ผิดไหม ถ้าเราตัดเลย แบบไม่รู้แจ้งเห็นจริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รัก_D, 8 มิถุนายน 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรียนท่าน รอดดี
    สำหรับเรานะ ทุกข์ กับ กิเลส เป็นเครื่องมือสำหรับการภาวนาของเรา
    เราก็ว่า เป็นเรื่องดี สำหรับเรา แต่กับคนอื่น อาจไม่รู้สึกเหมือนเราก็ได้
    เราภาวนาเจริญสติ เพื่อ รู้ทุกข์ รู้กิเลส เพื่อทำความหลุดพ้นจาก ทุกข์ และกิเลส
    ความทุกข์และกิเลส จึงเป็นครูของเรา

    ส่วนการเอาฌาณไปปิดกั้นทุกข์และกิเลส มันก็ไม่ได้หลุดพ้นจริง แต่ก็คงมีความสุขระดับหนึ่ง
    ถ้าเป็นยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ก็ถือว่าดีที่สุด แต่ถ้าเป็นตอนนี้ ก็คงไม่ใช่แน่นอน

    ความคิดเราก็เป็นอย่างนี้
     
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,455
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,011
    ตัดเเบบไม่รู้เเจ้งเห็นจริงก่อน ผมกลัวว่าจะเป็นอวิชชา หลงเเบบผิดๆไปนะครับ คงไม่น่าจะดีเท่าไร เเต่ผมก็ไม่เเน่ใจนะ รอฟังผู้รู้ท่านอื่นเเนะนําดีกว่าครับ อนุโมทนา
     
  3. รอดมี

    รอดมี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +161
    คุณk.kwanครับ ที่ผมออกความเห็นมาอีกครั้งไม่ใช้เอาชนะคะคานอะไร
    แต่เพื่อความกระจ่างในความหมายของคำ คุณต้องเข้าใจนะครับว่าในเวบนี้
    เป็นเวบธรรมะอิงวิชาการ การจะใช้คำต้องให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้
    เลย ไม่ต้องไปตีความอีกเพราะจะทำให้ ความหมายและแนวทางปฏิบัติ
    คลาดเคลื่อนไป อนึ่งเราต้องคำนึงถึงผู้เริ่มปฏิบัติใหม่เป็นสำคัญ ดูจาก
    คำอธิบายของคุณที่ผมแย้งไป คุณตอบกลับมาเหมือนกับว่า คุณไม่ได้
    คำนึงถึงผู้อื่นเลย คุณต้องเพียงเพื่อเอาชนะ คำกล่าวของคุณคลายๆจะบอกว่า
    ไม่รู้ฉันคิดของฉันแบบนี้ใครจะทำไม
    . ขอกล่าวเพิ่มให้ซักหน่อยว่า อารมณ์ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการเจริญ
    สติภาวนานั้น มีหลายอารมณ์ ท่านได้แยกไว้มี อารมณ์ที่เป็นกุศลกับ
    อารมณ์ที่เป็นอกุศล ความหมายก็คือ อารมณ์ที่ดีกับไม่ดี ซึ่งเราต้อง
    เอาอารมณ์ทั้งหมดนี้มาเจริญวิปัสสนา เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ คือเห็น
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกข์ในอารมณ์ปกติกับทุกข์ในอารมณ์
    ไตรลักษณ์ก็แตกต่างกัน พอจะกล่าวได้ว่าทุกข์ในอารมณ์ปกตินั้นไม่ดี
    แต่ถ้าเห็นทุกข์ในอารมณ์ไตรลักษณ์นั้นแหละถึงจะดี ส่วนกิเลศยิ่งไม่ต้อง
    พูดถึงคิดยังไงมันก็เป็นอกุศลไม่ดี เมื่อเกิดอารมณ์นี้ขึ้นก็จะมีแต่ความ
    อยาก เมื่อมากๆเข้าก็จะทำสิ่งไม่ดีเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา
    . ด้วยเหตุนี้ที่คุณว่าคุณเห็นว่า ทุกข์กับกิเลศเป็นสิ่งดีใช้เป็นเครื่องมือใน
    การเจริญสติได้นั้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่ความหมายของมันก็ส่วนหนึ่ง
    ต้องแยกกันออก [​IMG]
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อนุโมทนา คุณรอดดี

    เราไม่เคยคิดเรื่องแพ้ชนะ เลยนะ เป็นความสัตย์จริง
    การแสดงความเห็น ก็เพียงแต่แสดงความเห็น ให้ละเอียด ว่าเราเดินไปทางไหน

    การรู้ทุกข์ การรู้กิเลส ของเรา
    เป็นไปเพื่อ รู้ แล้ว ละ
    เป็นการ รู้ เพื่อ รู้ดี รู้ชั่ว

    ทุกข์ ชื่อก็บอกแล้ว แล้วว่า ควรอยู่ให้ห่าง ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ หรอกจริงไหม
    แต่ถ้าเราต้องการ จะหลุดพ้น จากกองทุกข์ ทางหนึ่งที่เราเลือกคือ เข้าไปรู้ทุกข์
    เมื่อเรารู้สึกถึงความเป็นจริงว่า ทุกข์นั้นไม่มี มีแต่คนที่ไปยึดทุกข์นั้นไว้เอง มีแต่เรา
    ที่ถือไว้เอง ถ้าเราต้องการหลุดพ้น ก็คือ รู้ว่าสิ่งไหนเป็นทุกข์ ก็ปล่อยมันไปเสีย
    เราก็พ้นทุกข์ได้ เพราะ รู้ ปล่อยความยึดทุกข์ด้วยตัวเอง ทุกข์ที่เราเจอ ก็เริ่มจากหยาบ
    อารมณ์หยาบๆ รวมถึง ศีล5 ถ้าใจเรารู้ว่าการล่วงศีล5 จะนำทุกข์มาให้ เราก็จะไม่ทำ
    ด้วยใจเราเอง เราก็พิจารณาอยู่อย่างนี้ (ตอนนี้ก็ยังอยู่ในขั้นหยาบ)

    ส่วนกิเลส เพราะ เป็นปุถุชน จึงเลี่ยงไม่พ้นที่จะถูกกิเลศครอบงำ เรายอมรับตรงนี้
    เพราะ ปุถุชน ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิเกิด ย่อมถูกกิเลสครอบงำ เป็นปกติ (แต่คงมีข้อยกเว้น)
    กิเลส ก็มีทั้งฝ่ายกุศล และ อกุศล เราเลือกให้เกิดเฉพาะฝ่ายกุศลไม่ได้ แต่ถ้าเรา
    รู้ตัวมีสติ เราเลือกทำเฉพาะฝ่ายกุศลได้ ส่วนอกุศล ก็อย่าไปทำตามมัน ซึ่งจะทำได้
    ก็เมื่อเรา มีสติ รู้ดี รู้ชั่ว ฝึกอบรมเพื่อทำความรู้ตัว ทำความรู้สึกตัวได้ ด้วยการ รู้ กิเลส
    คำว่า รู้กิเลส ไม่ได้หมายความว่า ยอมเป็นทาสกิเลส แต่หมายถึง รู้กิเลส เพื่อละ
    มีสติ รู้กิเลสที่เกิด ว่าเป็นกุศล หรืออกุศล ด้วยใจที่เป็นกลาง เพื่อทำความรู้ชัดใน
    กองกิเลส เห็นความทุกข์ ความเศร้าหมอง ที่เกิดตามมา เพื่อจะได้ไม่เห็นดีเห็นงาม
    ไปกับ กิเลส ทั้งฝ่ายกุศล และ อกุศล เมื่อ รู้ กิเลสทั้ง2ฝ่ายแล้ว ก็เลือกทำแต่กุศล เพราะ
    รู้ว่า ทำไปเพื่อประโยชน์แห่งตน เพื่อเป็นเสบียง เท่านั้น ไม่ใช่เพราะความสุขจากกิเลส
    อันนำไปสู่ความหลง ส่วนฝ่ายอกุศล เมื่อรู้แล้ว ก็อย่าไปทำตาม เพราะ รู้ว่าชั่ว ย่อมนำ
    แต่ทุกข์และความเสื่อมมาสู่ตน ก็ละไปเพราะมีสติ รู้ ว่าทำชั่วได้ชั่ว ไม่ใช่เพราะเกลียด
    ความชั่ว เกลียดอกุศล

    เราอธิบายส่วนที่เราทำอยู่ และไม่ได้ต้องการเอาชนะผู้ใด เราพยายามอธิบายตามที่เข้าใจ
    และจากประสบการณ์ส่วนตัว จากสภาวะของเราที่รู้อยู่ว่า เป็นปุถุชนยังไม่รู้แจ้ง ยังไม่มี
    สัมมาทิฏฐิ แต่เพียรปฏิบัติธรรมเจริญสติ ละ กิเลส เพื่อทำความหลุดพ้น จากความทุกข์ เท่านั้น

    ปล. ข้อดีของการเขียนโพสท์บ่อยๆ คือ ทำให้เขียนเก่ง
    แล้วท่านมีความเห็นอย่างไร
    เราพิจารณา ทุกข์ในอารมณ์ปกติ หรือทุกข์ในอารมณ์ไตรลักษณ์
    ขอขอบคุณล่วงหน้า เพราะบางที เราก็ไม่ค่อยรู้ตัวเอง ก็ต้องลองฟังความเห็นคนอื่นบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2009
  5. ผู้ที่_

    ผู้ที่_ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +83
    บางท่านนั้นรู้นะ...

    บางท่านเป็นพระโสดาบันมาจากชาติที่แล้ว สร้างบารมีเกือบเต็ม เกิดมาชาตินี้เลยใช้ จิตนามยปัญญา กับภาวนามยปัญญา หน่อยเดียวก็ไปนิพพานใด้

    เพราะบางท่านมาในรูปแบบใสมากแล้ว ขัดอีกนิดเดียวก็ใสแจ๋ว บางท่านมามืด ต้องขัดกันอีกนาน

    กำลังใจคนมันต่างกันนะครับ อันนี้ต้องลองสอบอารมณ์โสดาบันดูก่อน
     
  6. รัก_D

    รัก_D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ดูแล้วครับ เฉยๆ จะหญิง จะชาย สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน เน่าเหมือนกัน ตัวพองเหมือนกัน ทุกอย่างมันอยู่ใน ไตรลักษณ์ รู้มากทุกข์มาก แล้วถ้าเราเลือกรู้เฉพาะสิ่งที่ต้องทำ เอาแต่หัวข้อมัน ไม่ต้องไปรู้มาก ปฏิบัติมาก ดีกว่า มันเป็นปัจจัตตัง
     
  7. รอดมี

    รอดมี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +161
    คุณk.kwanครับ เอาเป็นว่าเราคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กัน ดีครับ
    อารมณ์เย็นอย่างนี้ ผมลองแหย่ไปแต่ไม่โกรธอย่างนี้คุยกันได้ครับ
    . ผมว่าขั้นตอนของการปฏิบัติเริ่มแรก เราต้องเข้าใจเรื่องรูป นามหรือ
    เรียกอีกอย่างว่า กาย ใจ ให้ดีเสียก่อนโดยให้กายใจแยกออกจากกัน แต่
    ละส่วนก็ทำหน้าที่ของมัน โดยมีสิ่งมาควบคุมทั้งสองไว้ ใจก็ให้สัมมาสติคอยควบคุม กายก็ให้ศีลคอยควบคุม
    . ในทางวิปัสสนาใจหรือจิต มีหน้าทีรู้ทุกข์ รู้กิเลศ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ละ
    เมื่อรู้ทุกข์รู้กิเลศแล้วก็ต้องรู้ดูไปเฉยๆ สิ่งที่จะทำหน้าที่ละหรือทำให้อารมณ์
    นั้นหายไปก็คือ สัมมาสติ เมื่อมีสัมมาสติอารมณ์ไตรลักษณ์ก็จะเกิดตามมา
    . อนึ่งถ้าตัวเรามีศีลและยึดมั่นอยู่เสมอ ยามใดที่ใจเรามีกิเลศในขณะ
    ทีเราตามรู้ตามดูอารมณ์อยู่นั้น ศีลก็จะคอยกำกับไม่ให้กายประพฤติตาม
    กิเลศในใจ
    อ้างอิงคุณk.kwan
    ปล. ข้อดีของการเขียนโพสท์บ่อยๆ คือ ทำให้เขียนเก่ง
    แล้วท่านมีความเห็นอย่างไร
    เราพิจารณา ทุกข์ในอารมณ์ปกติ หรือทุกข์ในอารมณ์ไตรลักษณ์
    ขอขอบคุณล่วงหน้า เพราะบางที เราก็ไม่ค่อยรู้ตัวเอง ก็ต้องลองฟังความเห็นคนอื่นบ้าง
    ถ้าเราจะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เราจะต้องเอาอารมณ์ในขณะที่เกิดขึ้นใน
    ปัจจุบันนั้นหรือเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ซึ่งมันมีทั้งทุกข์ สุขและอุเบกขา
    . อารมณ์มีสองอย่างคืออารมณ์ปกติกับอารมณ์กรรมฐาน
    เวลาที่เรามีทุกข์ในอารมณ์ปกติมันยังไม่พิจารณา แต่ต่อเมื่อเรามีสติมา
    ระลึกรู้อารมณ์นั้น จะเกิดการพิจารณาอารมณ์นั้นขึ้นซึ่งเป็นกรรมฐาน จาก
    การที่สติระลึกรู้หรือพิจารณาอารมณ์นี้ อารมณ์ที่มีอยู่จะหายไป จะเกิด
    อาการไตรลักษณ์ขึ้นมาเพื่อพิจารณา การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของอารมณ์นั้น นี้คือการทำวิปัสสนากรรมฐาน
    . เจริญในธรรมครับ
    [​IMG]
     
  8. รัก_D

    รัก_D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ไม่แน่ใจว่าตรงกันหรือป่าว แต่เราแค่เบื่อความเกิด ความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ว่าอยากตายนะ แต่คิดให้ปลง มองอะไรก็เห็นเป็นธรรมไปหมด ทำบ่อยๆ ก็เลยเป็นอย่างนั้นไม่ได้ว่าตัวเองดีหรือเลว คือใครจะว่าเราก็ช่างเขา อยู่กันอีกคนละไม่ถึง 100 ปีก็ตายจากกันไปแล้ว เราทุกข์ เขาก็ทุกข์เหมือนกันกับเรา ใยเราต้องสนใจเขาด้วย เราเอาตัวเองให้รอดก่อน เราคิดว่างั้นนะ เลยไม่ทุกข์ร้อนอะไร เอาน่า จะรู้หรือไม่รู้ อริยสัจ สุดท้ายก็ต้องตัดทิ้งอยู่ดี เคยได้ยิน ว่ารู้แล้วก็ตัด สุดท้ายก็รู้ รู้แล้วก็ตัด มันก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ เพราะเราไม่ได้สงสัย ก็เลยตัดเลยไง เชื่อ พระพุทธ โดยไม่มีนิวรณ์ 5 ข้อ 5 ก็เลยเป็นอย่างนี้แหล่ะคับ
     
  9. รัก_D

    รัก_D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นครับ
    ผมว่า การปฏิบัติสุดท้ายแล้ว ปลายทางก็เป็นที่เดียวกันสุดแล้วแต่ว่าใครจะเิดินไปทางไหน จะถึงเร็วถึงช้าหรือถึงพร้อมกัน
    แต่การที่เราปฏิบัติต่างกันก็เพราะว่าเรามีจริตที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะวิปัสนา หรือ สมถะภาวนา ถ้าทำแล้ว เราก้าวหน้าขึ้นก็ให้ทำต่อ ถ้าทำแล้วเราไม่ก้าวหน้าหรือถอยหลังลงก็ควรจะเลิกทำ ส่วนคำถามบนหัวกระทู้ ก็คืออยากรู้ว่าถ้าคนที่ปฏิบัิติง่ายๆ เหมือนที่ถามไป ถ้าเค้าทำได้แค่นั้น จะไปได้หรือไม่ ส่วนตัว ถ้ากำลังใจดีจริงๆ ผมว่าไปได้ครับ ไม่จำเป็นต้องรู้มาก ไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมด ตัดปลายก็ไปได้เลย เหมือนที่เคยได้ฟังในพระท่านสอน พระพุทธเจ้าท่านเทศ แค่ บทเดียว คนที่ได้ฟังก็ บรรลุ ได้ อย่างนั้นก็มี ผมคิดว่าคนที่บรรลุนั้น คงไม่ได้มาไล่ ถึงบทเรียนที่หลากหลาย แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นท่านล้วนแต่ กำลังใจเข้มแข็ง พิจารณาไตรลักษณ์ พอเห็นเพียงเท่านั้น ก็เอากำลังใจตัดสิ่งที่ผูกพันมานานแสนนานนั้นลงไปได้.
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อ้าว ผู้ชายหรอกหรือครับนี้ คิดว่า จขกท เป็นผู้หญิง

    ถ้าแบบนี้ ไม่ต้องไปคุยกับคนนี้ครับ จะผลิกกลับเลย

    ขออภัยที่เข้าใจผิด คิดว่าเป็นผู้หญิง
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณ รอดมี

    ขอขอบคุณในความกรุณาให้ความกระจ่าง
    คิดว่าเข้าใจที่คุณอธิบายมา และจะพยายามทำตามนั้นค่ะ ชอบใจตรงนี้เป็นพิเศษ
    . ในทางวิปัสสนาใจหรือจิต มีหน้าทีรู้ทุกข์ รู้กิเลศ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ละ
    เมื่อรู้ทุกข์รู้กิเลศแล้วก็ต้องรู้ดูไปเฉยๆ สิ่งที่จะทำหน้าที่ละหรือทำให้อารมณ์

    นั้นหายไปก็คือ สัมมาสติ เมื่อมีสัมมาสติอารมณ์ไตรลักษณ์ก็จะเกิดตามมา

    [​IMG] [​IMG]
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อนุโมทนา คุณ รัก_D

    ขออภัยคุณด้วยเพราะเข้าใจผิดไป
    จริงๆแล้ว เราไม่เข้าใจคำว่า ใช้กำลังฌาณตัดกิเลส คืออะไร
    แต่ตอนนี้เข้าใจขึ้นมานิดนึง (ไม่แน่ใจว่าตรงกับคุณไหม)
    เข้าใจว่าใช้กำลังฌาณ ถอดถอนกิเลส ไม่ใช่การกดข่มกิเลส
    ถ้าตั้งใจมุ่งหวังเพื่อพระนิพพาน ย่อมถึงได้ในที่สุด

    สาธุ ค่ะ
    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2009
  13. รัก_D

    รัก_D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ผมไม่ได้หมายถึงว่าเอา ฌาณ4 ไปตัดนะ ที่พูดหมายถึงได้ยินเค้าพูด แต่สิ่งที่ผมทำผมคิดว่าเป็นวิปัสนาย่อยๆ คือเอาแต่หัวใจมันมาดูให้รู้แล้วก็ตัด แต่อาจจะไม่ได้ดูให้รู้ทุกซอกทุกมุมว่ามีอะไรบ้าง แค่ดูให้รู้ว่าจริง แล้วความเป็นมายังไง แล้วต่อไปจะเป็นยังไง เพื่ออะไร สุดท้ายเราก็ไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่ดวงจิตดวงเดียว ที่เที่ยวไปหาที่อยู่ใหม่ แล้วจะดิ้นรนให้มันทุกข์เพื่ออะไร ก็เลยตัดเลยตัดเลยฉับๆๆ ผมอาจจะพูด งงๆ นะ พูดวนๆ มันเป็นลักษณะเฉพาะตัว - -* ไม่เข้าใจเหมือนกัน พูดง่ายๆ คืออธิบายไม่เก่ง พูดให้คนงง อ่ะเก่ง ^_^

    ขอขอบคุณทุกกระทู้มากครับ อนุโมทนา สาธุ ขอแผ่ส่วนกุศล ทั้งไปและกลับครับ สาธุ
     
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อ๋อ แบบนี้พอจะเข้าใจ

    แต่ขอทักอีกนิดหนึ่งก่อน จิตมันเป็นธรรมชาติรู้ ธาตุรู้ ก็เรียก ซึ่งหมายถึง มันมี
    ขึ้นมาในโลกเพื่อทำหน้าที่รู้ ไปห้ามมันไม่รู้ไม่ได้ เหมือนเราไปห้ามไฟไม่ให้
    มีควันไม่ได้

    ดังนั้น จิตมันจะต้องทำหน้าที่รู้ ที่นี้มันยุ่งตรงที่ว่า เมื่อมันรู้อะไร หยั่งลงรูปนาม(พระ
    ท่านเรียก รูปนาม ว่าโลก) มันจะเกิดเวทนาขันธ์เป็นวิบากทันที ก็เรียกว่า จิตจะเกิด
    ร่วมกับเวทนาขันธ์เสมอ ดังนั้น หากเรายังไม่รู้วิธีละวางจิตจริง ตัดจิตฉับๆ จริง เรา
    ก็อาจจะตัดผิด ตัดแล้วไม่ขาด มันหยั่งลงรูปนามอีกก็กลับมาเกิดใหม่อยู่ดี

    ทีนี้ ลำพังแค่คำว่า ตัดจิต ก็ฟังยากแล้ว เผลอๆความคิดที่เราเคยสะสมมาแต่อดีต
    เรื่องดับจิตปิดจิตขังจิต จิตเที่ยง จิตอาตมัน ปรมาตมัน วกมาหลอกหลอนเข้าก็จะ
    ตัดจิตผิดวิธีอีก จะยิ่งเนิ่นช้า

    พระท่านว่าการตัดจิตนี้เหมือนการตัดกระดาษ A4 ทางสันกระดาษออกเป็นสอง
    แผ่น เหมือนการชักเส้นตะกั่วออกจากธนบัตร มันยากส์ ต้องบางเฉียบ แยกออก
    แล้วก็ใช่ว่าแยกออกไปเลยนะ ต้องให้มันแนบอยู่ แต่ไม่สนิทกัน จิตส่วนหนึ่ง ขันธ์
    ส่วนหนึ่ง มีทั้งสองแต่ไม่ก้ำเกินแนบสนิทกัน ถ้าทำแบบนี้ได้ ท่านว่า จิตมันจะไม่
    หยั่งลงรูปนามอีก

    งง ไหม ถ้า งง ก็ให้รู้ว่า งง

    และมีคนที่พูดให้ งง เพิ่มขึ้นอีก 1
     
  15. รัก_D

    รัก_D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ครับเห็นด้วย ต้องให้มันแนบอยู่ แต่ไม่สนิทกัน จิตส่วนหนึ่ง ขันธ์ส่วนหนึ่ง มีทั้งสองแต่ไม่ก้ำเกินแนบสนิทกัน เอาใจความแค่นี้คับ ทำอย่างไรก็ได้ ให้รู้ ก็สักแต่ว่ารู้ ไม่ยึดติด ถือมรณานุสติตอนอาบน้ำก็คิดว่า โดนไฟช๊อตแล้ว ถ้าเกิดตายไปไม่ต้องไปหาพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพราะไปก็ช่วยไรเขาไม่ได้ ตายแล้วก็ตายไป แต่ตายแล้วไม่คิดเกิดอีก หรือขับๆรถอยู่ คิดว่าถ้าเกิดรถชนก็ให้มันชนไปจะตายก็ให้มันตายไป ก็คิดไม่เกิดอีก ถ้าบวชเป็นพระไปธุดง คงไม่กลัวคำว่าหลงป่าก็คง ไปเรื่อยๆ จะเจอช้าง เจอเสือ มันจะกัดจะกินก็ให้มันกินซะตายแต่ไม่ขอเกิดอีก เกิดเป็นคนมันทุกข์มันลำบาก เป็นเทวดา เป็นพรหม เมื่อหมดบุญแล้วก็ต้องกลับไปเกิดอีกสู้ตัดใจไม่เกิดมันซะเลยดีกว่าทำจิตให้ผ่องให้มีกำลังเข้มข้น ผมก็เป็นอยู่ซะอย่างนี้ซิน่าก็แปลกดีแต่ก็ดีแล้วคับ ดีกว่าไม่ทำ (พูดกับตัวเอง)
     
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็ถ้าพอเข้าใจ ถึงความห่าง และการขนาน ก็ต้องกลับมาดูการตัดที่เป็นว่า

    มันแค่ห่างๆ ขนานกันไป หรือว่า มันห่างกันแบบแยกตัวออกมาคนเดียว

    หากเป็นแบบขนานกันไป ก็จะถูกต้อง เหมือนพระท่านที่ตัดแล้ว ท่านก็ไม่
    ต้องหนีหายไปไหน ท่านก็อยู่ในโลก แล้วก็สอนคนที่พอสอนได้ ไปตามวาสนา

    หากเป็นแบบไม่ขนานกันไปจริง ก็ไม่น่า(ไม่น่านะ)จะถูกต้อง เพราะกลายเป็น
    การไปครองภพของการไม่เอา(อเนญชาภิสังขาร) หรือไปเห็นว่ากายนี้เป็นอะไร
    ทีได้มาเพราะเราไม่ได้จงใจสร้าง(มีอะไรสักอย่างสร้าง)อันนี้คือเห็นโลกขาดสูญ
    เป็นอุทเฉททิฏฐิ

    คำว่า ทิฏฐิ ตรงนี้เป็นเรื่องอกุศล หากเราทำอะไรด้วย ทิฏฐิ มันจะกลายเป็นเรื่อง
    ที่ไม่สมควร

    กราบขออนุญาติเสนอ เรื่องทิฏฐิประเภทต่างๆ สักหน่อยนะ ทั้งนี้เพราะ เราทั้งคู่
    กล่าวอะไรกันที่ งงๆ คนอื่นมาอ่านจะ งง เราก็ควรจะเอาสิ่งที่เรียงร้อยไว้ดีแล้ว
    มาเสนอไปด้วย เพื่อประโยชน์ของคนอื่นเขา

     
  17. รอดมี

    รอดมี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +161
    คุณk.kwanครับ ผมขออธิบายเรื่อง ทุกข์ในอารมณ์ปกติกับทุกข์ในไตรลักษณ์
    อีกเล็กน้อย ทุกข์ในอารมณ์ปกติคือการที่ตัวเรากายใจของเราเป็นทุกข์จากการ
    ไม่สบายกายไม่สบายใจ แต่ทุกข์ในไตรลักษณ์คือการที่
    เราเข้าไปรู้เหตุแห่งทุกข์ สังเกตุดูความแตกต่างง่ายๆ ตัวหนึ่งเป็นอีกตัว
    หนึ่งรู้
    . คนธรรมดา สุขก็คือสุข ทุกข์ก็คือทุกข์ เฉยๆก็คือเฉยๆ
    แต่นักปฏิบัติที่เข้าใจแล้ว สุขก็คือทุกข์ ทุกข์ก็คือทุกข์ เฉยๆก็คือทุกข์
    [​IMG]เจริญในธรรมครับ

    ขอรบกวนถามหน่อย จุดแดงๆข้างบนหมายถึงอะไรครับ เห็นแล้วหวาดเสียว
    หมายหัวผมไว้หรือเปล่าครับ[​IMG]
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อนุโมทนา ท่าน รอดมี ค่ะ

    [​IMG] [​IMG] ป่าว หมายหัวใคร นะคะ มันเป็นความรู้สึก ทำไปเอง เราไม่รู้ ไม่ได้คิด
    แถมยังไม่รู้ความหมาย(จริงๆ) ด้วยอีกตะหาก งง กะเราไหม

    เรารู้แค่ว่า อยากเอาอันนี้มาแปะ อยากเอาอันนั้นมาแปะ บางครั้ง ไม่อยากแปะ ก็มี
    เราไม่รู้ความหมาย อย่างมากที่เราจะคิดคือ อืม.. สวยดี, อืม.. ตลกดี, อืม.. ทำไปได้ไง
    อืม.. บ้าป่าววะ(ขออภัย..หมายถึง ด่าตัวเองนะค่ะ) ก็จะเป็นประมาณนี้

    แล้วการโพสท์ ต่างๆนี่ ส่วนใหญ่(ไม่ใช่ทุกครั้ง) จะดูความคิดไปเฉยๆ จะคิด จะพิมพ์อะไร
    ก็ดูๆความคิดไป มีวิจารบ้าง พิมพ์ไปวิจารตัวเองไป บางทีก็มีวิจารคนอื่นบ้าง
    เหมือนดูหนัง แล้วดูตัวเองอีกที ถ้ามีชอบ มีไม่ชอบ ก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง อธิบายไม่ค่อยถูก
    เหมือนดูอีกคนมันทำงาน ยังไม่เห็นทุกข์ เลยนะ คิดว่างั้นนะ รู้ว่านี่แหละคือทุกข์ แต่ยังไม่
    ยอมทิ้งทุกข์ซะที เหมือนรู้ว่าเป็นงูนะ แต่ตามันเห็นเป็นน้องหมาน่ารัก ยังกอดรัดฟัดเหวี่ยง
    กันอย่างเพลิดเพลิน แล้วเหมือนว่า รอวันที่ตามันจะเห็นงูที่ซ้อนอยู่กับน้องหมาน่ารักเอง

    วันที่มี สัมมาสติเกิด คือวันที่ตาเห็น งู คือ งู ใช่ไหมคะ

    . คนธรรมดา สุขก็คือสุข ทุกข์ก็คือทุกข์ เฉยๆก็คือเฉยๆ
    แต่นักปฏิบัติที่เข้าใจแล้ว สุขก็คือทุกข์ ทุกข์ก็คือทุกข์ เฉยๆก็คือทุกข์

    เราคิดแบบของเรา ดังนี้

    สำหรับนักปฏิบัติ สุข ทุกข์ เฉยๆ คือ งู

    สำหรับคนธรรมดา สุข คือ น้องหมาน่ารัก, ทุกข์ คือ งู,
    เฉยๆ คือ ไม่รักน้องหมา และ ไม่รังเกียจ งู

    เราเข้าใจ ถูกไหม ตัวเราเหมือนๆสังขยา ยังไง ไม่รู้นะ
    รู้แต่ว่า เข้าใจด้วยความคิด กับ เข้าใจด้วยการกระทำ มันไม่เหมือนกัน
    คิดอย่างหนึ่ง กระทำอย่างหนึ่ง ถ้าคิด+กระทำ เกิดเป็นรู้แล้วเข้าใจตามจริงได้เหมือนกัน
    ก็ได้ BINGGO เนาะ แต่เห็นๆ อยู่ ว่า ยังทำมิได้เรยยย..หนอ..เรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2009
  19. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    ถ้าตัดแล้ว ขาดสนิทก็โอเค
    ถ้าไม่ขาดสนิท ก็ควรทำให้แจ้งก่อน

    ความรู้สึกไม่อยากรับรู้ นั่นเป็นการปรุงแต่ง เป็น วิภาวะตัณหา
     
  20. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ไม่ผิดครับ

    ให้ลองตัดที่ เนวสัญญาครับ ทำหลายๆครั้ง

    แต่ต้องพิจารณณาดีๆนะครับก่อนตัด ต้องพิจารณาให้ครบถ้วนว่าเราจะวางแผนชีวิตไว้แบบ

    ไหน ห้ามใช้อารมณ์ในขณะนั้นเด็ดขาด ประมาณว่าให้อยู่ในสภาพพอประมาณ

    ไปแล้วไปเลยนะ ไปแล้วไปลับไม่กลับมา
     

แชร์หน้านี้

Loading...