*ทิพยนิยาย*

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 27 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ทิพยสถานมหาราชิกา

    เนื้อเรื่องต่อจาก ไม่ต้องตายก็ไปสวรรค์ได้ - เทพการุณย์ หน้าที่ 1

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=rMZWXtpiSig"]??????????????????????? Chatumaharajika relaxing music - YouTube[/ame]

    เย็นย่ำค่ำกลางฤดูหนาววันนั้น ปลายเดือนธันวาคม พ.ศ.2534 ข้าพเจ้าเดินออกมาจากศาลาพักศพซึ่งอยู่ที่ท้ายสุดของป่าช้าวัดเมืองปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเตรียมตัวฟังพระสวดพระอภิธรรมศพ พันโทจำนวน จันทรี พี่เขยของข้าพเจ้า ที่ตั้งบำเพ็ญอยู่ที่ศาลาในวัด ข้าพเจ้าเห็นพระหนุ่มชาวต่างประเทศที่ศาลาบำเพ็ญกุศลและทราบต่อมาว่าเป็นชาวเยอรมันที่มาบวชเป็นพระจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ พรรคพวกบอกว่าพระหนุ่มเยอรมันรูปนี้ได้ถือวิเวกพำนักอยู่แต่รูปเดียวในอาศรมศาลาพักศพที่ท้ายป่าช้าซึ่งข้าพเจ้าเพิ่งได้เดินกลับออกมา วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าเล่าให้พรรคพวกฟังว่าเมื่อตอนเย็นวานนี้ได้ไปนั่งสนทนากับสามเณรรูปหนึ่งที่อาศรมศาลาพักศพแห่งเดียวกับที่พำนักของพระหนุ่มเยอรมันตามที่เพื่อนบอก เพื่อนๆ ทั้งหมดพากันยืนยันว่าไม่เคยมีสามเณรหรือพระรูปอื่นอยู่ที่ศาลาพักศพที่ท้ายป่าช้าดังกล่าวแต่อย่างใดนอกจากพระหนุ่มเยอรมันรูปนี้เท่านั้น

    ข้าพเจ้าได้จดบันทึกเค้าโครงเรื่องทิพยสถานมหาราชิกาจากศาลาพักศพท้ายป่าช้าในเย็นวันนั้น ไม่ใช่ได้มาจากพระหนุ่มชาวเยอรมันซึ่งเพิ่งออกมาพบภายหลังที่ศาลาบำเพ็ญกุศลในวัดเมื่อตอนหัวค่ำอย่างแน่นอน “ทิพยสถาน” เรื่องนี้ยังคลับคล้ายคลับคลาอยู่ว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากสามเณรซึ่งได้สนทนากันที่อาศรมศาลาพักศพเป็นเวลานานพอสมควร แต่สามเณรที่ข้าพเจ้าได้พบโดยลำพังกลับไม่มีตัวตนอยู่จริงตามคำยืนยันของผู้ที่ข้าพเจ้าได้ไปสอบถามทั้งหมดในเวลาต่อมา ข้าพเจ้าได้แต่เก็บความประหลาดใจไว้แต่เพียงผู้เดียว ต่อมาอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ด้วยความข้องใจที่คาอยู่ในความรู้สึกจึงได้กลับไปที่วัดเมืองปราณอีกเพื่อจะสนทนาสอบถามพระหนุ่มเยอรมันรูปนั้นให้กระจ่างแจ้งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่าพระเยอรมันไปพำนักอยู่ที่วัดอื่นซึ่งเป็นนิกายธรรมยุตเสียแล้ว ไม่มีผู้ใดทราบว่าไปอยู่ที่วัดไหน เนื่องจากการเปลี่ยนนิกายของพระเยอรมันมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบ ไม่สามารถติดต่อได้มาจนกระทั่งบัดนี้ เป็นความอัศจรรย์เริ่มต้นของทิพยสถานเรื่องนี้

    ครั้งนี้ก็เช่นกัน มีเหตุอัศจรรย์อีกตามสมควรเกี่ยวกับผู้ร่วมอนุเคราะห์ให้หนังสือเล่มนี้ออกมาสู่สายตาท่านผู้อ่านได้ อันสืบเนื่องมาจากในท้ายเรื่องของเล่มนี้มีกล่าวถึงเทพธิดาวิลาสินีแห่งแดนดาวดึงส์ซึ่งเคยดลใจให้ข้าพเจ้าเขียน (ถ่ายทอด) “แดนดาวดึงส์” มาก่อนหน้านี้ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2536 ในท้ายเรื่องแดนดาวดึงส์นั้นกล่าวเป็นการพยากรณ์ไว้ถึงเทพผู้ร่วมสร้างสรรค์ทิพยสถานสู่สายตามนุษยชาติอีกผู้หนึ่งในนามว่า “เทพ” มนุษย์ร่วมสมัยซึ่งเคยอนุเคราะห์ให้สวรรค์ชั้นที่ 2 คือดาวดึงส์ถ่ายทอดเป็นตัวอักษรสู่มนุษย์โลกแล้วเป็นครั้งแรก บัดนี้ “จาตุมหาราชิกา” สวรรค์ชั้นที่ 1 กำลังถ่ายทอดเป็นตัวอักษรสู่มนุษย์โลกเป็นครั้งที่ 2 ผู้อนุเคราะห์ให้หนังสือเล่มนี้ออกมาได้ก็มีนามว่า “เทพ” อีกเช่นกัน คือ “เทพ เมทิน” บรรณาธิการบริหารหนังสือซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แม้จะเป็นคนละท่านกับ “เทพ” คนก่อนแต่ก็ในนามเดียวกัน สอดคล้องต้องกันกับคำพยากรณ์ซึ่งได้กล่าวไว้ในแดนดาวดึงส์โดยที่ข้าพเจ้ามิได้เป็นผู้กำหนดให้เป็นเช่นนี้ได้เอง จึงเป็นความอัศจรรย์สุดยอดในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็น “ธรรมฤทธิ์” โปรดน้อมจิตให้ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วพิจารณาได้ถึงความเจริญรุ่งเรืองและความสำเร็จในวิถีธรรมอันจะนำไปสู่ความหลุดพ้นจากโลกอันน่าสงสารนี้ได้ในที่สุดเทอญ

    “บัญช์ บงกช”


    บัญช์ บงกช
    (บัญชา ยังพะกูล)
    จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    เคยประกอบอาชีพเป็นทนายความ ช่วยเหลือผู้เป็น
    คดีความด้วยความเป็นธรรม เป็นนักเขียน เป็นนัก
    หนังสือพิมพ์ ใช้ความรู้ความสามารถ ใช้คุณธรรม
    และจริยธรรมดำเนินชีวิตมาตลอด จนบัดนี้ได้เห็น
    สัจธรรมแห่งชีวิต จึงได้หันมาเขียนหนังสือธรรมะ
    เผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า อันเป็นคำสอนที่
    วิเศษสุด หากผู้ใดได้ปฏิบัติแล้วจะได้พบกับความสงบ
    กิเลสใดๆ ที่รุมเร้าในทางโลกจะไม่สามารถทำให้ผู้นั้น
    รุ่มร้อน ทุรนทุรายกับความทุกข์ได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มีนาคม 2014
  2. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ลูกสาวลุงตรง

    ลุงตรงซึ่งได้ตายไปแล้ว แกมีลูกสาวอยู่หลายคน พี่ๆ ทุกคนแต่งงานไปอยู่กับสามีที่อื่นทั้งหมด คงเหลือแต่ลูกสาวคนเล็กแต่เพียงคนเดียวที่ยังไม่มีเรือน เป็นคู่ทุกข์คู่ยากอยู่กับแกด้วยกันเพียงสองคนพ่อลูกเพราะเมียแกตายไปหลายปีแล้ว
    ลูกสาวคนเล็กของลุงตรงชื่อ “สุดคะนึง” แต่ลุงตรงผู้เป็นพ่อและเพื่อนๆ มักจะเรียกสั้นๆ ว่า “ไอ้สุด” เพราะเป็นลูกคนสุดท้อง ที่มีคำว่า “ไอ้” นำหน้าเพราะเธอเป็นเด็กสาวจอมแก่นมาแต่เล็กแต่น้อย ขณะนี้อายุเพิ่งจะเริ่มเข้า 21 บรรลุนิติภาวะหมาดๆ

    ไอ้สุด หรือ ไอ้หนูสุด เรียนหนังสือจบชั้นมัธยมหกจากโรงเรียนในอำเภอแล้วก็ออกมาอยู่บ้านกับพ่อเสียเฉยๆ ขี้เกียจเรียนต่อ ใครจะชวนไปสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดก็ได้แต่ขอผลัดวันประกันพรุ่งจนเพื่อนๆ และพ่อพากันเอือมระอาปล่อยเลยตามเลย ความจริงที่ไอ้สุดไม่อยากไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยนั้นก็เนื่องจากมีความดีในใจลึกๆ อยู่อย่างหนึ่งเหมือนกันคือเธอเป็นห่วงพ่อซึ่งชราแล้วและอยู่คนเดียว เธอจึงตั้งใจจะอยู่เป็นเพื่อนพ่อต่างหาก

    ลุงตรงเป็นคนตรงสมชื่อและรักความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง มีจิตใจเมตตากรุณาช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากอยู่เสมอตามกำลังที่ทำได้ แม้จะเป็นคนไม่ร่ำรวยพออยู่พอกินไปวันหนึ่งๆ แต่ก็มีน้ำใจกว้างขวางในเรื่องบุญกุศล เป็นที่นับถือกันทั่วไปในบรรดาญาติโยมที่พากันไปรักษาอุโบสถในวันพระ ลุงตรงแกมีความเชื่อในเรื่องสวรรค์แม้จะไม่เข้าใจคำว่านิพพานมากนักก็ตามที

    ตรงข้ามกับไอ้สุด ลูกสาววัยรุ่นซึ่งก็เหมือนวัยรุ่นส่วนมากที่ชอบแซวพ่ออยู่บ่อยๆ ว่า
    “ถ้าสวรรค์มีจริงทำไมเทวดาจึงไม่เหาะลงมาให้มนุษย์ดูมั่งเล่า”
    “เทวดาก็อยู่ส่วนเทวดา มนุษย์ก็อยู่ส่วนมนุษย์สิวะ...แกอย่าพูดพร่ำล่วงเกินเทวดาท่านนะนรกจะกินหัว”
    ลุงตรงต้องคอยปรามลูกสาวอยู่เนืองๆ
    “ไม่เชื่อว่ามีสวรรค์ก็ตกนรกด้วยหรือพ่อ”
    “ทำไมจะไม่ตกล่ะ ไอ้คนที่คิดว่าไม่มีสวรรค์มันมักจะทำแต่บาปนี่”
    “แต่ฉันไม่เชื่อและฉันก็ไม่ทำบาปจะตกหรือไม่เล่าพ่อ”
    “เอ็งไม่ทำบาปน่ะดีแล้ว...แต่การไม่เชื่อเรื่องสวรรค์นี่พ่อว่ามันเป็นการทำบาปเหมือนกันนะ”
    “ฉันจะเชื่อ ถ้าเทวดาเหาะลงมาให้ดู”
    “วกไปวนมาก็ไปยุ่งกับเทวดาท่านอีกแล้ว”

    ลุงตรงเป็นคนมีความรู้น้อยจึงมักจะหลีกเลี่ยงการกล่าวทีเล่นทีจริงของลูกสาวซึ่งพอมีการศึกษาอยู่ เรื่องพระเรื่องเจ้าเทวดาฟ้าดินเด็กสมัยนี้ชอบล้อเล่น เกรงว่าจะเป็นบาปกรรมแก่ลูกเมื่อตอบไม่ได้ก็จะเป็นฝ่ายยอมแพ้และหยุดเสีย

    กับอาจิต บ้านติดกัน ไอ้สุดก็อดที่จะแซวไม่ได้อยู่บ่อยๆ อาจิตกับพ่อคบค้าสมาคมเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย อาจิตมีอาชีพเป็นครูชั้นผู้น้อยสอนนักเรียนประถม สมัยเป็นหนุ่มเคยมีแฟนแต่อกหัก แฟนไปแต่งงานกับหนุ่มอื่น ครูสมจิตผู้ถือคติรักเดียวใจเดียวนับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีแฟนและไม่คิดที่จะแต่งงานอีกเลยนอกจากจะมีชีวิตอยู่อย่างสมถะไปวันหนึ่งๆ ครูสมจิตตัดใจหันหน้าเข้าวัดปฏิบัติธรรมและฝึกนั่งวิปัสสนากรรมฐาน โดยตั้งใจไว้ว่าสักวันหนึ่งเมื่อเขาตัดห่วงเกี่ยวกับนักเรียนตัวน้อยๆ ที่ส่วนใหญ่มีฐานะยากจนได้เขาจะบวชแล้วไม่สึก สักวันหนึ่งเขาจะบวช

    “ก็เพราะอาจิตคิดแต่จะบวชอยู่ล่ะซีเลยต้องอกหักไม่ได้เบียด”
    ไอ้สุดจอมแซวเคยล้อเล่นกับอาจิตบ่อยๆ เพราะครูสมจิตแกเป็นคนไม่ถือตัวไม่ถือสาและมีความเมตตาลูกสาวลุงตรงอย่างจริงใจเหมือนกับเป็นหลานแท้ๆของเขาเอง
    “ทำไมอาไม่อ้อนวอนขอพรพระเจ้าให้ช่วยดลใจผู้หญิงดีๆ มาเป็นเนื้อคู่สักคนล่ะอา”
    ความทะเล้นบวกกับความเป็นเด็กจอมแก่น มีสัมมาคารวะน้อยของไอ้สุด เมื่อเห็นอาจิตไม่ถือสาก็ชักจะตีตัวเสมอเพื่อนเล่น
    “ถ้าอาจะขอพรพระเช่นนั้น อาว่าขอพรให้พระช่วยดลบันดาลให้ไอ้หนูสุดมีความเป็นลูกผู้หญิงให้มากขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อยคงจะได้กุศลกว่าน่ะ”

    เด็กสาวได้แต่หัวเราะอย่างรู้ทัน ก็ดีไปอีกอย่างหนึ่งตามประสาเด็กที่ชอบแซวผู้อื่นเมื่อถูกแซวเอาบ้างก็ไม่รู้สึกขุ่นเคืองแต่อย่างใดกลับหัวเราะขำขันตัวเองชอบใจเสียอีก
    “ช่วยบันดาลให้หนูมีความเป็นผู้ชายดีกว่าอา หนูจะได้บวชเป็นพระกับอาได้”
    “ผู้หญิงก็บวชชีได้”
    “ไม่แน่นะ...ถ้าเทวดาเหาะลงมาให้หนูเห็น หนูจะบวช”
    “ทำไมต้องเห็นเทวดาเหาะล่ะ”

    “จะได้เชื่อว่ามีเทวดาจริง มีสวรรค์จริง คนเราถ้าจะบวชมันก็ต้องมีความศรัทธาเสียก่อน เมื่อเกิดศรัทธาแล้วใจมันถึงจะแน่วแน่ถ้าจะบวชก็ต้องบวชให้มันดี ไม่ใช่บวชเพียงอาศัยวัดนอน อาศัยข้าวสุกชาวบ้านเขากินไปวันหนึ่งๆ”
    “คิดดีก็เป็นเหมือนกันนี่เรา ถ้าจะบวชก็ต้องบวชด้วยศรัทธาบวชให้ดี...แต่...แต่ต้องมีเทวดาเหาะมาให้ดูเสียก่อน”
    ครูสมจิตปรารภเบาๆ ด้วยความขำขันอยู่ในที

    ทุกวันพระแม้ไอ้สุดจะไม่ค่อยได้ไปวัดบ่อยนักแต่เธอก็จะตื่นแต่เช้าหุงข้าวทำอาหารคาวหวานใส่ปิ่นโตเตรียมให้ลุงตรงไปทำบุญที่วัดมิได้ขาด วันธรรมดาถ้าไม่เบี้ยวเสียไอ้หนูสุดก็จะลุกขึ้นแต่เช้าทำอาหารให้บิดาใส่บาตรหน้าบ้านเหมือนกัน แต่ถ้าวันไหนนอนเพลินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ครูสมจิตเองก็มีความรู้สึกในส่วนลึกๆ อยู่บ้างว่า มนุษย์เราส่วนมากที่ยังลังเลสงสัยเรื่องบาปบุญคุณโทษสวรรค์นรกมีจริงหรือไม่เป็นเพราะเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก ถ้ามีเทวดามาเหาะให้ดูอย่างไอ้หนูสุดว่าน่าจะเป็นการโน้มจิตให้มนุษย์มีความเชื่อมั่นขึ้นมาได้ และจะพากันสร้างกุศลกันมากขึ้น

    ครูจิตจึงฝึกนั่งสมาธิเพื่อทำสมถวิปัสสนากรรมฐานให้เห็นแจ้งตามสภาวธรรม โดยอธิษฐานเบื้องต้นขอพบเทพสัมผัสสวรรค์เพื่อทราบความเป็นไปแห่งสุคติภพเบื้องนั้น และอธิษฐานขอประทานอนุญาตที่จะนำมาแสดงให้ประจักษ์แก่เพื่อนมนุษย์ผู้ถึงกุศลแล้วแต่ยังติดทิฏฐิมานะบดบัง ครูสมจิตให้สัตยาธิษฐานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ว่าจะปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนากรรมฐานรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ได้อธิษฐานไว้นี้เพียงเพื่อดำเนินรอยตามเจตนประสงค์แห่งองค์ตถาคตเจ้า ให้ปรากฏภพสวรรค์เป็นปาฎิหาริย์ ปรารถนาทำลายมิจฉาทิฏฐิแด่บุคคลผู้ถึงบุญให้สิ้นสงสัยเท่านั้น มิหวังให้เป็นเครื่องล่อใจมนุษย์เพื่อความศรัทธาเชื่อถือโดยมิตรองเหตุผลตามธรรมดาธรรมชาติด้วยวิจารณญาณของตนเองแต่ประการใด จงขอให้ประสบพบเห็นอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่อธิษฐานนี้ด้วยเถิด

    ครูสมจิตฝึกนั่งสมาธิเพื่อสมถวิปัสสนากรรมฐานมาเป็นเวลานานพอสมควร พอจะกำหนดจิตให้นิ่งเห็นดวงธรรมปรากฏอยู่ได้นานๆ พยายามฝึกฝนการถอดจิตออกจากสังขารท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ในโลกภพ
    “ดวงจิต” เป็น “ดวงธรรม” กำหนดความหมายให้คงประเภทเป็นดวงอารมณ์ที่รู้แจ้งเห็นจริง สัมผัสจริง มีเหตุจริง ถูกต้องจริง พึงกำหนดดวงความรู้สึกอันกอปรด้วยบุญกุศลนั้นให้เคลื่อนออกจากกายทวารนำความรู้สึกอันเป็นอายตนะและโผฏฐัพพะจากสังขารทั้งสิ้นติดไปกับดวงธรรมที่ปรารถนาท่องเที่ยวเพื่อหยั่งรู้โลกธรรม นามธรรมยังจะนำมาเป็นเครื่องเสริมส่งจิตมนุษย์ให้ตั้งมั่นอยู่แต่กุศลกรรมต่อไป

    “ดวงตา” ขณะที่เราลืมตามองตรงไปข้างหน้าพบเห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างมากมายแต่ลองสังเกตให้ดี ถ้าจิตเราพะวงอยู่กับเรื่องอื่นแม้ตาจะมองแป๋วอยู่เราก็หาเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาไม่ดวงจิตกับดวงตา ดวงจิตเป็นตัวเห็น ดวงตาเป็นตัวรับรูปหยาบให้เห็น แต่ถ้าเป็นรูปละเอียด รูปทิพย์ สมาธิที่นิ่งสนิทเท่านั้นเป็นตัวรับรูปให้จิตเห็นได้
    จะลืมตาหรือหลับตาไม่สำคัญ เมื่อจิตอยู่ในสมาธิที่นิ่งสนิทตาทิพย์จะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ ตาทิพย์อยู่ในจิต มิใช่อยู่ที่ตาเนื้อสองตาบนใบหน้าเรา

    จะลืมตาหรือหลับตาก็แล้วแต่ ลองใช้ตาทิพย์มองไปที่คนคุ้นเคยสักคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกลพ้นสายตาเนื้อออกไป ใบหน้าที่เราเห็นถ้ายังเลือนรางจงเพ่งให้ชัด แล้วมองเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ขณะนั้นเป็นชุดไหน สีอะไร แล้วลองโทร.ไปสอบถามตรวจสอบดูถ้าตรงกับที่จิตเราเห็นจริงก็เป็นตาทิพย์จริง ถ้าไม่ตรงก็ต้องหวนกลับมาสร้างจิตให้บริสุทธิ์ใหม่โดยใช้ศีลเป็นเครื่องฟอก สมาธิเป็นเครื่องนำสู่เป้าหมายปัญญาเป็นเครื่องรับภาพจริงภาพชัดถูกต้องมาสู่สัมผัส

    ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ายังได้สมรรถนะไม่พอเพียง ก็ต้องเพิ่ม “ทาน” นำหน้าเข้าไปอีกตัวหนึ่ง
    “ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา” ประพฤติปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลายให้ครบถ้วน ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญมั่นคงรับรองล้านเปอร์เซ็นต์ ตาทิพย์ หูทิพย์ จะเกิดในจิตผู้ปฏิบัติอย่างแน่นอน
     
  3. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สวรรค์โน้มนำจิต

    ครูสมจิตประพฤติปฏิบัติและฝึกฝนจนเชี่ยวชาญคล่องแคล่ว สิ่งที่เขาได้สัมผัสในสมาธินั้นจึงมักจะเป็นของจริงตรงกันเสมอจนหนุ่มใหญ่สิ้นความลังเลสงสัย
    แต่อันที่จริงเพราะเขาสิ้นความลังเลสงสัยขึ้นก่อน จิตเขาจึงได้สัมผัสของจริง
    ตาทิพย์ หูทิพย์ มองเห็น ได้ยินกว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุดเพราะเป็นการมองและฟังด้วยกระแสสัมผัส จะอยู่ไกลใกล้ ละเอียด หยาบ ใหญ่ เล็กเพียงใดก็สัมผัสได้ทั้งนั้น

    ลุงตรงเป็นอีกผู้หนึ่งที่สนใจฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐานกับครูสมจิตอยู่เสมอ ว่าที่จริงสำหรับลุงตรงน่าจะเรียกว่าฝึกสมาธิหรือสมถะมากกว่าเพราะลุงตรงแกมีความรู้สึกอยู่ในส่วนลึกว่า การจะขออธิษฐานล่วงล้ำไปสูงสุดถึงนิพพานหรือพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะพระพุทธองค์เป็นสิ่งสูงสุดซึ่งมนุษย์อย่างเราไม่พึงบังอาจเอื้อมอธิษฐานไปถึงท่านได้

    ลุงตรงเพียงแต่อธิษฐานสัมผัส “สวรรค์” เท่านั้น
    ทำบุญทุกคราวก็หวังเพียงเพื่อสวรรค์เป็นที่ตั้ง
    แม้พระท่านจะเทศนาสั่งสอนว่าการขออธิษฐาน “นิพพาน” นั้นเป็นการตั้งจิตปรารถนาเบื้องต้น ณ ชาตินี้ไว้ก่อน ซึ่งต่อไปอีกร้อยชาติพันชาติจึงจะได้สมปรารถนาก็ได้ มิใช่เมื่อตั้งจิตอธิษฐานแล้วจะได้ไปถึงเลยนั้นไม่มี

    การอธิษฐานเป็นการตั้งต้นที่จะเริ่มสร้างกรรมดี สะสมบุญกุศลสร้างทานบารมี แล้วชาติต่อๆ ไปจิตจะโน้มสูงขึ้นๆ ไปด้วยบุญบารมีเป็นอัตโนมัติ
    “ฉันไม่เอา ฉันขออธิษฐานเพียงสวรรค์เป็นพอ”
    ลุงตรงยืนยันมั่นเหมาะเสมอต้นเสมอปลาย
    บุญมีแต่กรรมยังบังชนส่วนใหญ่ที่เป็นพุทธบริษัท ให้เกิดความรู้สึกห่างไกลนิพพานอยู่อีกมากมาย สวรรค์เท่านั้นเป็นภาวะใกล้ตัวที่ผู้ทำบุญส่วนใหญ่ระลึกถึง

    เมื่อหลับตาทำสมาธิคราวใด ลุงตรงจึงมีความรู้สึกในจิตสัมผัสว่าสวรรค์นั้นอยู่สูงขึ้นไป ในขณะที่จิตสัมผัสของครูสมจิตรู้สึกว่าสวรรค์นั้นอยู่บริเวณยอดเขาลิบๆ ที่เห็นอยู่เบื้องล่างเพราะครูสมจิตอธิษฐานจิตทุกคราวขึ้นเฝ้าถวายบูชาพระพุทธเจ้าทั้งห้าเป็นที่พึ่ง แล้วจึงขอประทานอนุญาตนิมิตสวรรค์ตามที่จิตปรารถนา และในสัมผัสต่อๆ มาครูสมจิตพึงมีความรู้สึกอันเกิดขึ้นเองจากสมาธิว่า สุคติภพนั้นมิใช่อยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่เป็นภพที่สูงเข้าไปในนิมิตของความละเอียดประณีตกระจ่างโปร่งแสงใสแห่งดวงธรรมอันเกิดจากดวงจิตที่บริสุทธิ์แน่วแน่ในสมาธิต่างหาก

    หมายถึงภพที่ละเอียดประณีตกว่าเป็นภพที่สูงกว่า
    และภาวะที่โปร่งใสที่สุดจนไม่มีความละเอียดเหลืออยู่เลยนั่นคือภาวะแห่งนิพพาน
    เป็นภาวะที่ไม่มีจิต ไม่มีรูป เพราะจิตและรูปอันสิ้นอาสวกิเลสทั้งปวง สิ้นกรรมทั้งปวงแปรสภาพเป็นดวงธรรมสกาวสุกใสเสวยสุขสงบนิ่งมิเปลี่ยนแปลงอยู่ชั่วนิรันดร

    “สูงและยากเกินไป”
    ลุงตรงได้แต่ส่ายศีรษะทุกครั้งเมื่อมีการคุยกันเรื่องนิพพาน
    “อย่างลุงขอแค่สวรรค์ชั้นต้นๆ ก็พอ”
    ลุงตรงปรารถนาเพียงแค่นั้นเพราะความรู้สึกของแกต้องการแค่นั้นจริงๆ
    ผู้ไม่ปรารถนานิพพานจะไม่มีโอกาสได้ถึงนิพพานเลย มนุษย์เช่นลุงตรงยังมีอยู่อีกเกือบหมดทั้งโลกภพ หมายถึงเป็นผู้ไม่กล้าคิดอาจเอื้อมให้ถึงนิพพาน เพราะคิดว่านิพพานเป็นสิ่งสูงสุดเกินเอื้อม
    ลองดูกับจิตของท่านเอง ณ บัดนี้ก็ได้ จะปรารถนานิพพานกันไหม

    ถ้าปรารถนาก็จงลุกไปกราบพระพุทธรูป และตั้งจิตแน่วแน่ขออธิษฐานต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่านับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปข้าพเจ้าขอปรารถนาจิตเดินเข้าสู่นิพพาน ข้าพเจ้าจะตั้งตนตั้งใจปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา ตามแนวทางคำสั่งสอนแห่งพระพุทธองค์อันเป็นเครื่องนำสู่นิพพานตลอดไป เมื่ออธิษฐานแล้วพุทธบารมีจะส่งเสริมจิตท่านให้ปฏิบัตินิพพานกิจเอง ผู้ใดมีบุญบารมีสะสมไว้มากจะกระตุ้นให้จิตปฏิบัติกิจเร็วขึ้นไปถึงนิพพานเร็ว ผู้ใดมีบุญบารมีน้อยจิตจะเฉื่อยชากว่าไปถึงนิพพานช้า ผู้ไม่มีบุญบารมีอยู่ก่อนเลยก็จะเกิดบุญบารมีขณะอธิษฐานจบ ผู้ใดที่ตั้งจิตอธิษฐานแล้วจะถึงซึ่งนิพพานทุกคน ช้าเร็วขึ้นอยู่กับบุญบารมีดังกล่าว

    ผู้ใดไม่กล้าอธิษฐานเช่นนั้นจะไม่มีโอกาสถึงนิพพานเลย
    ผู้อธิษฐานถึงนิพพานจะถึงสวรรค์ได้ง่ายกว่าผู้อธิษฐานเพียงแค่สวรรค์เท่านั้น
    และผู้ที่อธิษฐานเพียงสวรรค์ ถ้ายังไม่รำลึกถึงนิพพานได้ก็จะไม่สามารถไปนิพพานได้
    สุคติภพและนิพพานจะถึงได้ด้วยการอธิษฐานเป็นเบื้องต้นผู้ที่สมัครใจไปจึงจะได้ไป ตรงข้ามกับทุคติภพไม่ต้องสมัครไม่ต้องตั้งใจไปก็ไปได้ และต้องไปทุกคนโดยอัตโนมัติสำหรับผู้ที่สร้างอกุศลกรรม

    “ทำบุญแต่ไม่อธิษฐานสุคติภพจะไปสวรรค์ได้ไหม”
    ไอ้สุดเคยตั้งคำถามกับครูสมจิตทีเล่นทีจริง
    “ทำบุญกับพระโดยรับศีลรับพรพระเป็นการอธิษฐานจิตถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ครบถ้วนแล้ว ล้วนแล้วแต่อธิษฐานถึงสวรรค์นิพพานกันโดยไม่รู้ตัว ผู้ทำบุญเช่นนั้นมิใช่ไปเพียงสวรรค์แต่จะไปถึงนิพพานกันทุกคน แม้กระทั่งลุงตรงพ่อของหนูก็เถอะที่บอกว่าขอแค่สวรรค์ แต่ในที่สุดก็จะต้องไปถึงนิพพานจนได้เพราะได้อธิษฐานไว้ทุกคราวที่ทำบุญ”

    “ก็แสดงว่าคนที่ทำบุญกับพระสงฆ์ทุกคนจะได้ไปถึงสวรรค์นิพพานกันทั้งนั้นหรืออา”
    “ใช่...เช่นนั้น จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับบุญบารมี กรรมเก่ากรรมใหม่เป็นตัวกระตุ้นหรือตัวถ่วง เพราะผู้ที่เปล่งจิตหรือวาจาอธิษฐานด้วยความตั้งใจจริง สุคติภพเบื้องบนตั้งแต่เบื้องต้นขึ้นไปจาริกรับสาธุการเหมือนได้ลงทะเบียนรับรู้และแผ่ทิพยกุศลลงมาเสริมจิตผู้อธิษฐานเป็นเบื้องต้นทั่วทุกคนแล้ว”
    “เท่ากับว่าคนที่ทำบุญในพุทธศาสนา ทำบุญกับพระรับศีลรับพรพระทุกคนจะได้ไปถึงนิพพานด้วยกันทั้งสิ้นเลย...นานอีกเท่าไรล่ะอา”

    “อาจอีกแสนปี ล้านปี โกฏิปี หรือโกฏิโกฏิปีก็แล้วแต่ หรืออาจชั่ววินาทีที่จะถึงนี้ก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวกระตุ้นหรือตัวถ่วงนั้นแหละ”
    “อีกแสนปี ล้านปี เราก็ไม่รู้ตายไปไหนกันหมดแล้ว”
    “สังขารแปรสภาพเน่าเปื่อยตายไปชาติแล้วชาติเล่าหลายชาติหลายภพวนเวียนอยู่เช่นนั้น จิตวิญญาณก็แตกสลายดับแล้วเกิดอีกด้วยเชื้อกิเลสตัณหาที่ยังไม่หมดเป็นตัวปัจจัยนำไปสู่ภพใหม่ตามกรรมดีกรรมชั่วจนกว่าจะไปสู่ภาวะนิพพานเท่านั้นจึงจะสิ้นสุดลง”
    ไอ้สุดนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย ในความรู้สึกส่วนลึกอยากจะเชื่อ แต่อะไรเล่าจะเป็นเครื่องยืนยันความจริงได้ แล้วเด็กสาวก็ลดสายตาลงมาอยู่บนใบหน้าครูสมจิตอีกครั้งหนึ่ง ส่ายหน้าช้าๆ

    “เพี้ยง...ถ้าสวรรค์มีจริงเทวดาช่วยเหาะลงมาให้ดูสักหน่อยเถอะน่ะ ไอ้สุดจะเชื่อถึงโกฏิเปอร์เซ็นต์ทีเดียว”
    ครูสมจิตได้แต่มองตามหลังเด็กสาวที่กำลังวิ่งไปซ้อนท้ายรถเครื่องที่เพื่อนมารอรับอยู่หน้าบ้านพร้อมกับส่ายหน้าอย่างท้อแท้เช่นกัน

    “จริงสินะ ถ้าสวรรค์มีจริงๆ เราสามารถปฏิบัติธรรมกำหนดจิตให้สัมผัสสวรรค์ได้เพื่อนำมาสู่กระแสสัมผัสแก่ผู้ถึงบุญที่ยังลังเลเพื่อให้เขาสิ้นสงสัยก็จะเป็นกุศลมหากุศลไม่น้อยเลยที่จะช่วยโน้มจิตผู้ถึงบุญเหล่านั้นให้เชื่อมั่นขึ้นได้”
     
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ต้นโพธิ์เทวดา

    นับแต่นั้นเป็นต้นมา ครูสมจิตก็อธิษฐานจิตทุกครั้งที่ทำสมาธิเพื่อเจริญวิปัสสนากรรมฐานเพื่อพบเทพสัมผัสสวรรค์เป็นเบื้องต้น โดยมิลืมที่จะพิจารณาถึงความเกิดและดับตามสภาวธรรมอันเป็นจุดหมายเบื้องสูงต่อไป
    ในนิมิตแห่งวิปัสสนากรรมฐานอีกครั้งหนึ่ง ดวงจิตแห่งสภาวะดวงธรรมของครูสมจิตสัมผัสนมัสการกระทำพุทธบูชาพระจุฬาโมลีและพระทาฐธาตุ (มวยผมและพระเขี้ยวแก้ว) ของพระพุทธเจ้าอันสถิตเสถียรอยู่ในพระจุฬามณีเจดีย์ ณ ดาวดึงส์เทวโลก ขอบารมีแห่งพระพุทธองค์จนจิตแจ่มใสปีติบริสุทธิ์แล้วจึงเลื่อนลอยเข้านมัสการท้าวสักกะ จอมเทพเทวราชผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนั้น

    องค์สักกะเทวราชแห่งดาวดึงส์สวรรค์ชั้น 2 ที่มนุษย์รู้จักในนาม “พระอินทร์” นั้นเป็นองค์เทพที่ปรากฏกายทิพย์สีเขียวสดใสโปร่งแสงออกประกายน้ำเงินแวววาวรัศมีกระจ่างสว่างไสวให้ความรู้สึกเย็นตาเย็นใจแต่ใสสว่างกว่าแสงอาทิตย์ที่ลอดเร้นปลายแสงขึ้นมาเพียงบางเบา

    “ข้าฯแด่องค์พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ ข้าน้อยยังติดอยู่ในสังขารกายหยาบแห่งมนุษย์แต่พยายามฝึกปรนจิตให้ละเอียด...ข้าปฏิบัติธรรมพึงพบเทพเทวดาและสัมผัสสวรรค์เพื่อจะนำไปโน้มจิตมนุษย์ผู้ถึงบุญให้สิ้นความสงสัยลังเล นอกจากองค์เทวราชผู้เมตตาดังปรากฏขณะนี้แล้วข้าจะพึงประพฤติปฏิบัติเช่นไรจึงจะนำจิตตนไปสัมผัสเทพเทวดาทั้งหลายได้เป็นวิสัย”

    องค์ท้าวสักกะยิ้มน้อยๆ ด้วยเมตตา พยักพระพักตร์ช้าๆ
    “ท่านผู้มีบุญมาสัมผัสดาวดึงส์ด้วยพุทธบารมีแห่งพระจุฬาโมลีและเขี้ยวแก้ว ท่านผู้มาจากที่สูงสุด ท่านพึงปฏิบัติจิตให้ถึงซึ่งหิริโอตตัปปะเถิดจะสัมผัสเทพเทวดาได้ทุกเมื่อ”
    “หิริโอตตัปปะ” ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป
    “จริงสินะ เทพเทวดาพึงปฏิบัติวิสัยจิตด้วยหิริโอตตัปปะ ถ้าเราทำวิสัยจิตเป็นปกติเช่นเทวดา จิตเราก็จะสัมผัสเทวดาได้”
    ครูสมจิตจึงประพฤติใจและกายไม่ให้คิดบาปไม่ให้ทำบาป คิดแต่ในสิ่งที่เป็นกุศลทำแต่ในสิ่งที่เป็นกุศลเพื่อเสริมจิตให้ถึงสวรรค์อย่างแท้จริง

    หลายปีต่อมาที่ครูสมจิตปฏิบัติประพฤติตนอยู่ใน ทาน ศีล ภาวนา เป็นปกติวิสัย พยายามฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐานจนแจ้งชัดแล้วคืนวันนั้นครูสมจิตก็แสวงหาที่สงัดวิเวกที่ริมป่าช้าวัดเมืองใกล้บ้านนั่งทำสมาธิเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถอดจิตปล่อยร่างเข้าสู่ภพสวรรค์ดังที่ได้ตั้งปรารถนาไว้มาเป็นเวลาหลายปี

    เป็นครั้งแรกที่เขาพบเทพสัมผัสสวรรค์ได้อย่างแจ้งชัด คือเทพมันตาและวิมานทองคำ
    และเป็นครั้งสุดท้ายที่ลุงตรงเพื่อนบ้านผู้แสนดียังยืนยันเมื่อตอนเย็นก่อนที่เขาจะออกมาจากบ้าน
    “อย่างลุงขอแค่สวรรค์ชั้นต้นๆ ก็พอ”
    บัดนี้จิตวิญญาณของลุงตรงไปสู่สวรรค์ชั้นแรก อันปรากฏรูปนิมิตด้วยประกายทองเป็นที่ตั้งสมอธิษฐานจิตในสุคติภพซึ่งมีชื่อว่า “จาตุมหาราชิกา” และจะเสวยทิพยสุขอยู่ที่นั่นนานแสนนาน

    ไอ้สุด ลูกสาวคนเดียวของลุงตรงเชื่อเข้าไปครึ่งหนึ่งแล้วว่าสวรรค์มีจริงหลังจากที่ได้ฝันเห็นพ่อเป็นเทพบุตรอยู่ในอาณาจักรเทพมันตาตรงกับคำบรรยายในจดหมายปิดผนึกที่ครูสมจิตบันทึกให้ไว้ก่อนเพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความเป็นจริง
    “เจ้าประคู้ณ...ถ้าพ่อเทพการุณย์รับรู้เหาะลงมาให้หนูเห็นสักนิดหนูจะบวชชีไม่สึกจริงๆ ด้วย”
    เด็กสาวพนมมือท่วมหัวอธิษฐานยังติดเล่นอยู่ทั้งๆ ที่จิตค่อยโน้มสู่กระแสศรัทธาเข้ามาพอสมควรแล้ว
    “ในภพแห่งความละเอียดประณีต หนูสุดต้องฝึกจิตให้ละเอียดประณีตตามไปด้วยจึงจะสัมผัสกายละเอียดเช่นนั้นได้”
    “หมายความว่าอาจิตจะให้หนูหัดนั่งสมาธิอย่างนั้นหรือ”
    “ถ้าปฏิบัติได้ บางทีอาอาจขอให้พ่อของหนูเหาะลงมาให้หนูเห็นก็ได้”

    ครูสมจิตรำลึกถึงเทพมันตา
    “ถ้าเราสัมผัสองค์เทพมันตาอีก และไอ้หนูสุดเคยมีบุญบารมีถึงบางทีเราอาจขออนุญาตเทพผู้เป็นเจ้าแห่งอาณาจักรให้ลุงตรงผู้โอปปาติกะเป็นเทพการุณย์มาปรากฏปาฏิหาริย์แก่ธิดาอันเคยกตัญญูสมัยเป็นมนุษย์ดูสักครั้งหนึ่งก็น่าจะได้”
    ในจิตสัมผัสแวบหนึ่ง ครูสมจิตรู้สึกว่าขนลุกซู่คล้ายเห็นเทพมันตาปรากฏสัมผัสรับรองแต่ไอ้หนูสุดจะต้องเริ่มปฏิบัติธรรมให้สม่ำเสมอตั้งแต่บัดนี้

    “หนูสุดจะเชื่ออาหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ถ้านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป หนูสุดปฏิบัติธรรมทำบุญทำทานสม่ำเสมอสักวันหนึ่งพ่อของหนูจะเหาะลงมาให้ดู อามีความรู้สึกเชื่อมั่นอย่างนั้น”
    เขากล่าวประโยคสุดท้ายบอกความรู้สึกอย่างเชื่อมั่น ไอ้หนูสุดแม้จะเป็นเด็กผู้หญิงที่เคยกระด้างแก่นแก้วแต่มีนิสัยอย่างหนึ่งลองถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วจะทำจริง

    “ไม่เห็นยากเย็นอะไรเลย...ทำบุญทำทาน เพราะทุกวันนี้เราก็ไม่ทำบาปอยู่แล้ว อยู่ว่างๆ ตื่นแต่เช้ามืดหุงข้าวใส่บาตรพระทุกวันไปวัดทุกวันพระแทนพ่อ เหลือกินก็ทำทานกับคนยากจนและหมูหมากาไก่บ้างสนุกดีเสียอีกเพราะสักวันหนึ่งพ่อจะเหาะมาให้เราดู”
    เด็กสาวคิดอยู่ในใจเห็นเป็นของสนุกง่ายดาย และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาพระที่มารับบาตรทุกเช้าไม่ผิดหวังกับลูกสาวลุงตรงเลยแม้แต่ครั้งเดียว และทุกวันพระทั้งในพรรษานอกพรรษา ไอ้หนูสุดคะนึงก็กลายเป็นตัวแทนลุงตรงมาทำบุญที่วัดและปฏิบัติกิจอุบาสิกาทุกวันพระมิได้ขาดเลย

    คนเราเมื่อจิตโน้มเข้าหาบุญกุศลดวงจิตก็ผ่องใส สมาธิก็เกิดขึ้นมาเองเป็นกุศลกรรม เมื่อจิตมุ่งมั่นการทำสมาธิก็เป็นของง่าย ไอ้หนูสุดขอให้อาจิตฝึกสมาธิและเจริญสมถวิปัสสนากรรมฐานเอง ครูสมจิตดีใจยิ่งนักที่บุญกุศลจากการวิปัสสนากรรมฐานของตนชักจะเริ่มบังเกิดผลขึ้นมาให้เห็นแล้ว เมื่อไอ้สุดเด็กสาวจอมแก่นผู้นี้หันมาปฏิบัติธรรมและออกปากขอฝึกสมาธิทำสมถวิปัสสนากรรมฐานด้วยความตั้งใจของตนเอง เขาจึงแนะนำกำหนดจิต ในไม่ช้าเด็กสาวก็เข้าถึงวิธีการและสัมผัสกระแสที่ถูกต้อง

    “วิธีการขั้นตอนดูมันยุ่งยาก แต่ปฏิบัติการที่ตรงเป้าแล้วดูเป็นของง่ายดาย”
    เมื่อเข้าใจจุดประสงค์ของการปฏิบัติเป็นอย่างดีแล้วก็เห็นเป็นของง่าย หนูสุดคิดคะเนอยู่ในใจ

    “การไม่ทำชั่วทั้งหมดนั้นต่างหากเป็นบุญกุศลเก่าของหนูสุดคะนึงที่ติดตามตนมาแต่อดีตภพ ถ้าชาตินี้จิตของเธอสัมผัสรู้จักบุญเป็นที่ตั้งได้แล้วเธอก็จะตั้งหน้าแต่ทำดีทั้งหมด แล้วเมื่อนั้นเธอจะเป็นผู้มีจิตใจผ่องแผ้วแจ่มใส เธอจะถึงขั้นบรรลุมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่งในชาตินี้ ฉะนั้นถ้าเทพการุณย์ปรารถนาที่จะปรากฏปาฏิหาริย์ให้ทายาทโลกธรรมอันเป็นสายเลือดโดยแท้มาครั้งหนึ่งนั้นเห็นการเหาะของท่านเพียงเพื่อช่วยเสริมจิตผู้ถึงบุญแล้วให้มั่นคงยิ่งขึ้น ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ก็คงจะอนุโมทนาสาธุการประทานเทวอนุญาต”

    เทพจิตตังค้อมคำนับเทพมันตาด้วยปีติเป็นที่ยิ่ง เทพการุณย์ที่อยู่เบื้องใกล้ก็ปีติเช่นเดียวกัน แล้วเทพทั้งสามก็เลื่อนลอยเข้าเฝ้านมัสการท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ อันมีท่านท้าวธตรฐ ที่ครอบครองสวรรค์ด้านบูรพาทิศ ท่านท้าววิรุฬหกผู้ครองสวรรค์ด้านทักษิณา ท่านท้าววิรูปักษ์ผู้ครองสวรรค์ด้านอัสดง และท่านท้าวเวสสวัณผู้ครองสวรรค์ด้านอุตตระ ขอพระบรมเทวราชานุญาตเพื่อสร้างกุศลกรรมให้ปรากฏเป็นปาฏิหาริย์สักครั้งหนึ่งในโลกภพ
    ท่านท้าวโลกบาลทั้งสี่ทราบจิตประสงค์อันเป็นกุศลก็มีเทวราชานุญาตด้วยความยินดี พร้อมกับอนุโมทนาสาธุด้วยกับมหากุศลอันจะบังเกิดขึ้นในครั้งนี้

    ณ ราตรีแห่งคืนปุรณมี พระจันทร์เต็มดวงขึ้น 15 ค่ำ มัชฌิมยามกำลังเริ่มต้น อุบาสิกาสาวสุดคนึงปลีกตัวออกมาจากกลุ่มนั่งทำสมาธิเจริญสมถวิปัสสนากรรมฐานแต่ผู้เดียวที่ระเบียงศาลาอันเงียบสงบหันหน้าไปทางทิศตะวันออกซึ่งมีต้นโพธิ์ใหญ่สะบัดใบพลิ้วไหวระริกอยู่เบื้องหน้า พระจันทร์ดวงโตลอยเด่นขึ้นสูงเกือบครึ่งท้องฟ้า ลมเย็นอ่อนๆ โชยพัดมามิขาดสายเสริมจิตที่สงบให้ผ่องแผ้วแจ่มใสยิ่งนัก
    ในนิมิตแห่งสมาธิ สุดคะนึงกำลังหลับตาอยู่เธอสัมผัสชัดแจ้ง พ่อเทพการุณย์ เทพมันตา และเทพจิตตัง ณ ดินแดนที่สดสวยสุขสม เธอคิดว่าเธอฟุ้งซ่านไปเองจึงออกจากสมาธิแล้วตั้งต้นสำรวมจิตมั่นเข้าใหม่ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเธอก็สัมผัสชัดแจ้งเช่นนั้น จนครั้งสุดท้ายเทพการุณย์จึงได้พยักหน้าบอกว่าดวงจิตของเธอมาสัมผัสถูกต้องแล้ว

    “ประเดี๋ยวพ่อจะไปส่งเจ้า”
    เทพการุณย์กล่าวชัดถ้อยชัดคำ เทพจิตตังพยักเพยิดเออออ แล้วเทพมันตาก็พยักหน้าอนุญาตพ่อลอยเลื่อนตามมาจนจิตกลับเข้าสู่ร่างที่ระเบียงศาลา เธอถอนสมาธิลืมตาขึ้น ปรากฏเทพการุณย์ในกายทิพย์มีประกายแสงสีทองเรืองรองลอยอยู่กึ่งกลางต้นโพธิ์ปรากฏอยู่เช่นนั้นมิอันตรธานไป
    สุดคะนึงขยี้ตาตัวเองแล้วหลับตาลงครู่หนึ่งและลืมขึ้นใหม่
    กายทิพย์ของเทพการุณย์ยังคงปรากฏเรืองรองอยู่เช่นเดิม ณ กลางต้นโพธิ์ใกล้ศาลาเธอเห็นชัดและพนมมือไหว้อีก ร่างในประกายเรืองรองยังปรากฏอยู่

    เธอลุกขึ้นไปปลุกอุบาสิกาผู้มีอายุซึ่งเป็นหัวหน้าอุบาสิกาทั้งหลายให้ออกมาดูเป็นสักขี หัวหน้าอุบาสิกาวัยสูงอายุก็ออกมาเพ่งพิศกายทิพย์ในแสงสว่างเรืองรองที่ลอยอยู่จนเป็นที่ประจักษ์ชัดในสายตาเนื้อทั้งสองคนจนสิ้นสงสัยในสายตาตัวเองแล้ว เทพการุณย์ผู้บิดาก็อันตรธานไปเป็นอัศจรรย์
    “ในที่สุดพ่อก็เหาะลงมาให้ดูได้จริงๆ”
    สาวสุดคะนึงก้มลงกราบที่พื้นระเบียงศาลาและพึมพำเบาๆ กับหัวหน้าอุบาสิกาผู้ประจักษ์เป็นสักขีพยาน
     
  5. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สู่ทางสวรรค์

    คุณป้าทองใบ หัวหน้าอุบาสิกายังงงๆ อยู่ ขยี้ตาตัวเองอีกครั้งหนึ่งแล้วเพ่งมองไปที่กลางต้นโพธิ์ใหม่ ไม่มีร่างเรืองรองนั้นอีกแล้ว
    “เทวดาลงมาโปรดเราแล้วหนูสุด”
    แกเพิ่งหายงุนงง อุทานขึ้นด้วยเสียงอันดังพร้อมกับนั่งพับเพียบก้มลงกราบมากกว่าสามครั้งแล้วจึงเข้าไปปลุกอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายที่มาร่วมกันถือศีลอุโบสถอยู่บนศาลาวัดในคืนวันพระเป็นประจำ

    “ตื่น...ตื่น...เร็วเข้า เทวดาเหาะมาโปรดเราแล้ว”
    ทุกคนลืมตาขึ้นหายงัวเงียอย่างรวดเร็ว ต่างพากันลุกขึ้นวิ่งตามคุณป้าทองใบไปที่ระเบียงศาลาซึ่งมีหนูสุดนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่แต่ผู้เดียว คุณป้าทองใบชี้ไปที่ต้นโพธิ์ใหญ่
    “ท่านเหาะลอยอยู่ตรงกลางต้นโพธิ์ เรืองรองเป็นรัศมีสีทองโปร่งใสงดงามเหลือเกิน ไม่เชื่อถามหนูสุดดูก็ได้”
    คุณป้าทองใบชะงักเมื่อเห็นพรรคพวกทำหน้าตาเลิ่กลั่ก เพราะพวกเขามองไปก็เห็นแต่ใบโพธิ์แกว่งไกวล้อประกายจันทร์เล่นแว้บวับอยู่เท่านั้น
    ทุกคนนั่งล้อมวงหนูสุด
    “หนูเห็นอะไรหรือ”
    “เทวดาจ้ะ...เทวดาเหาะมาให้เห็นจ้ะ”
    เธอตอบยิ้มๆ ด้วยเสียงราบเรียบ พวกเขายังสงสัยไม่เชื่ออยู่ดี
    “เทวดาเป็นยังไงหรือ...”
    “เหมือนกับที่คุณป้าทองใบบอกนั่นแหละจ้ะ”
    เขาพากันจ้องหน้าหนูสุดเหมือนจะค้นหาความจริง และเหลียวไปมองหน้ากันเองอย่างแคลงใจ
    “หนูเห็นด้วยตาจริงๆ หรือเห็นในสมาธิล่ะ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตั้งคำถาม
    “ทั้งในสมาธิและด้วยสายตาจริงๆ จ้ะ”
    สุดคะนึงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและราบเรียบเช่นเดิม
    “เป็นไปได้หรือ...เทวดามีจริงหรือ...”
    หลายๆ คนอยากจะเชื่อแต่ก็ลังเล ได้แต่รำพึงกันเบาๆ ในประโยคคล้ายคลึงกัน
    “มีจริงจ้ะ...เทวดามีจริง”
    หนูสุดคะนึงยืนยันหนักแน่นอีกครั้งหนึ่งพลางชี้มือไปที่ร่างขาวโพลนร่างหนึ่งซึ่งกำลังเคลื่อนไหวเข้ามาในบริเวณร่มเงาต้นโพธิ์เบื้องล่างนั้น
    “นั่นก็เทวดา”
    สายตาทุกคู่หันขวับไปที่เรือนร่างในชุดแต่งกายสีขาวล้วนเช่นผู้จำศีล ที่ค่อยๆ เดินช้าๆ ออกมาจากป่าช้าเข้ายืนอยู่ในเงาสลัวเลือนลางของต้นโพธิ์ใหญ่ แสงจันทร์กระจ่างจากกลางฟ้าทอประกายให้เห็นเรือนร่างนั้นได้พอประมาณ เมื่อเพ่งพิศดูจนชินสายตาบางคนก็กล่าวขึ้น
    “ครูสมจิตนั่นเอง”
    อุบาสกอุบาสิกาอีกหลายคนพากันโล่งอก
    “อ้อ...เทวดาสมจิตเองหรอกหรือ คิดว่าเทวดาองค์ไหนเหาะลงมา”
    “นั่นแหละเทวดา...มีนามว่า เทพจิตตัง”
    อุบาสิกาสาวสุดคะนึงกล่าวเสียงราบเรียบจริงจังแต่อยู่นอกเหนือความสังเกตของผู้ที่นั่งล้อมอยู่ ทุกคนเปลี่ยนความรู้สึกพากันลงความเห็นเป็นเรื่องขำขันว่าเทวดาที่หนูสุดเห็นที่แท้ก็คือครูสมจิตนั่นเอง นอกจากป้าทองใบเท่านั้นที่มีความเชื่อมั่นกว่าผู้อื่นเพราะเชื่อว่าสายตาตัวเองมิได้ฝาดไป
    ครูสมจิตเดินหัวเราะน้อยๆ ขึ้นบันไดศาลามา ไอ้หนูสุดจ้องเขม็งอยู่บนใบหน้าที่ยิ้มแย้มของอาจิตด้วยอยากจะถามตามนิมิตที่เห็น แต่ต่อหน้าคนมากๆ เช่นนี้ทำให้เธอต้องระงับความอยากรู้ไว้ก่อน พลางรำพึงอยู่ในใจว่า
    “เทพจิตตัง”
    “ไปนั่งวิปัสสนาในป่าช้าคนเดียวอีกหรือ”
    พรรคพวกคนหนึ่งถามครูสมจิต
    “จ้ะ...มันสงบดี”
    “เงียบๆ อย่างนั้นไปได้ไกลถึงไหนล่ะ” อีกคนหนึ่งถามบ้าง
    ครูสมจิตชำเลืองตามาทางไอ้หนูสุดซึ่งกำลังมองเขาอยู่ไม่วางตา
    “ไม่แค่ไหนหรอก อยู่แค่กลางต้นโพธิ์นั่นเอง”
    “เอ้อ...เมื่อกี้ก่อนที่ครูจะมาถึงป้าทองใบแกเห็นเทวดามีแสงเรืองรองลอยอยู่ที่กลางต้นโพธิ์ หนูสุดก็เห็น ป้าทองใบปลุกพวกเราให้มาดูแต่เทวดาหายไปเสียแล้ว”
    อีกคนหนึ่งยังติดใจเทวดาอยู่ เล่าให้ฟังเป็นเชิงถาม
    “เทวดามีจริงๆ หรือครู ป้าว่าตาป้าไม่ฝาดไปนะ”
    คุณป้าทองใบสอบถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง
    “ก็เห็นตั้งสองคน สี่ตา ถ้าไม่ใช่เทวดาจริงๆ แล้วใครเล่าจะมีแสงเรืองรองและเหาะได้” ครูสมจิตตอบเรียบๆ
    อุบาสิกาสุดคะนึงกระเถิบเข้ามาใกล้ครูสมจิต กระซิบกระซาบเบาๆ
    “อาจิตกับเทพมันตาบอกให้พ่อเหาะมาให้หนูเห็นจริงๆ หรือ”
    ครูสมจิตไม่ตอบด้วยวาจา แต่เพ่งกระแสจิตสู่กระแสจิต
    “เชื่อมั่นเถิด จิตและตาของหนูสัมผัสของจริงแล้ว”
    ไอ้สุดจอมแก่นก้มลงกราบครูสมจิตอีกครั้งหนึ่งต่อหน้าอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ทุกคนไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอยู่ก่อนต่างก็งงงันไปตามๆ กัน และพากันสงสัยอยู่กับคำว่า
    “เทพจิตตัง และ เทพมันตา”
    ซึ่งอุบาสิกาสุดคะนึงกล่าวถึงอย่างสนิทสนม
    หลังจากคืนนั้นข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งอำเภอว่า
    “เทวดาแสดงปาฏิหาริย์เหาะมาให้คนเห็นที่ต้นโพธิ์วัดเมือง”
    เท่านั้นเองผู้คนมืดฟ้ามัวดินก็พากันเฮโลมาขอหวยกับต้นโพธิ์ใหญ่ที่วัดเมืองกันเนืองแน่นทุกวัน
    และเมื่อหนังสือพิมพ์จากกรุงเทพฯทราบข่าวมาสัมภาษณ์คุณป้าทองใบและไอ้หนูสุดคนึงแล้วนำไปลงข่าวใหญ่หน้าหนึ่ง ข่าวกระจายออกไปทั่วราชอาณาจักร ผู้คนก็หลั่งไหลจากทุกสารทิศมาชมมากราบไหว้ มาขอลาภขอโชคและทำบุญกับต้นโพธิ์วัดเมืองกันมากขึ้นทุกวัน เป็นเดือน เป็นปี โพธิ์ต้นนั้นจึงได้รับขนานนามใหม่เป็น
    “ต้นโพธิ์เทวดา”
    ศาลาวัดเมืองซึ่งยังสร้างค้างอยู่ก็ได้รับเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาที่หลั่งไหลมาไม่ขาดก็สร้างได้เสร็จเรียบร้อยพร้อมทั้งโบสถ์เก่าที่เล็กและชำรุดก็ได้รับทุนบริจาคสร้างสวยงามเสร็จสมบูรณ์ติดตามมา

    อานิสงส์แห่งเทวปาฏิหาริย์ด้วยกระแสจิตที่บริสุทธิ์มิใช่แสดงเพื่อหลอกล่อหาปัจจัยสร้างวัตถุสถาน แต่ปัจจัยเหล่านั้นเป็นผลพวงจากกุศลศรัทธาของผู้บริจาคเอง กุศลบารมีในการนั้นได้ส่งเสริมผลบุญให้เทพการุณย์มีประกายสุกใสเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ทิพยานิสงส์จากสวรรค์จาตุมหาราชิกายังแผ่ซ่านมาสู่ดวงจิตครูสมจิต อุบาสิกาสุดคะนึง และคุณป้าทองใบ ให้ตัดสินใจสละโลกหันหน้าสู่ทางธรรมแต่เพียงสถานเดียวได้ด้วยจิตปีติและอิ่มเอมเป็นที่ยิ่ง

    ที่ริมป่าช้าวัดเมืองด้านท้ายสุด จากศาลาเรือนพักศพจึงกลายเป็นกุฏิที่พระภิกษุจิตตังขออนุญาตท่านสมภารเจ้าอาวาสใช้เป็นกระท่อมที่พำนักปฏิบัติธรรมสงัดวิเวกอยู่โดยสันโดษแต่องค์เดียวหลังจากที่ครูสมจิตได้ตัดสินใจลาออกจากราชการครูและตั้งใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ถือสมณเพศบำเพ็ญศีลภาวนาตลอดไป

    และที่กุฏิเล็กๆ ใกล้ศาลาข้างวัดหน้าป่าช้านั้น ก็มีกุฏิสองหลังสร้างขึ้นใหม่เป็นที่พำนักบำเพ็ญศีลภาวนาของแม่ชีสองคนคือ
    แม่ชีทองใบผู้อาวุโส และ แม่ชีสุดคะนึง ซึ่งตั้งใจเด็ดเดี่ยวสละโลกถือศีลบำเพ็ญเพียรภาวนาตามที่ “ไอ้สุด” เด็กสาวจอมแก่นได้เคยลั่นวาจาไว้ว่า
    “ถ้าพ่อรับรู้...เหาะลงมาให้หนูเห็นสักนิด หนูจะบวชชีไม่สึกจริงๆ ด้วย”

    แม่ชีสาวสุดคนึงหรือ “แม่ชีสุด” เริ่มต้นถือศีลปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ด้วยในใจปรารถนาว่าจะมิถือเพียงแค่ศีล 8 ธรรมดา แต่จะพยายามรักษาศีลให้ได้ถึง 311 ข้อ ดังที่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษสำหรับภิกษุณี ในครั้งพุทธกาลนั้นทีเดียว
     
  6. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วิมานต้นหว้า

    นอกแนวรั้วป่าช้าซึ่งเป็นปลายไร่ของชาวบ้าน มีต้นตาลใหญ่รวมกลุ่มขึ้นอยู่สี่ห้าต้น ใกล้เข้ามาทางกุฏิที่พำนักของภิกษุจิตตัง มีต้นหว้าใหญ่ต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านร่มเงาเข้ามาถึงอาศรมน้อยๆ ที่แสนจะวิเวกวังเวงให้เกิดความร่มรื่นร่มเย็นในตอนกลางวัน สมณะมีความปีติพึงใจในร่มเงาไม้ใหญ่แห่งต้นหว้านี้ยิ่งนัก เป็นพันธุ์พฤกษ์ที่ทำให้หวนรำลึกถึงอาณานิคมเขตคามสมัยพระพุทธองค์ที่ทรงจาริกโปรดสัตว์อยู่ในชมพูทวีป ประเทศอินเดีย อันมีความหมายมาจากแผ่นดินที่เต็มไปด้วยชมพูพฤกษ์คือต้นหว้าในชื่อที่ชาวเราเรียกกัน

    หว้าต้นนี้คะเนอายุคงจะไม่ต่ำกว่าร้อยปีเศษ เป็นอู่อาหารของเหล่านกยามเมื่อคราวลูกสุกหวานหอม คงจะเป็นเพราะสูงมากเจ้าของไม่มีปัญญาจะขึ้นไปเก็บผลจึงปล่อยให้เป็นสาธารณภักษาหารแก่นกกา กระแต กระรอก ได้ผลทานไปอีกแบบหนึ่ง
    วันแรกๆ ที่ภิกษุจิตตังเข้ามาถือสันโดษอยู่ที่นี่ ป้าเย็นซึ่งเป็นเจ้าของสวนที่มีต้นหว้าใหญ่ขึ้นอยู่ที่ปลายที่ได้เข้ามาใกล้ๆ รั้ว ด้อมๆ มองๆ ดูภิกษุประหลาดผู้บวชใหม่ที่อุตริมาอาศัยอยู่ท้ายป่าช้าแต่องค์เดียว แต่อยู่ๆ มาเมื่อเห็นพระมีความตั้งใจจริงก็คงจะเกิดศรัทธาขึ้นมาบ้างจึงนำอาหารมาถวายในตอนเช้าบางวันพระ

    ปกติป้าเย็นแม้จะมีสวนรั้วติดอยู่กับป่าช้าวัด แต่ก็นานนักที่ป้าเย็นจะใส่บาตรหรือมาทำบุญที่วัดสักครั้งหนึ่ง เหมือนใกล้เกลือกินด่างใกล้บุญกินบาปทำนองนั้น อยู่ใกล้พระจนชินจึงมิค่อยได้ทำบุญเท่าไร แต่แกก็มิใช่เป็นคนโหดร้ายใจบาปแต่อย่างใด แกเป็นคนถือสันโดษไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับใคร ตระหนี่ ขยัน ไม่เบียดเบียนคนอื่น

    เข้าตำราไม่ค่อยทำบุญ แต่ก็ไม่ทำบาปอยู่ไปวันหนึ่งๆ อย่างเสมอตัว
    ก็คราวนี้นี่แหละที่ป้าเย็นมาทำบุญถวายอาหารที่อาศรมในป่าช้าถี่ขึ้น พระจิตตังรู้สึกปีติ มิใช่เพราะได้ฉันอาหารจากป้าเย็นบ่อยๆ แต่เพราะได้ช่วยโน้มจิตหญิงชราใกล้ฝั่งให้เข้าถึงบุญได้บ้าง
    “ลูกหว้าต้นนี้หวานอร่อย เมื่อก่อนสมัยมีลูกหลานอยู่มันช่วยเก็บให้ฉันนำไปขายได้เงินมาแยะแล้ว เดี๋ยวนี้ลูกหลานไปอยู่ที่อื่นกันหมด ต้นมันสูงเหลือเกินจะเขย่าลงมาก็ช้ำหมด จะโค่นทิ้งก็เสียดายเป็นต้นไม้เก่าแก่จึงปล่อยให้เป็นอาหารนกกามัน ถ้าเผื่อ “พระครู” จะลองเก็บที่มันหล่นลงมาฉันบ้างฉันก็อนุญาตตลอดไป ถือเป็นการถวายลูกหว้าเป็นอาหารด้วยก็แล้วกัน”

    ป้าเย็นกล่าวอนุญาตไว้ในเช้าวันหนึ่ง
    “เจริญพรเถอะโยม”
    แล้ว “พระครู” (เรียกตามที่เคยเป็นครูมาก่อน) ก็หยิบลูกหว้าที่ป้าเย็นเก็บมาล้างน้ำจนสะอาดนำมาถวายพร้อมอาหารในเช้าวันนั้นขึ้นมาฉันสองสามลูกเป็นการโปรดสัตว์
    อยู่ต่อมาอีกไม่นานนัก ป้าเย็นก็ตายด้วยโรคชรา
    พระครู หรือ พระจิตตัง อุทิศส่วนกุศลให้ป้าเย็นอยู่เสมอๆ
    ค่ำคืนหนึ่งหลังจากที่ป้าเย็นตายไปไม่กี่วัน ปฐมยามล่วงไปแล้ว
    สมณะปฏิบัติธรรมสมาธิอันเป็นกิจวัตร ในคืนนั้นขณะที่สมาธินิ่งสนิทเข้าสู่ดวงธรรมก็ได้สัมผัสเทพองค์หนึ่งในกายทิพย์ถนิมอาภรณ์ประกายทองรัศมีเรืองรองอยู่ที่คาคบต้นหว้าใหญ่ เทพสถิตนิ่งอยู่เหนือคาคบนั้น เมื่อหันมาสัมผัสพระสมณะก็ค้อมรูปคารวะ

    “ขออภัยด้วยสมณเจ้า ที่เรานิมิตวิมานแก้วบนคาคบไม้หว้านี้เป็นที่สถิตของเทพธิดา ขออภัยสมณะที่วิมานบนคาคบไม้มีระดับสูงกว่าอาศรมของท่านในโลกภพ”
    “มิเป็นไรมิได้ ระดับสูงต่ำในโลกภพมิใช่ความสูงที่เหนือกว่าเราทราบภาวะความสูงต่ำของความละเอียดประณีตแห่งดวงจิตแล้ววิมานบนคาคบไม้ของเทพธิดาหากระทบกระทั่งความสูงต่ำแห่งจิตเราไม่ จึงมิมีความบกพร่องใดอันเป็นอกุศลที่เทพท่านจะต้องขออภัย”

    “เราขออภิวาทสมณเจ้าผู้เจริญ เรามีนามว่าเทพอภิรักษ์ขอคารวะกราบลาท่าน”
    เทพผู้มีนามว่า “อภิรักษ์” ก็อันตรธานไป คงปรากฏวิมานแก้วโปร่งแสงโปร่งใสแวววับสถิตมั่นอยู่บนคาคบหว้าในนิมิตสมาธิแห่งสมณเจ้า ในราตรีแรกยังว่างเปล่าเทพธิดาผู้จะปรากฏสถิต
    “พระครู” ถอนจิตออกจากสมาธิแผ่ส่วนกุศลครบถ้วนแล้วจึงจำวัดพักผ่อนสรีระ
    ปฐมยามล่วงไปแล้วอีกราตรีหนึ่ง
    สมณจิตตัง ทิ้งสังขารก้าวเหยียบอากาศผ่านพ้นความหยาบกระด้างของบรรยากาศแห่งโลกียภพ ดวงจิตอุบัติเข้าในกายโปร่งใสซึ่งพระครูได้อธิษฐานขอนิมิตให้ปรากฏอยู่ในรูปสมณะเดิม

    “องค์สมณเทพจิตตัง ผู้เจริญ”
    เสียงแซ่ซ้องสาธุการแว่วมารอบอาณาจักรสวรรค์ ประกายรัศมีสีรุ้งสว่างวูบวาบขึ้นเหนือฟากฟ้า มโหรีทิพยสังคีตประสานเสียงกระหึ่มขึ้นชั่วระยะหนึ่งแล้วสวรรค์เบื้องนั้นก็สงบเงียบเข้าสู่ภาวะปกติบนภาคพื้นบรรยากาศแผ่ละอองละเอียดเย็นชื่นอยู่ทั่วไป

    กายทิพย์ในรูปสมณะปรากฏเหนือบัวแก้วภายในสระใหญ่แห่งอาณาจักรเทพอภิรักษ์ตามที่จิตอธิษฐาน
    “ขอต้อนรับพระคุณเจ้าผู้เจริญสัมผัสอาณาจักรสวรรค์แห่งเราตามประสงค์เถิด”
    เทพอภิรักษ์ในรูปนิมิตที่เคยพบบนคบต้นหว้าปรากฏนั่งอยู่เหนือบัวอีกดอกหนึ่งใกล้ๆ กัน สมณเทพจิตตังยกมือประทานพรเทพผู้เป็นเจ้าอาณาจักร และทั้งเทพบุตรเทพธิดาจำนวนมากมายที่นั่งอยู่บนดอกบัวถัดไปในสระอโนดาดอันกว้างใหญ่

    “ขอเทพท่านผู้เจริญอายุจงเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไป”
    เทพทั้งหลายยกมือกระทำอภิวาทพร้อมกันอย่างปีติ ประกายรัศมีสีทองจากถนิมอาภรณ์แห่งเทพทุกองค์เปล่งรังสีวูบวาบสว่างไสวขึ้นชั่วครู่แล้วกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
    “นานนักที่องค์สมณะจะปรากฏในอาณาจักรของเรา ทวยเทพทราบกระแสจึงพากันมารอนมัสการเพื่อรับเสริมกุศลอันได้จากการสัมผัสองค์สมณะ”
    เทพอภิรักษ์กถาธิบาย เมื่อหยั่งรู้ความพิศวงในจิตสมณะจากการรอต้อนรับของทวยเทพ

    “อาตมาพอจะเข้าใจแล้ว...อาตมภาพ บรรพชิตในพุทธบริษัทแห่งพระพุทธโคดม เพิ่งจะเริ่มบำเพ็ญเพียรและอธิษฐานสัมผัสสวรรค์อันจะนำไปน้อมจิตมนุษยชาติผู้ถึงบุญให้คลายความลังเล การที่อาตมภาพ พึ่งพุทธคุณติดตามมาสัมผัสเทพท่านก็เพราะประสงค์ทราบถึงวิมานบนคาคบต้นหว้าที่ท่านเนรมิต”
    “เรายินดีที่จะได้ถวายกระแสอันเป็นกุศล เราปรากฏนิมิตวิมานแก้วที่คาคบหว้า เป็นการปฏิบัติกิจตามเทวราชบัญชาที่ให้นิมิตสถานสถิตของเทพธิดาผู้เพิ่งอุปปาติกะ”

    “เทพธิดาผู้เพิ่งโอปปาติกะ เทพใดฤา”
    ทันใดนั้นก็ปรากฏบัวแก้วขึ้นด้านหน้าอีกดอกหนึ่ง ป้าเย็นในกายหยาบมนุษย์ก่อนตายปรากฏในชั้นแรก สักครู่หนึ่งก็เปลี่ยนเป็นกายทิพย์แห่งเทพธิดา มีรัศมีแวววาวแต่อ่อนแสง
    “อ้อ...โยม”
    สมณะอุทานเบาๆ
    “อาตมาดีใจด้วยที่ผลบุญนำโยมป้าสู่สุคติ”
    เทพธิดาแย้มยิ้มนมัสการ
    “เป็นเพราะอานิสงส์แห่งการถือวิเวกในป่าช้าของพระคุณเจ้าจึงทำให้จิตเราเกิดกุศลศรัทธาทำบุญด้วยความตั้งใจจริงในวันก่อนตาย ขอพระคุณเจ้าจงเจริญ”
    เทพธิดาอันตรธานไปแล้ว เทพบุตรอภิรักษ์อธิบายในลำดับต่อมา

    “ในชาติปางก่อนป้าเย็นไม่ทำบาปแต่ก็ไม่ได้ทำบุญนัก เช่นเดียวกับชาติก่อนตายครั้งนี้ เดชะกุศลที่เกิดศรัทธาในองค์สมณเทพจิตตังที่ถือสันโดษมั่นอยู่ในป่าช้า ป้าเย็นเกิดศรัทธาจริงจังในการทำบุญกุศลจึงนำส่งให้มาอุบัติเป็นเทพธิดาตามผลบุญ เป็นเทพที่นิมิตสถานสถิตเองไม่ได้ และยังไม่พร้อมที่จะถึงชั้นจาตุเบื้องนี้ ท้าวจตุโลกบาลผู้ปกครองทั้งสี่พึงปฏิบัติเทวกิจให้เราไปนิมิตวิมานแก้วที่คาคบหว้าเป็นสถานสถิตแห่งเทพเธอเพื่อสร้างสมกุศลบารมีต่อไป คาคบหว้าที่เรานิมิตวิมานแก้วนั้นเป็นภพกึ่งกลางโลกภพและสวรรค์จาตุมหาราชิกาอันมนุษย์ธรรมดามิอาจสัมผัสได้”

    “อ้อ...อาตมาภาพกระจ่างแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงเจริญ”
    สมณเทพจิตตังยกมือประทานพรเฉพาะ และก่อนที่จะมีกระแสอื่น เทพเจ้าอาณาจักรก็แจ้งกระแสว่า
    “นานนักที่ทวยเทพจะได้พบองค์สมณะในพุทธบริษัทแห่งพระสมณโคดม ทวยเทพจึงประสงค์จะถามปัญหาแก่สมณะ”
    สมณะค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการยอมรับ
    “อาตมภาพเพิ่งเริ่มบำเพ็ญเพียรในภาคสมณะ จงถามปัญหาที่อาตมภาพพอจะตอบได้เถิด”
    เทพธิดาผู้มีประกายแสงสดใสองค์สถิตอยู่บนดอกบัวถัดไปทางเบื้องซ้ายเทพอภิรักษ์กระทำอภิวาทแล้วส่งกระแสปุจฉา

    “พระคุณเจ้าผู้เจริญ พวกเราเหล่าทวยเทพถือว่าองค์สมณะเป็นองค์กุศลสูงสุด เป็นองค์โน้มนำกระแสบุญให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็นได้สัมผัส ได้ปุจฉาวิสัชนาเพื่อเสริมกุศลบารมียิ่งๆ ขึ้นไป ในทิพยอาณาจักรที่พวกเราสถิตนานๆ จึงจะปรากฏสมณะสักครั้งไม่เหมือนในโลกภพ ซึ่งมนุษย์ได้สัมผัสพบเห็นสนทนาธรรมกับสมณะซึ่งมีอยู่มากมาย แต่เหตุไฉนมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่พึงยินดีที่จะสัมผัสสมณะผู้มากด้วยบุญ เพราะพวกเราทราบจากกระแสญาณว่าในระยะหลังๆ นี้ มนุษย์ที่ตายแล้วมาอุปปาติกะบนสวรรค์น้อยเหลือเกิน”

    สมณเทพจิตตัง ใคร่คำนึงจิตอยู่ครู่หนึ่งแล้ววิสัชนาแก่หมู่เทพ
    “เหตุที่มนุษย์อีกจำนวนมากไม่พึงยินดีสัมผัสสมณะในโลกภพเป็นเพราะสมณะที่มากบุญเคร่งในสมถะไม่พึงแจ้งแก่มนุษย์ว่าตนเป็นผู้มากบุญประการหนึ่ง เป็นเพราะสมณะเจ้าทั้งหลายที่มีอยู่มากมายยังเป็นผู้ถึงบุญน้อยประการหนึ่ง สมณะบางองค์เป็นผู้ไม่ถึงบุญเลยประการหนึ่ง มนุษย์จำนวนมากเป็นผู้ไม่โน้มจิตเลื่อมใสศรัทธาบุญกุศลประการหนึ่ง มนุษย์บางคนลังเลสงสัยในบาปบุญคุณโทษประการหนึ่ง มนุษย์ที่เลื่อมใสศรัทธาบุญกุศลแต่ยังมีกรรมเก่ามากประการหนึ่ง ด้วยเหตุดังกล่าวมนุษย์เหล่านั้นจึงไม่ยินดีสัมผัสสมณะด้วยจิตอันเป็นกุศลบริสุทธิ์เท่าที่ควร ไม่เหมือนในภพสวรรค์ที่เหล่าทวยเทพสถิตเป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์รู้แจ้งรู้จริงถึงคุณค่าในธรรมชาติแห่งกุศล และหยั่งรู้ถึงสมณะผู้มากด้วยบุญจากทิพยจิตแห่งตน จึงยินดีสัมผัสสมณะที่มากด้วยบุญเป็นประการฉะนี้”

    เทพองค์อื่นปุจฉาต่อ
    “ทวยเทพล้วนแต่มีจิตสงสารมนุษย์เบื้องแรกแล้วต้องอุเบกขาเสีย มนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่เลื่อมใสศรัทธาบุญกุศลอย่างแท้จริงพระคุณเจ้ามีอุดมกุศลที่จะช่วยชักจูงมนุษย์อย่างใดบ้าง”
    “อาตมภาพขอแผ่ส่วนกุศลแด่ท่านผู้เจริญอายุทั้งสิ้น อานิสงส์จากการที่อาตมาได้ประสบสัมผัสสวรรค์ในคราวนี้อีกครั้งหนึ่ง อันอาจนำไปแสดงแด่มนุษย์ผู้ถึงบุญได้บ้างก็เนื่องมาจากผลเมตตากุศลของท่านเทพอภิรักษ์ที่ปรากฏให้สัมผัสจากคำอธิษฐานของอาตมา พร้อมทั้งเหล่าทวยเทพที่พึงยินดีมาสัมผัส ประสบการณ์เช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งในอุดมกุศลที่อาตมภาพจักนำไปโน้มจิตมนุษย์ผู้ถึงบุญตามควรในกรอบแห่งเจตนาประสงค์ของพระพุทธองค์”

    “ประสบการณ์แห่งสวรรค์จักเป็นผลโน้มจิตมนุษย์ผู้ถึงบุญให้เกิดกุศลศรัทธาได้ แล้วไฉนจึงไม่นำไปน้อมจิตมนุษย์ทั่วๆ ไป ที่ยังห่างไกลบุญด้วยเล่า”
    “ดูกร...ทวยเทพผู้เจริญกุศลผู้เปี่ยมด้วยความหวังดีแก่มนุษยชาติทั้งมวล แต่มนุษย์เป็นผู้ที่เกิดจากกรรมหยาบเป็นที่ตั้ง มนุษย์เป็นผู้สร้างกรรมเองพึงต้องสร้างกุศลเอง ผู้ที่จะถึงกุศลได้อย่างแท้จริงจะต้องเกิดจากการรำลึกใคร่ครวญหาเหตุผลจากจิตของตนเองว่าอะไรควรศรัทธา ประสบการณ์แห่งสวรรค์อันเป็นปกติวิสัยของทวยเทพแต่ถือเป็นปาฏิหาริย์แห่งมนุษย์...พระพุทธองค์พึงเห็นสัจธรรมว่าปาฏิหาริย์ใดๆ อันเป็นการแสดงเพื่อล่อใจมนุษย์ให้เกิดความเชื่อถือในบุญกุศล ความเชื่อเช่นนั้นไม่บริสุทธิ์เพราะเกิดจากการล่อใจ ปาฏิหาริย์ที่พึงควรแสดงได้บ้างก็ต้องเพียงเพื่อเป็นการทำลายทิฏฐิมานะของผู้ถึงบุญแล้วให้วางทิฏฐิลงเสียเท่านั้น”

    “สาธุ...พวกเรากระจ่างในคำตอบของสมณเจ้าแล้ว พระคุณเจ้าจงเจริญ”
    เทพอภิรักษ์พร้อมเทพบุตรเทพธิดาพร้อมกันสาธุการ กระทำอภิวาท
    พลันเสียงทิพยสังคีตประโคมก้องไปทั่วบริเวณ ประกายรัศมีสีทองจากถนิมอาภรณ์ทวยเทพและบัวแก้วทั้งมวลก็เปล่งสว่างไสวเรืองรองวูบวาบขึ้นกว่าปกติ กลีบดอกไม้ทิพย์ปลิวว่อนไปในบรรยากาศเป็นสีเรืองรองต่างๆ กัน ทำให้ท้องฟ้าสวรรค์เหนือสระอโนดาตแห่งอาณาจักรเทพอภิรักษ์ระยิบระยับตระการตายิ่งนัก เทวดาทั้งมวลปีติพึงใจถ้วนทั่ว

    “สาธุ...ขอกุศลจงเพิ่มขึ้นแด่สมณะผู้เจริญ นานๆ เหล่าทวยเทพจะได้จารึกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถือเป็นมหากุศลยิ่ง”
    เทพอภิรักษ์เสริมกระแสปีติ และสรรเสริญพุทธบารมี
    “พระพุทธองค์ทรงปรารถนามิเพียงให้มนุษย์หลงติดอยู่แต่สวรรค์ แต่หวังให้เกิดศรัทธาที่บริสุทธิ์เป็นเบื้องต้นเพื่อจะเป็นทางนำไปสู่พระนิพพานได้โดยสะดวกขึ้น พระเมตตาของพระพุทธองค์สูงส่งแด่มวลมนุษย์และสัตว์โลกยิ่งนัก”

    สมณเทพจิตตังยกมือประนมระหว่างอกรำลึกนมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอ่ยทิพยวาจาต่อจากเทพอภิรักษ์
    “แม้แต่ทวยเทพเทวดา พระผู้มีพระภาคก็เคยทรงตรัสตอบเทวดาองค์หนึ่งที่เข้าเฝ้า ณ วิหารเชตวันในครั้งกระนั้น ที่กราบทูลถามถึงทางหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์เพื่อเข้าสู่ถึงนิพพานอันเป็นสถานสงบสงัดนั้นพึงมีอย่างไร
    พระผู้มีพระภาคทรงวิสัชนาเป็นบทสรุปว่า...ท่านผู้มีอายุ เพราะความสิ้นภพอันมีความเพลิดเพลินเป็นมูล เพราะความสิ้นแห่งสัญญาและวิญญาณ เพราะความดับ ความสงบแห่งเวทนาทั้งหลายเป็นทางหลุดพ้นความทุกข์ทั้งปวง นำสู่นิพพานอันสงบสงัดได้ดังนั้น”

    “สาธุ...สาธุ...สาธุ”
    เทพทั้งมวลประณตไหว้ขึ้นไปยังเบื้องสูง และสงบนิ่งอยู่ในลักษณาการเช่นนั้นอันเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า จนปรากฏการณ์ทิพยมโหรีปีติแห่งสวรรค์ประโคมขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้วสงบลงเทพทั้งหลายจึงลดมือเข้าสู่รูปปกติ
    “เราจะพึงจารึกจดจำมรรคผลที่จะนำไปสู่นิพพานโดยเร็ว ด้วยสัจธรรมอันเป็นมหากุศลแห่งองค์สมณโคดมซึ่งพระคุณเจ้าได้กล่าวจารึกไว้บนสวรรค์ ณ บัดนี้”
    เทวดาย้ำกระแสจารึกพร้อมกันอีกครั้งหนึ่งด้วยปีติยินดียิ่งนัก

    “การไม่ยึดมั่นติดมั่นเป็นทางหลุดพ้นทุกข์เข้าสู่นิพพาน มนุษย์ยึดมั่นติดมั่นอยู่กับความทุกข์ยากทำให้ยังห่างไกลพระนิพพาน เช่นเดียวกับเทพเทวดายึดมั่นติดมั่นอยู่กับความสุขเพลิดเพลินอันเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ในบั้นปลายเมื่อสิ้นสุดกุศล ก็จะห่างไกลนิพพานเฉกมนุษย์กถาธิบายแห่งสมณเจ้าที่หยิบยกสัจธรรมแห่งพระพุทธองค์ จงเป็นข้อเตือนจิตเทพยดาทั้งหลายพึงปรารถนาหลีกพ้นความเพลิดเพลินต่อไปเถิด”

    เทพอภิรักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งอาณาจักรสรุปคติเตือนจิต เทพทั้งมวลยกมือประณตไหว้และกล่าวสาธุการแล้วกระทำจารึกคติธรรมเข้าสู่บัวแก้วดอกกลางที่ปรากฏลอยเด่นอยู่ท่ามกลางเหล่าเทพเป็นบัวทิพย์ประเทืองปัญญาแห่งเทพอาณาจักรนั้นสะสมเป็นกุศลปัญญาแห่งสวรรค์ต่อไป
    ฉับพลันสระอโนดาตและบัวแก้วเทพยดาทั้งหลายก็อันตรธานคงปรากฏเฉพาะเทพอภิรักษ์และสมณเทพจิตตัง ยืนอยู่บนแผ่นพื้นทองคำอันอ่อนนุ่ม ณ เบื้องหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลเป็นวิมานแก้วแกมทองระคนวาบวับแวววาวมีรังสีเหลืองเรืองรองและขาวใสสลับพวยพุ่งจากยอดวิมานนับพันยอดสู่เบื้องบนฟากฟ้าสวรรค์ดูงดงามยิ่งนัก

    “นิมนต์สมณะสัมผัสวิมานแก้วแห่งกุศลนิมิตของเราเพื่อเป็นประสบการณ์ตามประสงค์เถิด”
    เทพเจ้าของวิมานเชื้อเชิญ แล้ววิมานนั้นก็เลื่อนลอยเข้ามาใกล้ประดุจเดียวกับเทพทั้งสองเลื่อนลอยเข้าไปในวิมานตระการตานั้น
    เสียงแก้วเจียระไนกระทบกันกรุ๊งกริ๊งนุ่มนวลกังวานซาบซ่ามาจากยอดปราสาท แสงเหลืองเรืองกระจ่างใสโปรยปรายลงมาจากเบื้องบน เพดานสู่ห้องโถงที่สมณเทพอาคันตุกะ และเทพผู้รับรองนั่งอยู่บนอาสนะเหนือบัลลังก์กลีบบัวทอง

    “อาณาจักรของเรา นิมิตมากด้วยบัวแก้วบัวทอง เพราะสมัยเป็นมนุษย์เราหลงใหลในดอกบัวว่าเป็นดอกไม้ที่งดงามเหมาะที่จะกระทำการบูชาสมณะและผู้มากบุญ เราจึงบูชาผู้ถึงบุญด้วยดอกบัวมิได้ขาด เมื่อมาอุปปาติกะบนสวรรค์นิมิตนั้นยังติดอยู่ อาณาจักรในกุศลนิมิตของเราจึงมากไปด้วยดอกบัวดังที่พระคุณเจ้าฉงนในจิต”
    “เจริญกุศลท่านผู้มีอายุที่ให้ความกระจ่าง นิมิตแห่งเทพพึงเชื่อมโยงกับความยึดมั่นจากจิตในครั้งเป็นมนุษย์เพียงใดหรือ”
    “เทพอุบัติขึ้นจากกุศลกรรมสมัยเป็นมนุษย์ กุศลกรรมใดอันเป็นสิ่งยึดมั่นที่มนุษย์มักจะปฏิบัติ ความติดมั่นในกุศลนั้นมักจะติดพันมาสู่ทิพยจิตด้วย”
    “เทพพึงนิมิตทิพยสมบัติได้มากน้อยเพียงใดหรือ”
    “ได้ไม่เกินความละเอียดประณีตแห่งกุศลจิตของเทพอันเป็นที่ตั้งของกุศลนิมิต”
    “สุคติภพ จำแนกขีดขั้นชั้นพวกเป็นประการใด”
    “ตามบุญกุศลมากน้อย อันเป็นตัวจูงจิตให้ละเอียดประณีตมากน้อยตามไปด้วยพระคุณเจ้า”
    “อาตมภาพถามย้ำ ได้ความกระจ่างตรงตามจิตในสมาธิ ขอกุศลอันเกิดจากกุศลศรัทธาที่มั่นขึ้นจงแผ่ได้แด่ท่านผู้มีอายุด้วยเถิด”
    สมณเทพจิตตังพนมมือแผ่กุศล เทพอภิรักษ์อภิวาทรับเป็นปีติ

    สมณะรำลึกจิตอันเป็นที่ตั้งในการอธิษฐานขอนิมิตสู่สวรรค์คราวนี้เนื่องจากวิมานบนคาคบต้นหว้าเป็นสำคัญ เทพธิดาอันสถิตบนวิมานนั้นถือโอปปาติกะเป็นเทพยดาเช่นกัน เหตุไฉนจึงไม่เข้าชั้นสวรรค์เบื้องแรกได้
    “แด่ท่านผู้เจริญอายุ อาตมภาพใคร่จะขอความกระจ่างเกี่ยวกับเทพอีกสักครั้งหนึ่ง ก็เมื่อต้นหว้าก็ดี ไม้ใหญ่เล็กต่างๆ ก็ดี ภูเขา หรือถ้ำและสถานสถิตต่างๆ อันมนุษย์จักทำขึ้นก็ดีที่พึงมีอยู่ในโลกภพอันเป็นส่วนหนึ่งของภพหยาบ เทพผู้อุบัติแล้วเช่นป้าเย็นหรือเทพอื่นในพื้นพิภพทำไมจึงต้องสถิตติดภพหยาบอยู่อีกเล่า”
    เทพอภิรักษ์แย้มน้อยๆ ทิพยจักขุมองรอบไปเบื้องซ้ายเบื้องขวาและลดต่ำลงสู่เบื้องล่าง

    “จาตุโลกบาลปกปักรักษาอยู่ด้วยท้าวมหาเทวราชทั้งสี่ ปกครองภูตคนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาค ยักษ์ เทพยดา รวมทั้งโลกมนุษย์ด้วย จาตุมหาราชิกาเป็นเทวราชอาณาจักรครอบคลุมไปถึงสรรพสิ่งต่างๆ ในแดนโลกภพ พระคุณเจ้าผู้เจริญนานนักแล้วสำหรับโลกภพ แต่ไม่เนิ่นนานเลยในดินแดนสุคติภพ เทพยดาทั้งหลายจากสุคติจุติลงไปเป็นมนุษย์ในโลก แต่เบื้องแรกยังเป็นกายทิพย์ มีรัศมีเรืองรอง เหาะเหินเดินลอยไปในอากาศตามวิสัยสวรรค์ แต่อยู่ต่อมาเมื่อพากันไปติดรสชาติอาหารหยาบขึ้นเริ่มแต่ง้วนดิน กระบิดิน เครือดิน จนถึงข้าวโพสพในวารนี้ สังขารกายก็หยาบขึ้น จิตก็หยาบกระด้างขึ้น

    กายทิพย์อันเคยมีรัศมีก็แปรสภาพเป็นกายหยาบประกายแสงเสื่อมหายไป โลกรวมตัวจากน้ำทั้งสิ้นแปรสภาพบางส่วนเป็นดินเป็นหินเป็นสิ่งของต่างๆ และมีแรงดึงดูดในตัวทำให้เกิดน้ำหนักแห่งสิ่งหยาบที่จะต้องติดอยู่ในโลกต่อไป เมื่อนั้นกายหยาบแห่งมนุษย์จึงดูเหมือนถูกตัดขาดออกจากกายทิพย์แห่งสรวงสวรรค์ในทางโลกธรรม แต่ในทิพยธรรมแห่งสวรรค์โดยเฉพาะชั้นจาตุมหาราชิกานี้ยังคงผูกพันปกปักรักษาโลกมนุษย์อยู่เช่นเดิมมิเปลี่ยนแปลง สวรรค์ถือว่ามนุษย์ทุกวันนี้คือเทพที่จุติลงไปเกิดคราวนั้นและติดมั่นยึดมั่นอยู่ในโลกหยาบด้วยอวิชชา มักไม่ค่อยเวียนกลับมาสู่สวรรค์เหมือนเช่นเดิม

    แม้จอมเทพทั้งสี่จะมีจิตเมตตากรุณาห่วงใยมนุษย์มากมายเช่นไรแต่ก็ต้องอุเบกขา บางครั้งคราวอันเป็นหน้าที่เพื่อกุศลจึงจักช่วยมนุษย์ได้ตามผลบุญของมนุษย์นั้นๆ เอง อย่างเช่นป้าเย็นหรือเทพธิดามาลีชมพู ผู้ได้อานิสงส์จากการถวายผลชมพูพฤกษ์แด่สมณะด้วยจิตผ่องใสบริสุทธิ์แท้จริง อานิสงส์นั้นชักนำให้มาอุปปาติกะเป็นเทพแต่ด้วยบุญอยู่ถึงได้เพียงเบื้องต้นแห่งจาตุ เนรมิตวิมานไม่ได้ เป็นเทพชั้นล่างที่ยังต้องพึ่งพาอาศัยความช่วยเหลือค้ำจุนจากเทพผู้ถึงผลบุญสูงกว่า เทวราชพิจารณาแล้วเห็นคาคบหว้าอันร่มรื่นเหมาะแก่ผลบุญแห่งเทพธิดามาลีชมพูแล้วจึงให้เราไปเนรมิตวิมานแก้วเป็นสถานสถิตให้เทพเธอสร้างสมกุศลต่อไป”

    “อาตมภาพกระจ่างขึ้นแล้ว ขอเทพท่านจงเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้น”
    ได้เวลาอันสมควร สมณเทพจิตตังแผ่กระแสพรแด่เทพอภิรักษ์แล้วก็ลากลับเข้าสู่สังขาร ณ อาศรมวิเวก ถอนสมาธิแผ่กุศลครบถ้วนจึงจำวัดพักผ่อนสรีระ
    นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทุกเวลาเช้าตรู่จะปรากฏผลหว้าสุกสามผลอยู่เหนือฝาบาตรสมณจิตตังก่อนที่ภิกษุ “พระครู” จะอุ้มบาตรเพื่อออกภิกขาจารทุกวันมิได้ขาด
     
  7. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เทพธิดามาลีชมพู

    วันหนึ่ง ภิกษุศรัทธา พระผู้อาวุโสพรรษากว่าได้ตามมาเยี่ยมเยือนที่อาศรมหลังจากฉันเช้าเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับภิกษุจิตตังจะฉันอาหารมื้อเดียวเมื่อตอนสายหน่อยเป็นประจำ ขณะที่ภิกษุผู้มาเยี่ยมมาถึง “พระครู” ยังมิได้ฉันอาหาร พระศรัทธาเหลือบไปเห็นลูกหว้าสุกที่ใส่ไว้ในถ้วยตะไลเล็กๆ สามผลก็นึกแปลกใจเพราะฤดูนี้เป็นนอกฤดูที่ต้นหว้าจะออกผล
    “นั่นลูกหว้าสุกมิใช่หรือ”
    “ใช่แล้วท่าน” พระครูตอบ
    “หน้านี้ไม่ใช่หน้าลูกหว้าออกลูก ท่านเอามาจากไหน”
    พระครูนิ่งนิดหนึ่ง
    “คงจะมาจากบนต้นหว้า”
    พระศรัทธามองขึ้นไปบนต้นหว้าก็เห็นมีแต่ใบไม่เห็นมีแม้กระทั่งดอกเพราะยังไม่ถึงหน้าหว้าจะออกดอกจึงยังไม่มีลูกเลย
    “ยังไม่ถึงหน้าออกลูก ลูกหว้าจะมาจากต้นหว้าได้อย่างไร”
    “คงจะเป็นลูกหลง ท่านลองฉันซีหวานหอม”
    พลางหยิบลูกหว้าให้ภิกษุอาวุโสทั้งถ้วย
    ภิกษุศรัทธาเอื้อมมือไปหยิบลูกหว้าลูกหนึ่งขึ้นมาฉัน
    “แปลกดีหอมหวานอร่อย ไม่ยักมีเม็ด...และก็...คล้ายๆ ไม่มีเนื้อ...เอ...แต่มันรู้สึกหวานหอมอร่อยเหมือนมีเนื้อมากๆ แปลกดี”
    พระครูยิ้มน้อยๆ
    “ฉันให้หมดเถอะ”
    ด้วยความแปลกและสงสัย พระศรัทธาจึงหยิบลูกหว้าขึ้นฉันอีกลูกหนึ่ง
    “เอ...มันก็เหมือนเดิม แต่รู้สึกว่ายังไม่ทันเคี้ยวมันก็ละลายเข้าไปแล้ว”
    แล้วจึงลองหยิบอีกลูกหนึ่งฉันอีก
    “รู้สึกมันไม่ได้สัมผัสที่ปากลิ้นเลย แต่มันหายเข้าไปเฉยๆ แต่ก็รู้สึกว่ามีรสชาติอร่อยมาก หอมหวานและอิ่มเอมซะด้วย”
    “อย่าลืมสวดให้พรกรวดน้ำแผ่กุศลให้ป้าเย็นเจ้าของต้นหว้าด้วยนะท่าน”
    พระครูเตือนยิ้มๆ แล้วก็ลงมือฉันอาหารในบาตรที่ใส่รวมกันคลุกเคล้าด้วยอากัปกิริยาสงบสมถะ
    “แปลกจริงๆ นะท่าน ไม่ใช่หน้าลูกหว้าสักหน่อย แต่พระจิตตังท่านมีลูกหว้าสุกอร่อยๆ ฉัน”
    พระศรัทธากลับมาเล่าให้พระภิกษุที่สนิทกันฟัง
    “ใครคงจะได้ลูกหว้าทวายจากที่อื่นเอาใส่บาตรมาหรอกกระมัง”
    พระโกศลออกความเห็น
    “แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมเข้าไปตอนเช้าก็เห็นลูกหว้าสามลูกในถ้วยตะไลเหมือนกัน”
    พระปัญญานึกขึ้นได้กล่าวยืนยัน พระทั้งสามก็มองตากันและใช้ความคิด
    “เอ...หรือป้าเย็นที่ตายไปเสกลูกหว้ามาถวาย พระจิตแกยังย้ำว่าอย่าลืมกรวดน้ำให้ป้าเย็นด้วย”
    พระศรัทธาทบทวนแล้วก็หัวเราะ
    “ถ้าป้าเย็นเสกลูกหว้ามาถวาย ก็แสดงว่าป้าเย็นแกไปเกิดเป็นเทวดาน่ะสิ”
    พระปัญญาพูดไปส่ายหน้าไป และกล่าวต่อ
    “คงเป็นไปไม่ได้ ป้าเย็นแกขี้เหนียวจะตาย ไม่ค่อยได้ทำบุญทำทานเลย ขึ้นสวรรค์ไม่ได้หรอก”
    “แต่ถึงอย่างไรลูกหว้าที่พระจิตให้ผมฉันมันแปลกนะ พอเอาใส่ปากมันซาบซ่านหายเข้าไปเลยเหมือนไม่ได้เคี้ยว แต่มันมีรสชาติอร่อยเหมือนผลไม้ทิพย์
    พระศรัทธายังคงยืนยัน
    “ท่านเคยฉันผลไม้ทิพย์หรือ” พระโกศลถามเย้า
    “ผมคิดว่ามันคงจะเป็นอย่างนั้น อาหารทิพย์ฉันได้โดยไม่ต้องเคี้ยว”
    แล้วพระภิกษุทั้งสามเห็นว่ายังเป็นเวลาเช้าอยู่ พระจิตตังคงยังไม่ได้ฉันอาหารจึงพยักพเยิดพากันเข้าไปเยี่ยมพระจิตตังอีกเพื่อจะดูลูกหว้าว่ามีอีกหรือเปล่า

    ลูกหว้าสุกสามลูกวางอยู่ในถ้วยตะไลตามเคย พระครูเห็นภิกษุอาวุโสทั้งสามพากันเดินเข้ามาเยี่ยมก็รู้ได้ว่าคงจะมาเรื่องลูกหว้า สมณะเหลือบมองลูกหว้าสามลูกที่วางอยู่ในถ้วยตะไล พระทั้งสามตรงเข้ามาทักทายและเหลือบมองที่ถ้วยตะไลนั้นพร้อมกัน
    “อ้อ วันนี้ไม่มีลูกหว้าหรอกหรือท่าน”
    ภิกษุทั้งสามถามเบาๆ เกือบจะพร้อมกัน สมณจิตตังเหลือบมองก็ยังเห็นลูกหว้าวางอยู่ในถ้วยตามเดิม จึงรู้ได้ว่าเทพธิดาคงไม่ประสงค์จะให้พระทั้งสามเห็นจึงเฉยอยู่มิกล่าวตอบแต่ประการใด
    “หรือท่านฉันก่อนเสียแล้ว” พระศรัทธายังติดใจอยู่จึงถามต่อ
    “ยังหรอกท่าน”
    พยายามตอบให้ตรงความจริงเท่าที่จะทำตอบได้
    “ทราบว่าท่านบิณฑบาตได้ลูกหว้าสุกมาแทบทุกวันหรือ”
    พระโกศลสอบถามขึ้นบ้าง
    “บิณฑบาตไม่เคยได้หรอก”
    “แล้วท่านได้ลูกหว้ามาจากไหนล่ะ”
    “จากบนต้นนั่นแหละ”
    ตอบไปแบบจนตรอกแต่ก็พยายามไม่ให้เป็นเท็จ
    “ก็บนต้นไม่มีลูกหว้าเลยนี่ ท่านว่ามาจากบนต้นได้อย่างไร”
    พระภิกษุอีกองค์หนึ่งถามรุกด้วยอยากทราบ
    ทันใดนั้น ลมแรงกรรโชกมาวูบหนึ่ง กิ่งใบต้นหว้าใหญ่ดังซู่ซ่าแล้วก็มีลูกหว้าสามสี่ลูกตกลงมาจากบนต้นกระเด็นมาแทบเท้าภิกษุทั้งสาม
    แต่ละองค์หยิบลูกหว้าขึ้นมาดู มันเป็นลูกหว้าที่สุกและมีหนอนตัวเล็กๆ เจาะไชอยู่ทุกลูก พระทั้งสามจึงขว้างทิ้งไป
    “อ้อ หน้านี้ก็พอมีลูกออกมาบ้างเหมือนกัน มันคงเป็นลูกหว้าทวายอย่างว่า เดี๋ยวนี้ผลไม้อะไรๆ ก็มีออกลูกนอกฤดูกาลไปเสียหมดแม้กระทั่งไม้ป่าเช่นลูกหว้าก็ยังมีลูกทวายไปกับเขาด้วย”
    เมื่อเห็นจริงสิ้นสงสัยภิกษุทั้งสามก็พากันกลับ สมณจิตตังถอนใจโล่งอกพลางเหลือบมองไปยังคาคบหว้านั้น
    “เจริญกุศลเถอะเทพธิดา”

    แล้วพยายามมองหาผลหว้าตามกิ่งก้านเผื่อจะมีออกทวายจริงๆ บ้างแต่ก็หาพบไม่เพราะไม้ป่าซึ่งไม่มีใครทำนุบำรุงหาวิธีเร่งจะออกลูกเองนอกฤดูกาลไม่ได้เลย
    สมณจิตตังมิกล้าบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องวิมานบนคบหว้าและผลไม้ทิพย์จากเทพธิดามาลีชมพู เพราะถ้าไขความจริงตามที่ได้ประสบจากกุศลจิต อาจเป็นการแสดงอุตริมนุสธรรม ยังจะให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายแก่มนุษย์ที่ทราบข่าว จะทำให้สถานวิเวกแห่งนี้กลายเป็นที่วุ่นวายจริงหนอไปได้อย่างแน่นอน
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    อยู่ใกล้...แต่ไกล

    เทพธิดามาลีชมพู เสวยสุขอยู่ในวิมานแก้ว หรือวิมานต้นหว้าตามสมควรแก่ผลบุญ เทพเธอรำลึกจิตได้ว่าต้องสร้างสมกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้นไป สวรรค์ซึ่งอยู่เพียงกึ่งกลางความประณีตแห่งโลกภพและจาตุมหาราชิกานั้นเป็นสวรรค์ชั้นล่างเป็นจุดด้อยแห่งทิพยจิตของเทพที่รำลึกได้ว่าเมื่อเป็นมนุษย์อยู่มีโอกาสสร้างสมกุศลได้ง่ายยิ่งนักแต่ถูกอวิชชาบดบังไว้เสีย เทพเกิดความเสียดายเศร้าหมองแล้วต้องอุเบกขา ต่อแต่นี้ไปจิตที่กระจ่างบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ขึ้นมาปรารถนาโอกาสที่จะสร้างสมกุศลแต่เพียงอย่างเดียว อานิสงส์ที่เคยถวายลูกหว้าแด่สมณะด้วยจิตบริสุทธิ์เมื่อก่อนตาย เป็นกุศลนิมิตผลหว้าได้ เทพเธอจึงนิมิตผลหว้าทิพย์ถวายสมณะมิได้ขาด เป็นมรรคผลประการหนึ่งที่จะเพิ่มพูนกุศลได้ในวาระนี้

    แม้วิมานต้นหว้าจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมกับอาศรมสมณะผู้ถึงบุญเทพธิดาผู้สถิตก็มิได้อยู่ใกล้ตามระยะที่เห็นในโลกภพ วิมานแก้วนั้นเป็นนิมิตที่ไกลเข้าไปในความละเอียดแห่งสวรรค์ เป็นระยะห่างไกลจากความหยาบจากอาศรมพระครูในโลกภพมากนัก ไม่มีมนุษย์ธรรมดาใดจะสัมผัสได้ถึงนอกจากผู้มีกระแสทิพยจิตเท่านั้นที่จะสัมผัสได้ การที่เทพเธอจะปรารถนาเองเพื่อมาปรากฏทำบุญในโลกภพอันเห็นอยู่ใกล้กันด้วยตาหยาบนั้นทำไม่ได้ เว้นแต่กระแสสมาธิแห่งสมณจิตตังรำลึกรับหรือรำลึกถึง หรืออธิษฐาน หรือส่งกระแสสัมผัสจึงจะสัมผัสได้ถึงกัน

    ขณะที่พระครูเกือบจนตรอกในการตอบคำถามเมื่อเช้าแก่พระภิกษุผู้อยากทราบเรื่องผลหว้าทิพย์นั้น จิตสมาธิบังเกิดอัตโนมัติแวบถึงเทพธิดาผู้ก่อนิมิตเป็นการอธิษฐานให้ช่วยแก้หน้า เทพเธอได้รับกระแสจึงเนรมิตผลหว้าอันมีหนอนไชหล่นลงมาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าลุล่วงไปได้ขณะนั้น

    พระภิกษุศรัทธาผู้ได้ฉันผลหว้าทิพย์เมื่อวันนั้นแล้วยังติดใจถึงรสหวานหอมละมุนละไมอันมิเคยสัมผัสมาก่อน ก็ได้แต่เฝ้าคิดว่าผลไม้นั้นต้องเป็นผลไม้ทิพย์เป็นแน่ ภายหลังจากนั้นจึงพยายามเวียนไปหาสมณจิตตัง ลดทิฏฐิที่เป็นพระอาวุโสพรรษากว่า กล่าวนอบน้อมแก่ภิกษุผู้ถือวิเวกเหนือพระธรรมดาอธิษฐานจิตที่จะปฏิบัติธรรมสมถวิปัสสนากรรมฐานด้วย
    พระจิตตังรำลึกด้วยกระแสทราบว่าเป็นกุศลศรัทธาอันเกิดจากความตั้งใจจริงของพระศรัทธาที่ได้ลิ้มรสผลไม้สวรรค์ เสริมให้จิตที่ยังลังเลอยู่บ้างมั่นคงขึ้น จนมีความตั้งใจจริงที่จะทำสมาธิสมถวิปัสสนากรรมฐานให้ถึงดวงธรรม พระจิตตังก็ยินดีแนะนำส่งเสริม ช่วยกำกับควบคุมจิตเบื้องต้นให้ถูกทางถูกวิธี ในไม่ช้าพระศรัทธาก็พอจะปฏิบัติเข้าใกล้ดวงธรรมได้ตามสมควร

    คราวหนึ่ง สมณจิตตังได้ควบคุมชักจูงจิตสมาธิของพระศรัทธาล้ำลึกเข้าไปในความละเอียดที่จิตดวงนั้นยังมิเคยเข้าถึงมาก่อน จิตดวงนั้นถูกชักจูงมาจนสิ้นความหยาบจากภพมนุษย์ เข้าสู่ความประณีตแห่งสวรรค์ชั้นล่าง และหยุดอยู่เพียงเท่านั้นเพื่อทดสอบบางอย่าง ปล่อยให้จิตของพระศรัทธาเป็นอิสระสัมผัสความละเอียดเบื้องนั้น นานพอสมควรแล้วควบคุมดึงจิตกลับเข้าสู่สังขารตามเดิม

    “คืนนี้ไปได้ไกลกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา”
    เมื่อถอนออกจากสมาธิแล้วพระจิตตังปรารภขึ้นหยั่งเชิง
    “ผมรู้สึกว่าไม่ได้ไปถึงไหนเลย มันวนเวียนอยู่แค่บนต้นหว้านี่เอง”
    พระศรัทธาตอบงงๆ
    “สัมผัสอะไรบนต้นหว้าบ้าง”
    “มันเหมือนฟุ้งซ่านไป คิดไปเอง หรือภาพนิมิตมันเกิดจากจิตใต้สำนึกที่เคยฉันลูกหว้า ผมเห็นวิมานแก้วสดสวยโปร่งใสระยิบระยับลอยอยู่ระหว่างคบที่กลางต้นหว้า และเหมือนมีนางฟ้างามมากอยู่ในวิมานนั้นด้วย”
    พระครูยิ้มน้อยๆ พยักหน้าช้าๆ
    “จิตท่านไปไกล ไปตรง สัมผัสถูกต้องแล้ว”
    ภิกษุศรัทธานิ่งคิด
    “แต่ภาพนิมิตนั้นปรากฏมั่นคงแน่นอนและชัดแจ้ง”
    “นั่นแหละของจริงแล้ว”
    พระครูยืนยันให้ความมั่นใจอีก แต่ดูเหมือนภิกษุอาวุโสยังสงสัยอยู่และเหลือบมองขึ้นไปบนต้นหว้า
    “ต้นหว้าอยู่ใกล้แค่นี้เอง ท่านว่าจิตผมไปไกลได้อย่างไร”

    “ถูกต้อง ต้นหว้าอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่วิมานแก้วที่ท่านสัมผัสต่างหากอยู่ไกลจากโลกภพนี้มากนัก ไกลชนิดที่จิตมนุษย์หรือผู้ทำสมาธิเบื้องต้นไปสัมผัสไม่ถึง เพราะเบื้องนั้นเป็นระยะทางที่ผ่านพ้นความหยาบจากโลกภพไปแล้ว”
    “แล้วต้นหว้าต้นนี้ไปปรากฏอยู่ในเบื้องที่ไกลโพ้นนั้นได้อย่างไรเล่า”
    “เป็นต้นหว้านิมิต หว้าต้นนี้นี่แหละแต่ไปนิมิตอยู่ในเบื้องที่ไกลโพ้นนั้น”
    “จิตของผมมิได้ลอยสูงขึ้นไปเลย”
    พระศรัทธายังลังเลสงสัยอยู่อยากจะเชื่อแต่ยังข้องใจ

    “การเดินทางด้วยจิตมิใช่ลอยไปสูงหรือต่ำ จิตสมาธิเดินทางไปในความละเอียดแห่งจิต ภาวะที่ละเอียดกว่าถือเป็นภาวะที่สูงกว่า ว่าที่จริงมันอาจเป็นจุดจุดเดียวกันในโลกภพก็ได้ จุดจุดเดียวกันมีความหยาบ ความละเอียด ความละเอียดกว่าซ้อนกันไปอีกมากมายไกลแสนไกล การเดินทางด้วยจิตในมิติแห่งกรรมฐานนี้เป็นการเดินทางไปสู่ความละเอียดที่ยิ่งกว่า ภพที่ท่านได้สัมผัสเมื่อครู่พ้นภพมนุษย์ไปแล้วไกลมากสุดจะประมาณ ในภพที่ละเอียดเบื้องนั้นความหยาบจากแสงอาทิตย์ผ่านพ้นไปถึงได้เพียงครึ่งแสง เช่นนั้นแล้วท่านพึงเห็นหรือยังว่ามันไกลเพียงไร ท่านพยายามฝึกจิตต่อไปแล้วท่านจะเข้าใจกระจ่างแจ้งขึ้นมาเอง”

    ภิกษุศรัทธาพอจะคล้อยตามเมื่อทบทวนพิจารณาให้สุขุมขึ้น
    “แล้ววิมานแก้วและนางฟ้าบนต้นหว้านั้นท่านสัมผัสแล้วรู้จักหรือไม่”
    “รู้จักแล้ว ส่วนท่านต่อไปจะรู้จักเอง ขอให้ท่านรู้จักด้วยจิตสัมผัสของท่านเองเถิด”
    ภิกษุผู้มุ่งมั่นปฏิบัติสมถวิปัสสนากรรมฐานอีกครั้งหนึ่งรู้สึกหัวใจพองโตยินดีขึ้น เมื่อพอจะมองเห็นรางๆ แล้ว ว่าจะเดินทางไปพบแสงสว่างที่ยิ่งขึ้นต่อไป
     
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เห็นแล้วห้ามบอก

    คืนต่อๆ มา พระศรัทธาพยายามฝึกจิตกำหนดสมาธิเพื่อสมถวิปัสสนากรรมฐานเองในห้องพักบนวัดจนเชี่ยวชาญและโปร่งใสขึ้น บางครั้งก็อธิษฐานจิตไปสัมผัสละเอียดที่พ้นโลก ณ ดินแดนเบื้องที่ดวงอาทิตย์ส่องถึงเพียงครึ่งแสงตามที่สมณจิตตังเคยนำไปครั้งหนึ่ง ในดินแดนเบื้องนั้นมักจะเป็นที่บนต้นไม้ใหญ่ บนเนินเขา บนชะง่อนหิน ในถ้ำ เกาะแก่ง และริมหุบห้วยเหว ปรากฏวิมานแก้วใหญ่น้อยเป็นที่สถิตของเหล่าเทพบุตร เทพธิดา สถิตสันโดษวิเวกอยู่เฉพาะองค์

    เทพยดาป่าเขาเหล่านั้นปีติยินดีอยู่กับการถือวัตรบำเพ็ญเพียรเหมือนสิทธานักพรตบำเพ็ญตบะในอาศรมเพื่อสร้างสมบุญบารมีแห่งดวงจิตให้สูงขึ้น
    ฤาษีบำเพ็ญตบะเพื่อดวงตาเห็นธรรม เทพยดาป่าเขาบำเพ็ญเพียรเพื่อดวงจิตเพิ่มกุศล
    ในป่าเปลี่ยวแนวไพรของโลกเราเป็นองค์นิมิตติดไปจำหลักเป็นส่วนแรกของสวรรค์ชั้นมหาราชิกาภพ เทพเพิ่งเหนือมนุษย์ในกุศลยังผูกพันกับภพหยาบด้วยฝังจิตติดยึดโน้มนำสถานวิเวกจากโลกภพไปนิมิตเชื่อมโยงเป็นทิพยสถานสถิตอยู่ ณ เบื้องนั้น

    ภิกษุศรัทธาอธิษฐานจิตสัมผัสวิมานแก้วบนต้นหว้าอีกครั้งหนึ่ง
    วิมานแก้วทรงปราสาทจตุรมุขเด่นชัดอยู่ภายใต้ร่มเงาของใบหว้าที่ปรากฏเป็นใบไม้แก้วซ้อนเรียงปกคลุมคาคบอยู่เบื้องบน ที่ด้านล่างมิปรากฏอาศรมของสมณจิตตัง ภิกษุจึงรำลึกได้ว่าจิตเรามาไกลจากต้นหว้าที่ริมป่าช้าวัดเมืองดังที่สมณจิตตังอธิบายแล้วจริงๆ

    ในวิมานมีเทพธิดาภายใต้ถนิมอาภรณ์สร้อยสายสีทองอ่อน มีประกายเรืองรองโปร่งแสงสถิตอยู่ จิตสัมผัสของภิกษุจึงสนทนาไถ่ถาม
    “เทพเธอเป็นเจ้าของวิมานบนต้นหว้านี้หรือ”
    เทพธิดาอยู่ในลักษณาการสงบ แต่มีกระแสตอบออกมา
    “เราสถิตอยู่ในวิมานี้ เป็นวิมานที่องค์เทวราชบัญชาให้เทพเนรมิตให้เราสถิต”
    “เทพธิดาไม่เนรมิตวิมานเองหรอกหรือ”
    “เราไม่อาจเนรมิตได้”
    “วิมานต้นหว้านี้เป็นผลบุญอันใดของเทพเธอจึงบังเกิด”
    “เราเคยถวายผลหว้าสุกแด่สมณะด้วยจิตบริสุทธิ์ก่อนสิ้นสังขารอานิสงส์แห่งผลหว้าและต้นหว้าจึงเป็นวิมานนิมิตแห่งเรา”

    “อาตมาได้แรงบันดาลจิตให้ถึงกรรมฐานด้วยรสอันโอชะของผลหว้าทิพย์ จึงมีความประสงค์จะแผ่กุศลบารมีให้องค์เทพผู้ถวายผลหว้าทิพย์แด่สมณจิตตัง เพราะอาตมาได้รับเผื่อแผ่จากสมณะให้ฉันผลหว้าสุกจนเกิดความยินดีปฏิบัติธรรมสมาธิ องค์เทพเธอใช่หรือไม่ที่เนรมิตผลหว้าสุกถวายสมณะที่อาศรมท้ายป่าช้า”

    เทพธิดาแย้มยิ้มน้อยๆ
    “เราเนรมิตผลหว้าได้เป็นเบื้องต้น จึงเนรมิตถวายสมณะผู้มีจิตผูกพันกับต้นหว้านี้”
    “อานิสงส์ที่เกิดขึ้นแก่อาตมาเนื่องในการปฏิบัติธรรมสมาธิเข้าถึงกรรมฐานนี้จงแผ่ได้แก่องค์เทพเธอด้วยเถิด”
    เทพธิดายกมือประณตไหว้รับส่วนกุศลด้วยความปีติ ประกายแสงเรืองรองแห่งถนิมอาภรณ์เปล่งประกายสดใสขึ้นด้วยแรงกุศล วิมานแก้วและใบชมพูพฤกษ์พลิ้วพรายเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะเสนาะเสียงดุจดุริยสังคีตประโคมรับแรงบุญอันเป็นมหาสมบัติที่ทวยเทพปรารถนากันทั่วไป

    “ขอสมณะท่านจงเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปเช่นกันเถิด เราเทพธิดามาลีชมพูถวายพรท่าน”
    เทพธิดาถวายพรตอบเช่นกัน
    และแล้วในเช้าวันต่อๆ มา บนฝาบาตรของสมณจิตตังก็ปรากฏผลหว้าสุกกองละสามผลสองกอง พระครูจิตตังก็ทราบได้ว่าพระภิกษุศรัทธาสัมผัสวิมานต้นหว้าได้เรียบร้อยแล้ว
    พระศรัทธาทวีศรัทธามากขึ้น จึงได้ขออนุญาตเจ้าอาวาสสร้างกุฏิเล็กๆ ในป่าช้าได้ระยะตามสมควรกับกุฏิของพระครูจิตตัง เพื่อพำนักเป็นสถานวิเวกทำสมาธิวิปัสสนากรรมฐานให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีกองค์หนึ่งและหลังจากที่ฉันผลหว้าทิพย์เรียบร้อยในเช้าวันหนึ่ง ก็ได้เปรยบอกแก่ภิกษุจิตตัง

    “ผมฉันผลหว้าทิพย์ครั้งแรกท่านให้กรวดน้ำแผ่กุศลให้ป้าเย็นเจ้าของสวน แต่มาครั้งหลังๆ ทุกครั้งผมไม่แผ่กุศลให้โยมป้าเย็นต่อไปอีกเลย...”
    “แล้วท่านแผ่ให้ใครล่ะ”
    สมณจิตตังถามยิ้มๆ ทั้งๆ ที่พอจะรู้อยู่แล้ว
    “เทพธิดามาลีชมพูยังไงล่ะท่าน...ถูกต้องตรงกับกระแสสัมผัสของพระครูหรือเปล่ากรุณาชี้บอกหน่อยเถิดว่าผมสัมผัสด้วยกระแสสมาธิเองนี้ถูกต้องตามความจริงหรือไม่”
    “ถูกต้องแล้ว ท่านเข้าไปถึงแล้ว”
    พระครูยืนยันหนักแน่นแสดงความพอใจ
    “ถ้าอย่างนั้น เทพธิดามาลีชมพูก็คือ...ป้าเย็นน่ะซี”
    “ถูกต้องแล้วท่าน ท่านสัมผัสได้เองแล้ว...แต่”
    พระครูชะงักนิดหนึ่ง
    “แต่อะไรหรือท่าน แนะนำผมมาเถิด ท่านคือครูผู้แนะนำแสงสว่างให้ผมจริงๆ”
    ภิกษุศรัทธากล่าวอย่างจริงใจและรอฟังคำตอบของพระครูด้วยความตั้งใจ

    “กระแสสัมผัสจากวิปัสสนากรรมฐานในส่วนที่ล้ำลึกเกินมนุษย์ธรรมดาจะพึงเข้าถึงได้ เป็นธรรมอันยอดยิ่งเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจ องค์ตถาคตเจ้าเคยสั่งสอนสั่งห้ามสั่งเตือนไว้ว่าถ้าไม่เป็นการอันสมควรแล้วอย่าแสดงอุตริมนุสสธรรมนั้นแด่ผู้ไม่พึงเข้าใจเลย จงรำลึกไว้เป็นข้อปฏิบัติด้วยความระมัดระวังต่อไป”
    “สาธุ...กระผมจะปฏิบัติโดยเคร่งครัดครับพระครูท่าน”
     
  10. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วังเวงในป่าช้า

    เสียงกลอน “รำพึงในป่าช้า” จากเด็กวัดแว่วผ่านสายลมมาเมื่อตอนหัวค่ำ
    “วังเอ๋ย...วังเวง
    หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน
    ฝูงวัวควายพ่ายลาทิวากาล
    เดินผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
    ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ
    ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
    ทิ้งความมืดไว้ทั่วทั้งมณฑล
    เหมือนทิ้งตนดูเปลี่ยวผู้เดียวเอย...”

    สัมภเวสีผู้ตายแล้วบังเกิดเป็นสัมภเวสียังแสวงหาที่เกิดอันควรไม่ได้ เป็นผู้น่าสงสารยิ่งนักเอย...
    เจ้าตายมาก่อนกำหนดเพราะกรรมฆาต อกุศลกรรมที่เคยฆ่าเขาไว้ในปางบรรพ์ติดตามมาทันก่อนที่เจ้าจะถึงอายุขัย เจ้าตายโดยอุบัติกรรมอุบัติเหตุโดยมิทันรู้สึกตัว จิตวิญญาณของเจ้ายังมิทันรำลึกถึงกุศลและอกุศลอันเป็นมรรคาพานำไปสู่สุคติหรือทุคติภพ เจ้าไม่มีที่ไป ไม่รู้ที่ไป ไม่เห็นทางไป เจ้าจึงมาเดินวนเวียนอยู่ในป่าช้าเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอยู่เพียงลำพัง

    เย็นย่ำค่ำเมื่อสัญญาณระฆังจากหอหน้าวัดดังขึ้นคราวใด เป็นเวลาเดียวกันกับที่ชาวนาและวัวควายที่เหนื่อยอ่อนจากการตรากตรำทำนามาตั้งแต่เช้ามืดพากันเดินไต่หัวคันนาอ้อยอิ่งเป็นแถวแนวกลับสู่เหย้าเรือน ผ่านท้องทุ่งไปทางหลังป่าช้านั้น ชาวนาเดินผ่านพ้นกลับสู่เรือนตนหมดสิ้นแล้วเมื่อความมืดโปรยปรายไปทั่วอาณาบริเวณ แต่เจ้าสิไม่มีที่ไปเลย ถูกทอดทิ้งให้เดินวนเวียนเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอยู่ในป่าช้าเหมือนเช่นทุกยามย่ำค่ำที่ผ่านมา

    “สัมภเวสีที่น่าสงสารเอย...ต่อแต่นี้เจ้าจะไม่เปล่าเปลี่ยวอีกแล้ว เราบรรพชิตในพุทธศาสนาแห่งองค์สมณโคดมจะมาพำนักเป็นเพื่อนเจ้าที่ศาลาพักศพนี้ทุกค่ำคืน มาเถิด เข้ามาเถิดสัมภเวสีผู้แสวงภพเกิดเข้ามาคุยกับเราในโอกาสอันควร บางที บางที กุศลกรรมแห่งเจ้าที่เคยมีอยู่และกุศลกรรมของเราที่กำลังปฏิบัติจะชักนำเจ้าไปสู่ที่เกิดอันควรได้เร็วขึ้น”

    ภิกษุจิตตังเฝ้าดูวิญญาณสัมภเวสีตนหนึ่งที่วนเวียนเศร้าสร้อยอยู่ในป่าช้ามาหลายเพลาแล้ว เป็นวิญญาณของผีตายโหงที่ตายก่อนอายุขัย ไม่มีที่ไป ไม่รู้ที่ไป เลียบเคียงเฉียดโฉบมาที่กุฏิหลายครั้งหลายคราวแต่เกรงกลัวมิกล้าเข้าใกล้ เกรงสมณะผู้ปรากฏแสงเรืองได้ในคืนที่มืดมิด
    “เข้ามาเถิด เราเป็นเพื่อนเจ้า”

    ล่วงเข้ายามดึกแล้ว สัมภเวสีมาจดๆ จ้องๆ อยู่ใกล้ๆ กุฏิ ดูกล้าๆ กลัวๆ และแปลกใจที่เจ้าของอาศรมเชื้อเชิญให้เข้าไปคุยกันเพราะไม่เคยพบเห็นผู้ใดปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน
    “เข้ามาเถิด เรามีความจริงใจที่จะช่วยเหลือเจ้า”
    สมณะย้ำอีก วิญญาณนั้นจึงใกล้เข้ามาแล้วปรากฏรูปนั่งเรียบร้อยอยู่บนแคร่เบื้องล่าง สมณะพิจารณาอยู่ที่รูปวิญญาณและหยั่งกระแสสมาธิ

    “วิญญาณที่น่าสังเวช...เจ้าตายมาแล้วอาศัยบังเกิดในภูมิเปรตและอสุรกายอันสับสน...เจ้ากำลังมืดบอดทั้งสิ้น เจ้าไม่รู้ภาวะอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เจ้าเพียงแต่รู้สึกอยู่อย่างเดียวว่าเศร้าสร้อยเพราะถูกทอดทิ้ง
    พระครูรำพึง ลดสายตาจับอยู่ที่รูปวิญญาณอีก เห็นเขาจ้องเป๋งด้วยสายตาที่สักแต่ว่าเห็น ไม่พึงรู้ระลึกได้ว่าอะไรคืออะไร
    “พระ...เราเป็นพระ...เจ้ารำลึกถึงคำว่าพระ และจงเปล่งออกมาในกระแสวิญญาณสิ”
    พระครูส่งกระแสชี้นำ เขายังนิ่งเฉยอยู่แต่ดูสายตาอ่อนโยนขึ้น สักครู่หนึ่งปากเขาก็หมุบหมิบมีเสียงลอดออกมาเบาๆ
    “พระ”
    “ดีมาก”
    พระครูให้กำลังใจและชี้นำต่อไป
    “พระคือ บุญ คือ กุศล”
    “พระคือ...พระคือ...พระคือ...”

    วิญญาณพยายามจะพูดต่อแต่พูดไม่ได้ พยายามกี่ครั้งก็พูดไม่ได้ พระครูหยั่งจิตเห็นว่าสัมภเวสีตนนี้ยังมีกรรมเก่ามาก ต้องค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เวลาใช้ความรำลึก แต่เมื่อเริ่มต้นด้วยคำว่า พระ ได้แล้วก็จะไม่มืดบอดตีบตันไปเสียทีเดียว
    “เอาละท่องคำว่า พระ อย่างเดียวก็พอสำหรับวาระนี้ ท่องให้ขึ้นใจ พยายามรำลึกให้ได้ ท่องเอาไว้รำลึกเอาไว้ พอก่อนและไปได้แล้ว ไปเดินเที่ยวเล่นในป่าช้าอันสงัดวิเวกต่อไปเถิด”
    รูปวิญญาณนั้นจึงหายวับไปทันที
    เพื่อนในป่าช้ากลับไปแล้ว สมณจิตตังพึงทำสมถกรรมฐานรำพึงถึงมนุษยโลก

    “พิจารณาดูเถิด มนุษย์สมัยเป็นมนุษย์รู้จักพระ เห็นพระ รู้ว่าพระคืออะไร ถึงจะรู้แตกต่างมากน้อยกันไปก็รู้ว่าพระคือผู้ที่ประพฤติบุญทำกุศล แต่เมื่อตายไปโดยกรรมเช่นนี้แล้วจะไม่รู้อะไรเลย จะรำลึกไม่ได้เลย กรรมมันบดบัง แม้จะพูดคำว่า บุญ กุศล ก็ยังพูดไม่ออก...มนุษย์เอย...มีชีวิตอยู่ สัมผัสพระ สัมผัสบุญ สัมผัสกุศล ให้มั่นให้ขึ้นใจ จำให้ติดปากติดความรู้สึก ระลึกให้ได้ทุกเมื่อทั้งยามตื่นยามหลับ เพื่อฝึกเอาไว้ให้ระลึกทั้งยามมีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว พระ บุญ กุศล จะช่วยจิตวิญญาณให้มีที่อยู่มีที่ไปตามสมควรได้ แม้จะอยู่ในลักษณะสัมภเวสีก็ดี”

    ถอนจิตจากกรรมฐานแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลถ้วนทั่ว ยังไม่ดึกเกินไปจึงออกมานั่งที่แคร่ระเบียงเบื้องล่างนั้น กราดสายตาเชื่องช้าพิจารณาเงาตะคุ่มๆ ของโกดังเก็บศพที่ตั้งเรียงรายปรากฏเลือนรางอยู่ในแสงสลัวหรุบหรู่ของดวงดาวในคืนเดือนมืด
    “สังขารที่เน่าเปื่อยอยู่ในโลงศพนั้นขาดจากจิตวิญญาณซึ่งแตกแล้ว เพราะวิญญาณใหม่ซึ่งเกาะเกี่ยวกรรมต่างๆ มีที่อยู่ที่ไปที่เกิด ก็เฉพาะสัมภเวสีที่ตายโดยอุบัติกรรมเท่านั้นที่วิญญาณใหม่ยังเลียบเคียงผูกพันอยู่กับสังขารที่แตกสลายเพราะไม่มีที่ไป ไม่รู้ที่ไป ประเพณีนิยมจึงมักจะรีบเผาสังขารที่ตายเช่นนี้เสียโดยเร็วเพื่อไม่ให้จิตวิญญาณสังเวชอยู่กับสังขารตนซึ่งทะลุ ฉีกขาด แตกหักผิดธรรมชาติอุจาดตาเช่นนั้น”
    สมณะรำพึงถึงผลแห่งเหตุที่ให้เผาศพผีตายโหงเสีย ไม่ควรเก็บไว้นานดังนี้

    ที่มุมหนึ่งของป่าช้า มีศาลเพียงตาเก่าแก่ตั้งไว้มานมนานแล้ว ไม่มีผู้ใดเซ่นไหว้หรือบูชาปล่อยเป็นศาลร้างด้วยไม่ทราบว่าเป็นศาลอะไร
    ค่ำคืนหนึ่ง สมณจิตตังเข้าสมาธิทำวิปัสสนากรรมฐานส่งจิตไปที่ศาลร้างแห่งนั้น
    ภาพที่ซ้อนศาลชำรุดทรุดโทรมอยู่ ปรากฏเป็นปราสาทวิมานแก้วตระการทองท่ามกลางสวนพฤกษชาติไม้ดอกหอมอันร่มรื่น เทพารักษ์ผู้สถิตอยู่ในเทวาคารมีถนิมอาภรณ์ประกายสดใสยิ่งเทียบเทพมันตาที่สมณะเคยประสบ

    ที่ใต้ร่มกัลปพฤกษ์ด้านหน้าวิมาน รูปแม่ชีสาวสุดคะนึงนั่งสงบพิจารณาเจริญจิตในลักษณะ “ปรีชาคำนึง” อยู่ในญาณวิปัสสนา
    “เจริญญาณเถิดชีสุด”
    สมณะทักทาย แม่ชียกมือประณต ฉายแววปีติยิ่งขึ้นในดวงตา
    “ดิฉันกำลังอธิษฐานถึงสมณะอยู่พอดี ประสงค์ให้กรุณาควบคุมจิตเพื่อหยั่งทราบ ณ สถานที่แห่งนี้เจ้าค่ะ”
    “อาตมายินดีช่วยเหลือ อาตมาก็เพิ่งเคยเข้ามาสัมผัสที่นี่เช่นเดียวกัน...แม่ชีสัมผัสองค์เทพารักษ์หรือยังล่ะ”
    “ยังเจ้าค่ะ”
    “แม่ชีสัมผัสเทวาคารอันเป็นวิมานแก้วหรือยังล่ะ”
    “ยังเจ้าค่ะ”
    สมณะพยักหน้าช้าๆ
    “แม่ชีสัมผัสสวนพฤกษชาติอันร่มรื่นแล้ว เพ่งพิจารณาที่ศาลร้าง ปรีชาคำนึงวางเฉยเสียครู่แล้วพิจารณาใหม่ด้วยสุคติจิต...”
    ครู่หนึ่งต่อมาชีสุดพยักหน้า
    “ปรากฏแล้วเจ้าค่ะ วิมานแก้ววิมานทองในสวนพฤกษชาติแห่งนี้”
    “ปรีชาคำนึงวางเฉยอยู่ที่วิมานนั้นชั่วครู่แล้วพิจารณาอธิษฐานสัมผัสเทพผู้สถิต”
    ครู่หนึ่งต่อมาชีสุดพยักหน้าช้าๆ
    “ปรากฏแล้วเจ้าค่ะ องค์เทพผู้มีประกายรัศมีเรืองรอง”
    สมณจิตตัง ยิ้มน้อยๆ พึงใจ
    “จงตามเรามา”

    กระแสจิตสมณะไปหยุดอยู่เบื้องหน้าวิมาน พลันเทพารักษ์ก็ส่งกระแสเชื้อเชิญเข้าสู่วิมานตน
    สมณะนั่งบนอาสนะที่ยกพื้น ลดหลั่นด้วยอาสนะเทพ และอาสนะของแม่ชีในโถงท้องพระโรงปราสาทแก้ว
    “เป็นกุศลยิ่งที่สมณะผู้เจริญปรากฏเยี่ยมเยียนเรา นิมนต์ท่านทั้งสองสัมผัสตามสบายเถิด”
    “เจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด ท่านผู้เจริญอายุ อาตมาเห็นศาลร้างแต่ความรู้สึกเตือนว่าร้างแต่เพียงศาล จึงกำหนดสมาธิเข้าสู่กระแสสัมผัสเพื่ออาจช่วยเจริญกุศลอย่างหนึ่งอย่างใดแด่เทพท่านได้บ้าง”

    “เราเป็นเทพผู้ปกปักรักษาแดนวิสุงคามสีมาแห่งนี้มาช้านาน ไม่เคยมีสมณะใดเข้ามาสัมผัสแต่กาลก่อนเลย สมณะผู้เจริญ ท่านมีเมตตากรุณาแม้กับสัมภเวสีที่เร่ร่อน แม้กับเทพารักษ์เช่นเรา ท่านเป็นผู้ถึงบุญโดยแท้ ท่านปรารถนาหยั่งทราบสิ่งใดจากเราตามที่จิตประสงค์อยู่จงหยั่งกระแสถามมาเถิด”
    “เจริญกุศล...อาตมาบำเพ็ญเพียรในภาคสมณะมาไม่นานประสงค์ทราบเทวกิจแห่งเทพท่าน เป็นประการใดจึงมาสถิตปกปักรักษาวิสุงคามสีมาสถานนี้อยู่”

    “แต่เดิมเราเป็นเทพสถิตอยู่ในอาณาจักรมหาราชิกาภพเป็นปกติเมื่อถึงกาลสมัยเทพารักษ์องค์ก่อนเจริญกุศลยิ่งขึ้นแล้วกลับไปเสวยสุขด้วยปีติแห่งผลบุญที่ทวียิ่งขึ้นไป ท้าวมหาราชทั้งสี่มีกระแสทราบว่าเราปรารถนามาสร้างสมบุญบารมีในโลกภพ ด้วยการอาสาเป็นผู้ปกปักรักษาวิสุงคามสีมาแห่งนี้ให้เจริญอยู่ในโลกธรรมต่อไปแทนเทพองค์ก่อนเราจึงได้ลงมาสถิตอยู่ที่นี่ด้วยเหตุนี้”
     
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    มารและผี

    “อาตมากระจ่างขึ้นแล้ว กิจอันใดที่เทพท่านพึงกระทำในการอาสา และกิจอันนั้นสมณะเช่นอาตมาพอจะช่วยแบ่งเบาจากเทพท่านได้เพียงใดหรือไม่”
    เทพารักษ์ปรากฏแววปีติขึ้นแวบหนึ่งแล้ววางเฉย

    “ทั้งสมณะและชี เธอเป็นผู้ถึงบุญ กิจของเราคือการดูแลปกปักรักษา และส่งเสริมฝ่ายธรรมะในบริเวณศาสนสถานนี้ให้ดำเนินราบรื่น ปราศจากภัยพาลจากมารที่จะคอยกล้ำกรายขัดขวางการปฏิบัติธรรมของสัตว์โลกที่ประพฤติสัมมาปฏิบัติให้เจริญธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป”

    “มารที่คอยกล้ำกรายสัตว์โลกผู้ปฏิบัติธรรมโดยสัมมาปฏิบัติดังกล่าวมีตัวตนเป็นประการใด”
    “มีตัวขันธมาร คือตัวขันธ์ 5 หนึ่ง, ตัวกิเลสมาร คือตัวกิเลส หนึ่ง, มัจจุราช คือยมทูตผู้นำความตายมาสู่ผู้ไม่ถึงกาลชีวิตักษัยหนึ่ง, อภิสังขารมาร คือวิญญาณอันก่อรูปขัดขวางธรรมและตัวปรุงแต่งกรรมหนึ่ง และเทวปุตมาร คือเทวดาผู้หลงผิดชอบกลั่นแกล้งขัดขวางผู้ประพฤติธรรมหนึ่ง มารทั้ง 5 นั้น เป็นผู้มีฤทธิ์ใน 3 ตัวหลัง บางครั้งเราก็แทบจะเพลี่ยงพล้ำ ถ้าสมณเจ้าและแม่ชีเธอผู้ถึงบุญ มีประสงค์เจตนาช่วยเหลือเรา ในกาลต่อไปเราก็จะมีพละกำลังกุศลในการปกปักรักษาอาณาจักรธรรมแห่งนี้ได้ยิ่งขึ้น”

    สมณะและชีสุดเต็มใจให้คำมั่นอีกครั้งหนึ่ง
    “อาตมาทั้งสองขอปวารณาตนช่วยเหลือกิจของท่านเท่าที่จะพึงช่วยได้ด้วยความยินดี”
    “สาธุ...ขอพระคุณเจ้าจงเจริญ”
    ได้เวลาอันสมควร จิตสัมผัสจากกระแสวิปัสสนากรรมฐานก็ลาละจากเทพารักษ์ถอนออกจากสมาธิในแต่ละกุฏิที่อยู่ห่างกันพอสมควร

    ในตอนบ่ายวันรุ่งขึ้นเป็นเวลาว่างเว้นจากการปฏิบัติกิจต่างๆ แล้ว แม่ชีสุดคะนึงได้ชักชวนแม่ชีทองใบผู้อาวุโส ไปช่วยกันถากถางหญ้าที่บริเวณศาลร้างมุมป่าช้า และที่นั่นแม่ชีทั้งสองก็ได้พบพระครูจิตตังและพระศรัทธากำลังช่วยกันตกแต่งซ่อมแซมศาลที่ชำรุดให้คงสภาพดีอยู่อย่างขะมักเขม้น พระภิกษุจิตตัง และแม่ชีสุดคนึงเท่านั้นที่รู้จุดประสงค์ในการมาตกแต่งสถานที่แห่งนี้ แต่พระศรัทธาและแม่ชีทองใบยังรู้สึกงงๆ อยู่ ที่มาช่วยทำก็เพราะถูกชักชวนมาเท่านั้น

    “เหมือนกับนัดกันมา”
    พระศรัทธาพึมพำเบาๆ เช่นเดียวกับแม่ชีทองใบ
    “ศาลร้างนี้เป็นศาลอะไรหรือ”
    แม่ชีทองใบอดรนทนไม่ได้จึงเปรยถามขึ้น ชีสุดมองหน้าพระครู พระครูจึงชิงตอบ
    “เจริญวิปัสสนาเข้าเถอะชี แล้วต่อไปท่านจะทราบเอง”
    สมณจิตตังบอกทั้งพระศรัทธาและแม่ชีทองใบเพื่อชี้นำ และเป็นการทดสอบพลังวิปัสสนากรรมฐานของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งสองด้วยอีกประการหนึ่ง

    ในวันต่อๆ มา เมื่อมีเวลาว่างตามสมควร ทั้งพระครูจิตตัง พระศรัทธา และแม่ชีทั้งสองจะมาจัดทำบริเวณนั้น ขุดร่องปลูกไม้ดอก ไม้ต้น ปัดกวาดให้สะอาด ตกแต่งเป็นสวนหย่อมและซ่อมศาลให้อยู่ในสภาพมั่นคง สถานที่ตรงนั้นจึงเป็นที่ร่มรื่นงดงามตา

    ลุวันอุโบสถศีล ในวันพระแรม 14 ค่ำเดือนขาด อุบาสก อุบาสิกา ได้มาสมาทานรักษาศีลและนอนค้างปฏิบัติธรรมที่ศาลา อันเป็นกิจเคยปฏิบัติ
    ค่ำคืนนั้นเดือนมืดมิด มีแต่ดาวพราวแสงระยิบระยับประดับฟากฟ้าดุจผืนกำมะหยี่สีดำผืนใหญ่ประดับด้วยเพชรพลอยอยู่เบื้องบน

    ยังอยู่ในยามหัวค่ำ “อุบาสกอุทัย” ข้าราชการซึ่งเพิ่งจะเกษียณอายุราชการได้มารวมกลุ่มรักษาศีลอุโบสถด้วย ประวัติราชการของคุณอุทัยเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำงานซื่อสัตย์ขยันขันแข็ง เสมอต้นเสมอปลาย แม้ตำแหน่งสุดท้ายจะเป็นเพียงข้าราชการชั้นผู้น้อยแต่เกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่ที่ได้สะสมไว้ก็เป็นที่ประทับใจเป็นผู้ที่คนรู้จักทั่วไปให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นพิเศษ เขาเป็นคนธรรมะธัมโมตลอดมา เมื่อยามว่างพอที่จะปลีกตัวมารักษาอุโบสถศีลได้ก็จะมาอยู่เป็นนิจแต่ไม่สม่ำเสมอ ครั้นเป็นข้าราชการบำนาญแล้วก็เป็นอิสระแก่ตน จึงตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมรักษาศีลให้เต็มที่ในวัยนี้

    ชายผู้มีอายุย่างเข้า 61 ปี ยังแข็งแรง หน้าตาแจ่มใส สุขภาพดี และยังไม่ถึงคราวอายุขัย แต่ตัวมารจะรวมตัวกันกลั่นแกล้งคร่าชีวิตเขาทั้งๆ ที่มิใช่เกิดจากกรรมเก่า
    ในค่ำคืนวันพระข้างแรมเดือนขาด เป็นโอกาสดีของตัวมารที่มีพลังเข้มขึ้นที่จะก่อกรรมกับชายผู้นี้
    ตั้งแต่ตอนเช้ามีผู้คนมาทำบุญกันที่วัดพอประมาณเพราะเป็นวันพระข้างแรมเดือนขาด บางคนลืม บางคนหลง บางคนคิดว่าวันนี้เป็นเพียงวันแรม 14 ค่ำ ยังไม่ถึงวันพระ บุญกุศลในโลกภพในอาณาจักรแห่งพุทธบริษัทก็ด้อยลงไป

    “เทวปุตมาร” เทวนาคาผู้หลงผิดหลงใหลอยู่ในอิทธิฤทธิ์แห่งตนว่ามีพลังเหนือมนุษย์และสัตว์หยาบ เทวะตนนี้แต่ชาติปางก่อนเป็นชฎิลโยคะนอกพุทธศาสนา บำเพ็ญทุกรกิริยาบรรลุธรรมด้วยการทรมานตนหวังเพียงเพื่ออุบัติบนสวรรค์เป็นที่ตั้ง เมื่อตายก็โอปปาติกะเป็นเทพที่หลงติดอยู่กับความรื่นรมย์และอิทธิปาฏิหาริย์ในบาดาลพิภพมิปรารถนาหลุดพ้นเพื่อนิพพานแต่ประการใด

    เทวะผู้หลงผิดมีความเชื่อมั่นมาแต่เดิมว่า อิทธิฤทธิ์ของเทวดาจะบงการให้สัตว์โลกเป็นไปเหนือกฎแห่งกรรมได้ เช่น คนที่ยังไม่ถึงที่ตายโดยธรรมชาติถ้าเทวะจะฆ่าให้ตายก็ย่อมทำได้ทั้งสิ้น ความยึดมั่นติดมั่นในมิจฉาทิฏฐิยังติดกมลจิตอยู่ เทวปุตมารเคยคร่าชีวิตมนุษย์และสัตว์โลกผู้ห่างบุญมามากแล้ว ก็มีจิตกำเริบคิดว่าแม้กระทั่งมนุษย์ผู้ถึงบุญตนก็คร่าได้เช่นกัน วันนี้เทวะจึงพิจารณาคนที่มาทำบุญที่วัดตั้งแต่ตอนเช้า ว่าใครบ้างที่เป็นผู้อยู่ในกาลเวลาคราวเคราะห์ที่สุด

    “นายอุทัยนั่นเอง ดวงชะตาเข้าถึงเคราะห์สุดขีด แม้จะยังไม่ถึงคราวอายุขัยก็ดี เราจะอาศัยคราวเคราะห์ของชายผู้นั้นเป็นบันไดไปสู่การเอาชนะกฎแห่งกรรมของมนุษยชาติ โดยคร่าชีวิตเขาเสียต่อหน้าพระ เพื่อเสริมความเชื่อมั่นของตนว่าเป็นจริง คอยดู...แม้แต่พระก็จะช่วยไม่ได้”

    เทวะผู้หลงผิดไปยืนสังเกตการณ์อยู่ข้างบันไดวัด เมื่อผู้ใส่บาตรทำบุญกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พากันลงมาหลั่งน้ำตามใต้ต้นไม้แผ่ส่วนกุศลผลบุญและภัตตาหารอันเกิดจากกุศลให้แก่ญาติมิตร ภูตผีปีศาจที่ล่วงลับ
    บุญกุศลอันเป็นทิพย์ก็แผ่ซ่านเข้าสู่จิตวิญญาณทั้งสุคติภพและทุคติภพ และทั้งวิญญาณที่มารอรับอยู่หน้าบันไดวัดกันถ้วนทั่ว เป็นที่อิ่มเอมเปรมปีติตามๆ กัน

    สัมภเวสีตนหนึ่งผอมโซออกมาจากป่าช้าตรงเข้าจะกินอาหารทิพย์ที่ล่องลอยเหล่านั้นเช่นวิญญาณอื่น แต่ไขว่คว้าเท่าไรก็ไม่ได้สักที จับไม่ถูก คว้าไม่ทัน บางครั้งจับได้แล้วก็หลุดไปผลสุดท้ายก็ได้แต่นั่งก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างบันไดวัดนั้น ไม่ได้กินอาหารเลย เทวะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็นิมิตปรากฏตนให้เห็น และกล่าวแสร้งสงสาร

    “ผีตายโหงผู้น่าสมเพช เจ้าจะทนทุกข์ทรมานเศร้าโศกเสียใจอยู่ทำไม เจ้าเป็นผู้ไม่มีที่อยู่ที่ไป นี่แน่ะ...เราจะบอกอะไรให้ ดูโน่นสิ ชายผู้ที่กำลังเดินลงบันไดวัดผู้นั้นชื่ออุทัย สังขารของเขายังไม่ถึงอายุขัยที่จะต้องตาย แต่ขณะนี้ดวงชะตาเขาเคราะห์ร้ายมาก ถ้าเจ้าจะทำให้จิตของเขาออกจากร่างเสียแล้วเจ้าเข้าไปสิงสู่อยู่แทน เจ้าก็จะเป็นผู้มีที่อยู่มีที่ไป และมีที่กินไม่อดอยาก”

    เทวะส่งกระแสกล่าวย้ำจนผีตายโหงพอจะเข้าใจ มันพยักหน้าหงึกๆ และจ้องมองไปที่นายอุทัยซึ่งกำลังเดินลงมา
    “เจ้าจงติดตามชายผู้นี้ไป ราตรีนี้เขาจะนอนค้างที่ศาลาอุโบสถโน่น เมื่อยามเข้าพลบค่ำอำนาจในตัวมนุษย์จะลดน้อยถอยลง อำนาจของผีตายโหงเช่นเจ้าจะทวีกำลังขึ้น จงหาโอกาสยามค่ำคืนพ่นเชื้ออหิวาตกโรคที่เราจะเสกสรรให้ลงในแก้วน้ำที่เขายกขึ้นดื่ม เมื่อเขาปวดท้องสุดที่จะทนได้เขาจะลงไประบายพิษที่ใกล้ป่าช้า เจ้าจงหลอกหลอนให้เขาตกใจจนจิตหยุด ในช่วงนั้นเจ้าก็เข้าแทรกในสังขารที่ยังสมบูรณ์อยู่ทันที นั่นแหละคือที่อยู่ของเจ้าแล้วจะหากินอาหารได้ต่อไปไม่ต้องอดอยากทนทุกขเวทนาอยู่เช่นนี้”
    สัมภเวสีตนนั้นพยักหน้าหงึกๆ รับรู้

    ย่ำค่ำคืนนั้น องค์เทพารักษ์ขึ้นเฝ้าท้าวจตุมหาราช ปล่อยให้เทพบริวารบางองค์ทำหน้าที่แทน เทวดาผู้ด้อยบุญไม่สามารถจะหยั่งทราบพฤติกรรมอุบาทว์แห่งเทวปุตมารได้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่เทวะผู้หลงผิดจะเสกแสร้งเชื้อร้ายให้แก่วิญญาณผีตายโหงนำไปใส่ปนในแก้วน้ำดื่มของนายอุทัย

    อุบาสกอุทัยดื่มน้ำไปหมดแล้ว สักครู่หนึ่งก็รู้สึกปวดมวนในท้องขึ้นมาทันที เมื่อรู้สึกปวดถี่หนักขึ้นจนผิดปกติจึงเลี่ยงลงไปจากศาลตามลำพัง เดินมาตั้งใจจะมุดรั้วออกไปนอกวัดด้านข้างซึ่งอยู่ใกล้เข้าไปทางป่าช้า แต่สุดที่จะกลั้นได้ เชื้ออุบาทว์สำแดงฤทธิ์จนทำให้อุบาสกต้องนั่งลงที่ตรงนั้นยกมือไหว้ขอขมาลาโทษเจ้าที่เจ้าทาง และเทพยดาที่ปกปักรักษาอาณาบริเวณวัดอย่าได้ถือเป็นบาปเป็นกรรมที่จะต้องระบายสิ่งโสโครกลงในธรณีวัดนี้เลย เพราะเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ

    อานิสงส์แห่งการขอขมาเทวดาอารักษ์ เทพบริวารที่ได้รับมอบหมายจากองค์เทพารักษ์ก็ได้กระแสสัมผัสถึงเหตุผิดปกตินั้นจึงมาอุบัติอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุ
    ขณะที่อุบาสกอุทัยนั่งปลดทุกข์อยู่นานพอสมควร ร่างกายก็เพลียเกือบจะหมดกำลังลง นัยน์ตาเริ่มพร่ามัว สัมภเวสีผีตายโหงเห็นได้ทีจึงรวมพลังอกุศลปรากฏหลอนเป็นสังขารกายหยาบที่กำลังเน่าเฟะนัยน์ตาถลนลุกแดงออกมานอกเบ้า มีน้ำเหลืองหยาดเยิ้มยืดตัวโตสูงใหญ่ใกล้ลำตาล แลบลิ้นกางมือขู่ข่มให้ตกใจ

    อุบาสกซึ่งกำลังอ่อนแรงคาดไม่ถึงที่จะถูกอสุรกายหรือผีเปรตมาหลอกหลอนเช่นนั้นก็ตกใจสุดขีดหมดสติฟุบลงกับพื้นหญ้าทันที
    และก่อนที่ดวงจิตของอุบาสกซึ่งกำลังจะแตกสลายหลุดจากขั้วสังขารอย่างสิ้นเชิง เทพบริวารที่มาอุบัติเห็นพฤติการณ์ต่ำช้าของเทวปุตมารและสัมภเวสีก็ตรงเข้ารองรับดวงจิตอุบาสกอุทัยมิให้แตกแยกจากสังขารได้ทัน แต่ในช่องว่างวิบหนึ่งที่จิตจะแยกมาแล้วนั้นเทวปุตมารได้เสริมพลังส่งวิญญาณผีตายโหงเข้าสู่สังขารนายอุทัยทันทีและเทพบริวารก็รวมพลังกุศลส่งดวงจิตอุบาสกกลับคืนเข้าสู่กายหยาบเช่นเดิมเช่นกัน

    สังขารนายอุทัยฟื้นคืนความรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในรูปกายเดิมแต่มีดวงจิตตนและวิญญาณผีตายโหงแทรกสิงสู่อยู่ด้วย ความรู้สึกของเขาเมื่อได้สติแล้ว เขารู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนเช่นเคย
    ความรู้สึกส่วนตนพอจะรำลึกได้ว่าถูกอสุรกายคล้ายเปรตหลอกหลอน แล้วมีแสงเรืองรองจากมุมป่าช้าสวนหย่อมพุ่งวูบเข้ามาก่อนที่จะหมดสติลง

    อีกความรู้สึกหนึ่ง รู้สึกว่าขณะนี้ท้องไส้ของตนหิวโหยเหลือเกินหิวกระหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
    เมื่อรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นจึงพยุงกายเดินกลับมาที่ศาลาอุโบสถชำระล้างความสกปรกที่ถังน้ำใต้ศาลาแล้วจึงขึ้นไปรวมกลุ่มกับอุบาสกอุบาสิกาตามเดิม
    “ไปไหนมาล่ะปลัด”
    อุบาสิกาที่อยู่ใกล้ๆ ถาม
    “ไปธุระส่วนตัวน่ะ แหมเกือบตาย”
    นายอุทัยตอบโดยหลบสายตาลงเบื้องต่ำ อุบาสิกาสังเกตเห็นใบหน้าของนายอุทัยซีดขาวและดำคล้ำอยู่ในใบหน้าเดียวกัน
    “ไม่สบายจะเป็นลมน่ะซี เอ้า ยาลมดื่มสักหน่อยก็จะชื่นใจขึ้น”
    เพื่อนอุบาสิกาละลายยาลมและส่งแก้วให้เขา
     
  12. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    แก้กรรมเทวปุตมาร

    ความรู้สึกส่วนตนอยากจะดื่มยาหอมนั้น เมื่อรับแก้วมาแล้วพอจะยกขึ้นดื่ม ความหอมของยาลมที่เคยรู้สึกเป็นกลิ่นชวนชื่นใจมันกลับกลายเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในอีกอารมณ์หนึ่งอย่างรุนแรง เขารีบส่งแก้วยาที่ยังไม่ได้ดื่มคืนไปโดยเร็วและสั่นศีรษะปฏิเสธโดยไม่ยอมสบตา

    “ไม่เอา ไม่กิน มันเหม็น”
    เสียงห้วนๆ ดุๆ ตอบออกมา อุบาสิกาผู้นั้นยกแก้วขึ้นดมก็รู้สึกว่ามันยังมีกลิ่นหอมเป็นปกติ
    “เอ...คืนนี้ปลัดดูท่าจะไม่สบาย นอนพักเสียก่อนเถิด”
    นายอุทัยพยักหน้าช้าๆ และปลีกตัวไปนอนพักที่ริมฝาลูกกรงศาลา
    ครู่ใหญ่ต่อมา อุบาสิกาอีกคนหนึ่งทราบข่าวว่านายอุทัยไม่ค่อยสบายก็ชงโอวัลตินร้อนๆ ไปให้
    นายอุทัยเห็นแก้วโอวัลตินร้อนรีบตะกรุมตะกรามรับขึ้นไปดื่มทั้งที่ยังร้อนอยู่แต่ดื่มรวดเดียวหมดแก้วด้วยความกระหายและไม่กลัวความร้อนจะลวกปากลวกคอเลย

    “ดูแกแปลกๆ นะ ไม่เหมือนปลัดคนเดิมที่สุภาพเรียบร้อย แต่นี่โอวัลตินยังร้อนอยู่แท้ๆ แกดื่มพรวดเข้าไปทีเดียวไม่ยักสำลัก ตาแกขวางๆ ชอบกลด้วย
    อุบาสิกาที่ชงโอวัลตินไปให้กลับมารายงานกับเพื่อนอุบาสิกาคนแรก
    “แกอาจไม่สบายมากก็ได้”
    อุบาสิกาคนแรกให้ความเห็น
    “คอยดูแกให้ดี ถ้าเป็นมากก็ควรจะช่วยกันพาไปหาหมอ”
    อีกคนออกความเห็นด้วยความเป็นห่วง

    ดึกสงัดคืนนั้น เมื่อคนอื่นๆ นอนหลับกันแล้ว อุบาสกอุทัยค่อยๆ ลืมตาอันแดงก่ำขึ้น กวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นทุกคนหลับอยู่ เขาจึงค่อยๆ พยุงกายขึ้นนั่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตื่นจึงลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินไปหยิบกระป๋องโอวัลตินที่เหลือและยังไม่ได้ชงเปิดเทใส่ปากเคี้ยวกินหน้าตาเฉย สายตาสอดส่องหาของอะไรที่จะกินได้ต่อไป เมื่อไม่มีของกินบนศาลาแล้วจึงแอบย่องลงข้างล่างตรงไปคุ้ยถังขยะใต้ถุนวัดหาเศษอาหารเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย

    ไม่พ้นความสังเกตของอุบาสิกาสำลี และอุบาสิกากานดา ทั้งสองผู้ละลายยาหอมและชงโอวัลตินให้เมื่อตอนหัวค่ำ หญิงกลางคนทั้งสองพากันชะเง้อมองลอดช่องลูกกรงฝาศาลาตามเรือนร่างอุบาสกอุทัยมาตลอด
    “ผิดปกติแล้วล่ะแม่สำลี”
    อุบาสิกาสำลีกระซิบบอกกานดา
    “ดูแกหิวโหยเหมือนกับตายอดตายอยากมานมนาน...เหมือนผีเข้า”

    อุบาสิกากานดากล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น แล้วไปปลุกอุบาสกชายผู้หนึ่งกระซิบกระซาบบอก ชายผู้นั้นก็ลุกขึ้นคลานมาดูอีกผู้หนึ่ง
    เมื่อคุ้ยตะกร้าขยะกระจุยกระจายจนหมดสิ้น นายอุทัยก็เดินไปทางหลังวัด
    สักครู่หนึ่งเสียงไก่ที่มีอยู่ในบริเวณวัดร้องขึ้นเสียงดังแล้วเงียบหายไป
    สองอุบาสิกาและอุบาสกผู้มาทีหลังปรึกษากัน ในที่สุดก็ปลุกหัวหน้าอุบาสกขึ้นมาบอกกล่าว แล้วอุบาสก อุบาสิกาทั้งหมดก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาประชุมปรึกษา

    อีกครู่หนึ่งต่อมา นายอุทัยคิดว่าคนทั้งหมดคงยังนอนหลับอยู่เหมือนเดิมจึงเดินขึ้นมาบนศาลาโดยมิได้ระวังตัว ปากของเขาเปรอะเลือดสดๆ และมีขนไก่ติดอยู่ เขาเดินเลียเลือดที่ริมฝีปากขึ้นมาด้วยความสุขสม เมื่อโผล่ขึ้นมาข้างบนก็หยุดชะงักอยู่กับที่ด้วยสายตาของผู้รักษาศีลทุกคนทุกคู่ที่จ้องมองมา
    “เข้ามาสิปลัด ปลัดไม่สบายมากหรือ”
    ชายสูงอายุหัวหน้าอุบาสกกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเมตตา นายอุทัยยืนนิ่งอยู่ตามเดิม ริมฝีปากยังมีเลือดสดๆ เปรอะอยู่
    “เลือดและขนไก่”
    หญิงคนหนึ่งกล่าวขึ้นเบาๆ แต่คงได้ยินถึงหูปลัด เขาเหลียวมองไปทางหญิงนั้นด้วยสายตาถมึงทึง หลายคนพากันหวาดวิตก
    “ผีเข้า”
    อีกคนหนึ่งเผลออุทานขึ้นมาเพราะตกใจ สายตาแดงก่ำเหลียวจ้องไปยังผู้นั้น
    “พวกแกใจร้าย ใจร้ายกันทุกคน ทำบุญแล้วกรวดน้ำให้แก่ญาติพี่น้องของแกเท่านั้น กูหิวจะตายมารอรับส่วนบุญของแกทุกวันพระแต่กูไม่ได้กินเลย กูอดกูอยาก กูหิว พวกแกใจร้ายไม่เคยมีใครอุทิศให้กูกินสักคน”
    “แกเป็นใครล่ะ”
    ชายสูงอายุผู้เป็นหัวหน้ารวบรวมสติข่มความกลัวแล้วถามขึ้น
    “ไม่ใช่ญาติของมึงก็แล้วกัน มึงก็ไม่อุทิศส่วนบุญให้กู”

    ผีตายโหงเกรี้ยวกราดหมดกับทุกคน เป็นทีของมันบ้างแล้วที่จะได้ด่ามนุษย์ เพราะมันเฝ้ารอขออาหารมานาน ไม่มีใครสักคนเลยให้มัน มันผูกใจเจ็บเอาไว้
    “แกเป็นใครล่ะ...เราจะได้อุทิศส่วนกุศลไปให้”
    หัวหน้าอุบาสกยังคงชี้แจงด้วยคุมสติได้
    “กูไม่ต้องการอาหารของพวกมึงแล้ว กูหากินเองได้แล้ว กูไม่ต้องง้อพวกมึงอีก กูจะไปตามทางของกู”
    กล่าวจบนายอุทัยก็หันกลับวิ่งลงบันไดศาลาไปโดยเร็วและหายไปในความมืดทางหน้าวัด

    อุบาสกอุบาสิกา ปรึกษากันแล้วรีบไปปลุกเจ้าอาวาสซึ่งกำลังจำวัดอยู่ ไม่มีใครกล้าตามนายอุทัยไปทั้งๆ ที่เป็นห่วง แต่เมื่อรู้ว่าผีเข้าสิงทางที่ดีปลุกพระให้มาช่วยดูจะเป็นการดีที่สุด
    พระตื่นกันทั้งวัด ท่านเจ้าอาวาสเดินนำหน้าถือไฟฉายตามไปทางร่างนายอุทัยที่อุบาสกบอกว่าออกไปทางหน้าวัด และให้ลูกศิษย์ไปแจ้งให้แม่ชีทั้งสองที่กุฏิหน้าป่าช้า และพระครูจิตตังที่หลังป่าช้าทราบเพื่อช่วยกันมาจับผี

    นายอุทัยมิใช่เพียงแต่วิญญาณผีตายโหงสิงสู่ธรรมดา แต่มันเป็นวิญญาณผีตายโหงที่มีเทวปุตมารชักใยอยู่เบื้องหลัง เทวะผู้มีมิจฉาทิฏฐิเป็นที่ตั้ง หลงผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ด้วยมิจฉาทิฏฐิอันแรงกล้าที่จะเอาชนะกฎแห่งกรรมแต่ไม่เอาชนะด้วยกุศล กลับจะเอาชนะด้วยอกุศล เทวปุตมารตนนั้นเมื่อยังไม่ประสบผลสำเร็จที่จะคร่าดวงจิตออกจากสังขารของผู้ยังไม่ถึงอายุขัยได้เพราะปัจจุบันกรรมฝ่ายกุศลช่วยรับดวงจิตนายอุทัยไว้ เทวะผู้หลงผิดก็กำเริบที่จะย่ำยีให้จิตเจ้าของเดิมเสื่อมเสียไป โดยเสริมวิญญาณสัมภเวสีให้มีกำลังกล้าขึ้นในสังขารเดียวกันนั้น

    สังขารอันรับเคราะห์ของนายอุทัยจึงเตลิดรอดพ้นการติดตามของพระและอุบาสก อุบาสิกาไปได้ด้วยมายาฤทธิ์ผีตายโหงและมิจฉาเทวดาในคืนนั้น
    จวบจนรุ่งเช้าและหลายเพลาต่อมา ไม่มีผู้ใดพบเห็นนายอุทัยไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไปที่ไหน แต่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ยังสัญจรวนเวียนอยู่ในละแวกบ้าน ตามป่าและแหล่งที่มีอาหารที่จะกินได้แม้จะต้องลักขโมยหรือต่อสู้กับสัตว์ใหญ่น้อยเพื่อจะฆ่าฉีกเลือดเนื้อกินสดๆ ทุกค่ำคืนจะต้องมีผู้เสียชีวิตสัตว์เลี้ยง เช่น เป็ด ไก่ หมู หมา แม้กระทั่งวัว ควาย ถูกผีตายโหงในร่างของมนุษย์ฆ่าตายและฉีกเนื้อเอาไปกินทุกคนลงความเห็นว่าเป็นการกระทำของผีดิบอุทัย แม้จะไม่เคยมีใครประสบพฤติการณ์ด้วยตาตัวเองสักครั้งก็ตามที

    ข่าวผีดิบอาละวาดแพร่สะพัดไปทั่วทุกทิศ เมื่อมืดค่ำลงทุกครอบครัวจะรีบเข้าบ้านปิดประตูแน่นหนาด้วยกลัวว่าผีดิบนายอุทัยจะมาฉีกเนื้อกิน ในละแวกบ้านนั้นจึงเป็นที่วิเวกน่าสะพรึงกลัวยิ่งนักเมื่อตะวันตกดินแล้ว ในยามราตรีในสวนในป่าใกล้เคียงจึงเป็นสถานวิเวกไม่มีผู้คนสัญจร แม้กระทั่งหมาก็ยังกลัวลาน
    พระครูจิตตังพยายามสัมผัสวิญญาณสัมภเวสีตนที่เคยปรากฏในป่าช้ามาหลายครั้งก็พบแต่ความว่างเปล่า สัมภเวสีตนนั้นไม่วนเวียนเศร้าสร้อยเดียวดายอยู่ในป่าช้าอีก

    “วิญญาณที่ไปสิงสู่ในร่างปลัดอุทัย คงเป็นวิญญาณสัมภเวสีตนนั้นแน่นอน”
    พระครูคาดคิดและมั่นใจ
    จึงอีกวาระหนึ่ง ในคืนที่ดึกสงัด สมณจิตตังจึงเข้าสมาธิวิปัสสนากรรมฐานส่งกระแสสัมผัสเทพารักษ์ ณ เทวาคารวิมานแก้วตระการทองที่มุมป่าช้าเบื้องนั้น
    “ขอนิมนต์ต้อนรับสมณะผู้เจริญ”
    เทพารักษ์ พึงยินดีเมื่อสัมผัสสมณะมาเยี่ยมเยือน
    “เจริญกุศลเถิดท่านผู้เจริญอายุ”
    สมณะให้ศีลพรเป็นธรรมเนียม
    “เรากำลังจะแจ้งสมณะว่า เทวปุตมารแห่งเทวนาคาตนหนึ่งอาศัยช่วงจังหวะที่เราขึ้นไปเฝ้าท้าวมหาราชทั้งสี่เมื่อยามหัวค่ำวันพระเมื่อคืนเดือนขาด ชักจูงเอาวิญญาณสัมภเวสีที่ท่านเคยเมตตาไปเพื่อสิงร่างอุบาสกผู้เคราะห์ร้าย”

    เทพารักษ์แจ้งให้ทราบเพราะรู้กระแสของการสัมผัสคราวนี้
    “ปลัดอุทัยในวิญญาณผีตายโหงหนีเตลิดออกไปนอกเขตวิสุงคามสีมา และฆ่าสัตว์ตัดชีวิตของชาวบ้านกินเป็นอาหารหลายเพลาแล้ว ปล่อยไว้ปีศาจร้ายจะกำเริบแก่กล้าเที่ยวฆ่ามนุษย์ เราจะพึงช่วยเหตุการณ์ร้ายให้กลับคืนสู่ภาวะปกติเช่นไร”
    “เราเป็นเทพารักษ์ผู้คอยปกป้องรักษาสัตว์ผู้ประพฤติธรรมมิให้มารร้ายขัดขวางแต่เมื่อมารร้ายถือโอกาสช่วงชิงก่อเหตุขึ้นมาแล้ว เราผู้ประพฤติหิริโอตตัปปะมิสามารถจะบันดาลให้โทษมารได้ ถือเป็นเคราะห์กรรมของสังขารนั้นเอง แต่เราทราบด้วยกระแสรู้สึกว่าสมณะผู้ถึงบุญจะหาวิธีแก้ไขเหตุการณ์ได้ด้วยดีต่อไป”

    “อาตมาไม่ได้คิดจะลงโทษสัมภเวสีตนนั้น เพียงแต่จะแผ่เมตตาธรรมให้เขารู้สึกบาปบุญคุณโทษ ละกรรมออกจากร่างมนุษย์เสียเพื่อสัมภเวสีเองจะไม่ต้องจมดิ่งลงไปในทะเลกรรมมากขึ้น”
    “สาธุ...เราขออนุโมทนา”
    เทพารักษ์ประณตคารวะคล้อยตามและกถาธิบายต่อ
    “เทวปุตมารตนนั้นมีมิจฉาทิฏฐิแรงกล้า ท่านต้องแก้กรรมให้เทวะผู้หลงผิดนั้นด้วยท่านจึงจะช่วยสัมภเวสีได้ เพราะวิญญาณผีตายโหงมีอำนาจแรงกล้าอยู่ด้วยเทวปุตมาร”

    “อาตมาเป็นเพียงสมณะพรรษาน้อย คงบารมีไม่สูงส่งที่จะบังอาจไปแก้กรรมให้เทพยดาได้หรอกกระมัง”
    สมณะกล่าวเชิงปรึกษา
    “พระคุณเจ้ามีพรรษาน้อยก็จริง แต่กุศลจิตสูงส่ง เราจะบอกใบ้ให้ คงมิบาป ผู้ที่จะชี้แนะให้ท่านแก้กรรมเทวดาได้ก็คือ องค์พระสัมโพธิญาณสมณโคดมเบื้องสูงสุดนั่นแล”
     
  13. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วิชชา 8

    เทพารักษ์ประนมมือท่วมศีรษะเมื่อเอ่ยถึงพระนามพระพุทธเจ้า
    “อาตมากระจ่างแล้ว ขอเทพท่านเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปเถิดที่ให้แสงสว่างแก่อาตมภาพ”
    แล้วสมณจิตตังก็ล่ำลาละกระแสสัมผัสจากองค์เทพผู้สถิตในเทวาคารนั้น
    วันรุ่งขึ้นญาติโยมปลัดอุทัยก็ยกขบวนมาหาพระครูจิตตังที่อาศรมในป่าช้าเพื่อขอร้องให้ช่วยค้นหาและแก้กรรมให้นายอุทัยที่ยังกบดานเงียบอยู่ไม่มีผู้ใดพบเห็น นอกจากข่าวอันน่าสะพรึงกลัวที่ปรากฏจากสัตว์เลี้ยงบ้านโน้นบ้านนี้ถูกฆ่าและฉีกเนื้อเอาไปกินทุกคืนมิได้ขาด

    “อาตมากำลังช่วยอยู่แต่ต้องใช้ระยะเวลา เพราะเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงมาก”
    “ก็ผีเข้าธรรมดาๆ ไม่ใช่หรือ พระครูเก่งกล้าติดต่อได้แม้กระทั่งเทวดาบนสวรรค์แล้วนับประสาอะไรกับวิญญาณผีตายโหงที่หิวโซ พระครูจะเรียกมันมาลงโทษทันทีมิได้เชียวหรือ”
    “ต้องค่อยคิด ค่อยทำค่อยไป”

    พระครูจิตตังมิอาจจะอธิบายสิ่งล้ำลึกอันอยู่เหนือความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ธรรมดาอย่างที่จิตตนสัมผัสได้ การแสดงอุตตริมนุสธรรมไม่ควรพึงแสดงด้วยการโอ่รู้ แต่พฤติกรรมอันจะนำมาสู่ความสงบด้วยการกระทำอย่างนุ่มนวลเพื่อช่วยเหลือชีวิตสัตว์โลกเป็นกุศลที่พระพุทธองค์ทรงส่งเสริม พระครูจิตตังพยายามระมัดระวังอย่างเคร่งครัด พึงพิจารณาแยกแยะให้ออกจากกันได้ เพราะเป็นกรรมที่ใกล้เคียงเหมือนอยู่ในกรรมเดียวกัน

    ผู้รู้ล้ำลึกบางท่าน รู้ธรรมอันล้ำเลิศบางท่าน รู้อุตตริมนุสธรรมที่อยู่เหนือความรู้ของมนุษย์บางท่านเมื่อถูกมนุษย์ไถ่ถาม หรือแสดงปรามาสบางประการ ถ้าไม่เป็นผู้เคร่งครัดตัดแยกกฎข้อห้ามของพระพุทธองค์ข้อนี้เสียได้ มักจะรีบโอ้อวดชี้แจงแจ้งเหตุการณ์เพื่อแสดงความเก่งกล้าสามารถให้มนุษย์เห็น และแสดงวิธิอิทธิให้มนุษย์ดูเพื่อรับการชมเชย นั่นเป็นวิธีการของอลัชชี พระพุทธองค์ทรงติเตียน

    ถ้าพระครูมัวใจเย็น ช้าไปปลัดก็คงจะตายเสียก่อน และขณะนี้ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายังมีชีวิตอยู่ เพราะไม่เคยมีใครเห็นด้วยตาเลยนับตั้งแต่วันที่หนีออกไปจากวัดในคืนนั้น”
    “ยังไม่ตาย”
    พระครูตอบสั้นๆ แต่หนักแน่น ทุกคนรู้สึกโล่งอกขึ้นเพราะศรัทธาเชื่อถือกันทุกคน
    “ถ้าช้าไปจะตายหรือไม่หลวงพี่”
    ญาติอีกคนหนึ่งถามอย่างเป็นห่วง
    หลวงพี่ไม่ตอบ แต่สั่นหน้า
    “หลวงพี่สั่นหน้า แสดงว่า ไม่ตาย หรือไม่ไหว”
    ชายผู้นั้นรุกไล่ด้วยคำพูดอีก พระครูมองด้วยเมตตาและสงสาร หยั่งจิตทราบว่าเขาถามมิใช่ละลาบละล้วง แต่ด้วยความห่วงใยปลัดเป็นสำคัญ จึงพยายามตอบอย่างเบี่ยงเบน
    “ถ้าไม่ตายก็ไหว คงจะไม่ ไม่ไหวก็ตาย”
    ญาติโยมพากันทบทวนคำพูดและตีความ
    “ถ้าไม่ตายก็ไหว...แสดงว่าช่วยได้ช่วยไหว คงจะไม่ ไม่ไหวก็ตาย...หมายถึงไม่ใช่ไม่ไหวแล้วตาย”
    ตีความกันกลับไปกลับมาก็ลงความเห็นกันว่า
    “ช่วยได้ ไม่ตาย”
    ทุกคนก็ดีใจกันขึ้นอีก พระครูยิ้มรับเป็นการรับรอง ความโศกเศร้าค่อยๆ คลายไปในหมู่ญาติ บางคนยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกันหายกังวลไปมาก
    “หลวงพี่คะ...งวดนี้ออกอะไรหรือคะ”
    หญิงกลางคนคนหนึ่งถามเลขหวยเบอร์ขึ้นมาจนได้
    พระครูยิ้มแล้วจ้องหน้าหญิงผู้นั้น แล้วกล่าวถาม
    “อยากมีเงินเพิ่มขึ้นใช่ไหม”
    “ใช่ค่ะ”
    “ถ้าเชื่อหลวงพี่จะให้”
    ทุกคนพากันดีใจ และเงียบฟังเลขเด็ด
    “โยมตั้งใจจะซื้องวดนี้เท่าไรล่ะ”
    พระครูย้อนถามหญิงผู้ตั้งคำถามหวย
    “ถ้าได้เลขเด็ดจะซื้อสักสองร้อย”
    “ถ้าโยมเชื่อ โยมจะมีเงินเพิ่มขึ้นอีกสองร้อยแน่ๆ ด้วยการไม่ซื้อหวยเบอร์เสีย”
    ทุกคนพอแปลความหมายได้ก็พากันหัวเราะครืน และเห็นจริงแต่หญิงนั้นยังไม่ลดทิฏฐิ
    “มันก็ไม่รวยขึ้นสิคะ”
    “แต่ก็ไม่จนลงไปอีกสองร้อยไม่ใช่หรือ”
    “มันไม่แน่นี่หลวงพี่ ถ้าเราเสี่ยงเอาเงินสองร้อยซื้อเราอาจรวยมาเป็นหมื่นเป็นแสน”
    “ก็มันไม่แน่นี่โยม ไอ้สิ่งที่ไม่แน่นี่แหละที่ทำให้คนทั่วไปส่วนใหญ่จนลงเพราะหวย”
    “ถ้าหลวงพี่ให้เลขเด็ดแน่ๆ ก็คงจะรวยแน่ๆ แหละค่ะ”

    “ดูก่อนญาติโยมทั้งหลายอาตมาจะให้ไม่เฉพาะเลขเด็ดเท่านั้น แต่อาตมาจะให้ถึงวิธีที่จะรู้เลขเด็ดเสียเลยจะดีไหม เพื่อโยมจะได้รวยทุกงวดๆ โดยไม่ต้องมาถามพระ ใครอยากได้มั่งล่ะ”
    ทุกคนมองหน้ากันและรับรองอยากได้ด้วยความรู้สึกในสีหน้าที่ไม่แน่ใจนักว่าหลวงพี่พูดเล่นหรือพูดจริง

    “เอ้า ต่อไปนี้อาตมาจะพูดจริงๆ ถึงวิธีที่จะรู้เลขเด็ดโดยย่อๆ...คือทิพจักษุ คือมีตาเป็นทิพย์ เป็นวิชชาในประการที่ 7 ของวิชชา 8 ซึ่งเป็นธรรมะอันสำคัญอย่างยิ่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีทิพจักษุจะพึงเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต การจะรู้เลขเด็ดก็ต้องเจาะจงเอาที่จะเห็นอนาคตซึ่งเรียกว่า อนาคตังสญาณ เป็นญาณหยั่งรู้อนาคตโดยคาดผลข้างหน้าอันสืบเนื่องมาจากเหตุในปัจจุบันหรือในอนาคตก่อนถึงขณะนั้น แต่ก่อนที่จะได้ญาณอนาคตังสญาณนี้จำเป็นที่จะต้องได้วิปัสสนาญาณ อันเป็นวิชชาประการแรกเสียก่อน และก่อนที่จะถึงซึ่งวิปัสสนาญาณ จะต้องรู้จักทำสมาธิด้วยวิธีเพ่งกสิณให้จิตมั่นคง และทำจิตให้บริสุทธิ์ถึงฌานเสียก่อน และก่อนที่จะทำสมาธิได้จะต้องรักษาศีลเสียก่อน และก่อนที่จะรักษาศีลควรถึงซึ่งทานบารมีเสียก่อน และก่อนที่จะ...”

    พระครูเหลือบมองญาติโยม ทุกคนเงียบกริบแต่มิใช่เงียบฟังปรากฏว่าเงียบหลับกันเป็นแถว
    “เห็นเลขเด็ดหรือยังล่ะโยม”
    ทุกคนลืมตาขึ้น หัวเราะกันครื้นเครงอีกครั้งหนึ่งหายโศกเศร้าลงได้บ้าง ไม่มีใครอยากได้เลขเด็ดอีกแล้วเพราะหลวงพี่จะให้จริงๆ และให้ถึงต้นตอเสียด้วย ให้ชนิดถอนรากถอนโคนกันทีเดียว พอจะให้ของดีจริงๆ ก็ไม่มีใครอยากได้ นี่แหละหนอมนุษย์ มนุษย์ มนุษย์...

    ถ้ามีใครสักคนหนึ่งสังเกต ที่เบื้องหลังสุดมีเด็กชายวัยสิบกว่าขวบหน้าตาดีนั่งพนมมือแต้ตั้งอกตั้งใจฟัง จดจำและใคร่คิด ใบหน้าเขาเฉย ดวงตามั่นคง ดวงจิตมุ่งมั่น มีแววปีติฉาบฉายอยู่ทั่วใบหน้าเด็กชายผู้นั้นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่มิได้หลับ เขาท่องและจดจำได้แม่นยำถึงสิ่งสำคัญที่พระครูจิตตังเทศนา

    เมื่อกลุ่มผู้ใหญ่กราบลาพระภิกษุในป่าช้ากลับไปแล้ว คงเหลือเด็กชายผู้นั้นนั่งอยู่บนแคร่ข้างล่างเพียงผู้เดียวและคลานขึ้นมากราบสมณะบนอาศรม

    “วิชา 8 คือวิชาอะไรหรือครับหลวงพ่อ”
    เด็กน้อยกล่าวถามอย่างนอบน้อมในขณะที่นั่งพับเพียบพนมมือระหว่างอก
    เจริญวัย เจริญพรเถอะหนู...วิชา 8 ต้องออกเสียงว่า วิชชา 8 คือสะกดด้วย ช.ช้างสองตัว อ่านว่าวิชชา หมายถึงธรรมชั้นสูงของพระพุทธเจ้า ส่วนคำว่า วิชา ซึ่งสะกดด้วย ช.ช้างตัวเดียว หมายถึงความรู้ทั่วๆ ไป ธรรมชั้นสูงของพระพุทธเจ้ามี 8 ประการ จึงเรียกว่าวิชชา 8”

    พระครูอธิบายง่ายๆ ด้วยเมตตา เด็กน้อยมีนัยน์ตาแจ่มใสยิ่งขึ้น
    “ผมจำได้ที่หลวงพ่อเทศนาเมื่อกี้ ในประการที่ 1 คือ วิปัสสนาญาณ และในประการที่ 7 คือทิพจักษุ แล้วอีก 6 ประการล่ะครับ มีอะไรบ้างครับ”
    แม่นยำและถูกต้อง รู้จักแยกแยะ ขั้นตอน พูดไปครั้งเดียวเด็กชายผู้นี้จำได้และถูกต้องได้ขบวนความ เด็กผู้นี้มีปัญญาและใฝ่กุศล พระครูพิจารณาด้วยปีติในใจ เมตตาเด็กน้อยยิ่งขึ้น

    “วิชชา 8 ประการที่ 2 ก็คือ มโนมยิทธิ...ประการที่ 3 คืออิทธิวิธี...ประการที่ 4 คือ ทิพโสต...ประการที่ 5 คือ เจโตปริยญาณ...ประการที่ 6 คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ...ประการที่ 7 ทิพจักษุ และประการที่ 8 คือ อาสวักขยญาณ”

    เด็กน้อยดึงสมุดพกจากกระเป๋าเสื้อออกมาจดและให้หลวงพ่อช่วยตรวจดูเพื่อความถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง แล้วกราบลงกับพื้น 3 ครั้ง ก่อนที่จะวิ่งตามพรรคพวกกลับไป
    สมณจิตตังมีจิตใจจดจ่อที่จะรีบช่วยนายอุทัยมากกว่าญาติโยมของเขาเสียอีก และเมื่อได้ล่วงรู้โดยกระแสสมาธิจากเทพารักษ์อันนำความสว่างมาให้ก็รู้สึกมั่นใจว่าคงจะไม่เกินกำลังกุศลที่จะช่วยได้ วิญญาณผีตายโหงคือสัมภเวสีที่ยังรำลึกคำว่า “พระ” ได้อยู่ นายอุทัยผู้ยังไม่ถึงกาลอายุขัยเพียงแต่มีเคราะห์ตามดวงจักรราศีโดยไร้กรรมที่ติดตามมา แต่ที่หนักใจเป็นประการสำคัญคือ เทวปุตมารผู้หลงผิด เทวดาผู้มีฤทธิ์เป็นผู้เสริมพลังผีตายโหงอยู่เบื้องหลัง

    “เราจะดำเนินรอยตามเบื้องยุคลบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต่อสู้กับเทวดาแต่จะแก้กรรมให้เทวดา แต่เราเป็นเพียงสมณะในภาคมนุษย์ จะสร้างบารมีได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งแก่เราได้ตามที่เทพารักษ์ได้กรุณาชี้ทาง”
    และแล้วเมื่อปฐมยามได้ล่วงไป สมณจิตตังก็ถอดจิตออกจากร่าง
     
  14. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เทวนาคา บาดาลพิภพ

    สมณจิตตัง ถอดจิตทิ้งร่างแต่มิได้อธิษฐานขอนิมิตสู่กายทิพย์แต่ประการใด
    อธิษฐานจิตน้อมนมัสการเข้าสัมผัสวิสุทธิภูมิฉัพพรรณรังสีแห่งพระบรมโพธิสมภาร ณ แดนสงบสงัดโลกุตตระ

    “ดวงธรรม” แห่งพระพุทธองค์สมณโคดม ณ เบื้องนั้นเป็นวิมุตติลักษณะ ว่างเปล่าจากนิมิตทั้งปวง กระจ่างใสพิสุทธิ์เป็นภาวะปรินิพพาน เสวยวิมุตติสุขอยู่ท่ามกลางรังสีเรืองรองอันปรากฏสีนิมิตเขียวยิ่งกว่าเขียว เหลืองยิ่งกว่าเหลือง แดงยิ่งกว่าแดง ขาวยิ่งกว่าขาว แดงอ่อนยิ่งกว่าสีอุษาโยคยามเช้า และเมลืองเลื่อมพรายยิ่งกว่าดาวประกายพรึกยามใกล้รุ่ง
    พระพุทธเจ้ามีธรรมสัมผัสเป็น “องค์ธรรมายตนะ”
    นิมิตสมมุติลักษณะเป็นประการต่างๆ ด้วยเดชะบารมีที่ซ่านอยู่ในฉัพพรรณรัศมีนั้น

    เดชะบารมีทั้งหกอันติดตามข้ามภพข้ามชาติมาฉายรังสีเป็นพุทธรัศมีล้อมรอบดวงธรรมอยู่ในวิสุทธิภูมิปรินิพพาน เป็นพุทธบารมีสืบเนื่องมาจากอดีตชาติขณะบำเพ็ญเพียรในภาคโพธิสัตว์สมัยจุติไปเกิดในโลกภพเป็นราชาทรงพระนามพระเจ้าสีพีราช ได้ควักพระเนตรตนออกให้เป็นทานแด่พระอินทร์ที่เนรมิตกายเป็นพราหมณ์ไปขอดวงตา บารมีมาปรากฏเป็นรังสีนิลเขียว สมัยเป็นเจ้าวิริยบัณฑิตได้เชือดเนื้อออกให้พระอินทร์ซึ่งเนรมิตลงมาเป็นช่างทองเพื่อให้ตีเป็นแผ่นทองปิดพระพุทธรูปเจ้าพระองค์หนึ่งด้วยจิตศรัทธายิ่ง บารมีมาปรากฏเป็นรังสีเหลืองยิ่งกว่าทอง สมัยเป็นเจ้านรชีวมานพหรือเจ้าปทุมกุมารได้เอามีดผ่าอกตนควักหัวใจมาทำยาให้มารดาซึ่งถูกงูกัด บารมีมาปรากฏเป็นรังสีแดงยิ่งกว่าแดงเลือด สมัยเป็นพระเวสสันดรได้ให้ช้างเผือกชื่อปัจจยนาเคนทร์แก่พราหมณ์ที่มาขอ บารมีมาปรากฏเป็นรังสีขาวผ่องยิ่งกว่าขาว สมัยเป็นวิชชาธรผู้ทรงวิทย์ได้เสียสละเชือดเนื้อบางส่วนในกายตนให้ผีเสื้อกินเป็นอาหาร บารมีมาปรากฏเป็นรังสีแดงอ่อนยิ่งกว่าตะวันยามเช้า และสมัยเป็นสหบัณฑิตได้ทอดตัวลงในกองไฟที่พระอินทร์นิมิตเผาเนื้อให้ทานแก่พราหมณ์ บารมีมาปรากฏเป็นรังสีเมลืองเลื่อมพรายเป็นประภัสสรยิ่งกว่าดาวประกายพรึก

    น้อมมโนนมัสการด้วยจิตที่เคารพยิ่ง รังสีที่เรืองรองยิ่งกว่าสีในโลกภพก็เปล่งประกายเรืองรองยิ่งขึ้น
    “ข้าพระพุทธบาทแห่งองค์ธรรมพุทธเจ้า ขอถวายนมัสการบูชาพุทธองค์เป็นที่ตั้งตลอดไป ข้าพระพุทธองค์ขออธิษฐานเฝ้าตถาคตเพื่อขอพระบารมีสงเคราะห์แก้กรรมเทวปุตมารผู้หลงผิดกำลังก่อกรรมยุยงให้วิญญาณสัมภเวสีเข้าสิงสู่สังขารอุบาสกอุทัย ผู้ประพฤติธรรมด้วยพระพุทธเจ้าข้า”
    สมณจิตตังกล่าวอาราธนาขอพึงให้รู้วิธีด้วยปัญญาแห่งตน
    ฉับพลันประกายรัศมีแดงสดอันเป็นทานบารมีเกิดจากเคยควักหัวใจทำยารักษาพิษงูกัดให้มารดาโพธิสัตว์ ก็ฉายแสงเป็นวงกลมโตปรากฏรูปนิมิตในวงสีแดงนั้น

    เป็นภาพนิมิต ชฎิล นักบวชประเภทหนึ่งเกล้าผมมุ่นเป็นมวยสูงขึ้น กำลังบูชาพญานาคที่พ่นพิษเป็นไฟประลัยกัลป์ สักครู่หนึ่งชฎิลผู้นั้นก็เปลี่ยนร่างเป็นเทพบุตรมีถนิมอาภรณ์เรืองรองสถิตอยู่ในวิมานใต้บาดาล มีกระแสจิตแรงกล้าเป็นทิฏฐิมานะว่าตนเป็นเทพที่สูงสุดแล้ว ไม่มีเทพใดจะสูงยิ่งไปกว่าตน ตนจะบันดาลให้สัตว์โลกที่ต่ำต้อยเป็นเช่นใดก็ได้ มิจำต้องให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมของเขาเอง กรรมที่กำลังก่ออยู่ในสังขารอุบาสกผู้เคราะห์ร้ายก็เพียงเพื่อจะพิสูจน์ทิฏฐิมานะแห่งตนว่าเป็นจริง ไม่เกรงกลัวแม้กระทั่งพระในบวรพระพุทธศาสนา

    ภาพนิมิตต่อมา เป็นภาพของสมณะในพระพุทธศาสนากำลังดับไฟพิษที่พญานาคพ่นออกมา
    ภาพสมณะนั้นแจ่มชัดยิ่งขึ้น บนฝ่ามือซึ่งกำลังแผ่ประทานพรเพื่อดับไฟมีพระทาฐธาตุคือพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าลอยเหนือฝ่ามือ ชั่วครู่หนึ่งไฟพิษก็ดับวูบลง
    สมณจิตตังถวายนมัสการบังคมลาจากวิสุทธิภูมิ ถอยสมาธิเพ่งอยู่ที่พระเขี้ยวแก้วและเข้าสู่วิปัสสนาญาณพึงรำลึกกุศลจากวิปัสสนา สมณจิตตังพึงรู้สึกได้ว่า

    “พระทาฐธาตุ องค์ที่ปรากฏคือองค์พระเขี้ยวแก้วองค์ด้านซ้ายอันสถิตอยู่ในนาคพิภพ เมืองใต้บาดาลแห่งอัสดงทิศ อันมีมหาราชท้าววิรูปักษ์รักษาดูแล พระเขี้ยวแก้วจะชี้นำให้สมณะรู้วิธีดับไฟทิฏฐิอันเป็นที่ตั้งแห่งมิจฉาของเทวปุตมารได้”

    เย็นวันรุ่งขึ้น พระครูจิตตังได้บอกกล่าวแก่พระศรัทธาไว้ว่า
    “พรุ่งนี้เช้าผมจะงดบิณฑบาตสักวันหนึ่ง ให้พระศรัทธาออกโปรดสัตว์แต่องค์เดียว ผมจะกำหนดจิตอยู่ในวิปัสสนากรรมฐานตั้งแต่ต้นมัชฌิมยามคืนนี้ไปจนถึงต้นมัชฌิมยามรุ่งขึ้น”
    พระศรัทธารับทราบและทำการสาธุ อนุโมทนาในกิจวิปัสสนาที่พระครูจะพึงทำอย่างยาวนาน
    ปฐมยามผ่านพ้นไปแล้ว สมณจิตตังถอดจิตออกจากร่างอธิษฐานจิตเข้าสู่กายทิพย์ขึ้นเฝ้าท้าววิรูปักษ์ จอมเทพผู้รักษาจาตุมหาราชิกาเบื้องตะวันตกเพื่อขอความอนุเคราะห์ช่วยชี้นำเข้าเฝ้าพระเขี้ยวแก้วพระพุทธเจ้าที่สถิตอยู่เมืองนาคราชได้โดยสะดวก เทวมหาราชรู้กระแสที่สมณะพึงประสงค์อันเป็นกิจกุศลแก่สัตว์โลกและเทวะพึงปีติยินดีชี้นำไปในทางเบื้องอัสดงนั้น

    สมณเทพจิตตังมาปรากฏอยู่ ณ เบื้องชายทะเลอ่าวไทยฟากตะวันตก หน้าขุนเขาสามร้อยยอดอันมีพระอรหันตธาตุสถิตอยู่ประกายวูบวาบจากพระธาตุเปล่งรังสีขึ้นเหนือยอดเขาแจ้งกระแสทิศทาง สมณะประนมมือประณตไหว้ขออรหันตธาตุเป็นที่พึ่งแล้วจึงมาหยุดยืนอยู่ที่ปลายแหลมริมหาดอ่าวใหญ่ฟากใต้ของสยามประเทศโลกภพ

    เบื้องหน้าในมหาสมุทรระหว่างช่องโครำและเกาะนมสาวเป็นแนวมหานทีที่ลึกดิ่งลงสู่ช่องบาดาลใต้พิภพ อันปรากฏ “เทพธิดายมโดย” แห่งอุตตรกุรุภพสถิตอยู่ในปราสาทวิมานแก้วสถานเทวาคารที่เหนือหาดเกาะนมสาวเป็นเทพธิดาสถิตปกปักรักษาฟากฝั่งอ่าวไทยทั้งตะวันออกและตะวันตก ทิพยสถานบนเกาะนมสาวซึ่งเทพธิดาสถิต จึงเปรียบเสมือนเทวาคารด่านหน้าของจาตุมหาราชิกาเบื้องตะวันตกอันเป็นแดนเทวนาคาฉะนั้น

    สมณเทพจิตตัง ปรีชาคำนึงในวิปัสสนาญาณแยกแยะแดนอุตตรกุรุทวีป และจาตุมหาราชิกาให้ออกจากกันเสียก็ทราบกระแสว่าในแดนเทวนาคาจาตุมหาราชนั้นอยู่ในภพภูมิที่ละเอียดประณีตกว่าอุตตรกุรุทวีป เป็นเทวะที่ปรากฏถนิมอาภรณ์เรืองรองแล้ว พ้นจากความเป็นมนุษย์ในโลกภพยิ่งขึ้น ส่วนผู้สถิตในแดนอุตตรภพเป็นครึ่งมนุษย์ ครึ่งเทพ รูปกายละเอียด เหาะเหินเดินลอย อยู่ภายใต้พัสตราภรณ์สีขาวมีประกายวาวๆ โปร่งใส ประพฤติปฏิบัติศีลเป็นธรรมชาติวิสัย และมนุษย์กายหยาบธรรมดาที่ไม่มีจิตถึงบุญตามสมควรจะสัมผัสไม่ได้ทั้งๆ ที่อยู่ในภพเดียวกัน

    สมณะปรากฏเฉียดเข้าไปประทานพรแก่เทพธิดายมโดย
    “เจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด ท่านผู้เจริญอายุด้วยปัญจศีลเป็นธรรมวิสัย”
    เทพธิดาผู้งดงามภายใต้พัสตราภรณ์ขาวล้วนบริสุทธิ์ ประณตไหว้อย่างยินดียิ่งที่นานนักจะได้รับพรจากสมณะ ความอิ่มเอมที่ได้รับพรจากผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ทำให้ประกายวาวๆ จากพัสตราภรณ์เปล่งประกายแวววาวยิ่งขึ้น กระจ่างยิ่งกว่าแสงจันทร์ในคืนเต็มดวงข้างขึ้นในโลกภพ
    “ขอสมณะจงเจริญบุญเช่นกันเถิด พระคุณเจ้าผู้เจริญ”
    เทพธิดาถวายพรตอบ
    “อาตมาจะขอผ่านเข้าไปในพิภพใต้บาดาลแดนนาคราช”
    “ขอจงเข้าสัมผัสโดยสะดวก ด้วยกุศลแห่งพระคุณเจ้าเถิด”
    เทพธิดาน้อมประณตไหว้อีกวาระหนึ่งแล้วผายมือชี้เชิญนิมนต์ไปทางช่องมหานทีระหว่างเกาะทั้งสอง

    สมณะเทพอธิษฐานรำลึกถึงพระเขี้ยวแก้วที่สถิตอยู่เป็นที่ตั้งก้าวเหยียบไปบนแผ่นทะเล ณ เบื้องนั้น น้ำทะเลแตกแยกกลายเป็นชลมารคเป็นช่องให้เลื่อนลอยเข้าไปในแดนที่ละเอียดประณีตยิ่งกว่ามิใช่ดิ่งต่ำลงสู่ก้นมหาสมุทร หรือลอยขึ้นเหนือผิวพื้นทะเลแต่ประการใด สมณะรู้สึกว่าเหมือนกายทิพย์ของตนยืนอยู่กับที่ แต่ความหยาบรอบด้านที่เป็นโผฏฐัพพะต่างหากค่อยๆ ละเอียดขึ้นๆ ภาพนิมิตระหว่างทางก็เปลี่ยนแปลงไปสู่ความประณีตบรรจงยิ่งกว่า

    รูปนิมิตเบื้องหน้าเป็นภาคพื้นมหาสมุทรกว้างใหญ่ น้ำในท้องมหาสมุทรมิได้เป็นสีน้ำเงินเข้มแต่เพียงอย่างเดียวเหมือนในโลกภพ แต่เป็นสีรุ้งพราย ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง กลอกกลิ้งเป็นประกายเกล็ดเพชร พลอย ทับทิม เงิน ทอง คละเคล้าระริกไหวเป็นมหานทีทิพย์อันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่โดยรอบ
    ตรงเบื้องกลางเป็นยอดเขาสิขรีอันมีโคนรากมาจากใต้พื้นเบื้องล่างโผล่พ้นยอดสิงขรเหนือทะเลพอประมาณ ที่ช่องปล่องแก้วกลางยอดนั้นเองเป็นวิถีนำสู่ล้ำลึกลงเบื้องใต้เกษียรสมุทร ใต้ภูมิภพแห่งมหาราชิกาเจ้า เยื้องไปทางด้านหรดี ณ ที่นั้น เป็นทิพยอาณาจักเทวนาคานาคพิภพใต้ความปกครองของมหาเทพท้าววิรูปักษ์ผู้เป็นใหญ่

    สมณเทพจิตตังลอยกายทิพย์เข้าสู่องค์สัมผัสคือพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธองค์ซึ่งประดิษฐานเป็นดวงแก้วโปร่งใสสว่างไสวยิ่งกว่าจันทร์เพ็ญพันดวงอยู่บนยอดเขามอในอาณาจักที่ล้ำลึกแห่งสวรรค์ ประกายฉัพพรรณรังสีส่องสว่างเป็นสีสันไปโดยรอบอีกชั้นหนึ่ง ทิพยสถานแห่งนี้จึงมีความงดงามตระการตาแตกต่างจากอาณาจักรเทพอื่นๆ ที่สมณะเคยสัมผัส

    เนินเขาเล็กๆ นิมิตเป็นรูปด้วยเพชรพลอย ทับทิม เงินทอง แวววับ ปรากฏเป็นที่สถิตสถานของพระเขี้ยวแก้วโดยเฉพาะ เป็นองค์ธรรมให้ความสว่างไสวในจิตและรูปแก่เหล่าเทพทั้งหลายทั่วไป เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรเทวนาคา และถือเป็นทิพยสมบัติทรงคุณค่ายิ่งในแดนจาตุมหาราชิกาภูมิ

    เทวะอาณาจักรนี้ โอปปาติกะจากผู้บรรลุธรรมด้วยการบำเพ็ญเพียรตามลัทธิศาสนาอื่นนอกพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เป็นเทพที่มักจะติดความรื่นรมย์มิได้รำลึกความหลุดพ้นจากวัฏสงสารเป็นสำคัญ แต่ด้วยบารมีแห่งพระทาฐธาตุของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นนิมิตบูชาแต่เพียงสิ่งเดียวที่ปรากฏในอาณาจักร ทั้งมีฉัพพรรณรังสีปรากฏงดงามยิ่งกว่ารัศมีใดๆ ในสวรรค์ ผู้สัมผัสปีติหฤหรรษ์มิรู้เบื่อ ความปีติก็ค่อยๆ โน้มเข้าสู่ธรรมะแห่งพุทธองค์ตามลำดับ เว้นแต่เทพบางองค์ที่ยังมากด้วยมิจฉาทิฏฐิเช่นเทวปุตมาร ซึ่งกำลังก่อกรรมอยู่ด้วยความหลงผิด
    สมณจิตตังถวายนมัสการอยู่ที่เชิงเขามอ รำลึกกระแสขอพระพุทธคุณเป็นที่พึ่งเพื่อสัมผัสเทวะผู้หลงผิด
     
  15. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    โคตรชฎิล

    ภูเขามอ อันตรธานไปกลายเป็นวิมานทองอันมียอดแหลมเป็นหัวพญานาคอยู่ในถ้ำใหญ่ เบื้องหน้าวิมานเป็นแอ่งน้ำลึกมีควันพวยพุ่งขึ้นมาเป็นหย่อมๆ เทพชฎิล ผู้มีถนิมอาภรณ์เรืองรองเป็นมุ่นมวยผมรูปศีรษะพญานาค บ่งบอกลักษณะเป็นเจ้าของวิมานทอง กำลังสถิตเอกเขนกอยู่บนขนดนาคบัลลังก์แก้วตระการทองที่มุขหน้า

    เทพอาคันตุกะลอยไปยืนอยู่ที่ปากถ้ำทิพย์ ผนังภายในล้วนแต่เป็นทองคำเหลืองอร่ามเปล่งประกายเรืองรอง
    “ดูก่อนผู้มาเยือน ท่านเป็นสมณะในลัทธิศาสนาใดฤา”
    เจ้าของวิมานทักทายขึ้น
    “อาตมาเป็นสมณะในพระพุทธศาสนา อันมีองค์พระสมณโคดมทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเป็นสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลปัจจุบัน”

    “ท่านมีความประสงค์สิ่งใดในการมาปรากฏสัมผัสยังวิมานเรา”
    “อาตมาขึ้นเฝ้าถวายนมัสการพระเขี้ยวแก้วอันเป็นพระทาฐธาตุขององค์ตถาคต แล้วพึงวิสาสะมาเยือนท่านเพื่อรำลึกถึงชฎิลสามกลุ่มญาติธรรมของท่านในกาลก่อน”
    “เราระลึกไม่ได้ว่าเคยรู้จักสมณะมาก่อนในชาติใดภพใด”
    เทวปุตมารตนนี้ยังวางจิตเฉยและไม่รู้สึกยินดีกับการเยี่ยมเยือนของสมณะผู้ทรงศีล

    “เราคงไม่เคยรู้จักกันมาแต่ก่อน แต่...แต่กุศลแห่งท่านและอาตมานำพาให้รู้จักกันในปัจจุบันและอนาคตกาล”
    “กุศลอันใดเล่าที่นำพาท่านมาเพื่อรู้จักเรา”
    “มหากุศลจากชฎิลสามพี่น้องที่เคยปรากฏชื่อว่า อุรุเวลกัสสปหนึ่ง นทีกัสสปหนึ่ง และคยากัสสปหนึ่ง พร้อมทั้งพรรคพวกชฎิลบริวารรวมทั้งสิ้น 1003 รูป อันเคยปรากฏเป็นญาติธรรมท่านผู้อาวุโสกว่า นำจิตเรามา”

    เทวนาคานิ่งรำลึกชั่วครู่และพยักหน้า
    “อ๋อ...ชฎิลเหล่านั้นเป็นลูกหลานในโลกภพของเรา แต่ก็สองพันห้าร้อยกว่าปีล่วงมาแล้วนี่”
    “ใช่แล้วท่านเทวนาคา กาลได้ผ่านพ้นมาดังที่ท่านกล่าว แต่บัดนี้ท่านมีกระแสรำลึกทราบหรือไม่ว่าชฎิลลูกหลานของท่านทั้งหมดนั้นสถิตสถานอยู่ในภพภูมิใด”
    เทวนาคาระลึกนิ่งอยู่ในลักษณาการที่เอกเขนกเช่นเดิม ส่วนสมณเทพก็ยังคงยืนอยู่ที่ปากถ้ำสนทนากัน ด้วยเจ้าของวิมานยังไม่นิมนต์ต้อนรับเข้าสู่ภายใน

    “เรารำลึกถ้วนทั่วแล้วไม่มีเลย ชฎิลกลุ่มนั้นไม่มีอยู่ในโลกภพไม่ว่าจะชาติใดและก็ไม่มีอยู่ในมหาราชิกาภูมิไม่ว่าจะอาณาจักรใด จิตวิญญาณของเขาคงจะสลายไปอยู่กับพระสุริยเจ้าหรืออัคนีเทพอันเป็นเทพเจ้าสูงสุดแห่งลัทธิเราแล้ว”
    เทวนาคาตอบห้วนๆ
    “สุริยเจ้าจงทรงพระเจริญ...อาตมาขอคารวะเทพสูงสุดของท่าน”
    สมณะส่งกระแสวิทย์ผูกจิตเทวนาคาผู้บูชาไฟ ได้ผลขึ้น เทวนาคานั่งกายตรงมีแววยินดีปรากฏในสายตา
    “อ้อ...สมณะบูชาไฟเช่นกันหรือ”
    น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้น
    “อาตมาก็บูชาไฟด้วย”
    สมณะตอบเป็นกลางละไว้เพียงเท่านั้น
    “นิมนต์เชิญสมณะเข้ามาก่อนเถิด ขนดนาคบัลลังก์เบื้องหน้าเรานี้เป็นอาสนะของท่าน”
    ปรากฏบัลลังก์ทองเช่นเดียวกันเป็นที่ต้อนรับอาคันตุกะ สมณจิตตังสัมผัสสถิตตามนิมนต์บนบัลลังก์ทองอันมิกระด้างเลย
    “ขอเทพท่านจงเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปอีกเถิด”
    สมณะกล่าวให้พรเป็นเชิงสะกิดจิต
    “กุศลยิ่งๆ ขึ้นไปอีก”
    เทวปุตมารผู้หลงผิดคิดว่าตนเป็นผู้มีกุศลสูงสุดไม่มีที่ยิ่งกว่าแล้ว ทบทวนพรของสมณะเบาๆ
    “กุศลใดที่ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ถ้าได้รับแล้วจะทำให้มหาราชิกาภูมิรื่นรมย์มากขึ้นกว่านี้หรือ”
    สมณะยิ้มน้อยๆ เห็นเป็นการได้ทีก็กถาธิบาย
    “ดูกร...เทวะผู้ถึงกุศล ท่านสถิตอยู่ ณ ทิพยสถานนี้ ได้ยินอยู่บ่อยๆ มิใช่หรือถึงภูมิภพที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นไปอีก ดาวดึงส์ ยามา ดุสิตา นิมมานรดี ปรนิมมิตสวัตดี”
    “เราเคยได้ยิน”
    “ท่านเคยสัมผัสภูมิภพนั้นหรือ”

    “เราไม่พึงปรารถนาศรัทธา เราไม่พึงสัมผัส เราเคยปรารถนาในการบำเพ็ญเพียรแต่ครั้งเป็นชฎิลฤาษีว่า เมื่อบรรลุธรรมแล้วเราเชื่อว่า ณ ทิพยสถานแห่งนี้สูงสุดและรื่นรมย์ที่สุดไม่มีสถานใดจะยิ่งกว่า”
    สมณะยิ้มด้วยเมตตา
    “ท่านเชื่อเช่นนั้น เชื่อตามแรงปรารถนาในการบำเพ็ญเพียร ท่านปรารถนาสูงสุดและเมื่อท่านได้มาสถิตแล้วท่านจึงเชื่อว่าสถานสถิตปัจจุบันสูงสุดยิ่ง อาตมาคล้อยเห็นด้วยตามศรัทธาอันเกิดจากแรงอธิษฐานของท่าน และมีจอมเทพที่มีนาม “พญาวสวัตดีมาร”...”
    “เราเคยได้ยิน และเราก็มีศรัทธาเช่นเดียวกับจอมเทพวสวัตดี”
    “จอมเทพวสวัตดี สถิตอยู่แห่งใดฤา”
    สมณะย้อนถาม เทวนาคาใช้กระแสรำลึก
    “เรารำลึกสัมผัสองค์เทพที่กล่าวนาม แต่เราไม่ทราบสถานสถิตเพราะสถานแห่นั้นโปร่งแสงโปร่งใสกระจ่างงามเหลือเกิน...”
    “ใช่ในโลกภพหรือไม่ ใช่ในอุตตรกุรุภพหรือไม่ ใช่ในอมรโคยานภพหรือ ใช่ในปุพพเทหภพหรือ หรือใช่ในจาตุมหาราชิกาทิพยสถานทั้งสี่แคว้นนี้หรือไม่เล่า...”
    สมณะย้ำให้พิจารณากระแส เทวะพิจารณาอีกครู่หนึ่งแล้วส่ายศีรษะ
    “ไม่ใช่ทั้งสิ้น”
    สมณะยิ้มน้อยๆ กล่าวอย่างถ่อมตน

    “อาตมาพอจะสัมผัสรางๆ ทิพยสถานที่โปร่งใสกระจ่างงามเหลือเกินนั้น มหาวิมานอันวิจิตรตระการเกินความงดงามที่เคยสัมผัสซึ่งเป็นที่สถิตของจอมเทพวสวัตดีมารที่ท่านสัมผัสแล้ว อาตมาพึงเข้าใจว่าอยู่ในภูมิ “ปรนิมมิตสวัตดี” ลองเทพท่านสัมผัสกระแสอธิษฐานถามเถิด”
    ด้วยกุศโลบายอันสูงส่ง สมณจิตตังใช้จิตวิทย์เพื่อให้เทวนาคาสัมผัสด้วยกระแสของตนเอง เทวะเพ่งกระแสทิพย์แห่งเทพผู้ถึงบุญอยู่แล้ว ไม่นานนักก็พยักหน้าช้าและเชื่อมั่น

    “ถูกต้องตามที่สมณะกล่าว จอมเทพกล่าวนามทิพยภูมิที่ท่านสถิต ปรนิมมิตสวัตดีตรงกับที่สมณะกล่าว”
    “เทวะพึงพิจารณาหรือไม่ว่า ปรนิมมิตสวัตดี เทวะสัมผัสถึงด้วยกระแสที่ละเอียดยิ่งขึ้นไป สูงขึ้นไป เหนือขึ้นไป”
    “เราพิจารณาด้วยกระแสจิตที่ละเอียดยิ่งขึ้นเช่นนั้น”
    “กุศลพร ที่อาตมาพึงขอให้ท่านเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป อาจทำให้เทวะรื่นรมย์มากขึ้นไปตามลำดับชั้นสวรรค์ทั้งหกตามที่ท่านพึงเคยได้ยินชื่อนั้นแล้ว”
    เทวนาคาใคร่คำนึงนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ความยินดีในแววตายังปรากฏอยู่
    “สมณะแห่งองค์พระโคดม เชื่อมั่นเช่นนั้นหรือ ว่าสวรรค์ที่สูงชั้นกว่ามหาราชิกามีอยู่จริงเช่นนั้น”
    “ท่านสัมผัสเองแล้วมิใช่หรือ อาตมาสัมผัสเช่นท่าน อาตมาสัมผัสแล้ว เห็นจริงแล้ว จึงเชื่อว่าเป็นความจริง”
    “เราไม่เคยปรารถนาสัมผัสมาก่อน เราจึงไม่เคยสัมผัส ต่อเมื่อมาสัมผัสเพราะท่านนี่แหละ เมื่อสัมผัสเช่นนี้แล้วจะไม่ศรัทธาได้อย่างไร”
    “สาธุ...กุศลที่นำพาให้อาตมาวิสาสะมาเยือนท่านเพิ่มกุศลให้ท่านและอาตมาแล้ว เราทั้งสองจึงมองความจริงได้มากขึ้น”
    “สาธุ”
    เทวนาคากล่าวสาธุการขึ้นเช่นกัน กระแสจิตที่ปรากฏยินดีอยู่เพิ่มพลังขึ้นเป็นความปีติ ถนิมอาภรณ์ปรากฏเรืองรองที่มุ่นมวยผมรูปพญานาคก็สว่างไสวมากขึ้นกว่าเดิม
    “สมณะ ท่านเชื่อเช่นนั้นมาก่อนเพราะเหตุใด...พระโคดมทรงสอนท่านหรือ”

    “ใช่แล้ว สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นั้นทรงแนะวิธีปฏิบัติกุศลจิตให้อาตมาพึงสัมผัสเอง พึงเห็นเอง พระพุทธองค์มิใช่เพียงสอนแต่อย่างเดียวเท่านั้น แต่พึงประสงค์ให้พิจารณาใคร่ครวญด้วยจิตเองประกอบด้วย”

    “สุริยเทพ เจ้าแห่งไฟที่พวกเราบูชาเป็นเทพเจ้าสูงสุด พึงให้ความสว่างแก่เราทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกให้เราเห็นด้วยตา ภายในให้เราเห็นด้วยใจ แต่พระองค์มิเคยปรากฏรูปนิมิตสั่งสอนพวกเราละเอียดลึกซึ้งถึงเพียงนั้น”

    “พระสมณโคดมก็พึงสอนให้อาตมาและพุทธบริษัทบูชาสิ่งที่ควรบูชา แต่บูชาในฝ่ายกุศลเช่นพึงระลึกบูชาไฟเพราะให้แสงสว่างให้ความอบอุ่น ให้พลัง และอเนกประโยชน์อีกมากแด่สัตว์ทั้งหลาย ดิน น้ำ และลม ล้วนแต่เป็นแม่ธาตุที่เอื้ออำนวยประโยชน์ให้แด่มวลชีวิตทั้งสิ้น แต่ไม่พึงประสงค์ให้บูชาเพราะพลังอำนาจของ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีฤทธิ์พลังที่จะนำไปเป็นเครื่องทำลายมวลชีวิตได้”

    “พระพุทธเจ้าของสมณะสถิตอยู่ ณ ปรนิมมิตสวัตดี เช่นเดียวกับจอมเทพวสวัตดีอันเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดกระนั้นกระมัง”
    เทวนาคาถามอย่างบริสุทธิ์ ด้วยคำนึงว่าไม่มีภพภูมิที่เหนือกว่านั้นอีกแล้ว

    สมณเทพจิตตังพึงใคร่ครวญด้วยกระแสจิตอันเป็นทิพยญาณพึงเห็นว่าเทวนาคาตนนี้มีชาติภูมิสุดท้ายก่อนจะอุบัติในสวรรค์ชั้นที่กำลังสถิต บำเพ็ญเพียรเป็นชฎิลฤาษีมาก่อนสมัยพุทธกาลหลายร้อยปีมิได้สัมผัสพระพุทธเจ้า เป็นเทพที่ยังห่างไกลพุทธศาสนา ความยึดมั่นติดมั่นแต่เพียงการบูชาไฟเป็นกสิณสรณะ ในกาลนั้น แม้พลังจิต จะบรรลุธรรมได้สำเร็จ แต่วิปัสสนาญาณและอาสวกขยญาณ อันเป็นองค์ธรรมประการสำคัญของตถาคตเจ้าเทวะยังไม่บรรลุ เทวนาคาบรรลุเพียงอภิญญา 3 และโน้มจิตเป็นกุศลตามควร เมื่อสิ้นสังขารมนุษย์คราวนั้นจึงมาอุบัติเป็นเทพ แต่ไม่เคยได้แนวทางถึงการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เมื่อมิจฉาอันติดจิตมาจากมนุษย์โลกกำเริบว่าตนอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุดแล้ว ก็มิได้ปรารถนาที่จะปรีชาคำนึงว่ามีสิ่งใดที่เหนือขึ้นไปอีกเลย
     
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    บุญแก้กรรม

    “ดูกร...เทวะผู้ถึงบุญองค์สมณโคดมแห่งอาตมาเคยสั่งสอนแนะแนวทางให้สัมผัสทราบว่าเหนือสวรรค์ชั้นสูงสุดดังกล่าวแล้วนั้นยังมีชั้น “รูปภูมิ” และ “อรูปภูมิ” ขึ้นไปอีก...”
    “พระพุทธเจ้าของสมณะ อยู่ชั้นอรูปภูมิหรือ”
    “เหนือกว่านั้นขึ้นไปอีกเทวะ...เรียกว่า “แดนนิพพาน” พระพุทธองค์ทรงสถิตอยู่ในภาวะปรินิพพานและไม่เวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีกนิรันดร”

    เจ้าของวิมานทองแห่งทิพยสุวรรณคูหาสนใจอยู่ในปีติที่ได้ทางสว่างเป็นกุศลยิ่ง เทพมีกระแสเสียดายนิดหนึ่ง เสียดายว่ามิได้เป็นมนุษย์ในสมัยพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้วพิจารณาสมณเทพอย่างใคร่ครวญอีกและยังพึงใจที่จะสนทนาต่อ
    “ในแดนรูปภูมิ อรูปภูมิ และแดนนิพพานอันสูงกว่าสวรรค์ชั้นสูงสุด ผู้พึงสถิตถึงคงเป็นเพียงพระพุทธเจ้าและสมณะในพระพุทธศาสนาเท่านั้นกระมัง”

    “มิได้เท่านั้นหรอกเทวะ อาตมาพึงจะแจ้งให้เทวะปีติขึ้นด้วยที่อาตมาได้กล่าวแต่แรกว่า มหากุศลชฎิลสามพี่น้องและพรรคพวกทั้งหมดอันเป็นลูกหลานในโลกภพแห่งท่านที่มิได้ปรากฏในกระแสว่าเสวยภพอยู่หนใดนับแต่มหาราชิกาลงไป ณ บัดนี้นั้น ที่แท้ชฎิลทั้งหลายเหล่านั้นถึงบุญสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด และกำลังเสวยบุญอยู่ในภูมิอันสูงกว่าสวรรค์ชั้นสูงสุดที่ท่านกำลังถามถึง”

    “ลูกหลานเราเหล่านั้นน่ะหรือเสวยภพเสวยสุขอยู่ในแดนสูงสุดยิ่งกว่าสวรรค์ เป็นไปได้อย่างไร”
    เทวะมีปีติและพิศวงควบคู่กันไป แต่ยังแคลงอยู่ในจิต
    “เป็นไปแล้ว เป็นไปตามกุศลอันเป็นมหากุศลที่ชฎิลลูกหลานท่านสร้างสมไว้เองมาหลายชาติหลายภพ และได้มาประสบมรรคาซึ่งองค์พระสมณโคดมพึงแนะให้ในครั้งพุทธกาล...”

    ในครั้งกระนั้น..........................
    ชฎิลสามพี่น้องดังกล่าวนามแล้ว ต่างเป็นหัวหน้าชฎิลกันคนละกลุ่ม รวมทั้งสิ้นมีชฎิลทั้งหัวหน้าและบริวาร 1003 คน อุรุเวลกัสสปผู้พี่มีอาศรมอยู่ริมแม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลา แคว้นมคธ ชมพูทวีป เช่นเดียวกับผู้น้องอีก 2 คน ซึ่งมีอาศรมเรียงรายถัดไปบนฝั่งแม่น้ำนั้น

    ในดินแดนอันร่มรื่นแห่งเดียวกัน ขณะเริ่มบำเพ็ญเพียรเบื้องต้น องค์พระสมณโคดมเคยประทับอยู่หลายปี ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา อดอาหารทั้งสิ้นทั้งปวงทรมานตนเช่นโยคีทั่วไป และทรงพิจารณาเห็นว่าเป็นวิธีที่ตึงเครียดมิใช่ทางนำไปสู่มรรคาผลได้แน่จึงเปลี่ยนมาทรงดำเนินวิธีมัชฌิมาปฏิปทาในลักษณะสายกลางอันพอดีๆ ตามควรแก่สมณภาพ จึงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณภายใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราไม่ไกลกับอาศรมของชฎิลสามพี่น้องนัก

    เมื่อตรัสรู้แล้ว เสด็จจาริกโปรดสัตว์มาถึงสำนักอาศรมของชฎิลผู้พี่ ทรงพิจารณาเห็นชฎิลฤาษีทั้งหลายเป็นผู้มีความประสงค์แรงกล้าและแน่วแน่ปรารถนาจะบรรลุธรรม ตั้งใจบำเพ็ญเพียรจริงเช่นพระองค์ แต่การปฏิบัติบำเพ็ญโดยยึดสุริยเทพบูชาไฟเป็นกสิณสรณะแต่เพียงเท่านั้นไม่เป็นทางที่ถูกต้อง การยกสัตว์พญานาคดุร้าย เป็นอสรพิษมีฤทธิ์ร้ายแรงขึ้นเป็นองค์บูชาแทนองค์เทพก็หาสมควรไม่ ทรงพิจารณาด้วยกระแสญาณล่วงล้ำลึกเข้าไปก็เห็นว่า บรรดาชฎิลทั้งหมดเหล่านี้เคยร่วมกันสร้างสมกุศลบารมีเพื่อปรารถนาบรรลุธรรมชั้นสูงติดต่อกันมาแล้วหลายชาติภพ น่าสรรเสริญ แต่ในชาติภพนี้ก็จะไม่บรรลุธรรมชั้นสูงได้อีกถ้าไม่มีผู้ใดช่วยแนะทางที่ถูกต้องแก่เขา บุญมีมากแต่กรรมบังอยู่นิดเดียว พระพุทธองค์ทรงเกิดเมตตาที่จะช่วยทำลายทิฏฐิมานะอันเป็นความดื้อดึงถือดีอยู่กับการหลงผิดของชฎิลสามพี่น้องให้หมดไป เพื่อเขาจะบรรลุธรรมชั้นสูงขึ้นได้

    พระมหาสมณะจึงเสด็จแวะเข้าไปเยือนอุรุเวลกัสสปและเอ่ยปากขอแวะพักในโรงบูชาไฟสักคืนหนึ่ง
    สมณเทพจิตตังหยุดกถาอยู่ชั่วครู่ เหลือบจิตพิจารณาเทวนาคาเห็นเทวะสงบนิ่งด้วยลักษณาการที่สนใจเรื่องราวซึ่งกำลังกล่าวถึงจึงกถาธิบายต่อไป

    “อุรุเวลกัสสปอนุญาต แต่กล่าวเตือนเชิงเป็นห่วงว่า ในโรงบูชาไฟนั้นมีพญานาคดุร้าย มีฤทธิ์เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง มันจะทำให้ท่านลำบาก”
    “ข้อนั้นไม่เป็นไร”
    พระพุทธองค์ทรงกล่าวด้วยความเชื่อมั่น
    ในค่ำคืนนั้น องค์สมณโคดมก็ทรงเข้าพักในโรงบูชาไฟ ปูหญ้าแห้งเป็นที่ประทับทรงนั่งขัดสมาธิ ตั้งพระวรกายตรง ดำรงพระสติมั่น พญานาคร้ายจอมอสรพิษเห็นมีผู้บุกรุกเข้ามานั่งนิ่งอหังการ์มิได้กระทำการบูชาบวงสรวงก็รู้ได้โดยสัญชาติญาณว่ามิใช่เป็นพวกมนุษย์กลุ่มที่เคยสยบ พญานาคโกรธขึ้งยิ่งนัก จำจะต้องสำแดงฤทธิ์ทำลายให้ย่อยยับ จึงพ่นพิษเป็นควันตลบขึ้น พระพุทธองค์ก็ทรงกระทำบันดาลอิทธาภิสังขาร บันดาลควันบังหวนขึ้นให้มากกว่าของพญานาค แต่มีเจตจำนงเพียงปกป้องพระวรกาย มิใช่หมายทำลายชีวิตอสรพิษร้ายพญานาคโกรธจัดจึงพ่นไฟสุดยอดแห่งพิษร้ายแรงออกมาเป็นเปลวประลัยกัลป์โชติช่วงหมายเผาผลาญให้เป็นจุณ พระพุทธองค์ทรงเข้ากสิณสมาบัติ รำลึกเตโชธาตุเป็นอารมณ์ บันดาลประกายไฟที่โชติช่วงยิ่งกว่าแต่เป็นไฟเย็นเพื่อต้านความร้อนแรงแห่งไฟให้คลายพิษมิปรารถนาทำลายพญานาคให้แดดิ้น

    ไฟร้ายจากฝ่ายอกุศลและไฟเย็นจากฝ่ายกุศลต่างลุกโพลงโชติช่วงรุ่งโรจน์สว่างไสวพุ่งเปลวเข้าปะทะต่อสู้กัน อาณาบริเวณริมฝั่งเนรัญชราจึงกลายเป็นสนามยุทธเพลิงระหว่างไฟแห่งธรรมะและไฟแห่งอธรรม
    ประกายไฟจากฝ่ายอธรรมปรากฏเป็นสีแดงเลือดเป็นลำพวยพุ่งเข้าหักหาญ ประกายไฟจากฝ่ายธรรมะเป็นสีแดงออกเหลืองเรืองรองกระจายเป็นรัศมีต้านรับ เป็นเตโชธาตุที่ปรากฏขึ้นจากอิทธิฤทธิ์ของอภิญญา 6 หรือธรรมวิชชา 8 ไม่ใช่ไฟธรรมดาที่จะสิ้นเปลวลงง่ายๆ

    ชฎิลทั้งสามฝ่ายเฝ้าล้อมดูแสงสว่างโชติช่วงอยู่เบื้องนอก ชาวบ้านที่อยู่ไกลออกมาคิดว่าเป็นไฟไหม้ป่าครั้งวินาศสันตะโรที่เคยปรากฏ
    ชฎิลทั้งหลายผู้มั่นในฤทธิ์เดชของจอมพญานาคแห่งตนก็พากันปลงสังเวชเวทนาสมณะ
    “พระมหาสมณะรูปงาม คงจะเป็นเหยื่อพญานาคมิรอดพ้นไปได้ น่าสงสารแท้ๆ”
    ตั้งแต่หัวค่ำจนย่ำรุ่ง สงครามไฟได้ปะทะต่อสู้กันโชติช่วงตลอดราตรี
    ย่างเข้าอุษาโยคใกล้สว่างเข้ามามาก เปลวไฟที่สว่างไสวร้อนแรงค่อยๆ อ่อนเปลวลงและสิ้นประกายไปในที่สุด คงปรากฏเหลือแต่รัศมีแสงประหลาด เขียว เหลือง แดง ขาว แดงอ่อน และเลื่อมพรายเป็นรังสีแผ่ขึ้นจากโรงบูชาไฟ ยังความสว่างเย็นงดงามไปทั่วบริเวณนั้น

    เมื่อเหตุการณ์สงบลงเรียบร้อยแล้วทั้งหัวหน้าชฎิลและลูกน้องบริวารก็พากันเข้าไปในบริเวณโรงบูชา เห็นพระมหาสมณะนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใต้รัศมีประหลาดดังกล่าวแต่เพียงองค์เดียว ทุกคนหันมองไปรอบๆ เพื่อค้นหาจอมพญานาคแต่ก็ไม่ปรากฏ อุรุเวลกัสสปจึงกล่าวถามด้วยความสงสัย
    “สมณะยังทรงสังขารปลอดภัยดีหรือ...พญานาคเล่าหายไปไหน”
    องค์พระสมณะทรงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ ฉายแววเมตตาจากพระเนตรเหลือบต่ำลงมองในบาตรที่เปิดฝาอยู่เบื้องหน้าพระองค์

    “ดูกร...กัสสป เราได้ครอบงำเดชพญานาคและขดลงไว้ในบาตรนี้เรียบร้อยแล้ว”
    กัสสปทั้งสามและพรรคพวกจ้องมองดูงูดินตัวน้อยในบาตรพระสมณะด้วยความแปลกใจและพิจารณาเห็นว่าใช่พญานาคของตนแน่แต่ย่อส่วนลงไปมากจนลงไปนอนขดสงบนิ่งอยู่ในบาตรใบน้อยได้
    ชฎิลเกิดความเลื่อมใสเป็นเบื้องต้นแก่มหาสมณะรูปงามยิ่งนักและนิมนต์ให้พำนักอยู่ ณ สำนักอาศรมต่อไปก่อน

    พระพุทธองค์ประทับอยู่ในป่าอันเหมาะสมใกล้สำนักของชฎิลตามคำนิมนต์นั้น
    ปฐมยามล่วงไปของคืนที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก ที่เจ็ด ที่แปด ที่เก้า ก็ปรากฏเหตุการณ์ประหลาดอันมิเคยมีมาขึ้นในป่าที่ประทับทุกค่ำคืน...
    ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่จากมหาราชิกาเข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรมในคืนที่สอง
    ท้าวสักกะจอมเทพจากดาวดึงส์เข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรมในคืนที่สาม
    ท้าวสหัมบดีพรหม เข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรมในคืนที่สี่

    ชฎิลผู้ยังติดอยู่ด้วยทิฏฐิมานะเห็นจอมเทพและพรหมเข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าตามลำดับ ได้แต่ดำริอยู่ในใจว่า พระมหาสมณะมีอานุภาพมากแท้ แต่ก็คงด้อยกว่าตนเพราะชฎิลสำคัญมั่นผิดหลงอยู่ว่า ขณะนั้นตนเป็นพระอรหันต์แล้ว

    วันที่ห้า พระมหาสมณะแสดงให้เห็นว่าพระองค์รู้ถึงความคิดในใจของชฎิลที่คิดเกรงว่าในวันพิธีบูชายัญนี้ประชาชนจะมามาก เมื่อพบพระสมณะผู้มีอิทธิปาฎิหาริย์ ลาภสักการะจักเจริญแก่พระสมณะยิ่งกว่าตน พระพุทธองค์จึงเสด็จไปบิณฑบาต ณ อุตตรกุรุทวีป เสียเพื่อมิให้ชฎิลเกิดวิตก เพราะทรงรู้ความในใจของชฎิลได้อย่างถูกต้องชฎิลก็ยังทิฎฐิมานะอยู่ว่ายังด้อยกว่าตนเพราะตนเป็นพระอรหันต์แล้ว

    วันที่หก ชฎิลทราบว่าท้าวสักกะจอมเทพเนรมิตสระโบกขรณีให้สมณะซักผ้าบังสุกุลเนรมิตแผ่นศิลาให้ขยำผ้าบังสุกุล ชฎิลได้ประสบก็ได้แต่ดำริเช่นเดิม

    วันที่เจ็ด ทรงแสดงให้ชฎิลเห็นว่าทรงย่นระยะทางไปเก็บผลหว้าจากชมพูทวีปแล้วกลับมานั่งที่โรงบูชาไฟก่อน ทั้งๆ ที่ชฎิลได้ออกเดินทางจากที่พำนักในป่าของสมณะมาก่อนสมณะตั้งนมนานแต่ชฎิลก็ยังดำริทิฏฐิเช่นเคย
    วันที่แปด ทรงแสดงให้ชฎิลเห็นว่าทรงย่นระยะทางไปเก็บผลมะม่วง ผลมะขามป้อม ผลสมอ ในชมพูทวีปแล้วเก็บดอกปาริฉัตตกะจากดาวดึงส์กลับมานั่งที่โรงบูชาไฟก่อน ทั้งๆ ที่ชฎิลได้ออกเดินทางจากที่พำนักในป่าของสมณะก่อนสมณะตั้งนมนาน แต่ชฎิลก็ยังดำริทิฏฐิเช่นเคยเช่นเดิม

    พระองค์ทรงแสดงอิทธานุภาพไม่ให้กลุ่มชฎิลที่จะทำการผ่าฟืนเพื่อบูชาไฟได้ เมื่อพระองค์ทรงตรัสอนุญาตแล้วชฎิลทั้งหลายก็ผ่าฟืนทีเดียวได้กองฟืนสำเร็จทั้งหมดเป็นอัศจรรย์ แต่ก็ก่อไฟไม่ลุกจนพระพุทธองค์ทรงอนุญาตจึงก่อไฟลุกขึ้นได้ทุกกองในคราวเดียวกัน เมื่อบำเรอไฟเสร็จสิ้นแล้วก็ดับไฟให้มอดลงไม่ได้อีก จนเมื่อพระพุทธองค์ทรงอนุญาตจึงดับไฟได้ครั้งเดียวทั้งหมด แต่ชฎิลผู้เป็นหัวหน้ายังคงดื้อดึงตามเคย คงมีทิฏฐิมานะว่าตนเป็นพระอรหันต์ สมณะถึงมีอานุภาพมากก็คงยังด้อยกว่าตนอยู่

    วันที่เก้า ทรงแสดงเนรมิตกองไฟห้าร้อยกองให้ชฎิลทั้งหลายที่ลงไปอาบน้ำอันหนาวเหน็บในค่ำคืนแห่งเหมันตฤดูเอาไว้ผิงแก้หนาวเมื่อขึ้นมา ทรงแสดงบันดาลให้น้ำฝนที่ตกท่วมลงมานอกฤดูกาลยังที่พระองค์ประทับอยู่ให้น้ำที่ท่วมนั้นห่างออกไปโดยรอบ แล้วยืนจงกรมอยู่บนกลุ่มฝุ่นตรงกลางน้ำ หัวหน้าชฎิลก็ได้แต่ดำริยืนยันเช่นเดิมว่าพระมหาสมณะมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมากแท้ แต่ก็ไม่ใช่พระอรหันต์เหมือนเราแน่

    ความสำคัญผิดติดยึดมั่นในตัวและกายใจชฎิลอย่างเหนียวแน่น ชฎิลเหล่านี้ถ้าไม่มีผู้ใดช่วยทำลายทิฏฐิมานะอันดื้อดึงถือดีนี้ลงเสียได้ก็น่าสงสารที่พวกเขาแม้จะบรรลุธรรมได้เป็นเบื้องต้นด้วยตั้งใจจริง แต่จะไม่มีทางหลุดพ้นอาสวกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้เลย เขาจะไม่มีโอกาสเป็นพระอรหันต์ได้เพราะความดื้อดึงถือดีที่พันธนาการจิตเขาอยู่
    พระมหาสมณโคดมพิจารณาเห็นต้องใช้วิธีกระด้างตรงจี้จุดให้สลดใจจึงอาจเกิดสำนึกจิต และพระพุทธองค์ก็ทรงกล่าวละลายจุดมิจฉาทิฏฐิซึ่งติดอยู่ในจิตของอุรุเวลกัสสปว่า

    “ดูกร...กัสสป ท่านไม่ใช่พระอรหันต์แน่ ท่านยังไม่พบทางแห่งความเป็นพระอรหันต์แม้ปฏิปทาของท่านที่จะเป็นเหตุให้เป็นพระอรหันต์หรือพบทางแห่งความเป็นพระอรหันต์ก็ไม่มี”
     
  17. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    พระเทวดา

    อุรุเวลกัสสป ซึ่งรู้สึกดีอยู่ในส่วนลึกแน่แท้แล้วว่า องค์สมณโคดมผู้นี้มีฤทธานุภาพมากล้นสมเป็นอรหันต์โดยแท้จากพฤติกรรมของพระองค์ที่แสดงปรากฏชัดตลอดเวลาที่สยบพญานาคลงและพำนักอยู่ ณ ที่นี่เป็นเวลาเก้าวัน ฤทธาปาฏิหาริย์อันปรากฏเป็นอัศจรรย์ยิ่งย่อมเหนือมนุษย์เหนือเทพทั้งปวง ตนซึ่งเป็นหัวหน้าชฎิลอาวุโสมิอาจแสดงฤทธิ์เช่นนั้นได้สักอย่างหนึ่งเลย แต่เจ้าตัวทิฏฐิที่เกาะกินใจอยู่ต่างหากมันทำให้อายตนะทั้ง 6 แห่งตนยังมัวเมาอยู่ด้วยราคะ โทสะ โมหะ ถือมิจฉาไม่ยอมรับความจริงในสิ่งที่ประสบ จึงบังคับจิตให้ดื้อดึงถือดีสำคัญตนผิดอยู่อย่างเหนียวแน่น เมื่อถูกพระมหาสมณะชี้ตรงเป้า สะกิดตรงจุดและเตือนให้รำลึกถูกทางด้วยหวังเมตตาเป็นที่ตั้ง ชฎิลก็รู้สึกสลดใจตนแล้วสลัดเจ้าตัวมิจฉาทิฏฐินั้นออกเสียได้ทันที

    อุรุเวลกัสสปถึงกับซบศีรษะลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้ารำลึกสำนึกตนขออภัยโทษอภัยทานที่ทำให้พระพุทธองค์ต้องทรงเดือดร้อนอยู่ถึงเก้าวันเต็มเพื่อทรงช่วยแก้กรรมแก่ผู้หลงผิด แล้วชฎิลผู้อาวุโสก็ทูลขอบรรพชาอุปสมบทเป็นบรรพชิตในสำนักพระผู้มีพระภาค และชฎิลผู้น้องทั้งสองพร้อมด้วยพรรคพวกบริวารทั้งสิ้นรวม 1003 คน ซึ่งล้วนแล้วแต่ศรัทธาพระมหาสมณโคดมมาแต่ต้นพร้อมกันขอบวชต่อพระพุทธองค์ทั้งหมดนับแต่นั้นเป็นต้นมา

    ต่อมาพระพุทธองค์ทรงประทานธรรมะ อทิตตปริยายสูตร พึงแสดงให้เห็นถึงสัจธรรมว่า ไฟอันร้ายแรงในทางอกุศลแห่งสุริยเทพก็ดี แห่งพญานาคก็ดี หรือไฟทั้งหลายทั้งปวงที่ร้อนแรงเผาผลาญทำลายสรรพสิ่งในพริบตา ยังร้ายแรงน้อยกว่าไฟภายในแห่งตน อันได้แก่ ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ที่ร้อนรุ่มอยู่ทั่วอายตนะภายในทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พึงดับไฟภายในตนได้เช่นนั้นแล้ว ความร้อนแรงแห่งกิเลสอันเป็นไฟที่เผาผลาญที่ร้ายกาจที่สุดก็จะหมดไป...

    สมณเทพจิตตังกถาธิบายมาพอสมควรก็สรุปบทกถาลง เทวนาคายังคงอยู่ในสมถสงบนิ่งฉายแววปีติเรืองรองเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อรำลึกได้ว่าจบบทกถาของสมณะแล้วจึงกระทำสาธุการ
    “สาธุ...สาธุ...สาธุ เราขอนมัสการองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เราสาธุในอานิสงส์ของชฎิลลูกหลานทั้ง 1003 องค์ ที่เป็นผู้ถึงบุญกุศลยิ่ง เราเสียดายเหลือเกินที่อยู่ในโลกภพก่อนกาลพระพุทธองค์สมณโคดม”

    เทวนาคายกมือประณตเหนือหัวเมื่อกล่าวจบระลึกกระแสบูชาพระพุทธเจ้าอยู่เป็นนาน
    “ผู้ใดเกิดก่อนหลังพระพุทธองค์ อยู่ใกล้ไกลพระพุทธองค์ ไม่ถือว่าก่อนว่าหลัง ไม่ถือว่าใกล้ว่าไกล ถ้าผู้นั้นเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระองค์ ผู้ใดใกล้ธรรม ผู้นั้นใกล้พระองค์ ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นอยู่กับพระองค์ เพราะพระพุทธองค์คือ “องค์ธรรม” แผ่ซ่านอยู่ในทุกหนทุกแห่งทั่วทั้งไตรภพและแดนนิพพาน พระพุทธองค์กำลังอยู่ในกระแสจิตเทวะแล้ว เทวะถึงพระองค์ได้ทุกเมื่อจิตปรารถนา”

    เทวะประณตนมัสการอีกวาระหนึ่งในทิศทางที่พระเขี้ยวแก้วประดิษฐานอยู่
    “สมณะเป็นผู้ให้แสงสว่างแก่เราโดยแท้ สมณะให้สัมมาทิฏฐิแก่เราโดยแท้ เราหลงผิดมาหลายชาติหลายภพ กุศลที่ชักนำให้พระคุณเจ้ามารู้จักเราปัจจุบันและอนาคต เป็นมหากุศลที่พระคุณเจ้ามอบให้แก่เราโดยแท้ ขอมหากุศลนี้จงกลับสนองตอบแก่พระคุณเจ้าด้วยเถิด ต่อแต่นี้ไปเราคงได้พบแสงสว่างอันแท้จริง แสงสว่างที่ยิ่งกว่าสุริยเทพแสนดวง ต่อแต่นี้ไปเรารู้วิธีบูชาไฟโดยแท้แล้ว เราจะบูชาไฟในตนให้ดับสนิทมอดมิดลงตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ไปกันเถิดสมณเจ้ากรุณานำเราไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วแห่งพระบรมโพธิสมภารเจ้าทิพยสมบัติที่ทรงค่าที่สุดในอาณาจักรมหาราชิกาภูมิ เราเพิ่งทราบมหาคุณค่าอันหาที่เปรียบมิได้ในวาระนี้เอง เราขอความกรุณาสมณะช่วยชี้นำให้เราถึงซึ่งพระพุทธคุณด้วย”

    เทพทั้งสองมาปรากฏตนที่เชิงเขามออีกครั้งหนึ่ง ทั้งสองถวายนมัสการอยู่เบื้องนั้น
    “สมณะผู้เจริญ เราจะขออธิษฐานจิตบวชในลักษณะบรรพชิตและสมณะได้เช่นไรหรือไม่”
    เทวนาคาผู้เกิดศรัทธาแรงกล้าน้อมรูปถามสมณะ สมณเทพนิ่งพิจารณาครู่หนึ่งแล้วกล่าวตอบ
    “อธิษฐานจิตบวช หรือบวชใจย่อมทำได้ทุกผู้ทุกเมื่อ เป็นการทำจิตให้ถึงธรรม พระพุทธองค์ทรงกล่าวสัจวาจาไว้ว่า

    น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี ผู้ที่ยังทำร้ายผู้อื่นอยู่ไม่จัดว่าเป็นบรรพชิต
    สมโณ โหติ ปรฺ วิเหฐยนฺโต ผู้ที่ยังเบียดเบียนคนอื่นอยู่ไม่จัดว่าเป็นสมณะ
    ดูกร...เทวะ ท่านจะเป็นบรรพชิตหรือสมณะ โดยแท้ด้วยการอธิษฐานจิตบวช ด้วยการละเว้นจากการทำร้ายและเบียดเบียนผู้อื่นเสียให้สิ้น ท่านก็จะเป็นบรรพชิตและสมณะด้วยการบวชจิตได้โดยสมบูรณ์ด้วยประการฉะนี้”

    เทวนาคาปีติยิ่ง จึงขอความเมตตาให้สมณเทพช่วยชี้ทางอธิษฐานขอบวชจิตต่อพระเขี้ยวแก้ว สมณเทพจิตตังพึงช่วยเหลือด้วยปีติเช่นกัน น้อมนมัสการด้วยจิตที่เคารพยิ่งและกล่าวอธิษฐาน
    “ข้าพระพุทธบาทแห่งองค์ธรรมพุทธเจ้า ขอถวายนมัสการบูชาพุทธองค์เป็นที่ตั้งตลอดไป ข้าพระพุทธองค์ขออธิษฐานนำเทวนาคาขอเข้าปฏิบัติจิตในธรรมะแห่งพระพุทธองค์ เพื่อชำระล้างอาสวกิเลสทั้งหลายทั้งปวงให้สิ้นไป เมื่อพระพุทธองค์ทรงยอมรับขอให้ฉัพพรรณรังสีแห่งพระเขี้ยวแก้วจงสว่างไสวโชติช่วงขึ้นเป็นนิมิตเถิด”

    สมณเทพจิตตังกล่าวนำ เทวนาคากล่าวตาม กระทำนมัสการอธิษฐานกล่าวจบ ฉัพพรรณรังสีที่ปรากฏล้อมรอบพระเขี้ยวแก้วอยู่เพียงแต่ส่องประกายเรืองรองเช่นเดิม มิสว่างไสวโชติช่วงขึ้นตามคำกล่าวอธิษฐานขอนิมิตแต่ประการใด
    สมณเทพจิตตังยิ้มน้อยๆ หันมาทางเทวนาคาซึ่งยืนนิ่งอยู่
    “พิจารณารูปจิตแห่งกายทิพย์ของท่านอีกครั้งหนึ่งเถิด เทวะท่านยังมีจิตที่ทำร้ายหรือเบียดเบียนผู้หนึ่งผู้ใดในโลกภพก็ดี ในสวรรค์ก็ดีอยู่อีกบ้างหรือไม่”

    เทวนาคาพิจารณาทบทวนก็รำลึกได้ พยักหน้าช้าๆ
    “ถูกต้องแล้วพระคุณเจ้า เรากำลังมีจิตเบียดเบียนสัตว์โลกอยู่ เรายุยงสัมภเวสี...”
    เทวะกล่าวตอบโดยตรง สมณเทพจิตตังยกมือห้ามมิให้กล่าวต่อไป
    “เทวะพึงรำลึกได้แล้ว พึงอธิษฐานขออภัยทานแด่องค์ธรรม ขอน้อมรับกรรมแก้กรรมตามกรรมเพื่อให้สิ้นกรรมเสียก่อน ถอนจิตอกุศลนั้นเสียให้สิ้นแล้วจึงอธิษฐานขอบวชใหม่อีกครั้ง”

    เทวนาคากระทำตามอย่างเต็มใจและเปี่ยมศรัทธาแห่งจิต เมื่อสิ้นกระแสอธิษฐานพลันฉัพพรรณรังสีเหนือพระเขี้ยวแก้วก็เรืองรองสว่างไสวโชติช่วงขึ้น ทิพยสังคีตแห่งสวรรค์ประโคมก้องกังวานไพเราะไปทั่วอาณาจักรนาคพิภพ กลีบบัวทะเลจากมหานทีทิพย์ก็ปลิวว่อนมาทางปล่องแก้วเป็นสีสันสุดสวยตระการตาระยิบระยับอยู่ทั่วไปปรากฏการณ์มหากุศลเสริมปีติแด่เทวนาคาทั้งสิ้นทั้งหลายในอาณาจักรนาคพิภพกันถ้วนทั่ว เทพทุกผู้มาปรากฏกายล้อมรอบสถานสถิตพระเขี้ยวแก้วนับแสนนับล้านองค์ เพื่อรับส่วนกุศลที่ปรากฏอย่างยินดีปรีดา ถนิมอาภรณ์อันเรืองรองของเทพทุกองค์มาช่วยเสริมความสว่างไสวในแดนนั้นให้ทวียิ่งขึ้นอยู่นานนับครู่ใหญ่ ภาวะสวรรค์จึงกลับคืนเข้าสู่ปกติเช่นเดิม

    ไฟประลัยกัลป์ของพญานาคดับมอดไปจากเทวนาคาจนสิ้นแล้ว เทวปุตมารตนนั้นกลับจิตได้เห็นชอบเป็นชอบ สมณเทพจิตตังกระทำนมัสการพระเขี้ยวแก้วแล้วล่ำลาเทวนาคาในจิตใหม่กลับสู่อาศรมในป่าช้าโลกภพ เทวนาคาซึ่งบวชจิตขอปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนายินดีน้อมรับโทษตามกรรมที่ตนก่อเสียก่อนเพื่อหวังจะบรรลุธรรมวิเศษขั้นสูงต่อไปในอนาคตสมัย

    หนึ่งคืนกับหนึ่งวันเต็มที่พระครูจิตตังเจริญจิตอยู่ในฌานสมาบัติและวิปัสสนากรรมฐาน ถอดจิตจากสังขารเข้าสู่กายทิพย์สัญจรไปนาคพิภพแดนจาตุมหาราชิกา อันมีพระทาฐธาตุองค์เขี้ยวแก้วองค์ล่างซ้ายของพระพุทธเจ้าสถิตเป็นมิ่งขวัญเสริมมหากุศลเทวเทพที่ปรารถนาโน้มจิตเข้าสู่พุทธรรมหวังบรรลุสุคติภูมิเบื้องสูงขึ้นไป
    ขากลับ สมณจิตตังผ่านกลับทางเดิม เมื่อถึงอุตตรกุรุทวีปอันเป็นที่ตั้งเทวาคารซึ่งเทพธิดายมโดยสถิตอยู่นั้น สมณะได้แวะเจริญพรอีกคำรบหนึ่ง

    “เจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปเถิดท่านผู้เจริญอายุด้วยปัญจศีลเป็นธรรมวิสัย กุศลกิจของอาตมาคราวนี้สำเร็จลงด้วยองค์เทพธิดาเป็นผู้ให้ความสะดวกโดยแท้ ขอจงเจริญพร”
    เจริญพรแล้วสมณะก็ยื่นบัวทะเลดอกหนึ่งลงลอยในสระโบกธรณีเล็กๆ ที่ปรากฏอยู่หน้าเทวาคาร
    เทพธิดาผู้งดงามภายใต้พัสตราภรณ์ขาวล้วนบริสุทธิ์ ประณตไหว้รับพรอย่างยินดียิ่งและถวายพรตอบเช่นกัน พลางทอดสายตาไปยังดอกบัวทะเลที่มีกลีบดอกเป็นสีสันแห่งสีรุ้งทั้งเจ็ดสีอยู่ในดอกเดียวกันงดงามยิ่งนักซึ่งได้รับเป็นทิพยกำนัล แล้วประณตไหว้สมณเจ้าอีกครั้งหนึ่งด้วยความพึงใจ

    “เป็นดอกบัวที่จะช่วยเสริมจิต คราวปรารถนาจะบูชาพุทธคุณแห่งพระเขี้ยวแก้วในนาคพิภพ เทพธิดารักษาไว้เพื่อเสริมกุศลเถิด”
    สมณะกถาธิบายแล้วล่ำลาเข้าสู่โลกภพ ณ อาศรมธรรมวิเวกเมื่อล่วงเข้ามัชฌิมยามของอีกราตรีหนึ่ง
    เช้าตรู่วันต่อมา พระครูจิตตังก็ออกโปรดสัตว์ตามหลังพระภิกษุศรัทธาผู้อาวุโสพรรษากว่าเช่นเช้าตรู่เหมือนทุกวันที่ผ่านมา ขณะที่ยืนรับบาตรโยมผู้หญิงซึ่งเป็นภรรยาของนายอุทัยอยู่นั้น เมื่อใส่บาตรเสร็จภรรยานายอุทัยก็เบิกตาโพลง แล้วค่อยๆ อ่อนกายล้มพับลงต่อหน้าพระครูจิตตัง

    เนื่องจากเบื้องหลังพระครูห่างออกไปเพียงสองสามก้าวปรากฏร่างของนายอุทัยในสังขารซูบโทรม สกปรก มอมแมม ผมยาวประบ่า หนวดเครารกรุงรังไม่ผิดกับผีดิบที่ผู้คนกำลังหวาดผวากันอยู่ทั่วไปมายืนจังก้าอยู่เบื้องหลังพระสมณะตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครทราบ ภิกษุศรัทธาผู้อยู่หน้าเหลียวมาพบเข้าก่อนถึงกับผงะไปสองสามก้าว แต่สังขารผีดิบนั้นมิได้แสดงฤทธิ์ร้ายอะไรออกมาคงยืนนิ่งเซื่องซึมเหมือนรูปปั้นอยู่กับที่

    พระครูทราบด้วยกระแส ค่อยๆ หันหลังกลับมาทางปลัดผู้หมดเคราะห์อย่างแช่มช้า อุ้มบาตรยืนกายตรงอยู่เบื้องนั้น เป็นขณะเดียวกันกับที่ลูกหลานญาติพี่น้องของปลัดอุทัยตื่นตกใจวิ่งกรูกันออกมาจากบ้านเข้าพยุงมารดาและพากันจับจ้องอยู่ที่บิดาด้วยความระมัดระวัง
    สักครู่หนึ่งต่อมา ร่างที่ยืนจังก้าของปลัดอุทัยก็ค่อยๆ ทรุดกายลงกับพื้นแล้วคลานมาก้มกราบพระครูจิตตังสามครั้ง และซบหน้าอยู่แทบเท้าสมณะนานแสนนาน

    “หมดเคราะห์กรรมกันแล้วนะโยมนะ...ตั้งจิตสร้างกุศลกันต่อไปเถิด”
    พระครูจิตตังกล่าวประโยคสั้นๆ เพียงเท่านั้น มิได้ตอบคำถามหลายประการที่ครอบครัวของปลัดอุทัยถามถึงการช่วยเหลือของพระคุณเจ้าที่ทำให้ปลัดอุทัยกลับมาเองได้อย่างไร
    นับจากนั้นเป็นต้นมา ก็เป็นที่โจษจันกันไปทั่วว่าพระครูจิตตังเป็นเทวดา สามารถดลบันดาลให้ปลัดอุทัยหายจากผีเข้าได้เป็นปลิดทิ้งผู้คนพากันแห่แหนมาสอบถามให้วุ่นวาย พระครูเพียงแต่ตอบเป็นสัจธรรมว่า
    “คนเราเมื่อถึงคราวเคราะห์ เคราะห์ก็มาสู่ เมื่อหมดเคราะห์เคราะห์ก็จากไป บุญกุศลเท่านั้นเป็นยารักษาเคราะห์กรรมได้ชะงัดนัก”

    สมณะเคร่งครัดอยู่ในจิตปฏิบัติ พึงยึดมั่นอยู่กับข้อห้ามข้อเตือนของพระพุทธองค์ที่ทรงห้ามไว้...อุตตริมนุสธรรม เป็นธรรมชั้นสูงเกินที่มนุษย์จะพึงเข้าใจ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แล้ว อย่าพึงแสดงอุตตริมนุสธรรมนั้น
    “นี่ขนาดมิได้แสดงให้ทราบ มนุษย์ยังตามมาสอบถามให้วุ่นวายจริงหนอ ถ้าแสดงออกไปแน่นอนย่อมจะวุ่นวายไม่รู้จบ พระพุทธองค์ทรงปรีชาญาณยิ่งนัก พึงบัญญัติข้อห้ามเตือนไว้เสียก่อน”

    พระครูรำพึงกับตนเองด้วยความซาบซึ้งในข้อบัญญัติแห่งพระพุทธองค์ แล้วหลับตาลงทำขณิกสมาธิชั่วขณะ สัมผัสสัมภเวสีตนนั้นซึ่งกลับมาวนเวียนเศร้าสร้อยอยู่ในป่าช้าตามเดิมแล้ว
    “สัมภเวสีเอย...อย่าเศร้าสร้อยต่อไปเลย เราจะเป็นเพื่อนของเจ้า เราจะเป็นผู้ให้อาหารเจ้ากิน ยังเปล่งคำว่า “พระ” ได้อยู่หรือเปล่า ตั้งจิตวิญญาณเปล่งให้ชัด ให้มั่นคงและหัดเปล่งคำว่า บุญ กุศล ต่อไป ให้ได้ อีกไม่ช้าหรอกเราจะชี้ทางไปให้เจ้า”

    สัมภเวสีตนนั้นนั่งลงบนแคร่เบื้องล่าง ก้มกราบสมณะอย่างนอบน้อม นัยน์ตาฉายแววแจ่มใสและมีความหวังมากขึ้นแล้วก็หายวับไป
     
  18. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วิญญาณเถื่อน

    สัมภเวสี ผีนอกทะเบียน ผู้อิงภูมิเปรตและอสุรกายเกิด
    เป็นวิญญาณร่อนเร่พเนจร หาที่ไปที่เกิดตามกรรมของตนยังมิได้
    ผลานิสงส์จากการทำบุญอุทิศส่วนกุศลธรรมดาของญาติมิตรในมนุษย์โลก หาอาจแผ่เผื่อเกื้อกูลถึงวิญญาณสัมภเวสีได้ไม่ นอกจากจะทำบุญกับพระสงฆ์ถวายสังฆทานให้โดยเฉพาะเจาะจงเท่านั้นจึงจะได้รับ

    “วิญญาณเถื่อน” ที่น่าสงสารเหล่านี้ใครจะเป็นผู้ดูแลปกปักรักษาให้ความคุ้มครองบ้างเล่า
    ที่ใต้ต้นพิกุลใหญ่ท้ายวัด ใกล้กุฏิของแม่ชีสุดคนึง บ่ายวันนั้นพระครูจิตตังนั่งสนทนาอยู่กับแม่ชีสุดในที่อันควร ดอกพิกุลโปรยปรายทยอยหล่นลงเบื้องล่างตามกระแสลมที่พัดโชยฝ่าลมร้อนมาในบางครั้ง
    “กำลังพิจารณาข้อธรรมะบทใดอยู่หรือแม่ชี”
    พระครูทักทายเมื่อเห็นแม่ชีสุดกำลังนั่งทบทวนอ่านหนังสืออยู่ ผู้ถูกทักถามละสายตาจากหน้าหนังสือแล้วกระพุ่มมือไหว้พระภิกษุ
    “ครุธรรม 8 ประการ เจ้าค่ะ”
    แม่ชีสุดตอบคำถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
    “อ้อ...ธรรมะที่หนักขึ้นของภิกษุณีน่ะหรือ”
    “เจ้าค่ะ”
    “ภิกษุณี...”
    พระครูทวนคำเบาๆ แล้วรำพึง
    “ภิกษุณีสงฆ์เคยปรากฏเจริญรุ่งเรืองในลังกาเป็นเวลายาวนานนับเป็นพันๆ ปี...แต่นั่นแหละ พระพุทธองค์ทรงเห็นการณ์ไกล เคยตรัสไว้ว่าจะไม่อยู่ยั่งยืนไปนานเท่าไร เปรียบเสมือนตระกูลที่มีบุรุษน้อย มีสตรีมาก ตระกูลนั้นจะหมดสิ้นไปอย่างรวดเร็ว และภิกษุณีก็ได้สูญสิ้นไปช้านานแล้วจริงๆ เช่นที่พระพุทธองค์ตรัสไว้”

    “ก็เหตุใดหรือเจ้าคะ เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับรองว่าสตรีที่ออกบวชในพระธรรมวินัยแล้วจะสามารถบรรลุโสดาปัตติผลจนถึงอรหัตตผลได้ พระพุทธองค์จึงไม่ค่อยเต็มใจที่จะอนุญาตให้สตรีบวชในกาลครั้งกระนั้นล่ะเจ้าคะ”

    “พระพุทธองค์ทรงเห็นโดยการพิจารณาตามธรรมชาติว่า เพศสตรีเป็นที่ปองหมายทำลายทำร้ายจากคนพาลได้ง่าย เปรียบเสมือนนาข้าวฝักอ่อนย่อมเป็นที่ปองหมายเป็นอาหารอันโอชะของหนอนกินเมล็ดหรือไร่อ้อยหอมหวานที่เพลี้ยชอบลง ย่อมจะอยู่ได้ไม่ยืนนานและเป็นภัยแก่ตนมาก การส่งเสริมให้สตรีสละเรือนเข้าถือครองเพศบรรพชิตอาจเป็นเหตุต้นตอก่อให้เกิดโอกาสอันดีของปวงมารที่คอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนาอยู่แล้วมีโอกาสมากขึ้น แต่ถ้าจะไม่ทรงอนุญาตหรือวางกฎไว้โดยเคร่งครัดตั้งแต่แรกห้ามสตรีบวชในพุทธศาสนาเสียเลยก็ดูเป็นการตัดสิทธิเสรีภาพในทางสังคมมากเกินไป เมื่อพระอานนท์ได้กราบทูลขออนุญาตให้ทรงอนุญาตบวชพระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นทั้งพระมาตุจฉาและพระมารดาเลี้ยง ผู้เลี้ยงดูอุ้มชูพระองค์มา พระองค์ก็ตรัสห้ามแล้วถึง 3 ครั้ง จนครั้งที่สี่พระอานนท์ได้ทูลถามจนได้คำรับรองจากพระพุทธองค์ว่า เมื่อสตรีออกบวชแล้วสามารถจะบรรลุมรรคผลได้ดังกล่าวก็ทูลขออนุญาตขอประทานให้พระนางผู้มีอุปการะมามากต่อพระพุทธองค์ได้บวชเพื่อบรรลุมรรคผลอันเป็นมหากุศลสืบไป พระพุทธองค์ทรงจำต้องอนุญาตด้วยเหตุผลทางกตัญญูกตเวทีและสังคม ให้พระมารดาเลี้ยงบวชได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ “ครุธรรม” ธรรมอันหนักขึ้น 8 ประการดังกล่าว อันเปรียบเสมือนเกราะคุ้มกันพระศาสนาต่อไปภายภาคหน้ามิให้ถูกทำลายได้ง่ายดังที่พระองค์ทรงวิจารณาเห็นแล้ว ต่อมาภิกษุณีสงฆ์ก็ค่อยสลายไปเองตามกฎธรรมชาติ แต่พระพุทธศาสนายังคงสืบทอดต่อมาจวบจนถึงปัจจุบันเพราะพระพุทธองค์ทรงเห็นและวางกฎแก้ไขไว้แล้ว ด้วยเหตุนั้นพระพุทธองค์จึงทรงไม่เต็มพระทัยที่จะอนุญาตให้สตรีบวชในครั้งกระนั้น”

    “สาธุ...พระครูเจ้า ดิฉันพอจะเข้าใจแล้วค่ะ พระพุทธองค์ทรงห่วงหวงศาสนาอันเป็นกุศลสมบัติส่วนรวม มากกว่าที่จะเห็นแก่ญาติสนิทมิตรสหายเป็นสำคัญ พระพุทธองค์เป็นพระผู้เสียสละเพื่อมวลมนุษยชาติทั้งปวงโดยแท้”

    “พระพุทธองค์ทรงรู้จักธรรมชาติชัดแจ้ง ทรงเห็นธรรมชาติทะลุลึก ทรงเข้าถึงธรรมชาติทั้งสิ้นทั้งมวล เมื่อพิจารณาสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็จะพิจารณาตามความเป็นไปได้ของธรรมชาติเป็นที่ตั้ง พระพุทธองค์ทรงเห็นว่ามวลชีวิตทั้งหลายเป็นผลิตผลของธรรมชาติ ชอบที่ชีวิตทั้งปวงจะได้เข้าใจหลักเกณฑ์ของธรรมชาติอย่างแท้จริง จึงแสวงหา “ธรรมะ” สัจจะจากธรรมชาติให้ไว้เป็นกุศลสมบัติส่วนรวม ไม่เฉพาะชีวิตชาติในโลกภพเท่านั้น แต่เอื้อเฟื้อไปถึงสุคติภพ และทุคติภพโดยทั่วถึงกันด้วยและพึงปรารถนาให้เป็นกุศลมรดกตกทอดอยู่ต่อไปได้ให้นานแสนนานเพื่อเป็นที่พึ่งแก่ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ เท่าที่จะเป็นไปได้”

    “สาธุ...พระครูเจ้า ดิฉันเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
    แม่ชีสุดคนึงประนมมือไหว้ขึ้นท่วมศีรษะอีกครั้งหนึ่ง แล้วปิดหนังสือลงค่อยๆ ประจงร้อยพวงมาลัยดอกพิกุลที่ยังค้างอยู่ต่อไปอีกสองสามดอกในระหว่างสนทนา

    พระครูจิตตังข้ามสายตามองไปยังกุฏิเล็กๆ 2 กุฏิ ที่อยู่ติดกันใกล้ศาลาข้างวัดหน้าป่าช้าอันเป็นที่พำนักปฏิบัติอุโบสถของแม่ชีทั้งสองพลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
    “เท่าที่ผ่านมาแม่ชีทั้งสองพำนักปฏิบัติธรรมในกุฏิสงบเรียบร้อยดีอยู่หรือ”
    พระครูเอ่ยเปรยขึ้น
    “สงบเรียบร้อยเป็นปกติสุขดีเจ้าค่ะ”
    “จงเจริญวิปัสสนาให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ขณะนี้แม่ชีสัมผัสละเอียดลึกล้ำได้ตามสมควรแล้ว อาตมาจะฝากผู้น่าสงสาร ผู้ยังหาที่ไปมิได้และกำลังอดอยากสักตนหนึ่งไว้ให้อยู่ในความดูแลของแม่ชี”
    “ได้สิเจ้าคะ ผู้นั้นเป็นใครล่ะเจ้าคะ”
    “สัมภเวสีตนหนึ่งที่หมองเศร้าวนเวียนอยู่ในป่าช้า”
    แม่ชีสุดคนึงหยุดนิ่งนิดหนึ่งพลางคิดในใจ
    “ผี”
    “ใช่แล้ว ผีที่ตายโดยกรรมฆาตก่อนอายุขัย ยังแสวงหาภพเกิดตามกรรมมิได้”
    พระครูรู้ใจแม่ชีที่กำลังคิดเพียงภายในโดยมิได้เอ่ยเป็นคำพูดออกมา

    “ผีที่น่าสงสารจะต้องอยู่ที่นี่อีกนาน อาตมาเห็นเป็นโอกาสเพื่อแม่ชีจะพึงทำสมถวิปัสสนาสังเวชบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานได้เจริญขึ้นและสร้างสมกุศลบารมีด้วยอนุเคราะห์วิญญาณที่กำลังมืดบอดให้เห็นดวงธรรมตามควร และประการที่สำคัญที่สุดคือ...”

    พระครูชะงักที่จะพูดต่อไปไว้เพียงเท่านั้น และลังเลว่าควรจะพูดต่อไปหรือไม่
    แม่ชีสุดมองหน้าพระครูด้วยความประหลาดใจที่ชะงักคำพูดไว้
    “ประการสำคัญที่สุด...อะไรหรือเจ้าคะ”

    พระครูใคร่ครวญพิจารณาแล้วเห็นว่าน่าจะบอกความจริงได้เพราะแม่ชีเป็นผู้บรรลุจิตเข้าถึงธรรมตามสมควรแล้ว บอกกล่าวเพื่อเตือนเพื่อเร่งรัดให้ปฏิบัติธรรมกิจ และตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท
    “เป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติดังที่พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ สุภาพสตรีที่ละบ้านเรือนถือวิเวกปฏิบัติธรรมอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวย่อมเป็นโอกาสให้ปวงมารที่จ้องจะทำร้ายทำลายได้โอกาสมากขึ้น กอปรกับช่วงชีวิตที่กรรมเก่าติดตามมาทัน แม่ชีสุดกำลังตกอยู่ในภาวะเคราะห์กรรมพอสมควร จะมีผู้ปองร้ายจ้องทำลายระยะหนึ่ง แต่จะผ่านพ้นบาปเคราะห์ไปได้ในที่สุด แม่ชีต้องอยู่ในความไม่ประมาท ต้องเคร่งครัดปฏิบัติธรรมมากขึ้น และสงเคราะห์สัมภเวสีตนนั้นไว้ นอกจากจะเป็นการสร้างกุศลบารมีแล้ว สัมภเวสีตนนั้นจะเป็นผู้ช่วยเหลือแม่ชีให้รอดพ้นจากภยันตรายในภาวะคับขันได้”

    แม่ชีสุดก้มลงกราบพระสมณะ 3 ครั้ง
    “ขอขอบพระคุณพระครูเจ้าที่ให้ความกรุณาอย่างที่สุดเจ้าค่ะ”
    ดิฉันจะปฏิบัติตามที่พระครูเจ้าแนะนำทุกประการ และเต็มใจยินดีที่จะเป็นผู้ดูแลฝึกฝนสัมภเวสีตนนั้นให้แจ่มใสยิ่งขึ้นเท่าที่จะทำได้”
    แม่ชีสุดรับปากด้วยความมั่นใจ เมื่อชั่งใจตัวเองได้แล้วว่า
    “เราอยู่ในเพศผู้ปฏิบัติธรรม เราต้องไม่กลัวผี...”
    พระครูหัวเราะน้อยๆ อย่างรู้ใจ และพยักหน้าเสริมกำลังใจ
    “ปฐมยามคืนนี้ อาตมาจะส่งสัมภเวสีมาให้ในกระแสสมาธิ”

    ก่อนถึงปฐมยาม แม่ชีสุดเริ่มทำสมาธิเตรียมจิตยึดมั่นอยู่ในหลักแผ่เมตตาธรรมแก่ส่ำสัตว์ทั้งปวงตลอดภูตผีสัมภเวสี ระลึกสงสารสังเวชดวงวิญญาณที่ยังไม่มีที่เกิดที่ไป พิจารณาให้เห็นความถ่องแท้ในขันธ์ 5 แล้วอุเบกขาจิตให้เป็นธรรมเป็นกลางไม่มีอารมณ์อ่อนไหว จนล่วงเข้าปฐมยามจิตก็นิ่งเข้าสู่วิปัสสนาญาณรอรับสัมผัสสัมภเวสีที่จะถูกส่งออกมาจากป่าช้า

    ขึ้นชื่อว่า “ผี” ก็ต้องทำตัวเป็นผีอยู่วันยังค่ำ เหมือนสัตว์ป่าย่อมจะเป็นสัตว์ป่าอยู่ร่ำไปตามวิสัย แม้ด้วยสัญชาติญาณพอจะรู้ว่าคนคนนี้พอจะเป็นที่พึ่งกับมันได้ แต่มันก็ยังจะระแวดระวังไม่วางใจเต็มที่นักเมื่อเข้าใกล้จะต้องแยกเขี้ยวขู่ฮึ่มๆ ไว้ก่อนเสมอทั้งๆ ที่สายตาปรากฏอ่อนโยนลงแล้วก็ตามที

    สัมภเวสีนี้ก็เช่นกัน พระครูแนะนำด้วยกระแสสมาธิให้เป็นที่เข้าใจแล้วว่า แม่ชีสุดที่จะเป็นผู้ให้ความอุปการะดูแลต่อไปนี้เป็นที่พึ่งแก่สัมภเวสีได้ สัมภเวสีมีศรัทธาเชื่อพระสมณะผู้มีแสงเรืองรองในคืนที่มืดมิด เดินลอยเหนือพื้นดินออกจากป่าช้าตรงมายังกุฏิแม่ชีสุด เมื่อพ้นป่าช้าออกมาแล้วใกล้จะถึงกุฏิก็ฉุกใจว่า แม่ชีเป็นผู้หญิงและยังไม่เคยเห็นมีแสงเรืองรองเหมือนสมณะในป่าช้านั้นเลย แม่ชีจะเก่งกล้าเหมือนสมณะหรือไม่จึงคิดทดลองแต่เบื้องต้นว่าจะเป็นที่พึ่งแห่งตนได้จริงหรือไม่

    เมื่อเดินลอยมาอยู่ที่หน้ากุฏิก็สำแดงรูปมายาปรากฏเป็นอสุรกายสูงใหญ่เท่าลำตาล ตาแดงถลนออกมานอกเบ้า แลบลิ้นยาวเฟื้อยลงมาถึงระเบียงกุฏิ กางมือใหญ่เท่าใบตาลเตรียมขยุ้มกุฏิของแม่ชีให้ย่อยยับ
    ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ตั้งสติมั่นอยู่ในดวงธรรม ไม่มีจิตเป็นเมตตาธรรมมิได้พิจารณาปลงขันธ์ 5 มาก่อน ก็อาจตกใจช็อกไปเลยกับรูปมายาที่สำแดงหลอกหลอนด้วยวิสัยผี และยิ่งเป็นผีตายโหงที่ตายมาในลักษณะอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้น ก็คิดว่าการสำแดงรูปมายาที่น่าสะพรึงกลัวเหมือนตอนตายเป็นฤทธิ์วิเศษตัวเก่งของตนจดจำเอามาสำแดงอีก
     
  19. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    มนุษย์ใจสัตว์

    แม่ชีสุดพึงพิจารณาปลงสังขารถือเป็นอารมณ์สังเวชวางจิตเป็นอุเบกขาเวทนาพิจารณาว่า

    “สัมภเวสีที่น่าสงสาร เจ้าตายโหงมาเพราะอุบัติเหตุตอนตายจิตเจ้าสัมผัสจดจำกับสังขารที่อุจาดตาผิดธรรมดาธรรมชาติ เจ้าจำได้เท่านั้นแล้วมาสำแดงให้มันใหญ่โตขึ้นสูงใหญ่เท่าลำตาล เจ้าก็มีความเก่งอยู่นี่ที่สำแดงเช่นนั้นได้ เราขอยกนิ้วหัวแม่โป้งให้...ตาอันแดงถลน ลิ้นอันยาวเฟื้อย มันยังไม่สมบูรณ์นี่ ต้องให้มีน้ำเหลืองหยาดเยิ้มหยดย้อย และเรือนร่างที่เน่าเฟะอลึ่งฉึ่งอล่างฉ่างด้วยซีมันจึงจะดูน่าเกลียดน่าขยะแขยงมากขึ้น เจ้ายังเป็นผีที่ไม่น่ากลัวเลย สัมภเวสีที่น่าสงสาร”

    เมื่อเห็นไม่ได้ผล แม่ชีไม่ยักกลัวกลับสอนเสียอีก สัมภเวสีก็หายตัวไปและสำแดงรูปใหม่อย่างอื่น
    คราวนี้สำแดงเป็นสังขารอยู่ในตราสังขาวโพลน เดินทื่อเข้ามากางแขนทั้งสองตรงมาเบื้องหน้าแต่ไม่มีหัว

    “คนเราเมื่อไม่มีศีรษะแล้วเดินได้เช่นนี้ เขาเรียกว่าผีหัวขาดเพราะเจ้าไม่มีหัวเจ้าจึงเป็นผีหัวขาด ตอนตายหัวเจ้าถูกตัดแยกออกจากตัว เจ้ายังจำได้แล้วเก็บมาแสดงให้เราดูจะให้เราช่วยหาศีรษะให้เจ้ายังงั้นหรือ...” แม่ชีพิจารณารำพึง
    เห็นไม่ได้ผลอีกรูปมายาผีหัวขาดจึงหายวับไป คราวนี้มาใหม่ ลอยมาแต่หัวตัวไม่มา มาลอยหลอกล่ออยู่หน้ากุฏิ
    “อ้อ!...เจ้าหาหัวได้แล้ว แต่ตัวหายบอกมาเถิดให้เราช่วยหาตัวให้ เราเต็มใจจะช่วยเจ้า”

    หมดปัญญาผี หลอกหลอนยังไงๆ แม่ชีสุดก็ไม่ยักตกใจกลัว แล้วเราจะหลอกไปหาอะไรกัน แม่ชีสุดผู้นี้ใจถึงจริงๆ มีจิตใจเมตตาจะช่วยเหลือแทนที่จะตกใจกลัว สัมภเวสีระลึกได้ก็สมเพชตัวเองจึงเลิกสำแดงฤทธิ์เดช รวมสภาพเป็นจิตวิญญาณในรูปสังขารมนุษย์ธรรมดาแต่ปรากฏแต่เพียงเงารางๆ เหมือนเช่นเดิม เดินเข้ามานั่งหน้าบันไดกุฏิแล้วพนมมือไหว้

    “เจริญบุญกุศลเถิดสัมภเวสีที่น่าสงสาร ตอนนี้ตามหัวตามตัวได้ครบถ้วนแล้วสินะ ดูสินั่งพับเพียบเรียบร้อยสงบเสงี่ยมเจียมตน รู้จักไหว้แสดงถึงจิตที่ยังรู้จักพระ”
    “พระ”
    สัมภเวสีพยักหน้าช้าๆ ขณะที่เปล่งคำว่าพระออกมาเบาๆ
    “เจ้ารู้จักพระ จำพระได้ อีกหน่อยเจ้าก็จะฉลาดขึ้น เจ้าไม่มืดบอดต่อไปอีกแล้ว เจ้ากำลังจะเห็นแสงสว่าง แสงสว่างแห่งธรรมะ”
    “ธรรมะ”
    สัมภเวสีพยายามกล่าวคำว่าธรรมะออกมาได้อีก
    “เก่งมาก ดีมาก พระ ธรรมะ คือ บุญ กุศล”
    แม่ชียินดียิ่งที่เห็นสัมภเวสีระลึกได้เช่นนั้น จึงต่อคำว่า บุญ กุศล ให้เพิ่มขึ้น
    “พระ...ธรรมะ...พระ...ธรรมะ...”
    ทบทวนได้เพียงเท่านั้น ยังต่อคำว่า บุญและกุศลไม่ได้

    “ไม่เป็นไร วันนี้ได้เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ต่อไปเราจะสอนให้เจ้าวันละคำ มาอยู่กับเราเราจะเป็นผู้ดูแลสงเคราะห์เจ้า เจ้าเป็นจิตวิญญาณดี อีกไม่นานหรอกเจ้าก็จะไม่หงอยเหงาเศร้าสร้อย เราเป็นเพื่อนเจ้า เจ้าเป็นเพื่อนเรา เราเป็นเพื่อนกัน”
    “เราเป็นเพื่อนกัน”
    สัมภเวสีทวนประโยคสุดท้าย พยักหน้าช้าๆ มีแววแจ่มใสขึ้นในดวงตาแล้วประนมมือไหว้อีกครั้งหนึ่ง
    “ถูกแล้ว เราเป็นเพื่อนกัน เราจะสอนธรรมะให้เจ้าต่อไป เอาละวันนี้เราพบกันเข้าใจกันเท่านี้ก่อน เจ้าไปได้แล้ว”
    ได้เวลาอันสมควร แม่ชีสุดก็ถอนออกจากสมาธิเมื่อรูปวิญญาณหายวับไป

    “วิญญาณเถื่อน” ที่เป็นภูตผีนอกสังกัดเสียอีกยังรู้ผิดชอบชั่วดีสำนึกตนกลับตัวได้ ยังรู้จักคำว่า พระและธรรมะ แต่วิญญาณเถื่อนในคราบมนุษย์ใจสัตว์นี่สิ ยากนักที่จะรู้สำนึกในด้านดี

    “ไอ้หิน” เป็นหนุ่มใหญ่จอมเกกมะเหรกเกเรตัวสำคัญในอำเภอนี้ เคยรู้จักมักคุ้นกับแม่ชีสุดคนึงในสมัยที่แม่ชียังเป็น “ไอ้สุดจอมแก่น” อยู่ แต่ต่อมาไอ้หินได้ประพฤติชั่วสมบูรณ์แบบ นอกจากแยกตัวนอกคอกไป ลัก วิ่ง ชิง ปล้น อยู่ในเมืองกรุงแล้ว โทษสุดท้ายที่มันติดตะรางอยู่หลายปีคือข้อหาข่มขืนวิตถาร ไอ้หินที่กล่าวถึงนี้มันเคยมีจิตใจหมายปองรักใคร่ในทางชู้สาวแต่ฝ่ายเดียวอยู่ในตัวสาวสุดคนึงในสมัยนั้น

    เมื่อพ้นโทษออกมาจากคุกมันก็หวนกลับมาบ้านเดิมเพื่อก่อกรรมต่อไป
    วัดเป็นสถานกลางเหมือนสาธารณสถาน คนดีคนชั่ว พระและโจรผู้ร้ายเข้ามาสัมผัสได้ไม่มีใครห้าม เมื่อกลับมาในถิ่นนี้รู้ข่าวว่าแม่ชีสุดบวชอยู่ที่นี่ ไอ้หินกับเพื่อนเกเรสองสามคนทำทีเข้ามาเยี่ยมเยือนในฐานะที่เคยรู้จักกันมาก่อน

    แม่ชีสุดคนึงแม้จะอยู่ในลักษณะอุบาสิกานุ่งขาวห่มขาวโกนผมโกนคิ้ว แต่ในความเป็นสาวเต็มตัวที่เปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาดในลักษณะเช่นนั้นยิ่งขับความเป็นสาวของตัวเองให้งดงามยิ่งขึ้น ไอ้หินผู้มีจิตผิดปกติในลักษณะจิตทรามเป็นกรรมประจำตน เมื่อมาเห็นแม่ชีสุดซึ่งเป็นหญิงหัวโล้นอยู่ในชุดแม่ชีถือศีลบริสุทธิ์ ละเรือนพำนักอยู่ในกุฏิถือเอกา แทนที่จิตใจแห่งกามราคะของมันจะผ่อนคลายลดกำหนัดกลับตรงกันข้ามทำให้จิตใจมันกำเริบกระสันจะลิ้มลองสตรีเพศผู้ถือพรหมจรรย์ขึ้นมาทันที

    “หัวโล้นๆ อย่างงี้แหละดี ยิ่งขึ้นชื่อว่าชีด้วยแล้วบริสุทธิ์กว่าคนธรรมดาเป็นไหนๆ”
    เมื่อออกมาจากวัดแล้ว มันก็บอกความปรารถนาพูดเล่นหัวกับเพื่อนๆ ร่วมสันดาน แต่ในตาที่แข็งกระด้างฉายไว้ด้วยความจริงจัง
    “นรกโว้ย ชีเป็นผู้ถือศีล มันนรกกว่าคนธรรมดานะโว้ย”
    เพื่อนอีกคนหนึ่งเตือนสติ

    “นรกเขามีไว้ขู่คนขวัญอ่อนเท่านั้น คนอย่างข้าถ้านรกมีจริงมันก็คงไม่ปรารถนาจะเอาข้าลงไปเพิ่มความชั่วช้าให้มากขึ้น ข้ามีคติอยู่ว่าทำอะไรต้องทำให้มันถึงที่สุดจริงๆ จึงจะเป็นยอด ชั่วก็ชั่วให้มันจริงๆ ชั่วมากๆ จนนรกไม่ต้องการนั่นแหละจึงจะเรียกว่ายอดชั่ว คนยอดชั่วเช่นข้านรกส่ายหัวไม่ต้องการหรอก เอ็งคอยดู ข้าจะจัดการกับไอ้สุดในเครื่องแบบบริสุทธิ์ของแม่ชีนั่นแหละ มันเพิ่มอารมณ์ดีนัก”
    ไอ้หินกล่าวหนักแน่นด้วยอารมณ์เถื่อนเข้าสิงสู่ มันภูมิใจอยู่กับการทำชั่ว มนุษย์เช่นนี้มีอยู่มากมายเสียด้วย

    “แต่ที่ข้าชักชวนพวกเอ็งไปด้วยในวันนี้มิใช่จะชวนพวกเอ็งเข้าร่วมสังฆกรรมที่จะทำบัดสีกับไอ้สุดด้วยหรอกนะ ไอ้สุดข้ารักของข้ามานานแล้วใครอย่ายุ่ง ต้องให้ข้าจัดการของข้าคนเดียวเอ็งอย่าแตะ ไม่งั้นตายจำไว้ แต่ที่ข้าชวนพวกเอ็งไปด้วยเมื่อกี้เพื่อต้องการให้พวกเอ็งเห็นช่องทางอะไรอย่างหนึ่ง”

    “อะไรหรือพี่หิน” เพื่อนรุ่นน้องถามด้วยความสงสัย

    “โบสถ์นั่นน่ะโว้ย...ประตูโบสถ์ที่ข้าพาเอ็งแวะไปดูนั่นน่ะเอ็งเห็นแล้วจงกลับเอาไปนอนคิดเป็นการบ้านว่าจะเอาอะไรงัดมันออกง่ายๆ เอ็งรู้รึเปล่าว่าพระพุทธรูปองค์หนึ่งในโบสถ์เก่ามีค่ามหาศาล ถ้าพระองค์นั้นยังคงอยู่ในโบสถ์ที่สร้างใหม่แล้วนี้ เรานิมนต์ท่านไปจำวัดที่ร้านรับซื้อของเก่าแถวเวิ้งได้ พวกเอ็งกับข้าจะอิ่มท้องกันไปอีกนานทีเดียว”

    “อ๋อ...”
    ลูกน้องทั้งหลายเพิ่งจะถึงบางอ้อกันขึ้นมา ทุกคนพากันยกนิ้วหัวแม่โป้งให้ลูกพี่ของมันและพากันสรรเสริญ
    “ลูกพี่เรายังเสธ.เหมือนเดิม เลวครบเครื่องมิบกพร่องลงไปเลย”
    แล้วต่างก็กระโดถอยกรูด เพราะลูกเตะจากลูกพี่ที่หยอกเย้ากันเยี่ยงมหาโจร

    “ญาณสำนึก” บอกให้แม่ชีสุดสัมผัสรู้ทันที เมื่อเห็นนายหินโผล่ขึ้นมาเยี่ยมถึงกุฏิเมื่อตอนเย็น
    “ตัวกรรมเก่า...กำลังคืบคลานเข้ามาตามที่พระครูเจ้าได้เตือนไว้เมื่อสองสามวันก่อน”
    แม่ชีรำพึงพิจารณาแล้วหวนรำลึกถึงคำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้

    “ภิกษุณีสงฆ์...เหมือนนาข้าวที่หนอนขยอกจะลงได้ง่าย เหมือนไร่อ้อยที่เพลี้ยชอบมาแทะโลมเกาะกิน ภิกษุณีสงฆ์จะทำให้ศาสนาสั้นลงด้วยเหตุนี้เหตุหนึ่ง”
    พึงเห็นสัจธรรมของพระพุทธองค์ขึ้นอย่างชัดเจนอันเกี่ยวกับการไม่เต็มใจให้มีภิกษุณีขึ้นในครั้งกระนั้น และพึงพิจารณาเป็นธรรมสังเวชต่อไป

    “ด้วยธรรมชาติสังขารแห่งสตรีเพศที่จะปฏิบัติธรรมถือวิเวกเอกาเช่นสมณะนั้น ย่อมเป็นโอกาสอันดีงามของหมู่มารที่คอยจ้องทำลายได้ง่าย สตรีเพศผู้ถือบวชถือวิเวกจึงเป็นตัวล่อแหลมที่จะทำให้ศาสนาถูกทำลายได้ แต่จิตของสตรีพระพุทธองค์ทรงรับรองไว้แล้วว่าสามารถที่จะบรรลุโสดาปัตตผลและถึงอรหัตตผลได้ในเมื่อเราตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ที่จะอยู่ในเพศพรหมจรรย์ตลอดไป เราจำต้องพึ่งจิตเป็นใหญ่ พึงปฏิบัติจิตให้ถึงกุศลมากขึ้นโดยเร็ว เพื่อจะได้ชดเชยความด้อยของสังขารสตรีเพศอันเป็นข้าศึกต่อกุศล เราจะต้องเพิ่มกุศลแก่กล้าให้ดวงจิต เราต้องเร่งทำตามที่พระครูเจ้าได้ตักเตือน”

    ทุกปฐมยาม เว้นแต่ในคืนอุโบสถ เป็นเวลาที่แม่ชีสุดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสัมผัสอบรมธรรมแก่วิญญาณสัมภเวสีตนนั้น สัมภเวสีเปล่งคำว่า พระ ธรรมะ บุญ กุศล ความดี ความงาม ความสุข ได้แล้ว และกำลังรับการอบรมให้เข้าใจความหมายของคำที่กล่าวอยู่

    “ความสุข คือไม่เศร้าสร้อย ไม่หงอยเหงา ไม่เปล่าเปลี่ยว ไม่ทุกข์ ไม่เสียใจ...ถ้าเมื่อใดเจ้าเกิดมีความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใดเช่นนั้นขึ้นมา เจ้าก็จงหยุดนึกเสียแล้วนึกถึงคำว่า พระ ธรรมะ บุญ กุศล ทั้งสี่อย่างหรืออย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้แทนที่เสีย เจ้าก็จะมีแต่ความสุขแทนที่อยู่แต่เพียงอย่างเดียว”

    แม่ชีย้ำๆๆ ในกระแสสมาธิให้สัมภเวสีท่องประโยคความหมายของคำว่า “ความสุข” และวิธีปฏิบัติดังกล่าว ย้ำแล้วย้ำอีกจนสัมภเวสีพอจะเข้าใจขึ้น สังเกตได้จากแววตาที่แจ่มใสทั้งๆ ที่เป็นตาซึ่งไม่มีแววปรากฏอยู่เลย เพราะตาที่กล่าวเป็นตาผี แววที่รู้สึกว่าแจ่มใสแสดงความเข้าใจในการอบรมของแม่ชีนั้นเป็นกระแสความรู้สึกทางสมาธิจากจิตวิญญาณซึ่งผ่านออกมาจากในส่วนที่สมมุติว่าเป็นตาของร่างที่ปรากฏรางๆ ของสัมภเวสีนั่นเอง
     
  20. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สามเดนนรก

    เมื่ออบรมธรรมแก่วิญญาณในตอนหัวค่ำแล้ว พอล่วงเข้ามัชฌิมยาม แม่ชีสุดคนึงก็บำเพ็ญเพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้ละเอียดประณีตขึ้นไป...

    ...พิจารณาเห็นทั้งความเป็นจริงว่า สิ่งใดมีเกิดสิ่งนั้นย่อมมีดับสิ่งใดมีดับสิ่งนั้นย่อมมีเกิด เกิดกับดับเป็นของคู่กันโดยแท้ ดับกับเกิดก็เป็นของคู่กันโดยแท้ นั่นเป็นสัจจะ

    ...พิจารณาเห็นความดับ
    คือพิจารณาธรรมชาติตามความเป็นจริงว่า ความดับ ความตาย ความสิ้น ความสูญ ความหมด เป็นของคู่กับชีวิต สังขาร จิตวิญญาณที่จะแยกออกจากกันมิได้เลยโดยแท้นั่นเป็นสัจจะ

    ...พิจารณาเห็นสังขารเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว
    คือพิจารณาธรรมชาติตามความเป็นจริงว่า สังขารร่างกายเมื่อตายเมื่อดับจะเน่าเปื่อยน่าเกลียดน่ากลัวทุกสังขารเหมือนกัน ให้เห็นความน่าเกลียดน่ากลัว มิใช่ให้เกลียดให้กลัวให้ตกใจแต่พิจารณากำหนดเพื่อให้เห็นความจริงว่าทุกสังขารที่สวย ที่รวย ที่จน ที่น่ารัก น่ารังเกียจ เมื่อตายแล้วล้วนแต่เน่าเปื่อยน่าเกลียดน่ากลัวอยู่ในสภาพเดียวกันทั้งสิ้นเป็นแน่แท้ นั่นเป็นสัจจะ

    ...พิจารณาเห็นโทษแห่งสังขาร
    คือพิจารณาธรรมชาติตามความเป็นจริงว่า สังขารที่ตายเน่าเปื่อยสลายไปนั้นไม่ดี ไม่สวย ไม่งาม เป็นโทษทั้งสิ้นย่อมเป็นเช่นนั้นแน่แท้ทุกสังขาร นั่นเป็นสัจจะ

    ...พิจารณาเห็นความเบื่อหน่าย
    คือพิจารณาธรรมชาติตามความเป็นจริงว่า สังขารที่เน่าเปื่อยสลายเป็นโทษทุกสังขารนั้นเป็นสิ่งน่าเบื่อหน่าย ไม่น่าเป็นไม่อยากเป็นระอาที่จะเป็นสังขารนั้น

    ...พิจารณาให้หลีกพ้น
    คือพิจารณาธรรมชาติตามความเป็นจริงว่า สังขารที่ตายเน่าเปื่อยสลายเป็นโทษน่าเบื่อหน่ายนั้นควรจะหลีกให้พ้นภาวะการเป็นเสีย

    ...พิจารณาหาทางหลีก
    คือพิจารณาธรรมชาติตามความเป็นจริงว่า สังขารที่ตายเน่าเปื่อยสลายเป็นโทษน่าเบื่อหน่ายควรหลีกให้พ้นภาวะเช่นนั้น จะทำอย่างไรเล่าจึงจะไม่ให้เกิดภาวะสังขารเช่นนั้นได้

    ...พิจารณาวางเฉยในสังขาร
    คือพิจารณาธรรมชาติตามความเป็นจริงว่า สังขารที่ตายเน่าเปื่อยสลายเป็นโทษน่าเบื่อหน่ายควรหลีกพ้นและหาทางหลีกพ้นให้ได้นั้น อย่าไปอาลัยอาวรณ์ในภาวะสังขารเช่นนั้นอีก ดุจบุรุษผู้วางเฉยในภริยาอันหย่ากันแล้วฉะนั้น

    ...พิจารณากำหนดรู้อริยสัจจ์
    คือพิจารณาทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    “ทุกข์” คือสภาพของสังขารที่คงสภาพอยู่ไม่ได้เป็นแน่แท้ เมื่อเกิดแล้วต้องดับ
    “สมุทัย” คือเหตุให้เกิดทุกข์ คือ ตัณหาความทะยานอยาก
    “นิโรธ” คือการดับทุกข์ดับตัณหาให้สิ้นไป เป็นภาวะนิพพาน
    “มรรค” คือวิธีดับทุกข์ มี 8 ประการ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ เจรจาชอบ ทำการงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ มีความเพียรชอบ ระลึกชอบ จิตตั้งมั่นชอบ

    พิจารณาวิปัสสนาญาณตั้งแต่ข้อแรกมาถึงข้อ 9 แล้วทบทวนพิจารณาตั้งแต่ข้อ 9 กลับไปหาข้อแรกทบทวนไปทบทวนมาให้ทั้ง 9 ข้อกลายเป็นหนึ่ง...
    “มีเกิดมีดับ ดับแน่ เหมือนกันทั้งนั้น เป็นโทษ น่าเบื่อ น่าหลีก หาทางหลีกเสียหาทางหลีกให้ได้ หลีกให้พ้นเลิกสนใจ สู่นิพพาน...ถึงนิพพาน เพราะเลิกสนใจ เพราะหลีกได้ เพราะหลีกเสีย เพราะน่าหลีก เพราะน่าเบื่อ เพราะเป็นโทษเหมือนกันทั้งสิ้น ดับมาแล้ว เพราะมีดับ จึงมีเกิด”

    พิจารณาดูเถิด นั่นเป็นหลักความจริงตามธรรมชาติที่พระพุทธองค์ทรงหยิบยกมาบัญญัติไว้ให้เห็น เพื่อจะได้หลีกหนีไปสู่นิพพานแต่เพียงอย่างเดียว
    ถ้าพิจารณาและปฏิบัติได้เพียง 7 ข้อแรก จะถึงซึ่งสุคติภพเท่านั้น
    ข้อ 8 และข้อ 9 สองประการสุดท้ายนั้นเป็นข้อที่จะนำสู่นิพพาน

    แม่ชีสุดพิจารณาทบทวนในวิปัสสนาญาณ ปรากฏมรรคผลประการดังกล่าวชัดแจ้งขึ้นมา เมื่อเข้าใจแล้วดูเป็นของง่ายเหมือนคนเราเมื่อนั่งอยู่กับพื้นแล้วจะลุกขึ้นยืนเป็นของง่ายที่มนุษย์ธรรมดาทำได้ทั้งนั้น เพราะหัดยืนมาตั้งแต่เด็กแต่เล็กจนคล่องแล้ว ความจริงไอ้ตอนหัดยืนในสมัยที่เป็นเด็กมันแสนจะยาก มีขั้นตอนมากมายกว่าจะตั้งไข่ได้ ตั้งแต่เริ่มประคองตัว จิกปลายเท้ากับพื้น วางส้นเท้ามั่นคงกับพื้น เกร็งหัวเข่า ดันมือส่งร่างขึ้น พุ่งตัวขึ้นข้างบน ยืนให้สุดตัว ตั้งให้ตรงและประคองตนให้นิ่ง ก็เป็นขั้นตอน 9 ประการเหมือนกัน ตอนหัดทำมันแสนจะยาก เมื่อทำได้แล้วแสนจะง่าย จะยืนเมื่อไรก็ทำได้ทันที จนลืมนึกเสียด้วยซ้ำไปว่าที่จริงมันมีขั้นตอนอยู่ตั้ง 9 ขั้นตอนดังกล่าว

    “หัดทำวิปัสสนากรรมฐานให้คล่องจนเป็นวิสัยเถิด มรรคผลพึงถึงได้ง่ายประดุจการลุกขึ้นยืนจากพื้นฉะนั้น”
    คติธรรมที่แม่ชีสุดพึงบัญญัติขึ้นมาเอง หลังจากได้พิจารณาใคร่ครวญด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐานในวิปัสสนาญาณโดยครบถ้วนแล้ว

    ในขณะเดียวกัน ไอ้หินก็นั่งเจริญวิปัสสนาวิตถารด้วยดวงจิตที่หยาบกระด้างของมัน เลยเที่ยงคืนไปแล้วมันยังนั่งกระดกเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าอยู่ในกระต๊อบกลางสวนคนเดียว มันดื่มเหล้าคนเดียวหมดขวดกลม ใบหน้าและนัยน์ตาแดงก่ำพอๆ กับนัยน์ตาอสูร อารมณ์หื่นกระหายก็เดือดพล่านขึ้น มันนึกถึงแม่ชีสุดคนึง อันเป็นที่หมายปองของมันมานานช้า ยิ่งดึกดื่นเช่นนี้ในกุฏิเล็กๆ หน้าป่าช้าลับตาคนเช่นนั้นมันช่างเหมาะเหม็งเหลือเกินที่โอกาสทองจะเป็นของมันได้โดยง่าย แม่ชีทองใบแม้จะเป็นเพื่อนอยู่กุฏิติดกัน ชีวัยชราเช่นนั้นเป่ามนต์เพี้ยงเดียวก็จะสลบไสลไม่ได้สติ

    “กูจะอุ้มแม่ชีสุดในชุดขาวไปขึ้นสวรรค์ลงนรกกันในป่าช้าบนโกดังเก็บศพนั่นแหละ มันคงจะสุขสมแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยมีใครคิดวิตถารมาก่อน”
    ไอ้หินวาดวิมานนรกไว้ในอารมณ์ด้วยโรคจิตทรามเริ่มกำเริบ
    “จัดการเสร็จสมแล้วก็อุ้มกลับมาส่งคืนในกุฏิตามเดิมในขณะที่ยารมให้นอนหลับยังไม่หมดฤทธิ์ แม่ชีสาวคงจะไม่รู้หรอกว่าอะไรเกิดขึ้นในขณะที่หลับสนิทอยู่ กูจะใช้วิธีนี้ไปเรื่อยๆ ไม่กี่มื้อหรอกน่ะ ชีก็ชีเถอะจะท้องโตกลางกุฏิรีบสึกออกมาเป็นเมียไอ้หินแทบไม่ทันน่ะซี...”

    ไอ้หินเก็บแผนการสกปรกไว้ในใจแต่ผู้เดียวมิแพร่งพรายให้ลูกน้องรู้ ก่อนที่มันจะมีเมียมันคิดจะสร้างเนื้อสร้างตัวหาเงินสักก้อนหนึ่งก่อน นั่นคือขโมยพระพุทธรูปมีค่าที่มันมั่นหมายเอาไว้ไปขาย มันสั่งให้ลูกน้องเตรียมเครื่องมืองัดโบสถ์เอาไว้ให้พร้อม พอได้โอกาสคืนที่ฝนตกหนักคืนหนึ่งมันจึงพากันไปงัดโบสถ์

    พายุฝนกระโชกรุนแรงในกลางดึกที่มืดมิดคืนนั้น อสุนีบาตฟาดเปรี้ยงปร้างเป็นประกายวูบวาบครั้งแล้วครั้งเล่า ฝนห่าใหญ่เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว เดนนรกสามตัวโผล่ขึ้นที่ประตูหลังโบสถ์พร้อมด้วยชะแลง ไขควง ขวาน และปืน ไอ้หินลูกพี่ยืนถือปืนคุมเชิงอยู่ ให้ลูกน้องสองคนช่วยกันงัดประตู

    ไอ้เดนนรกคนหนึ่งเตรียมเสือกชะแลงเข้าใต้บานประตูตามแสงสว่างจากไฟฉายที่ไอ้เดนนรกอีกคนหนึ่งส่องให้ แต่ยังไม่ทันเสือกชะแลงเข้าไป ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ บริเวณนั้น ลมแรงกระโชกวูบเข้าไป พลันประตูโบสถ์ก็เปิดผลัวะออกเองตามแรงลม สามเดนนรกชะงักขณะหนึ่งแต่เมื่อไม่เห็นมีสิ่งผิดปกติก็พากันดีใจที่อยู่ๆ ลมมาช่วยเปิดประตูให้

    “ประตูไม่ได้ใส่กลอน เหมือนโชคช่วย เหมือนเทวดาเป็นใจ”
    ไอ้สองเดนนรกอุทานเบาๆ อย่างดีใจ กำลังจะลงนรกแท้ๆ ยังคิดว่าเทวดาช่วย
    แล้วทั้งลูกพี่ลูกน้องก็ค่อยๆ ย่างสามขุมเข้าไปในโบสถ์อย่างระมัดระวัง ไอ้หินเดินนำหน้าตรงไปยังพระพุทธรูปยืนองค์ที่หมายตาเอาไว้แล้ว

    “องค์นั้นแหละ เอ็งสองคนช่วยกันแบกหัวแบกหางก็คงจะไหว เอาไฟฉายกับชะแลงมาให้ข้า ข้าจะช่วยถือ ระวังอย่าให้พระตกหรือกระแทกอะไรเข้า อย่าให้ชำรุดเป็นอันขาด”
    เดนนรกลูกน้องสองคนช่วยกันยกหัวยกหางพระตามที่ลูกพี่บอก ยกขึ้นมาอย่างง่ายดายดูเบาหวิวไม่หนักเลย แล้วค่อยๆ เดินตามลูกพี่ออกมาทางเดิม ประตูยังคงเปิดอยู่ ฝนยังคงตกหนัก ฟ้าผ่าค่อยเว้นห่าง คงมีแต่ฟ้าแลบแปลบปลาบในบางครั้ง

    แม้ฝนจะตกหนัก ลมแรงพัดเอาน้ำฝนที่กระหน่ำไม่หยุดเข้าไปเปียกโชกทั้งอาศรมท้ายป่าช้า แต่พระครูจิตตังก็ยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่ในกรรมฐาน จิตสัมผัสอยู่กับองค์เทพารักษ์ในวิมานแก้ว ทั้งเทพผู้รักษาวิสุงคามสีมาและสมณะ สังเวชอยู่กับพฤติการณ์ของมนุษย์ทั้งสามนั้น

    เทพบริวารสององค์ของเทพารักษ์ ที่ไปบันดาลเปิดประตูโบสถ์และบันดาลให้พระพุทธรูปเบาในขณะที่ยกอยู่ในโบสถ์เพื่อให้เกิดความย่ามใจเดนนรกให้มากขึ้น แต่เมื่อพ้นประตูโบสถ์ออกมาแล้วก็บันดาลให้หนักขึ้นจนสองคนยกไม่ไหว
    “เฮ้ย...ทำไมมันหนักยังงี้ เมื่อกี้ทำไมมันเบายังงั้น”

    ทั้งสองอุทานพร้อมกันขณะช่วยกันยกอีกก็ยกไม่ขึ้น ในที่สุดไอ้หินต้องลงมือช่วยยกอีกแรงพระพุทธรูปจึงลอยขึ้น แต่หนักเต็มกลืนแบบถูลู่ถูกัง แต่ด้วยความโลภโมโทสันแม้จะหนักหนายังไงแทบจะเกินกำลังสามคนยก มันก็พยายามช่วยกันยกอย่างสามัคคี เซแซ่ดๆ ไปทางโน้นทีหนึ่ง ไปทางนี้ทีหนึ่ง เดินวนเวียนไปรอบๆ โบสถ์ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ไฟฉายที่ส่องทางกระเด็นหายไปแล้ว ทั้งสามคนช่วยกันแบกพระเซแซ่ดๆ ทางโน้นทีทางนี้ทีวนเวียนอยู่ในความมืดเช่นนั้นหาทางออกมิได้ จะวางทิ้งไว้ก็เสียดาย ความโลภในสันดานมันสั่งให้ยกอยู่อย่างนั้น จะเอาออกไปให้ได้ด้วยแรงอกุศล แต่กุศลฝ่ายเทพบริวารก็ชักกลับให้เวียนวนรอบโบสถ์อยู่ต่อไป

    เปรียบกิเลสของมนุษย์ผู้หลงผิดทั้งหลายที่มันหนักทับใจตัวอยู่ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าสลัดกิเลสนั้นทิ้งไปใจก็จะเบาสบาย แต่ด้วยตัณหาราคะคอยบงการทำให้มนุษย์ไม่ยอมสลัดกิเลสทิ้งไป มนุษย์จึงยอมย่ำวนเวียนอยู่ในกองกิเลสเหมือนไอ้เดนนรกทั้งสามกำลังย่ำวนเวียนอยู่กับโคลนตมรอบโบสถ์รอบแล้วรอบเล่ามิยอมปล่อยพระที่หนักแสนหนักลง
     

แชร์หน้านี้

Loading...