บทความให้กำลังใจ( รู้ทุกข์ พบธรรม)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,090
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    (ต่อ)
    เพื่อนคนหนึ่งเรียกรถแท็กซี่ไปวัดพระแก้วเพื่อจะไปทำบุญ เช้าวันนั้นรถติดมาก เขาต้องโทรศัพท์บอกพี่สาวหลายครั้งว่าจะไปสาย เขาหงุดหงิดรุ่มร้อน แต่สังเกตเห็นว่าคนขับรถแท็กซี่ไม่มีอาการรุ่มร้อนเลย เปิดวิทยุแถมฮัมเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข เขาจึงถามคนขับรถว่าพี่ไม่หงุดหงิดเหรอ คนขับรถตอบดี เขาตอบว่า “ผมไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไมครับ หงุดหงิดแล้วมันก็ติดเท่าเดิม”

    เขายังพูดต่ออีกว่า แต่ก่อนเขาทำงานบริษัท ตอนหลังเบื่อเลยลาออกมาขับแท็กซี่ มันอิสระดี ที่น่าสนใจคือเขาพูดว่า “ผมรู้ว่าผมเลือกทำอาชีพอะไร แล้วจะต้องเจอกับอะไร ถ้าเลือกขับแท็กซี่ก็ต้องยอมรับได้ว่าต้องเจอรถติด”

    คนขับแท็กซี่ไม่หงุดหงิดเวลารถติดเพราะเขายอมรับมันได้ ส่วนคนที่ทุกข์ใจก็เพราะยอมรับมันไม่ได้ แถมยังคิดปรุงแต่งต่อไปว่าถ้ารถติดหนักกว่านี้จะไปทำงานสาย จะไปส่งลูกไม่ทัน จะตกเครื่องบิน ก็เลยกระสับกระส่าย

    ไม่ว่าเจอทุกข์อะไรก็ตาม ถ้าเรายอมรับไม่ได้ ใจจะเป็นทุกข์มาก เป็นทุกข์ยิ่งกว่าความทุกข์อันแรกที่เจอ

    หญิงผู้หนึ่งพูดไว้ดีว่า “มะเร็งไม่ได้ทำให้ยิ้มคุณหายไป ทุกข์ในใจต่างหากเป็นตัวทำ” ถามว่าทุกข์ใจเพราะอะไร คำตอบคือยอมรับความจริงไม่ได้ สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นสัจธรรมมาก เธอพูดว่า “ในขณะที่เราคิดว่าความจริงมันโหดร้าย แต่การไม่ยอมรับความจริงนั้นโหดร้ายกว่า เพราะมันเปรียบเหมือนคุกที่ขังใจเราไว้”

    ประโยคข้างต้นเธอพูดจากประสบการณ์ของตัวเอง เธอเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะตอนอายุ 30 ปี ขณะที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ หมอเองทีแรกก็ยังไม่เชื่อ เพราะมะเร็งที่เกิดกับเธอนั้นมักเกิดขึ้นผู้สูงอายุหรือสูบบุหรี่จัด แต่เธอไม่เคยสูบบุหรี่ ตอนที่เธอรู้ว่าเป็นมะเร็ง เธอรู้สึกทุกข์มาก ทุกข์กายไม่เท่าไหร่แต่ทุกข์ใจมากเธอเอาแต่คร่ำครวญว่า ว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นมะเร็งชนิดนี้ มันไม่น่าจะเกิดกับฉัน ฉันอายุแค่ 30 ปีเท่านั้น พอเธอไม่ยอมรับความจริงนี้ ก็เครียด จนเหวี่ยงวีนใส่หมอ เหวี่ยงวีนแม้กระทั่งกับคนที่บ้าน
    ภายหลังเธอหันมาสนใจการปฏิบัติธรรม เจริญสติ เมื่อสังเกตจิตใจของตนก็พบว่า สาเหตุของความทุกข์ใจคือการไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับโรคมะเร็ง แต่พอเธอยอมรับมันได้ ใจก็สงบ แม้ว่ามะเร็งจะลามไปเยอะแล้ว
    คนเรามักจะมองข้ามความจริงว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราไม่ร้ายเท่ากับการไม่ยอมรับความทุกข์นั้น สิ่งที่เรากลัวเราเกลียด ไม่ร้ายเท่ากับความกลัวความเกลียดสิ่งนั้น ลองพิจารณาดูให้ดีว่า คนที่เป็นปัญหากับเรา ยังไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับความรู้สึกเกลียดชังหรือโกรธคนนั้น มะเร็งก็เหมือนกัน มันไม่ร้ายเท่ากับความกลัวความเกลียดและการไม่ยอมรับมะเร็ง
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,090
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    (ต่อ)
    เหตุผลที่เราควรยอมรับความทุกข์
    ประการแรก เราควรยอมรับมันก่อนอื่นใด ก็เพราะมันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถปฏิเสธ ผลักไสไปได้
    ประการที่สอง ให้ตระหนักว่า ยิ่งผลักไสก็ยิ่งทุกข์ เป็นการซ้ำเติมตัวเอง อย่างที่คนขับแท็กซี่พูด “ผมไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม หงุดหงิดแล้วรถมันก็ติดเท่าเดิม” ความหงุดหงิดทำให้จิตใจรุ่มร้อน ส่วนปัญหาหรือความทุกข์เดิมก็ไม่ได้หายไปไหน

    มีคนเปรียบเทียบชีวิตไว้ดีว่า เหมือนกับการเล่นไพ่ บางครั้งเราก็จั่วได้ไพ่ที่ไม่ดี แต่ป่วยการที่จะบ่น ตีโพยตีพายว่า ทำไมได้ไพ่ใบนี้ คนที่เล่นไพ่เก่งเขาไม่บ่นโวยวายอย่างนั้น แต่เขาจะพยายามใช้ปัญญาเพื่อเล่นให้ดีที่สุด บางครั้งเขาก็ชนะทั้งที่ไพ่ในมือเขาไม่ดีเลย ถ้าเขาโวยวาย ก็หัวเสีย ปัญญาก็ไม่เกิด สู้ตั้งสติให้ดีว่าจะใช้ไพ่ที่มีในมือให้เกิดประโยชน์อย่างไร

    แม่ครัวซึ่งได้เครื่องเคราไม่ครบ เขาไม่มัวหัวเสียบ่นปอดแปดว่าว่าทำไมเครื่องไม่ครบ เขาจะคิดเพียงว่าทำอย่างไรจะปรุงอาหารให้อร่อยหรือดีที่สุดเท่าที่อุปกรณ์มีอยู่ ไม่มีเนื้อ มีแต่ผักก็ไม่เป็นไร ไม่มีน้ำตาล เอาอย่างอื่นแทนได้ไหม ในขณะที่แม่ครัวที่มีเครื่องครบแต่อาจปรุงอาหารไม่อร่อยก็ได้ มันไม่ได้อยู่ที่ว่าในมือมีอะไร แต่อยู่ที่ว่าเราจะใช้ของที่มีอยู่ในมือให้เกิดประโยชน์แค่ไหน แต่เราไม่สามารถใช้สิ่งที่มีอยู่ในมือให้เกิดประโยชน์ได้ดีที่สุดหากเรายังหัวเสียหงุดหงิด ไม่ยอมรับกับข้อจำกัดที่เกิดขึ้น

    ผู้ป่วยมะเร็งที่เพิ่งกล่าวถึง พอทำใจยอมรับได้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว นอกจากเธอจะยิ้มได้แล้ว เธอยังมีสติปัญญาที่จะเยียวยาตัวเองต่อไป แต่ถ้าหัวเสียหงุดหงิด ก็คิดอะไรไม่ออก แทนที่จะทุกข์จะบรรเทาทุกข์กลายเป็นทุกข์หนักขึ้น ป่วยการที่จะบ่นโวยวายว่า ทำไมต้องเป็นฉัน มันไม่ยุติธรรม ฉันอายุแค่ 30 ปี เอง ไม่เคยสูบบุหรี่ ทำไมฉันต้องเป็นมะเร็งปอด ฉันทำดีตลอดชีวิต ทำไมฉันต้องมาป่วย ทำไมต้องเสียลูกตั้งแต่ยังเล็ก ๆ หรือฉันออกกำลังกายเป็นปีทำไมต้องมาป่วย คิดแบบนี้เป็นการทำร้ายตัวเอง

    ผู้หญิงคนหนึ่ง ดูแลสุขภาพดีมาก กินอาหารชีวจิต อาหารแมคโครไบโอติก อาหารเสริมที่ใครบอกว่าช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจเธอหามากินหมด อาหารเสริมใดที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ รวมทั้งสไปรูไลนา ใบแปะก๊วย โคคิวเท็น แพงแค่ไหนเธอก็หามา ออกกำลังกายเธอก็ทำเป็นประจำ เพราะเชื่อว่าจะทำให้อายุยืน มีสุขภาพดี แล้ววันหนึ่งเธอพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เธอทำใจไม่ได้ โกรธมาก รู้สึกว่าถูกโกหก ถูกหลอกลวง ตลอดเวลาที่ป่วยเธอไม่มีความสุขทั้งกายทั้งใจ กราดเกรี้ยวใส่คนรอบข้าง จนกระทั่งวาระสุดท้ายก็ตายไม่สงบ ในขณะที่คนบางคนเจอโรคร้าย แต่เขารู้จักทำใจ จึงไม่ทุกข์มาก

    หมอคนหนึ่งได้รับมอบหมายให้ไปเยี่ยมผู้ป่วยชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เมื่อเธอดูประวัติแล้วก็รู้สึกหนักใจ ชายคนนี้เป็นมะเร็งที่ใบหน้า แผลใหญ่กินตั้งแต่แก้มไปถึงจมูกและริมฝีปาก หมอรู้ดีว่าคนที่เป็นมะเร็งชนิดนี้จะเจ็บปวดมาก ไม่แค่เฉพาะปวดกาย แต่อาจเจ็บปวดที่ใจด้วย เพราะส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเป็นที่รังเกียจ เนื่องจากแผลที่ใบหน้าเห็นชัด จนอยากเก็บตัวลบลี้หนีหน้าผู้คน และอันที่จริงโรคนี้ก็ไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยออกไปนอกบ้านเพราะถ้าโดนแสงแดดจะเจ็บปวดมาก จำเป็นต้องเก็บตัวในบ้าน แถมต้องมีม่านพรางแสงด้วย ซึ่งทำให้ผู้ป่วยทั้งหดหู่ ซึมเศร้า และเครียดมาก ในประเทศสหรัฐอเมริกา คนที่เป็นมะเร็งใบหน้า ฆ่าตัวตายถึง 1 ใน 4

    หมอเองรู้สึกหนักใจที่จะไปเยี่ยมผู้ป่วยคนนี้ เพราะกลัวว่าจะเจออารมณ์กราดเกรี้ยวของเขา แต่พอเจอเข้าจริง ๆ หมอก็แปลกใจ เพราะเขาโอภาปราศรัยดี คุยอย่างคนปกติ ไม่มีความก้าวร้าวอะไรเลย

    คนไข้เล่าว่า ตอนหนุ่ม ๆ เขาชอบกินเหล้าสูบบุหรี่มาก เมาหัวราน้ำ การงานก็ทำได้ไม่ดี มีครอบครัวก็ต้องเลิกกัน เมียทนไม่ได้ที่เขาเอาแต่กินเหล้า สูบบุหรี่ ลูกก็ต้องไปอยู่กับเมีย เขาเล่าเหมือนกับยอมรับ ว่าที่เขาเป็นมะเร็งก็เพราะมีพฤติกรรมเสี่ยงแบบนี้ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาสงบ ไม่มีอาการหงุดหงิดทุรนทุราย

    เขาเล่าว่าทุกวันเขาไม่มีอะไรทำ นอกจากวาดรูปและเปิดโทรทัศน์ ช่องที่ดูประจำคือ CNN ซึ่งมีข่าว 24 ชั่วโมง ส่วนใหญ่เป็นข่าวเกี่ยวกับการก่อการร้าย อุบัติเหตุ สงคราม ความอดอยากหิวโหย ภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว ไฟไหม้ น้ำท่วม เขาดู ๆ ไปไม่นานก็ได้คิดว่า คนเราไม่ว่ารวยหรือจน ชาติใด ภาษาใด นับถือศาสนาใด ก็หนีความทุกข์ไม่พ้น ความทุกข์เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษยชาติ พอคิดได้แบบนี้เขาก็มองมาที่ตัวเอง แล้วได้คิดว่า ความเจ็บป่วยของเรา ก็เป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ที่เกิดกับมนุษย์ทั้งโลก

    พูดง่าย ๆ ว่า เขามองว่าความทุกข์ที่เกิดกับตัวเองเป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคน พอมองอย่างนี้ได้เขาก็ยอมรับมะเร็งได้ ไม่ปฏิเสธ ผลักไสมันอีกต่อไป ใจจึงสงบ
    เขายังบอกอีกว่า ตอนนี้เขาพยายามดูแลสุขภาพให้ดีเพื่อจะได้มีชีวิตยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้เพราะที่ผ่านมาเขาแทบไม่ได้อยู่กับลูกเลย ตอนนี้อยากจะอยู่กับลูกให้นานที่สุด
    หมอเจ้าของไข้บอกเขาว่า เขาจะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน แต่ชายคนนี้อยู่ได้ปีกว่า ช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ ก็ไม่ได้ทุกข์ทรมาน เหมือนผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ ตอนตายก็ตายอย่างสงบ
    ชายคนนี้แม้จะมีความทุกข์กายมาก แต่ใจเขาไม่ค่อยทุกข์เท่าไหร่ ทั้งนี้เพราะเขายอมรับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น
    การยอมรับช่วยให้ใจสงบ เป็นทุกข์น้อยลง นี้คือเหตุผลหนึ่งที่เราควรยอมรับเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมาในรูปใด เช่น ความเจ็บป่วย ความสูญเสีย
    :- https://visalo.org/article/dhammamata14_3.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,090
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    ความสงบอันประเสริฐ
    พระไพศาล วิสาโล
    หลายคนที่มาวัดป่าสุคะโต เมื่อมาครั้งแรกมักจะพูดเหมือนกันว่าชอบความสงบ แสดงให้เห็นว่าความสงบนั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนา ขณะเดียวกันก็ชี้ว่าทุกวันนนี้ความสงบกลายเป็นเรื่องหายากแล้ว หลายคนจึงรู้สึกประทับใจเมื่อสัมผัสความสงบของที่นี่

    หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่าตัวเองชอบความสงบ จนกระทั่งมาพบความสงบที่วัดป่าสุคะโต แล้วรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่ตัวเองปรารถนา เพราะส่วนลึกของผู้คนต่างโหยหาความสงบกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคนยุคนี้ ซึ่งมีความไม่สงบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตสมัยใหม่ไปแล้ว

    บางอย่างถ้าเราไม่เคยเจอ เราอาจไม่รู้ว่าต้องการสิ่งนั้น แต่พอได้เจอก็พบว่า ใช่เลย เช่นเดียวกับที่สตีฟ จ๊อบส์เคยพูดว่า คนที่ยังไม่เจอไอแพด ก็ไม่รู้ว่าหรอกตัวเองต้องการไอแพด แต่พอเห็นแล้วก็บอกว่า ใช่เลย นี่คือสิ่งที่ตัวเองต้องการมาตลอดชีวิต คนส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ว่าต้องการอะไร จนกว่าจะได้เห็นสิ่งนั้น แต่ไอแพดก็เป็นเพียงสิ่งของที่ให้ความสุขได้ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ส่วนความสุขจากความสงบนั้นยั่งยืนถาวรกว่า

    ความสงบมี ๒ อย่างคือ สงบกายกับสงบใจ สงบกายหมายถึงไม่มีเสียงรบกวน เช่นในป่า แม้จะมีเสียงบ้างแต่ไม่รู้สึกว่ารบกวน เพราะไม่ใช่เสียงอึกทึกครึกโครม ความสงบอย่างนี้เรียกว่าสงบกาย สงบเพราะไม่มีเสียงดังรบกวน เสียงดังในที่นี้หมายถึงเสียงที่ไม่ชอบ เพราะถ้าเป็นเสียงที่ชอบก็คงไม่เรียกว่าเสียงดัง เช่น ห้องที่เปิดเพลงคลาสสิกหรือเพลงป๊อปที่คนอยากฟัง คนฟังก็จะไม่รู้สึกว่าเสียงดัง หรือไม่สงบ จะเรียกว่าไม่สงบก็ต่อเมื่อมีเสียงคนคุยรบกวน หรือเสียงวิทยุโทรทัศน์ขณะที่ตัวเองกำลังอ่านหนังสือ แต่ที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี หรือเสียงพูดคุย ถ้าเป็นเสียงที่ดังมากก็จะรู้สึกว่าไม่สงบทั้งนั้น

    ความสงบอีกอย่างหนึ่งคือความสงบใจ ความสงบใจจะเกิดขึ้นไม่ได้หากสมองคิดไม่หยุด มีความทุกข์ หรือมีอารมณ์มาบีบคั้นเผาลนจิตใจ เมื่อมีความคิดเกิดขึ้นคนทั่วไปมักจะเข้าใจว่า ถ้าเป็นความคิดที่ชอบ เช่นคิดถึงเรื่องเที่ยว หรือจินตนาการว่ากำลังอยู่กับแฟน จะไม่เรียกว่าเป็นความไม่สงบ แต่จะเรียกว่าใจไม่สงบก็ต่อเมื่อคิดเรื่องไม่ดี คิดถึงเหตุการณ์ที่เจ็บปวด หรือคิดถึงงานการที่ทำให้เกิดความหนักอกหนักใจ

    แต่ที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะคิดถึงความสุขหรือความทุกข์ จะคิดดีหรือคิดไม่ดีก็ถือว่าไม่สงบทั้งนั้น สงบกายก็คือไม่มีเสียงดัง สงบใจคือใจนิ่ง นิ่งเพราะไม่ถูกความคิดกระทบทำให้กระเพื่อม ไม่ถูกอารมณ์บีบคั้นเผาลนจนกระสับกระส่าย ถ้าจิตกระสับกระส่าย หรือจิตกระเพื่อม ไม่ว่าจิตดิ้นรนเพราะความอยากได้หรือผลักไสก็เป็นความไม่สงบทั้งนั้น

    ความสงบใจเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนามากกว่าความสงบกาย เมื่อเราได้มาอยู่ในสถานที่สงบกาย ไม่มีเสียงดัง ไม่มีเสียงรบกวนจากภายนอก แวดล้อมด้วยธรรมชาติ ป่าเขา เรียกว่ามีความสงบกายแล้ว แต่ใช่ว่าจะสงบใจด้วย บางครั้งอยู่ในที่เงียบ ๆ อยู่ในป่าที่วิเวก แต่ใจไม่ได้วิเวกตาม เพราะจิตใจว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน มีความวิตกกังวล มีความกลัว หรือไม่ก็มีเสียงดังระงมอยู่ในหัวเพราะมีความคิดต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นถึงแม้จะมีความสงบกาย ก็ใช่ว่าจะสงบใจได้ทันที ต่อเมื่ออยู่ไปนาน ๆ สิ่งแวดล้อมรอบตัวก็ช่วยให้ใจสงบตาม เช่นเวลาที่เรามาอยู่ท่ามกลางป่าเขา ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และไม่พูดคุยกันเอง ใจเราก็จะค่อย ๆ สงบลงได้

    ความสงบใจมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือสงบเพราะไม่รู้ หรือตัดการรับรู้ เช่น บังคับไม่ให้มีเสียงดัง หรือมาอยู่วัดก็ไม่เปิดวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ ไม่พูดคุยกันเอง หรือแม้จะมีเสียงแต่เราตัดการรับรู้ เช่น หลับตา พยายามบังคับจิตให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น อยู่กับลมหายใจ หรือเอาจิตมาเพ่งที่เท้าขณะเดิน แม้เสียงรอบตัวจะดังแค่ไหน แต่จิตไม่รับรู้ เพราะจดจ่ออยู่กับอารมณ์เดียว อย่างนี้ใจก็สงบได้ ในทำนองเดียวกันบางคนก็สงบได้เมื่อเก็บตัวอยู่ในห้องพระ ห้องแอร์ อยู่ในพื้นที่ส่วนตัว มีการตัดเสียงรบกวนและไม่ให้คนเข้ามายุ่มย่าม จึงไม่มีการรับรู้ที่จะทำให้จิตใจกระเพื่อมได้ ไม่ต้องรับรู้ข่าวสารเหตุการณ์บ้านเมือง อย่างนี้เรียกว่าสงบเพราะไม่รู้ หรือตัดการรับรู้ เกิดจากการควบคุมสิ่งแวดล้อม หรือควบคุมจิตใจให้แน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

    ความสงบใจอย่างที่ ๒ คือสงบเพราะรู้ หมายความว่าแม้หูได้ยินเสียง ตาเห็นรูป แต่ใจก็สงบได้ บางครั้งอาจจะกระเพื่อมเพราะเห็นรูปหรือได้ยินเสียง แต่เมื่อใจกระเพื่อมแล้วมีสติรู้ รู้แล้ววาง ก็ทำให้สงบต่อไปได้ ความสงบชนิดนี้อาศัยสติเป็นพื้นฐาน เสียงดังแต่ใจยังสงบได้ อย่างที่เคยเล่าเรื่องหลวงปู่บุดดาว่า มีเสียงเกี๊ยะดังเข้ามาในห้องที่ท่านจำวัดอยู่ ลูกศิษย์รู้สึกรำคาญ แต่ท่านไม่รู้สึกรำคาญ ใจยังสงบได้เพราะไม่เอาหูไปรองเสียงเกี๊ยะ ทำอย่างไรจึงจะไม่เอาหูไปรองเสียงเกี๊ยะได้ ก็ต้องมีสติกำกับใจ หูก็จะไม่หาเรื่อง เสียงดังแต่ใจไม่กระเพื่อมเพราะเสียงนั้น อย่างนี้เรียกว่าสงบเพราะรู้ สงบทั้ง ๆ ที่ได้ยินเสียง แต่สงบได้ เพราะรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีผัสสะมากระทบ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,090
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    (ต่อ)
    ธรรมชาติของใจอย่างหนึ่งคือ เมื่อรู้ทันอารมณ์ใด ก็จะวางอารมณ์นั้นได้ เมื่อรู้ว่าโกรธก็วางความโกรธ แต่คนทั่วไปพอได้ยินเสียงเกี๊ยะก็ลืมตัว เกิดความหงุดหงิดรำคาญขึ้นมาแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ความรำคาญจึงครอบงำจิต จนกระทั่งกลายเป็นความโกรธขึ้นมาได้ง่าย ๆ

    ความสงบเพราะรู้นี้ หมายถึงใจสงบได้ทั้ง ๆ ที่รู้ คือ เห็นรูป ได้ยินเสียง ทั้งนี้เพราะรู้ทันผัสสะที่เกิดขึ้น ความสงบแบบนี้สำคัญมาก เพราะไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนก็สงบได้ทุกที่ แม้มีสิ่งที่ชวนให้ทุกข์ใจมากระทบ แต่ใจไม่หงุดหงิดตาม บางคนฝึกให้ใจสงบแบบตัดการรับรู้ แต่ไม่ได้ฝึกใจให้เข้าถึงความสงบเพราะรู้ ความสงบที่เกิดขึ้นจึงเป็นความสงบเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

    มีผู้ชายคนหนึ่ง ไปเข้าคอร์สนั่งสมาธิ ๑ วันของสมาคมแห่งหนึ่ง ห้องปฏิบัติธรรมสงบมาก เป็นห้องแอร์ ผู้ชายคนนี้ปฏิบัติได้ดี สงบเย็นทั้งใจและกาย กายเย็นเพราะอยู่ห้องแอร์ ส่วนใจไปเพ่งรับรู้อยู่แค่อารมณ์เดียว ไม่มีเรื่องรบกวนที่ทำให้ใจกระเพื่อม พอถึงเวลาเลิก ๔ โมงเย็น เดินไปลานจอดรถ จะขับรถกลับบ้าน ปรากฏว่าพอเห็นรถอีกคันมาจอดซ้อน ทำให้เขาขับออกไม่ได้ ความโกรธพุ่งขึ้นมาทันที ถึงกับโวยวายออกมา “ใครวะจอดรถแบบนี้” แล้วก็ต่อว่าอีกมากมาย

    ทำไมเขาถึงโกรธขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่เพิ่งทำสมาธิมา นั่นเป็นเพราะทั้งวันความสงบที่เกิดกับเขาเป็นความสงบเพราะตัดการรับรู้ ถ้าเขารู้จักความสงบเพราะรู้ เมื่อเห็นรถตัวเองถูกจอดขวาง เกิดความไม่พอใจขึ้นมา เขาก็จะมีสติเห็นความไม่พอใจนั้น จิตจะไม่พลุ่งพล่านจนกลายเป็นอารมณ์โกรธถึงกับด่าทอเสียงดัง

    เพิ่งออกมาจากการปฏิบัติธรรมแท้ ๆ แต่พอเจอเรื่องแค่นี้ก็โวยวายแล้ว ทำไมจึงจิตจึงขึ้นลงรวดเร็ว นี่เป็นสิ่งที่เกิดกับนักปฏิบัติธรรมจำนวนมาก ที่มุ่งแสวงหาความสงบ ด้วยการไม่รับรู้หรือการตัดการรับรู้ พอสงบแล้วก็เพลิน พอเจออะไรที่ไม่ถูกใจไม่พอใจ ก็โกรธปรี๊ดทันที

    เราต้องรู้จักรักษาใจให้สงบได้ แม้อยู่ท่ามกลางเสียงต่าง ๆ แม้เจอคำพูดที่ชวนให้ขัดใจ ความสงบแบบนี้ เป็นสิ่งที่เราควรรู้จักและเข้าถึงให้ได้อย่างชำนิชำนาญ เพราะเราไม่สามารถหลีกเร้นจากโลกที่วุ่นวายได้ตลอด ไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน ที่ทำงาน หรือบนท้องถนนก็จะมีเสียงดัง มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่พอใจได้มากมาย

    แม้แต่ที่วัดป่าสุคะโตก็ใช่ว่าจะสงบเงียบตลอดเวลา บางทีก็มีเสียงดัง เช่น เสียงประกาศจากรถขายของ เสียงโฆษณาหาเสียง หรือเวลามีงานศพชาวบ้านก็จะเปิดเพลงดังตั้งแต่เช้าจนค่ำ ถึงกลางคืนก็ฉายหนังกลางแปลงต่อ นักปฏิบัติธรรมที่อยู่ในวัดหลายคนจะหงุดหงิดรำคาญ "ทำไมเขาเปิดเสียงดังขนาดนี้วะ" แต่ลืมถามตัวเองว่า "ทำไมเราต้องรำคาญเสียงดังด้วย" คือไม่ได้ดูตัวเอง ถ้ากลับมาดูใจตัวเองก็จะรู้ว่า เรากำลังเป็นทุกข์เพราะเสียง ตบมือข้างเดียวนั้นไม่ดัง ความทุกข์ไม่ได้เกิดเพราะเสียงดังอย่างเดียว แต่เกิดเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับเสียงนั้นด้วย หรือเป็นเพราะใจยึดติดกับความสงบ พอมีเสียงทำลายความสงบก็เกิดความไม่พอใจ เกิดความขัดอกขัดใจขึ้นมา

    เมื่อมีผัสสะมากระทบ ควรมีสติรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ เมื่อตาเห็นอาหารอร่อย สติก็เห็นความอยาก เมื่อหูได้ยินเสียงดัง สติก็เห็นความหงุดหงิดข้างใน เราควรทำทั้งสองอย่างไปพร้อม ๆ กันคือเห็นทั้งข้างนอกและข้างใน ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ แม้ว่าตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ใจก็สงบได้ อย่างนี้เรียกว่าสงบเพราะรู้

    สงบเพราะรู้มี ๒ อย่าง อย่างแรกรู้เพราะสติ คือ เห็นความโกรธ ความเศร้า ความเบื่อ เห็นแล้วไม่เข้าไปเป็น เห็นความโกรธแต่ไม่เป็นผู้โกรธ ความโกรธก็จะค่อย ๆ ดับไป ถ้าเราไม่เห็นความโกรธ กลายเป็นผู้โกรธ ก็เท่ากับต่ออายุความโกรธให้ยืนยาวมากขึ้น เหมือนกับกองไฟ ถ้าอยู่เฉย ๆ กองไฟก็จะมอดดับไปในที่สุด แต่คนส่วนใหญ่มักจะไปเติมฟืนเติมเชื้อไฟเข้าไป แต่ถ้าเห็นแล้วไม่เข้าไปเป็น พอเห็นปุ๊บมันก็จะดับไป เพราะจิตนั้นรับรู้ได้ทีละอารมณ์เท่านั้น

    เมื่อสติครองใจแล้วก็ไม่มีอะไรมาครอบงำใจได้ เหมือนกับความมืดถ้าเจอแสงสว่าง ความมืดก็หนีไป แสงสว่างขับไล่ความมืดได้ แต่ความมืดไม่เคยขับไล่แสงสว่างได้เลย ยิ่งมืดก็ยิ่งทำให้แสงสว่างเด่นชัดยิ่งขึ้น ฉันใดก็ฉันนั้น ความหลงจะหายไปเมื่อมีสติ ความรู้สึกตัวเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความหลงก็เกิดขึ้นไม่ได้ ที่มันหลงเพราะสติหายไป เช่น ขณะที่เรากำลังคิดอยู่เพลิน ๆ แล้วรู้ตัวขึ้นมา พอรู้ตัวหรือมีสติ ความคิดก็ดับไป แต่ถ้าสติอ่อน ความคิดก็อาจผุดขึ้นอีก หากสติเกิดขึ้นเพียง ๒-๓ ขณะแล้วดับหายไป ความฟุ้งซ่านก็เข้ามาแทนที่ ความฟุ้งซ่านไม่ได้ขับไล่สติ แต่มาตอนสติหายไปหรือมาตอนที่เราเผลอ
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,090
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    (ต่อ)
    สงบเพราะรู้อย่างที่ ๒ คือรู้ด้วยปัญญา หมายถึงการเข้าใจความจริงของชีวิตและโลก เช่น คนที่เข้าใจเรื่องโลกธรรม ๘ เมื่อถูกต่อว่าติฉินนินทา ใจก็ไม่กระเพื่อม เพราะรู้ว่าเป็นธรรมดาโลก ไม่มีใครจะรอดพ้นจากคำตำหนิได้ เมื่อรู้เช่นนี้จิตใจก็มั่นคงไม่หวั่นไหว ส่วนหนึ่งเกิดจากการมีวุฒิภาวะด้วย โดยทั่วไปคนที่มีอายุมาก จะมีความหนักแน่นมั่นคงมากกว่าคนหนุ่มสาว เพราะผ่านโลกมามาก รู้ว่าคำติฉินนินทานั้นเป็นธรรมดาโลก เมื่อรู้อย่างนี้ก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ใจสงบได้

    จากการศึกษาผู้คนทั่วโลก จาก ๗๐-๘๐ ประเทศ พบว่าคนที่อายุมาก คือเลยวัยกลางคนไปแล้ว มีแนวโน้มที่จะมีความสุขได้มากกว่าวัยรุ่นหรือวัยกลางคน ส่วนวัยที่มีความทุกข์มากที่สุด มีความเครียดมากที่สุด มีความสุขน้อยที่สุด คือวัยกลางคน อายุ ๔๐ กว่าขึ้นไป งานวิจัยบางชิ้นระบุเลยว่า คนอายุ ๔๖ เป็นวัยที่มีความเครียดมากที่สุด มีความสุขน้อยที่สุด พวกเราถึงหรือยัง เตรียมตัวไว้นะ พอพ้น ๔๖ ไป เส้นความสุขจะค่อย ๆ สูงขึ้น จนกระทั่ง ๘๐

    วัยกลางคน เป็นวัยที่ยังมีสุขภาพดี ตำแหน่งหน้าที่การงานก็มีความมั่นคงแล้ว เรียกได้ว่า มีทั้งเงินทองและกำลังวังชา แต่ทำไมคนอายุ ๘๐ ถึงมีความสุขมากกว่า มีความเครียดน้อยกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวุฒิภาวะ ผ่านโลกมามากก็ทำใจได้ ปล่อยวางได้ เข้าใจเรื่องโลกธรรม เข้าใจว่าความสำเร็จความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดาโลก ติฉินนินทาก็เป็นธรรมดาโลก อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นปัญญาในการเข้าใจโลกธรรม การมีปัญญาเข้าใจโลก นอกจากจะสามารถเกิดขึ้นได้จากการมีวุฒิภาวะแล้ว ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากการไตร่ตรงชีวิตหรือปฏิบัติธรรม ยิ่งถ้าปฏิบัติจนเข้าใจเรื่องไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนิจจา ไม่ยึดมั่นในตัวกูของกู หรือตัวกูของกูน้อยเบาบาง เมื่อเกิดความสูญเสียก็ไม่ทุกข์ เพราะไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราตั้งแต่แรก เงินหาย ถูกโกง ถูกด่าแต่ก็ไม่รู้สึกโกรธแค้นขุ่นเคือง เพราะไม่เอาตัวตนเข้าไปรองรับการกระแทก ไม่ได้ยึดมั่นถือว่าเป็นตัวกูของกู

    หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโรเมื่อโดนอันธพาลด่า แทนที่ท่านจะโกรธ ท่านกลับเดินไปหาคนที่ด่าท่าน จับแขนเขาเขย่าแล้วถามว่า "มึงด่าใคร ๆ" เขาตอบว่า "ก็ด่ามึงนะสิ" ท่านยิ้มแล้วพูดว่า "แล้วไป ที่แท้ก็ด่ามึง ดีแล้วอย่าด่ากูแล้วกัน" แล้วก็เดินออกไป ส่วนอันธพาลก็งงว่าตกลงกูด่าใครกันแน่วะ

    คนที่จะทำอย่างหลวงพ่อประสิทธิ์ได้ต้องมีตัวตนน้อยมาก ถ้ามีตัวตนมาก ก็อดไม่ได้ที่จะเอาตัวตนไปรับการกระแทกว่า "มันด่ากู ๆ" แต่เนื่องจากท่านมีตัวตนน้อย คำด่านี้ก็ทะลุไปเหมือนทะลุอากาศธาตุ เหมือนฝุ่นถ้าไม่มีกระจก มันก็ไม่รู้จะเกาะกับอะไร ต่อเมื่อมีกระจก ฝุ่นจึงจะเกาะได้ กระจกเปรียบเหมือนอัตตาหรือตัวตน คำด่าเปรียบได้กับฝุ่นหรือหิน ถ้าหินตกลงมามีกระจกขวางอยู่ กระจกก็ย่อมร้าวหรือแตก เหมือนคนที่เอาตัวตนไปรับคำด่าก็ย่อมโกรธ เป็นทุกข์ แต่ถ้าตัวตนน้อยเบาบางจนไม่มีเลย ก็เหมือนกับว่าไม่มีกระจก แม้ก้อนหินตกลงมาก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะมันผ่านอากาศธาตุไป ไม่มีความเสียหาย ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น อย่างนี้เรียกว่าสงบเพราะรู้ รู้ด้วยปัญญา

    ทำนองเดียวกันเมื่อมีปัญญา เวลาเจ็บป่วย ใจก็ไม่ทุกข์ สงบได้ อย่างนี้เรียกว่าสงบเพราะรู้เช่นกัน เหมือนอย่างหลวงปู่บุดดา ถาวโร ซึ่งฉันอาหารเป็นพิษ ขณะที่พระรูปอื่นอาเจียรจนหมดแรง นอนหมดสภาพ หลวงปู่ยังนั่งคุยกับญาติโยมได้ มีบางครั้งก็รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน พออาเจียนเสร็จ ก็หันมาคุยกับญาติโยมต่อ กายท่านทุกข์ แต่ใจท่านไม่เดือดร้อนเลย เพราะท่านมีปัญญาเข้าใจเรื่องรูปนาม ว่าไม่มีตัวเรา มีแต่รูปกับนาม เวลาที่กายเป็นทุกข์ ใจไม่ทุกข์ด้วย เพราะไม่ได้หลงยึดว่าความปวดของกายเป็นความปวดของกู เพราะกูไม่มีจริงตั้งแต่แรก ท่านรู้สึกปวดท้องก็จริง แต่ใจไม่ปวดด้วย เพราะไม่มีความรู้สึกว่ากูปวด

    ตอนที่หลวงพ่อคำเขียนป่วย ท่านมีทุกขเวทนาเยอะ แต่ใจท่านสงบมาก เพราะท่านเห็นชัดว่าไม่มีผู้ปวด ท่านบอกเสมอว่า “ไม่เป็นอะไรกับอะไร” หรือ “ไม่เป็นอะไรกับอาการของกายและใจ” คือไม่ไปยึดมั่นถือมั่นกับอะไรที่เกิดขึ้น อะไรเกิดขึ้นก็เป็นสักว่าเรื่องของกาย หรือเรื่องของใจ แต่ไม่มีตัวกูเป็นนั่นเป็นนี่เลย

    หลวงพ่อคำเขียนสอนอยู่เสมอว่า "เห็น อย่าเข้าไปเป็น" เห็นความปวด แต่ไม่เข้าไปเป็นผู้ปวด ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับกายหรือใจก็ตาม แม้ว่าจะเจออนิฏฐารมณ์ เจอความพลัดพรากสูญเสีย เจอความเจ็บปวด เจอทุกขเวทนาบีบคั้นร่างกายก็ตาม อันนี้เป็นหลักประกันของความสงบที่แท้จริง สงบเพราะรู้ด้วยปัญญา

    สงบเพราะรู้ มี ๒ อย่างคือ รู้ด้วยสติ และรู้ด้วยปัญญา รู้ด้วยสติคือเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้ววางได้ ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ รู้ด้วยปัญญาคือการเห็นความจริง จนกระทั่งไม่ยึดมั่นถือมั่นกับอะไรสักอย่าง คำว่ารู้หรือคำว่าเห็นมีความหมายเหมือนกัน เวลาที่หลวงพ่อบอกว่า "เห็น อย่าเข้าไปเป็น" ท่านหมายถึงเห็นด้วยสติ เช่นเวลามีความโกรธ ความคับแค้นใจ ความเสียใจเกิดขึ้น ก็เห็นด้วยสติ เห็นแล้วก็วางได้ เมื่อเห็นด้วยสติบ่อย ๆ ก็จะนำไปสู่การเห็นด้วยปัญญา คือเห็นว่าสิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์ เป็นของหนัก ไม่น่ายึดถือ เมื่อนั้นก็วางได้ ไม่แบกเอาไว้อีกต่อไป นั่นคือการเห็นอย่างลึกซึ้งที่สุด คือเห็นด้วยปัญญา

    ในบทสวดมนต์ มีข้อความตอนหนึ่งซึ่งเป็นพุทธพจน์ว่า "เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง นั่นแหละ เป็นทางแห่งพระนิพพาน อันเป็นธรรมหมดจด" ข้อความนี้ระบุชัดว่า “เห็นด้วยปัญญา” คือเมื่อมีปัญญารู้ชัดว่า สิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์ไม่น่ายึดถือ จิตก็จะสงบอย่างแท้จริง เพราะปัญญาที่เกิดขึ้นนั้นคงอยู่ไม่แปรเปลี่ยน ในขณะที่สติ ถ้าไม่ฝึกก็หายไปหรืออ่อนแรงไป ต้องฝึกอยู่เสมอ แต่เมื่อฝึกจนถึงที่สุด ก็เกิดปัญญาเห็นกายและใจตามความเป็จริง ช่วยให้เห็นสัจธรรมแจ่มแจ้ง โดยไม่มีอคติเจือปน

    สติกับอคตินั้นตรงข้ามกัน อคติคือเห็นอย่างคลาดเคลื่อน เห็นไม่ตรงตามความเป็นจริง เหมือนกับกระจกที่บิดเบี้ยว อคติเกิดจากความโลภ ความโกรธ ความกลัว ความหลง ทำให้เห็นความจริงคลาดเคลื่อน แต่สติทำให้เห็นกายและใจตามความเป็นจริง จนถึงที่สุดก็จะเกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนิจจา

    ความสงบที่ดีที่สุดคือ สงบเพราะรู้ เริ่มต้นด้วยการรู้เพราะสติ ต่อจากนั้นก็รู้ด้วยปัญญา จะทำเกิดสภาวะจิตอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตัวอยู่ในโลก แต่จิตอยู่พ้นโลก หรือจิตอยู่เหนือโลก เปรียบเหมือนกับดอกบัวที่เกิดในน้ำ โตในน้ำ แต่สามารถเจริญพ้นน้ำได้ นี้คือสภาพจิตของคนที่มีปัญญา เกิดในโลก โตในโลก แต่จิตอยู่เหนือโลกได้ น้ำไม่สามารถฉาบติดดอกบัวหรือใบบัวได้ฉันใด กิเลสหรือความทุกข์ก็ไม่อาจแปดเปื้อนจิตใจได้ฉันนั้น นี้แหละคือความสงบอันประเสริฐสุด ที่เราควรรู้จักและไปให้ถึง
    :- https://visalo.org/article/dhammamata9_2.html
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,090
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    รู้ทุกข์ พบธรรม
    พระไพศาล วิสาโล
    พุทธศาสนานั้นพูดถึงความทุกข์ไว้มาก จนมีความเข้าใจในหมู่คนจำนวนไม่น้อยว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแบบทุกข์นิยม หรือมองโลกในแง่ร้าย ที่จริงแล้วที่ท่านพูดถึงทุกข์ไว้มากก็เพราะทุกข์กับธรรมะมีความสัมพันธ์กันมาก สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจนแยกไม่ออก จะเข้าถึงธรรมได้ก็ต้องเจอทุกข์เสียก่อน ถ้าไม่เจอทุกข์ก็เข้าถึงธรรมหรือพบธรรมได้ยาก ในแง่หนึ่งก็เพราะว่าทุกข์เป็นตัวผลักให้เราเข้าหาธรรมะ ถ้าสุขสบายดีก็ไม่รู้สึกว่าจะต้องเข้าหาธรรมะ แต่พอเจอทุกข์ก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องเข้าหาธรรมะ เหมือนกับว่าเจอร้อนแล้วก็ต้องไปหาน้ำมาดับร้อน หรือเข้าหาที่ที่สงบเย็น ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แม้แต่สัตว์เองก็เหมือนกัน เราสังเกตไหมว่าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น โดยเฉพาะในเมือง มักจะมีหมาข้างถนนมานอนหน้าร้าน เพราะอะไร ก็เพราะมันเย็น พอประตูเปิด แอร์เย็น ๆ ก็จะโชยออกมา
    คนจำนวนไม่น้อยพบธรรมเพราะถูกความทุกข์ผลักดัน อย่างเช่นท่านโกเอ็นก้า ท่านเป็นคฤหัสถ์ที่มีบทบาทสำคัญมากในการเผยแผ่ธรรมะให้แพร่หลายไปทั่วโลก คำว่าวิปัสสนาเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกก็เพราะศูนย์วิปัสสนาของท่านโกเอ็นก้า เดี๋ยวนี้พอพูดกับฝรั่งว่าวิปัสสนาก็ไม่ต้องแปลความหมายแล้ว เพราะเขาเข้าใจ จนบางทีเข้าใจว่าหมายถึงการปฏิบัติแนวของท่านโกเอ็นก้าอย่างเดียว ที่จริงแล้วคำว่าวิปัสสนามีความหมายกว้างกว่านั้น การที่ท่านโกเอ็นก้าหันมาสนใจพุทธศาสนา จนกระทั่งกลายเป็นครูบาอาจารย์ที่สำคัญก็เพราะว่าท่านมีความทุกข์ คือท่านเป็นไมเกรนตั้งแต่ยังหนุ่ม ตอนอายุ ๓๐ กว่า ท่านเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในพม่า แต่ท่านไม่มีความสุข ทั้ง ๆ ที่มีทั้งเงินและชื่อเสียง สาเหตุก็เพราะปวดไมเกรน รักษาเท่าไรก็ไม่หาย เงินมีมากมายแต่รักษาไมเกรนไม่ได้ บังเอิญมีคนแนะนำให้ท่านไปลองทำสมาธิ ตอนนั้นท่านก็ไม่เคยรู้จักสมาธิมาก่อน พอมีคนแนะนำก็เลยไปฝึกกับอาจารย์วิปัสสนาซึ่งเป็นฆราวาสชื่อท่านอูบาขิ่น ปรากฏว่าทำไปแล้วได้ผล คือไมเกรนหาย พอหายก็เกิดศรัทธาในสมาธิภาวนา จึงปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งกลายเป็นผู้ช่วยอาจารย์วิปัสสนา จากนั้นก็กลายเป็นอาจารย์วิปัสสนาเสียเอง

    ต่อมาท่านได้ทราบว่าคุณแม่กำลังป่วยหนัก ท่านจึงย้ายไปอินเดียเพื่อสอนวิปัสสนาให้แก่คุณแม่ แต่พอไปถึงอินเดียก็ไม่ได้สอนวิปัสสนาให้บุพการีเท่านั้น แต่ยังสอนให้ผู้คนวงกว้างด้วย เพราะว่าอินเดียไม่ค่อยมีอาจารย์ด้านวิปัสสนา ท่านมีชื่อเสียงที่อินเดียก่อน จากนั้นก็เดินทางไปสอนวิปัสสนาในในยุโรปและอเมริกา ทำให้ท่านมีชื่อเสียงก้องโลก และทำให้ธรรมะเผยแพร่ไปทั่วโลก นี่เป็นตัวอย่างของการที่ทุกข์ผลักดันให้พบธรรมะ ไม่ว่าความเจ็บป่วย หรือการถูกบีบบังคับให้พลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอน ล้วนเป็นผลดีต่อธรรมะทั้งสิ้น

    มีหลายคนที่มาพบธรรมะได้ก็เพราะความเจ็บความป่วย โดยเฉพาะโรคมะเร็ง เพราะเป็นโรคที่ถึงตาย รักษาได้ยาก ใครที่เป็นแล้วก็จะนึกถึงความตาย และเห็นว่าธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยบำบัดความทุกข์ ทำให้ใจสงบได้ เพราะหวังพึ่งยาไม่ค่อยได้แล้ว หลายคนถ้าไม่เป็นมะเร็งก็ไม่เข้าวัดปฏิบัติธรรม เมื่อพบธรรมะและความสงบในจิตใจ บางคนถึงกับขอบคุณโรคมะเร็ง เพราะถ้าไม่เป็นโรคนี้ก็ไม่มีทางได้พบธรรมะซึ่งเป็นหนทางพาไปสู่ความสุขที่ประเสริฐ หรือได้พบคำตอบว่าเกิดมาทำไม อะไรคือคุณค่าและความหมายของชีวิต

    การที่ธรรมะได้รับความนิยมมากในเมืองไทยในปัจจุบันนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ ที่ทำให้หลายคนสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่ใช่แค่สิ้นเนื้อประดาตัวอย่างเดียว แต่ยังมีทุกข์ท่วมท้นใจ หลายคนไม่รู้จะไปไหน จึงต้องใช้ธรรมะดับความทุกข์ กลายเป็นผู้ใฝ่ธรรม ฆราวาสหลายคนที่มีชื่อเสียงด้านธรรมะ ก็เป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ นั้นเอง หากเขายังมีความเจริญรุ่งเรืองในทางธุรกิจ ก็คงไม่เหลียวแลธรรมะ เพราะคิดว่าความรู้ที่ตัวเองมี กิจการที่ตัวเองมี หรือทรัพย์สินเงินทองที่ตัวเองมีมากมายนั้น เป็นที่พึ่งของชีวิตได้ แต่พอสูญเสียสิ่งเหล่านี้จนแทบไม่เหลือ ก็ต้องอาศัยธรรมะเป็นที่พึ่งแทน

    บางคนเสียคนรัก เสียพ่อ เสียแม่ เกิดความเศร้าโศกเสียใจ จึงต้องไปหาธรรมะมาดับความทุกข์ในใจ บางคนก็เสียลูก มีผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นลูกชายอายุ ๑๕ ปี มาขออนุญาตเธอไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดีย เธอเห็นว่าลูกเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ มีความใฝ่รู้ พึ่งตัวเองได้ อีกทั้งอินเดียเป็นประเทศที่น่าจะทำให้ลูกได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง รวมทั้งภาษาอังกฤษด้วย จึงอนุญาตให้ลูกไป แต่พอลูกไปอินเดียได้ไม่กี่เดือน ก็ปรากฏว่าจมน้ำตาย พอแม่ได้ข่าวก็ช็อคเลย ไม่ได้แค่เสียใจที่ลูกตาย แต่รู้สึกผิดด้วยว่าตัวเองมีส่วนทำให้ลูกตาย เธอโทษตัวเองว่าถ้าไม่อนุญาตให้ลูกไปอินเดีย ลูกก็จะไม่ตาย เธอได้แต่ลงโทษตัวเอง หัวใจแทบจะสลาย เสียศูนย์อยู่เป็นปี โดยไม่รู้สึกดีขึ้น สุดท้ายก็เลยต้องเข้าหาธรรมะ

    พอได้เรียนรู้เรื่องธรรมะเธอก็เข้าใจเลยว่า ความพลัดพรากสูญเสียเป็นธรรมดาของชีวิต คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครหนีพ้น บางคนตายเร็ว บางคนตายช้า ขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้ทำไว้ เพราะทุกคนมีกรรมเป็นของตน คนเรามาเจอกัน มีชีวิตอยู่ด้วยกันก็เพียงแค่ชั่วคราว สักวันหนึ่งก็ต้องจากกัน พอเธอเห็นความจริงเช่นนี้ก็คลายความเศร้าโศกลงได้

    ขณะเดียวกัน การเจริญสมาธิภาวนา ก็ทำให้เธอรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตัว ความเศร้าโศกเสียใจก็ดี ความรู้สึกผิดก็ดี แต่ก่อนมันกัดกินใจเธอมาก แต่ตอนหลังก็ทำร้ายจิตใจเธอได้น้อยลง เพราะรู้ทันมัน พอมันเกิดขึ้น ก็มีสติเห็นมัน ไม่จมเข้าไปในอารมณ์นั้น สติยังช่วยให้เธอเห็นว่ามันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ยึดเหนี่ยวอารมณ์นั้นเอาไว้ให้หนักอกหนักใจอีกต่อไป จิตใจเธอจึงเบา สบาย โปร่ง โล่ง เดี๋ยวนี้พอเธอนึกถึงลูกก็ไม่เสียใจแล้ว เพราะเข้าใจและทำใจได้ ทุกวันนี้เทอจึงมีจิตใจที่เบาสบายยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่เสียลูกไปเสียอีก ตอนที่ลูกยังไม่เสีย เธอก็มีความทุกข์ตามประสาปุถุชน ถึงแม้ตอนนี้ยังเป็นปุถุชนอยู่ แต่ก็สามารถปล่อยวางได้มากขึ้น จึงขอบคุณลูกที่ทำให้แม่ได้พบธรรมะ เธอบอกว่าความตายของลูกนับว่าคุ้มค่ามาก เพราะทำให้แม่ได้มาพบธรรมะอันประเสริฐยิ่ง คงมีแม่ไม่กี่คนที่กล้าพูดว่าขอบคุณความตายของลูก เพราะว่าความตายของลูกนั้นใหญ่หลวงมาก แต่เธอก็สามารถพูดได้เต็มปาก เพราะว่าสิ่งที่ได้พบ ซึ่งเป็นผลจากการสูญเสียลูกนั้นมีคุณค่ามากเหลือเกิน
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,090
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    (ต่อ)
    มีผู้หญิงคนหนึ่งต้องพบเจอกับความทุกข์แบบที่เรียกได้ว่าน้อยคนจะได้เจอ เธอเป็นสาวสวย ตอนอายุ ๒๑ ปี เป็นดาวมหาวิทยาลัย ต่อมาเธอได้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งทางอินเทอร์เน็ต ติดต่อกันสักระยะหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นก็หลงรักเธอทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยเจอตัวกัน พอได้เจอตัวกันก็ยิ่งหลงรักมากขึ้น แต่เธอบอกกับชายคนนั้นว่าเธอไม่ได้รักเขา ผู้ชายคนนั้นโกรธมาก ถึงกับเอาน้ำกรดสาดหน้าเธอจนเสียโฉมไปทั้งใบหน้า และยังทำให้ตาบอดไปอีกข้างหนึ่งด้วย คนที่เคยภูมิใจกับความสวยงามของตน พอถูกน้ำกรดทำลายให้เสียโฉมอย่างนี้ ก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ทั้งนั้น เธอก็เช่นกัน คิดถึงการฆ่าตัวตาย แต่พอนึกถึงแม่แล้วก็เปลี่ยนใจ ไม่อยากทำร้ายตัวเอง เพราะจะทำให้แม่เสียใจ

    เธอตัดสินใจย้ายบ้าน เพราะอับอายคนที่เคยรู้จักเธอและเห็นใบหน้าที่สะสวยของเธอมาก่อน แต่แม้จะย้ายบ้านเธอก็มีความทุกข์มาก อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป ๓-๔ ปี เธอกลับกลายเป็นคนใหม่ ไม่รู้สึกอับอายกับใบหน้าที่เสียโฉมอีกแล้ว ปล่อยวางได้ ทุกวันเธอนั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน มีคนมาทักเธอ เธอก็ไม่รู้สึกอับอาย พูดคุยกับเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอมีอาชีพเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ของธนาคารแห่งหนึ่ง มีความสุขกับการทำงาน เพราะเจ้านายก็ดี เพื่อนร่วมงานก็ดี

    เคยมีคนมาถามเธอว่าโกรธคนที่เอาน้ำกรดมาสาดหน้าหรือไม่ เธอบอกว่าไม่โกรธเลย ต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำ ที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ เธอบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลดีแก่เธอหลายอย่าง คือ ทำให้เธอมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ถ้าเธอหน้าตาไม่เสียโฉมก็คงจะไม่อยู่ติดบ้าน เพลิดเพลินกับแสงสี แต่พอเป็นอย่างนี้แล้วเธอจึงอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ที่สำคัญก็คือ เหตุการณ์นั้นทำให้เธอมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ทำให้เธอได้คิดว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง มีวันหมดอายุ เธอบอกว่า “ถ้าเราไม่สูญเสียตรงนี้ อนาคตเราแก่ไป มันก็ต้องไปตามกาลเวลา มันก็ทำให้เราปล่อยวาง พอเราปล่อยวางเรื่องตัวของตัวได้ เวลาเจอเรื่องอะไรที่มันแย่ ๆ หรือมีคนพูดไม่ดี เราก็ไม่สนใจ เพราะเราไม่ได้ยึดติดตรงนั้นแล้ว” นี้เป็นตัวอย่างของคนที่เจอทุกข์แล้วจึงได้พบธรรมะ

    ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างทุกข์กับธรรมะไม่ได้มีเพียงเท่านั้น หากใคร่ครวญให้ดีจะเห็นว่าการเจอทุกข์ช่วยให้ได้เห็นธรรมะแจ่มแจ้งโดยตรง ยกตัวอย่างเรื่องของนางกีสาโคตมี ที่เสียลูกไป หากนางไม่เสียลูกไปก็คงจะไม่เห็นว่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ที่จริงแล้วนางเป็นคนฉลาด แต่ว่ายากที่จะพบธรรมได้หากไม่เสียลูก ลูกของนางยังเล็ก กำลังน่ารัก พอนางต้องเสียลูกไปก็เห็นเลยว่าคนเราหนีความพลัดพรากสูญเสียไม่พ้น นางยอมรับได้ว่าทุกคนต้องตาย ทุกคนต้องสูญเสียคนรัก หรือสิ่งอันเป็นที่รัก พอนางเผาลูกของตนเองแล้วก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์แสดงธรรมเพียงแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น ชี้ให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของชีวิต นางก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันทันที ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะนางได้เจอได้เจอความทุกข์มาด้วยตนเอง จึงเข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์อย่างแจ่มแจ้ง ถ้านางไม่พบเจอความสูญเสียด้วยตนเอง ฟังไปก็แค่เข้าใจ คงไม่เกิดปัญญาถึงขั้นที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าได้

    เช่นเดียวกับนางปฏาจารา ซึ่งไม่ใช่เสียลูกเพียงคนเดียว แต่เสียสามี และเสียพ่อเสียแม่ด้วย ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ก็ถูกไฟเผาผลาญจากฟ้าผ่า เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว การสูญเสียทั้งหมดเกิดขึ้นไล่เลี่ยกันในเวลาอันรวดเร็วมาก นางไม่เหลือใครเลย จนกระทั่งแทบจะเป็นบ้า พอนางได้มาพบพระพุทธเจ้า พระองค์ก็พูดเตือนสติ พอนางตั้งสติได้ พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องความเป็นทุกข์ของชีวิต เรื่องความไม่เที่ยงของสังขาร นางก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันทันที คือถ้าไม่เจอทุกข์ด้วยตนเองก็ไม่มีทางที่จะซาบซึ้งถึงธรรมได้

    พระเถรีบางท่านแก่หง่อม เดินไปไหนมาไหนก็ต้องกระย่องกระแย่ง มีไม้เท้ายัน คราวหนึ่งเดินพลาด หกล้ม ตัวกระแทกพื้น เจ็บปวดมาก แต่ท่านมีสติจึงเห็นชัดว่าสังขารเป็นทุกข์ ไม่น่ายึดถือเลย เกิดปัญญา ปล่อยวางสังขารทั้งปวง ก็บรรลุธรรม เรียกว่าท่านบรรลุธรรมได้เพราะความทุกข์ สำหรับบางคนแม้ไม่บรรลุธรรมถึงขั้นเป็นพระอริยเจ้า แต่ความทุกข์ก็สามารถสอนธรรมจนปล่อยวางได้มาก เช่น ตอนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี ๒๕๕๔ ผู้คนสูญเสียทรัพย์สมบัติไปมากมาย แต่มีบางคนได้ธรรมะเป็นรางวัล เพราะได้เห็นอย่างชัดเจนจากเหตุการณ์นี้ว่าแท้จริงแล้วไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลยสักอย่าง ทรัพย์สมบัติที่อยู่กับเราเป็นของชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานก็ต้องพรากจากกัน ถึงแม้จะไม่มีคนเอาไป ก็อาจถูกน้ำพัดพาไป อันนี้เป็นตัวอย่างธรรมะที่สามารถเห็นได้จากน้ำท่วม ใครที่ไม่เจอธรรมะแบบนี้ก็ถือว่าขาดทุน คือทั้งเสียทรัพย์และเสียใจด้วย แต่ถ้าใครเจอทุกข์แล้วเห็นธรรมก็เรียกได้ว่าคุ้มมาก

    ขอให้พิจารณาดูว่าความทุกข์นั้นไม่ใช่เป็นสิ่งเลวร้ายอย่างเดียว มันสามารถนำสิ่งดี ๆ มาให้แก่ชีวิตของเราได้ โดยเฉพาะธรรมะ ความทุกข์สามารถเขย่าใจของเราให้เกิดปัญญาจนเห็นธรรมะได้ เพราะฉะนั้น เวลาเราเจอความทุกข์ อย่ามัวตีอกชกหัวว่าทำไมเราถึงมีเคราะห์กรรมอย่างนี้ จะคิดแบบนั้นก็ได้ ถ้าคิดแล้วทำให้รู้สึกว่าต้องเข้าหาธรรมะเพื่อดับความทุกข์ในจิตใจ แต่จะดีกว่าหากว่าเวลามีความทุกข์เกิดขึ้นเราพยายามหาประโยชน์จากมัน ถ้ามองดูให้ดีจะเห็นว่าความทุกข์ล้วนมีประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ประโยชน์ในทางโลกอย่างเดียว เช่น พอเราป่วยก็มีคนมาเยี่ยมเยียน ให้กำลังใจ แต่ว่ามันยังสามารถทำให้เราได้เห็นธรรมะที่ลึกซึ้ง ยิ่งทุกข์มาก โอกาสที่จะเห็นความจริงที่ลึกซึ้งก็มากขึ้น

    มีผู้หญิงคนหนึ่ง วันหนึ่งพบว่าสามีที่อยู่ด้วยกันมา ๑๐ กว่าปีนอกใจ เธอโกรธแค้นมาก ถึงกับเรียกสามีว่ามึง และด่าว่าเป็นหมูเป็นหมาไปเลย สุดท้ายก็เลิกกัน พอหย่ากันเสร็จเธอก็สบายใจ รู้สึกแปลกใจด้วยซ้ำที่ทำใจได้ ไม่ระทมทุกข์ โศกเศร้า เธอเข้าใจว่าเป็นผลของการปฏิบัติธรรม จึงปล่อยวางได้เร็ว แต่ที่ไหนได้ ๒-๓ เดือนต่อมาเธอไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ๗ คืน ๘ วัน ปรากฏว่าเพียงแค่วันแรกเท่านั้น จิตใจเธอก็รุ่มร้อนมาก เพราะใจนึกถึงพฤติกรรมของอดีตสามี ยิ่งนึกก็ยิ่งแค้น เพราะรู้สึกว่าถูกหักหลัง ถูกหลอกลวง ที่เคยคิดว่าตัวเองปล่อยวางได้ ที่จริงไม่ใช่ แต่เป็นเพราะว่าใจยังไม่ว่างต่างหาก มัวทำโน่นทำนี่ ใจก็เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องสามี แต่พอมาปฏิบัติธรรมแล้วใจก็ว่าง จึงเอาเรื่องเก่า ๆ มาคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น
    ปฏิบัติธรรมวันที่ ๒ ก็ยังรู้สึกรุ่มร้อน วันที่ ๓ ก็ยังร้อนอยู่เพราะเรื่องเดิม พอถึงวันที่ ๔ เช้าวันนั้นเธอเดินจงกรมโดยเอามือกุมไว้ข้างหน้า พอเดินไปหนึ่งชั่วโมงก็รู้สึกเมื่อยมือ จึงปล่อยมือลง พอปล่อยแล้วก็รู้สึกสบายทันที ขณะนั้นเองเธอก็ได้คิดว่าปล่อยเมื่อไรก็สบายเมื่อนั้น ถ้ายึดเอาไว้มันก็ทุกข์ พอเห็นอย่างนี้เธอก็ปล่อยเรื่องของสามีไปจากใจทันที รู้สึกเบาสบายอย่างไม่เคยปรากฏ เธอได้เห็นตอนนั้นอย่างแจ่มแจ้งว่า ทุกข์เพราะยึด สุขเพราะปล่อย
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,090
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    (ต่อ)
    ตอนที่เธอนึกถึงสามีนั้น เธอลืมตัว ทั้ง ๆ ที่คิดแล้วก็ทุกข์แต่ก็ยังคิดไม่หยุด เพราะลืมตัว แต่พอรู้ตัวขึ้นมาหลังจากที่ปล่อยมือแล้วสบาย เธอก็ปล่อยวางเรื่องสามีไปทันที เพราะรู้ว่าคิดไปก็ไม่มีประโยชน์ มันผ่านไปแล้ว จะคิดไปทำไม แต่ตอนคิดนั้นไม่รู้ตัวเลย เรื่องนี้ยังชี้ให้เห็นว่าความทุกข์นั้นเกิดขึ้นเพราะใจที่หมกมุ่นยึดติดกับอดีต แม้สามีจะนอกใจ แต่ถ้าไม่เอามาคิด ก็ไม่ทุกข์
    ทุกข์เพราะยึด สุขเพราะปล่อย คือธรรมที่ผู้หญิงคนนี้เห็น เนื่องจากเจอทุกข์ด้วยตนเอง ถ้าไม่เจอทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม ทุกข์มีประโยชน์ตรงนี้เอง ดังนั้นเวลาเราเจอความทุกข์ต้องรู้จักหาประโยชน์หรือใช้ประโยชน์จากมันให้ได้ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายถึงพูดเรื่องความทุกข์ไว้มาก ก็เพราะว่าทุกข์กับธรรมะนั้นใกล้กันมาก ถ้าเจอทุกข์ก็จะมีแรงผลักให้เข้าหาธรรมะ ยิ่งถ้าเราเห็นทุกข์ด้วยสติ หรือใคร่ครวญทุกข์ด้วยปัญญา ก็จะยิ่งพบธรรมะหรือความจริงที่ลึกซึ้ง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเมื่อรู้ทุกข์ก็พบธรรม
    เพราะฉะนั้นเมื่อเจอความทุกข์ก็ขอให้ตั้งสติดูใจของตน ที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์นั้นไม่ใช่เพื่อให้เราเป็นทุกข์ แต่เพื่อให้เรารู้จักทุกข์ อย่างน้อยก็เริ่มต้นจากการเห็นทุกข์ก่อน คนเราถ้าเห็นทุกข์แล้วจะไม่เป็นทุกข์ ส่วนผู้คนที่เป็นทุกข์นั้นก็เพราะไม่เห็นทุกข์ สังเกตหรือไม่เวลาเรามีความหงุดหงิด หรือความโกรธเกิดขึ้น ถามว่าทุกข์ไหม ทุกคนก็ทุกข์ทั้งนั้น แต่พอเรามีสติเห็นความหงุดหงิด เห็นความโกรธ ความทุกข์ก็จะดับไปเลย เพราะว่า “เห็น” ทุกข์ แต่ไม่ “เป็น”ทุกข์ หรือไม่ “เป็น”ผู้ทุกข์ คนส่วนใหญ่เวลามีความทุกข์แล้วก็จะเป็นผู้ทุกข์ไปเลย ไม่ใช่เห็นทุกข์
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,090
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    (ต่อ)
    เราต้องฉลาดในการเห็นทุกข์ ไม่ใช่เป็นทุกข์ ต้องฉลาดที่จะเห็นความโกรธ ไม่ใช่เป็นผู้โกรธ ฉลาดที่จะเห็นความหงุดหงิด ไม่ใช่เป็นผู้หงุดหงิด แต่ส่วนใหญ่คนเราจะไม่เป็นอย่างนั้น พอเกิดความโกรธขึ้นก็เป็นผู้โกรธเลย พอโกรธแล้วก็ร้อน แต่บางทีไม่รู้สึกว่าร้อนด้วยซ้ำ เพราะว่าใจมัวหมกมุ่นอยู่กับการคิดด่าเขา สรรหาถ้อยคำเพื่อด่าเขาให้เจ็บแสบ หรือคิดหาวิธีแก้แค้น ร้อนก็ร้อน แต่ตอนนั้นใจไม่ได้รับรู้ความร้อนด้วย เพราะคิดแต่จะเล่นงาน ตอบโต้ แก้แค้นเขา อย่างนี้เรียกว่าทุกข์แต่ไม่รู้ว่าทุกข์

    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าเมื่อมีทุกข์ สิ่งที่ต้องทำคือกำหนดรู้ทุกข์ อย่างที่เราสวดบทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีตอนหนึ่งว่า “ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้” ไม่ใช่สิ่งที่ต้องละ สิ่งที่ต้องละคือสมุทัย ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ เมื่อเราเจอทุกข์ อย่างแรกที่ต้องทำคือรู้ทุกข์ คือรู้ว่ากำลังทุกข์อยู่ รู้ว่ากำลังโกรธ รู้ว่ากำลังหงุดหงิด เวลามีอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นคนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว เพราะกำลังถูกอารมณ์ครอบงำอยู่ การมีสติจะช่วยให้เรารู้ทันอารมณ์เหล่านั้น เมื่อมีทุกข์ ก็รู้ว่าทุกข์ นี้คือความหมายแง่หนึ่งของ การรู้ทุกข์

    ต่อมาก็เห็นว่าที่กำลังทุกข์อยู่นั้นไม่ใช่เราทุกข์ มันเป็นกายที่ทุกข์ เป็นกายที่ปวด ไม่ใช่เราปวด ที่ร้อนนั้นไม่ใช่เราร้อน แต่เป็นกายที่ร้อน ที่โกรธก็ไม่ใช่เราโกรธ แต่เป็นจิตที่โกรธ ถ้าไม่มีสติก็ไม่เห็น หลงคิดว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ไปหมด ไปคิดว่าเราปวด เราเจ็บ เราโกรธ เราโมโห มีแต่ตัวเราเป็นผู้กระทำ แต่พอมีสติเราจะเห็นว่าที่จริงแล้วความปวดนั้นเป็นเรื่องของกาย ส่วนความโกรธเป็นเรื่องของใจ เวลาเดินก็เห็นว่า ที่เดินนั้นคือรูปหรือกาย ไม่ใช่เราเดิน เวลาเผลอคิด ก็เห็นว่าใจคิด ไม่ใช่เราคิด ต่อไปก็จะเห็นว่า เวลามีความโกรธเกิดขึ้น ไม่ใช่จิตโกรธหรอก แต่เห็นว่ามีความโกรธเกิดขึ้นที่ใจ ความโกรธก็อันหนึ่ง จิตก็อันหนึ่ง เวลาเมื่อยหรือเกิดทุกขเวทนา ก็จะเห็นว่าทุกขเวทนาก็อันหนึ่ง ร่างกายหรือรูปก็อันหนึ่ง คือจะเห็นแยกเป็นส่วน ๆ แต่ก่อนนั้นไม่ใช่อย่างนี้ คือ รู้สึกว่าฉันปวด ฉันเมื่อย ฉันโกรธ

    บ่อยครั้งเรามักจะเอาความทุกข์ของรูป ความทุกข์ของนาม มาเป็นความทุกข์ของเราหรือตัวเรา ที่จริงแล้วตัวเราหรือ “ตัวกู”นั้นไม่มีอยู่จริง แต่เกิดจากการปรุงแต่งขึ้นมา แล้วก็หลงคิดว่ามันมีจริง ๆ ตัวกูนี้แหละที่รับสมอ้างว่าเป็นเจ้าของความทุกข์ต่าง ๆ มากมาย ไปเอาความทุกข์ของกายมาเป็นความทุกข์ของกู ไปเอาความทุกข์ของใจมาเป็นความทุกข์ของกู ก็เลยทุกข์หนักขึ้น ที่จริงแล้วยิ่งทุกข์เท่าไร ยิ่งต้องสลัดความทุกข์ออกไป ไม่ใช่ดึงมาเป็นของกูหรือตัวกูตลอดเวลา แต่ถ้าเราเจริญสติ พอมีทุกข์ก็จะเห็นว่าที่ทุกข์นั้นไม่ใช่เราทุกข์ แต่เป็นกายที่ทุกข์ เป็นกายที่ปวด ที่โกรธก็ไม่ใช่เราโกรธ แต่เป็นใจที่โกรธ และต่อไปก็จะเห็นว่าความโกรธก็อันหนึ่ง ใจก็อันหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีสติ จิตก็จะไปรวมกับความโกรธ หรือสำคัญมั่นหมายว่าความโกรธเป็นกู แล้วก็เลยมีกูผู้ทุกข์ขึ้นมา

    ความรู้สึกว่า กูทุกข์ กูปวด กูโกรธ อุปมาเหมือนตัวเราไปอยู่กลางกองไฟ ก็ต้องร้อนจนทุกข์ทรมาน แต่พอก้าวออกมาจากกองไฟ ความทุกข์ทรมานก็จะหายไป กองไฟยังร้อนอยู่ ยังลุกโพลงอยู่ แต่เราไม่รู้สึกร้อนแล้ว เพราะว่าเราอยู่ห่างจากมัน จิตที่เห็นความโกรธก็เหมือนกับคนที่เดินออกมาจากกองไฟ แม้ความโกรธยังมีอยู่ แต่ไม่รู้สึกทุกข์แล้ว เพราะมันมีระยะห่างระหว่างจิตกับความโกรธ

    เวลามีความโกรธ ถ้าเรามีสติก็จะเห็นว่าความโกรธก็อันหนึ่ง ใจก็อันหนึ่ง จิตไม่ไปผสมโรงกับความโกรธ มันจะแยกออกมาเป็นผู้รู้ ผู้เห็น จิตเห็นความโกรธ แล้วจะทุกข์ร้อนได้อย่างไร สิ่งที่เราทำในเวลาเจริญสติก็คือเห็นอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายและใจ ไม่ว่าทุกข์เกิดขึ้นกับกายหรือใจ ก็เห็นมันเฉย ๆ ไม่ไปผสมโรงกับมัน แต่วางระยะห่างจากมัน เปรียบเหมือนกับการเดินออกมาจากกองไฟ มีระยะห่างระหว่างเรากับกองไฟ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ทุกข์อีกต่อไป ทีนี้พอเราไม่ทำอะไรกับมัน กองไฟก็ดับไป แต่ที่กองไฟมันยังลุกโพลงอยู่ก็เพราะเราคอยเติมเชื้อเติมฟืนให้มัน เราคิดถึงเรื่องที่โกรธเมื่อไรก็เท่ากับไปเติมเชื้อเติมฟืนให้กับความโกรธ เมื่อคิดถึงคนที่เราโกรธ ก็ยิ่งโกรธมากขึ้น คิดถึงคนที่เกลียด ก็ยิ่งเกลียดมากขึ้น นั่นคือการต่ออายุให้กับความโกรธความเกลียด

    ความโกรธความเกลียดเหมือนกับกองไฟ มันไม่ได้อยู่ถาวรตลอดกาล ไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องมอดดับ แต่เป็นเพราะเราไปต่ออายุให้มัน ไปเติมฟืนเติมเชื้อให้มัน มันก็เลยลุกอยู่อย่างนั้น ต่อเมื่อเราวางเฉย เราเห็นมันเฉย ๆ ดูมันเฉย ๆ มันก็จะค่อย ๆ ดับไปเอง ทุกข์จะไม่ยืดยาวต่อไป

    สรุปก็คือ ที่ท่านสอนว่า ให้รู้ทุกข์ หรือกำหนดรู้ทุกข์นั้น คือ นอกจากรู้ว่าทุกข์คืออะไรแล้ว ยังหมายความว่า เมื่อทุกข์เกิดขึ้นก็ให้รู้ว่าตัวเองทุกข์ เวลาโกรธ ก็ให้รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธอยู่ แล้วก็ควรรู้ไปถึงขั้นว่า ที่กำลังทุกข์อยู่นี้ไม่ใช่เราทุกข์ แต่เป็นรูปหรือกาย นามหรือใจที่ทุกข์ มันเป็นขันธ์ ๕ ที่ทุกข์ ไม่ใช่เราทุกข์ ถ้าเห็นอย่างนี้ก็จะเห็นธรรมชัดขึ้นเรื่อย ๆ รู้ทุกข์ขั้นสุดท้ายก็คือ รู้หรือเห็นว่าไม่มีอะไรที่ไม่ทุกข์เลย สังขารทุกอย่างเป็นทุกข์ไปหมด กายนี้ก็ทุกข์ ใจนี้ก็ทุกข์ ทุกข์ในที่นี้หมายถึงถูกบีบคั้น ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ มีแต่จะเสื่อมสลายดับไป ไม่มีอะไรที่จะให้ความสุขได้อย่างแท้จริง ทรัพย์สินเงินทองก็เป็นทุกข์ ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม มันเป็นทุกข์ไปหมด ก็เลยไม่อยากจะยึดหรือครอบครองอีกต่อไป

    ที่เราหวงแหนสิ่งต่าง ๆอยากครอบครองมัน เพราะคิดว่ามันจะให้ความสุขกับเราได้ แต่พอเห็นว่าทุกอย่างมันเป็นทุกข์ไปหมด เหมือนกับดุ้นฟืนที่ติดไฟ ก็ไม่อยากจะจับหรือถืออีกต่อไป พอรู้ว่ามันเป็นของร้อนก็ปล่อยมันเอง ไม่จับแล้ว อันนี้คือการปล่อยวางเมื่อรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกนี้มีแต่ทุกข์และความดับทุกข์ ที่ดับทุกข์ได้ก็เพราะปล่อย ที่ปล่อยก็เพราะเห็นและรู้ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ นอกจากทุกอย่างจะถูกบีบคั้นจนแตกสลายในที่สุดแล้ว มันยังบีบคั้นผู้ที่ไปยึดถือมันด้วย ยิ่งยึดแน่นเท่าไร ก็ถูกบีบคั้นมากเท่านั้น การเห็นความจริงเช่นนี้ คือความหมายที่ลึกซึ้งของคำว่ารู้ทุกข์ พอรู้ทุกข์แล้วใจก็จะปล่อยวางเอง เกิดความอิสระขึ้นมา ได้พบกับสุดยอดของธรรม คือนิพพาน ซึ่งเป็นความสงบเย็น ทั้งหมดนี้เป็นผลของการรู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง

    รู้ทุกข์ก็พบธรรม นี้คือความจริงที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายค้นพบ ดังนั้นความทุกข์จึงไม่ใช่สิ่งที่เราต้องกลัวและปฏิเสธเสมอไป มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และมีคุณค่ามากที่เราควรรู้จัก ถ้าเราเข้าใจเช่นนี้ก็จะไม่หันหลังให้ทุกข์แล้ว แต่เราจะหันหน้าดูทุกข์ เพื่อรู้จักมัน แล้วเราจะได้ประโยชน์จากมัน

    ทีแรกทุกข์จะผลักเราให้เข้าไปหาธรรมะ แต่ต่อไปเมื่อเรามีสติแก่กล้า เราก็จะรู้จักดูทุกข์ แล้วในที่สุดก็จะพบธรรมที่ลึกซึ้ง เกิดปัญญาจนพาใจออกจากความทุกข์ พบความสงบเย็นได้ในที่สุด
    :- https://visalo.org/article/dhammamata7_3.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...