ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดำยิ่งกว่าดำ! นักวิทย์พบปลาทะเลลึกมีผิวสีดำระดับแวนตาแบล็ก สีที่มืดมิดที่สุดในโลก! โดยผิวของมันกลืนแสงได้กว่า 99.95% ช่วยในการอำพรางตัวจากสัตว์ผู้ล่า

    เมื่อวันก่อนเราได้ดูภาพของสัตว์ที่มีสภาวะเผือกที่ร่างกายไม่ผลิตเมลานิน (Melanin) หรือ เม็ดสีผิวจนผิวของมันขาวโพลน วันนี้เราจะพามาดูสัตว์ทะเลน้ำลึกที่กลับมีเม็ดสีผิวเมลานินที่มีอนุภาคเรียงติดกันแน่นและมีขนาดรูปร่างที่เหมาะสมในการกระจายให้แสงผ่านเข้าไปใต้ผิวหนัง จนสามารถดักจับแสงเอาไว้ไม่ให้สะท้อนกลับออกมา ทำให้ผิวของพวกมันดำมืดสนิทเท่ไปอีกแบบ

    ซึ่งถ้าถามว่าดำมืดสนิทมากไหม ก็ตอบเลยว่ามากกกก! ทีมนักวิทยาศาสตร์จาก Duke University และทีมวิจัยจากสถาบันสมิธโซเนียน พบว่าสัตว์ทะเลลึกกว่า 16 สายพันธุ์นี้ดูดกลืนแสงได้มากกว่า 99.95% เลย ก็คือมีลักษณะสีดำเข้มเป็นพิเศษในระดับที่ใกล้เคียงกับสี "แวนตาแบล็ก" (Vantablack) สีที่มีความมืดมิดมากที่สุดในโลก

    ซึ่งแน่นอน ผิวที่ดำนี้มาพร้อมกับข้อดี เพราะในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดอย่างใต้ท้องทะเลที่แสงวิบวับแม้แต่น้อยก็สามารถเป็นจุดสนใจได้ สัตว์ทะเลสีดำเหล่านี้จะสามารถใช้สีผิวของมันพลางตัวได้ เพิ่มโอกาสในการมีชีวิตของรอด

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีแสงจากสัตว์ผู้ล่าเช่นปลาตกเบ็ด (anglerfish) ฉายส่องมา หรือเมื่อต้องอำพรางไม่ให้ตนเองกลายเป็นจุดเด่นหากกลืนกินปลาหรือสัตว์เรืองแสงเข้าไป

    Dr Karen Osborn จาก Duke University ผู้นำวิจัยเรื่องสัตว์ทะเลนี้เล่าว่า เธอค้นพบลักษณะเหล่านี้หลังจากที่เธอพยายามถ่ายภาพปลาทะเลน้ำลึกบางชนิด ถึงแม้ว่าเธอจะมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถจับรายละเอียดของปลาได้ภายในภาพ “ไม่ว่าคุณจะตั้งกล้องหรือจัดแสงอย่างไร ผิวหนังของพวกมันก็ดูดซับแสงสว่างจากดวงไฟของช่างภาพเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด”

    Alexander Davis ผู้ร่วมวิจัยและนักศึกษาปริญญาเอกจาก Duke University ชี้ว่า “โครงสร้างเม็ดสีนี้เรียงติดกันแน่นในเซลล์ผิวหนัง เหมือนตู้หยอดเหรียญหมากฝรั่งที่หมากฝรั่งลูกกลม ๆ แต่ละก้อนมีขนาดและรูปร่างที่พอเหมาะ เรียงกันแน่นจนแสงที่เข้ามาไม่สามารถรอดออกไปได้”

    ในตอนนี้ ทางทีมพบสายพันธุ์ปลาที่มีสีดำมืดกว่า 16 สายพันธุ์ใต้ท้องทะเล ถึงพวกมันจะไม่ได้เป็นสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกัน แต่ละตัวต่างกลับมีเม็ดสีผิวที่อัดแน่นเหมือนกัน

    พูดถึงสิ่งที่ดำที่สุดในโลก ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2019 สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์หรือเอ็มไอที (MIT) ของสหรัฐฯ เคยเปิดตัววัสดุชนิดใหม่ที่มีสีดำมืดที่สุดในโลกมาแล้ว โดยสามารถดูดกลืนแสงได้มากกว่า 99.995% ทำลายสถิติของสี "แวนตาแบล็ก" (Vantablack) ที่เคยครองแชมป์ความมืดทึบมาก่อนหน้านี้แต่ดูดกลืนแสงได้สูงสุดที่ 99.96% เท่านั้น

    ถึงสัตว์ทะเลลึก16 ชนิดพันธุ์นี้จะมืดสนิทไม่เท่าวัสดุข้างต้น แต่สีผิวที่มีเสน่ห์ของมันก็ดึงความสนใจของ Osborn ทำให้สุดท้ายได้วิจัยถึงการเรียงตัวของเม็ดสีผิวและสามารถคิดค้นวิธีจัดแสงให้ถ่ายภาพปลาทะเลน้ำลึกผิวมืดได้คมชัดขึ้นอย่างในภาพที่พวกเราเห็นกัน ซึ่งข้อมูลนี้อาจถูกนำไปประยุกต์ใช้เพื่อคิดค้นวัสดุสีดำพิเศษเคลือบด้านในของกล้องถ่ายภาพหรือกล้องโทรทรรศน์ต่ออีกด้วย ต้องขอบคุณลักษณะที่โดนเด่นของสัตว์เหล่านี้จริง ๆ

    ที่มา

    https://www.sciencefocus.com/news/u...-skin-that-can-absorb-99-9-per-cent-of-light/

    https://www.bbc.com/thai/features-5..._custom2=facebook_page&at_custom1=[post+type]

    https://www.bbc.com/thai/features-49705706

    ณิชากร บัวทรัพย์
    Environman

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับรางวัล Gulbenkian for humanity มันมีความหมายต่อฉันอย่างมาก และฉันหวังว่ามันจะช่วยให้ฉันทำสิ่งดีเพื่อโลกต่อไป

    และเงินรางวัล 1 ล้านยูโร ซึ่งป็นเงินจำนวนมากกว่าที่ฉันจะจินตนาการได้ แต่เงินรางวัลนี้ทั้งหมดฉันจะบริจาคผ่านมูลนิธิของฉัน ให้แก่องค์กรต่างๆ โครงการต่างๆ ที่ทำงานช่วยผู้ที่เป็นแนวหน้าเผชิญปัญหาวิกฤติสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และวิกฤติระบบนิเวศ โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา

    และนอกจากนี้เงินเหล่านี้จะบริจาคช่วยโครงการ และองค์กรที่ทำงานที่ต่อสู้เพื่อโลกที่ยั่งยืน และปกป้องธรรมชาติของโลก" เกรต้า กล่าวในวิดีโอที่เธอเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

    Greta Thunberg นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมได้รับรางวัลด้านสิทธิของโปรตุเกส Gulbenkian ที่สามารถปลุกคนรุ่นใหม่ให้หันมาต่อสู่กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และได้รับเงินรางวัลจำนวน 1 ล้านยูโร หรือกว่า 36 ล้านบาท ซึ่งเงินทั้งหมดนี้เธอจะบริจาคให้กลุ่มที่ทำงานเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและสู่กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

    โดยในเบื้องต้นเงินรางวัลจำนวน 100,000 ยูโรจะถูกบริจาคให้กับ SOS Amazonia ที่เป็นโครงการ Fridays For Future ของบราซิล เพื่อต่อสู่กับการระบาดของโควิดในแอมะซอน

    อีก 100,000 ยูโรถัดไปจะถูกบริจาคให้กับมูลนิธิ Stop Ecocide เพื่อสนับสนุนการการยุติอาชญากรรมโลกร้อน และอื่นๆ

    นอกจากนี้ล่าสุด Greta และ นักรณรงค์สิ่งแวดล้อมอีก 3 คน ออกมาขอให้ทาง EU หันมาต่อสู้กับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาวะฉุกเฉินด้านสภาพอากาศ

    https://www.theguardian.com/environ...Social&utm_source=Facebook#Echobox=1595313086



    ร่มธรรม ขำนุรักษ์
    เด็กหญิงแก้มยุ้ยเป็นมิตร

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชวนดูไอเดีย ถ้วยชามจากผลไม้

    วันนี้เราจะชวนมาดูอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ในการลดใช้ภาชนะพลาสติกที่น่ารัก แถมทำให้เมนูอาหารของเราดูดี ดูแพง น่าทานขึ้นอีกต่างหาก

    นั่นก็คือไอเดียภาชนะจากผลไม้!! ที่นอกจากเราจะกินผลของมันได้แล้ว เรายังสามารถนำเปลือกของผลไม้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ และอื่น ๆ มาเป็นภาชนะใส่ของหวาน-ของคาว-เครื่องดื่มได้อีก

    ว่าแล้วก็ไปดูภาพกันดีกว่า ใครจะนำไปประยุกต์ใช้กับผลไม้ในท้องถิ่นบ้านเราก็ได้นะ

    ที่มาใต้ภาพ

    ณิชากร บัวทรัพย์
    Environman

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    7 ELEVEN ถึงคราวขาดทุน
    .
    อาจฟังดูแปลกๆได้มีการคาดหมายจากบริษัทบล. ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบีซึ่งเป็นบริษัทลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ว่าเซเว่นจะขาดทุนเป็นครั้งแรกตั้งแต่เป็นมหาชนเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยทางบริษัทฯที่ระบุว่าไตรมาสที่ 2/63 CPALL(บริษัทแม่ 7-11) จะขาดทุน 8.1 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักคือผลกระทบจากการล็อคดาวน์ (Lockdown) และเคอร์ฟิว ซึ่งส่งผลกระทบกับอาหารพร้อมทาน เช่น ผัดซีอิ๊ว ข้าวผัดกะเพรา ไส้กรอก และเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นกลุ่มอาหารที่มีอายุสั้น แต่มีกำไรที่สูงมาก
    การลดลงของยอดขายสินค้ากลุ่มนี้ย่อมทำให้อัตรากำไรและผลประกอบการของ CPALL ลดลงอย่างมาก
    อย่างไรก็ดีบางบริษัทลงทุนก็ไม่เห็นด้วยโดยมองว่ากำไร 7-11 น่าจะลดลงแต่ไม่น่าจะถึงขั้นขาดทุน

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แมคโดนัลด์ปฏิเสธข่าวลือ ทิ้งเซ็นทรัล
    .
    ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวลือบนสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ว่า แมคโดนัลด์ได้วางแผนปิดสาขาทั้งหมดที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลนั้น บริษัท แมคไทย จำกัด ขอชี้แจงให้ทราบโดยทั่วกันว่า ข่าวลือดังกล่าวไม่เป็นความจริง

    ขอแสดงความนับถือ
    บริษัท แมคไทย จำกัด

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รถไฟความเร็วสูง สิงคโปรมาเลเซียกลับมาแล้ว
    .
    มาเลเซียและสิงคโปร์บรรลุข้อตกลงใหม่ในการสร้างระบบรถไฟความเร็วสูง(RTS)ซึ่งจะเชื่อมชายแดนระหว่างรัฐยะโฮร์ของมาเลเซียและสิงคโปร์และจะต่อเนื่องจนไปถึงกัวลาลัมเปอร์เมืองหลวงของมาเลเซีย
    โดยมีแผนที่จะมีพิธีลงนามข้อตกลงใหม่อีกครั้งในวันที่ 30 กรกฎาคมนี้และจะเริ่มก่อสร้างในมกราคมปี 2564 และจะเปิดใช้ในปี 2569
    มาเลเซียได้ยกเลิกโครงการรถไฟความเร็วสูงระหว่างมาเลเซียและสิงคโปร์ในพฤษภาคมปี 2561 โดยนายกมหาเธร์ผู้นำรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งมองว่าโครงการดังกล่าวนั้นสิ้นเปลืองและต้องการข้อตกลงใหม่และในปีนี้ 2563 ข้อตกลงใหม่ก็ได้เกิดขึ้นโดยเกิดในรัฐบาลใหม่ของพรรคที่นายมหาเธร์เอาชนะและเป็นผู้ริเร่มโครงการรถไฟความเร็วสูง

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200723_152947.jpg

    (Jul 23) จีดีพี Q2 ‘เกาหลีใต้’ หดตัว 3.3% เข้าสู่ ‘ภาวะถดถอย’ ครั้งแรกในรอบ 17 ปี : เศรษฐกิจเกาหลีใต้เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคครั้งแรกในรอบ 17 ปี หลังมูลค่าการส่งออกทรุดฮวบจากผลกระทบของโรคระบาดใหญ่โควิด-19

    ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) แถลงวันนี้ (23 ก.ค.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 (เม.ย.-มิ.ย.) หดตัวลงอีก 3.3% จากเดิมที่หดตัว 1.3% ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2003 ที่เศรษฐกิจหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส และยังเป็นการหดตัวรายไตรมาสที่รุนแรงสุดตั้งแต่ปี 1998

    ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นอีกหนึ่งประเทศในเอเชียที่เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคจากพิษโควิด-19 ตามหลังญี่ปุ่น, ไทย และสิงคโปร์

    มูลค่าการส่งออกของเกาหลีใต้ลดลง 16.6% ซึ่งถือว่าหนักสุดตั้งแต่ปี 1963 ขณะที่การนำเข้าสินค้าก็ลดลง 7.4% แต่การบริโภคภาคเอกชนยังปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.4% โดยได้อานิสงส์จากการจับจ่ายซื้อสินค้าคงทนจำพวกรถยนต์และเครื่องใช้ภายในบ้าน

    พัค ยังซู หัวหน้าฝ่ายสถิติเศรษฐกิจของ BOK แถลงว่า “เศรษฐกิจเกาหลีใต้เริ่มส่งสัญญาณขาลงตั้งแต่เดือน ต.ค. ปี 2017 และการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ก็เป็นปัจจัยเร่งให้เศรษฐกิจยิ่งซบเซาหนัก”

    ฮง นัมกี รัฐมนตรีกระทรวงการคลังเกาหลีใต้ ยอมรับว่า การชัตดาวน์เศรษฐกิจทั่วโลกทำให้บริษัทเกาหลีใต้จำเป็นต้องระงับสายการผลิตในต่างประเทศ เช่น เวียดนามและอินเดีย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดการส่งออก

    BOK คาดการณ์เมื่อเดือน พ.ค. ว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้จะหดตัวราว 0.2% ในปี 2020 จากเดิมที่ประเมินไว้เมื่อเดือน ก.พ. ว่าจะขยายตัว 2.1%

    อย่างไรก็ตาม ลี จูยอล ผู้ว่าการธนาคารกลางเกาหลีใต้ ยอมรับเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าคงจะต้องปรับลดคาดการณ์ลงอีก “อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” เนื่องจากการส่งออกสินค้าและบริการย่ำแย่กว่าที่คาดไว้

    “ตัวเลขการเติบโตตลอดทั้งปีขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็วแค่ไหน” พัค กล่าว “จีนสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เราก็อาจเดินตามรอยพวกเขาได้เหมือนกัน”

    นักเศรษฐศาสตร์มองเห็นสัญญาณที่เกาหลีใต้ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชียจะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 3

    “ผมมั่นใจว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น” โอะห์ ซุกแท นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากธนาคาร Societe Generale ในกรุงโซลระบุ “ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่า เศรษฐกิจจะฟื้นในรูปตัว U หรือตัว V ซึ่งผมมองว่ามันขึ้นอยู่การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่ และเราจะประคองสถานการณ์ไปจนถึงวันนั้นได้หรือไม่”

    Source: ผุ้จัดการออนไลน์
    https://mgronline.com/around/detail/9630000075524

    เพิ่มเติม
    - South Korea enters first recession in 17 years as exports plummet :
    https://asia.nikkei.com/Economy/South-Korea-enters-first-recession-in-17-years-as-exports-plummet
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200723_153223.jpg

    (Jul 23) ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง : รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยกระดับการกดดันโดยออกคำสั่งปิดสถานกงสุลจีนประจำ Houston ซึ่งเป็น 1 ใน 6 ของสถานทูตและสถานกงสุลจีนในสหรัฐฯ ภายใน 3 วัน

    การกระทำครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการนี้กับประเทศจีนหลังจากที่ได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตมา 40 ปี

    the State Department ให้เหตุผลการสั่งปิดในครั้งนี้ว่าเพื่อเป็นการคุ้มครองเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาของชาวอเมริกาและข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกา โดยกล่าวหาว่าจีนได้ทำดำเนินการสืบความลับด้วยวิธีการไม่ถูกกฎหมาย และกระทำการชักจูงต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านรัฐบาลและประชาชนชาวอเมริกา โดยเห็นว่ามีการกระทำเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่หลายปีที่ผ่านมา

    สอดคล้องกับความเห็นของนาย Michael Pompeo (Secretary of State) ที่ระบุว่าจำเป็นต้องปกป้องชาวอเมริกา เนื่องจากจีนไม่ปฏิบัติตามหลักการที่เหมาะสม พฤติกรรมของจีนในการคุกคามทรัพย์สินทางปัญญาทำให้ชาวอเมริกาสูญเสียงานจำนวนมาก

    ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับนาง Morgan Ortagus (โฆษกของ the State Department) ที่กล่าวว่าสหรัฐฯ จะไม่อดทนต่อจีนในการรุกล้ำอำนาจอธิปไตย และการข่มขู่ประชาชนชาวอเมริกา เช่นเดียวกับที่จะไม่ทนต่อการค้าที่ไม่เป็นธรรม การแย่งงานจากชาวสหรัฐฯ และพฤติกรรมที่เลวร้ายอื่น ๆ

    ทั้งนี้ ทางการจีนโดยนาย Wang Wenbin โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งปิดสถานกงสุลดังกล่าวโดยทันที มิเช่นนั้นจีนจะดำเนินการตอบโต้อย่างเด็ดขาด

    Source: BoTSS

    เพิ่มเติม
    - State Department orders China to close consulate in Houston — China vows retaliation: https://www.cnbc.com/2020/07/22/us-orders-china-to-close-consulate-in-houston-texas.html

    - Timeline: The Unraveling Of U.S.-China Relations

    - น้ำมันลง, ทองพุ่ง $12 ผวาข่าวสหรัฐฯสั่งปิดสถานทูตจีน หุ้นอเมริกาบวก
    https://mgronline.com/around/detail/9630000075430

    - สหรัฐ-จีนตึงเครียดทำทองพุ่ง หุ้นบวก น้ำมันลบ : https://www.posttoday.com/finance-stock/stock/629037

    - สหรัฐฯ ให้เวลาจีน 72 ชั่วโมง ปิดสถานกงสุลในนครฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส : https://www.voathai.com/a/us-order-closing-china-consulate-in-texas/5513402.html

    - "ทรัมป์"เล็งปิดสถานกงสุลจีนเพิ่ม ขณะจีนขู่ตอบโต้ปิดกงสุลสหรัฐในอู่ฮั่น
    https://www.ryt9.com/s/iq37/3144283
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200723_153456.jpg

    (Jul 22) สหรัฐสั่งจีนปิดสถานกงสุลที่เมืองฮิวสตัน: รัฐบาลปักกิ่งประณามสหรัฐอย่างหนัก กรณีมีคำสั่งให้จีนปิดสถานกงสุลประจำเมืองฮิวสตัน "ภายในสัปดาห์นี้"

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ว่านายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงเมื่อวันพุธ ว่ารัฐบาลวอชิงตันแจ้งอย่างเป็นทางการมายังรัฐบาลปักกิ่ง เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ว่าจีนต้องปิดสถานกงสุลใหญ่ที่เมืองฮิวสตัน ในรัฐเทกซัส ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง นับตั้งแต่วันที่มีการได้รับเรื่องอย่างเป็นทางการ


    ทั้งนี้ นายหวังไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "เหตุผล" หรือ "ที่มาที่ไป" จนทำให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้น แต่กล่าวว่ารัฐบาลปักกิ่ง "ประณาม" มาตรการดังกล่าวของอีกฝ่าย "อย่างถึงที่สุด" เนื่องจากเป็นการละเมิดกฎหมายด้านการทูตในทุกด้าน และเตือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรัฐบาลวอชิงตันยังยึดมั่นต่อการตัดสินใจดังกล่าวแล้ว รัฐบาลปักกิ่งไม่ลังเลที่จะตอบโต้ "ด้วยความเท่าเทียม"

    ในเวลาเดียวกัน สำนักงานดับเพลิงเมืองฮิวสตันรายงานว่าได้รับแจ้งจากประชาชน เกี่ยวกับกลุ่มควันหนาทึบลอยออกมาจากบริเวณสนามหญ้าภายในสถานกงสุลจีน เบื้องต้นพบว่าเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลกำลังเผา "กระดาษจำนวนมาก" และยังไม่อนุญาตให้หน่วยดับเพลิงเข้าไปภายในพื้นที่ ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงคอยสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก เนื่องจากสถานกงสุลถือเป็น "พื้นที่อธิปไตย" ของประเทศนั้น

    Source: เดลินิวส์ออนไลน์
    https://www.dailynews.co.th/foreign/786174
    ————-

    จีน’ ประณาม ‘สหรัฐ’ สั่งปิดกงสุลใหญ่ในเมืองฮุสตัน: จีน” ฉุนแรง "สหรัฐ" ปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส ชี้ เป็นการยั่วยุทางการเมือง ฉุดความสัมพันธ์ทางการทูตสองประเทศทรุดลงกว่าดิม พร้อมตอบโต้สหรัฐให้สาสม

    นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงในวันพุธว่า สหรัฐได้ออกคำสั่งปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮุสตันในวันนี้ หลังได้รับคำสั่งก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งวัน ให้สถานกงสุลใหญ่ฯ แห่งนี้หยุดปฏิบัติงานทั้งหมด

    “จีนขอเรียกร้องให้สหรัฐ ถอนคำสั่งปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮุนตันโดยทันที หากสหรัฐยังยึดมั่นในคำตัดสิน ทางรัฐบาลปักกิ่งก็จะไม่ลังเลเพื่อตอบโต้การกระทำของสหรัฐอย่างสาสม” นายหวังกล่าว

    อย่างไรก็ตาม นายหวังไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุผลที่มา นำไปสู่สถานการณ์ดังกล่าว แต่ย้ำว่า รัฐบาลปักกิ่งขอประณามมาตรการของสหรัฐอย่างถึงที่สุด เนื่องจากไม่มีความยุติธรรม เป็นการละเมิดกฎหมายด้านการทูต เหมือนกับการก่อวินาศกรรมความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนให้สะบั่นลง

    นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้รับแจ้งจากประชาชนว่า มีกลุ่มควันไฟลอยมาจากภายในรั้วของสถานกงสุลใหญ่ฯ แห่งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เป็นการเผากระดาษเอกสารจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้แต่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ภายนอก เนื่องจากบริเวณภายในรั้วของสถานกงสุลใหญ่ถือเป็นอธิปไตยของจีน

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/890541

    State Department orders China to close consulate in Houston — China vows retaliation
    https://www.cnbc.com/2020/07/22/us-orders-china-to-close-consulate-in-houston-texas.html

    ******
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jul 23) คอลัมน์ แจงสี่เบี้ย: เศรษฐกิจไร้เงินสด : พฤติกรรมผู้บริโภค-โอกาสธุรกิจไทยช่วงโควิด - การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ ผู้บริโภคปรับตัวสู่โลกดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งเป็น ผลพวงของมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ขณะที่ผู้บริโภคบางส่วนเลี่ยงการใช้เงินสดในการจับจ่ายใช้สอยบทความนี้ต้องการชวนผู้อ่าน วิเคราะห์เทรนด์เศรษฐกิจไร้เงินสดของไทย พฤติกรรมการชำระเงิน รวมถึงการมองธุรกิจผ่านข้อมูลการชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ในช่วงโควิด-19
    * ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจลดเงินสด
    งานศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ผ่านมาได้ส่องดูพฤติกรรมการชำระเงินของคนไทย พบว่าแม้คนไทยยังนิยมใช้เงินสด แต่การใช้ e-Payment ก็มีแนวโน้ม เพิ่มมากขึ้นและเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากรูปที่ 1 พบว่าปริมาณการใช้ e-Payment เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า จาก 49 ครั้งต่อคนต่อปีในปี 2559 เป็น 151 ครั้งต่อคนต่อปีในปี 2563 (ข้อมูล เม.ย.2563) สอดคล้องกับพัฒนาการทางเทคโนโลยี ตลอดจนนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะโครงการพร้อมเพย์ในปี 2560 ที่ช่วย ทำให้ต้นทุนการโอน e-Payment ถูกลง
    ขณะเดียวกันก็มีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายเพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานกลางที่สามารถต่อยอดบริการต่างๆ เพิ่มเติมได้ อาทิ การโอนเงินภาครัฐ การโอนเงินรายย่อยและธุรกิจ ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) รวมถึง QR Payment ที่ปัจจุบัน มีจุดบริการกว่า 6 ล้านจุดทั่วประเทศ
    หลายท่านอาจสงสัยว่าการใช้ e-Payment เพิ่มขึ้นส่งผลอย่างไรต่อการใช้เงินสดของ คนไทย ผลสำรวจของ ธปท.พบว่าการใช้ e-Payment ของคนไทยทั่วประเทศ ปี 2560 ยังกระจุกอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานบางสาขาอาชีพ ขณะเดียวกันบทบาทของเงินสดเองก็มีมากกว่าการเป็นสื่อกลางในการชำระเงิน เช่น การเก็บเงินสดไว้สำรองใช้ยามฉุกเฉิน
    * โควิด-19 กระตุ้นให้ผู้บริโภคเลี่ยงการใช้เงินสด
    แม้การใช้ e-Payment ของคนไทยยังจำกัดอยู่ในบางกลุ่ม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าโควิด-19 เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้หันมาใช้ e-Payment มากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกังวลในการสัมผัสเงินสด เทรนด์นี้ได้เกิดขึ้นทั่วโลกสะท้อนจากสถิติการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับ "เงินสดและ โควิด" ซึ่งผู้เขียนจัดทำขึ้นโดยอ้างอิงงานศึกษา ของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) พบว่าการค้นหาเพิ่มสูงขึ้นในเดือน มี.ค.-เม.ย.2563 เพราะเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดสูงสุด และที่น่าสนใจคือสถิติการค้นหาสอดคล้องไปกับสถานการณ์ในแต่ละประเทศ ซึ่งจากรูปที่ 2 พบว่าเกาหลีใต้มีสถิติสูง ครั้งแรกตั้งแต่ปลาย ม.ค.2563 ที่เริ่มมีการแพร่ระบาด และสูงขึ้นอีกครั้งในเดือน พ.ค.2563 ซึ่งมีการระบาดรอบ 2 ขณะที่สิงคโปร์ ไทย และทั่วโลก มีสถิติคำค้นที่เพิ่มขึ้นไล่เรียงกันมาเป็นลำดับตั้งแต่เดือน ก.พ.2563
    นอกจากนั้น งานวิจัยของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ (NIAID) ชี้ว่าไวรัสสามารถดำรงอยู่บนพื้นผิวสัมผัสได้นานหลายชั่วโมง ธนาคารกลางหลายประเทศรวมถึง ธปท.จึงได้กำหนดมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อผ่านธนบัตร โดยกำหนดให้แยกเก็บธนบัตรที่รับกลับมาจากธนาคารพาณิชย์เป็นเวลา 14 วัน ก่อนให้ธนาคารพาณิชย์เบิกออกไปหมุนเวียนสู่ประชาชนอีกครั้ง ซึ่งช่วยให้มีธนบัตรปลอดเชื้อเข้าสู่ระบบ และช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อผ่านการสัมผัสธนบัตรได้ในระดับหนึ่ง
    * โอกาสของธุรกิจไทยในการก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
    การใช้ e-Payment ของคนไทยในช่วงที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นจากระดับปกติ จากธุรกรรมอินเทอร์เน็ตและโมบายแบงกิ้งที่ขยายตัวสูงขึ้นกว่า 72% ขณะที่มีการชำระ เงินผ่านพร้อมเพย์สูงสุดถึง 16.3 ล้านรายการ ต่อวัน (เม.ย.2563) และคาดว่าในระยะข้างหน้าการใช้งานยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นผลจากความคุ้นชินในการใช้ e-Payment ภายใต้บริบทใหม่
    จะเห็นได้จากรูปที่ 3 ว่ามาตรการล็อกดาวน์ ทำให้หลายธุรกิจโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ สะท้อนจากข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับลดลง แต่ธุรกิจบางประเภทยังขยายตัวได้ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต สุขภาพและความงาม การตลาดทางตรง เรายังเห็นธุรกิจดาวรุ่ง ด้านขนส่งสินค้าที่เติบโตเร็วสอดรับไปกับ การใช้จ่ายออนไลน์ ซึ่งมีนัยต่อเศรษฐกิจเพราะมีส่วนช่วยรองรับแรงงานที่ตกงานได้ บางส่วน
    นับว่าเทรนด์เศรษฐกิจดิจิทัลโดยเฉพาะการขายออนไลน์เป็นโอกาสของธุรกิจไทยที่มาแรงและน่าจะยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่องทางเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคได้โดยตรง ประกอบกับสามารถปรับใช้ได้ด้วยต้นทุนต่ำ
    สุดท้ายนี้ การปรับตัวของร้านค้าและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่คุ้นชินกับ e-Payment ตลอดจนนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเร็วขึ้น โดย ธปท.และสถาบันการเงินไทยพร้อมสนับสนุนและพัฒนาระบบชำระเงินให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึง เทคโนโลยีการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคต

    โดย ทศพล ต้องหุ้ย/ ธนพล กองพาลี/อณิยา ฉิมน้อย
    ธนาคารแห่งประเทศไทย

    [บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย]

    FB_IMG_1595495127782.jpg FB_IMG_1595495130374.jpg FB_IMG_1595495132855.jpg

    Source : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/650718
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ญี่ปุ่น-ไทย เปิดทางให้นักธุรกิจเข้าประเทศกันและกันได้
    .
    ญี่ปุ่น 23 ก.ค. - นายโตชิมิมิตสุ โมเตกิ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น เผยญี่ปุ่นและไทยตกลงร่วมกันที่จะเปิดทางให้พลเมืองของแต่ละประเทศที่เข้ามาทำธุรกิจระยะยาว สามารถเดินทางเข้าประเทศของกันและกันได้
    .
    โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องตรวจทดสอบการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และต้องกักตัวอยู่กับบ้านเป็นเวลา 14 วัน
    .
    ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นได้เปิดให้มีการเดินทางเพื่อทำธุรกิจระหว่างญี่ปุ่นกับเวียดนามอีกครั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผ่อนปรนการเดินทางเข้าประเทศ.

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกิดเหตุระเบิด ขบวนรถทหารอเมริกันในอิรัก

    แหล่งข่าวอิรักกล่าวว่า เกิดเหตุระเบิด ขบวนรถทหารสหรัฐในจังหวัด Dhi Qar ทางใต้ของอิรัก สองลูก

    แหล่งข่าวของอิรักรายงานในวันนี้ (วันพุธ) ว่ามีการวางระเบิดสองลูกบนเส้นทางการลาดตระเวรของกองทัพสหรัฐในจังหวัด Dhi Qar ทางตอนใต้ของอิรัก

    ข่าวโลกที่3

    https://www.farsnews.ir/news/13990501001048/انفجار-دو-بمب-در-مسیر-کاروان-آمریکا-در-عراق

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    UBS และ Goldman Sachs ชี้ ไทยมีโอกาสติดรายชื่อประเทศปั่นค่าเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐ : บทวิเคราะห์จาก UBS และ Goldman Sachs ชี้ว่า ไทยมีโอกาสติดรายชื่อประเทศที่ต้องจับตามองว่าแทรกแซงค่าเงิน นอกจากไทยแล้วอาจยังมี สวิตเซอร์แลนด์ และ ไต้หวัน ด้วย

    บทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชื่อดังของโลกอย่าง UBS และ Goldman Sachs ได้ชี้ว่า ไทยนั้นเป็นประเทศที่มีโอกาสติดรายชื่อประเทศที่ต้องจับตามองว่ามีการแทรกแซงค่าเงิน ซึ่งรายชื่อประเทศนั้นจัดทำโดยกระทรวงการคลังสหรัฐ และมีการรายงานเป็นระยะๆ

    ปัจจัยที่จะทำให้ประเทศนั้นๆ มีโอกาสติดอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังเรื่องของการแทรกแซงค่าเงินนั้น ประกอบไปด้วย

    - ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากกว่า 2% ของ GDP หรือไม่
    - ดุลการค้าของประเทศนั้นเกินดุลสหรัฐมากกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ 4 ไตรมาสติดกันหรือไม่
    - มีการซื้อเงินหรือพันธบัตรของสหรัฐ มูลค่าเกินจำนวน 2% ของ GDP ประเทศในช่วง 6-12 เดือนหรือไม่

    ในปี 2018 ที่ผ่านมา ไทยเองติดเงื่อนไข 2 ใน 3 ที่ต้องเฝ้าระวังเรื่องของการแทรกแซงค่าเงิน ซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ยืนยันว่าประเทศไทยไม่ได้มีการแทรกแซงค่าเงินเพื่อที่จะให้ไทยได้เปรียบในการส่งออก

    บทวิเคราะห์ของ UBS ยังชี้ว่าไทยอาจหมดสิทธิ์ในการซื้อดอลลาร์สหรัฐในช่วง 6-9 เดือนข้างหน้า เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่บวกสูง รวมไปถึงประเทศไทยยังซื้อดอลลาร์ไปแล้วคิดเป็น 3.5% ของ GDP ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ในบทวิเคราะห์ยังชี้ว่า 75% ของธนาคารกลางทั่วเอเชียมีการแทรกแซงค่าเงิน

    นอกจากไทยแล้ว Goldman Sachs และ UBS ยังชี้ว่าไต้หวันมีโอกาสที่จะติดรายชื่อแทรกแซงค่าเงินด้วย หลังจากที่ออกจากรายชื่อไปแล้วในปี 2017 ขณะที่ประเทศที่มีโอกาสติดรายชื่อที่ต้องจับตามองได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์

    รายงานก่อนหน้านี้สหรัฐเองได้นำจีนออกจากประเทศแทรกแซงค่าเงิน เพื่อที่จะได้มีการเจรจาการค้าและทำข้อตกลงการค้าฉบับแรกที่ทั้ง 2 มหาอำนาจได้ตกลงกันในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ดีทาง Bloomberg ได้สอบถามเรื่องนี้กับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางผู้ว่าฯ ได้ตอบว่าว่าไม่ได้กังวลในเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะว่าได้แจ้งกระทรวงการคลังของสหรัฐไปแล้ว และสหรัฐเข้าใจในเรื่องนี้ดี นอกจากนี้ค่าเงินบาทของไทยยังมีทิศทางตรงข้ามกับดอลลาร์สหรัฐ และอ่อนค่าในช่วงปีที่ผ่านมา

    ทั้ง 2 สถาบันการเงินคาดว่าจะไม่มีประเทศไหนที่โดนสหรัฐกล่าวหาว่าเป็นประเทศที่แทรกแซงค่าเงินในรายงานที่จะออกมาในเร็วๆ นี้

    โดย Wattanapong Jaiwat

    Source: Brandinside.asia
    https://brandinside.asia/ubs-and-gs...ial-list-of-manipulate-currency-22-july-2020/

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ธนาคารกลางยุโรปมีแผนจะขอให้ธนาคารต่างๆ ในยุโรปงดจ่ายปันผลต่อไปจนถึงสิ้นปี 2020 จากเดิมที่เคยจนถึงเดือน ต.ค. ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งพยายามเจรจาเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับยินยอมให้จ่ายเงินผลได้

    ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแผนจะขอให้ธนาคารต่างๆ ในยุโรปงดจ่ายปันผลต่อไปจนถึงสิ้นปี 2020 จากเดิมที่เคยขอความร่วมมือให้ธนาคารงดจ่ายปันผลจนถึงเดือน ต.ค. ที่จะถึงนี้ เป็นอย่างน้อย โดยคณะกรรมการด้านการกำกับดูแลหลายท่าน ยังมีความกังวลต่อพัฒนาการของเศรษฐกิจและต้องการเห็นความชัดเจนต่างๆ มากกว่านี้ ดังนั้น จึงเห็นควรให้ธนาคารต่างๆ กันเงินสำรองส่วนทุนไว้ก่อนที่จะจ่ายคืนแก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งแผนดังกล่าวมีขึ้นเพื่อร่วมมือกันเตรียมเงินทุนสำหรับเตรียมรองรับการปล่อยสินเชื่อให้แก่กลุ่มบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 หลังจากหน่วยงานกำกับได้ทำการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ และภาครัฐได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือออกมาหลายรูปแบบ

    คาดการณ์กันว่า ECB จะประกาศแผนการดังกล่าวภายใน 2-3 วัน ข้างหน้า ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารตาม Euro Stoxx Banks Index ปรับลดลงร้อยละ 1.3 ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่ง อาทิ BNP Paribas ซึ่งราคาหุ้นปรับลดลงร้อยละ 1.6 ได้พยายามเจรจาเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับยินยอมให้จ่ายเงินผลได้ โดยคาดหวังว่าคำยินยอมดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนให้ราคาหุ้นของธนาคารปรับตัวดีขึ้น ซึ่งช่วงที่ผ่านมา การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ทางบัญชีและเงินกองทุน รวมถึงการเข้าค้ำประกันเงินให้สินเชื่อเป็นจำนวนมากโดยรัฐบาลได้ช่วยพยุงราคาหุ้นของธนาคารหลายแห่ง ขณะที่ UBS Group AG ธนาคารของสวิตเซอร์แลนด์ ได้ประกาศเมื่อวันอังคารว่า ธนาคารอาจจะกลับมาจ่ายปันผลอีกครั้งในช่วงสิ้นปีนี้

    อย่างไรก็ตาม หน่วยงานกำกับของแต่ละประเทศสมาชิกอาจเลือกอนุญาตให้ธนาคารขนาดเล็กที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ECB โดยตรง สามารถจ่ายคืนเงินทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ ซึ่งอาจจะเป็นไปในรูปแบบของการคืนหุ้นมากกว่าการเงินสด โดย นาย Andrea Enria ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลของ ECB ได้สนับสนุนให้ธนาคารกลับมาจ่ายปันผลเช่นกัน แต่จะยินยอมให้สามารถดำเนินการได้เมื่อเศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ECB ประเมินว่าการงดจ่ายปันผลในช่วงที่ผ่านมาสามารถช่วยกันเงินทุนของภาคธนาคารในระบบการเงินยุโรปได้ประมาณ 30 พันล้านยูโร เพื่อเตรียมรองรับสำหรับหนี้สูญและช่วยสนับสนุนให้สามารถปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัทที่ขาดสภาพคล่องได้

    Source: BoTSS

    เพิ่มเติม
    - ECB to extend capital relief, dividend ban for banks: sources: https://www.reuters.com/article/us-...-dividend-ban-for-banks-sources-idUSKCN24N1U5

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200723_162223.jpg

    (Jul 22) Covid-19 กับปัญหาหนี้สาธารณะของไทย : วิกฤติ Covid-19 ได้สร้างปัญหาการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก และเรายังไม่รู้ว่าปัญหานี้จะอยู่กับเราอีกนานแค่ไหน เมื่อกระแสเงินสดหยุดชะงัก

    ความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ของทั้งธุรกิจและภาคครัวเรือนก็เริ่มปัญหา ไม่เพียงแต่ภาคเอกชนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ภาครัฐในประเทศต่างๆ ก็ต้องใช้จ่ายเพื่อเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุข เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลในหลายประเทศต้องกู้เงินมหาศาลเพื่อชดเชยการขาดดุลที่เพิ่มขึ้น

    IMF ประมาณการไว้ว่าทั้งโลกมีการอัดฉีดด้านการคลังเพื่อรับมือกับวิกฤติรอบนี้ไปแล้วกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 6% ของ GDP ทั้งโลก (และอาจจะสูงขึ้นได้อีกในอนาคต) และระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ในปีนี้ของทั้งโลกอาจจะขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์และสูงกว่าระดับหนี้หลังสงครามโลกครั้งที่สองเสียอีก

    ระดับหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นจะกลายเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย

    ถ้าเราดูระดับหนี้สาธารณะเมื่อสิ้นปีที่แล้วก่อนเกิดปัญหา Covid-19 ระดับหนี้สาธารณะรวมอยู่ที่ 6.9 ล้านล้านบาท หรือ 41.9% ของ GDP ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

    ตัวเลขล่าสุด ณ สิ้นเดือนพ.ค. ระดับหนี้สาธารณะขึ้นไปอยู่ที่ 7.3 ล้านล้านบาท หรือ ประมาณ 44.1% ของ GDP แต่นั่นคือเราใช้ตัวเลข GDP เก่า ถ้าเราเชื่อว่า GDP ปีนี้อาจจะหดตัวจากปีก่อน 9% สัดส่วนหนี้สาธารณะปัจจุบัน จะขึ้นไปอยู่ที่ 48% ของ GDP แล้ว และหนี้สาธารณะกำลังจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างรวดเร็วทั้งจากการขาดดุลที่วางแผนไว้ตามงบประมาณ หนี้ที่จะเพิ่มขึ้นจาก พรบ. กู้เงิน หนึ่งล้านล้านบาท การขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติมจากรายได้ภาษีที่ต่ำกว่าประมาณการ ทั้งจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการเลื่อนหรือลดภาษีให้กับประชาชน จากข้อมูลกรมสรรพากร แค่เก้าเดือนแรกของปีงบประมาณ กรมสรรพากรมีรายได้ต่ำกว่าประมาณการไปแล้วกว่าสองแสนล้านบาท (เกือบ 10% ของรายได้รัฐบาลรวม) และคาดว่ากรมจัดเก็บอื่นๆ ก็คงมีรายได้ต่ำกว่าเป้าเช่นกัน

    ด้วยการขาดดุลงบประมาณที่เราวางแผนไว้ในปีงบประมาณหน้า คาดว่าหนี้สาธารณะภายในปีหน้าอาจจะขึ้นไปแตะเกือบๆ 60% ของ GDP หรือเกินกว่านี้ได้ ถ้าเรามีการขาดดุลมากกว่าที่คาดไว้ หรือถ้า GDP โตช้ากว่าที่คาด

    ประเทศไทยตั้งกรอบหนี้สาธารณะไว้ไม่ให้เกิน 60% ของ GDP แต่หากมองจากกรอบความยั่งยืนทางการคลัง สิ่งที่น่าจะสนใจ อาจจะไม่ใช่แค่ระดับหนี้เท่านั้น แต่มีอีกสามประเด็นสำคัญ คือ

    หนึ่ง การสร้างหนี้เป็นการสร้างหนี้ที่ดี ที่ทำไปเพื่อประโยชน์ของเศรษฐกิจประเทศหรือไม่

    สอง ภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายบนหนี้เป็นภาระต่อเงินงบประมาณจนไม่สามารถนำเงินไปใช้ในสิ่งจำเป็นเพื่อพัฒนาประเทศหรือไม่

    สาม คือ ประเทศจะรักษาระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่ให้เพิ่มขึ้นแบบไม่หยุดได้หรือไม่

    ทั้งสามประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญแค่สามอย่าง คือ

    หนึ่ง อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต ถ้าการสร้างหนี้ทำไปในสิ่งจำเป็น ทำให้เศรษฐกิจโตได้ หรือกันไม่ให้เศรษฐกิจตกต่ำ ก็ถือเป็นการสร้างหนี้ที่ดี

    สอง อัตราดอกเบี้ย ด้วยดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าในอดีตค่อนข้างมาก ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงไปมาก และจะทำให้ยอดหนี้เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง

    สาม คือ ดุลงบประมาณขั้นต้น (ดุลงบประมาณที่ไม่รวมดอกเบี้ยจ่าย) ในอนาคต ถ้าเราทำงบประมาณขาดดุล และกู้เงินมาใช้ในวันนี้ เราต้องมีวินัย โดยการทำงบประมาณขาดดุลน้อยลงหรือเกินดุล โดยการลดรายจ่ายหรือขึ้นภาษีในอนาคต เพื่อ “จ่ายคืนหนี้”

    ถ้าดูแบบนี้ ถ้ามีความจำเป็นจริง ๆ เพื่อเยียวยา ลดผลกระทบ และกระตุ้นเศรษฐกิจ เราก็ยังพอมีช่องว่างพอจะกู้เพิ่มได้ (โดยอาจจะต้องปรับกรอบหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น) แต่เราต้องมีวินัยด้านการคลังมากขึ้น และเราจะมีกระสุนเหลือน้อยลงหากสถานการณ์ข้างหน้าเลวร้ายกว่าที่คาด และนี่ยังไม่รวมภาระทางการคลังในอนาคต เช่น ปัญหาจากโครงสร้างประชากร และภาระที่สร้างไว้แล้วอื่น ๆ อีก

    เมื่อเงินมีจำกัด ก่อนที่เราจะไปกู้เงินมาใช้ สิ่งที่เราควรทำในวันนี้ จึงควรเป็นการจัดลำดับความสำคัญของการใช้เงินตามเป้าหมายของนโยบายและทิศทางของประเทศที่อาจเปลี่ยนไป การจัดงบประมาณแบบเดิมๆ การใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ไม่ช่วยสร้างงาน ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ (เช่น การอบรมสัมมนาดูงานต่างประเทศ การซื้ออาวุธ ซื้อพาหนะที่มีความจำเป็นน้อย) ควรได้รับการทบทวน และลำดับความสำคัญแบบจริงๆ จังๆ และลดการรั่วไหลของเงินงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินลงไปตามเป้าหมายได้มากที่สุด

    ...ผู้เสียภาษีทุกคนควรช่วยกันถามนะครับว่า วันนี้เราทำครบแล้วหรือยัง?

    โดย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย
    หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์
    กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/blog...dium=internal_referral&utm_campaign=columnist
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200723_162517.jpg

    (Jul 22) ดอกเบี้ยแท้จริง (Real Yield) คืออะไร? ทำไมนักลงทุนหุ้น และทอง ต้องรู้! ทำความเข้าใจ "ดอกเบี้ยแท้จริง" (Real Yield) คืออะไร? และมีความสำคัญอย่างไรนักลงทุนควรหันมาให้น้ำหนักกับ Real Yield และตัว Breakeven Inflation ให้มากขึ้นในการวิเคราะห์ทิศทางของดัชนีราคาหุ้น และราคาทองคำ?

    ปี 2563 เป็นปีที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานแบบเดิมๆ ใช้การไม่ค่อยได้ ดัชนีราคาหุ้นไม่ได้ปรับขึ้นตามการเติบโตของกำไร แต่กลับสวนทางกันด้วยซ้ำ เช่นในกรณีของสหรัฐฯ ที่กำไรถูกลดประมาณการลงแต่ดัชนีราคาหุ้นกลับปรับตัวขึ้นได้ เช่นกันกับการวิเคราะห์ด้วย Valuation ที่ใช้การไม่ได้เช่นกัน เมื่อเราได้พบกับปีที่ Valuation แพงปัจจัยพื้นฐานไม่ดีแต่ดัชนีราคาหุ้นกลับขึ้นเรื่อยๆ และอัตราส่วน P/E Ratio ของตลาดก็ปรับสูงขึ้นเรื่อยๆ

    ในภาวะที่ตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยปริมาณเงินที่ไหลเข้าระบบแบบนี้มี Indicators ที่ใช้การได้ดีมากๆ ทั้งในการดูราคาหุ้นและทองนั่นคือการดูผ่าน “อัตราดอกเบี้ยแท้จริง (Real Yield)” และ “อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectation)” โดยอัตราดอกเบี้ยแท้จริง (Real Yield) นั้นมีสูตรคือ

    อัตราดอกเบี้ยแท้จริง (Real Yield) = อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Nominal Bond Yield) – Breakeven Inflation

    Real Yield นั้นสะท้อนถึงอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงที่นักลงทุนได้รับจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเมื่อหักด้วยอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นถ้า Real Yield ปรับลดลงจะทำให้ความน่าสนใจของพันธบัตรรัฐบาลลดลงนั่นเอง และจะเป็นตัวกระตุ้นให้เม็ดเงินไหลออกจากพันธบัตรไปลงทุนในสินทรัพย์ชนิดอื่น

    สิ่งที่ธนาคารกลางหลายแห่งกำลังทำในวันนี้ก็คือการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบทำให้ความคาดหวังเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ก็ใช้มาตรการ QE กดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไว้ให้ต่ำๆ ส่งผลให้ Real Yield ปรับตัวลดลง เมื่อเป็นเช่นนั้นนักลงทุนก็จะย้ายเงินจากพันธบัตรรัฐบาลไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นอย่างหุ้นหรือทองคำ

    แต่แทนที่การแห่ขายพันธบัตรรัฐบาลจะทำให้ Nominal Bond Yield ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามหลักทั่วไป FED ก็ทำการอัดฉีดเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาลต่อเนื่องเพื่อกด Bond Yield ให้คงอยู่ในระดับต่ำต่อไปเป็นกลไกของ QE ที่ทำให้ Real Yield ปรับตัวลดลงนั่นเอง ซึ่งในภาวะที่ธนาคารเปลี่ยนมาเป็นเจ้าภาพของตลาดทุนแบบนี้ นักลงทุนควรหันมาให้น้ำหนักกับ Real Yield และตัว Breakeven Inflation ให้มากขึ้นในการวิเคราะห์ทิศทางของดัชนีราคาหุ้น และราคาทองคำ

    เมื่อเราดูเหตุการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมาเราจะพบว่าในช่วงเดือนมี.ค.2563 ที่ตลาด Panic จากวิกฤติ COVID-19 ระดับ Real Yield ได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงภายในระยะเวลาสั้นๆ ขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อปรับลดลงรุนแรงซึ่งเป็นสภาวะที่สะท้อนการขาดสภาพคล่องในระบบการเงินอย่างหนักและดัชนีหุ้น S&P500 ดิ่งลงอย่างหนัก
    ขณะที่เมื่อ FED ตัดสินใจทำ QE และต่อเนื่องมาด้วย Unlimited QE นั้นก็ทำให้ Real Yield ปรับลดลงอย่างรุนแรงนับตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค. 2563 จนติดลบ ซึ่งส่งผลให้เม็ดเงิน QE ไหลไปสู่สินทรัพย์ต่างๆ โดยดูได้จากตลาดหุ้น S&P500 ที่ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.2563 แม้ปัจจัยพื้นฐานทั้งเศรษฐกิจ และบริษัทจดทะเบียนจะย่ำแย่

    ขณะที่เมื่อเราดูความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับ Real Yield ก็จะพบความสัมพันธ์ที่ชัดเจนมากๆ ในช่วงปีนี้ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อ Real Yield ปรับตัวลดลงจาก -0.40% มาที่ -0.6% ราคาทองคำก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุระดับ 1,700 ไปที่ระดับ 1,800 หลังจากแกว่งตัวไม่ไปไหนที่ประมาณ 1,700 อยู่เกือบ 3 เดือน ซึ่งอธิบายในเชิงทฤษฎีก็ไม่ต่างจากกรณีของหุ้นคือ เมื่อ Real Yield ปรับตัวติดลบมากขึ้นทำให้นักลงทุนขนย้ายเงินออกจากพันธบัตรไปที่สินทรัพย์ลงทุนชนิดอื่นๆ รวมถึงทองคำด้วยนั่นเอง

    ในภาวะปกติกระแสเงินจะไหลไปมาระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น กับสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างทองคำ และตราสารหนี้ ถ้าเข้าสู่วัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้นเม็ดเงินก็จะไหลจากตราสารหนี้ไปหาหุ้น เมื่อเข้าสู่วัฏจักรเศรษฐกิจขาลงเม็ดเงินก็จะไหลจากหุ้นไปเข้าตราสารหนี้ และในภาวะวิกฤติเม็ดเงินก็จะไหลออกจากหุ้นไปสู่สินทรัพย์ตระกูล Safe Haven อย่างทองคำ

    แต่ในภาวะที่ธนาคารกลางมีอาวุธพิเศษที่สามารถเป่าลูกโป่งเพิ่มกระแสเงินเข้าไปในระบบการเงินโลกได้นั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลทำให้ตราสารหนี้ราคาปรับเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปในระบบทำให้ความคาดหวังเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และ Real Yield ปรับตัวลดลง ซึ่งทำให้สินทรัพย์ชนิดอื่นๆ อย่างทองคำ และหุ้นปรับตัวขึ้นไปด้วยพร้อมๆ กัน ในช่วงที่ผ่านมาเราจึงพบว่าสินทรัพย์หลักทั้งหุ้น พันธบัตร และทองคำเคลื่อนที่ไปในทางเดียวกัน ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้การใช้ Real Yield จะช่วยได้มากในการวิเคราะห์การลงทุน

    ถ้า Real Yield ปรับลดลงต่อเรื่อยๆ เป็นการสะท้อนมุมมองของ FED ที่ชัดว่าต้องการให้เม็ดเงิน QE ไหลออกจากพันธบัตรไปที่สินทรัพย์ต่างๆ และภาคเศรษฐกิจจริง ส่วนถ้า Real Yield เริ่มเปลี่ยนทิศทางกลับเป็นขาขึ้นเมื่อไหร่ก็จะเป็นการสะท้อนว่าเม็ดเงิน QE เริ่มจะลดลง และนักลงทุนก็ควรที่จะลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงให้ทันการครับ

    โดย เจษฎา สุขทิศ | คอลัมน์ THE KEY INDICATORS

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news...medium=internal_referral&utm_campaign=finance
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1595496442090.jpg

    (Jul 22) ‘9แบงก์’ตั้งสำรองเพิ่ม101% หวังยกการ์ดสูง รองรับแนวโน้ม'หนี้เสีย'ส่อพุ่ง : “9 แบงก์พาณิชย์” เผยกำไรไตรมาส 2 ดิ่งหนัก 35% ผลจากการตั้งสำรองที่เพิ่มกว่า 101% หวังรองรับแนวโน้มหนี้เสียที่ส่อพุ่งแรง โดย “เคแบงก์” ตั้งสำรองมากสุดกว่า 2 หมื่นล้าน ขณะ “กรุงไทย” กันสำรอง 1.47 หมื่นล้าน ด้าน “เอสซีบี” ตั้งเพิ่มเกือบ 80%

    ธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง รายงานกำไรสุทธิลดลงค่อนข้างมาก โดยมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 27,142 หมื่นล้านบาท ลดลง 30.78 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่มีกำไรสุทธิ 39,214 ล้านบาท และลดลง 34.77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุเพราะได้ตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญไว้ค่อนข้างมาก

    สำหรับทั้ง 9 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย(KBANK),ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ธนาคารกรุงไทย(KTB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) ธนาคารทหารไทย(TMB) บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป(TISCO) ธนาคารเกียรตินาคิน(KKP) ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย(CIMBT) และบมจ. แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG)
    โดย KBANK เป็นธนาคารที่มีกำไรสุทธิลดลงมากสุด โดยลดลง 70% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและลดลง 78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ถัดมาคือ CIMBT ที่กำไรลดลงมาอยู่ที่ 306 ล้านบาท ลดลง 71% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 52% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

    สาเหตุหลักที่กำไรของธนาคารพาณิชย์ลดลงค่อนข้างมาก หลักๆ มาจาก การตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ตามมาตรฐานบัญชีใหม่(IFRS9) ที่ฉุดทุกธนาคารให้มีกำไรลดลง โดยหากดูการตั้งสำรองของทั้ง 9 ธนาคารในไตรมาสนี้ พบว่า โดยรวมอยู่ที่ 60,726 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.5 % จาก 42,315 หมื่นล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 101% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีสำรองอยู่ที่ 30,201 ล้านบาท

    โดยแบงก์ที่ตั้งสำรองมากที่สุดในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่เป็นแบงก์ใหญ่ อันดับแรกคือ KBANK สำรองถึง 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นถึง 167% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

    ถัดมาคือ KTB ที่มีการตั้งสำรองถึง 1.47 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 164% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และ SCB ที่มีการตั้งสำรองสูงถึง 9.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 80% จากไตรมาสก่อนหน้า และ เพิ่มขึ้น 64% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และBAYมีการสำรองอยู่ที่ 7,845ล้านบาท เพิ่ม17% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

    ส่วนภาพรวมหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล โดยรวมอยู่ที่ 3.6 แสนล้านบาท ลดลง 0.07% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 18.79% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยแบงก์ที่มีหนี้ด้อยคุณภาพมากที่สุด คือ KTB 115,037ล้านบาท รองลงมาคือ KBANKที่ 94,441ล้านบาท และ SCB 79,596 ล้านบาท

    นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เริ่มส่งผลกระทบต่อรายได้และแนวโน้มกำไรของธนาคารในไตรมาสนี้ ส่งผลให้กำไรสุทธิไตรมาสนี้ ลดลงมาอยู่ที่ 8,360 ล้านบาท ลดลง ลดลง 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากการตั้งเงินสำรองที่เพิ่มขึ้น 79% ทั้งนี้คาดว่าผลกระทบจากโควิด-19 จะเริ่มส่งผลกระทบชัดเจน ต่อธนาคารในช่วงครึ่งปีหลังนี้ แต่จากการมีเงินกองทุนที่สูง สำรองหนี้สูง จะช่วยให้ธนาคารรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้

    ด้าน นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กำไรสุทธิไตรมาส 2 ของธนาคารอยู่ที่ 3,829 ล้านบาท ลดลง 53% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หลังธนาคารมีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตอยู่ที่ 14,710 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ส่งผลให้ครึ่งปีแรก การตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตมาอยู่ที่ 23,235 ล้านบาท

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news...homepage_hilight&utm_medium=internal_referral
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200723_163016.jpg

    (Jul 22) ธปท.จ่อออกไกด์ไลน์ KYC จดจำใบหน้าเปิดบัญชีกลุ่ม e-Money : ธปท.จ่อออกแนวนโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ขั้นต้นกับผู้ประกอบการอี-เพย์เมนต์ เน้นเรื่องดูแลลูกค้า-ความเสี่ยงระบบภายใน หลังจากออกไกด์ไลน์ห้ามมือถือเวอร์ชั่นเก่า-เจลเบรกทำธุรกรรมการเงินโมบายแบงกิ้ง พร้อมอยู่ระหว่างออกแนวนโยบาย KYC ผ่านเทคโนโลยีจดจำใบหน้ากลุ่ม e-Money หลังแบงก์-น็อนแบงก์ทดสอบ Biometrics อยู่ 9 ราย ให้บริการวงกว้างแล้ว 5 ราย

    นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภายในเร็วๆ นี้ ธปท.จะออกแนวนโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ขั้นต้นที่จำเป็น (Cyber Hygiene) สำหรับผู้ให้บริการ e-Payment ใช้เทคโนโลยีและระบบสาระสนเทศเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อยกระดับความปลอดภัยและลดความเสี่ยงที่จะมีผลต่อลูกค้าผู้ใช้บริการ e-Payment และต่อระบบการชำระเงินจึงควรมีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เข้มงวด รัดกุม ต่อการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ ภายหลังจาก ธปท.ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อแนวทางการกำกับดูแลเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างรวบรวมความคิดเห็นเพื่อออกแนวเกณฑ์ปฏิบัติ

    “แนวปฏิบัติขั้นต้นที่จะใช้เป็นแนวทาง จะมีทั้งผู้ใช้บริการภาคธนาคาร และผู้ใช้บริการด้านเพย์เมนต์ โดยเราจะเน้นเรื่องการดูแลลูกค้า และเรื่องระบบ ซึ่งที่ผ่านมาเราได้ออกเกณฑ์ไกด์ไลน์เรื่องของการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นเก่า และผ่านการดัดแปลงเครื่อง หรือเจลเบรกเข้าถึงธุรกรรมโมบายแบงกิ้ง ส่วนเรื่องของระบบภายในเช่น ความเสี่ยงของระบบต่างๆ ภายในของผู้ให้บริการเพย์เมนต์ ตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างหารือกับผู้ประกอบ คาดว่าประมาณไตรมาสที่ 3 น่าจะออกมาเป็นไกด์ไลน์ให้ปฏิบัติได้”

    นอกจากนี้ ภายหลังจาก ธปท.เปิดทดสอบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลข้ามธนาคาร บนแพลตฟอร์ม NDID (National Digital ID) เพื่อเปิดบัญชีเงินฝากภายใต้ศูนย์ทดสอบนวัตกรรมทางการเงิน (Regulatory Sandbox) ผ่านหลักเกณฑ์การรู้จักลูกค้า (Know You Customer : KYC) ด้วยเทคโนโลยีชีวมิติ (Biometrics) ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารพาณิชย์จำนวน 5 ราย ได้ออกจากแซนด์บ็อกซ์ และให้บริการเป็นวงกว้าง โดยยังมีธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non Bank) ทดสอบในแซนด์บ็อกซ์อีกจำนวน 9 รายด้วยกัน

    อย่างไรก็ดี ภายในเร็วๆ นี้ ธปท.จะออกแนวนโยบายการเปิดใช้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ในส่วนของการพิสูจน์ตัวตนลูกค้าผ่านเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า หรือ Facial Recognition ในส่วนของผู้ประกอบธุรกิจ e-Money ภายหลังจากมีการเปิดให้แสดงความคิดเห็น (เฮียริ่ง) จากผู้ประกอบการเมื่อปลายปีที่ผ่านมา สำหรับแนวปฏิบัติจะมีด้วยกันหลายด้าน เช่น การปฏิบัติตามกฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ความปลอดภัยในการเก็บและรักษาข้อมูลลูกค้า และการบริหารความเสี่ยงทางด้านไซเบอร์ เป็นต้น

    ทั้งนี้ การออกแนวนโยบายเพิ่มเติมดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องและเป็นมาตรฐานเดียวกับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งได้ดำเนินการภายใต้แผนนโยบายการดูแลความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ IT Management Risk ไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยหลักการจะครอบคลุม 6 มิติ อาทิ นโยบายการใช้ชีวมิติ,การรวบรวมข้อมูลชีวมิติ,การประมวลผลข้อมูล, การรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชีวมิติของลูกค้าของผู้ใช้บริการหรือการคุ้มครองผู้ใช้บริการและการควบคุมความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ

    “แบงก์ได้เข้ามาทดสอบเกือบทั้งหมดแล้ว แต่จะเห็นว่าใช้เวลานาน เนื่องจากการใช้เทคโนโลยี Biometrics เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงต้องมีความระมัดระวังค่อนข้างสูง เราจึงต้องการให้มีการทดสอบและปฏิบัติจริงในหลายด้านไม่ว่าความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ และการจัดเก็บข้อมูล ส่วนเทคโนโลยี Facial Recognition เป็นเทคโนโลยีที่ราคาไม่แพง และมีมือถือก็สามารถทำได้เลย ซึ่งต้นทุนถูกกว่าเมื่อเทียบกับการสแกนม่านตาที่เครื่องมือมีราคาแพง ส่วนแนวปฏิบัติเป็นการเปิดรับฟังความเห็นผู้ให้บริการในประเทศ รวมถึงผลจากการทดสอบ ขณะเดียวกันได้ศึกษามาตรฐานของโลกแต่ละประเทศ เพื่อให้เหมาะสำหรับประเทศไทยในการรองรับผู้ประกอบการที่ออกจากการทดสอบของ ธปท.ไปแล้วและจะเป็นไกด์ไลน์สำหรับผู้ที่จะใช้ Facial Recognition ในระยะต่อไปด้วย”

    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
    https://www.prachachat.net/finance/news-495030
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐ : นิวยอร์ก
    พายุสายฟ้า เทพีสันติภาพ

    Cr : Mikey Cee

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัสเซีย : Nadia Zhukova นางพยาบาลฝึกหัด
    วัย 23 สวมชุดบิกินี ในชุด PPE ใส
    # ตอนนี้เธอมีงานเป็นผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศเพิ่ม ในทีวีท้องถิ่นแคว้นตูลา แต่เธอยังเป็นพยาบาลอยู่ และเธอยังเรียนเพิ่มเพื่อต้องการเป็นหมอตามความฝัน
    Cr : ภาพdailymail

     

แชร์หน้านี้

Loading...