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เคยได้ยินครับ เรื่องที่คุณนำมาบอกกล่าวน่ะครับ แต่ที่ผมถามเขาแบบนั้น

    เพราะต้องการเข้าใจในเหตุที่เขากำลังแสดงออกน่ะครับ

    ขอบคุณที่ตักเตือนครับ การศึกษาจิต แม้แต่ของผู้อื่น ก็มีประโยชน์ครับ

    หรือ ศึกษาจิตของตนเอง ก็มีประโยชน์ครับ เขาต้องมีเหตุผลของเขาครับ

    หากได้รู้ และ เข้าใจ จะเป้นประโยชน์ต่อคนอีกจำนวนมากครับ
     
  16. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    สาธุและขออนุโมทนาบุญเป็นอย่างสูงครับ
     
  17. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ใจเย็นๆก่อนครับ เล็งปืนผาหน้าไม้แบบนั้นมันอันตรายนะครับ
    มาทางนี้ ๆ ก่อน มานั่งพักกินของอร่อยๆ ทางนี้ก่อนครับ



    :VO:VO:VO
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • squid010.JPG
      squid010.JPG
      ขนาดไฟล์:
      50 KB
      เปิดดู:
      41
    • squid006.JPG
      squid006.JPG
      ขนาดไฟล์:
      45.2 KB
      เปิดดู:
      32
    • squid014.JPG
      squid014.JPG
      ขนาดไฟล์:
      39.4 KB
      เปิดดู:
      40
    • squid015.JPG
      squid015.JPG
      ขนาดไฟล์:
      42.7 KB
      เปิดดู:
      33
    • squid016.JPG
      squid016.JPG
      ขนาดไฟล์:
      27.8 KB
      เปิดดู:
      44
    • squid018.JPG
      squid018.JPG
      ขนาดไฟล์:
      33 KB
      เปิดดู:
      38
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2012
  18. พยัคฆ์ร้าย

    พยัคฆ์ร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,411
    ค่าพลัง:
    +161
    มันต้องลองปฏิบัติดูธรรมมะของพระพุทธเจ้า ไม่งั้นเดี๋ยวก็เอาทฤษฏีมาถกกันมั่ว+กับความรู้สึก ไม่งั้นไม่จบ
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ทำไมจึงต้องนำเรื่องนี้มาลง เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญต่อความน่าเชื่อใน
    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก

    เมื่อไปบอกใครว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น มีจริงเพราะติต่างขึ้นมา(สมมุติ)
    แต่จริงๆแล้วพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีอยู่จริงหรอก เป็นเพียงสมมุติ(ติต่าง)ขึ้นมาเท่านั้น

    คนที่ได้ยินดีได้ฟังจะไม่งงหรือ? เอะ อะไรกันเอาของที่ไม่มีอยู่จริงมาสอน
    แต่กลับพูดวกวนไปว่า มรรค ผล นิิพพานกลับมีอยู่จริง
    คือมีแต่ผลของการกระทำเท่านั้น ส่วนผู้กระทำนั้นไม่มี
    เหมือนกับว่า มีแต่ดินสอ ส่วนผู้ผลิตคิดค้นดินสอขึ้นมาไว้ใช้ไม่มีอยู่จริง

    เช่นเดียวกับสมมุติบัญญัติที่จะเกิดขึ้นได้นั้น สิ่งนั้นต้องมีอยู่จริงจึงสมมุติและบัญญัติขึ้นมาได้ใช่หรือไม่?
    เมื่อเป็นดินสอ ยังพอหาไปให้ดูได้ ส่วนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะไปเอามาจากไหนล่ะ?
    มีวิธีเดียวเท่านั้น(ทางอันเอก) คือเข้าให้ถึงสัมมาสมาธิ(ฌานที่๔) เข้าสู่ตทังควิมุตติ(หลุดพ้นชั่วคราว)เท่านั้น
    ก็จะเชื่ออย่างหมดหัวใจว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นมีอยู่จริง ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล.

    เช่นกัน ถ้าไปบอกให้ใครฟังว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ได้อุบัติขึ้นมาในโลกนี้
    บางองค์ก็สอนเป็น สอนให้คนรู้ได้ ส่วนบางองค์นั้นสอนไม่เป็นเอาเสียเลย.
    ไม่สามารถสอนใครให้รู้ได้ แบบนี้ก็เป็นการบ่งบอกว่า
    ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้นั้น ไม่มีความน่าเชื่อถือ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้
    เมื่อตรัสรู้แล้ว บางองค์ก็สอนได้ บางองค์ก็สอนไม่ได้ ฟังแล้วขาดเหตุผลเป็นอย่างมาก

    เมื่อตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง ย่อมต้องรู้วิธีการ ขบวนการต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดของการปฏิบัติ
    เป็นการปฏิบัติที่ต้องอาศัยความเพียรเพื่อรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะค้นคว้าขึ้นมาได้เองใช่หรือไม่?
    ปัญหาสอนไม่เป็น จึงน่าจะหมดไป ปัญหาต่อไปคือคู่กรณีที่จะถูกสอนต่างหากที่ฟังไม่เข้าใจใช่หรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ยินดีในธรรมที่นำไปสู่การปฏิบัติเพื่อพิสูจน์
    เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...