ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Numsai, 21 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เจษฎา เยี่ยมคำน

    เจษฎา เยี่ยมคำน เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,332
    ค่าพลัง:
    +5,413
    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมประมูลกับคุณน้ำใสเพื่อนำปัจจัยส่วนหนึ่งไปต่อบุญและสร้างองค์พระนะครับ
     
  2. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนาบุญกับน้องธรรมวิวัฒน์ที่นำเรื่องการท่องสวรรค์ของพระเนมิราชมาเป็นธรรมทานแก่พวกเราค่ะ

    เรื่องของพระเนมิราช ก็คล้ายกับการท่องเที่ยวในวิชามโนมยิทธิ สามารถท่องไปในสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้

    ส่วนตำแหน่งมาตลีเทพบุตร ก็ยังคงมีถึงปัจจุบัน ท่านมาตลีเทพบุตรเป็นเทพบุตรที่เชี่ยวชาญเรื่องเส้นทางมาก หลายครั้งเคยถวายบุญท่าน และขอความช่วยเหลือจากท่านเวลาหลงทาง (เมื่อก่อนไม่มีเนฯ) ท่านก็ช่วยเหลือทุกครั้งค่ะ



    ขออนุโมทนาบุญกับน้อง tharathan และทุก ๆ ท่านที่ร่วมบุญในกองบุญพระพุทธวิปัสสีฯ เพื่อการปล่อยปลา ๑๐๘ ตัว และถวายเทียน เพื่อแสงสว่างค่ะ


    ขอให้ทุกท่านมีความคล่องตัวในทุกเรื่อง และเจริญในธรรมค่ะ

    Numsai
     
  3. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..เรื่องของพระมหาโมคคัลลานะ...

    ก่อนจะนำประวัติดวงแก้วชุดดำรงดิเรกฤทธิ์เสนอตอนต่อไป ขอนำเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลนะมาเล่าสู่กันอ่านค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า...
    ***************************************


    วันหนึ่ง ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ท่านได้ถูกมารใจบาปเข้าสิงท้องอยู่ในลำไส้ ทำให้ท่านรู้สึกว่า..

    “ท้องเราเป็นเหมือนว่ามีก้อนหินหนักๆอยู่ และเป็นเหมือนกระสอบที่บรรจุถั่วเหลืองเต็ม นี่เพราะเหตุอะไรหนอ”

    คิดดังนั้นแล้ว ท่านจึงลงจากที่จงกรม เข้าไปในวิหาร แล้วนั่งสมาธิมนสิการโดยแยบคายเฉพาะตน ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงได้เห็นว่า ขณะนี้มีมารใจบาปเข้ามาสิงในท้องในไส้ของท่าน ท่านจึงกล่าวกับมารใจบาปว่า

    “มาร ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่านอย่ามาเบียดเบียนพระตถาคตและสาวกของพระตถาคตเลย
    เพราะการเบียดเบียนนั้น จะไม่เป็นประโยชน์ใด แต่จะเป็นเพื่อทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน”
    ฝ่ายมารใจบาปได้ยินคำพระเถระแล้ว กลับคิดว่า

    “สมณะนี้ คงไม่รู้ไม่เห็นเราจริงๆหรอก คงพูดไปลอยๆ อย่างนั้นเอง แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่รู้จักเราได้เร็วไวอย่างนี้ ไฉนสมณะที่เป็นสาวกจักรู้จักเราได้


    สิ้นความคิดคำนึงของมารปุ๊ป พระมหาโมคคัลลานะก็กล่าวสวนขึ้นมาปั๊ปว่า...

    “มาร เรารู้จักท่านแม้แต่ความคิดของท่านที่ว่า ‘สมณะนี้ไม่รู้ไม่เห็นเราจริงๆหรอก
    แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่รู้จักเราได้เร็วไวอย่างนี้ ไฉนสมณะที่เป็นสาวกจักรู้จักเราได้”


    ฝ่ายมารได้ยินพระเถระรู้เท่าทันอย่างนั้น จึงคิดว่า

    ‘สมณะนี้คงจะรู้จักและเห็นเราจริง จึงกล่าวได้ถูกอย่างนี้’


    มารจึงออกมาจากปากของพระมหาโมคคัลลานะ แล้วยืนอยู่ข้างบานประตู
    ฝ่ายพระเถระก็กล่าวรุกอีกว่า

    “มาร เราเห็นท่านแม้ที่ข้างบานประตูนั้น ท่านอย่าเข้าใจว่า สมณะนี้ไม่เห็นเรา”

    ท่านไม่ได้รู้แต่เท่านี้ แต่ท่านก็ยังรู้ไปถึงอดีตของท่านกับมารตนนี้ว่ามีความเกี่ยวดองกันมาอย่างไร โดยพระมหาโมคคัลานะท่านเล่าให้มารฟังว่า...
     
  4. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ย้อนอดีตของพระโมคคัลลานะ...

    ในสมัยพระผู้มีพระภาคพระนามว่า ‘กกุสันธะ’ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก

    เราเป็นมารชื่อ ‘ทูสี’ มีน้องสาวชื่อ ‘กาลี’ ส่วนท่านเป็นบุตรของน้องสาวเรา ท่านจึงเป็นหลานชายของเรา ครั้งนั้น เราคือทูสีมารมีความคิดว่า....

    ‘เราไม่รู้จักการมาการไปของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้เลย (หมายถึงพระพุทธเจ้าและพระสาวกในสมัยนั้น) เราจะต้องดลใจให้พวกพราหมณ์และคหบดี ให้มารุมด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด คอยเบียดเบียนพวกภิกษุเหล่านี้ดีกว่า เพื่อให้พวกภิกษุเหล่านี้มีจิตเป็นอย่างอื่น จะทำให้เราได้ช่องได้โอกาส’

    (น่าจะเป็นการยั่วให้โกรธ ขัดข้องขุ่นเคืองใจ มารจะได้จับอารมณ์ได้)
    ครั้งนั้น พวกพราหมณ์และคหบดีถูกทูสีมารดลใจแล้วก็ด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด เบียดเบียนพวกภิกษุว่า

    “สมณะหัวโล้น เป็นชาวบ้าน เป็นค่าง เกิดจากหลังเท้าของพรหม พูดว่าตัวเจริญฌาน แต่เป็นผู้คอตก ก้มหน้า เกียจคร้าน เที่ยวรำพึง ซบเซาเหงาหงอยอยู่ เหมือนนกเค้าแมวที่หาหนูกินไม่ได้ เหมือนสุนัขจิ้งจอกหาปลาไม่ได้ เหมือนแมวที่ไม่มีหนูให้จับ เหมือนลาที่ถูกปลดระวางแล้ว ฉะนั้น”

    ดูก่อน มาร! สมัยนั้น มนุษย์พวกนั้นทั้งหลายที่ตายไป ได้ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินบาต และนรกโดยมาก

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสสอน(เพื่อแก้ทางมาร)ว่า

    “ภิกษุทั้งหลาย มาเถิด พวกเธอจงมีเมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขาจิต แผ่ไปตลอดทิศที่ ๑, ๒, ๓, ๔,
    ทั้งทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลกทั่วทุกหมู่เหล่าในที่ทุกสถาน ด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาจิต อันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่”


    เมื่อเหล่าภิกษุทำตามที่ พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ มารจึงไม่ได้ช่องไม่ได้โอกาส

    ครั้งนั้นเราคือทูสีมารจึงมีความคิดว่า..

    ‘เราทำอยู่แม้ถึงอย่างนี้ ก็ยังมิอาจได้รู้ถึงการมาและการไปของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้เลย เอาอย่างนี้ดีกว่า เราควรดลใจชักชวนพวกพราหมณ์และคหบดีว่า

    ‘เชิญท่านทั้งหลายมาสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมกันเถิด

    เพื่อจะทำให้ภิกษุเหล่านั้นมีจิตเป็นอย่างอื่น ทำให้เราพึงได้ช่องได้โอกาส’


    ครั้งนั้น พวกพราหมณ์และคหบดีเหล่านั้น ถูกทูสีมารดลใจชักชวนแล้ว พากันสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลายอยู่

    ดูก่อน มาร! สมัยนั้นมนุษย์พวกนั้นทั้งหลายที่ตายไป ก็ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์โดยมาก ครั้งนั้น (เมื่อมารมาไม้ใหม่อย่างนี้) พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสสอนว่า...

    “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมา จงพิจารณาเห็นกายว่าไม่งาม
    มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล
    มีความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี
    พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงว่า เป็นของไม่เที่ยงอยู่เถิด”


    เมื่อเหล่าภิกษุทำตามที่พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ มารจึงไม่ได้ช่องไม่ได้โอกาส เป็นเหตุให้ทูสีมารมีความคับแค้นเป็นทวียิ่งนัก
    มาวันหนึ่ง ในเวลาเช้า ‘พระกกุสันธพุทธเจ้า’ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
    โดยมี ‘พระวิธุระ’ อัครสาวกเบื้องขวา เป็นผู้ติดตามหลังพระองค์(เป็นปัจฉาสมณะ)

    ครั้งนั้น เราคือทูสีมารได้เข้าสิงเด็กคนหนึ่งแล้วเอาก้อนหินขว้างที่ศีรษะของท่านพระวิธุระแตก ท่านพระวิธุระมีศีรษะแตกเลือดไหลอาบอยู่ แต่ก็ยังคงเดินตามเสด็จพระผู้มีพระภาคไปอยู่อย่างนั้น

    ลำดับนั้น พระกกุสันธพุทธเจ้า ทราบเหตุแล้วทรงชำเลืองดูทูสีมาร เหมือนช้างชำเลืองดู แล้วตรัสว่า

    ‘ทูสีมารนี้ไม่รู้จักประมาณเลย’ พร้อมกับพระกิริยาที่ทรงชำเลืองดูนั้นเอง ทูสีมารได้เคลื่อนแล้วจากที่ตรงนั้น ไปเกิดในมหานรก

    ดูก่อน มาร! มหานรกนั้นมี ๓ ชื่อ คือ

    (๑) ฉผัสสายตนิกนรก (นรกที่มีผัสสายตนะ ๖ เป็นเหตุเกิดทุกขเวทนาอันเผ็ดร้อน)
    (๒) สังกุสมหตนรก (นรกที่สัตว์นรกต้องถูกแทงด้วยขอเหล็ก)
    (๓) ปัจจัตตเวทนียนรก (นรกที่สัตว์นรกก่อทุกขเวทนาให้เกิดแก่ตนเอง คือต้องทำร้ายตนเอง)


    มาร ครั้งนั้น พวกนายนิรยบาลเข้ามาหาเรา(ผู้เป็นทูสีมาร)แล้วบอกว่า

    “เมื่อใดหลาวเหล็กกับหลาวเหล็กมารวมกันที่กลางหทัยของท่าน
    เมื่อนั้นท่านพึงรู้ว่า ‘เราไหม้อยู่ในนรกพันปีแล้ว”


    เรานั้นหมกไหม้อยู่ในมหานรกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี และหมกไหม้อยู่ในอุสสทนรก ซึ่งเป็นบริวารแห่งมหานรกนั้น เสวยทุกขเวทนาหนักกว่าก่อนอีกหนึ่งหมื่นปี เรานั้นมีร่างกายเหมือนมนุษย์ มีศีรษะเป็นปลา

    เมื่อท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เล่าเรื่องนี้แก่มารผู้เป็นอดีตหลานชายแล้ว ท่านได้กล่าวอวสานคาถาไว้ว่า

    ... คนพาลมาเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชน ย่อมเดือดร้อนอยู่ว่า
    ‘ไฟย่อมไม่มีความคิดว่าจะเผาเรา แต่เราผู้เป็นคนพาลเผาตัวเอง’
    มาร ท่านเบียดเบียนผู้เป็นเช่นนี้(ตถาคต)แล้ว จักเผาตัวเอง
    ดังคนพาลที่ถูกไฟเผาฉะนั้น


    มาร ท่านเบียดเบียนผู้เป็นเช่นนี้แล้ว ต้องประสบบาป
    ก็ท่านเข้าใจหรือว่า ‘บาปไม่ให้ผลแก่เรา’
    ผู้ที่สั่งสมบาป ย่อมโอดครวญตลอดกาลนาน
    มาร ท่านเบื่อหน่ายพระพุทธเจ้า
    อย่าคิดหวังที่จะทำภิกษุทั้งหลายให้พินาศเลย
    ภิกษุ(พระมหาโมคคัลลานะ)ได้คุกคามมารในเภสกฬาวัน ด้วยประการฉะนี้
    ลำดับนั้น มาร(อดีตหลานฯ)นั้นเสียใจ ได้อันตรธานไปจากที่นั้น ดังนี้แล.

    ____________________________________________


    อ้างอิงจาก-พระไตรปิกฎก (มจร.แปล) เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๕๐๖-๕๑๓ หน้าที่ ๕๔๕-๕๕๓
    __________________________________________

    ขอขอบคุณ :

    พระโมคคัลลานะเคยเกิดเป็นมารมาก่อน!! - กูรู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2014
  5. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ทำบุญอย่างไรจึงได้เกิดเป็นมาร..


    มาร หรือ พญามาร ได้สร้างบาปกรรมเอาไว้ ด้วยการทำบุญผสมบาป บาป ส่วนมากที่ทำก็ได้แก่ มิจฉาทิฏฐิ ทำบุญ ด้วยการปนเปื้อนกับบาป โดยไม่รอบคอบในการทำบุญ จึงได้ทั้งบุญ ได้ทั้งบาป ปนกันไป การทำบาปที่ละเอียดๆ ด้วยการขาดปัญญา ไม่ระวัง คิดแต่ว่า สิ่งที่ทำไปนั้น ทำแล้วได้บุญ ก็พากันทำไป เช่น

    การหาเงินผิดๆ ผิดวิธี แล้วเอาเงินนั้นไปทำบุญ หรือการทำบุญเพราะ อยากเด่น อยากดัง อยากมีชื่อจารึกในแผ่นหิน แผ่นป้าย การซื้อขายพระเครื่อง หรือเผยแผ่พระธรรมด้วยการซื้อขายวัตถุมงคลต่างๆ หรือหาเลี้ยงชีพจากการซื้อขายพระรัตนตรัย เช่น ขายพระพุทธรูป ขายหนังสือธรรมะ การที่พระสงฆ์เอาเงินที่ได้รับไว้เป็นของสงฆ์ไปใช้ส่วนตัว นี่ก็เหมือนการขายความเป็นพระสงฆ์เหล่านี้เป็นต้น

    เป็นบาปที่แฝงหรือหลบซ่อนอยู่ในจิตใจของนักทำบุญพวกนี้ นักทำบุญแบบนี้แหละ ที่จะไปเกิดเป็นมาร การที่เขาได้ทำให้มีบาปขึ้นติดไปกับบุญที่ทำ ซึ่งเขามักไม่ละเอียดพอที่จะระวัง และ ไม่คิดว่านั่นเป็นบาป อาจคิดในแง่มุมว่าเป็นบุญอย่างเดียว ไม่ระวังบาป ที่เกิดขึ้นพร้อมกันไปด้วย

    มาร หรือ พญามาร นี่มีบุญมาก เป็นเทวดาที่มีบุญมาก แต่เขาก็ยังเป็นผู้ที่สกปรกอยู่ใน เพราะความประมาท ที่ไม่ระวังบาปที่เกิดขึ้นที่จิตใจของเขา ด้วยการไม่ระวังนี้เอง ที่ทำให้เขาทำบุญได้บาปไปพร้อมกัน ด้วยความไม่รู้ บุญที่ทำจึงไม่สะอาดหมดจรด ไม่ใช่บุญในทางที่เป็นกุศลอย่างแท้จริง

    แม้ตายไปได้เกิดเป็นเทวดา ก็จะไปรวมกลุ่มกับเทวดาพวกที่มีทิฏฐิเดียวกัน เป็นกลุ่มของมาร และ มีพญามารเป็นหัวหน้า เพราะมีทิฏฐิอย่างเดียวกัน

    คิดว่า สิ่งที่ตนทำหรือ คิด นั้นดีกว่าคนอื่น มักมีนิสัยโกรธแค้นคนอื่นที่คิดไม่เหมือนตนเอง อิจฉาริษยา ขาดเมตตาแบบอัปปมัญญา คือ ขาดความเมตตาแบบไม่มีประมาณ มีเมตตาเฉพาะกับคนหรือสัตว์ที่ตนชอบ พวกพ้องตน หรือเฉพาะกลุ่มของตน ที่ตนรักใคร่เท่านั้นไม่ได้ให้ความเมตตากับทุกคนแม้ศัตรู นี่คือ แตกต่างของพระ กับ มาร พระจะเมตตากับทุกคนได้ แต่มารจะให้ได้ รักได้ แต่พรรคพวกที่ตนรักใคร่เท่านั้น

    หนักๆ เข้า เทวดาที่มีทิฏฐิที่ผิดกลุ่มนี้ ก็จะคิดว่า ความเห็นของตนดีกว่า ตำหนิแม้คำสอนของพระศาสดา ซึ่งมารจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองคิดผิด มารจะเชื่อมั่นว่าตัวเองดี และ วิเศษ บริสุทธิ์ เช่นนั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ นี่คือ อำนาจแห่งมิจฉาทิฏฐิ นั่นเอง


    ต่อมา เมื่อมารได้แก้ไขความคิดเห็นผิด เป็นสัมมาทิฏฐิ ได้แล้ว มาร หรือ พญามาร ก็ จะได้เป็นพระได้ และเป็นได้ถึงกับเป็นพระพุทธเจ้า ทีเดียว เพราะมาร เขาได้ทำบุญกุศลมามากแล้วเช่นกัน เพียงแต่มีความคิดเห็นบางอย่างที่ผิด เท่านั้น

    แลเมื่อเขาได้ คัดเอา ของผิด ของเสีย คือ มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ที่ปนเปื้อนอยู่กับบุญที่เขาทำไว้ออกไป เหลือแต่บุญกุศล ด้วยการเพียรตั้งใจในการเอาบาปอกุศลออกจากจิตใจได้มากขึ้นๆ เขาก็จะเป็นเทวดาที่ดี มนุษย์ที่ดี เป็นพระที่ดีได้ นั่นเอง

    _______________________________________________


    ที่มาจากเว็บลานธรรมเสวนา

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2014
  6. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..เรื่องของพระยามาราธิราช หรือพญามาร...

    สำหรับเรื่องราวของพญามารนี้ ดิฉันเคยเรียบเรียงไว้ในเว็บวัชรธาตุ และภายหลังได้นำมาลงในเว็บพลังจิต เมื่อหลายปีมาแล้ว

    ***********************

    พระยามาราธิราช หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “พญามาร” เป็นเทวดาฝ่ายมิจฉาทิฐิ หรือฝ่ายมารอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๖ ชื่อว่า “ปรนิมมิตวสวัตตี”

    สำหรับสวรรค์ชั้นนี้ แบ่งออก ทั้ง ๒ ฝ่ายนี้ก็คือ ฝ่าย “เทพ”กับฝ่าย “มาร” มีเขตแดนกั้นระหว่างกลาง ไม่มีการไปมาหาสู่กัน ต่างฝ่ายต่างอยู่ ไม่บุกรุกล่วงล้ำดินแดนกัน

    สำหรับฝ่ายเทพ เทวดา มีเทวาธิราชผู้ยิ่งใหญ่ ปกครองดูแลความเรียบร้อยและร่มเย็นเป็นสุข คือ ท้าวปรนิมิตเทวราช

    ส่วนฝ่ายมาร ก็มีผู้ปกครอง คือ ท้าวปรนิมตรสวัตตีมาราธิราช มีกายขาวคล้ายก้อนเมฆ ส่วนพญามารระดับเสนาฯนั้น จะมีผิวกายสีเทาหม่น ทรงถึงสีดำ ทรงเครื่องคล้ายกับเทวดาทุกประการ แต่ไม่มีรัศมีกายสว่างไสวเหมือนเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ส่วนกายที่มีลักษณะไม่ใส่เสื้อคล้ายกุมภัณฑ์จะเป็นกายของมารผู้เป็นบริวาร

    ในพระไตรปิฎกมีการกล่าวเกี่ยวกับพญามารไว้หลายตอน การตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ หรือการบรรลุธรรมของพระสาวกทั้งหลาย เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วมารก็ยังมาเกี่ยวข้องอีกหลายคราวจนถึงมาทูลอาราธนาให้ปรินิพพาน

    แม้ในปัจจุบันพระยามาราธิราช หรือพญามาร เป็นผู้มีสัมมาทิฐิแล้ว ยังมีระดับรอง ๆ ลงมายังมีมิจฉาทิฐิ คอยขวางการปฏิบัติธรรม หรือบางท่านจะเรียกว่า บททดสอบของนักปฏิบัติไม่ผิดนัก


    วันนี้จะขอเล่าเรื่องอดีตชาติของพระยามาราธิราชในสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าให้เป็นธรรมทานกัน ดังนี้ค่ะ
     
  7. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..อดีตชาติของพระยามาราธิราช..

    เมื่อครั้งพระกัสสปพระพุทธเจ้า พระยามาราธิราช เกิดเป็นมนุษย์ในชาตินั้น ชื่อว่า โพธิอำมาตย์ เป็นอัครเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช เป็นที่ใกล้ชิดและไว้วางพระทัยมาก พระราชาองค์นี้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก

    ครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงเข้า นิโรธสมาบัติ ทรงเสวย วิมุตติสุข อยู่ครบ ๗ วัน ภายใต้ต้นไทยใหญ่และใกล้ที่พระองค์จะออกจากนิโรธสมาบัตินั้นแล้ว พระองค์จึงทรงพระดำริว่า

    ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการตัดหน้าเป็นอันขาด ในขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ หากผู้ใดได้ถวายทานก็จะบังเกิดเป็นผลานิสงส์ ผลบุญมากมายมหาศาล ล้ำเลิศยิ่งกว่าอื่นใด บัดนี้เราจะเป็นผู้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าก่อนใคร และมิให้ใครเกี่ยวข้องด้วย

    ครั้นแล้วพระราชา จึงทรงประกาศให้ชาวเมืองได้รู้ทั่ว ๆ กันว่า..

    "ถ้าหากผู้ใดไปถวายทานก่อนพระองค์แล้ว ผู้นั้นจะต้องถูกลงอาญาในสถานหนัก"
    ประกาศแล้วก็ให้ตั้งกองรักษาการณ์ในที่ใกล้ต้นไทรใหญ่นั้น ฝ่ายโพธิอำมาตย์เสนาบดี ถึงแม้จะทราบการประกาศของพระราชาก็ตามแต่ ก็ยังมีความพยายามอย่างแรงกล้า ด้วยศรัทธาอันเที่ยงแท้ที่จะถวายทานแด่พระพุทธเจ้า โดยไม่เกรงกลัวพระอาญาและไม่กลัวว่าจะเป็นนักโทษประหาร

    ในวันรุ่งขึ้นเขาและภรรยาก็ถืออาหารที่เป็นไทยทานมาคนละห่อ ตรงเข้าไปยังบริเวณต้นไทรใหญ่ หมายที่จะเข้าไปถวายทานให้จงได้ พวกทหารรักษาการณ์เห็นดังนั้นก็รีบออกมาห้ามปรามทันที โดยมิยอมให้เสนาบดีได้เข้าไปในที่นั้นและด้วยใจเป็นห่วงเกรงว่าจะต้องถูกลงอาญา

    ฝ่ายเสนาบดีคิดอยู่แต่ในใจว่า ถ้าหากว่าเราจะเสแสร้งแกล้งบอกว่า "พระราชาใช้ให้มาอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จเข้าไปในวัง เราก็จะไม่ถูกทหารเหล่านี้ขัดขวางอีกต่อไป แต่ข้อนั้นมันมิเป็นการบังควร ที่เราจะต้องกล่าวเท็จเช่นนั้น เพราะว่าเราทั้งสองตั้งใจแน่วแล้วว่าจะต้องถวายทานแด่พระพุทธเจ้าให้จงได้ ดังนั้นเราก็ควรจะกล่าวแต่ความเป็นจริงถึงแม้จะตายก็เอาเถิด "

    เสนาบดีจึงบอกแก่เหล่าเสนาทหารนั้นว่าไม่ต้องห้ามเราหรอก เราจะเข้าไปถวายทานแด่พระพุทธองค์เพราะตั้งใจมาแล้ว ก็ต้องถวายให้จงได้ถึงแม้ว่าท่านจะห้ามอย่างไรก็ไม่ทำให้เราเปลี่ยนความตั้งใจนั้นได้ แม้ว่าจะต้องตายก็ตาม

    ถึงแม้ว่าเหล่าทหารจะห้ามปรามสักเท่าใด เสนาบดีก็ไม่เปลี่ยนใจ ยังรักษาสัจจะที่จะต้องถวายทานแด่พระพุทธองค์ให้ได้โดยไม่กลัวอาญาใดๆทั้งสิ้น

    เหล่าเสนาต้องกรูกันเข้ามาจับตัวท่านเสนาบดี มัดมือไพล่หลังนำไปถวายพระราชาทันที เมื่อพระราชาทรงทราบว่าผู้รู้ทำเสียเอง ก็ทรงพระพิโรธยิ่ง ทรงรับสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะในทันที

    ฝ่ายพระพุทธเจ้าทรงทราบเหตุการณ์ด้วยญาณทิพย์ของพระองค์ว่า โพธิเสนาบดีนั้นมีศรัทธาอย่างมากล้นต่อพระองค์ จึงทรงพระกรุณา เนรมิตเป็นพระพุทธนิมิตให้สถิตอยู่แทนพระองค์ที่ในพระวิหาร

    ส่วนพระองค์ก็เสด็จไปในบานประหารปรากฏพระวรกายให้เห็น แต่เพียงส่วนตัวของเสนาบดีเท่านั้น

    “ดูก่อนเสนาบดีท่านทำถูกต้องแล้ว จงให้มีศรัทธามั่นด้วยเถิด อย่าได้อาลัยในชีวิตของท่านเลย เพราะเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ย่อมจะมีการแตกดับสลายตัวลงไปได้ทุกขณะ แล้วไทยทานของท่านที่ตั้งใจนำมาจงถวายให้กับเราเถิด”


    เสนาบดี ยิ่งได้สดับในถ้อยวาจาของพระพุทธเจ้า ที่ได้ทรงดำรัสมานั้น ก็ยิ่งมีความปลาบปลื้มปิติ เป็นล้นพ้น (เขียนถึงตอนนี้น้ำตาจะไหล ปิติทุกที)

    จนกระทั่งจับเข้าไปถึงขั้วหัวใจด้วยความซาบซึ้ง จึงได้รีบนำเอาห่ออาหารของตนและของภรรยา น้อมเกล้าทูลถวายพระพุทธองค์ด้วยใจศรัทธาอย่างสุดซึ้ง และแล้วก็กล่าวคำปรารถนาต่อพระพุทธองค์ไว้ว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้ที่เป็นที่พึ่งของสรรพ! ชีวิตของข้าพเจ้าได้สละแล้วด้วยอำนาจแห่งผลบุญทานในครั้งนี้ จงกลายเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคตข้างหน้าด้วยเถิด”


    พระกัสสปพุทธเจ้า ทรงลูบศีรษะเสนาบดีด้วยความเมตตา และทรงพยากรณ์ในโชคชะตาและประสาทพรให้กับเสนาบดีอย่างดียิ่ง

    “ท่านปรารถนาในสิ่งใดเล่า ขอให้สิ่งนั้นจงพลันสำเร็จเถิด สิ่งที่ท่านปรารถนานั้น ก็จะได้รับผลโดยสมบูรณ์ สำเร็จได้โดยการอุบัติขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างเรา ในอนาคตเบื้องหน้าโน้น สมกับความตั้งใจที่มีจิตมุ่งมั่นในทุกประการ”

    (สาธุ สาธุ สาธุ)

    จากนั้นเสนาบดีก็ถูกเพชฌฆาตประหารชีวิต ตามคำบัญชาของพระราชา เมื่อวิญญาณออกจากร่าง พลันก็ได้ไปบังเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตชั่วระยะหนึ่ง ก็จุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอยู่อย่างนี้อีกหลายชาติ และมีจิตมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีทุกชาติไป

    กระทั่งในชาติที่มาเป็นพญามารในสวรรค์ชั้นที่ ๖ นี้ก็เนื่องด้วยจากอำนาจแห่งบุญและกรรม ที่ได้ทำไว้นั้นมีก้ำกึ่งกันอยู่ ด้วยการที่มีจิตริษยาในศาสนาของพระพุทธสมณโคดมพุทธเจ้าที่ได้เสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตน(เกิดจากอวิชชา และมิจฉาทิฐิ)

    ทั้ง ๆ ที่ตนได้กระทำกิจบำเพ็ญตนพากเพียรเสริมสร้างบารมีมาก่อน และก็มากมายเสียด้วย แต่ทำไมเล่าพระโคดมของเราจึงได้ตัดหน้าลงมาก่อน จึงมีจิตริษยาเฝ้าติดตามเป็นมารประจญด้วยอาการและกิริยาต่าง ๆ

    แต่มิได้เป็นบาปหนัก เพราะไม่ได้ล่วงเกินแต่ประการใด ได้แต่เกะกะระราน ขัดขวางความสะดวกในด้านต่าง ๆ แต่ละวิถีทางอยู่อย่างนั้นตลอดมา จนกระทั่งหลังจากที่พระพุทธองค์ได้เสด็จปรินิพพาน


    _____________________________________
     
  8. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..พบท่านพระยามาราธิราช..

    ความจริงมีต่อในสมัยหลังพระพุทธปรินิพพาน ๒๐๐ ปี ของดอันเนื่องจากพระองค์ก็เป็นพระบรมโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง ส่วนจะท่านจะลาพุทธภูมิหรือไม่ ไม่ขอนำเสนอในที่นี้ค่ะ

    จะขอเล่าถึงเมื่อครั้งที่ดิฉันได้เรียบเรียงเรื่องอดีตชาติของพระยามาราธิราช ในระหว่างเรียบเรียง จากความรู้ที่ได้ทั้งหนังสือ และในอินเตอร์เน็ต เกิดความอยากรู้ว่า เรื่องนี้เป็นความจริงประการใด หรือพระอรรถคาถาจารย์กล่าวไว้เท่านั้น

    ช่วงนั้นเพิ่งฝึกมโนมยิทธิใหม่ ๆ เมื่อขึ้นไปกราบสมเด็จองค์ปัจจุบัน ยังไม่ทันได้ไต่ถามพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ..

    "เธอจงตามเรามา"

    จากนั้นได้ไปปรากฏยังวิมานหลังหนึ่ง พบเทวบุตรองค์หนึ่งเข้าสมาบัติอยู่

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสว่า..."นี่คือพระยามาราธิราช"

    เมื่อพบพระองค์ ดิฉันได้ก้มกราบขอขมาว่า ..

    "กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านพระยามาราธิราช แต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอพระองค์ได้โปรดอโหสิกรรมด้วยเถิดเจ้าข้าฯ"

    มีเสียงตอบกลับมาว่า "ฉันอโหสิให้ทุกประการ"

    ระหว่างที่สนทนานั้น ความรู้สึกอึดอัดใจ จิตไม่โปร่งใส เหมือนเวลาไปกราบท้าวสักกเทวราช หรือแดนอื่น ๆ แต่เมื่อมาแล้วจึงได้กราบเรียนถามพระองค์ว่า...


    "ข้าฯแต่พระยามาราธิราช เรื่องที่ข้าฯได้เขียนเป็นธรรมทานนี้ จริงเท็จประการใดเจ้าข้าฯ"

    พระยามาราธิราชได้ตอบว่า "เป็นจริง ตามนั้นทุกประการ"

    จากนั้นจึงได้กราบลาท่านลงจากแดนนั้นทันที ความรู้สึกอึดอัดก็คลายหายไป

    โดยปกติหากไม่เกิดจากการสงเคราะห์ของสมเด็จองค์ปัจจุบันในครั้งนั้น ดิฉันก็ไม่สามารถแยกออกระหว่างเทพบุตรบนสวรรค์ชั้น ๖ หรือมาร เนื่องจากความงามไม่ต่างกัน ต่างกันที่รัศมีกาย และจิตสัมผัสเท่านั้น


    _____________________________________

    สำหรับนักปฏิบัตินั้น เมื่อปฏิบัติในขั้นที่ละเอียด จะโดนทดสอบจากเทวบุตรมารในรูปแบบต่าง ๆ กัน การปฏิบัติโดยไม่มีครูบาอาจารย์ จึงเป็นสิ่งที่เสี่ยงที่นักปฏิบัติจะหลงทางได้ง่าย อันเนื่องจากการดลบันดาลของเทวบุตรมารเหล่านั้น

    บางท่านได้เคยเห็นเทวบุตรมาร หรือเทวดาฝ่ายมิจฉาทิฐิ ถ้าไม่ได้เจโตปริยญาณขั้นละเอียด ไม่สามารถแยกออกได้ว่า ท่านใดเป็นเทวดาสัมมาทิฐิ หรือท่านใดเป็นเทวบุตรมาร

    เพียงเห็นภาพ หรือได้ยินเสียงนั้น ยังไม่เพียงพอ จิตสัมผัสจึงจะทราบได้ กระแสของเทวดาสัมมาทิฐิ โดยเฉพาะเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตีนั้น นอกจากรัศมีกายสว่างไสวแล้ว ยังมีกระแสสัมผัส เบาสบาย ไม่อึดอัด


    แต่เมื่อใดที่รับรู้กระแสสัมผัสที่อึดอัด ไม่โปร่ง คล้ายอยู่ในที่แคบ ขอให้พึงรับทราบว่า ท่านกำลังอยู่ต่อหน้าเทวบุตรมาร แม้ภาพตรงหน้าจะเห็นเป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม

    เทวบุตรมาร สามารถแปลงให้เห็นเป็นอะไรก็ได้ แม้แต่พระพุทธองค์ แต่ถ้าได้ทิพยจักขุญาณ สังเกต พระเนตรจะแดง นั่นก็เป็นท่านเหล่านั้นแปลงมา


    หลังจากที่ได้พบพระยามาราธิราชแล้ว ดิฉันได้พบกับเทวบุตรมารหลายท่าน ลักษณะกายแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระดับชั้นนั้น ๆ ตั้งแต่ลักษณะเครื่องทรงคล้ายเทวดาทุกอย่าง มีลักษณะงดงามมาก สังวาลย์เครื่องประดับสีทอง แต่กายดำเป็นนิล

    บางท่านลักษณะกายสีแดง ตาแดง ทรงเครื่องเป็นพญายักษ์ ตลอดถึงชั้นบริวาร หลังจากโดนกลั่นแกล้ง ขัดขวางในการสร้างบุญใหญ่แต่ละครั้ง จนรู้สึกเหนื่อยล้า


    วันหนึ่งท่านก็มาทำหน้าที่ทดสอบเหมือนเดิม เราเองก็รู้ว่า มามุขนี้อีกแล้ว จึงหันหลังกลับชนฝาใจดีสู้ กล่าวว่า..

    "ท่าน ๆ ออกมาคุยกันอย่างลูกผู้ชาย ปรากฏกายออกมาเลย เรามาสงบศึกชั่วคราวดีมั๊ย "

    เดิมทีท่านไม่ปรากฏกาย แต่ทราบว่า อยู่บริเวณนั้น จึงกล่าวต่อไปว่า.." เราอยากถามท่านว่า ท่านมีอายุนานเท่าใดแล้ว "

    ได้ยินเสียงตอบมาว่า " ๖๐ กัปป"เลยถามท่านต่อไปว่า "ทำหน้าที่นี้มา ๖๐ กัปแล้ว ท่านไม่เบื่อหรืองัย"

    คราวนี้ท่านปรากฏกายออกมา ตัวดำ ผมหยิก คล้ายยักษ์ มีเครื่องทรง แสดงว่า ไม่ใช่เป็นบริวารทั่วไป

    ท่านก็บอกว่า "ไม่เบื่อหรอก อีกอย่างก็เป็นหน้าที่ คอยขวางการทำดีของมนุษย์อยู่แล้ว"

    จึงกล่าวต่อไปว่า "แล้วมีมั๊ยมนุษย์ที่ท่านขวางความดีแล้ว ท่านเหล่านั้นเข้าพระนิพพานไป ไม่อยู่ให้ท่านขวางอีก"

    ท่านนิ่งสักพักก็กล่าวว่า "มีมากเลย นับแสนโกฏิ"

    ถามต่อว่า "แล้วท่านรู้สึกอย่างไร" ท่านก็ตอบว่า "ก็รู้สึกเหงา ๆ ไม่สนุก บางคนเคยเป็นเพื่อน เขาก็เข้าพระนิพพานไปแล้ว"

    จึงกล่าวต่อไปว่า "แล้วท่านจะทำไป เพื่ออะไรล่ะ ในเมื่อสิ่งที่เพียรทำไปแล้ว ไม่ใช่จะสำเร็จทุกครั้ง แม้ท่าน และบริวารจะพยายามขวาง ก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์ส่วนหนึ่งท้อแท้ หรือหมดกำลังใจในการทำดี

    เราก็เช่นกัน ต่อให้ท่านจะขวางอย่างไร เราก็จะสร้างความดีอย่างนี้ตลอดไป

    กำลังใจของมนุษย์ ผู้มีกายหยาบ เป็นสิ่งที่พวกท่านหยั่งถึงยาก มนุษย์บางประเภท แม้ตัวตายก็ไม่หมดกำลังใจในการทำดี ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านต่อ ส่วนเราก็จะขอทำดีต่อ "


    มาถึงตอนนี้ สังเกตท่านเทวบุตรมาร จิตที่ส่งมามืดดำแต่แรก เริ่มมีแสงสว่างขึ้นเล็กน้อย จึงกล่าวต่อไปว่า..

    "ท่านเจ้าคะ ท่านเองก็ไม่ทำด้วยความสมัครใจ เพียงแต่ทำหน้าที่ตามนายสั่ง ลองถามตัวเองว่า ทำไปแล้วได้อะไร ท่านได้เห็นการเกิดดับของจักรวาลนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แล้วรู้สึกอย่างไร ท่านคงทราบดี

    การที่ท่านขวางการทำดีของผู้อื่นนั้น หากหมดบุญจากการเป็นเทวดาเมื่อไร ท่านคงต้องดิ่งสู่นรกทันที คราวนี้จะแก้ไขอะไรไม่ได้ นอกจากรับโทษทัณฑ์ เราคงไม่ร้องขออะไรจากท่าน เพียงขอให้ท่านทบทวนด้วยตัวท่านเอง ว่าควรจะทำหน้าที่นี้ต่อ หรือจะหยุด"


    จากนั้นท่านผู้นั้นไม่ได้กล่าวอะไร หายตัวไปจากที่นั้นทันที ความรู้สึกอึดอัดใจ กลับโปร่งโล่งสบายทันที______________________________________

    ในการสร้างบุญใด ๆ ก็ตาม เราต้องสำรวมกาย วาจา และใจของเราให้แจ่มใส อยู่เสมอ อย่าเป็นทาสของเทวบุตรมาร ทำให้จิตใจเราขุ่นมัว ทำจิตที่พร้อมจะยินดีในการกระทำดีของผู้อื่น บุญที่ได้จะไม่ตกหล่น เป็นบุญที่บริสุทธิ์

    เมื่ออุทิศบุญนี้แก่เทวดารักษาตัว เทวดาที่คอยปกป้องดูแลเรา เทวดาที่เป็นพระภูมิเจ้าที่ รวมทั้งท่านผู้เป็นบิดามารดา ครูบาอาจารย์เราแต่อดีต บุญนั้นจะเป็นบุญที่บริสุทธิ์ ควรแก่ท่านเหล่านั้นโมทนา

    การสร้างบุญทุกครั้ง มิใช่ว่า เทวดาท่านจะอนุโมทนาบุญกับเราทุกครั้ง เทวดาบางองค์ท่านมีบุญมากกว่าเรา เลือกที่จะอนุโมทนาบุญอันบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียว

    เมื่อเทวดาโมทนาบุญของเราแล้ว ท่านจะอำนวยผลแก่เราเมื่อเราขอพร ก็จะสำเร็จได้โดยง่าย

    ขอให้ทุกท่านรักษาใจให้แจ่มใสอยู่เสมอค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2014
  9. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    ก๊อกแตก ต่อมปิติร่วงกราวววววววว ขออนุโมทนาบุญกับพี่น้ำใสค่ะ
    ...ได้เวลาสำรวจจิตมารในตน T__T
     
  10. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    อิอิ ขออนุโมทนาในปัญญาญาณของน้อง diya ค่ะ

    ขอให้จิตร่าเริงแจ่มใส และเจริญในธรรมค่ะ

    Numsai
     
  11. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    pity_pigpity_pigpity_pig
    พูดอะไรไม่ออก มันโดนใจค่ะ ขอสาธุกับธรรมทานนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2014
  12. suwat.su

    suwat.su เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    7,643
    ค่าพลัง:
    +55,534
    สาธุ 2014-03-25 20.15.46.png
     
  13. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,341
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,286
    อนุโมทนาบุญในธรรมทานของพี่น้ำใสด้วยนะครับ

    เรื่องการตั้งใจในการทำบุญเพื่อให้บุญทานนั้นบริสุทธิ์จะจดจำได้นะครับ

    เมื่อก่อนก็เคยเป็นนะครับ อยากทำบุญแล้วมีชื่อติดบอร์ด หลังๆ ไม่คิดอย่างนั้นแล้วครับ
    เพราะใจมันไม่เป็นสุข มันรุ่มร้อนไปด้วยกิเลส อีกอย่างยังต้องเดินไปอีกไกล ก็เลยค่อยๆทำบุญตามปัจจัยที่มีนะครับ
    เพียรไป ทำไป สักวันก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง

    แต่นี่ขนาดพี่น้ำใสยังเจอมารแกล้ง ตัวผมเองก็ชักกลัวตัวเองจะไปไม่รอดเหมือนกันนะครับ
    แต่ไม่เป็นไร อะไรมันจะเกิด ก็ต้องเกิด ช่างมันเถอะ อิอิ
     
  14. ROJKAJORN

    ROJKAJORN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +5,350
    สาธุในธรรมทานนี้ด้วยครับจะหมั่นพิจารณาถึงมารที่ซ่อนอยู่ในใจอยู่เนืองๆครับ :)
     
  15. Giant 1

    Giant 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    1,014
    ค่าพลัง:
    +9,211
    ขออนุโมทนาบุญในธรรมทานของคุณธรรมวิวัฒน์ และคุณน้ำใส ด้วยครับ อ่านแล้วน้ำตาจะร่วงเหมือนกัน ขอให้ประสบความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรมและเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ สาธุ

    ขอร่วมบุญ การทำบุญแสงสว่าง อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ กับกองบุญสมเด็จพระพุทธวิปัสสีโภคมหาบพิตร โอนเงินเข้าบัญชี ธ.ไทยพาณิชย์ เลขที่ ๐๘๐-๒๕๒๖๔๗-๒ วันนี้ เวลา 8.52.55 น. จำนวน 135 บาท

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  16. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ขออนุโมทนาบุญกับน้องธรรมวิวัฒน์ด้วยค่ะ ความจริงผู้ที่สร้างบารมี หรือแม้แต่ท่านผู้ปรารถนาพระนิพพานในชาตินี้ล้วนแล้ว แต่ต้องพบอุปสรรคต่าง ๆ อันเกิดจากเทวบุตรมารคอยขวางทั้งสิ้น เพียงแต่จะทราบหรือไม่ทราบเท่านั้นเองค่ะ ดังคำที่ครูบาอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า..

    "มารบ่มี บารมีบ่เกิด"

    เพียงแต่วิธีการแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละท่าน จะมีวิธีแก้ไขต่างกันออกไปค่ะ ขอเพียงเรามีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง ควบคุมอารมณ์ใจไม่ปล่อยให้กิเลส หรือความชั่วในใจงอกงามขึ้น และหมั่นสำรวจจิตเราเสมอ ๆ สุดท้ายเทวบุตรมารเหล่านั้น ก็จะเกิดความเบื่อหน่ายไม่มายุ่งกับเราอีก

    ขออนุโมทนาบุญในทุก ๆ บุญของน้องด้วยค่ะ

    Numsai
     
  17. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..มาร ๕ ประการ..

    คำว่า มาร ในความหมายของพระพุทธศาสนา มิได้หมายถึง มาร หรือเทวบุตรมาร เพียงส่วนเดียว แต่หมายถึงมารทั้ง ๕ ประการ ได้แก่

    ๑. ขันธมาร คือขันธ์ ๕ ร่างกายไม่อำนวยให้ทำความดี เช่น เจ็บป่วย ทุพพลภาพทำให้หมดโอกาสดี ๆ ในชีวิต

    ๒. อภิสังขารมาร คือบุญบาป ความชั่วทำให้ขัดขวางมิให้บรรลุคุณธรรม และบางทีบุญก็ขัดขวางเช่นเดียวกัน เพราะเป็นเหตุให้เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ

    ผู้ที่ทำบุญไปเกิดในภพภูมิที่ดีเช่นสวรรค์ ก็หลงมัวเมาไม่รู้สร่าง อย่างนี้แหละที่ท่านว่าบุญก็เป็นมารมิให้บรรลุธรรม

    ๓. กิเลสมาร คือ กิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นมารเพราะขัดขวางมิให้บุคคลบรรลุผลสำเร็จดีงาม

    ๔. มัจจุมาร คือความตาย ความตายทำลายทุกสิ่งในชีวิต บางทีกำลังก้าวหน้าใน ชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม ก็มาด่วนตายเสียก่อน ความตายจึงตัดโอกาสดี ๆ ในชีวิต

    ๕. เทวปุตตมาร คือเทวดาที่เกเรคอยขัดขวางมิให้คนทำดี หมายเอาเทวบุตรฝ่ายอันธพาลทั้งหลายอย่างสูง


    ในที่นี้จะขอกล่าวถึงกิเลสมาร และเทวบุตร ซึ่งมารทั้ง ๒ จะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกัน

    กิเลสมารทั้ง ๓ คือ ความโลภ(ความรัก) ความโกรธ และความหลง หากเรายังเพาะเชื้อกิเลสทั้ง ๓ อย่างอยู่ในใจ ไม่หมั่นชำระจิตให้แจ่มใส โดยการทำทาน รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ และเจริญพระกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง

    กิเลส ๓ กองจะเป็นสิ่งที่เทวบุตรมารใช้เป็นเครื่องมือในการสอดละเอียด(แทรกในจิต ดลใจให้คิด พูด และทำในสิ่งที่ผิด)

    แม้เราจะสร้างทานบารมีบุญมากเพียงใด สร้างพระพุทธรูปใหญ่โต สร้างโบสถ์ วิหารมากมายเพียงใด

    หากไม่หมั่นชำระจิตใจให้ใสสะอาด เพราะใจอันเป็นที่ตั้งแห่งความบริสุทธิ์ในการรองรับธรรมะ หรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือ

    ๑.ละเว้นความชั่ว

    ๒.ทำความดี

    ๓.ทำใจให้บริสุทธิ์


    ผู้ที่สร้างทานบารมีที่มีจิตใจขุ่นมัวก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำบุญ หรือสร้างบุญใหญ่นั้น

    ผลบุญที่สร้างนั้นส่งผลให้เสวยสุขในแดนสวรรค์ มีทิพยสมบัติ ทิพยวิมานงดงาม แต่กลับไปเกิดในแดนมิจฉาทิฐิแทน กลายเป็นผู้คอยขวางความดีของผู้ปฏิบัติร่ำไป จนกว่ามีผู้ชี้ให้ผู้นั้นจะมีสัมมาทิฐิ จึงจะพ้นจากวิบากกรรมนั้นได้

    แต่กว่าจะรู้ตัว ก็เสียเวลาในการสร้างบารมีนาน ดังตัวอย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว



    ขอให้ทุกท่านมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หมั่นพิจารณาความพร่องในจิตของตน ชำระจิตให้แจ่มใสอยู่เสมอ จนกว่าจะสำเร็จตามความปรารถนา หรือเข้าพระนิพพานในชาติปัจจุบันตามความปรารถนาแต่ละท่าน สาธุ

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai



    ________________________________
    ขอขอบคุณ : ข้อความส่วนหนึ่งมาจาก

    มาร ๕ ประเภท - GotoKnow


    http://www.gotoknow.org/posts/215373
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2014
  18. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..เรื่องของญาณ ๘...

    วันก่อนน้อง Miss Brown ได้หยิบยกเรื่องญาณ ๘ มากล่าวให้ท่านทั้งหลายได้อ่านเป็นธรรมทานแล้ว โดย ๑ ในญาณ ๘ ที่นำเสนอแก่ท่านทั้งหลาย คือ

    ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นการย้อนระลึกชาติ และอตีตังสญาณ รู้เรื่องราวในอดีต (หน้า ๓๕๘-๓๕๙ )


    การฝึกมโนมยิทธินั้น จะทำการฝึกญาณทั้ง ๘ หลังจากผ่านหลักสูตรขั้นต้นคือ ฝึกมโนมยิทธิ และฝึกท่องเที่ยว คือไปท่องตามภพภูมิต่าง ๆ นรก สวรรค์ พรหมโลก หรือพระนิพพาน จากนั้นครูฝึกจะทำการฝึกญาณทั้ง ๘ ต่อไป

    สำหรับญาณ ๘ อย่างมีดังนี้


    ๑. ทิพจักขุญาณ สามารถเห็นผี เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ นรก เห็นพรหม เห็นนิพพานได้

    ๒. จุตูปปาญาณ คนและสัตว์ที่ตายไปแล้วไปอยู่ที่ไหน คนและสัตว์ที่เราเห็นเขาอยู่ที่นี่ เขามาจากไหน

    ๓. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ สามารถระลึกชาติได้ไม่จำกัด

    ๔. เจโตปริยญาณ สามารถรู้วาระน้ำจิตคนว่า ใครคิดดี คิดชั่ว ใครจิตสะอาด ใครจิตสกปรก มีกิเลสมาก มีกิเลสน้อย อันนี้รู้ได้

    ๕. อตีตังสญาณ รู้เรื่องราวในอดีต ถอยหลังเรื่องราวที่แล้ว ๆ มาได้ไม่จำกัด

    ๖. ปัจจุบันนังสญาณ ปัจจุบันนี้ใครไปก่อหวอดที่ไหน ใครทำอะไรบ้างก็รู้

    ๗. อนาคตตังสญาณ รู้เรื่องราวข้างหน้าว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น ใครจะไปทำอะไรที่ไหน

    ๘. ยถากรรมมุตาญาณ รู้ว่ากรรมของสัตว์ว่า เกิดจากเหตุใด อะไรเป็นเหตุของกรรมนั้น เป็นต้น

    ______________________________

    สำหรับในวันนี้ เราจะมาพูดถึงการฝึกเจโตปริยญาณ การฝึกเจโตปริยญาณนั้น ไม่ได้ฝึกเพื่อเที่ยวไปดูจิตของผู้อื่น แต่เป็นฝึกตรวจดูความสะอาดของจิตตนเอง ซึ่งจะกล่าวในบทต่อไปค่ะ
    _________________________________________


    ขอขอบคุณที่มา :

    http://www.luangporruesi.com/946.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2014
  19. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ญาณ ๘ ว่าด้วยเรื่องเจโตปริยญาณ..

    (นะโม ๓ จบ)

    ขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย สืบ ๆ กันมา มีหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่สด วัดปากน้ำ และพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง เป็นที่สุด ตลอดทั้งครูบาอาจารย์สายทรงอภิญญาที่ไม่ได้เอ่ยนามทุกท่าน

    ขอน้อมถวายบุญทุก ๆ บุญที่ลูกได้กระทำมา ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และเป็นเครื่องบูชาครูบาอาจารย์ ให้ญาณทัสสนะแจ่มใส เป็นไปไม่ข้องขัด มีความรู้แจ้งแทงตลอดในอรรถในธรรมของพระพุทธองค์ เพื่อเป็นธรรมทานแก่สาธุชนรุ่นหลัง เพื่อความแตกฉาน เจริญก้าวหน้าในทางธรรม และทางโลกด้วยเถิด สาธุ

    ***************************************
    ก่อนอื่นขอนำคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง เคยกล่าวไว้ว่า ตอนหนึ่งในเรื่อง เจโตปริยญาณ ดังนี้

    หลวงพ่อ : ความจริงจิตน่ะ มันดวงเดียว เหมือนน้ำใส ๆ ใส่แก้วใช่ไหม.. ถ้าสีแดงใส่เข้าไป ไอ้น้ำนั่นน่ะออกเป็นสีแดง ถ้าสีเขียวใส่ไปน้ำก็เป็นสีเขียว ไอ้นั่นน้ำเปลี่ยนสีไปเพราะใส่สีเข้าไป จริง ๆ แล้ว น้ำมันใส แก้วมันใส และที่เราทำเวลานี้ เราทำเพื่อให้จิตใสตามเดิม ถ้าจิตใสตามเดิมก็ไปนิพพานได้

    เมื่อก่อนนี้มันใสเหมือนกัน แต่มันใสไม่มีประกายพรึก จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม…กระทั่งใสด้วยเป็นประกายพรึกด้วย อย่างดวงจิตคนนี่นะ อะไร….เจโตปริยญาณ ญาณตัวนี้ดูง่าย คนกี่พันคนก็ตามดูแป๊บเดียวจะรู้ทันที”

    ผู้ถาม:- “แค่เห็นแป๊บเดียวหรือครับ”

    หลวงพ่อ:-

    “เป็นหมื่นนะ นึกอยากจะรู้ รู้ใครจิตสีอะไร จิตจริง ๆ เขานับเป็น ๖ สี แต่ย่อแล้วเป็น ๓ สี สีแดงเข้มหรือสีแดงอ่อน ได้ทั้งสองใช่ไหม…สีดำ ดำปี๋หรือดำอ่อน ๆ มัว ๆ…สีขาวจัด หรือขาวมัว ๆ มันไม่เหมือนกัน เอาแค่นี้แค่ ๓ สีพอ

    ถ้าสีแดงเป็นจิตที่มีอารมณ์แจ่มใส ดีใจเพราะได้ของที่ชอบใจน่ะ

    ถ้าจิตสีดำมีทุกข์ จิตสีขาวจิตสบาย

    ถ้าจิตสีใสเป็นจิตของฌาน ๔ ถ้าจิตเป็นประกายพรึกเป็นจิตของพระอรหันต์


    ***********************************************
    ขอขอบคุณ

    http://piman33.exteen.com/page-10

    ************************************************

    LP_Promyan.jpg

    ..ฝึกเจโตปริยญาณ..(จากประสบการณ์ ๑.)..


    ขอย้อนหลังกลับไปเดือนตุลาคม ๒๕๔๙ เริ่มฝึกมโนมยิทธิ ช่วงนั้นยังไปเองไม่ได้ต้องอาศัยฝึกกับครูฝึกที่ซอยสายลมตลอด ช่วงหลังเป็นการฝึกในห้องญาณ ๘ ส่วนใหญ่ สำหรับญาณที่คล่องคือ

    ๑.ทิพจักขุญาณ ๒. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ๓. อตีตังสญาณ

    แต่พอถึงจตูปปาญาณ และยถากรรมมุตาญาณ สอบตกทุกที ขณะนั้นรู้สึกว่า ตนเองจะตามไม่ค่อยทัน ในห้องญาณ ๘ ครูฝึกไม่ได้สอนเรื่องของเจโตปริยญาณ ท่านบอกให้หาหนังสือของหลวงพ่อมาอ่าน แล้วฝึกเองให้ชำนาญ


    ต่อมาเมื่อเริ่มได้มโนมยิทธิเต็มกำลัง(โดยที่ไม่รู้ตัว) เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๐ หลังจากนั้นมีกำลังใจจะฝึกต่อ ก่อนฝึกจะทำการถวายดอกไม้ ๓ สี ธูป ๓ ดอก เทียนหนัก ๑ บาท ๑ เล่ม พร้อมปัจจัยเกิน ๑ สลึงทุกครั้ง ช่วงนั้นจะเปลี่ยนดอกไม้ใหม่ เมื่อดอกไม้แห้ง หรือตามโอกาสเหมาะสม

    ต่อมาทำการสมาทานศีล ขอขมาพระรัตนตรัย และสมาทานพระกรรมฐานทุกครั้ง จากนั้นจึงภาวนา หายใจเข้า "นะมะ" หายใจออก "พะธะ"

    นั่งภาวนาไม่นานหนักก็มีแสงสีขาว คล้ายสปอร์ตไลน์ส่องลงมา ตั้งจิตอธิษฐานว่า..

    "ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ลูกได้ไปปรากฏต่อหน้าพระพักตร์ของสมเด็จองค์ปัจจุบันด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้าฯ "

    อธิษฐานจบก็ปรากฏต่อหน้าสมเด็จองค์ปัจจุบันทันที


    เมื่อไปถึงปรากฏพระพุทธองค์ในพุทธลักษณะกายเนื้อห่มจีวรสีเหลืองทอง ด้านข้างของพระพุทธองค์ มีพระอัครสาวกซ้าย-ขวา พระอสีติมหาสาวก นั่งเรียงแถวกันยาว

    ดิฉันไม่เคยสงสัยว่า ทำไมเราเห็นภาพไม่เหมือนกันเห็นขณะที่ฝึกกับครูฝึกเป็นปางพระนิพพาน เพราะจิตที่รับรู้นั้นมีความโปร่งโล่งสบาย นั่งอยู่ในวิมานแก้วของพระพุทธองค์

    เมื่อไปถึงก็กราบขอขมาพระพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย ถวายบุญให้แก่พระพุทธองค์ และพระสาวก และอนุโมทนาบุญกับทุก ๆ พระองค์ทุก ๆ ท่าน

    จากนั้นก็ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าไปเยี่ยมชมวิมานตัวเอง ครั้งแรกที่เห็นวิมานของตัวเอง ไม่ได้เห็นภายนอก เข้าไปในวิมานเลย เห็นแท่นบรรทม ด้านข้างแท่นบรรทมด้านซ้าย เห็นดอกบัวแก้วสีชมพู ๕ ดอก อยู่ในอ่างแก้ว มีดอกเดียวที่เริ่มบานมาก อีก ๔ ดอก เพิ่งคลี่กลีบดอก

    ในวิมานบนพระนิพพานไม่เห็นผู้ใดอยู่ในวิมานนั้น แต่รู้สึกความหมดภาระทั้งปวง

    ได้ยินเสียงพระพุทธองค์บอกว่า ให้นั่งนอนบนแท่นในวิมาน

    ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรทำตามทุกอย่าง ไม่เคยสงสัยว่า ใช่วิมานของเรามั๊ย หรือวิมานเราใหญ่หรือเล็ก จิตไม่เคยสงสัย

    จากนั้นก็กราบลาพระพุทธองค์ และพระสาวก ลงมา ยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อกราบพระเขี้ยวแก้วในพระจุฬามณี และกราบท้าวสักกเทวราช จากนั้นก็ลากลับ

    ช่วงของการฝึกใหม่ ๆ การพูดคุยในมโนมยิทธินั้น ได้เพียงประโยคสองประโยค ไม่สามารถพูดได้นานกว่านั้น


    จากนั้นดิฉันนึกถึงคำครูฝึกที่บอกให้อ่านหนังสือหลวงพ่อ เพื่อพัฒนาการฝึกของตนเอง พบคำสอนของหลวงพ่อฯ ให้หมั่นทำทุกวัน คือ

    -ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนจะทำอะไรให้นั่งสมาธิแผ่เมตตา แล้วขึ้นไปกราบพระที่พระนิพพาน

    -ก่อนนอน ให้ไปกราบพระที่พระนิพพาน

    -ระหว่างวันให้ฝึกอานาปานสติ เพื่อให้จิตทรงฌาณ


    ดิฉันตั้งใจทำอย่างนั้นเกือบทุกวัน ยกเว้นติดภารกิจ จิตเริ่มทรงตัว คราวนี้เป็นเรื่องแปลกที่เวลาเดินทางไปไหน

    เมื่อถึงสถานที่ที่เคยเกิดในอดีต เช่น ที่ถ้ำเจ้าพระยาพายเรือ จ.อุทัยธานี ที่เคยเกิดในสมัยสมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้า ภาพในอดีตจะปรากฏทันที เห็นภาพเป็นฉาก ๆ ทราบว่า ตนเองชื่ออะไร เป็นลูกของใคร มีฐานะดีหรือยากจน เมืองนี้ชื่ออะไร ปกครองโดยใคร เหตุการณ์ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้น เห็นภาพแบบสุดสาย แต่แปลกที่ไม่เห็นภาพผู้ที่เดินทางไปอัญเชิญพระธาตุร่วมกันครั้งนั้น เกิดร่วมชาติแต่อย่างใด แต่กลับมาพบกัลยาณมิตรที่เกิดร่วมชาติครั้งนั้น คือ คุณจันทรกาล

    หรือเมื่อครั้งอัญเชิญพระธาตุที่ถ้ำโนนสวรรค์ จ.อุทัยธานี ขณะเริ่มนั่งสมาธิได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้นเรื่อย ๆ โดยผู้ที่ไปอัญเชิญด้วยกัน ๔ คนได้ยินเหมือนกัน ต้นเสียงมาจากผนังถ้ำ ต่อมาก็เห็นภาพตนเองเกิดเป็นใคร ใครที่เกี่ยวเนื่องกันในชาตินั้นจะทราบทันที


    หลังจากนั้นดิฉันได้พบท่านผู้ปฏิบัติธรรมในสายวัดท่าซุง ได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ท่านเหล่านั้นฟัง ได้รับคำแนะนำต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องการฝึกกสินน้ำ และการฝึกเจโตปริยญาณ ดิฉันขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านมา ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ

    เรื่องการฝึกกสินน้ำ ของดไว้ก่อน ขอกล่าวเรื่องการฝึกเจโตปริยญาณขณะนั้นพี่ ๆ กำลังฝึกเจโตปริยญาณกัน เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย ครั้งแรกดิฉันไม่สามารถฝึกได้

    ภายหลังจึงได้ศึกษาในหนังสือมโนมยิทธิและประวัติของฉัน โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ วัดท่าซุง จึงได้นำมาอ่าน และศึกษาวิธีการฝึกเจโตปริยญาณ


    (มีต่อ..)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2014
  20. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ฝึกเจโตปริยญาณ..(จากประสบการณ์ ๒.)..

    ขั้นตอนการฝึกเจโตปริยญาณ

    ๑. ตั้งนะโม ๓ จบ จากนั้นสมาทานศีล ขอขมาพระรัตนตรัย และสมาทานพระกรรมฐานทุกครั้งก่อนฝึก

    ๒. ภาวนาหายใจเข้า "นะมะ"หายใจออก "พะธะ"

    ๓. เมื่อจิตสงบพอสมควร จะเห็นแสงสว่างปรากฏตรงหน้า ให้พุ่งตามแสงไป

    หรือถ้าเห็นภาพพระวิสุทธิเทพ ,ภาพพระสงฆ์องค์ใด หรือภาพเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ให้ตั้งจิตขอขมา น้อมถวายบุญ และอนุโมทนาบุญต่อพระพุทธองค์ หรือพระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ หรือเทวดาท่านนั้นก่อน

    ๔. จากนั้นให้อธิษฐานให้กายไปปรากฏต่อหน้าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันบนพระนิพพาน โดยอธิษฐานดังนี้

    “ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ข้าฯ พระพุทธเจ้า ได้ไปปรากฏต่อหน้าพระพักตร์ของสมเด็จองคปัจจุบันด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้าฯ”

    ๕. ต่อมาเราจะเห็นภาพพระ หรือภาพครูบาอาจารย์ หรือภาพเทวดานั้นหายไป ปรากฏอยู่ในสถานที่ใหม่ ถ้าทิพยจักขุญาณแจ่มใส จะเห็นพระพุทธเจ้า และพระอัครสาวกอยู่ต่อหน้า นั่งเรียงแถวกัน

    ๖. เมื่อภาพปรากฏแล้ว ให้ตัดนิวรณ์ความสงสัยต่าง ๆ ออกไป น้อมจิตตั้งใจขอขมา น้อมถวายบุญ และอนุโมทนาบุญเช่นเดิม จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานขอเรียนการฝึกเจโตปริยญาณ โดยตั้งจิตอธิษฐานว่า..

    “ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(หรือขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า) ขอให้ข้าฯพระพุทธเจ้าได้เห็นดวงจิตของข้าฯพระพุทธเจ้าตามสภาพความเป็นจริง ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้าฯ”

    ๗. จากนั้นทรงอารมณ์เบา ๆ สบาย ๆ ไม่นึกหรือคาดการณ์ก่อนล่วงหน้า ในช่วงแรกของการฝึกจะเป็นสีของจิตก่อน สภาพเป็นดวงกลม เห็นสีตามกิเลสของเราในเวลานั้น

    ๘. ในกรณีที่ยังไม่ชัดเจนแจ่มใสอาจจะอธิษฐานซ้ำอีกครั้ง โดยจับภาพพระให้ใสเป็นประกายพรึกเช่นเดียว และตั้งจิตอธิษฐานว่า..

    “ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(หรือขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า) ขอให้ข้าฯพระพุทธเจ้าได้เห็นดวงจิตของข้าฯพระพุทธเจ้าชัดเจนแจ่มใสยิ่งขึ้นด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้าฯ”


    ๙. จากนั้นก็ให้ทำจิตสงบ เบาสบาย อย่าเค้นให้เห็นภาพ หรือตั้งใจมากไป เพราะสภาพจิตเช่นนั้นจะไม่เหมาะกับการฝึกมโนมยิทธิค่ะ

    การฝึกมโนมยิทธิไม่ว่าจะเป็นการฝึกขึ้นตอนใด สำคัญจิตต้องร่าเริงแจ่มใส โปร่งโล่ง สบาย ๆ จึงจะก้าวหน้าในการฝึก


    ______________________________________

    เรื่องของสีของจิต


    ที่นี้ เรามาดูเรื่องสีของจิตนั้น จะปรากฏภาพตามความเป็นจริงในขณะนั้น โดยแยกเป็นหยาบ กลาง ละเอียดดังนี้

    กลุ่มที่ ๑ จิตสีแดง จิตสีแดง โดยรวมเป็นสีของจิตที่มีอารมณ์แจ่มใส

    ๑.๑ สีแดงเลือดนก เป็นจิตที่มีอารมณ์ยินดีด้วยอามิส เช่น ดีใจด้วยได้งานใหม่ ถูกล็อตตารี่ ทำข้อสอบผ่าน เอ็นทรานซ์ติด เป็นจิตที่มีอารมณ์แจ่มใส ดีใจ แต่เป็นไปทางโลกมากกว่า

    ๑.๒ สีแดงคล้ายน้ำล้างเนื้อ เป็นจิตที่เจือด้วยกามราคะ หรือมีอารมณ์รักอยู่ในขณะนั้น

    ๑.๓ สีแดงคล้ำออกดำ เป็นจิตของผู้ทรงฌานขั้นสูง เล่นฤทธิ์ แต่เป็นฌานโลกีย์ แต่ต้องระวัง หากฝึกเพียงฤทธิ์แต่ไม่ได้ควบคู่การฝึกวิปัสสนาญาณให้รู้เห็นตามกฏของกรรม มีการฝืนกรรม

    จิตนี้จะเริ่มเปลี่ยนจากแดงคล้ำ เป็นดำมาก มีแนวโน้มจะออกไปทางมิจฉาทิฐิมากกว่าทางสัมมาทิฐิ


    กลุ่มที่ ๒ จิตสีดำ เป็นจิตของผู้มีกิเลสหนา ปัญญาหยาบ จะมีความหยาบละเอียดต่างกันดังนี้

    ๒.๑ จิตสีดำมากเหมือนยางมะตอย หรือดำเป็นนิล เป็นจิตของผู้มีมิจฉาทิฐิ เต็มไปด้วยกิเลสมาก เป็นผู้ไม่มีศีล

    ๒.๒ จิตสีเทา-ดำ เป็นจิตของผู้ตกอยู่ในความทุกข์ร้อนใจ มีอุปสรรคในชีวิตมาก
    ๒.๓ จิตสีเทาคล้ายควันบุหรี่ หรือจิตสีเทา เป็นจิตของผู้มีความกังวลในใจ ติดขัดปัญหาไม่ว่าทางโลก หรือทางธรรม หากหมั่นนั่งสมาธิ ตัดความกังวลใจ ก็จะเปลี่ยนเป็นใสสว่างได้


    กลุ่มที่ ๓ จิตสีขาว หรือจิตที่ไม่สุข หรือไม่ทุกข์ เป็นจิตกลาง ๆ ส่วนจิตผู้ทรงฌาน จะมีลักษณะเป็นแก้วเคลือบแต่ยังไม่มีแสงสว่างในจิต

    กลุ่มที่ ๔ จิตใสเป็นแก้ว หรือจิตของพระอริยเจ้า แยกออกเป็น ๔ ระดับ

    ๔.๑จิตพระโสดาบัน จิตใสเป็นแก้ว แต่มีแสงสว่างเป็นประกายโดยรอบ ๒๕%

    ๔.๒ จิตพระสกิทาคามี จิตใสเป็นแก้ว มีแสงสว่างเป็นประกายโดยรอบ ๕๐%

    ๔.๓ จิตของพระอนาคามี จิตใสเป็นแก้ว มีแสงสว่างเป็นประกายโดยรอบ ๗๕% หรือจะเป็นเป็นแกนกลางสีเทา ๆ เพียง ๒๕%

    ๔.๔ จิตพระอรหันต์ จะเห็นเป็นประกายพรึกทั้งดวง ไม่มีแกนกลาง สุกสว่างคล้ายดวงดาวบนท้องฟ้า เวลาคืนเดือนมืด



    ขอเว้นบางกรณี จิตของพระมหาโพธิสัตว์ หรือพระบรมโพธิสัตว์ที่ทรงอารมณ์พระอริยเจ้าก็จะเห็นเป็นประกายพรึกเช่นกัน ขึ้นอยู่กับการทรงอารมณ์ในเวลานั้น

    --------------------

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงระดับต้น ๆ ของการฝึกเจโตปริยญาณเท่านั้น ผู้ที่มีความคล่องในเจโตปริยญาณนั้นไม่เพียงแต่เห็นจิตของตนเอง และผู้อื่นได้ แต่จะสามารถมองเห็นกายในกายของตนเอง และผู้อื่นว่า ตายจากชาตินี้แล้วไปเกิดในที่ใด

    หากมีการฝึกอย่างต่อเนื่อง จะรับรู้กระแสจิตของคนอื่นว่า คิดดีหรือไม่ดีกับเรา หากฝึกละเอียดขึ้นไปอีก จะสามารถทราบกระแสความคิดของผู้อื่นได้

    แต่ในการฝึกมโนมยิทธินั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง ท่านได้สอนว่า ...

    "การฝึกเจโตปริยญาณ ไม่ใช่ไปดูจิตผู้อื่นนั้นเป็นความเลว ใช้ไม่ได้ แต่ฝึกไว้เพื่อตรวจสอบความสะอาดของจิตตนเองเป็นสำคัญว่า..เรามีความพร่อง ความเลวตรงไหน ต้องรีบแก้ไขจิตของตนไม่ให้ตกสู่อบายภูมิ"

    ดังนั้น จุดประสงค์ของการฝึกเราจะดูจิตตัวเองเป็นสำคัญ ทุกเช้า นอกจากจะใช้มโนมยิทธิกำหนดจิตไปกราบพระที่พระนิพพานแล้ว เราจะใช้เจโตปริยญาณ ตรวจดูจิตของตนเองให้มีความใสสะอาด

    หากมีดูจิตในจิต เห็นจุดดำ ๆ กลางจิต ให้ขยายจิตดู ขยายจิตให้กว้าง เราจะทราบว่า มีใครแอบซ่อนอยู่ในจิตของเรา จุดดำบางเล็กน้อย อย่าคิดว่าเล็กน้อย

    เมื่อขยายออกจะเห็นกายดำ ๆ แทรกอยู่ภายใน นั่นแหละเทวบุตรมารที่พูดถึงมาแต่ต้นค่ะ

    เมื่อใดที่เราทรงจิตให้สว่างเป็นประกายพรึก หรือเรียกว่า การทรงอารมณ์ของพระอรหันต์ (แม้ยังไม่ได้เป็นก็ตาม) เมื่อนั้นจะไม่มีช่องว่างให้เทวบุตรมารได้เข้าแทรกในใจ ให้เราก่อกรรมใหม่ได้ แม้ว่าการปฏิบัติจะยากยิ่ง แต่ไม่เกินความพยายามของมนุษย์ค่ะ

    ขอให้ทุกท่านรักษาดวงจิตให้แจ่มใสอยู่เสมอ และเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ

    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2014
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...