ปุถุชน....คนช่างสงสัย...

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 4 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ป๋าtoplus99 ครับ...ป๋ายังตายไม่ได้หรอกครับ..
    ต้องอยู่ช่วยอธิบาย ภาคปฏิบัติให้น้องนุ่งฟังก่อน...
    อธิบายจบแล้วก็ยังมีภาระกิจเข้าป่า..ไปบำเพ็ญเพียรเป็นการส่วนตัว...
    ยังต้องอยู่ใช้เวรใช้กรรมกันอีกนาน...อันนี้ก็รำพึงรำพันถึงตัวเองด้วยเหมือนกัน...:':)':)'(
     
  2. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เคยมีคนถามเหมือนกันครับว่า...
    ในระหว่างที่กำลังทำครัว กำลังหั่นเนื้ออยู่ ก็มีความระมัดระวัง ค่อยจรดมีด ค่อยๆหั่น อย่างนี้จะเรียกว่า "สติ" ได้หรือไม่...


    เพื่อนผมคนนึง มาถามผมว่า "จิต" มันจะต้องมีสภาพเป็นอนุภาคที่เล็กมากๆ ไปที่ไหนก็ได้ น่าจะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามหลักของไอสไตล์ คือสสารเปลี่ยนเป็นพลังงานก็ได้ พลังงานเปลี่ยนเป็นสสารก็ได้ "จิต"น่าจะเป็นลักษณะนี้...

    เพื่อนคนเดียวกันนี้ ยังบอกว่า ถ้าการบริกรรม เช่น คำว่า"พุทโธ" ควบคู่กับลมหายใจเป็นอานาปาณสติ มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้จิตมันรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น เพราะเข้าถึงปฐมฌาณคำบริกรรมก็หายไป...เพื่อนผมมันจึงถามว่า ถ้ามันไปนั่งภาวนาคำว่า "คิด วิเคราะห์ แยกแยะ" ล่ะ...แล้วใจมันสงบนิ่งเป็นสมาธิ อย่างงี้ได้หรือเปล่า...

    เพื่อนอีกคนบอกว่าพระอยู่ที่ใจ ดังนั้น ถ้ามันจะไปนั่งบริกรรมอยู่ในอาบอบนวด มันก็ได้เหมือนกัน เพราะมันไม่ได้ติดยึดกับสถานที่ใดๆ ทำแบบนี้ได้ไหม?...


    ใครมีเพื่อนอย่างนี้ปวดหัวเหมือนกันครับ...คนพวกนี้ก็ไม่ใช่โง่เสียด้วย อ่านมามาก รู้มาก...

    สำหรับคำถามประเภทนี้...จะตอบอย่างไรดีครับ?
     
  3. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ง่ายยมั่ก...

    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม..

    พระพุทธเจ้า สัพพัญญูู กี่พระองค์ กี่กัปล์..กี่กัลป์ ยังขนย้ายเหล่าสรรพสตว์ให้พ้นจากกองทุกข์ได้ไม่รู้วันจบสิ้น..

    แล้วเราเป็นใครกัน..เอาแค่ตัวเฉพาะตน.
    .ที่ได้มีวิถึธรรมในชาตินี้ ยังแสนยากลำบากนักหนา จะให้รอดพ้นห้วงทุกข์เข็ญ

    นอกนั้น..ก็บ่นพรึมพรำเบาๆกับตัวเอง ว่า "ช่างหัวมัน...."
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ฝึกแบบลืมตาครับ เพื่อฝึกตัดเรื่องกะทบจากภายนอกต่างๆคับ
    ให้จิตมันคุ้นเคยตัดเรื่องภายเอาไว้คับ และฝึกความคุ้นเคยในการรวมร่วมด้วยคับ
    และหายใจเข้าให้ลึก และพอลมหายใจออกหมด
    ในครั้งเดียวแล้วจิตสงบหรือพร้อมใช้งาน
    อยู่ที่ไหนก็สงบได้ ใช้งานได้ครับ
    ถ้ายังต้องหายใจเข้าออก๒ถึง๓ครั้ง ถึงค่อยสงบ
    แสดงว่าจิตมันเผลอไปเชื่อมกับสภาพแวดล้อมภายนอกครับ

    พวกนี้ค่อยๆเป็นค่อยไปครับ
     
  5. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    กระทู้นี้ถามเฉพาะเรื่องจิตหรือเปล่าคะ ถามเรื่องอื่นได้ไหมคะ

    แต่เพื่อเป็นการไม่แหวกแนวเกินไป ดิฉันขอถามว่า ในกรณีที่ต้องไปอยู่ในสถานที่เสียงดังมากๆ (คุณนพเคยบอกว่าให้หลีกเลี่ยงสถานที่เสียงดัง , อโคจร ประมาณนี้ )
    เช่น ไปอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่ปิดทึบมีแต่ทางเข้าออก แล้วมีเสียงเพลงที่เบายังไงก็ได้ยิน แต่ โดยมากจะไม่เบา จะเสียงดังมาก พอๆกับไปอยู่ในผับในบาร์ แล้วเราไปบริกรรมสู้ ตอนแรกก็สู้ไหว หลังๆมาต้องทำให้สั้น กะทัดรัด เพราะบทยาวๆเอาไม่ไหว ต้องตามร่างกายบ้าง ตามลมบ้างถึงเอาอยู่ แต่ก็ทุลักทุเลเป็นบางวัน บางวันเสียงเพลงก็ติดกลับมาบ้านด้วยซะงั้น
    สถานที่แห่งนี้เป็นที่ทำงานค่ะ ดิฉันผู้น้อยไม่มีสิทธิ์มีเสียงไปปิดหรือเบาของเขา ดิฉันก็สู้อยู่ข้างใน (ถ้าพอว่างนะคะ ถ้าไม่มีใครมาคุยด้วย)
    ตอนแรกก็คิดว่าไม่น่าจะให้ผลเท่าไหร่ แต่มีพี่คนหนึ่งเคยบอกว่าอย่าไปติดสถานที่สงบเกินไป เราต้องทำได้แม้อยู่ในที่สาธารณะ หรือคนพลุกพล่านเสียงดัง ??? แล้ว แบบนี้เรียกได้ว่าเป็นการฝึกจิตหรือเปล่าคะ
     
  6. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    เท่าที่เคยฟัง เคยอ่าน จากผู้ที่รู้มานะครับ
    เหมือนจะเป็นหน้าที่ของพระอนาคามีขั้นท้ายๆ จนได้อรหัตตมรรค ถึงจะเห็นจิต นะครับ
    คนธรรมดาก็พิจารณา กาย , รูป ไปก่อน ดีแล้วครับ
     
  7. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    การที่เรายังไม่สามารถแยกแยะอาการต่างๆได้ เรายังไม่มีสติทางธรรม หรือมีไม่มากพอ และยังไม่สามารถสร้างตัวผู้รู้ขึ้นมาได้ หรือสร้างได้แต่ไม่ต่อเนื่องแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ธาตุรู้ก็สามารถทำงานได้ ???
    ตัวธาตุรู้ ตื่นขึ้นมาได้ไงคะ เช่น ลางสังหรณ์ที่แม่นยำ ในบางกรณี ????


    การยกจิตพิจรณาในเรื่องต่างๆนั้น คือการคิดขึ้นมาเองตามสัญญา หรือ จิตนั้นๆจะพิจรณาของมันเอง คือคิดได้ของมันเองหรือเปล่าคะ ???

    จิตที่เป็นกลาง คือ ไม่ร้อน-ไม่หนาว ไม่หิว-ไม่อิ่ม ไม่รัก-ไม่เกลียด ฯลฯ
    ถูกไหมคะ ??
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เป็นการฝึกสติครับ จิตสงบเป็นแค่ผลครับ..
    ..ตัดคำภาวนาออกไปเลยครับ ทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลม
    หายใจเข้ากระทบและหยุดที่ปลายจมูกบวกกันดันลมหายใจให้ลึกไว้
    แต่ไม่ต้องตามลมนะครับ และทำความรูสึกรับรู้ว่ามีลมหายใจออกหยุด
    ที่ปลายจมูกเช่นกัน..จะเป็นการฝึกสร้างสติทางธรรม ฝึกสะสมกำลังสมาธิ
    สะสม เพราะจิตจะจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูกอย่างเดียว..
    ทำอย่างนี้ได้ อยู่ท่ามกลางเวทีคอนเสริต์ก็ยังได้ครับ..
    แต่ต้องมีความต่อเนื่องด้วยนะครับ..และต้องไม่มีอะไรมาโดนตัวเรา
    ด้วยนะครับ..อย่างนี้ไม่รอดครับ ๕๕๕๕
    ปล.จิตมันให้ความสำคัญได้ทีละเรื่องครับ..ถ้ามันให้ความสำคัญ ณ จุดไหน
    อยู่ไม่ว่าตัวจิต หรือ จุดใดๆบนร่างกาย มันจะตัดการเชื่อมไปยังที่อื่นๆอัตโนมัติ
    เราก็เปลี่ยนมาไว้ที่ปลายจมูก เพราะปลายจมูกเป็นต่ำแหน่งที่ส่งเสริมเรื่อง
    การสร้างสติทางธรรมอยู่แล้วนั้นเอง...

     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อือๆๆ ประมาณนั้นหละ..ง่ายๆคือ ไม่แบ่งแยก ไม่ชี้ชัด ไม่ตัดสิน
    คือไม่มีอะไรที่บอกได้เป็น ๒ ฝั่งได้นั่นหละ...พอจะเข้าใจขึ้นเนาะ..

    ปล.เรื่องพวกนี้ค่อยๆเป็นค่อยๆไป..บางที ๒ เดือนพิจาณาได้จริงๆเรื่องเดียวก็มี.
    บางทีกว่าจะพิจารณาได้จริงๆผ่านมา ๕ ปี ๑๐ ปีก็มี.
    เพราะพวกนี้ มันต้องมีสติทางธรรมก่อน แล้วสติทางธรรมจะต้องเห็น
    ด้วยครับ เราถึงจะรู้ว่าควรยกเรื่องไหนขึ้นมาพิจารณาครับ
    อย่างคุณพี่นพ เนี่ยออกจากวัดมาเกือบ ๒ ปีกว่าจะวางได้และจิต
    ว่างได้ในขณะลืมตาประมาณ๔ ถึง ๕ วินาที คิดดูแล้วกัน ๕๕๕๕
    มันต้องเริ่มอย่างนี้หละ จากวินาทีก่อน แล้วค่อยพัฒนาตามลำดับ
    คนที่เข้าถึงอนาคามีได้ จิตเค้าว่างได้เกือบทั้งวัน.ไม่ต้องพูดถึง
    ระดับท่านๆที่พ้นแล้ว..เอาแค่วันหนึ่งว่างได้ซัก ๒๐ วินาทีต่อวัน
    เครื่องรู้ต่างๆ ความเข้าใจทางด้านนามธรรมต่างๆ ก็แทบจะเขียน
    ไม่หมดแล้วคุณ rung


    ถ้าเราแยกรูปธรรมกับนามธรรมตรงนี้ไม่ได้.
    เราจะเผลอคิดว่ากิริยาที่จิตมันสงบคืออาการจิตว่าง..
    แต่จริงๆเพราะมาจากการอ่าน การฟัง และเผลอไป
    เข้าใจเอาเองว่าจิตเป็นกลางแล้วไป
    คิดวิเคราะห์ นึกว่าที่วิเคราะห์คือปัญญาทางธรรม
    และก็จะหลงไปเองว่าหลุดพ้นได้ตรงนั้น
    ถ้าเรายังไม่รู้กิริยาของจิตจริงๆ แยกความคิดไม่ได้จริงๆ ยังไม่เคย
    เห็นเคยเจอกิริยาจากขันธ์ ๕ นามธรรมฝ่ายอารมย์ตัวเองได้แล้ว..
    ก็จะทำให้หลงตัวเอง คิดว่าตัวเองบรรลุระดับโน้นระดับนี้
    เผลอๆไปโม้แสดงความฉลาด ไปอวดคนอื่นอีก
    เพราะคิดเอาเองว่าตนเองบรรลุ.เป็นระดับโน้นนี้.. ๕๕๕๕
    เพราะไม่ทันการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นกับความคิด
    และไม่ทันขันธ์ ๕ นามธรรมที่มันเข้ามาปรุงร่วมนั่นเองครับ...
    แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
    ที่สำคัญคือการสร้างกำลังสติทางธรรม หรือตัวผู้รู้
    ให้มันต่อเนื่องเอาไว้ จนกว่าจะเห็นกิริยาอย่างที่บอก..
    มันจะช่วยหย่นย่อ การสร้างปัญญาทางธรรม
    จนสามารถพัฒนามาตัดได้ภายในเสี้ยววินาทีได้
    หรือรับรู้แต่จิตไม่ยึด ซึ่งสามารถทำกันได้ทุกๆคน..
    ช้าๆ แน่นๆ แต่ชัว.แต่ต้องมีความเพียร มีความ
    ต่อเนื่องด้วยนะครับ. ประมาณนี้
     
  10. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ผมเชื่อว่าหลายคนอ่านแล้วงง...
    สงสัยเหมือนกันแต่มีความคิดว่าเรายังทำไม่ถึงจะรีบถามไปทำไม...
    บางคนก็คิดไม่ออกว่าจะสงสัยยังไงดี แต่มันก็ไม่เข้าใจอยู่ตะหงิดๆนั่นแหละ...
    บางคนก็รู้สึกค้านอยู่ในใจว่า ดวงจิต มีลักษณะกลมๆ ถ้ายังงั้นก็ต้องรอให้ได้ทิพยจักขุญาณก่อนสินะ ถึงจะเห็นได้แบบนั้น แล้วจึงค่อยมาฝึกสติทางธรรม หรือเดินทางปัญญา...
    พวกที่ไม่เห็นจิตแบบนี้ก็คงยังฝึกสติทางธรรมนี้ไม่ได้มั๊ง...


    จากประสบการณ์ที่ผมเองสงสัยมามาก พระไตรปิฎกก็ไม่เคยอ่าน ปฏิจสมุปาทก็ไม่ได้อ่านซะที อ่านทิพยอำนาจมาบ้างก็ไม่เข้าใจ อาศัยหลวงพ่อครูบาอาจารย์ท่านสั่ง ท่านสอนมา ก็พอจะเกิดความเห็นบางประการอย่างนี้ครับ....

    ผู้ที่ฝึกในแนว เตวิชโช หรือวิชชาสาม และฉฬภิญโญ หรืออภิญญาหก จะมองเห็นจิตมีลักษณะเป็นดวง เห็นจิตมีลักษณะทึบขาว ก็จะรู้ว่านั่นคือจิตของผู้ทรงฌาณ จิตมีสีต่างๆ เช่นเวลาโกรธจิตเป็นสีแดง เวลาคิดร้าย พยาบาท จิตจะมีสีดำ เห็นจิตปุถุชนจะเห็นเป็นแท่งทึบๆตันๆเป็นสีเนื้อหรือสีครีม เห็นจิตอริยบุคคลชั้นต้น จะเริ่มมีความใสรอบๆดวงจิต อย่างนี้เป็นต้น

    ส่วนท่านที่ฝึกในแนวสุกขวิปัสโกนั้น จะไม่มีทิพยจักขุญาณ การเห็นจิตของท่านเหล่านี้คือการเห็นจิตในรูปของสภาวะ ไม่เห็นเป็นดวงๆกลมๆ ท่านจะเห็นจิตเป็นสภาวะว่างๆ ผู้รู้ที่ไปเห็นจิตว่าเป็นสภาวะว่างก็ดี ไม่ว่างก็ดี ท่านเรียกผู้รู้นี้ว่า สติ

    ส่วนท่านที่ฝึกไปในแนวปฏิสัมภิทัปปัตโตนั้น พวกนี้จะมีความฉลาดมาก มีความรู้ครอบคลุมทั้ง สุกขวิปัสโก เตวิชโช และ ฉฬภิญโญ สามารถย่อความพระธรรมให้เข้าใจง่าย และสามารถขยายความพระธรรมให้กว้างขวางออกไปได้ เป็นผู้มีกุศโลบายแยบคายในการแสดงธรรมเพื่อให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้....

    ดังนั้นการอ่านการฟังนั้น บางครั้งที่เราไม่เข้าใจ ก็ด้วยแนวทางการปฏิบัติของแต่ละท่านนั้น มากันคนละแบบ ซึ่งก็ไม่ได้มีความผิดอะไรนะครับ เป็นดังปริศนาธรรมที่อยู่บนธรรมจักร คือทุกซี่ หมายถึงทุกเส้นทางการปฏิบัติ จะเป็นไปเพื่อมรรคผล คือเข้าที่จุดศูนย์กลางอย่างเดียว จุดcenterนี้จะเป็นจุดที่หยุดนิ่ง ไม่หมุนไปตามวงล้อธรรมจักร

    ดังนั้นไม่ว่าพวกเราจะฝึกแนวไหน วิธีการใด จะมีความเป็นทิพย์ของจิตหรือไม่ก็ตาม หากเป็นไปเพื่อ การลด ละ เบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อออกจากกาม เพื่อการทำพรหมจรรย์ของเราให้ยิ่งๆขึ้นไปแล้ว ในท้ายที่สุด ก็จะถึงจุดหมายปลายทางที่เดียวกันได้ .....

    ในระหว่างทางนี้ ย่อมมีเรื่องงุนงง สงสัยบ้าง เป็นธรรมดาครับ เพราะว่าพวกเราทั้งหลายในที่นี้ โดยมากยังเป็นปุถุชน คือบุคคลผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ยังไม่ได้บรรลุธรรมขั้นสูง ไม่ได้เป็นอริยะบุคคลแต่อย่างใด ดังนั้นก็ยังมีหลงผิดได้ ยังเข้าใจผิดกันก็ได้ ยังหงุดหงิดรำคาญ เวียนหัว มึนหัวกันได้อยู่ นี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะเรื่องที่ยังสงสัยอยู่นั้น ก็ย่อมมีเป็นปกติ สำหรับเราๆท่านๆ...

    การถามปัญหากันในกระทู้นี้จึงถือเป็นเรื่องธรรมดาครับ และการที่เอามาไว้ในหลุมดำ เพื่อป้องกันว่า บางคำถามอาจดูไม่เข้าท่า บ้าๆ โง่ๆ หรือบางคำตอบอาจดูพิศดาร ก็จะได้ไม่ไปกระทบกระทู้ในบอร์ดอื่นๆ เอาเป็นว่า มาแอบๆถามกันในกระทู้นี้ครับ ...

    ซึ่งก็จะมีผู้รู้อย่าง ป๋าtoplus99 คุณNopphakan มาช่วยตอบ ส่วนผู้ที่รู้บ้างไม่รู้บ้างอย่างผมก็จะมาช่วยเสริม ผู้แบกพระไตรปิฏกเดินไปเดินมาอย่างนู๋พายุ ก็จะมาช่วยถาม คุณรุ้งดาวก็สามารถถามได้ทุกเรื่องครับ คือเรื่องเกี่ยวกับข้อสงสัยในธรรม ในคำสอน หรือแนวทางปฏิบัตินะครับ อย่าเหมือนเพื่อนผมครับ พอบอกว่าถามได้ทุกเรื่องมันถามชื่อพ่อก่อนเลย...ผมงี้ นั่งเกาฝ่าเท้าแกรกๆๆๆ...สติสตึอะไรนี่เก็บไปก่อน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2015
  11. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ไหนๆท่านป๋าระมิงค์ก็ช่วยเปิดประเด็นให้แล้ว ชาวบ้านอย่างดิฉันก็ขอใคร่ถามใหม่อีกซักครั้ง แต่ก่อนถามคงต้องร้องเพลงที่ช่วยคลายอาการมึนตึบของตัวเองก่อนค่ะ
    "อยากถามซ้ำ คำที่เคยบอกฉัน
    ยังจำถ้อยคำได้ไหม? กระซิบข้างหู จะเอียงหูฟัง..แต้แต้แต่..(ไปต่อไม่รอด..หุหุ)

    คำถามคือ ท่านว่าผู้ที่เห็นจิตตัวเองเป็นดวงสีขาวทึบนั้นคือผู้ที่ฝึกทางด้านวิชา...
    แล้วถ้าดวงนั้นมันไม่หยุดนิ่งหมุนวนไปมาแถมมีเมฆหมอกดำลอยปิดบังตามประกบอยู่ นี้แสดงว่าอย่างไรคะ ?

    ตอนนี้เวลาฝึกก็พยายามไม่สนนใจ แต่บางทีก็ตามมอง ก็เลยงงๆว่าตกลงจะไม่สนใจรึจะต้องตามมองดี และบางทีมันก็โผล่ให้เห็น ทั้งหลับและลืม บางทีก็หายจ้อย ในระหว่างฝึกสมาธิ เลยงงต่อไปว่า จะต้องทำสมาธิแล้วเห็น รึทำสมาธิแล้วไม่ต้องเห็นดี แบบว่าพอคิดหาทางที่ถูกมันก็เลยเกิดความไม่แน่ใจ คิดเลยไปปนและสับสนในการพิจารณากายในกาย (อันนี้คิดเองเออเองค่ะ ) ทั้งหมดคือข้อสงสัยที่เก็บเอาไว้ ส่วนตอนนี้คือฝึกตามลมอย่างเดียว ส่วนนั่งสมาธิก็ทำเป็นไม่สนใจ ช่างมันพยายามตามลมอยู่ค่ะ
    ฟังอีกซักเพลง...

    " เหมือนเมฆลอย คอยปิดบังสายตา
    ท้องนภา จึงไม่เคยเห็นดาว
    ไม่รู้เลยว่าแสงทอสกาว
    คือแสงดาว คอยส่งมาให้ฉัน
    เหมือนเมฆลอย คอยปิดบังหัวใจ(จิตใจ)
    XXXXXX....
    ขอชะตา พัดเมฆที่ขวางกางกั้น
    สักวันอาจรู้และเข้าใจ..."

    อย่าถือสาคนเมาชานมน้ำผึ้งเลยค่ะ เพลงกำลังดัง จึงนำมาประกอบ เพื่อความบันเทิง หุหุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กุมภาพันธ์ 2015
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    คำถามคือ ท่านว่าผู้ที่เห็นจิตตัวเองเป็นดวงสีขาวทึบนั้นคือผู้ที่ฝึกทางด้านวิชา...
    แล้วถ้าดวงนั้นมันไม่หยุดนิ่งหมุนวนไปมาแถมมีเมฆหมอกดำลอยปิดบังตามประกบอยู่ นี้แสดงว่าอย่างไรคะ ?


    กรณีเช่นนี้ นิมนต์ คุณนพฯมาตอบเลยดีกว่าครับ...
    จะได้คำอธิบายจากประสบการณ์อย่างละเอียด ทุกแง่ทุกมุม...

    ผมเป็นขาชงละกันนะครับ...
     
  13. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682

    อ่อ นางหนูเอ๊ย เองเป็นคนขี้สงสัยรึ!

    อ่อ อ่อ ไม่ว่ากัน ความสงสัยเป็นบ่อเกิดของการค้นคว้า

    นำมาซึ่งความเจริญ และความก้าวหน้าเนาะ

    ดีละ ลงพรานแก่รูปหล่อ พ่อ(ตายแล้ว) จะคอยติดตาม คอนอ่าน

    ก็แล้วกันเนาะ ฮึฮึ!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2015
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อือ ก่อนจะมาว่ากันเรื่องสีของจิตหรือหรือสัญญาการปรุงแต่ง
    ที่ทำให้เราเห็นจิตเป็นสี ตามสภาวะความบริสุทธิของจิต
    นะเวลานั้นนะครับ..ท่านๆทั้งหลาย และก็คุณ ป๋า ครับ
    เด่วผมจะขอพูดอะไรให้สะกิจใจเล็กน้อยในมุมที่ผมเห็นนะครับ
    เกี่ยวกับเรื่องการเจริญสติก่อนนะครับ....

    .
    ..ส่วนตัวพอเข้าใจครับ..ว่าการจะเข้าใจ
    เรื่องนามธรรมได้นั้น.มันขึ้นอยู่กับการสร้างผู้รู้ตัวใหม่หรือ
    กำลังสติทางธรรมนั่นหละครับ..
    การที่ไปเห็นโน้น รู้โน้น รู้นี่แบบพิเศษ ไม่ว่าจะในฝัน ในนิมิตรต่างๆ
    หรือในขณะที่กำลังฝึกกรรมฐานกองต่างๆอยู่ก็ตามนะครับ...
    แล้วสามารถเข้าใจได้ทันทีก็เพราะสติทางธรรมทั้งนั้น...
    หรือแม้กระทั่งการควบคุมอารมย์ได้ ควบคุมความคิดและดับความคิดได้ทันนั้น.
    มันก็เพราะตัวสติทางธรรมทั้งนั้นครับ. เพราะมันเป็นทั้งธาตุรู้และผู้รู้
    และมนุษย์เราปกติเกิดมามันไม่มีใครมีหรอกครับ สติทางธรรมเนี่ย..
    ถ้าเกิดมาแล้วมีสติทางธรรมเลย ป่านนี้คงเดินปัญญาลดละกิเลสได้
    เลยตั้งแต่เริ่มคลานเริ่มพูดได้แล้วครับ.แต่ว่ามันสามารถสร้างสติทางธรรมได้
    ถ้ามีธาตุ ๔ ประกอบร่วมด้วยกับจิต คือมีร่างกายนั้นหละครับ..
    ไม่งั้นกระผม. คงไม่ย้ำหนักย้ำหนา ว่า มันต้องมาสร้าง มันต้องมาสร้าง
    และมันต้องมาสร้าง ผู้รู้ตัวใหม่นี้ ด้วยการเจริญสติ.ที่สำคัญคือให้มันต่อเนื่องครับ..
    เรื่องสมาธิเรื่องกรรมฐานกองพิเศษมันไม่ใช่ประเด็นหลักครับ..
    พวกนี้มันได้แล้วก็คือจบเลย..ยังไงๆมันก็ต้องมาเดินปัญญาเพื่อลดละกิเลสให้ได้
    เป็นประเด็นสำคัญที่ซู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
    เคยเล่าให้ฟังแล้วว่า ส่วนตัวเจอห่มเหลืองที่ความสามารถทะลุทะลวงสูง
    จิตไวปานจรวด ละเอียดยิ่งย้อนได้ยุคไดโนเสาร์ เจอท่านที่นึกๆอะไรก็ได้
    เห็นพระในหนังสือ หยิบออกมาเป็นองค์พระเหมือนกับในหนังสือก็ยังพอรู้จัก..
    ตลอดจนท่านที่มีชื่อเสียงมาก สายวิชาพิเศษบางท่าน ก็ยังสอนทำนองเดียวกัน
    ก็คือเรื่องเจริญสติในชีวิตประจำวัน..ไปเดินจงกลมเสริมกำลังสมาธินะ.
    เจริญสติให้ต่อเนื่องนะ. ตลอดแม้กระทั่งครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิ แนวคำสอน
    ของท่านก็เหมือนๆห่มเหลืองมีชื่อทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ ก็คือ เจริญสตินั่นหละครับ
    เป็นที่มาของคำว่า อยากรู้อะไร ก็ให้ดูจิตของตัวเอง..นั่นหละครับ..
    แต่เราส่วนมากพอไม่รู้อะไร แทนที่จะมาเจริญสติให้มันต่อเนื่องให้มากขึ้น..
    เพื่อสร้าง ผู้รู้ ตัวใหม่ ก็บอกแล้วว่า ผู้รู้ คือเด่วมันก็รู้ได้เองนั่นหละ...
    และส่วนตัวก็ย้ำหนักย้ำหนา..ได้ยินไปถึง มะนาวต่างตู๊ด
    พวกอมรโคยานทวีปหน้ากลม
    หน้าฝากมีหยักกับพวกปุพพวิเทหทวีปหน้ากลมหน้าฝากกลม
    พวกอุตตรกุรุทวีปหน้าแหลมทั้งหลาย..เค้ายังรู้เลยว่าผมพูดเรื่องสติ
    ย้ำเรื่องการสร้างกำลังสติ.และทุกวันนี้ตัวเองก็ยังเจริญสติอยู่เป็นกรรมฐานหลัก...
    ๕๕๕๕๕ แต่ช่างกลุ่มนั้นไว้ก่อนแล้วกันเนาะ..


    มาๆๆๆ ผมจะพาคิดอะไรเล่นๆครับ..
    เราไม่ต้องอะไรมาก..วันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงตัดเวลานอนเวลาออกไป ๘ ชม.
    เวลาทำงานอย่างตั้งใจ ย้ำว่าอย่างตั้งใจนะครับ.ออกไปอีก ๘ ถึง ๑๐ ชม.
    ตัดเวลารับประทานอาหารแบบลืมดับความอยากก่อนทาน
    แล้วทานด้วยความเอร็ดอร่อยแบบไม่ได้เจริญสติออกไปอีก ๓ ชั่วโมง..
    เหลือเวลาอีก ๔ ชั่วโมง หรือ ๒๔๐ นาทีเนี่ย..พวกเราทุกๆคน
    รวมทั้งตัวกระผมเนี่ย..นึกถึงลมหายใจกันนาทีขอรับท่านทั้งหลาย....
    ในเวลา ๘ ถึง ๑๓ ชั่วโมง หรือ ๔๘๐ นาที หรือ ๗๘๐ นาที.
    ที่ไม่ได้ฝึกเจริญสติอะไรเลยหมดไปกับการทำงานการรับประทานอาหาร
    เหลือเวลาให้สร้างผู้รู้อีก ๒๔๐ นาที่ต่อวัน..
    คุณๆ ท่านๆและกระผมเนี่ย...เจริญสติในชีวิตประจำวันกัน
    กี่นาทีครับ ตามลมหายใจกันกี่นาทีครับ..
    ..ถึง ๕ นาทีไหม ถึง ๑๐ นาทีไหมครับ หรือถึงชั่วโมงไหมครับ.
    ไม่ต้องมาบอกใครครับ..ท่านจะตอบตัวท่านเองได้ดีที่สุดครับ..
    แล้วเวลาที่ ลบออกจาก ๒๔๐ ที่หมดไปจากการสร้างผู้รู้เหลือ
    อีกกี่นาทีครับ..แล้วท่านๆมัวทำอะไรกันอยู่ครับ.....
    ท่านๆและกระผม ก็จะพูดๆเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย
    คุยกับคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย ทำโน้นทำนี่ไปเรื่อย..
    เด่วก็อยากรู้เรื่องนั้น เด่วก็อยากรู้เรื่องนี้.เด่วก็เรื่องอดีต เด่วก็เรื่องอนาคต
    เด่วก็เรื่อง งาน เรื่อง เงิน เรื่องคนนั้น เรื่องคนนี้. นินทาคนนั้นคนนี้..
    พูดถึงโน้นพูดถึงนี้..เด่วก็อยากจะไปโน้น อยากไปนี้
    เด่วก็อยากได้นั้น เด่วก็อยากได้นี่. โอ้ยยยยยยยยยยยยยย
    สารพัดเป็นแสนๆเรื่องต่อวัน คิดๆดูว่าวันหนึ่งๆจิตท่านจิตกระผม
    มันเกิดวันละกี่ครั้งคร๊าบบบบบบบบบบบบบบบ
    ผมต่อให้ท่านสร้างผู้รู้ได้ วันหนึ่ง ๖๐ นาทีเลยครับ..
    ลองเทียบเป็นเปอร์เซนต์กับความคิดให้ดูใหม่นะครับ..
    วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง - ที่เรานอนเต็มที่ไปเลย ๘ ชั่วโมง
    เหลือ ๑๖ ชั่วโมง และก็ - ลบเวลาทำงานกับธุระส่วนตัว
    ออกไปอีก 11 ชั่วโมง เหลือ ๕ ชั่วโมง..เทียบได้เป็น ๓๐๐ นาที
    ท่านเจริญสติได้ ๖๐ นาที.เทียบเป็นเปอร์เซนต์จาก ๓๐๐ ได้
    เท่ากับ (๖๐/๓๐๐)x ๑๐๐ = ๒๐ เปอร์เซนต์ จาก๓๐๐ นาที...
    แต่ ๓๐๐ นาทีนี่มาเป็นส่วนหนึ่งจาก ๑๔๔๐ นาทีคือทั้งวัน ลบด้วย
    ๔๘๐ นาทีเหลือ ๙๖๐ นาที..ถ้าเราเทียบเวลาการเจริญสติของ
    เรากับเวลาสุทธิจาก ๙๖๐ นาทีตรงนี้..จากเวลาที่ท่านเจริญสติ
    คือ (๖๐/๙๖๐)x๑๐๐ จะเท่ากับ ๖.๒๕ เปอร์เซนต์ครับ

    เห็นไหมครับว่าแม้เราจะทำได้ ๖๐ นาทีต่อวันนะครับ.
    ..ก็จะพบว่า ในร้อยเปอร์เซนต์ของเวลาที่เราจะเจริญสติได้
    ทั้งหมด ๙๖๐ นาที ท่านใช้เวลาในการสร้าง
    ผู้รู้คิดเป็นเปอร์เซนต์เพียงแค่ ๖.๒๕ เปอร์เซนต์ต่อวัน เท่านั้นเองครับ..
    ๑๐๐-๖.๒๕ = ๙๓.๗๕ เปอร์เซนต์ของเวลาที่เราสามารถเจริญสติ
    ได้ตรงนี้ หมดไปกับการไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ การไม่เจริญสติ...
    เพราะฉนั้น พอเข้าใจกันหรือยังครับว่า..ทำไมความเข้าใจทางด้าน
    นามธรรมของเรามันถึงไม่ดีขึ้นครับ..ทำไมเราฝึกกรรมฐานอะไร
    มันถึงได้ฝึกยากฝึกเย็นเหลือเกินครับ...
    หวังว่าคงพอจะจับจุดสังเกตุได้เนาะ..
    ก็จิตมันคิดไป ๙๐ ว่าเปอร์เซนต์ มันเกิดทั้งวัน..
    .แล้วเราจะเอากำลังที่ไหนไปสู้กับความคิดหละคร๊าบบบบบบบบบบบบบ
    และมันเกิดทั้งวันแบบนี้...จะเอาอะไรไปสร้างกำลังสติทางธรรมหละครับ
    จะเอากำลังสติทางธรรมที่ไหนไปแยกแยะมันจากความคิดได้ครับ..
    ท่านทั้งหลาย....นี่หละครับที่กระผมพยายามบอกแล้วบอกอีกว่า
    ให้เจริญสติให้มันได้ต่อเนื่องทั้งวันไงครับ..ดังนั้นเราจึงต้อง
    อาศัยความเพียรตรงนี้ด้วยครับ..เพราะส่วนมากเราไม่ค่อยเข้าใจว่า
    เราเสียเวลาไปกับอะไรบ้าง เราขาดการสร้างสติในช่วงไหนบ้าง
    ที่เขียนๆให้อ่านเนี่ย ไม่ใช่ว่าผมจะทำได้ทั้งวันนะครับ..
    ผมก็เป็นเหมือนๆท่านนั่นครับ..๕๕๕๕
    และถ้าเราไม่เจริญสติจนสามารถแยกรูปธรรมแยกนามธรรมได้.
    จิตเรายังไง ยังไง มันก็จะไม่ว่างรับรู้ครับ..
    ดูซิครับ วันหนึ่งมันเกิดเท่าไร เราเจริญสติเท่าไร
    จะเอาอะไรไปสู้กับกำลังที่มันเกิดมากมายเหล่านั้นได้ครับ.
    .และถ้าเราไม่มีความเพียรจริงๆ เราจะไม่มีทางรุ้ตัวเองได้เลยว่า
    เราทำไมถึงต้องมาสร้างสติทางธรรมตัวนี้นั่นยังไงครับ...

    ปล. พอเข้าใจนะครับ....จริงๆเขียนไว้เตือนตัวเองด้วยครับ
    ผมก็โดนท่านๆที่สอนผมก็สวดผมมาประมาณนี้หละครับ
    คุณป๋า คุณๆทั้งหลาย..คล้ายๆประจานตัวเลยแฮะ ๕๕๕๕๕
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เด่วเรื่องสีของจิต
    หลังจากไปซื้อดอกไม้ถวายพระแล้ว
    จะมาเล่าให้ฟังต่อครับ...
    อืมมมมม คุณ JINKLE ถามมานะครับ..
    มันเป็นเรื่องอจิณไตยเล็กน้อยครับ.ยากที่จะอธิบาย
    หรือพูดให้ใครเข้าใจได้ง่ายๆครับ มันสุ่มเสี่ยง
    กับการปรามาสบุคคลกลุ่มนี้ด้วยครับ..
    กลุ่มบุคคลที่จะเข้าใจเรื่องนี้นั้นจะเป็น
    กลุ่มบุคคลที่เค้าเกิดมาพร้อมกับมีอะไรๆที่มันพิเศษ
    กว่าบุคคลทั่วไปจริงๆครับ ที่เคยเจอนะครับ บางคน
    กำลังทานเนื้อหมูเนี่ย เค้าย้อนปรึ๊ดดดดดด รู้แม้กระทั่ง
    หมูมันไปทำอะไรมา ย้อนรู้ได้เป็นร้อยชาติแม้ภายใน
    เสี้ยววินาทีเดียว.รู้แม้กระทั่งใครเป็นคนฆ่า สาเหตุอะไร
    ถึงต้องได้มาฆ่า ทำนองนี้ครับ.
    แถมตามีการเห็นคล้ายตาทิพย์แบบทะลุทะลวงครับ.
    เราเดินๆมาเนี่ย เค้าเห็นแม้กระทั่งลำไส้เราเหมือนเรา
    ดูภาพจากทีวีจอ LCD เลยครับ..
    แต่แปลกดีนะที่บางคนเจอผมแล้วเค้าถึงกับง่วงนอน ๕๕๕๕

    ..และอีกกลุ่มเค้าจะอยู่ในกลุ่มที่เค้ามาทางสายพลังงาน
    ด้วยครับคือพวกนี้เกิดมามีติดตัวมานะครับ ไม่ได้ว่ามาฝึกอะไร
    ประเภทรู้ทุกเรื่องในจักรวาลได้จากการเชื่อมจิตครับ.
    พวกนี้จะเข้าใจที่คุณถาม แต่จะตอบหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ...

    .มาประเด็นที่คุณถาม.การที่ดวงจิตพิเศษซักดวงนะครับ..จะมาได้แบบ
    อย่างที่คุณเข้าใจนั้น.ท้าให้เลยครับว่าต่อให้ห่มเหลืองระดับปฏิสัมภิทาญาน
    แต่ไม่ใช้ในเรื่องพลังงานเพื่อรักษาคนหรือใช้ความสามารถภายใน
    เพื่อช่วยเหลือคนก็จะไม่เข้าใจครับ..

    .บุคคลพิเศษแบบนี้ท่านเหล่านี้นะครับ..
    ให้คุณลองสังเกตุดูนะครับว่า..เวลาคุณเดินเข้าไป
    ไกลบุคคลพิเศษกลุ่มนี้..กระแสพลังงานต่างๆที่ไม่ดีรอบๆตัวเรา
    มันหายไปหมดเลยไหมครับ.และจิตใจของเราอยู่ดีๆมันก็นิ่งสงบ
    เหยือกเย็นไหมครับ..และบุคคลกลุ่มนี้เค้าตอบคำถามที่คุณคิดๆ
    ไว้ในใจก่อนหน้านี้ได้หมดหรือไม่ชนิดที่คุณไม่ต้องเอ่ยปากไหมครับ..
    และถ้าคุณมีปัญหาค้างคาใจอะไรอยู่ในใจ พอคุณแค่เข้าใกล้ท่านอยู่ดีๆ
    มันก็เหมือนกับว่าคุณสามารถที่คลายปัญญาในใจตรงนั้นได้หรือไม่..
    ปล.ความสามารถบุคคลพิเศษที่คุณถาม ผมขอใช้คำว่าท่านๆเหล่านั้น
    จะมีความสามารถพื้นฐานอย่างนี้เป็นปกติธรรมดาอย่างที่ได้เล่าให้ฟังมาครับ..
    กรณีแบบอื่นๆนอกจากนี้ ที่คุณเคยได้ยินมา หรือเค้าว่ามา
    ให้คุณคิดพิจารณาเองได้ โดยเทียบกับความสามารถปกติ
    ที่ได้เล่าให้ฟังแล้วเทียบเคียงเอาเอง. โดยที่ไม่ต้องมาเล่า
    โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องไปขยายความ หรือสนใจว่าใครจะเชื่อไม่เชื่อ
    เอาเป็นว่าพอรู้ๆกันก็พอครับ......

    ปล.เจอกับตัวถึงรู้ แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ
     
  16. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    คำถามคือ ท่านว่าผู้ที่เห็นจิตตัวเองเป็นดวงสีขาวทึบนั้นคือผู้ที่ฝึกทางด้านวิชา...
    แล้วถ้าดวงนั้นมันไม่หยุดนิ่งหมุนวนไปมาแถมมีเมฆหมอกดำลอยปิดบังตามประกบอยู่ นี้แสดงว่าอย่างไรคะ ?

    ตอนนี้เวลาฝึกก็พยายามไม่สนนใจ แต่บางทีก็ตามมอง ก็เลยงงๆว่าตกลงจะไม่สนใจรึจะต้องตามมองดี และบางทีมันก็โผล่ให้เห็น ทั้งหลับและลืม บางทีก็หายจ้อย ในระหว่างฝึกสมาธิ เลยงงต่อไปว่า จะต้องทำสมาธิแล้วเห็น รึทำสมาธิแล้วไม่ต้องเห็นดี แบบว่าพอคิดหาทางที่ถูกมันก็เลยเกิดความไม่แน่ใจ คิดเลยไปปนและสับสนในการพิจารณากายในกาย (อันนี้คิดเองเออเองค่ะ ) ทั้งหมดคือข้อสงสัยที่เก็บเอาไว้ ส่วนตอนนี้คือฝึกตามลมอย่างเดียว ส่วนนั่งสมาธิก็ทำเป็นไม่สนใจ ช่างมันพยายามตามลมอยู่ค่ะ


    ไม่ตอบก็จะหาว่าเล่นตัว ตอบไปก็กลัวว่าจะผิดพลาดได้...
    .............
    ลักษณะดวงจิตสีขาว เป็นจิตที่ทรงฌาณตั้งแต่ปฐมฌาณเป็นต้นไป ส่วนที่หมุนได้เพราะฝึกในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกสิณ
    เมฆหมอกดำๆที่ลอยวนไปวนมา คุณดาวรวยก็ระแวงอยู่ในใจอยู่แล้วนี่ ว่าคือเจ้ากรรมนายเวร...
    การสนใจก็ผิดครับ การไม่สนใจก็ผิด เพราะคุณดาวรวย คิดเอาว่าไม่สนใจ จริงๆแล้วคือสนใจว่าจะไม่สนใจ มันซ้อนกันอยู่ เพราะถ้าไม่สนใจแล้ว ก็ไม่ขุดขึ้นมาถามหรอกครับ เหมือนตอนนี้ คุณดาวรวยไม่ได้สนใจ บารัค โอบามา ... ดังนั้นแล้ว คุณจะไม่คิดถึง ไม่ถามถึง ไม่ระลึกถึง ไม่ใดๆทั้งสิ้น ที่เกี่ยวกับโอบามา...ดังนั้นแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณดาวรวย จริงๆแล้ว คือ คุณ ให้ความสนใจ...ที่จะไม่สนใจ...

    ทางออกคือ การเจริญสติ...
    คุณนพฯ เรียกว่าสติทางธรรม
    ในมรรค8 เรียกว่า สัมมาสติ
    โดยทั่วไปเราเรียกสั้นๆว่า สติ หรือ ผู้รู้
     
  17. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เนื่องจากที่นี่คือ หลุมดำ จะตอบยังไงก็ได้...
    คำตอบคือ ท่านเหล่านั้น แบ่งภาคลงมาเกิดในโลกมนุษย์ไม่ได้ครับ

    ผู้ที่จะแบ่งภาคลงมาเกิดได้ มีเพียง พระโพธิสัตย์ขั้นปรมัตถะปารมี เท่านั้น ยกตัวอย่างในเวลานี้คือ หลวงพ่อทวด ที่แบ่งภาคมาจากพระศรีอาริยเมตตรัย และภาคหนึ่งมาเป็น หลวงปู่ดู่ วัดสะแก...

    เป็นเรื่องที่ผมสงสัย เมื่อศิษย์พี่ท่านนึงซึ่งเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิหลวงปู่ดู่ นำพระหลวงปู่ดู่มาให้จับ...ซึ่งผมจับไม่เป็น และเวลานั้นผมไม่รู้จักหลวงปู่ดู่มาก่อน ภาพที่ปรากฎให้เห็นคือ หลวงปู่ดู่นั่งอยู่ด้านหน้า ข้างหลังไปเป็นหลวงพ่อทวด...ลูกศิษย์ท่านนี้ยืนยันว่าถูกต้องแล้ว หลวงปู่ดู่ก็เคยบอกว่าท่านคือหลวงปู่ทวด และเล่าไปถึงว่า พระโพธิสัตย์ที่มีบารมีขั้นสูงแล้ว สามารถแบ่งภาคลงมาเกิดได้...

    เรื่องแบ่งภาคต้องทำยังไง ทำได้อย่างไร ตรงนี้เกิดความรู้ความสามารถที่จะรู้ได้ครับ
     
  18. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    ไม่ทันค่ะ

    เวลาอ่านหนังสือ ก็กระโดดไปมา ไม่ละเอียดเลย

    อาภัพจริงๆ เห็นไม้หันอากาศ เป็นไม้โท บางทีก้แยก ดเด็ก กะ ค ควาย สับสน
    ตัว d กะ ตัว b ก็สลับกัน
    แพะ กะแกะ ก็แยกไม่ออก

    ซื่อบื้อ มากค่ะ

    ความรู้สึก ข้าน้อยช้า ค่ะ ๕๕๕๕

    ข้าน้อย เคยไป อบรม กรรมฐาน สติปัฎฐาน ๔ ด้วยนะคะ

    ตั้ง ๗ วันแน่ะ


    ไม่อยากโม้เลยค่ะ

    อาจมีบางคน แยกรูปแยกนาม กำหนดจิต รู้เท่าทัน อิริยาบทต่างๆ

    เค้าสอน เดินจงกรม โง้นงี้

    พอ อาจารย์ ถามข้าน้อย

    ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

    อนิจจา ข้าน้อย พึ่งแยก ซ้ายกะขวาได้ คาบครานั้นเอง
    เลย เรียน อาจารย์ไปตามตรง น่ะคะ

    ท่านอาจารย์ มองอย่างประหลาดใจเล้กน้อย ท่านว่า หนูมีบุญค่ะ ๕๕๕๕
     
  19. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สติ , สติทางธรรม ,สัมมาสติ, ผู้รู้,ผู้รู้ใหม่ ฯลฯ เป็นศัพท์สมมติบัญญัติ...
    ผมขอเรียกสั้นๆว่า สติ หรือ ผู้รู้ ละกันนะครับ...เป็นอันว่ารู้กันว่าหมายถึงสติทางธรรม หรือสัมมาสติ...

    เมื่อตอนเย็น ครูติง กลับมาบ้าน หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน ทานข้าวเสร็จก็ทำท่าเป็นลม หมดสติ ไปซะแล้ว....

    พายุ ไปเห็นหมาหลายตัวรุมกัดผักบุ้ง หมารัก ถึงกับสติแตก ไล่อาละวาด....

    คนที่ไม่มีสติ เราเรียกคนพวกนี้ว่า คนบ้า หรือคนเสียสติ....

    สติเช่นนี้ พอจะเรียกได้ว่า สติทางโลก ... ก็มีความรู้ แต่รู้แบบโลกๆ เช่น กลับมาบ้านทานข้าวเสร็จแล้ว แทนที่จะหมดสติ ก็อยากจะฝืนดูรายการไมค์ทองคำสักหน่อยก่อน ไม่ยอมหมดสติกันง่ายๆ....

    เห็นหมาหมู่รุมหมาตัว ก็รู้ตัวว่า ต้องหาไม้ไปไล่ ขืนวิ่งเข้าไปซึ่งๆหน้าคงโดนหมาหมู่รุมเอาด้วย หันไปเจอไม้ก็คว้าไม้ หันไปเจอก้อนหินก็คว้าก้อนหิน นี่ก็มีสติ ยั้งคิด แต่ว่าเป็นสติ ทางโลก ถ้าไม่มีสติก็คงวิ่งเข้าไปกัดกับหมาหมู่เหล่านั้นไปเสียแล้ว อย่างนี้เป็นต้น...

    กรรมฐาน 40 มีอนุสติ อยู่ 10 กอง ได้แก่ อานาปาณสติ กายคตานุสติ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เทวตานุสติฯลฯ
    อานาปา + กับอนุสติ เป็นอานาปาณสติ
    กายคตา สนธิกับคำว่า อนุสติ เป็นกายคตานุสติ อย่างนี้เป็นต้น
    อนุ แปลว่า small เล็กๆ อนุสติ คือสติเล็กๆ...

    เมื่อเจริญให้มากเข้า ทำให้ชำนิชำนาญ สติที่เป็นอนุ น้อยๆนี้ ก็จะค่อยต่อเนื่องเข้า แล้วมีกำลังเพิ่มพูนขึ้น จนเป็น มหาสติในที่สุด...

    อาณาปานสตินี้ เป็นการรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก ซึ่งมีกล่าวถึงไว้ในมหาสติปัฎฐานสูตร ลำดับที่1 คือเรื่องของกาย...นั่นหมายความว่า ลมหายใจ ก็คือ กายนี้นี่เอง เป็นกายที่ละเอียดกว่า เนื้อหนัง แขนขา ครูบาอาจารย์ท่านให้มารู้ที่ลมหายใจเข้า หายใจออก ก็คือ ให้มีสติรู้ อยู่กับกายนี้นี่เอง....

    สำหรับอานาปาณสตินี้ เป็นการรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก ไม่มีคำบริกรรมนะครับ ไม่มีการกำหนดนิมิตใดๆว่าเป็นพระพุทธรูป หรือเป็นลูกแก้ว เป็นแต่เพียงการรู้สึกถึงสัมผัสที่ลมหายใจผ่านไปกระทบฐานต่างๆในร่างกาย รู้ลมหายใจเข้า-ออก ว่าสั้นหรือยาว หนักหรือเบา เช่นนี้เป็นต้น...

    การเพ่งลมหายใจ สามารถทำได้ และมีคนเคยทำ แต่ไม่ใช่เป็นการเจริญสติ ย่อมมีอาการตึงเครียด และเกิดเป็นนิมิตแสงสีต่างๆ มีการเห็นลมหายใจเป็นแท่งทึบเป็นต้น เช่นนี้ เป็นจับลมหายใจมาฝึกเป็นสมถะ ไม่ใช่เป็นการเจริญสติ...

    สังเกตว่า เมื่อจับลมหายใจให้เป็นการเจริญสตินั้น ร่างกายทุกส่วนจะผ่อนคลาย ลมหายใจเข้าออก มีความรู้สึกตัวดี และ ต้องมีความรู้สึกผ่อนคลาย ถ้ายังตึงเครียด บังคับ ข่มเอาไว้ ตรงนี้ เป็นสมถะ ไม่ใช่การเจริญสติ...

    เนื่องจากลมหายใจเป็นฐานกายที่ละเอียด หลายคนจับไม่ค่อยได้ มักจะแว็ปไปแว็ปมาบ่อยๆ ครูบาอาจารย์บางท่านจึง คิดกุศโลบาย ให้ใช้การเดินช้าๆ พร้อมกับบริกรรมคำว่า "หนอ" ไปด้วย ทำไมต้องหนอ ก็หนอนี้แปลว่า รู้ ...
    ข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้อีกเช่นกัน คือการเดินช้าๆ หลายคนไปเพ่งที่อากัปกริยาการเดิน ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ฯลฯ การเพ่ง ย่อมเกิดความเครียดขึ้น ซึ่งหากฝืนไปนานๆย่อมกระทบกระเทือนต่อระบบเส้นประสาท แต่ในระหว่างนั้น ก็จะเกิดนิมิตตามมา เห็นเทวดาบ้าง เห็นนางฟ้าบ้าง เห็นอดีตชาติบ้าง....เช่นนี้ ผิดทั้งหมดครับ การเจริญสติ ไม่มีนิมิตนะครับ ซึ่งที่ถูกแล้ว การฝึกจงกรมเช่นนี้ หากเป็นสติแล้ว ร่างกายทุกส่วนจะผ่อนคลาย การเอาผู้รู้ มาทำความรู้สึกตัวเช่นนี้ ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่า "สัมปชัญญะ" ซึ่งก็คือผู้รู้ เช่นเดียวกัน เพียงแต่ผู้รู้ ที่ตามรู้ตามดูจิต ท่านสมมติเรียกว่า สติ ผู้รู้ที่ตามรู้ตามดูกาย ท่านสมมติเรียกว่า สัปชัญญะ...
     
  20. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    ตอนเด็ก สงสัยเก่งมากๆ ค่ะ

    อยากรู้หลายๆเรื่อง ถามใครใครก็ตอบไม่ได้

    ถามครู ครูก็ประชดว่า ครูไม่ได้รู้ทุกอย่าง ข้าไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าโว๊ย

    แต่เราเด็กอยู่ ไม่รู้ว่าครูประชด
    เลยไปอ่านหนังสือ

    ก็มีว่า พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู ตรัสรู้แจ้งโลกโลกา
    เป็นเลิศ ใน ๓ ภพ

    ก็ดีใจ มาก พออ่านต่อไป ก็รู้ว่า ท่าน ตายแล้ว

    ก็เสียดาย

    ว่าอ้าว แล้ว เราจะถามใครล่ะ

    เคยถามพระสงฆ์(สมมุติสงฆ์) ท่านก็เคือง คิดว่าเรา กวนบาทาท่าน (ก็จริง)

    ก็เลย ตั้งจิตปรารถนา อยากเป็นพระพุทธเจ้า หลายวัน (แว๊ปๆ)

    เพราะอยากรู้ โน่นนั่น จนทุรนทุราย (ก็พึ่งรู้ภาษาคนใหม่ๆ ก็ตื่นเต้น)

    พอ แก่ มา เอ้ย เกือบแก่ ไม่เชิง เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา

    เลยปลง เลิกสงสัย
    เพราะสงสัยไป ก็ ไม่ค่อยมีใคร ตอบ


    จนปัจจุบัน
    ยามว่าง

    ข้าน้อยก็จะหาเวลามาเหม่อลอยซึมกะทือ ไปวันๆ ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...