ผีมีจริง...ตอนสร้างเมรุเผาศพเสร็จเพราะมีเว็บพลังจิตใช้งบเกือบล้าน(ป่าช้าโบราณ)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร, 7 กรกฎาคม 2011.

  1. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  2. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อนุโมทนาสาธุ คุณโยม samaice
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
    เเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้ จงบันดาลให้ท่าน
    เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาน
    ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนา
    ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร
     
  3. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อนุโมทนาสาธุคุณโยมฐานวัฒน์ สุระพิพิธเเละครอบครัว
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
    เเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้ จงบันดาลให้ ท่านเจริญด้วยอายุ
    วรรณะ สุขะ
    พละปฏิภาณ ธนสารสมบัติ เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนา
    ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  4. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อนุโมทนาสาธุ คุณโยมคงจะไม่ค่อยได้เข้าเว็บพลังจิต
     
  5. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...นมัสการครับพระอาจารย์และกัลยาณมิตรและธรรมทุกๆท่าน ห่างหายไปจากบ้านผี มัวไป fb เรื่องรวมมิตรทั้งทางโลกทั้งทางธรรมครับ
    ...บังเอิญช่วงนี้ โยมพ่ออายุ 90 ปีท่านนอนป่วยอยู่ ร.พ.จะ 2 เดือนแล้วต้องไปเยี่ยมทุกวันครับ
    ...ก็เลยยังไม่สะดวกเดินทางไปเยี่ยมหลวงปู่ดีและชาววัด ครับ
     
  6. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    พิธีวางศิลาฤกษ์ ซึ่งจะประกอบพิธีในวันที่ ๑๓-๑๔เมษายน ๒๕๕๖ ณ.วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น หมู่ที่9 ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด โทร 043612-037 เเละ 0872365287
    วัตถุประสงค์การสร้าง " วิหารสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก109นิ้ว
    ๑. เป็นวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปพระประธานองค์ใหญ่คือ พระพุทธเจ้าทสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก109นิ้ว
    (รูปด้านล่างคือเเบบศาลาของวัดท่าลาดที่อาตมาตัดสินใจเลือกเป็นเเบบในการก่อสร้างวิหารครอบสมเด้จองค์ปฐม)๒.เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุเเละ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สักการะของพุทธบริษัท
    ๓.เป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธีเเละเป็นสถานปฏิบัติธรรมเจริญจิตภาวนาของพระสงฆ์ อุบาสกอุบาสิกา เเละชาวพุทธผู้สนใจ ในเเนวทางปฏิบัติเจริญจิตภาวนาสืบต่อไป
    " สร้างวิหารสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก109นิ้ว อานิสงค์มาก ล้นเพราะสร้างเป็นพุทธบูชาเเด่สมเด็จองค์ปฐม สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์เเรก
     
  7. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อนุโมทนาสาธุ คุณโยม พลอากาศโทชลอ - คุณเเม่ชะโลม สุระพิพิธ ร่วมบริจาคเสาวิหาร วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น จำนวน1ต้น เป็นเงิน 10,000บาท
     
  8. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    พิธีวางศิลาฤกษ์ ซึ่งจะประกอบพิธีในวันที่ ๑๓-๑๔เมษายน ๒๕๕๖ ณ.วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น หมู่ที่9 ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด โทร 043612-037 เเละ 0872365287
    วัตถุประสงค์การสร้าง " วิหารสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก109นิ้ว
    ๑. เป็นวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปพระประธานองค์ใหญ่คือ พระพุทธเจ้าทสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก109นิ้ว
    (รูปด้านล่างคือเเบบศาลาของวัดท่าลาดที่อาตมาตัดสินใจเลือกเป็นเเบบในการก่อสร้างวิหารครอบสมเด้จองค์ปฐม)๒.เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุเเละ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สักการะของพุทธบริษัท
    ๓.เป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธีเเละเป็นสถานปฏิบัติธรรมเจริญจิตภาวนาของพระสงฆ์ อุบาสกอุบาสิกา เเละชาวพุทธผู้สนใจ ในเเนวทางปฏิบัติเจริญจิตภาวนาสืบต่อไป
    " สร้างวิหารสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก109นิ้ว อานิสงค์มาก ล้นเพราะสร้างเป็นพุทธบูชาเเด่สมเด็จองค์ปฐม สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์เเรก
     
  9. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...โอนปัจจัย ๒๐,๐๐๐.-บาทเข้า บช.หลวงปู่ดี เมื่อวานเรียบร้อยแล้วครับ
     
  10. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขอบอกบุญร่วมเป็นเจ้าภาพ เสาฐานรากต้นละ9999บาท ขณะนี้มีเจ้าภาพเเล้ว8ต้น อาตมาจึงขอบอกบุญ เเละคณะญาติร่วมบุยเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ด้วย
    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร
    โทร...0872365287
    รายนามคณะศรัทธา ผู้ร่วมบุญเป็นเจ้าภาพ เสาตอม่อฐานรากวิหารครอบสมเด้จองค์ปฐม(จำนวนทั้งหมด49ต้น) มีเจ้าภาพเเล้ว8ต้น ขาดเจ้าภาพอีก41ต้น
    ร่วมบุญเป็นเจ้าภาพต้นละ9,999บาท หรือร่วมบุญตามกำลังทรัพย์กำลังศรัทธา

    1. คุณคุณโยมพรศักดิ์ สรณารักษ์โสภณ และครอบครัว ร่วมบุญ10,000บาท
    2. คุณคุณโยมพรศักดิ์ สรณารักษ์โสภณ และครอบครัว ร่วมบุญ 10,000บาท
    3.คุณโยมมะลิ รอนเบริ์ก จากประเทศออสเตรเลีย ร่วมบุญสมทบ 9,999 บาท
    4.คุณโยมวลัยลักษณ์ อนันต์ชาญศรี(โยมตุ๊กกตา) ร่วมบริจาคสมทบ 9,999 บาท
    5. คุณโยมวลัยลักษณ์ อนันต์ชาญศรี(โยมตุ๊กตา) ร่วมบริจาคสมทบ 9,999 บ
    6. คุณพรศักดิ์-คุณจุฑามาศ-เด็กหญิงอัญญา สรณารักษ์โสภณร่วมบริจาค10,000บาท
    7.คุณพรศักดิ์-คุณจุฑามาศ-เด็กหญิงอัญญา สรณารักษ์โสภณร่วมบริจาค10,000บาท
    8.คุณโยมโสภา บาเบอร์ เเละคณะร่วมบุญ บริจาคเป็นเงิน 10,405 บาท
    9.
    10.
    11.
    12.
    13.คุณพ่อฐานวัฒน์-ยุวดี-อภิณห์พร สุระพิพิธ ต้นที่13 ครับ 10,000.-บาท
    14.
    15.
    16.
    17.
    18.
    19.คุณ วิโรจน์ ผาณิตพจมาน-วันทา หอพัฒนาวุฒิวงศ์ และครอบครัว
    20.
    21.
    22.
    23.
    24.
    25.
    26.
    27.
    28.
    29.
    30.
    31.
    32.
    33.
    34.
    35.
    36.
    37.
    38.
    39.
    40.
    41.
    42.
    43.
    44.
    45.
    46.
    47.
    48.
    49.พลอากาศโทชลอ คุณเเม่ ชะโลม สุระพิพิธ ร่วมบุญเป็นเจ้าภาพ10,000.-บาท
    50.คณะศรัทธา ที่ร่วมบริจาคสมทบ คุณโยม อมตะยาน(Amatayan) ร่วมบุญสมทบทุน ส้างวิหาร เป็นจำนวนเงิน 500 บาท
     
  11. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขอบอกบุญร่วมเป็นเจ้าภาพ เสาฐานรากต้นละ9999บาท ขณะนี้มีเจ้าภาพเเล้ว8ต้น อาตมาจึงขอบอกบุญ เเละคณะญาติร่วมบุยเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ด้วย
    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร
    โทร...0872365287
    รายนามคณะศรัทธา ผู้ร่วมบุญเป็นเจ้าภาพ เสาตอม่อฐานรากวิหารครอบสมเด้จองค์ปฐม(จำนวนทั้งหมด49ต้น) มีเจ้าภาพเเล้ว8ต้น ขาดเจ้าภาพอีก41ต้น
    ร่วมบุญเป็นเจ้าภาพต้นละ9,999บาท หรือร่วมบุญตามกำลังทรัพย์กำลังศรัทธา

    1. คุณคุณโยมพรศักดิ์ สรณารักษ์โสภณ และครอบครัว ร่วมบุญ10,000บาท
    2. คุณคุณโยมพรศักดิ์ สรณารักษ์โสภณ และครอบครัว ร่วมบุญ 10,000บาท
    3.คุณโยมมะลิ รอนเบริ์ก จากประเทศออสเตรเลีย ร่วมบุญสมทบ 9,999 บาท
    4.คุณโยมวลัยลักษณ์ อนันต์ชาญศรี(โยมตุ๊กกตา) ร่วมบริจาคสมทบ 9,999 บาท
    5. คุณโยมวลัยลักษณ์ อนันต์ชาญศรี(โยมตุ๊กตา) ร่วมบริจาคสมทบ 9,999 บ
    6. คุณพรศักดิ์-คุณจุฑามาศ-เด็กหญิงอัญญา สรณารักษ์โสภณร่วมบริจาค10,000บาท
    7.คุณพรศักดิ์-คุณจุฑามาศ-เด็กหญิงอัญญา สรณารักษ์โสภณร่วมบริจาค10,000บาท
    8.คุณโยมโสภา บาเบอร์ เเละคณะร่วมบุญ บริจาคเป็นเงิน 10,405 บาท
    9.
    10.
    11.
    12.
    13.คุณพ่อฐานวัฒน์-ยุวดี-อภิณห์พร สุระพิพิธ ต้นที่13 ครับ 10,000.-บาท
    14.
    15.
    16.
    17.
    18.
    19.คุณ วิโรจน์ ผาณิตพจมาน-วันทา หอพัฒนาวุฒิวงศ์ และครอบครัว
    20.
    21.
    22.
    23.
    24.
    25.
    26.
    27.
    28.
    29.
    30.
    31.
    32.
    33.
    34.
    35.
    36.
    37.
    38.
    39.
    40.
    41.
    42.
    43.
    44.
    45.
    46.
    47.
    48.
    49.พลอากาศโทชลอ คุณเเม่ ชะโลม สุระพิพิธ ร่วมบุญเป็นเจ้าภาพ10,000.-บาท
    50.คณะศรัทธา ที่ร่วมบริจาคสมทบ คุณโยม อมตะยาน(Amatayan) ร่วมบุญสมทบทุน ส้างวิหาร เป็นจำนวนเงิน 500 บาท
     
  12. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  13. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ประธาน ขอจงช่วยดลบันดาลให้คณะศรัทธาทุกๆๆท่านที่มีส่วนร่วมบุญ จงมีแต่อายุ วรรณะ สุขะ พละ รวมทั้งโภคทรัพย์ อริยทรัพย์ ธนสารสมบัติ จงปรากฏมีแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง จงส่งผลให้ผู้ใจบุญทุกท่านได้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ ขออนุโมทนาเจริญพรขอบคุณล่วงหน้ามา ณ.โอกาสนี้ สาธุ
     
  14. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ประธาน ขอจงช่วยดลบันดาลให้คณะศรัทธาท จงมีแต่อายุ วรรณะ สุขะ พละ รวมทั้งโภคทรัพย์ อริยทรัพย์ ธนสารสมบัติ จงปรากฏมีแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง จงส่งผลให้ผู้ใจบุญทุกท่านได้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ ขออนุโมทนาเจริญพร
     
  15. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    บุญจากการอนุโมทนา
    ผลของบุญนั้นมีความมหัศจรรย์มาก ทำบุญเองก็ได้บุญ ชวนผู้อื่นทำบุญก็ได้บุญ บางคนไม่ได้สละทรัพย์เป็นเจ้าของวัตถุทาน ไม่ได้เป็นผู้ถวายทานด้วยมือ อีกทั้งไม่ได้อยู่ร่วมในการให้ทานกับเขาด้วย แต่มารู้ทีหลังว่าคนอื่นเขาให้ทาน รู้แล้วก็รู้สึกยินดีเลื่อมใสไปกับเขา อนุโมทนาบุญกับเขา บุคคลนั้นก็จะพลอยได้รับผลของบุญด้วยอย่างน่าอัศจรรย์ ดังเช่นผลบุญที่เกิดกับเพื่อนของนางวิสาขามหาอุบาสิกา

    การอนุโมทนาบุญจัดเป็นการทำบุญ ๑ ใน บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คือ ปัตตานุโมทนามัย (บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ) หากการรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญกุศลนั้น ผลบุญก็จะเกิดแก่บุคคลที่ได้อนุโมทนาบุญนั้นเองด้วย
    ในพระธรรมบทมีอยู่ว่า

    ครั้งหนึ่ง พระอนุรุทธะเถระจาริกไปในดาวดึงส์เทวโลก เห็นทิพย์วิมานหลังใหญ่ กว้างยาวและสูง ๑๖ โยชน์ แวดล้อมด้วยอุทยานและสระโบกขรณี ล่องลอยอยู่ในอากาศ แผ่รัศมีไปไกลถึงร้อยโยชน์ เจ้าของวิมานนั้นเป็นเทพธิดาวรรณะงาม มีรัศมีสว่างไปทั่วทุกทิศ มีกลิ่นทิพย์หอมยวนใจฟุ้งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ เมื่อยามเยื้องกรายหรือร่ายรำก็มีเสียงทิพย์อันไพเราะ น่าฟัง น่ารื่นรมย์ใจ เปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่
    พระอนุรุทธะเถระถามเทพธิดาเจ้าของวิมานนั้นว่าเธอทำบุญด้วยอะไร ทิพย์สมบัตินี้จึงเกิดขึ้นแก่เธอ
    นาง เทพธิดาตอบพระเถระว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดิฉันเป็นเพื่อนของนางวิสาขามหาอุบาสิกา เมื่อเพื่อนของดิฉันสละทรัพย์ถึง ๒๗ โกฏิ สร้างบุพพารามมหาวิหาร เธอชวนดิฉันและสหายอีก ๕๐๐ คน ไปเที่ยวชมปราสาท ดิฉันได้เห็นมิคารมาตาปราสาทที่เธอสร้างถวายพระภิกษุสงฆ์ที่ดิฉันเคารพ ดิฉันเลื่อมใสในบุญของเธอ จึงอนุโมทนาบุญกับเธอว่า สาธุ สาธุ

    “ด้วยอานิสงส์ของการอนุโมทนาบุญนี้ ทิพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้จึงบังเกิดแก่ดิฉันเจ้าค่ะ”

    นางวิสาขาสร้างบุพพารามมหาวิหาร ด้วยการสละเครื่องประดับนั้น ซึ่งมีราคาถึงเก้าโกฏิเจ็ดพันกหาปนะ สร้างปราสาทหลังใหญ่สมควรเป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเป็นที่อยู่ของภิกษุสงฆ์ ประดับด้วยห้องหนึ่งพันห้อง คือชั้นล่างห้าร้อยห้อง ชั้นบนห้าร้อยห้อง โดยที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างจัดไว้อย่างดี น่าจับใจ งานไม้ที่น่ารื่นรมย์ก็ตกแต่งสำเร็จเป็นอย่างดีงานปูนก็พิถีพิถันทำอย่างดี น่าปลื้มใจ วิจิตรไปด้วยจิตรกรรมมีมาลากรรมลายดอกไม้ และลดากรรมลายเถาไม้เป็นต้นที่ประดับตกแต่งไว้อย่างงดงาม และสร้างปราสาทห้องรโหฐานหนึ่งพันปราสาทเป็นบริวารของปราสาทใหญ่นั้น และสร้างกุฎีมณฑปและที่จงกรมเป็นต้นเป็นบริวารของปราสาทเหล่านั้น ใช้เวลา ๙ เดือนจึงสร้างวิหารเสร็จ เมื่อวิหารสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
    นางวิสาขาใช้เงินฉลองวิหารถึงเก้าโกฏิกหาปนะ นางพร้อมด้วยหญิงสหายประมาณ ๕๐๐ คนขึ้นปราสาท ได้เห็นสมบัติของปราสาทนั้น ดีใจกล่าวกะพวกเพื่อนหญิงว่า

    "เมื่อฉันสร้างปราสาทหลังนี้งามถึงเพียงนี้ ขอเธอทั้งหลายจงอนุโมทนาบุญที่ฉันขวนขวายนั้น ฉันขอให้ส่วนบุญแก่พวกเธอ เพื่อนหญิงทั้งหมดมีใจเลื่อมใสต่างอนุโมทนาว่า อโห สาธุ อโห สาธุ ดีจริง ๆ ดีจริง ๆ."

    บรรดาเพื่อนหญิงเหล่านั้น เพื่อนอุบาสิกาคนหนึ่งได้ใส่ใจถึงการแผ่ส่วนบุญให้นั้นเป็นพิเศษ
    ต่อมาไม่นาน นางได้ตายไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ ด้วยบุญญานุภาพของนางได้ปรากฏวิมานหลังใหญ่ ยาวกว้างและสูงสิบหกโยชน์ ประดับประดาด้วยห้องรโหฐาน กำแพงอุทยานและสระโบกขรณีเป็นต้นมิใช่น้อย ล่องลอยอยู่ในอากาศ แผ่รัศมีของตนไปได้ร้อยโยชน์ อัปสรนั้น เมื่อจะเดินก็เดินไปพร้อมกับวิมาน สำหรับมหาอุบาสิกาวิสาขา เพราะมีจาคะไพบูลย์และมีศรัทธสมบูรณ์จึงบังเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ได้ดำรงตำแหน่งอัครมเหสีของท้าวสุนิมมิตเทวราช
    ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะเที่ยวจาริกไปเทวโลก เห็นเพื่อนหญิงของนางวิสาขานั้นเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และทราบว่านางวิสาขาบังเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ได้ดำรงตำแหน่งอัครมเหสีของท้าวสุนิมมิตเทวราช.
    ส่วนในที่นี้ ท่านพระอนุรุทธะกลับมนุษยโลกแล้ว ได้กราบทูลเนื้อความที่ตนและเทพธิดาพูดกัน ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำเนื้อความนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ทรงแสดงธรรมแก่บริษัทที่ประชุมกัน พระธรรมเทศนานั้นได้เป็นประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล
     
  16. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    เปรตปากเน่า
    กาลเมื่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภถึงเปรตปูติมุขเปรต (เปรตปากเน่า) ให้เป็นต้นเหตุ แล้วจึงทรงตรัสเทศนาว่า
    กาลเมื่อพระศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกุลบุตร ๒ คน ได้มีศรัทธาออกบวชในพระศาสนา เป็นผู้มีความประพฤติเคร่งครัด มีอาจารมรรยาทดี เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ได้พำนักอาศัยอยู่ในอาวาสที่สร้างอยู่ ณ ชนบทแห่งหนึ่ง
    กาลต่อมา มีภิกษุรูปหนึ่ง ได้เดินทางมาจากหัวเมืองที่ห่างไกล ได้มาขออาศัยอยู่ด้วยกับภิกษุผู้ทรงศีลทั้งสองรูปในอาวาสนั้น
    พระเถระเจ้าทั้งสอง ก็มีจิตกรุณา อนุญาตให้ภิกษุรูปนั้นได้อยู่อีกทั้งยังทำการดูแลต้อนรับเป็นอย่างดี
    กาลต่อมาภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะนั้น ได้คิดขึ้นมาว่า อาวาสแห่งนี้ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม มีหมู่ไม้ใหญ่อันให้ร่มเงา อุดมไปด้วยน้ำท่า อยู่แล้วร่มเย็นสบาย อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ชาวบ้านก็มีจิตศรัทธาบริจาคทานสมบูรณ์มิได้ขาด ถ้าเราจักอยู่ต่อไปในอาวาสนี้ คงมิได้รับความยากลำบากใดๆ แต่ก็คงจะมีเหตุให้ไม่สบายใจอยู่ดี เป็นเพราะภิกษุเก่าทั้งสองรูปนั้น ยังคงอยู่ที่นี้ด้วย
    ผู้คนชนทั้งหลาย ก็อาจจะคิดได้ว่า เราเป็นศิษย์ของพระเก่าทั้งสอง ลาภสักการะอันเลิศพึงจะมีแก่เราผู้เดียว ก็ต้องแยกแตกแบ่งให้แก่ภิกษุเก่าทั้งสองนั้น กว่าจะมาถึงเราลาภนั้นๆ ก็คงจะเป็นชนิดเลวแล้ว เห็นทีเราจะต้องหาวิธียุแหย่ ให้ภิกษุเก่าทั้งสองแตกแยกทะเลาะวิวาทกัน จะได้ต่างคนต่างไปเสียจากอาวาสนี้
    อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุเก่าผู้เป็นพระเถระสูงสุด ก็ให้โอวาทแก่ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าตามธรรมเนียม เสร็จแล้วก็กลับไปยังกุฏีของตน
    ภิกษุอาคันตุกะนั้น ก็เข้าไปหา แล้วกล่าวว่า ?ข้าแต่พระอาจารย์ผู้เจริญ พระเถระอีกองค์ที่เป็นสหธรรมิกของท่าน มีวิสัยเสแสร้ง แกล้งทำตนเป็นมิตรที่ดีต่อหน้าท่าเท่านั้น เวลาลับหลังก็ติเตียน นินทา พูดจาด่าว่าดุจดังเป็นศัตรูกับท่าน?
    พระเถระเจ้าพอได้ฟัง คำพูดของภิกษุอาคันตุกะ จึงกล่าวถามว่า ?เขาว่าอย่างไร?
    ภิกษุอาคันตุกะ จึงตอบว่า ?พระเถระผู้เป็นเพื่อนอาจารย์กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านเป็นคนชอบโอ้อวด วางอำนาจ ชอบเสแสร้ง มากมายาลวงโลก หาเลี้ยงชีพด้วยวิธีประจบคฤหัสถ์?
    พระเถระผู้มีอายุ ครั้งได้ฟังจึงยิ้ม แล้วกล่าวว่า ?อย่าเลย ขอท่านอย่ากล่าวเช่นนี้ เรารู้ดีว่า เพื่อสหธรรมิกของเรา จะไม่กล่าวเช่นนั้นเป็นแน่ เรารู้จักเขามาตั้งแต่ยังเป็นฆราวาสแล้ว เขาเป็นผู้มีอัธยาศัยดี มีน้ำใจ เป็นผู้เคร่งครัดในศีล ขอท่านอย่าได้พูดเช่นนี้อีกเลย?
    ภิกษุอาคันตุกะ พอได้ฟังจึงกล่าวว่า ?ถ้าท่านอาจารย์คิดอย่างนี้ก็ดีแล้ว เป็นการสมควร เพราะคุ้นเคยอยู่ร่วมกันมานาน แต่สิ่งที่ข้าพเจ้านำมาพูด ก็ด้วยความเคารพรักต่อท่านอาจารย์ ถ้ามิเช่นนั้นจะมาพูดทำไม ข้าพเจ้าก็มิเคยผิดใจกับพระเถระเพื่อนท่าน สักวัน แล้วท่านอาจารย์จะรู้ความจริงเอง?
    กล่าวดังนั้นแล้ว ภิกษุอาคันตุกะ ก็เข้าไปหาพระเถระผู้เป็นเพื่อนของอาจารย์ แล้วก็กล่าวยุยงขึ้นว่า ?ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าได้ยินท่านอาจารย์ผู้เป็นสหธรรมมิตรกับท่าน กล่าวตำหนิติว่า ท่านเป็นบุคคลที่มักมาก จิตใจคับแคบ มีมารยาสาไถย ต่อหน้าว่าอย่างลับหลังทำอีกอย่าง ด้วยความรักเคารพในท่าน ข้าพเจ้าทนฟังเขาตำหนิท่านอยู่ไม่ได้ จึงนำความมาบอกแก่ท่าน จะได้ระวังตน เพราะท่านกำลังจะไว้ใจศัตรู?
    ข้างพระเถระ พอได้ฟังภิกษุอาคันตุกะ มากล่าวดังนั้น จึงพูดว่า ?อย่าเลย ท่านอย่ามากล่าวดังนี้เลย เรารู้จักเพื่อนสหธรรมิกรูปนี้ดีมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว เขาเป็นผู้มีกิริยาวาจาเรียบร้อยงดงาม สำรวมระวังอยู่ในศีล เรามิเคยเห็นแม้สักครั้งที่เขาจะประพฤติทุจริต?
    ภิกษุอาคันตุกะจึงกล่าวขึ้นว่า ?ไม่เป็นไร ท่านมิเชื่อข้าพเจ้าก็ไม่เป็นไร สักวันหนึ่งความจริงก็จะต้องปรากฏ ที่ข้าพเจ้ามาพูดมาเตือนเพราะหวังดี ถ้าท่านไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร? กล่าวเช่นนั้นแล้ว ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ ก็กลับไปยังที่พักของตน
    วันต่อมา ภิกษุอาคันตุกะนั้น ก็แวะเวียนเข้าไปหาพระเถระทั้งสอง แล้วก็พูดจายุแยงใส่ไคร้ให้ทั้งสองผิดใจกัน ทำอยู่เช่นนี้บ่อยครั้ง จนในที่สุด พระเถระทั้งสองต่างฝ่ายต่างคิดว่า ดูท่าเรื่องเหล่านี้คงจะเป็นจริง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดจาซึ่งกัน และไม่ร่วมทำกิจวัตร ไม่สมาคมต่อกัน แม้ที่สุดก็ไม่เคารพนับถือต่อกัน
    เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ ไม่นานพระเถระทั้งสองก็เก็บบาตรและบริขารออกเดินทางจากวัดไปคนละทาง
    ภิกษุอาคันตุกะ ครั้นเห็นว่าแผนการยุแหย่ของตนมีผลสำเร็จ เป้นเหตุให้พระเถระทั้งสองผิดใจกัน จนต่างฝ่ายต่างพากันทิ้งวัดหนีไปเสีย ภิกษุผู้มีความปรารถนาชั่วช้าก็รื่นเริงยินดี พอถึงเวลาเช้าก็เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงกล่าวถามภิกษุนั้นว่า ?พระเถระทั้งสองไปไหน?
    ภิกษุนั้นจึงตอบว่า ?พระเถระทั้ง ๒ ทะเลาะกันทั้งคืนยันรุ่ง แม้เราจะห้ามปรามก็ไม่เชื่อฟัง พอรุ่งเช้าต่างก็เก็บข้าวของหนีออกจากวัดไม่รู้ว่าไปทางไหน?ชาวบ้านจึงกล่าวว่า ?ถึงพระเถระทั้งสองจะหนีไปแล้ว แต่ขอท่านจงอยู่ในวัดนี้เพื่อที่จะอนุเคราะห์พวกข้าพเจ้าให้ได้ทำบุญ ฟังธรรม?
    ภิกษุผู้คิดชั่วนั้นจึงรับว่า ?ได้ซิโยม อาตมาจะพำนักอยู่ในอาวาสนี้ เพื่อที่จะได้ดูแลรักษาอาวาสของพวกท่านต่อไป?
    จำเนียรกาลเนิ่นนานมา ภิกษุนั้นเมื่อได้เป็นใหญ่ในอาวาส อีกทั้งต้องอยู่แต่ลำพังผู้เดียว ก็รู้สึกโดดเดี่ยว หงอยเหงา เศร้าซึม เหตุเพราะวันๆ ก็ไม่มีผู้ใดจะมาพูดคุยด้วย จะเจอหน้าผู้คนก็ตอนไปบิณฑบาต แต่ก็มิได้พูดได้คุย กลับมาวัดฉันอาหารก็ต้องอยู่คนเดียว สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเป็นภิกษุผู้ทรงศีลเจริญธรรมก็ต้องถือว่าเป็นสถานการณ์ที่เป็นลาภอย่างยิ่ง เพราะจะได้มีโอกาสเจริญภาวนากัมมัฏฐาน แต่ภิกษุรูปนี้หาได้มีความสำรวมในศีลไม่ อีกทั้งยังมิได้เคยเจริญภาวนาใดๆ เลย จิตก็กำเริบกระสับกระส่าย ไม่สามารถหาความสุขจากความสงบได้ คุ้นเคยแต่จะระคนปนอยู่กับหมู่คณะ ครั้นเมื่อขาดหมู่คณะไป ใจก็เศร้าหมอง ทั้งยังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมนะตอนพระเถระทั้งสองรูปอยู่อาศัยภายในวัด จึงมีผู้คนไปมาหาสู่ท่านทั้งสองอยู่เนืองนิจ พร้อมทั้งนำลาภสักการะมาถวายให้ท่านทั้งสองอยู่เนืองๆ แต่เวลานี้ ที่นี่ไม่มีพระเถระทั้งสองแล้ว หมู่ชนผู้คนต่างก็พากันหดหาย ไม่มาให้เห็นหน้า ลาภที่เกิดจากหมู่ชนเหล่านั้น ที่เราหวังจะได้เลยพลอยหดหายไปด้วย เรานี่มันซวยจริงๆ นี่ถ้าเราไม่ไปยุแหย่ท่านผู้ทรงศีลทั้งสองให้แตกร้าวกัน แล้วต่างพากันหนีไป ป่านนี้ลาภเหล่านั้นคงจะมากมีแก่เราไปด้วย เราได้ทำผิดเสียแล้ว ดันไปยุแหย่ให้ผู้ทรงศีลทั้งสองแตกกัน แล้วเอกลาภที่หวังจะได้ก็มิได้เกิดแก่เรา ประโยชน์อันใดเราจะอยู่เฝ้าวัดเก่าๆ กุฏิผุๆ
    ภิกษุผู้มีความปรารถนาลามกชั่วช้านั้น เฝ้าครุ่นคิดอยู่เช่นนั้นจนถึงกับเกิดอาการเศร้าซึมล้มป่วยลง อีกทั้งมิมีผู้ใดคอยดูแล ก็ยิ่งคิดเสียใจว่า เมื่อครั้งที่พระเถระทั้งสองยังอยู่ เราป่วยไข้ไม่สบาย ท่านทั้งสองยังจะคอยช่วยปรนนิบัติ ดูแลช่วยเหลือ บัดนี้เราต้องมานอนป่วยอยู่แต่ผู้เดียว โดยมิมีใครช่วยเหลือเอาใจใส่
    ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ จนบังเกิดลมกำเริบขึ้นภายใน ดันหัวใจให้หยุดเต้น ตายลงในที่สุด
    ภิกษุนั้นเมื่อตายลงแล้ว ด้วยอำนาจผลกรรมชั่วที่ตนทำ ส่งให้ไปบังเกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี หมกไหม้เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในนรกขุมนั้นเป็นเวลานานแสนนาน
    กล่าวฝ่ายพระเถระทั้งสอง ต่างองค์ต่างออกเดินทางรอนแรมไปทั่วครามนิคมชนบท ในที่สุดก็มาพบกัน ณ อาวาสแห่งหนึ่ง และก็พากันทักทายปราศรัย เล่าเหตุทั้งหลาย ที่ได้ฟังมาจากปากของภิกษุ อาคันตุกะผู้ปรารถนาชั่วนั้น ทั้งสองรูป
    ครั้นพระเถระทั้งสองได้ทราบความจริงของกันและกันแล้ว ก็ชักชวนกันกลับไปยังอาวาสเดิมของตน
    หมู่คนชนชาวบ้านทั้งหลาย เมื่อได้เห็นพระเถระทั้งสองกลับมาสู่อาวาส ก็พากันยินดี ออกจากบ้านนำเอาเครื่องใช้ น้ำฉัน มาถวายแด่พระเถระที่ตนเคารพเลื่อมใส แล้วก็กล่าวว่า บัดนี้ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะนั้นได้ป่วยตายเสียแล้ว
    พระเถระทั้งสอง พอได้สดับข่าวอวมงคลเช่นนั้น ก็บังเกิดธรรมสังเวช เมื่อชาวบ้านพากันกลับไปยังเรือนของตนหมดแล้ว พระเถระทั้งสองก็ชักชวนกันเจริญสติทำสมาธิภาวนา ยังญาณปัญญาให้เกิดเห็นธรรมชาติแท้ของชีวิตและสรรพสิ่งว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป ไม่มีใคร สิ่งใดดำรงอยู่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย จิตก็คลายจากความยึดมั่นถือมั่น บรรลุอรหันตผลพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
    ข้างฝ่ายภิกษุผู้ปรารถนาชั่วช้านั้น เมื่อตายแล้วไปตกอยู่ในอเวจีมหานรกสิ้นเวลาไปตลอด ๑ พุทธันดร จึงได้พ้นจากขุมนรกนั้น แล้วมาบังเกิดเป็นเปรต
    ผู้มีรูปกายสีทองเหลืองอร่าม แต่มีปากอันเน่า มีหมู่หนอนชอนไชกัดกินลิ้นและปากร่วงหล่นออกมาจากปากอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปากนั้นมีกลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวนไปทั่วกายของเปรตนั้น
    ขณะนั้นพระนารทะเถระเจ้า เดินลงมาจากยอดเขาคิชฌกูฏถิ่นที่พำนัก ระหว่างทางได้มาพบเปรตผู้มีกายเรืองรองดุจทอง เดินวนเวียนไปมา มีหมู่หนอนชอนไชล่วงหล่นลงมาจากปากดุจดังลำธารที่ไหลจากหินผา มีกลิ่นดังเนื้อเน่า พระเถระเจ้าจึงกล่าวถามว่า ?ดูก่อนผู้จมทุกข์ เหตุไฉนรูปกายและปากเจ้าจึงมีสภาพดังนี้?
    เปรตภิกษุอาคันตุกะนั่น จึงกล่าวตอบว่า ?อดีตสมัยพระศาสนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่าพระกัสสปะ ข้าพเจ้ามีจิตศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา ออกบวชปฏิบัติในพระธรรมคำสอนพระบรมศาสดา เหตุนี้จึงทำให้กายของข้าพเจ้ามีสีเรืองรองดังทอง ครั้นต่อมาเกิดความประมาทมัวเมา หลงอยู่ในลาภสักการะและเกียรติภูมิ จึงได้กระทำกรรมชั่วด้วยการกล่าววาจายุแหย่ พระเถระผู้ทรงศีล ทรงธรรม ๒ รูป ผู้เป็นสหายกัน ให้แตกแยก แล้วหนีออกจากอาวาสที่ข้าพเจ้าต้องการจะครอบครอง ด้วยเห็นแก่ลาภที่จะบังเกิดแก่ข้าพเจ้าคนเดียว
    เมื่อพรเถระทั้งสองไปแล้ว ลาภมิได้เกิดดังปรารถนา เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าเสียใจจนล้มป่วยแล้วตายลงในที่สุด
    กรรมอันนั้น นำพาข้าพเจ้าไปตกนรกหมกไหม้อยู่ในอเวจีสิ้นเวลา ๑ พุทธันดร ครั้นพ้นจากนรกขุมนั้นแล้ว เศษกรรมอันนั้นยังส่งผลให้ข้าพเจ้าเป็นเปรตผู้มีรูปกายและปากดังที่ท่านผู้เจริญได้เห็นในเวลานี้นี่แหล่ะ
    เปรตนั้นจึงกล่าววาจาสุภาษิตแก่พระมหาเถระนารทะ ต่อไปว่าท่านผู้เจริญได้รู้เห็นรูปกายและปากของข้าพเจ้าดังนี้แล้ว โปรดจงจำนำเอาไปอบรมสั่งสอน มหาชนคนทั้งหลายว่าอย่าทำกรรมชั่วด้วยปาก อย่างใช้ปากเป็นเหตุให้พาตนไปบังเกิดในนรก อย่างสร้างความทุกข์ทรมานด้วยปากของตนเลย มิเช่นนั้นจะมีสภาพเดียวกันกับข้าพเจ้า
    พระนารทะเถระเจ้า พอได้ฟังคำของเปรตปากเน่าดังนั้นแล้ว จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมสุคตเจ้า แล้วเล่าเรื่องทั้งปวงที่ตนได้เห็นได้ฟัง ถวายแด่พระพุทธองค์ให้ทรงทราบ
    พระพุทธองค์ จึงทรงยกเรื่องเปรตปากเน่านั้นให้เป็นเหตุ แล้วทรงโปรดแสดงธรรมสั่งสอนพระภิกษุและประชุมชนทั้งปวงให้ละวจีทุจริต ตั้งมั่นอยู่ในวจีสุจริต คือ งดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ งดเว้นจากการพูดคำหยาบ แล้วปฏิบัติวจีสุจริตจะได้รับผลเป็นสุข ไม่ต้องตกนรกเพราะคำพูดของตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2014
  17. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ของเจ้ากรรมนายเวร
    อยากจะบอกว่า คนทุกคนที่เกิดมานั้น เรามีเจ้ากรรมนายเวรของเราติดตัวมากันทุกคน และจะมีเจ้ากรรมนายเวรอยู่ ๒ แบบ จะอธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียดก็คือ
    ๑. เจ้ากรรมนายเวรแบบที่มีชีวิต
    ๒. เจ้ากรรมนายเวรที่เป็นจิตวิญญาณอยู่
    ขอเริ่มจากเรื่องของ เจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิต เป็นเรื่องแรกเพราะเราได้พบได้เจอและสัมผัสกันอยู่ทุกวัน และเป็นวิบากกรรมที่ส่งผลกับเราได้เร็วแบบวันต่อวันเลย ทันตาเห็นเลย
    เจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิต ก็คือ เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันกับเราที่ยังมีลมหายใจอยู่ ในชาตินี้เขาอาจจะเป็นคนใกล้ตัว อาจจะเป็นพ่อ แม่ พี่น้อง เพื่อน คนในที่ทำงาน เจ้านาย ลูกน้อง คนข้างบ้านหรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงที่เราเลี้ยงไว้
    หรืออาจจะเป็นคนที่ไกลตัว อยู่ห่างกันก็ได้แต่ยังเฝ้ารอที่จะมาเจอเรา มาสร้างเรื่องราวให้เราต้องสูญเสีย ต้องปวดหัว หรือต้องการให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ หรือพบอะไรที่ไม่ดีบางอย่างในชีวิต
    วิธีง่ายๆ ที่เราจะรู้ได้และสังเกตด้วยตัวเองว่า เป็นเจ้ากรรมนายเวรในแบบนี้หรือไม่ ก็คือ ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่จะเป็นคนหรือสัตว์ต่างๆ ที่นำความเดือดร้อนมาให้เรา มาสร้างความกังวลใจ ตอแยเรา นำความไม่สบายใจมาให้เราอยู่ตลอดเวลา
    เป็นคนที่เราเห็นหน้าก็อยากจะหนีไปให้พ้น ไม่อยากพบไม่อยากเจอ แม้แต่จะทำอย่างไรหนีไปไหนก็ยังหนีไม่พ้น ประเภทนี่แหละคือ เจ้ากรรมนายเวรแบบที่มีชีวิต ที่ตอนนี้มาถึงตัวเราแล้ว
    แต่เมื่อเรารู้ตัวดีแล้ว รู้จักเขาว่าเป็นใครแล้ว พยายามทำดีกับเขา เข้าใจเขา ยอมเสียสละ ยอมทำตามที่เขาขอร้อง เลี้ยงดูเขาหรือแม้กระทั่งมีเหตุการณ์บางอย่าง ที่เรามีส่วนเกี่ยวข้องมาทำให้เขาพอใจ ซึ่งก็คือ การชดใช้ที่เราอาจจะไม่รู้ตัวเลย สังเกตดูง่ายๆ ก็ได้ว่า เจ้ากรรมนายเวรพวกนี้ก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางดี พูดและทำกับเรา คิดกับเราดีขึ้น
    ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเขาพอใจและได้รับการชดใช้กรรม ที่เราได้เคยก่อไว้กับเขาแล้วทั้งในอดีตชาติและในปัจจุบันกรรม
    หลายคนคงเคยได้ยินคำๆ นี้ ที่ชอบพูดกันนักว่าเป็น คู่บุญคู่กรรม หรือคู่เวรคู่กรรมอันนี้แหละชัดและถูกต้องที่สุด หรือจะเรียกว่า คู่กัด ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด
    เพราะทุกครอบครัวนั้น สามีภรรยาและลูกๆ หรือญาติและคนใกล้ชิดติดตัวนั้น ต่างก็เป็นทั้งคู่บุญและคู่กรรมของกันและกัน ถ้าทำบุญร่วมกันมามากหน่อย บุญกุศลที่เคยทำก็จะทำให้ครอบครัวนั้นร่มเย็นเป็นสุข ความสัมพันธ์นั้นราบรื่น ไปในทิศทางบุญที่มันควรจะเป็น
    แต่ถ้าเป็นหนี้กรรมมากกว่าบุญ คู่นี้ชาตินี้คงอยู่กันแบบรักทรหด ต้องทะเลาะตบตีกันอุตลุตวุ่นวาย ลูกเต้ามีปัญหามาให้แก้กันตลอดเวลาตั้งแต่เด็กจนโต ญาติพี่น้องก่อเรื่องกันไม่หยุดหย่อนบางครอบครัวก็หนักหน่อย เลี้ยงลูกมาจนโตแต่ก็โตแต่ตัว แม้พ่อแม่จะแก่เฒ่าขนาดไหน ก็ยังตามมารังควาน ราวีล้างผลาญสมบัติให้มันหมดมันสิ้นไป
    ในบางรายซึ่งไม่อยากจะได้ยินเลยก็คือ นอกจากจะไม่เลี้ยงดูพ่อแม่แล้ว ยังผลาญทรัพย์สมบัติสิ่งที่ท่านสร้างมาจนหมด สุดท้ายก่อกรรมหนักขึ้นไปอีก เอาพ่อแม่ของตัวไปปล่อยทิ้งไว้ตามยถากรรม
    คนพวกนี้ นอกจากจะไม่รู้จักกรรมเก่าแล้วบังอาจสร้างกรรมใหม่ที่ชั่วช้ารุนแรง ถึงขั้นต้องตกลงนรกหลายขุมเสียก่อน นรกจึงส่งมาเกิดชดใช้กันอีกรอบ ซึ่งไม่รู้ว่าบุญจะพอได้เกิดมาเป็นคนอีกหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่กรรมใครกรรมมัน
    และสำหรับคู่ผัวตัวเมียที่มีวิบากกรรมหนัก เมื่อมันถึงกาล ถึงวาระกรรมของมัน มันทำให้เกิดปัจจัยหรือเกิดแรงส่งขึ้นมา ซึ่งร้อยทั้งร้อยมันมากจากสาเหตุสำคัญก็คือ การฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ศีลนั้นขาด หรือศีล ๕ รั่วไม่ว่าจะข้อไหนก็ตาม ทั้งคดโกง ลักทรัพย์ เบียดบังทรัพย์ แอบเม้มแอบขโมย หรือมุสาหรือโกหก หรือข้อหาเรื่องสุราซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และเป็นศีลข้อสำคัญที่จะนำให้คนที่ไม่มีสติไปผิดศีลข้ออื่นอีกมากมาย
    ทั้งทำให้มีการล่วงประเวณี ทำร้ายกัน เมื่อศีลขาด มันไม่มีสติและปัญญาจะให้แก้ไขอยู่แล้ว มันก็ยิ่งเป็นแรงส่งให้ก่อกรรม ก่อเวรกันขึ้นมาอีกในชาติปัจจุบัน เบาะๆ ก็ตบตีทำร้ายร่างกาย แจ้งให้อีกฝ่ายถูกตำรวจจับไปขังให้สิ้นอิสรภาพ หรือแม้กระทั่งต้องถึงกับฆ่ากันตายไปข้างหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งไปอยู่ที่วัดรอเผาเหลือแต่ฝุ่นผง อีกฝ่ายหนึ่งไปอยู่คุกแยกจากกันชั่วคราว รอละครรอบใหม่ลงโรงอีกครั้ง
    เรื่องแบบนี้มันเป็นปัจจุบันกรรมนำไปส่งผล ให้เห็นผลแบบทันตาเห็นทั้งปัจจุบันและไปรอส่งผลให้มีการชดใช้กันในรอบใหม่ ชาติใหม่ไม่มีสิ้นสุด หลายครอบครัวยังทนอยู่กันได้ เพราะต่างคนต่างยังชดใช้ให้แก่กันและกันไม่เสร็จสิ้น
    บางคนก็ทนอยู่จนถึงที่สุดแห่งกรรมในชาตินี้ มาให้อโหสิกรรมกันไปเมื่อต้องตายจากกันไป ชาติหน้าชาติไหนอาจจะไม่ได้พบเจอะเจอกันอีกแล้ว ต่างคนต่างไปผุดไปเกิดตามแรงเหวี่ยงของกรรมดีและกรรมชั่วที่สะสม
    แต่บางคนเมื่อตอนยังรักกันอยู่ กรรมมันยังมาไม่ถึง ก็รักกันปานดวงใจ เคยไปร่วมตั้งสัจจะอธิษฐานขอเกิดมาอยู่ร่วมกันในชาติหน้าอีก คราวนี้แหละสนุกแน่ อย่างลืมว่าต่างคนต่างก็มีเวรมีกรรม ที่เจ้ากรรมนายเวรที่รอคิวกันอยู่อีกหลายชุดทั้งนั้น รวมถึงกรรมปัจจุบันที่แอบไปทำกันไว้ โดยที่ทั้งรู้และไม่รู้ในขณะที่มีชีวิตอยู่
    พอชาติหน้าเกิดมา หลายคนจึงต้องชดใช้กรรมกันก่อนที่เสวยบุญ อย่างอาทิเช่น ผัวได้เกิดมาเป็นคน แต่เมียได้เกิดมาเป็นสัตว์ หรือจะสลับกลับกันก็ไม่แปลก เกิดมาเป็นสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็น หมา แมว วัว ควาย อะไรก็ตาม
    ด้วยเหตุนี้คนกับสัตว์ก็ต้องอยู่ด้วยกัน ผูกพันกันไปตามแรงสัจจะอธิษฐาน เลี้ยงดูกันทั้งเป็นแรงงาน เป็นเพื่อนกันไปจนตายจากไปข้างหนึ่ง หรือแล้วแต่ที่ใครจะไปหมดเวรหมดกรรมกันก่อน
    และถ้าต่างฝ่ายต่างเกิดมาเป็นคนเหมือนกัน แต่เป็นเพศเดียวกัน คือเป็นผู้ชายกับผู้ชาย ผู้หญิงกับผู้หญิง ก็ต้องมาเจอะเจอกันอีก กลายเป็นคู่กระเทย คู่เกย์ คู่ทอมกับดี้ สร้างความชุลมุนวุ่นวายกันไปหมดในสังคม ใครจะพยายามกีดกันสักเท่าไรก็ไม่มีทางบอกได้เลย เราจึงเห็นรักวิปริตนี้มากมาย เขาทั้งคู่เกิดมาตามแรงสัจจะอธิษฐานและเพื่อชดใช้กรรมของตน
    เพราะถ้าทั้งคู่มีกรรมร่วมกันมา อย่างไรก็ต้องเจอกัน มาชดใช้ซึ่งกันและกันให้จบสิ้นเสียก่อน เมื่อรู้กันแล้วอย่างนี้ก็อย่าพยายามสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีก มันจะไม่จบไม่สิ้นทันที
    แรงสัจจะอธิษฐาน นั้นแรงมากๆ ถ้าไม่แน่ใจอะไรแล้ว อย่าไปทำสุ่มสี่สุมห้า จะซวยแบบที่ไม่มีใครจะช่วยได้เลย แรงแห่งสัจจะอธิษฐานนั้นสำคัญในทุกเรื่อง ในพระคาถาต่างๆ ที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นเพราะมาจากสัจจะที่เป็นจริงทั้งสิ้น
    กรณีที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรในที่ทำงาน ในสถานทำงานแบบนี้ก็ต้องมีคนทำงานมากมายเปรียบเสมือนคนที่เคยทำบุญกุศลหรือกรรมกันมาก่อนแล้วในอดีตชาติ มาพบมาเจอมาร่วมทำกิจกรรมกันอีก มีทั้งบุญและบาปประกอบกันไป
    คิดดูเอาก็แล้วกัน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่คนที่ต่างครอบครัว ต่างพ่อต่างแม่ ต่างภูมิลำเนา ต่างเชื้อชาติมากันคนละทิศคนละทาง จะมาเจอกันมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันต้องเคยมีบุญ มีกุศล มีกรรมร่วมกันถึงจะมาเจอกันได้อีก มาเล่นละครเรื่องใหม่กันอีกจะสั้นหรือยาวก็แล้วแต่
    เพราะเมื่อบุญที่ทำร่วมกันหรือกรรมร่วมกันมันสิ้นลง ละครก็จบ ต่างคนก็จะต่างแยกย้ายกันไป เหลือแต่พวกที่ยังไม่หมดบุญหมดกรรมกัน บางครั้งก็มีการกระทบกระทั่งกันในแต่ละวัน แต่เมื่อมีการเปิดใจคุยกัน และต่างยอมถอย ต่างยอมกันและกันหรือให้อโหสิกรรมแก่กัน เหตุการณ์ร้ายๆ ที่เคยเกิดขึ้นก็หายไป มีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาแทน
    เพราะเราต่างเป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกัน เมื่อมีการให้อโหสิกรรมต่อกันและกัน ยอมเสียสละให้กันและกันจนทั้งสองฝ่ายพอใจ กรรมหรือเรื่องที่บาดหมางก็จะหายไปและมีแต่ความเจริญหรือบุญที่ทำร่วมกันมา ทำให้ต่างคนต่างได้รับความสุข ความเจริญในชีวิต
    ยิ่งได้ทำบุญกุศลร่วมกันเป็นบุญใหญ่ เป็นบุญกลุ่ม บริษัทห้างร้านนี้ก็ยิ่งเจริญก้าวหน้า ทำมาค้าขึ้น เงินทองไหลมาเทมา แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีการ อโหสิกรรมให้แล้ว แต่ก็คงได้รับเศษเวรเศษกรรม แต่ก็ยังดีกว่าได้รับผลกรรมอย่างเต็มๆ ใช่ไหม
    สำหรับเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นเพื่อนบ้านนั้นก็สร้างความปวดใจให้เรามากเหมือนกัน บ้านบางบ้านที่มีรั้วติดกัน เป็นเพื่อนบ้าน บางคนไม่ถูกกัน มันเหมือนกับมีใครเอากองไฟร้อนๆ มาสุมไว้อยู่รอบบ้าน อยู่บ้านก็ไม่มีความสุข คอยแต่จะมองเหลียวซ้ายแลขวา หวาดระแวง เพราะต่างคนต่างคิดจะทำร้ายหรือพูดจาถากถางใส่ร้ายกันและกัน อย่างนี้แหละเรียกว่า เจ้ากรรมนายเวรตัวจริง ของจริงล้านเปอร์เซ็นต์
    เราคงต้องหาหนทางรีบทางแก้ไข บางคนอาจจะโชคดีหน่อยที่บุญเก่ามาเสริมทัน ได้ย้าย ได้ขายบ้านไปอยู่ในที่เป็นเนื้อนาบุญของตัวเองใหม่ ที่สร้างเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ในอดีตชาติ แต่คนที่ยังมีกรรมก็ต้องอยู่ ต้องทนจนกรรมตรงนั้นมันหมดสิ้นไป
    มีหลายรายที่มีบ้านใกล้เรือนเคียงกัน เห็นหน้ากันแทบทุกวัน ต้องมาฆ่ากันตายเพราะมีปัจจัยมาช่วยเสริม อาจจะเป็นเรื่องสัตว์เลี้ยงหมา เป็นแมว ที่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของเจ้ากรรมนายเวร มันเป็นไปได้ทั้งนั้น คนที่ถูกฆ่าตายก็จบกันไปในชาตินี้เดินทางไปชดใช้ในอีกภพหนึ่ง ส่วนคนที่ฆ่าเขาก็ต้องไปอยู่คุกไปทนทุกข์ทรมาน หากหลบหนีกรรมไปได้ชั่วคราว ก็ต้องมีชีวิตแบบเร่ร่อน อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง มีนรกพกติดตัวไปทุกที่ ไม่มีทางหนีพ้นไปได้
    และขอให้เข้าใจไว้ด้วยว่า เราและเขาต่างก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกัน ดังนั้นเราอยากอยู่แบบมีความสุขในกรรมที่กำลังส่งผลอยู่นี้ ก็คงต้องเพียรพยายามทำกรรมดีให้มาช่วยทั้งทาน ศีล สมาธิภาวนา ให้กับเขาทุกวัน เสียสละ ทำดี คิดดี พูดดีต่อคนรอบข้างเหล่านี้ เมื่อเขาพอใจ ตัวเราเองก็จะมีความสุข ความเจริญตามไปด้วยเพราะบุญมันกำลังส่งผลมาช่วยส่วนหนึ่ง
    ในโลกแห่งการทำงาน ไม่มีลูกน้องคนไหน ที่ขัดคอ ขัดความเจริญของเจ้านาย คอยนินทาใส่ร้ายเจ้านายคนที่หาเงินมาจ่ายเงินเดือนให้กินให้ใช้ แล้วจะเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานไปได้
    ไม่มีลูกคนไหนของบ้านที่อกตัญญูต่อพ่อ แม่ ญาติพี่น้องหรือผู้มีพระคุณ จะเจริญมีสุขไปได้ในชาตินี้ ไม่มีเพื่อนคนไหนที่คิดไม่ซื่อ นำเพื่อนๆ ไปทางเลวหรือทางชั่ว เอารัดเอาเปรียบเพื่อน แล้วใครหน้าไหนจะรักภักดีอย่างจริงใจด้วย นอกจากคนโง่ที่ไม่มีสติ ปัญญาและกรรมมันบังจนมองไม่เห็นว่า อันไหนเป็นกงจักร อันไหนเป็นดอกบัว
    อย่างที่เห็นๆ กันในสังคมรอบข้างว่ายังคงได้ดี มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ยังร่ำรวยอู้ฟู้อยู่ ขอให้รู้ไว้เถอะว่า มันยังมีกรรมดีที่ส่งผลอยู่ รอให้บุญเก่าหมดเสียก่อน เราจะได้เห็นผลกรรมฝ่ายไม่ดี มันแสดงผลของมันอย่างแท้จริงและดุเดือดเลือดพล่านแค่ไหน ตัวอย่างในอดีตก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
    อย่างผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ในบ้านเรา ตอนที่มีอำนาจเพราะบุญเก่าส่งผลอยู่ ก็หลงระเริง เที่ยวโกงกิน รังแกคนเขาไปทั่ว สร้างแต่ความชั่ว สร้างแต่ความเดือดร้อน สร้างเจ้ากรรมนายเวรมานับไม่ถ้วน
    พอหมดบุญเก่า กรรมมันตามมาทันแล้ว เจ้ากรรมนายเวรที่รอคิวอยู่นานทั้งเก่าและใหม่ ก็เข้ากระหน่ำเป็นระลอกๆ คราวนี้รับแบบเต็มๆ ทั้งต้นทบดอก ดอกทบต้น อำนาจหรือบุญเก่าก็หมด เงินที่โกงมาก็ใช้ไม่ได้ เจ้ากรรมนายเวรเขาบังไว้คุมเชิงไว้ เพราะไม่ได้หามาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เป็นเงินบาป ต้องหนีแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ บ้านแตกสาแหรกขาดกระจุย ผัวไปทาง เมียไปทาง ลูกไปทาง รับวิบากกรรมแบบเต็มๆบางคนต้องตายแบบหมาตัวหนึ่ง ไม่มีใครเขาจะเหลียวแลทำศพให้ เป็นเพราะทำเขาไว้มาก ก่อศัตรูไว้เยอะ เรื่องนี้ประวัติศาสตร์ของเราบันทึกไว้เยอะแยะ
    พ่อค้า คหบดีหรือเจ้าสัว พ่อเลี้ยงมากมาย ที่ต้องมาสิ้นเนื้อประดาตัว เสียชื่อเสียงอย่างย่อยยับในตอนปลายชีวิต เพราะเงินที่หามาได้ตลอดชีวิตนั้น มันมาจากการขูดเลือดขูดเนื้อของคนอื่น การค้าขายที่ไม่สุจริต เงินมันรวมกันปนเปไปหมดตอนที่มีเงินมาก มีความสุข มีหน้ามีตาก็เป็นเพราะว่า บุญเก่ามันยังส่งผลอยู่
    เงินที่ดีที่มาจากการทำงานที่สุจริต ก็คงได้ใช้เท่าที่บุญมี เงินบาปที่หามาได้แบบคดโกงคนอื่นมา เมื่อถึงเวลาเจ้าของเดิมเขาก็ต้องมาเอาคืน เจ้ากรรมนายเวรเขามาเรียกคืนไป อาจจะมาในรูปแบบต่างๆ กัน ทำให้การค้าฉิบหายวอดวาย จับต้องอะไรเป็นต้องเจ๊ง เป็นเสียเงิน หรือเกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วยทำให้ทำงานไม่ได้ เงินทองไม่มีใครดูแล ไม่นานนักก็หมดตัว กรรมเก่าก็เริ่มงานของมันทันที
    พอจะสรุปให้ทราบได้ว่า ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วนั้น มันมีคิว มีเวลาของมันเป็นคิวๆ ไป ตอนนี้ที่หลายคนที่ก่อกรรมชั่วอาจจะยังดูดีอยู่ อาจจะเป็นกรรมดีของชาติก่อนหลายสิบชาติส่งผลอยู่ กรรมชั่วที่ทำในชาตินี้มันเป็นรอคิวอยู่ อาจจะเป็นในกลางชีวิต ในบั้นปลายชีวิต หรือไปรอคิวอยู่ข้างหน้าแล้ว
    ที่บอกอย่างนี้ไม่ใช่ให้คนไม่กลัวกรรมชั่วในชาตินี้ เพราะจริงๆ แล้วกรรมชั่วมันอาจจะส่งผลได้ทั้งในวินาทีข้างหน้าหรืออีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้อันใกล้ จึงอย่าประมาทเป็นอันขาด
    เราไม่ควรที่จะไปคิดว่า อะไรกันตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นว่า ทำดีได้ดี มีแต่คนทำชั่วแล้วได้ดี การคิดอย่างนี้นั้นเป็นเรื่องที่อันตรายและไม่ถูกต้องเลย เราเองแค่มีชีวิตอยู่ไม่กี่ปีในชาตินี้ จะไปรู้ได้อย่างไรว่า คนที่เราเห็นเขาสุขสบาย ร่ำรวยในตอนนี้นั้น ชาติที่แล้วเขาทำกรรมดี กรรมชั่วมาขนาดไหน
    ตอนนี้ชีวิตของเขา ยังคงเป็นเรื่องของตัวละครกรรมดีที่มันกำลังแสดงอยู่ก็เป็นไปได้ ตัวละครกรรมชั่วมันรออยู่หลังโรง รออยู่อย่างใจจดใจจ่อ รอคิวอยู่ เมื่อถึงคิวรับรองว่ามันแสดงอย่างสุดฝีมือเหมือนกัน อย่าลืมว่าเขาก็เป็นตัวเอกในเรื่องเหมือนกัน
    ดังนั้นเราต้องมองเขาตลอดสาย หลายภพหลายชาติจึงจะรู้ เรื่องราวทั้งหมด เราต้องคอยตามคนๆ นี้ไปถึงชาติหน้า ชาตินู้นได้หรือไม่ หรือเคยตามไปดูว่าเมื่อร้อยชาติที่แล้วเขาทำกรรมดีอะไรมาบ้าง ทำกรรมชั่วมากี่หนกี่ครั้ง
    ซึ่งด้วยบุญบารมีของเรานั้นไม่มีทางรู้ได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเท่านั้น ที่พระองค์ท่านเห็นทุกสิ่งทุกเรื่องแบบตลอดเส้นทาง ตลอดสาย ไม่ว่าจะกี่ร้อย กี่ล้านอดีตชาติก็ตามท่านเป็นสัพพัญญู ท่านจึงอยู่เหนือกรรม เหนือกาลเวลาทั้งปวง
    และเป็นโอกาสอันดี ที่อยากจะขอนำข้อความบางข้อความของท่านเสถียร โพธินันทะ ปราชญ์คนสำคัญของพระพุทธศาสนา ครูบาอาจารย์คนสำคัญผู้ได้ล่วงลับไปแล้ว
    ท่านได้เคยปาฐกถาเรื่อง “สวรรค์อยู่ที่ไหน” ที่วัดอาวุธวิกสิตาราม ฝั่งธนบุรี ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ ที่สามารถขยายความในเรื่องกรรมดีกรรมชั่วที่มีจังหวะของมันในการส่งผลได้ชัดเจนมาก เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นดังนี้
    “จังหวะของกรรมดีและกรรมชั่วนั้น จะให้ผลอยู่ที่คิวของมัน เพราะว่าเราทำกรรมดี กรรมชั่วมามากมายอเนกอนันต์นับไม่ถ้วนชาติ มันก็มีคิว ต้องต่อคิวกันมาซิ จะมาให้ผลทันตาเราไม่ได้ดอก
    ไม่ใช่ว่าตักบาตรทอดกฐิน วันนี้แล้วอธิษฐานว่า พรุ่งนี้ลอตเตอรี่ออกให้ถูกที่หนึ่งเถอะ อำนาจผลบุญที่ร่วมอนุโมทนากฐินขอให้ถูกลอตเตอรี่ถูกที่หนึ่งเถอะ แล้วพอไม่ถูกก็มาโทษ บอกว่าทำบุญไม่เห็นได้ผลบุญเลย
    ไม่ถูก มันอยู่ที่คิว ก่อนที่จะถูกเราต้องรอคิวเสียก่อนว่า บางกรรมชั่วเราทำมาก คิวของกรรมชั่ว ต้องเรียงมาตั้งเป็นชาติๆ รอเราอยู่ เราก็ต้องชดใช้หนี้มันก่อนซิ คิวดีก็ไปรอเราโน้นแน่ะ อีกร้อยชาติข้างหน้า ไปรอเราโน่น เราก็ต้องใจเย็นรอคิว ไปก่อนไปหลังซิ
    เหมือนเราทำกรรมชั่วเหมือนกันแหละ วันนี้ไปปล้นเขาปิดบังหลักฐานได้ ก็หัวเราะชอบใจว่าตำรวจไม่รู้ เราไม่ต้องเข้าคุก เพราะฉะนั้นใครทำชั่วก็ไม่ได้ผลชั่ว ไม่จริงหรอก ศาสนาสอนไม่จริง
    อย่างนี้คิวดีของเขายังให้ผลอยู่ คิวชั่วเขานะยังให้ผลอยู่ คิวชั่วยังมาไม่ถึง ก็เหมือนเราตีตั๋วนี่แหละ เราไปช้าเราต้องไปยืนหลังเขา ใครไปก่อนก็ไปยืนหน้าเขา แล้วเราจะไปต่อว่า โอ๊ย ไม่ได้หรอก ไม่ได้ กรรมดีกรรมชั่วมันมีจังหวะจะให้ผล
    เราปลูกกล้วย ปลูกมะละกอ ปลูกพริก ปีหนึ่งก็ได้กินผล ปลูกทุเรียนปีหนึ่งได้กินผลไหม ไม่ได้ห้าปี หกปี เจ็ดปีกว่าจะได้กินทุเรียน ปลูกมะม่วงสามปีสี่ปีก็ได้กินผลแล้ว เมื่อปลูกพริกปีหนึ่ง ห้าเดือนหกเดือนก็ได้กินแล้ว ปลูกพริกฉันใด
    กรรมดีกรรมชั่วก็เหมือนกัน มันมีจังหวะเร็วจังหวะช้า “
    และในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า เราทุกคนนั้นเวียนว่าย ตายเกิดมานานแสนนาน สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรม เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ ชาตินี้ ตัวเราและเจ้ากรรมนายเวรพวกนี้ เราทั้งหมดอาจจะผ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้องเป็นญาติกันมาหลายหมื่นหลายแสนชาติ
    เราทุกคนเป็นทั้งญาติธรรม และเจ้ากรรมนายเวรด้วยกันหมดทั้งสิ้น
    ทำไมเราทุกคนต่างเป็นญาติกันและกัน ขออธิบายเรื่องนี้อย่างง่ายๆ ในชาติปัจจุบันนี้ เรามีญาติพี่น้องทั้งหมดกี่คน เราลองนับดูได้ทั้งญาติทางพ่อ ทางแม่ ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา มาทางครอบครัวเราบ้าง เรามีพี่น้องกี่คน แล้วเรามีหลานกี่คน แล้วครอบครัวของลูก ของหลานอีกกี่คน
    นี้ลองเฉพาะนับคร่าวๆ เอาเพียงในชาติปัจจุบันนี้เท่านั้นนะ เรายังไม่นับรวมในอดีตชาติ สมมติว่าเรานับได้สักร้อยคนสำหรับญาติในชาตินี้ ที่นี้ลองคิดกันเล่นๆ อีก เอาเลขล้านมาคูณดู มาเปรียบเทียบเป็นอันว่าถ้าเราเคยเกิดมาเป็นคนสักล้านชาติก็พอ
    ตอนนี้เรามีญาติกันอยู่เท่าไร นับว่าทุกคนในโลกนี้ ในสังคมนี้ ในประเทศนี้เป็นญาติกันได้หรือไม่ และถ้าเคยเป็นสัตว์ต่างๆ อีกล้านชาติ เป็นพันธุ์ต่างๆ อีกล้านชาติละ เราจะนับญาติกันหมดไหม
    เราทุกคนล้วนต่างเคยเป็นอะไรในทุกสถานะที่ต้องเกี่ยวข้องกัน เคยเป็นทั้งพ่อ เป็นแม่ ทั้งผัวหรือเมีย พี่น้องกัน สร้างทั้งกรรมดีและกรรมชั่วมามากมายในชีวิต ในส่วนกรรมดีก็กำลังจะส่งผล ส่วนกรรมชั่วก็ส่งผลอยู่เช่นกัน มันเป็นเหมือนวงแหวนสองวงที่วางซ้อนกันอยู่
    วงแรกที่อยู่ใกล้ตัว และติดตัวเรามากที่สุดก็คือ วงของเวรกรรมที่เราทุกคนต้องชดใช้และต้องหาวิธีที่จะผ่านไปไม่ว่าจะเป็นการทำความดี การทำสมาธิ ขออโหสิกรรม ทำบุญ ทาน บารมี ต่างๆ เพื่อที่จะไปหาวงที่สองที่เป็นกรรมดี เป็นบุญที่กำลังรอเราอยู่ ที่จะทำให้เราและคนที่รักนั้นสุขสบาย อย่างน้อย
    และกรรมในทางดีและผลบุญที่เราเคยทำมาและกำลังกระทำอยู่ ที่ส่งผลทำให้ชาตินี้เราได้เกิดมาเป็นคน เป็นที่มีอวัยวะครบทั้ง ๓๒ ประการ มีฐานะ ครอบครัวที่ดี มีหน้าที่การงานที่ดี หล่อหรือสวย ฉลาดปราดเปรื่องตามฐานบุญที่สะสมมา
    ในส่วนของกรรมในทางที่ไม่ดีที่เคยมีต่อกันนั้น ทำให้เราต้องเกิดมาเป็นพ่อหรือแม่ หรือเพื่อน เป็นลูกน้องที่ต้องเลี้ยงดู รับใช้ ทำงานให้เขาไป มีพันธะเกี่ยวข้องต่อกันในชาตินี้ พอถึงช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อเราชดใช้หนี้กรรมกับเขาหมดหรือเขาใจดีหรืออโหสิกรรมให้ ก็ถือว่าหมดสิ้นแล้วต่อกัน
    แต่ทว่าในชาตินี้ที่เกี่ยวข้องกัน เรายังไปทำอะไรที่ไม่ดีต่อเขาอีก มันก็คงต้องเกี่ยวพันกันไปในชาติต่อไปอีกไม่รู้จบ อย่างนี้เราจะเลือกทำดีหรือทำชั่วกับเจ้ากรรมนายเวรอย่างไรดี ต้องคิดให้ดีๆ คิดให้หนักๆ เข้าไว้
    มีหลายคนเคยถามแบบทันยุคทันเหตุการณ์ว่า พวกรับจ้างทวงหนี้ ทั้งบัตรเครดิต หรือทำหน้าเหี้ยมโหด ดุร้ายตามตลาดร้านค้า หน้าตาดุๆ พวกนี้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราไหม ก็คงต้องใช้ปัญญาและหลักการเดียวกันกับการพิจารณาว่า
    คนเหล่านี้นำความเดือดร้อน ไม่สบายใจมาให้เราไหม
    ถ้าตอบว่า ใช่ เขาก็คงเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา แต่กรรมที่มีต่อกันก็แล้วแต่คน ถ้าพวกนี้มันทำร้ายร่างกาย ทุบตีเรา ก็คงจะมีแรงอาฆาต วิบากกรรมที่หนักหน่อยรวมถึงกรรมใหม่ที่เขาต้องเตรียมชดใช้เรา
    แต่แค่โทรมาขู่ให้ตกใจเล่น คงเบาบางมากไม่นานก็หลุดพ้น เขาอาจจะทำตามหน้าที่ แต่เพราะไม่มีศีล มีสติ ปัญญากำกับ คนพวกนี้มันจึงทำอะไรที่ดูเกินเลยเถิดนอกเหนือคำสั่ง เป็นแค่ทาสบริวารของเจ้ากรรมนายเวรตัวจริง อาจจะเคยได้แค่เศษข้าวกิน แรงเขาจึงไม่มี ทำร้ายอะไรเราไม่ได้นอกจากกวนจิตใจเราเท่านั้น ถ้าเราให้อโหสิกรรมต่อเขาเหล่านั้น ชาติต่อไปก็คงไม่ต้องพบกันอีก
    แต่ถ้าเรายังอาฆาต คงได้เจอกันแน่ในชาติหน้าต่อไป แต่คราวนี้เราอาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเขา คอยทวงเขาแทนจะเป็นอะไรก็ไม่อาจจะรู้ได้
    ทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน ก็คือ ให้อโหสิกรรมเขาเสีย แค่นั้นก็จบ และน่าจะเป็นทุกคน ทุกเรื่องที่เราเกี่ยวข้องกันในชาตินี้ อย่าพยายามเอาติดตัวไปอีกเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2014
  18. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    กำเนิดเป็น ยุง ริ้น ปลิง ทากดูดเลือด
    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบขูดรีด กินเลือดกินเนื้อ สูบเลือดสูบเนื้อคนยากคนจน ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงทุจริตต่าง ๆ มากมาย ชอบเบียดเบียน ให้ทุกข์ให้โทษแก่ผู้คนด้วยความโกรธ ความแค้น ความอาฆาต จึงทำให้ไปเกิดในนรก หลังจากนั้นแล้วก็มาถือกำเนิดเป็นยุง ริ้น ปลิง ทาก ตัวเลือดตามสันดานเดิม ด้วยการคอยแต่จะดูดกินเลือดผู้คนอีกตามเคย
     
  19. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    กำเนิดเป็นไส้เดือน
    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ไม่รู้จักบุญคุณต่อซาติบ้านเมืองกระทำตัวเป็นไส้ศึก กบฏ สายลับ สายสืบหรือเป็นหนอนบ่อนไส้ให้กับฝ่ายศัตรู เป็นคนบ่อนทำลายประเทศชาติ เป็นคนขายชาติขายแผ่นดิน จึงทำให้เป็นเหตุปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นไส้เดือน ไม่มีตา เพราะไม่เห็นคุณประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ต้องเกิดมากินดินเป็นอาหารตามจริตสันดานที่เคยประพฤติบ่อนทำลายชาติมาแต่ ชาติปางก่อนจนกว่าจะชดใช้หนี้กรรมเก่าให้หมดสิ้น
     
  20. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    กำเนิดเป็น กระทิง แรด
    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการต่อสู้ต่างๆ ชอบยุยงให้ผู้คนทะเลาะกัน ให้สัตว์ตีกัน ทำร้ายกัน ด้วยเห็นเป็นเกมส์กีฬาอย่างสนุกสนาน เช่น ชนไก่ ชนแพะ ชนวัว ฯลฯ บ้างเป็นนักเลงโต เที่ยวเกะกะระราน สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คน จึงเป็นเหตุให้ต้องไปเกิดเป็นแรด กระทิง เอาหัวไล่ชนกันอย่างเมามัน เพื่อให้ผู้คนดูเป็นเกมส์กีฬาอย่างสนุกสนาน สมกับที่ตนได้เคยทำไว้ในอดีตชาติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...