ผีมีจริง...ตอนสร้างเมรุเผาศพเสร็จเพราะมีเว็บพลังจิตใช้งบเกือบล้าน(ป่าช้าโบราณ)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร, 7 กรกฎาคม 2011.

  1. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    อนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ มีบทสวดมาฝากครับ

    เมื่อท้าวสหัสสนัยน์ทรงทราบแล้ว ก็มีความเมตตาสงสารแก่สุปติฏฐิตะเทพบุตรยิ่งนัก จึงกราบทูลพระมหากรุณา ให้แสดงพระสัทธรรมเทศนา อันจะเป็นที่พึ่งแก่สัสว์โลกช่วยชีวิตเทพบุตรองค์นี้ไว้ ไม่ให้ตายลงใน ๗ วันนี้ สมเด็จพระมหามุนี จึงตรัสเทศนาคาถาอุณหิสสวิชัยมีใจความต่อไปนี้

    อตฺถิ อุณหิสสวิชโย ธมฺโม โลเก อนุตฺตโร

    สพฺพสตฺตหิตตฺถาย ตํ ตฺวํ คณหาหิ เทวเต

    ปริวชฺเช ราชทณเฑ อมนุสเสหิ ปาวเก

    พฺยคฺเฆ นาเค วิเส ภูเต อกาลมรเณน วา

    สพฺพสฺมา มรณา มุตฺโต โหตุ เทโว สุขี สทา

    สุทฺธสีลํ สมาทาย ธมฺมํ สุตริตํ จเร

    ตสฺเสว อานุภาเวน โหตุ เทโว สุขี สทา

    ลกฺขิตํ จิน.ติตํ ปูชํ ธารณํ วาจนํ ครุ(คะรุง)

    ปเรสํ เทสนํ สฺวา ตสฺส อายุ ปวฑฺฒตีติ.



    เทวเต ดูก่อนเทวดาทั้งหลาย พระธรรมนี้มีชื่อว่า อุณหิสสวิชัย เป็นยอดแห่งธรรมทั้งหลาย เป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งมวล ท่านจงถือเอาพระธรรมนี้เป็นที่พึ่ง อุตสาห์สวดบ่นสาธยายทุกค่ำเช้า ย่อมห้ามเสียซึ่งภัยทั้งปวง อันจะเกิดขึ้นจากจาก ภูตผี ปีศาจ หมู่พยัคฆะ งูใหญ่ งูน้อย และพระยาเสนามาตย์ทั้งหลาย จะไม่ตายด้วยพิษทั้งมวล เว้นแต่สิ้นอายุนั้นแลจึงจะตาย ผู้ใดได้เขียนไว้ก็ดี ได้สวดมนต์ ภาวนาอยู่ทุกวันนั้นก็ดี จะมีอายุยืน เทวเต ดูก่อนเทวดา ท่านจงมีความสุขเถิด
     
  2. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
    ทางเดินจงกรม กำลังลงมือก่อสร้างถวายโดยคุณโยมnahpee ใช้อิฐทั้งหมด400ก้อน ก้อนละ6บาท รวมเป็นเงิน2,400บาท เริ่มลงมือก่อสร้างวันนี้ เเบ่งกำลังคนจากสร้างห้องน้ำไปช่วย ส่วนห้องน้ำนั้น เหลือปูกระเบื้องเเละมุงหลังคา ซื้ออุปกรณ์ ต่างไปสี่หมื่นกว่าบาท รวมค่ารถค่าน้ำมันประมาณ5หมื่นพอดีคุณโยม ส่วนอีก12ห้องอาตมาจะลงมือสร้างบนที่ดิน ที่กำลังจะซื้อใหม่ปรดใจเย็นๆรอสักนิดอาตมารับปากว่าหากลงมือสร้างจะนำรูปมาลงให้ดูเป็นระยะๆ ให้คุณโยมร่วมอนุโมทนาบุญ สาธุๆ
     
  3. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขอบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้ จงบันดาลให้
    ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ

    พละปฏิภาณ ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนา
    ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  4. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...สาธุครับ คุณณิช
    ...ทานทำได้ตามกำลังอย่าให้เดือดร้อนเป็นใช้ได้ครับ
    ...และรู้ว่าทำแล้วเกิดประโยชน์กับผู้ปฏิบัติธรรมที่ตั้งใจปฏิบัติเกิดปิติทันทีเช่นกันครับ
    ...จริงๆแล้วทางเดินจงกรมเราทำกัน 3 คน ผม ภรรยา และเพื่อนภรรยาที่ไปที่วัดนั่นแหละครับ

    ...มีคำสอนดีๆมาฝากครับ
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ตอบปัญหาการฝึกมโนมยิทธิ สำหรับผู้เริ่มฝึกได้แล้ว

    ผู้ถาม:-
    "ถ้าฝึกอภิญญาได้ก็แสดงฤทธิ<WBR></WBR>์ได้ใช่ไหมขอรับ....?"

    หลวงพ่อ:-
    "แสดงฤทธิ์ได้ แสดงไปเดี๋ยวก็หลงตัวเอง
    ความสำคัญมีอยู่ว่า ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจว่าสวร<WBR></WBR>รค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง
    พวกเปรต อสุรกายมีจริง ความสำคัญมันมีอยู่แค่นี้เอ<WBR></WBR>ง
    วิชานี้ที่เรามีอยู่แล้วทำเ<WBR></WBR>สียให้เต็มที่ ทำให้พอใจ

    เพราะว่าถ้าเราเป็นมโนมยิทธ<WBR></WBR>ิเต็มที่ เต็มกำลัง เราก็รู้อะไรทั้งหมด
    เวลานี้เราก็รู้หมดอยู่แล้ว<WBR></WBR> กำลังอ่อนหน่อยก็ไม่แปลก รู้ได้เหมือนกัน

    เราก็ใช้กำลังส่วนนี้รู้จัก<WBR></WBR>พระนิพพาน จิตก็จับพระนิพพานเป็นอามรณ<WBR></WBR>์มันก็แค่นื้
    ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อนิพพานอ<WBR></WBR>ย่างเดียว ไม่ใช่ทำเพื่ออวดชาวบ้าน"

    ผู้ถาม:-
    "ถ้าหากเราฝึกมโนมยิทธิได้แ<WBR></WBR>ล้ว ต้องการดูกระแสจิตของเราเอง<WBR></WBR> จะได้ไหมขอรับ.......?"

    หลวงพ่อ:-
    "ได้........การดูใจเขาดูแบ<WBR></WBR>บนี้ คือ ดูแสงสว่างของใจที่มันออกมา<WBR></WBR> กระแสจิตของนักปฏิบัติ
    เป็นสีเนื้อหรือสีเคลือบแก้<WBR></WBR>ว ถ้ายังเป็นสีเนื้ออยู่ก็แสด<WBR></WBR>งว่า บุคคลนั้นเป็นปุถุชนเต็มอัต<WBR></WBR>รา
    ถ้าเป็นแก้วเคลือบหนาขึ้นไป<WBR></WBR>ทีละหน่อย ๆ จนกระทั่งเป็นแก้วใสสะอาด
    อย่างนี้ใช้ได้ในด้านสมถภาว<WBR></WBR>นา
    ต่อไปอีกขั้นหนึ่ง ถ้าเป็นประกายแพรวพราว อันนี้เขาถือว่าอยู่ในเกณฑ์<WBR></WBR>ดี
    แต่ถ้าจะดีจริง ๆ มันเป็นแสงละเอียด เหมือนประกายแว้บ ๆ เหมือนกระจกน่ะดี
    แต่ยังดีไม่เต็มที่

    ถ้าจะดูว่าอารมณ์จิตละเอียด<WBR></WBR>ไหม ถ้าวิปัสสนาญาณมาก จิตจะเป็นประกายมาก
    ถ้าประกายน้อย จิตมีวิปัสสนาญาณน้อยฃ

    ทีนี้กระแสจิตที่ออกมาน่ะ ออกเรียบร้อยดีไหม........ห<WBR></WBR>รือว่าลุ่ม ๆ ดอน ๆ
    ถ้ากระแสจิตเรียบร้อยดี อย่างนี้มีหวังไม่มีทางพลาด<WBR></WBR>หวังพระนิพพาน ท่านบอกไว้เลยนะ

    การเห็นกระแสจิต เรียกว่า เจโตปริยญาณ เป็นญาณหนึ่งในญาณ ๘
    ถ้าฝึกมโนมยิทธิได้ ฝึกญาณ ๘ ได้ง่ายมาก"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2011
  5. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    สำนักธุดงคสถานสู่แสงธรรม องค์สมเด็จพระปฐมบรมครู

    36 แผนชีวิตของพ่อ พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

    1.ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจาน อย่างจริงใจ
    2.อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด<WBR></WBR> นอกจาก”ปัญญา”และ”ความกล้าห<WBR></WBR>าญ”
    3.”เพื่อนใหม่”คือของขวัญที<WBR></WBR>่ให้กับตัวเอง ส่วน”เพื่อนเก่า”/<WBR></WBR>”มิตร”คืออัญมณีที่นับวันจะเ<WBR></WBR>พิ่มคุณค่า
    4.อ่านหนังสือธรรมะปีละเล่ม
    5.ปฏิบัติต่อคนอื่น เช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผ<WBR></WBR>ู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
    6.พูดคำว่า”ขอบคุณ”ให้มากๆ
    7.รักษา”ความลับ”ให้เป็น
    8.ประเมินคุณค่าของการให้”อ<WBR></WBR>ภัย”ให้สูง
    9.ฟังให้มาก แล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
    10.ยอมรับความผิดพลาดของตัว<WBR></WBR>เอง หากมีใครตำหนิและรู้แก่ใจว่<WBR></WBR>าเป็นจริง
    11.หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม<WBR></WBR>่
    12.เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนั<WBR></WBR>ก คิดเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
    13.อย่าถกเถียงธุรกิจภายในล<WBR></WBR>ิฟท์
    14.ใช้บัตรเครดิตเพื่อความส<WBR></WBR>ะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
    15.อย่าหยิ่ง หากจะกล่าวว่า”ขอโทษ”
    16.อย่าอาย หากจะบอกใครว่า”ไม่รู้”
    17.ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง
    18.เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ว<WBR></WBR>วิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆอย่างค่อย<WBR></WBR>เป็นค่อยไป
    19.การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห<WBR></WBR>่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมา<WBR></WBR>ท
    20.คนไม่รักเงิน คือคนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต
    21.ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อน คือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนท<WBR></WBR>ี่ดี
    22.ชีวิตนี้ฉันไม่เคยได้ทำง<WBR></WBR>านเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด
    23.จงใช้จุดแข็ง อย่าเอาชนะจุดอ่อน
    24.เป็นหน้าที่ของเราที่จะพ<WBR></WBR>ูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น ที่จะทำความเข้าใจในสิ่ง ที่เราพูด
    25.เหรียญเดียวมี 2 หน้า ความสำเร็จ กับ ล้มเหลว
    26.อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆเกิดขึ้น ล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น
    27.ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อ<WBR></WBR>น
    28.อย่าดึงต้นกล้าให้โตไวๆ(<WBR></WBR>อย่าใจร้อน)
    29.ระลึกถึงความตายวันละ 3 ครั้ง ชีวิตจะมีสุข มีอภัย มีใช้อยู่
    30.ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆไปก็ผิดหมด
    31.ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวั<WBR></WBR>นเวลาแล้วเสร็จ
    32.จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดช<WBR></WBR>ีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ต<WBR></WBR>ลอด
    33.ดาวและเดือนที่อยู่สูง อยากได้ต้องปีน”บันไดสูง”
    34.มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมาก<WBR></WBR>มายในชีวิต จงทำงานชิ้นสำคัญที่สุดก่อน<WBR></WBR>เสมอ
    35.หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญ<WBR></WBR>าของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม
    36.ระเบียบวินัย คือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเน<WBR></WBR>ินชีวิต

     
  6. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    สำนักธุดงคสถานสู่แสงธรรม องค์สมเด็จพระปฐมบรมครู

    : การทรงอารมณ์ใจให้เป็นปกติ คืออย่างไร ?

    คำตอบคือ :

    " จงจำไว้ว่า จริยาที่เราจะต้องทรงใจมีดั<WBR></WBR>งนี้ ...

    1. ยามปกติ เราจะไม่สนใจในจริยาของบุคค<WBR></WBR>ลอื่น ใครเขาจะดี ใครเขาจะเลวมันเรื่องของเขา<WBR></WBR> อย่าโอ้อวด อย่ายกตนข่มท่าน อย่าถือตัวเกินไป

    2. ไม่มีกังวล

    3. ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง และไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคล<WBR></WBR>อื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลา<WBR></WBR>ยศีลแล้ว

    4. ระงับนิวรณ์ได้โดยฉับพลัน เมื่อเราต้องการความเป็นทิพ<WBR></WBR>ย์ของจิต ขณะใดที่จิตต้องการสมาธิ ไอ้ความเป็นทิพย์นี่มาจากสม<WBR></WBR>าธิมีความตั้งใจจิตสะอาด ถ้าต้องการจิตเป็นสุขหรือต้<WBR></WBR>องการสมาธิ ต้องระงับนิวรณ์ได้ทันทีทัน<WBR></WBR>ใด

    5. จิตทรงพรหมวิหาร 4 ตลอดเวลา คือเป็นปกติตลอดวัน

    6.ใจยอมรับนับถือความดีของพ<WBR></WBR>ระพุทธเจ้า ความดีของพระธรรม ความดีของพระสงฆ์ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มัน<WBR></WBR>ต้องตาย ถ้าตายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื<WBR></WBR>่อนั้น

    ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธ<WBR></WBR>บริษัททำได้อย่างนี้ฌานสมาบ<WBR></WBR>ัติจะทรงตัว คำว่าเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส กำลังใจไม่เสมอกัน สว่างบ้างมืดบ้างจะไม่มี จะมีแต่คำว่าผ่องใสเรื่อยขึ<WBR></WBR>้นไปตามลำดับ ขึ้นชื่อว่าการเกิดในอบายภู<WBR></WBR>มิต่อไป ไม่มีแน่ จะเป็นการเกิดเป็นสัตว์นรกเ<WBR></WBR>ป็นเปรตเป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ ไม่มีต่อไปอีก มีอย่างเดียวคือมุ่งหน้าไปน<WBR></WBR>ิพพาน "


    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพ<WBR></WBR>รหมยาน.(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     
  7. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...ทุกวันพระลองตั้งใจงดเบียดเบียนสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เราก็เคยเกิดมาแล้วเช่นเขาทั้งนั้น

    อานิสงค์ 10 ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์
    ...อ<WBR></WBR>งค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ท<WBR></WBR>รงบัญญัติ
    ศีลข้อ"ปาณาติบาต" คือ ห้ามการฆ่า...เป็นข้อที่สำค<WBR></WBR>ัญอันดับหนึ่งและในพระสูตร
    ของพุทธศาสนามหายาน ยังได้กล่าวถึง
    พระพุทธวจนะ ว่าด้วยเรื่อง " อานิสงค์ 10 ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์"
    ในคราวที่เสด็จไปเทศนาโปรดบ<WBR></WBR>รรดาเหล่าพญานาคไว้ดังนี้



    1. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหม
    ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหล<WBR></WBR>าย
    2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเ<WBR></WBR>กิดขึ้น
    3. สามารถตัดขาดความอาฆาต
    ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเคียดแค้<WBR></WBR>นได้
    4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบีย<WBR></WBR>ดเบียนร่างกาย
    5. อายุมั่นขวัญยืน
    6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจาก<WBR></WBR>วัชรเทพทั้งแปด(วัชรเทพทั้ง 8 พระองค์ คือ เทพเจ้าผู้พิทักษ์ธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อบุคคลใดมีจิตมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณงามความดีมีใจศรัทธาศึกษาปฏิบัติธรรมรักษาศีลกินเจ วัชรเทพทั้ง 8 พระองค์ก็จะมีบัญชาให้เหล่าเทพบริวารทั้งหลายลงมาพิทักษ์รักษาปกป้องคุ้มครองบุคคลนั้นๆ มิให้ภูติผีปีศาจ ยักษ์ มาร อสูรร้ายมารังควาน)
    7. ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที<WBR></WBR>่ดีงามเป็นศิริมงคล
    8. ย่อมระงับการจองเวร สลายอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
    9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งพ<WBR></WBR>ระนิพพาน
    ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
    10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมุ่งสู่สุคติภพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2011
  8. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    อนุโมทนาบุญด้วยครับน่าสนใจมาก
     
  9. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...กระทู้ช่วงนี้ต้องขออนุญาต พระอาจารย์และทุกๆท่าน
    ...เพราะบางครั้งก็มีผู้ที่มีความทุกข์ เข้ามาอ่าน
    ...ฉนั้นถ้าบังเอิญไปเจอข้อธรรม ที่มีประโยชน์จากเวบอื่นๆที่เขาอธิบายไว้ดีแล้ว
    ...ก็จะcopyนำมาโพสให้อ่านเพื่อเกิดสติและปัญญาทางธรรมกันด้วยนะครับ
    ...ก็ขออนุโมทนาสาธุในบุญความดีกับเจ้าของกระทู้ที่เผยแพร่คำสอนทางเวบทุกๆท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  10. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...ใครรู้สึกว่าทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่พอเห็นคนอื่นทำชั่วกลับได้ดี
    ...เลยไม่ยอมทำดีกัน หันมาทำความชั่วตามเขาเพราะเขาได้ดีกัน
    ...ซึ่งสังคมไทยวันนี้กำลังเป็นกระแสนิยมตามๆกันไปโดยขาดปัญญาไตร่ตรอง
    ...ซึ่งน่ากลัวมากๆ ฉนั้นอย่าคิดเองเพราะเห็นเองมาเช่นนั้น ลองอ่านดูครับ


    โอวาทจากดวงพระวิญญาณบริสุทธิ์สมเด็จโต
    พิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยเดลี่
    ประจำวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔


    ทำไมทำดีแล้วจึงไม่ได้ดี

    คุณขีด : กระผมอยากทราบเรื่องกฎแห่งกรรมเพราะเป็นกุญแจของบุญและบาป คนที่ไม่รู้จักบุญและบาปก็เพราะไม่รู้จักกฎแห่งกรรม บางคนไม่เชื่อว่าบุญมีจริงบาปมีจริง แล้วบางทีทำบุญกลายเป็นได้ผลบาป ทำบาปกลายเป็นผลดี ทั้งนี้เป็นเพราะว่าไม่ทราบชัดในเรื่องกฎแห่งกรรม เพราะฉะนั้นกระผมอยากให้หลวงพ่อสมเด็จได้โปรดขยายกฎแห่งกรรมให้กว้างขวาง ให้เป็นที่รู้ชัดสักหน่อยครับว่ามีกฎอันแท้จริงอย่างไร

    สมเด็จโต : กฎแห่งกรรมนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ก็เปรียบเสมือนหนึ่งธรรมชาติของการเติบโตของผลไม้ตามฤดูกาล กรรมที่ท่านสร้างในอดีตภพย่อมนำมาสู่ท่านในปัจจุบันภพ ฉันใดก็ฉันนั้น ทีนี้กรรมเหล่านั้นที่ท่านทำไปแล้วแต่ท่านลืมไปเพราะอะไรเล่า เพราะว่ามนุษย์ที่ยึดว่าทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี เพราะมนุษย์ผู้นั้นไม่โปร่งในขั้นสมุฏฐานของเหตุและปัจจัย

    ถ้าท่านหว่านพืชชนิดใดลงดิน พืชชนิดนั้นจะขึ้นตามเหล่ากอของพืชพันธุ์นั้น กรรมใดที่ท่านสร้างมาในภพที่ท่านลืมไปแล้ว แต่กรรมนั้นยังตามเสวยตามภพชาติต่างๆ อยู่ ยกตัวอย่าง ซึ่งเปรียบง่ายๆ สมมติว่าเมื่อสองปีก่อนท่านได้ฆ่าคนตายในที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แล้วท่านหนีไปอยู่ที่หนองคาย (เปรียบเหมือนท่านฆ่าคนตายในภพก่อนแล้วมาเกิดใหม่ในภพนี้) เรียกว่าท่านเกิดภพนี้ทั้งที่เป็นคนเดิมคือจิตวิญญาณเดิมจากภพก่อน แต่มาอยู่ภพนี้หรือเมืองนี้

    ในขณะที่ท่านหนีจากกรุงเทพฯ (ภพก่อน) ไปอยู่หนองคาย (ภพนี้) เกิดสำนึกผิดขึ้นมา จึงถือศีลทำบุญให้ทาน เป็นมิตรกับชาวบ้านที่หนองคาย ชาวบ้านที่หนองคายก็ยกย่องสรรเสริญว่าท่านเป็นคนดีมีศีลธรรมน่าเคารพนับถือ แต่กรรมที่ท่านสร้างไว้คือฆ่าคนตายที่กรุงเทพฯ เมื่อสองปีก่อนนั้น ชาวบ้านที่หนองคายไม่รู้กับท่านด้วย และตำรวจ (กรรม) นั้นก็กำลังตามหาท่านอยู่ เปรียบเสมือนการตามของภพของกรรมไปถึงที่นั่น

    แม้ว่าท่านกำลังถือศีลถืออุโบสถอยู่ในโบสถ์ หรือแม้ว่าบางคนมาบวชเป็นพระเพื่อหนีคุกหนีตารางก็ตามที เมื่อตำรวจสืบพบเจอตัวท่าน แม้จะอยู่ที่วัดถือศีลหรือบวชเป็นพระอยู่ ตำรวจก็จับท่านทันทีเพื่อไปลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง คนที่หนองคายแถวที่ท่านอยู่ย่อมไม่พอใจ หรือด่าทอตำรวจที่มาจับคนดีที่ถือศีลในอุโบสถอยู่

    ก็เหมือนกรรมที่ไม่ดีที่ตามมาทันท่านตอนที่ท่านกำลังทำดี ทำให้ท่านคิดว่าทำไมทำดีแล้วจึงไม่ได้ดี กลับพบเจอและได้รับแต่สิ่งที่ไม่ดี ท่านอาจลืมกรรมที่ท่านทำไว้ในภพชาติก่อนแล้ว เพราะมันผ่านมานานแล้ว ข้ามภพข้ามชาติมาจนจำไม่ได้ว่าทำกรรมไม่ดีอะไรไปบ้าง จึงทำให้คิดว่าภพนี้ชาตินี้ทำแต่ความดี แล้วทำไมไม่ได้ดี

    คล้ายกันกับคนทำชั่วหรือทำไม่ดีในปัจจุบัน แต่กลับได้ดิบได้ดี เพราะภพชาติก่อนเขาเคยทำดีไว้ แล้วกรรมดีนี้ตามมาทันและส่งผลให้เขาได้ดิบได้ดี แม้ในขณะปัจจุบันเขากำลังทำกรรมไม่ดีอยู่ก็ตามที เพราะเป็นกรรมคนละส่วนกับกรรมเก่าที่เขาทำดีในภพชาติก่อน ส่วนกรรมใหม่ที่เขาทำไม่ดีในขณะนี้ยังไม่ส่งผล ต้องรอให้ผลในกาลต่อไป เปรียบเหมือนเราเพิ่งปลูกข้าวดำนาเสร็จ จะให้กล้าในนาออกดอกออกรวงข้าวในวันนี้หรือพรุ่งนี้เลยย่อมเป็นไม่ได้ จะต้องรอเดือนรอเวลาจนกว่าต้นกล้าจะครบกำหนดที่จะออกรวงให้ผลิตผลเป็นเมล็ดข้าว จึงจะเก็บเกี่ยวได้ ฉันใดก็ฉันนั้น กฎแห่งกรรมก็เช่นเดียวกันกับกฎธรรมชาติ

    เช่น การปลูกพืชปลูกต้นไม้ชนิดต่างกัน ย่อมต้องจะรอการออกดอกออกผลเป็นเวลาไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นไปตามพันธุกรรมของพืชชนิดนั้นๆ ที่จะใช้เวลาไม่เท่ากันนานเป็นเดือนหรือนานเป็นปีจึงจะให้ผล เช่น ปลูกพริกย่อมให้ผลิตผลเร็วกว่าปลูกมะม่วง ปลูกข้าวย่อมให้ผลเร็วกว่าปลูกมะพร้าว เป็นต้น เช่นเดียวกันกับผลของกรรมแต่ละชนิด กรรมหนักกรรมเบา มีเจตนาหรือไม่เจตนา เป็นต้น จึงให้ผลกรรมหนักเบาต่างกันต่างเวลาตามเหตุปัจจัย

    สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งละเอียด กฎแห่งกรรมคือกฎแห่งธรรมชาติ ย่อมทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ท่านสร้างกรรมดีไว้ในปัจจุบันนี้ กรรมนั้นอาจจะให้ท่านเสวยผลในภพอีกภพหนึ่งก็ได้ เพราะว่ามันเป็นกงล้อแห่งกงกรรมกงเกวียนที่จะแยกแยะออกมา ชาติไหน ชาติอะไร ชาติโน้น ชาตินี้ เป็นสิ่งยาก เพราะว่ามนุษย์เราแต่ละคนที่เกิดมาในปัจจุบันชาตินี้ เกิดมาเป็นร้อยๆ พันๆ ภพชาติเป็นกงกรรมกงเวียนที่ทับถมทั้งดีและชั่ว โดยเจ้าตัวก็แยกแยะไม่ออก

    ยกตัวอย่างง่ายๆ เสมือนหนึ่งท่านคิดตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น พอตกเย็นท่านมานั่งทบทวน ท่านก็แยกแยะทบทวนไม่ค่อยออกว่าเวลาไหนท่านมีอกุศลอารมณ์ เวลาไหนมีโทสจริต เวลาไหนมีเมตตาจิต เพราะว่าการเคลื่อนไหวแห่งจิตวิญญาณนี้เร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณูทั้งหลาย เร็วยิ่งกว่าปรอท เพราะฉะนั้นจึงแยกได้ว่า ท่านสร้างกรรมใดไว้ ท่านย่อมจะต้องเสวยกรรมนั้นในภพชาติแน่นอน
     
  11. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อนุโมทนาสาธุ กระทู้นี้ เป็นของทุกคน อะไรที่เกิดประโยชน์ตน(เจริญในธรรม)
    เเละประโยชน์ ต่อคนอื่น คุณโยมอย่าได้เกร็งใจ...ที่เข้าอ่านประจำทุกคนล้วนเคยรู้จักกันมาเเล้วทั้งสิ้น เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นศิษย์ อาจารย์เดียวกันมาเเล้วทั้งนั้น อย่าได้ไปคิดอะไรมาก ถีงเวลาปล่อยกระเเสเเห่งจิตเเห่งธรรม ออกมาให้หมด เพื่อชาวโลก...ให้เขาได้รู้จักเเละเข้าซึ้งพระนิพพาน ซึ้งทุกคนถ้าเข้าใจเเล้ว ไม่ยากเกินไป ขอให้มีสัจจะต่อตัวเอง มีศิล สมาธิ ปัญญา ทุกๆที่คุณโยม อยากรู้ อยากเห็น จะได้รู้ได้เห็น เเละเมื่อเห็นเเล้ว ก็อย่าได้ไปยืดมั่นถือมั่น อะไรทั้งสิ้น...ทำจิตใจให้ว่างหรือปล่อยวาง เเบบมีปัญญา นั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2011
  12. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]

    หลวงปู่ดี คัมภีโร แห่งวัดป่าบ้านหนองผักแว่น หมู่ที่9 ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด 45120 โทร 043612-037
     
  13. ปรมินทร์29

    ปรมินทร์29 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2011
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +156
    อนุโมทนากับทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทุ้นี้
    ขอบคุณ คุณ nahpee ที่แนะนำดิฉัน ขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้ ดิฉันไม่ทุกข์ใจอะไรเลยทุกวันนี้เพราะตั้งแต่เข้ามากระทู้นี้ดิฉันก็ปลงและระลึกได้เกือบหมดแล้ว ซึ่งแต่ก่อนดิฉันก็ศึกษาธรรมะ กฏแห่งกรรม นรก สวรรค์ มาตลอด แต่มาเจอกระทุ้นี้
    มาเจอพระคุณเจ้า มาเจอทุกๆคนให้คำแนะนำและตัวเองก็ได้นำมาเล่ามากล่าว ก็ทำให้มีความสุขยิ่งขึ้นไม่คิดไม่กังวล แม้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ปัญหาอุปสรรคแค่ไหน ดิฉันก็ยอมรับและไม่ย่อท้อ ที่นี่พูดตรง สามารถฉุดคนๆหนึ่งขึ้นมาเดินให้ถูกทาง
    และถูกต้อง แต่การที่จะทำให้ตัวเรามาถูกต้องและถูกทางนั้นไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนอื่นแนะนำด้วย แต่ขึ้นอยู่กับจิตใจของตัวเองว่า เราพร้อมรับกับสิ่งที่เขาแนะนำหรือ เราคิดว่า นี่เราจะมัวมาทำอะไรที่ไม่ดีหรือจะมาคิดทำดีเมื่อเราแก่แล้วมันคงไม่ใช่ แต่เราต้องทำตั้งแต่ปัจจุบันนี้จนถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต เรื่องที่ผ่านมาที่ดิฉันพลาดพลั้งไป
    ดิฉันก็จำเป็นบทเรียน ไม่ได้เอามาทำให้ตัวเองย่อท้อ หรือน้อยใจหรือคิดทำอะไรที่ไม่ดีใส่ตัวเอง แต่ดิฉันคิดไว้เสมอในใจคือ เราต้องเริ่มทำดีตั้งแต่วันนี้จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เพื่อความสุขใจและหากเราสามารถไปนิพพานได้ นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว ดิฉันทำงานก็เจอผู้คนมากมาย บางคนบางเขาก็พากันบ่นกันว่าเรื่องราวต่างๆ นาๆ เรื่องการดินรนของชีวิต เรื่องราวต่างๆ ดิฉันกลับบอกกับพวกเขาไปว่า
    สำหรับดิฉันแล้วปลงค่ะไม่คิดดิ้นรนอะไรให้มากมาย แต่ที่ยังทำปัจจุบันเพราะ ภาระหน้าที่ๆ ยังมีอยู่ หากเมื่อไรดิฉันหมดหน้าที่แล้ว คงไปบวช ไม่งั้นก็หาที่สงบอยู่ ไม่ต้องวุ่นวายทางโลกอีก เมื่อพวกเขาได้ฟัง เขามองหน้าแล้ว พูดว่า ทำไมหนูปลงตั้งแต่ยังเล็กจัง พวกป้า พวกลุงยังปลงไม่ได้เลย ดิฉันว่าโลกนี้ก็มีเท่านี้แหล่ะค่ะ หากเราคิดว่าดีก็ดี ไม่ดีก็ไม่ดี แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันไม่อยากอยุ่บนโลกอันวุ่นวายนี้คือ ความแก่งแย่ง ชิงดี ชิงเด่นกัน ความโลภ ความหลง มันคือกิเลส ดิฉันอยากตัดให้ขาด ไม่อยากเกิดอีกต่อไป เขาก็พากันหัวเราะบ้าง ฟังบ้าง อะไรหลายๆ อย่าง ก็แล้วแต่จะคิดกัน ที่เล่ามาอาจจะฟังดูเหมือนเข้าข้างตัวเองหรือคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น อาจทำให้ใครๆ หลายๆคนคิด แต่อยากบอกว่านี่คือสิ่งที่ดิฉันไดัพูดไปจริงๆและเป็นความคิดของตัวเองจริงๆ ตั้งแต่เล็กๆ แล้ว ไม่ใช่มาคิดได้ตอนที่ทำบาปลงไป มันอยู่ในจิตสำนึก แต่สิ่งที่ได้ทำบาปทำชั่วลงไปนั้น มันก็เป็นเพราะความรัก ความหลง ความต้องการ ความอยากรู้ อยากเห็น ของตัวเอง และเพื่อคนที่ตัวเองว่ารัก นั่นแหละ ซึ่งก็คือพ่อของลุกคนปัจจุบัน
    สำหรับกระทุ้นี้ ทำให้คนที่ทุกข์สามารถมาดับได้ และทำให้ระลึกถึงการทำดี อย่างที่ว่าไป ทาน ศิล ภาวนา นั่นแหละ คะอย่างที่คุณ nahpeeกล่าว จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น จงเชื่อในสิ่งที่เป็นแล้วเราลงมือปฏิบัติ
    ขอให้คุณ sheela มีความสุขและเข้าถึงธรรมะได้เร็วๆ และหมั่นปฏิบัตินะค่ะ เป็นกำลังใจให้เช่นกันค่ะ
    อนุโมทนา
     
  14. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...อนุโมทนาสาธุครับ คุณปริมนทร์29
    ...อ่านแล้วต้อง สาธุ สาธุ สาธุ อย่างเดียวเท่านั้น
    ...อายุน้อยแต่ความคิดพิจารณาถึงเหตุและผลทางธรรมพัฒนาไปแล้ว
    ...ที่กล่าวมาถูกต้องทั้งหมดเลยชีวิตแบบโลกๆถ้าไม่ยึดติดยึดมั่นดิ้นรนไขว่คว้า "หลุดพ้น" ครับ
    ...อดีตถือเป็นบทเรียนเป็นครู ให้เราได้จดจำ ถ้ารู้เช่นนี้ อกุศลกรรมยังไงๆก็ตามไม่ทัน
    ...ส่วนเพื่อนๆ น้าๆ ลุงๆ ป้าๆ เขาจะหัวเราะอะไรจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเป็นเรื่องของเขาถึงเวลา ตายใครตายมัน อยู่แล้ว
    ...คุณปริมนทร์29เริ่มเป็นนักวิ่งแห่งความดีงามเพื่อวิ่งสู่เส้นชัยที่รออยู่ข้างหน้าแล้ว
    ...กรรมที่วิ่งตามหลังมาอาจจะตามไม่ทันตลอดไป สำคัญอย่าหยุดวิ่งเท่านั้นเอง
    ...ถ้าเข้าใจแล้วก็แค่ฟิตจิตภายในบ่อยๆเท่านั้นเอง อย่าให้หอบเหนื่อยง่าย ผ่อนคลายลมหายใจไว้เสมอๆ
    ...จะ พุทโธ สัมมาอะระหัง นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ ยุบหนอพองหนอฯลฯ ถนัดแบบไหนก็ทำไว้อย่างสม่ำเสมอ นั่ง ยืน เดิน นอน ได้ทุกเวลาไม่เกี่ยงงอน
    ...ผมว่าชีวิตแบบฆราวาสที่มีชีวิตจริงๆแบบครอบครัว ก็ดีไปอย่างได้เห็นตัวทุกข์ที่หลายรูปแบบหลายสถานการณ์
    ...ถ้าน้อมนำ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ดีแล้วนำมาพิจารณาด้วยสติและปัญญา
    ...เราจะเจอความจริงเกิดเมื่อไร ทุกข์เมื่อนั้น ที่เห็นว่าสุข คือทุกข์ที่เบาบางที่สุดนั่นเองหาใช่สุขจริงไม่
    ...เรียนรู้ความจริงชีวิตสมมุติแบบโลกๆแล้ว เกิดความเบื่อ จงตั้งใจทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ดีที่สุดเป็นชาติสุดท้าย
    ...หมดอายุขัยเมื่อไรขอมุ่งไปเส้นทางหลุดพ้นคือ นิพพาน เท่านั้น ดับกิเลสทุกอย่างเหลือเพียงจิตประภัสสร
    ...นั่นคือ ดินแดนแห่งอมตะสุขนิรันดรเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ควรไปไม่มีอะไรอีกต่อไป มีแต่ความว่างเปล่า แต่ไม่ใช่สูญเปล่า(จิต)
    ***ภาพเคลื่อนไหวด้านล่างนี้ผมทำขึ้นเองเพื่อให้คุณแม่เกษร แห่งบ้านแสงทิพย์นิพพานตามจินตนาการในแนวแดนทิพย์นิพพานของท่านที่มี องค์สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังสีบรมธรรมบิดา หรือสมเด็จองค์พระปฐมบรมบิดา คอยต้อนรับจิตประภัสสรของมนุษย์ทุกๆดวงกลับสู่ดินแดนแห่งอมตะสุขนิรันดร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • nippan.gif
      nippan.gif
      ขนาดไฟล์:
      4.1 MB
      เปิดดู:
      447
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2011
  15. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อนุโมทนาสาธุ หากกระทู้ที่อาตมาเเละญาติโยมทุกท่านช่วยกันเขียนขึ้น ทั้งคุณโยมnahpee คุรโยมเเดนนี่ ทั้งหมดนี้ อาตมาถือว่าผู้ให้ธรรมะเป็นทานนั้น ย่อมชนะการให้ทั้งปวง เเสงสว่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรสว่างเท่าใจ สว่างเท่าจิต สว่างเท่าปัญญา สุ จิ ปุ ลิ เกิดขึ้นกับใคร..ปัญญาเเละความรู้ย่อมเกิดขึ้นที่นั้น สาธุๆ บุญกุศลหากเกิดขึ้น อาตมาขออุทิศ โยมพ่อ โยมเเม่อาตมาซึ้งยังไม่ไปเกิด กระดูกท่านทั้ง2 ฝากไว้ที่กำเเพงด้านทิศตะวันออกของวัดป่า โยมเเม่อาตมาตาย( อาตมาพาโยมnahpee เดินไปดู คงพอจำได้)
    ตั้งเเต่ โยมเเม่อายุ47 ปี ขณะนั้นอาตมาบวชเป็นสามเณร อายุ13ปี ก่อนหน้านั้น1ปีโบมพ่ออาตมาตายก่อน ทำวัตรสวดมนต์ ทุกเช้าเย็น อาตมาอุทิศบุญกุศลให้ผู้มีพระคุณคือโยมพ่อโยมเเม่ ตลอด นี้เเหละคือคำตอบว่าทำไม อาตมาจึงตั้งใจ บวชตลอดชีวิต...
     
  16. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...อนุโมทนาสาธุครับ ท่านพระอาจารย์
    ...เดี๋ยวนี้ระหว่างอยู่ในสมาธิ ผมก็อัญเชิญแสงทิพย์อริยธรรมขององค์สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังสีบรมธรรมบิดา
    ...และแสงทิพย์ฉัพพรรณรังสีรัศมี๖ ประการของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    ...รวมถึงบุญของข้าพเจ้าตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน
    ...จงส่องสว่างไปยังชาวโลกทิพย์ทั้งหลายทั้งที่เป็นญาติก็ดีมิใช่ญาติก็ดี ณ..(วัดป่าบ้านหนองผักแว่น)...หรือที่เราอยากระบุใช้จิตส่งตรงๆไปเลยครับ
    ...จงมีความสุข ท่านที่ทุกข์ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านที่มีสุขขอให้มีสุขยิ่งๆขึ้นไป
    ...และขอให้มีปัญญาในพลังแสงทิพย์ที่จะนำพากลับไปยังแดนทิพย์นิพพานอมตะนิรันดร
    ...จะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เป็นทุกข์ทรมานอีกต่อไป
    ...เมื่อได้รับสัญญานแล้วจงมาโมทนารับบุญทุกๆท่านด้วยเทอญ.

    ...วิธีขอพลังแสงทิพย์อริยธรรมต้องเชื่อมั่นศรัทธาอธิษฐานจิตขึ้นไปกราบเท้าท่านและขอบารมีท่านมอบให้โดยผ่านขันธ์๕ เพื่อส่องสว่างไปยังดวงจิตใน ๓ โลกธาตุให้หลุดพ้นจาก การเวียน ว่าย ตาย เกิด ใครนับถือครูบาอาจารย์ท่านใดสวดมนต์อย่างไรก็ว่ากันไปตามที่เคยปฏิบัติมา ส่วนตรงนี้เป็นการต่อยอดสู่ นิพพาน ครับ ถ้าต้องการเจาะลึกรายละเอียดก็เข้าไปศึกษาในเวบที่เคยแนะนำไว้ได้ทั้ง 2 เวบครับไม่จำเป็นต้องไปหาให้ลงมือปฏิบัติที่บ้านกันเอง นอกจากคนที่กำลังใจอ่อนอาจต้องการความมั่นใจก็ไปพบได้ครับง่ายๆแค่นี้เอง

    ...ส่วนกรณีสุนัขหอน ซึ่งๆหน้า หรือได้กลิ่นธูปหรือ เสียงอะไรที่ไม่แน่ใจหาที่มาไม่ได้(สุนัขที่บ้านจะมีอยู่ตัวหนึ่งน่าจะมีพรสวรรค์ในการเห็นสิ่งที่เราไม่เห็นครับ)
    ...ผมจะใช้จิตอธิษฐานว่า
    ...ขอบุญข้าฯ จงสำเร็จผล เป็นทิพย์สมบัติ แก่ชาวโลกทิพย์ที่แวดล้อมอยู่ในขณะนี้ จงเป็นสุขๆเถิด เมื่อได้รับสัญญานแล้วจงอนุโมทนารับบุญไปด้วยเด้อ
    ...ก็ได้ผลดีพิสูจน์มาหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ตั้งใจอุทิศให้ระหว่างนั่งสมาธิทุกครั้งตอนเช้า
    ...แต่พอค่ำคืนสุนัขที่บ้านหอนแทบทุกคืนระยะนี้จะเดือนแล้วมั๊งเท่าที่สังเกตุ(ไม่ใช่เฉพาะวันพระ) คงรู้ว่าผ่านมาที่บ้านหลังนี้แล้วไม่ผิดหวังได้บุญกลับไป
    ...ที่แปลกคือพออธิษฐานจิตจบเสียงสุนัขหอนก็เงียบตามลงไปด้วยนี่สิ ก็เลยต้องเชื่อ
    ...ทุกวันนี้ขนก็ยังลุกซู่ทุกครั้งแหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2011
  17. shela

    shela เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    470
    ค่าพลัง:
    +512

    ขอบคุณคุณnahpeeนะคะ ที่แนะนำข้อคิดที่จริงและตรงสำหรับคนที่เรียกตัวเองว่าพุทธตามบัตรประชาชน ต้องขอโทษนะคะที่มาขอบคุณช้า เพราะshelaตามกระทู้คุณอยู่ค่ะที่คุณแนะนำไป ขอบคุณมากค่ะที่ให้กำลังใจ shelaจะเชื่อที่พระอาจารย์ท่านสั่งสอนค่ะ และจะตั้งใจปฏิบัติสมาธิที่ยังไม่ต่อเนื่องนี้ให้พัฒนาขึ้นๆไป shelaหวังว่าอำนาจแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณจะชี้นำชีวิตให้shelaได้เจอกับความสงบสุขทางกาย ทางใจได้อย่างที่ปรารถนาค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
     
  18. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต
    ผู้นั้นเห็นพระนิพพาน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  19. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคซื้อเสื้อกันหนาว มอบให้เด็กๆโรงเรียนบ้านหนองผักเเว่น
    ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด จำนวนนักเรียนทั้งหมด456 คน
    อาตมาภาพจึงต้องการเจ้าภาพ456ตัว ตัวละ150บาท เป็นเสื้อกันหนาวอย่างดี
    ขออำนาจบุญกุศลในการสร้างทานบารมีในครั้งนี้ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย เเละสิ่งศิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดานให้ทุกท่านที่ได้ร่วมอนุโมทนาบุญเเละบริจาคทานในครั้งนี้ จงประสพเเด่ความสุข ความเจริญ ด้วยอายุ วรรณะ สุขะพละ ไม่ว่าจะปราถนาสิ่งใดจะเป็นทางโลกหรือทางธรรมก็ดี ซึ่งถ้ายังไม่เข้าถึงพระนิพพานเพียงใด ขึ้นชื่อคำว่า ไม่ได้ ไม่มี ไม่รู้ จงอย่าปรากฎนับตั่งเเต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  20. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ท่านสามารถโอนปัจจัยเพื่อร่วมบุญซื้อผ่าห่มและเสื้อกันหนาวได้
    ที่ บัญชี : พระจิรวัฒน์ ญาณวโร
    ธนาคารทหารไทย สาขาอ่อนนุช
    เลขที่บัญชี 1272100270
    ขออำนาจพระศรีรัตนตรัย
    เเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้ จงดลบันดาลให้คุณโยม...เเละครอบครัว
    เจริญด้วยอายุ วรรณะ
    สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึง
    ปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
    ประวัติโรงเรียน

    โรงเรียนบ้านหนองผักแว่นได้จัดตั้งขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2479 โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านหนองผักแว่นพร้อมด้วยคณะครูจากโรงเรียนบ้านหนองฟ้า ซึ่งแยกเป็นโรงเรียนสาขาของโรงเรียนบ้านหนองฟ้า ได้เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยมีนายคำ โกมาลย์ เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งครูใหญ่ โรงเรียนมีเนื้อที่ทั้งหมด 7 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวา
    ในปี พ.ศ. 2495 โรงเรียนบ้านหนองผักแว่นได้ปิดทำการเรียนการสอน เนื่องจากจำนวนนักเรียนได้ลดลงเป็นจำนวนมาก
    ในปี พ.ศ. 2498 ทางราชการได้อนุมัติให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นใหม่ โดยมีนักเรียนทั้งสิ้น 51 คน เป็นชาย 20 คน หญิง 31 คน ทางราชการได้แต่งตั้งให้นายคำ โกมาลย์ มาดำรงตำแหน่งครูใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 22 กันยายน 2498 โดยจัดตั้งเป็นโรงเรียนเอกเทศ และเปิดทำการสอนอย่างเป็นทางการตั้งแต่บัดนั้น
    ปี พ.ศ. 2516 ได้รับจัดสรรงบประมาณสร้างบ้านพักครู แบบ รอ.03 เป็นเงิน 25,000 บาท
    ปี พ.ศ. 2520 ได้รับจัดสรรงบประมาณสร้างอาคารเรียน แบบ ป.1ฉ พิเศษ คิดเป็นเงิน 220,000 บาท จำนวน 1 หลัง และได้รับจัดสรรงบประมาณสร้างบ้านพักครู แบบ รอ.03 ราคา 45,000 บาท จำนวน 1 หลัง
    ปี พ.ศ. 2525 ได้รับจัดสรรงบประมาณสร้างอาคารเรียน แบบ ป.1ฉ พิเศษ ราคา 410,000 บาท จำนวน 1 หลัง ขนาด 8 ห้องเรียน และได้รับงบประมาณสร้างบ้านพักครู แบบ สปช. 301/26 ราคา 260,000 บาท จำนวน 1 หลัง
    ปี พ.ศ. 2526 ได้รับจัดสรรงบประมาณสร้างส้วม แบบ รอ.03 ขนาด 5 ที่ จำนวน 1 หลัง ราคา 55,000 บาท และได้รับจัดสรรงบประมาณสร้างอาคารเอนกประสงค์ แบบ 312 ในราคา 169,000 บาท จำนวน 1 หลัง
    ปี พ.ศ. 2527 ได้รับจัดสรรงบประมาณสร้างอาคารเรียน แบบ สปช.105/26 ในราคา 514,500 บาท จำนวน 1 หลัง และได้รับจัดสรรงบประมาณสร้างถังเก็บน้ำฝน แบบ ฝ.33 จำนวน 3 ที่ มีขนาดบรรจุ 22.00 ลูกบาศก์เมตร
    ปี พ.ศ. 2530 ได้รับจัดสรรงบประมาณสร้างเรือนเพาะชำ แบบ พ.1 ราคา 34,000 บาท จำนวน 1 หลัง และได้รับจัดสรรงบประมาณสร้างถังเก็บ น้ำฝน แบบ ฝ.33 จำนวน 3 ที่
    ปี พ.ศ. 2537 ได้รับบริจาค สร้างสนามวอลเลย์บอลคอนกรีตเสริมเหล็ก จากคุณสงบ จงเทพ และคุณรำไพร จงเทพ คิดเป็นเงินประมาณ 45,000 บาท
    ปี พ.ศ. 2554 เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 3 ขวบ ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีข้าราชการครู 16 คน เป็นชาย 8 คน หญิง 8 คน จำนวนนักเรียน 456 คน เป็นชาย 202 คน หญิง 254 คน

    <!-- google_ad_section_start --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...