ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อเมริกา คว่ำบาตร รามซาน คาดีรอฟ แห่งเชเชน อ้างละเมิดสิทธิมนุษยชน

    สหรัฐอเมริกาได้ขึ้นบัญชีดำประธานาธิบดีเชเชนและสั่งห้ามไม่เดินทางเข้าอเมริกา

    ในแถลงการณ์ของ นาย Mike Pompeo รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯอ้างว่าวอชิงตันได้ขึ้นบัญชีดำ รามซาน คาดีรอฟ ข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน

    คำแถลงดังกล่าวโดยไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมและไม่มีการกล่าวถึงหลักฐานในเรื่องนี้ว่า เรากำหนดเป้าหมายคว่ำบาตร รามซาน คาดีรอฟ เนื่องจากเขามีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสาธารณรัฐเชเชน

    ข่าวโลกที่3

    https://www.mehrnews.com/news/4979016/آمریکا-رمضان-قدیروف-را-تحریم-کرد

    https://www.irna.ir/news/83863591/آمریکا-رییس-جمهوری-چچن-را-تحریم-کرد

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจ้าหน้าที่สหรัฐ กังวลเกี่ยวกับความสามารถทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นของอิหร่าน

    หัวหน้าหน่วยบัญชาการความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐ แสดงความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นของอิหร่าน

    นาย พาเวล หัวหน้าหน่วยบัญชาการความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ว่า (20 ก.ค.) แสดงความกังวลเกี่ยวกับอำนาจและศักยภาพทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นของศัตรูของสหรัฐรวมถึงอิหร่าน

    เขาได้เอ่ย ชื่อรัสเซีย, จีน, เกาหลีเหนือและอิหร่าน ว่า "เราได้เห็นแล้วว่าโปรแกรม [ไซเบอร์] ของประเทศศัตรูเหล่านี้ได้พัฒนาขึ้น "ในขณะเดียวกันเรากำลังเป็นพยานในการเพิ่มขีดความสามารถของพวกเขา"

    ในยังกล่าวต่อไปอีกว่า
    “เป้าหมายแรกของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกาและหน่วยบัญชาการโลกไซเบอร์คือการรักษาความปลอดภัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีพฤศจิกายน 2020”

    ข่าวโลกที่3

    https://www.farsnews.ir/news/13990430001117/نگرانی-مقام-آمریکایی-از-افزایش-توانمندی-سایبری-ایران

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เยอรมัน!!!!

    " จะประสบความสำเร็จหลังจากการระบาด? "

    วันนี้พ่อบ้านได้อ่านบทความที่น่าสนใจจาก The New York Times ที่เขียนถึงประเทศที่จะประสบความสำเร็จหลังจากการแพร่ระบาด แล้วเค้าระบุชัดเจนว่า

    "ไม่ใช่ USA ไม่ใช่จีน หากแต่เป็นเยอรมัน"

    อืม ไม่รู้ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ เรามาถกกันครับ

    ลองนึกว่าเยอรมันคือหนึ่งในประเทศที่มีการจัดการในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งไม่ได้จัดการได้ในเพียงแค่ในเรื่องของการจัดการไวรัสเท่านั้น เพราะจากผลงานที่ผ่านมาจะพบว่าเยอรมันประสบความสำเร็จในระดับที่ดี ในเรื่องของการหยุดการแพร่ระบาด จนทำให้ความนิยมของผู้นำประเทศนั้นกลับมาพุ่งสูงขึ้นมาก หลังจากที่ความนิยมตกต่ำลงจากหลายๆ ปัจจัยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

    แต่การจัดการในประเด็นของ "เศรษฐกิจ" ของเยอรมันนั้นถือว่าจัดการได้ดีจนน่าตกใจเพราะถึงแม้จะมีช่วงของการระบาดอย่างหนัก เยอรมันยัง

    - รักษาอัตราการตกงานได้โดยไม่เกิน 6 %

    - เป็นประเทศที่มีหนี้สินโดยรวมที่ถือว่าน้อยมาก ซึ่งในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น USA และจีน นั้นมีหนี้สินเพิ่มขึ้นมากจนเรียกได้มากจนเกินไป จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่ามีความผิดพลาดในการจัดการ

    - ยังรักษาและสนับสนุนภาคการส่งออก และอุตสาหกรรมในประเทศ ได้เป็นอย่างดี

    - สามารถปกป้องและยังเติบโตมากขึ้นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่กำลังแข่งขันอย่างสูงมากจากประเทศอื่นๆ

    ซึ่งในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกนั้นกำลังประสบปัญหาการตกงาน หรือไม่สามารถหางานทำได้ แต่เยอรมันกับงัดนโยบาย "Kurzarbeit" หรือการที่ให้นายจ้างที่อาจจะประสบปัญหา ลดเวลาการทำงานของพนักงานลง และรัฐบาลจะช่วยอุดหนุนในส่วนดังกล่าว จนทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างต่อเนื่อง และพนักงานก็ไม่ตกงานแถมยังได้เงินเดือนอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าจะไม่ได้เต็มจำนวนก็ตาม

    "แต่ก็ดีกว่าตกงาน"

    และถึงแม้ว่าจะสนับสนุนเงินเป็นจำนวนมากมหาศาล ให้กับพนักงาน เยอรมนีก็ยังมีแผนช่วยเหลือฉุกเฉินอื่นๆ อีกมากเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจและประชาชน ไม่ว่าจะเป็น

    - การลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 19% เหลือ 16% และในบางกลุ่มสินค้าคือจาก 7% เป็น 5% เพื่อช่วยลดภาระของประชาชน

    - การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมากๆ และเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นแก่ภาคธุรกิจ

    - การสนับสนุนในรูปแบบอัดฉีดเงินสดแบบให้เปล่าแก่กิจการที่ได้รับผลกระทบ

    และอื่นๆ อีกมาก จนทำให้มูลค่าของ Package การช่วยเหลือของเยอรมันนั้นมีมูลค่า

    "สูงกว่าถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับ Package ของ USA"

    และยังไม่พอโดยเยอรมันยังทำการเสนอช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้าน หลายๆ ประเทศที่ประสบปัญหาในยุโรป และเป็นที่น่าประหลาดใจมากทั้งๆ ที่มีมาตรการของการช่วยเหลือมากขนาดนี้ แต่ยัง

    "มีหนี้ที่น้อยมาก"

    ซึ่งคำตอบในส่วนนี้เกิดจากการที่เยอรมันนั้นดำเนินรูปแบบนโยบายที่เกินดุลมาโดยตลอด และติดอันดับประเทศที่มีงบประมาณเกินดุลเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอย่างเสมอมา

    และผนวกกับนิสัยของคนเยอรมันที่ไม่นิยมก่อหนี้ และเก็บเงินเก่งจนคนไทยที่เคยมีประสบการณ์ในการพบปะกับคนเยอรมันจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า

    "นี่มันเกินกว่าคำว่ามัธยัสถ์แล้วล่ะ มันงกแล้วว"

    จึงทำให้รัฐบาลเยอรมันมีเงินคงคลังมากพอที่จะนำออกมากู้วิกฤตโดยที่ไม่ต้องไปก่อหนี้เพิ่มมากขึ้น

    ซึ่งในตอนนี้จะเห็นได้ว่าในแง่ของเยอรมัน เจ็บตัวค่อนข้างน้อย และสามารถรักษาประสิทธิภาพทั้งในแง่ของการผลิต, การเงินการธนาคาร, การส่งออก และเรื่องอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อจบวิกฤตนี้ไปเยอรมันน่าจะเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากหลังการแพร่ระบาดของไวรัส

    โดยเฉพาะในแง่ของ "เศรษฐกิจ"

    Cr.พ่อบ้านเยอรมัน

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    NEWS:‘เศรษฐกิจพัง’ หรือ ‘ระบาดระลอกสอง’
    คนไทยควรกลัวอะไรมากกว่ากัน?
    .
    ระหว่าง ‘ระบาดระลอกสอง’ กับ ‘เศรษฐกิจพัง’ เราควรจะกลัวอะไรมากกว่ากัน?
    .
    มากกว่าความรู้สึก เราควรตัดสินประเด็นนี้จาก ‘ข้อมูล’
    .
    1.
    เริ่มจาก ‘ระบาดระลอกสอง’ กันก่อน
    .
    ปัจจุบัน เมืองไทยควบคุมสถานการณ์ได้ดีมาก ไม่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะ ‘ปลดล็อกดาวน์’ มาตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม ร้านเหล้าและอาบอวบนวดกลับมาเปิดตามปกติ แต่ยังไม่มีรายงานการระบาดเพิ่มขึ้น
    .
    สถานการณ์ที่ ‘น่าเป็นห่วง’ อาจจะมีแค่กรณีเดียว คือ ‘ผู้มีอภิสิทธิ์’ ที่เป็นแขกของกองทัพหรือกระทรวงต่างประเทศที่เข้าไทยได้โดยไม่ต้องกักกันหรือตรวจโรค
    .
    จนกระทั่งเกิด ‘ปัญหา’ ขึ้นในวันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2020 หลังชาวต่างชาติที่เป็น ‘ผู้มีอภิสิทธิ์’ เข้าไทยด้วยวิธีการพิเศษ แล้วพบว่าติดเชื้อรวม 2 ราย โดยก่อนหน้านี้ทั้งสองเดินทางไปไหนต่อไหนบ้างก็ไม่รู้
    .
    นี่เป็นสถานการณ์ชวนหวาดเสียวที่คนด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง และรัฐบาลก็คงจะ ‘ได้บทเรียน’ ไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก
    .
    ดังนั้น แนวโน้มดังกล่าวอาจไม่นำมาสู่การระบาดระลอกสอง แต่...เรื่องที่ต้องจับตาดูต่อไป คือเปิดน่านฟ้าให้นักท่องเที่ยวเข้ามาอีกครั้ง เมื่อเปิดแล้วควรจัดการอย่างไร ประเด็นนี้คือความน่าหวาดเสียวที่ต้องจับตา
    .
    ถึงตรงนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่า ในขณะนี้เที่ยวบินพาณิชย์ไปต่างประเทศ ยังคงถูกระงับอย่างไม่มีกำหนด (ที่บินกันอยู่เวลานี้ คือ ‘เที่ยวบินพิเศษ’ ส่วนใหญ่เป็นเที่ยวบินทางการทหารและการทูต ที่เหลือคือเที่ยวบินพิเศษส่งคนที่ติดค้างกลับบ้าน)
    .
    มองในมุมนี้ การระบาดระลอกสองจึงไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะถ้าคุมไม่ได้ รัฐก็มีแนวโน้มไม่ยอมเปิดน่านฟ้า หรือถึงเราจะ ‘เปิดน่านฟ้า’ ก็ใช่ว่าการบินระหว่างประเทศจะกลับมาเป็นปกติ
    .
    คนไทยไม่ไปเที่ยวกันหรอก ถ้าเดินทางไปแล้วต้องกักตัว 14 วันก่อนได้ไปเที่ยว ในทำนองเดียวกัน คนต่างชาติก็คงไม่มาเที่ยวบ้านเราหรอก ถ้ามาแล้วต้องถูกกักตัวแบบเดียวกัน
    .
    2.
    ประเด็นที่สอง คือ แล้วเศรษฐกิจจะพังหรือไม่?
    .
    คงต้องถามก่อนว่า อะไร...พัง? เพราะคนพูดเรื่อง ‘เศรษฐกิจพัง’ กันจนเคยชิน แต่อาจไม่รู้ว่าคืออะไร
    .
    สองไตรมาสของปี 2020 ที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจไทยติดลบ รายได้ประชาชาติลดลงเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2019
    .
    และที่น่ากลัวคือ เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วง ‘ขาลง’
    .
    ไตรมาสแรก -1.8% ส่วนไตรมาสที่สอง กระทรวงการคลังไม่ยอมรายงาน ระบุแค่ว่า จะเป็นไตรมาสที่ “ติดลบหนักที่สุดของปี” และทางเว็บไซต์สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่จัดทำข้อมูลดิบให้กระทรวงการคลังก็ไม่ยอมเผยแพร่ข้อมูลไตรมาสที่สอง
    .
    ดังนั้นไตรมาสที่สองที่เพิ่งผ่านมาคือ ‘ปริศนา’ แต่ทุกฝ่ายยืนยันตรงกันว่า ‘แย่กว่า’ ไตรมาสแรก และสำนักต่างๆ ก็ประเมินตัวเลขเศรษฐกิจไทยทั้งปีว่า รายได้ประชาชาติไทยติดลบแน่นอน...ไม่ต้องลุ้น
    .
    ส่วนใหญ่ที่ประเมินกันตอนนี้ก็ติดลบ 6-8% แต่ทุกสำนักเห็นตรงกันหมดว่า จะติดลบถึงขนาดนั้นแน่นอน
    .
    สิ่งที่น่าสนใจคือ การประเมินข้างต้นเป็นการประเมินภายใต้สมมติฐานว่า ‘สถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ’ คือ ‘การท่องเที่ยวแบบข้ามชาติ’ จะไม่กลับมาช่วยเศรษฐกิจเร็วๆ นี้ แต่การผลิตและบริโภคในประเทศ ก็พอถูไถไปได้
    .
    ฉะนั้น ถ้ารัฐบาลทะลึ่งล็อกดาวน์อีกรอบ นี่เป็นสิ่งที่ ‘เกินคาดหมาย’ และตัวเลขประเมินการหดตัวของเศรษฐกิจก็ต้องเปลี่ยนอีกครั้ง
    .
    ถ้าเป็นแบบนั้น ตัวเลขจะกลายเป็น -10% ขึ้นไป ก็ไม่แปลกอะไร
    .
    3.
    ในวิกฤตินี้ ภาคธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ‘อ่วม’ กันถ้วนหน้า สายการบินและโรงแรมบางรายถึงขั้น ‘ล้มละลาย-ขายกิจการ’
    .
    แต่ถามว่าภาคธุรกิจอื่นๆ แย่ระดับเดียวกันหรือเปล่า คำตอบอาจเป็นอีกแบบ
    .
    เราคงได้ยินว่า คนจำนวนมากโดนลดเงินเดือน หรือกระทั่งโดนเลย์ออฟ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่คงทนถาวร เพราะเงินเดือนของหลายคนที่โดนปรับลด ก็ถูกปรับขึ้นมาเป็นปกติ หลังจากสถานการณ์ต่างๆ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
    .
    ถ้าไปดูตัวเลขโรงงานอุตสาหกรรม โดยอ้างอิงจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม สิ่งหนึ่งที่เห็นคือ ตัวเลขการเปิดโรงงานเพิ่มปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้ว แต่แค่ ‘เล็กน้อย’
    .
    ขณะที่ตัวเลขโรงงานที่ปิดกิจการ (ศัพท์เทคนิคเรียกว่า ‘จำหน่ายทะเบียนโรงงาน’) น้อยกว่าปีที่แล้วพอสมควร และถ้าไปดูตัวเลขยอดคนตกงานจากการปิดโรงงานในช่วงที่ผ่านมา ก็จะพบว่า "พอๆ กัน" กับปีที่แล้ว (ดูข้อมูลได้ที่: https://bit.ly/30jYe1N)
    .
    ดังนั้น อาจพอสรุปได้ว่า แม้ในช่วงล็อกดาวน์ที่แย่ที่สุด ภาคการผลิตอุตสาหกรรมไม่ได้กระทบมากเท่าไร อย่างน้อยก็คนละระดับกับสายการบินหรือโรงแรม
    .
    4.
    ถ้าไปดูภาคธนาคาร โดยอ้างอิงจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ก็จะเห็นเลยว่ายอด ‘หนี้เน่า’ หรือ NPL ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของวิกฤติเศรษฐกิจไม่ได้แตกต่างจากปีที่แล้วเท่าไร คืออยู่ราวๆ 3% (ดูข้อมูลได้ที่: https://bit.ly/32qHVD3)
    .
    ถามว่า หนี้เน่า 3% เยอะไหม?
    .
    หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ยอดมูลค่าหนี้เน่าของไทยจากทั้งระบบขึ้นไป 40-50% ส่วนตัวเลขหนี้เน่าที่ 3-5% ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ก็เป็นตัวเลขที่อยู่แบบนี้มาเป็นสิบปีแล้ว
    .
    ถ้าว่ากันตามตัวเลข ภาคการเงินการธนาคารก็ไม่ได้มีสัญญาณหายนะแบบชัดๆ (อย่างน้อยก็ ณ ตอนนี้)
    .
    ดังนั้น เศรษฐกิจไทยคงจะไม่ “พัง” หรือให้ตรงกว่านั้นคือ คงไม่ได้ “พังกว่านี้”
    .
    เพราะถ้าจำได้ การพูดถึง ‘เศรษฐกิจพัง’ เป็นเรื่องที่พูดกันมาตั้งแต่กลางปี 2019 แล้ว และพูดกันหนักหน่วงในช่วงปลายปี 2019
    .
    และถ้าใครจำได้อีก ตอนนั้นคนก็เริ่มบ่นกันแล้วว่านักท่องเที่ยวหาย ซึ่งพอเกิดโควิด-19 เราก็จะรู้สึกว่าหายนะทั้งหมดมาพร้อมโควิด-19 แต่ความจริงสถานการณ์เศรษฐกิจส่อแววไม่ดีมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแค่ลากยาวมาจนเจอโควิด-19 ซ้ำเติมหนักขึ้น
    .
    ตรงนี้ ถ้าจะพูดแบบ ‘ตลกร้าย’ ที่สุดคือไม่ต้องกลัวเศรษฐกิจไทยจะพัง เพราะถ้าพัง น่าจะพังตั้งแต่ก่อนที่ชาวโลกจะรู้จักโควิด-19 แล้ว
    .
    และในทางกลับกัน อาจต้องถามว่า หรือจริงๆ ความ “พัง” ของเศรษฐกิจในเวลานี้ เกี่ยวกับโควิด-19 มากน้อยแค่ไหน
    .
    หรือแท้จริงแล้ว โควิด-19 แค่ทำให้เราหลงลืมไปว่า ก่อนหน้านั้นความ “พัง” ของเศรษฐกิจบ้านเรามาจากฝีมือในการบริหารเศรษฐกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเรื้อรังมายาวนานอย่างน้อยๆ ก็ตั้งแต่รัฐประหาร ปี 2014 อยู่แล้ว...ใช่หรือไม่?
    .
    5.
    สุดท้ายนี้ แม้ว่าการระบาดของโควิด-19 จะเป็นเรื่องที่คาดเดาหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ การจำกัดความเสียหายจากการระบาดนั้นขึ้นกับ ‘ฝีมือ’ ของรัฐบาลในประเทศต่างๆ
    .
    และอย่างน้อยไทยก็เป็นประเทศที่เคลมได้อย่างภาคภูมิใจว่า สามารถจำกัดการระบาดของโควิด-19 ได้ดีกว่าประเทศจำนวนมาก
    .
    แต่ทำไมทั้งๆ ที่ประเทศไทยไม่มีการระบาดหนัก ตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็น 0 ในช่วงหลายสัปดาห์ เศรษฐกิจไทยถึงยังย่ำแย่แบบนี้
    .
    ทุกคนรู้ข้อเท็จจริงว่า เศรษฐกิจบ้านเราพึ่งการท่องเที่ยว และถึงเราเปิดน่านฟ้าตอนนี้ นักท่องเที่ยวก็ใช่จะกลับมาเหมือนเดิมในพริบตา
    .
    สุดท้าย สถานการณ์เศรษฐกิจ ปี 2020 ที่เป็นอยู่เวลานี้ เกิดขึ้นเพราะโควิด-19 หรือเป็นแค่ส่วนหนึ่งของหายนะทางเศรษฐกิจที่ดำเนินต่อเนื่องมาหลายปีกันแน่
    .
    คือคำถามที่น่าขบคิด...

    #Covid19 #Economy #BrandThink
    #แชร์สิ่งเล็กๆให้ยิ่งใหญ่
    #sharingIsEmpowering
    อัปเดตและติดตามข่าวสารได้ที่
    Line: @brandthink (มี @ ด้วยนะครับ)
    Instagram: instagram.com/brandthink.me
    Website: www.brandthink.me
    Twitter: twitter.com/BrandThinkme

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    HEALTH: นักวิจัยพบ 90% ของอุปกรณ์แต่งหน้าที่สาวๆ ใช้กัน เต็มไปด้วยเชื้อโรค
    .
    การแต่งหน้าและเครื่องสำอางคือโลกของผู้หญิงซึ่งผู้ชายมักจะไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร ซึ่งในโลกนี้ที่ผู้ชายมักมีอำนาจในแทบทุกแวดวง การศึกษาวิจัยส่วนใหญ่เลยก็มักจะละเลยเรื่องของผู้หญิงและสินค้าที่ผู้หญิงนิยมไปเยอะ ทั้งๆ ที่ในโลกนี้ก็มีปริมาณของผู้หญิงพอๆ กับผู้ชาย และพอมันมีงานวิจัยทำนองนี้ที มันก็มักจะได้ผลที่น่าสนใจเสมอ เพราะคนไม่ค่อยทำกัน
    .
    ล่าสุด นักวิจัยในอังกฤษเกิดความสงสัยว่าอุปกรณ์แต่งหน้าต่างๆ ที่ผู้หญิงใช้กันนี่ มันถูกหลักสุขอนามัยไหม ก็เลยมีการขอบริจาคพวกอุปกรณ์แต่งหน้าจากสาวๆ ในอังกฤษเกือบ 500 ผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ลิปสติก อายไลเนอร์ มาสคาร่า ไปจนถึงฟองน้ำรูปไข่ที่เรียกกันว่าบิวตี้เบลนเดอร์ เพื่อเอามาตรวจว่ามี “เชื้อโรค” เกินมาตรฐานไหม โดยผลวิจัยตีพิมพ์ใน Journal of Applied Microbiology ในปี 2019 นี้เอง
    .
    สิ่งที่นักวิจัยพบก็คือ อุปกรณ์เหล่านี้กว่า 90% มีการปนเปื้อน “เชื้อโรค” สารพัดตั้งแต่เชื้อแบคทีเรียยันเชื้อราแบบเกินมาตรฐานที่ควรจะเป็นหมด
    .
    ตรงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่าพวกเชื้อราเหรือเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ โดยทั่วไปก็พบบนผิวหนังของมนุษย์อยู่แล้ว ซึ่งเวลาอยู่บนผิวหนังมันไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่เมื่อมันเข้าไปในร่างกายได้เมื่อไร มันอาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้ทันที ไม่ว่าจะเข้าไปทางดวงตา ทางแผลที่เกิดจากสิวแตก หรือทางบาดแผลต่างๆ
    .
    ดังนั้นผลวิจัยนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ทางสาธารณสุขพอสมควร เพราะพฤติกรรมที่สาวๆ ทำทุกวันอย่างแต่งหน้า ก็อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อและอาการเจ็บป่วยได้
    .
    แล้วทำไมมันเป็นแบบนี้?
    .
    เราต้องเข้าใจกันก่อนว่า โดยทั่วไป เครื่องสำอางที่ขายๆ กัน ไปจนถึงอุปกรณ์ต่างๆ มันไม่น่าจะได้ปนเปื้อนมาแต่แรก โดยเฉพาะประเทศที่มีมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขที่เข้มงวดอย่างอังกฤษ
    .
    ปัญหาก็คือ เวลาใช้ๆ ไป อุปกรณ์เหล่านี้ก็ถูกใช้ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม ดังนั้นมันก็เลยกลายมาเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ง่ายๆ
    .
    ซึ่งก็ไม่แปลกอีกที่อุปกรณ์ที่มีลักษณะเก็บความชื้นแบบฟองน้ำรูปไข่ (หรือบิวตี้เบลนเดอร์) คืออุปกรณ์ที่พบการปนเปื้อน “เชื้อโรค” ในระดับสูงสุด
    .
    แล้วจะแก้ไขอย่างไร?
    .
    นักวิจัยชี้ว่า อุปกรณ์เหล่านี้ ถ้ามีการทำความสะอาดในช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างถูกต้อง มันจะมีเชื้อโรคในระดับที่ไม่เป็นอันตราย แต่ปัญหาคือ อุปกรณ์หลายๆ อย่าง สาวๆ ที่ใช้ก็ไม่ทำความสะอาดเลย เช่น มาสคารา หรืออุปกรณ์ที่สาวๆ รู้ว่าต้องทำความสะอาดของอุปกรณ์จำพวกฟองน้ำ สาวๆ ก็ทำความสะอาดอย่างไม่ถูกต้องอีก ซึ่งอธิบายง่ายๆ ก็คือ สาวๆ เอาไปล้างอย่างถูกต้องแล้วก็จริง แต่ดันมักจะตากไม่แห้ง ก่อนจะเอามาใช้ใหม่
    .
    ถ้านั่นยังดู “อันตราย” ไม่พอ งานวิจัยที่มีมาก่อนหน้านี้อีกชิ้นก็ชี้ว่า เอาจริงๆ “แหล่งเชื้อโรค” มันก็ไม่ได้มาจากแค่การสะสมในอุปกรณ์แต่งหน้าเท่านั้น เพราะตัวเครื่องสำอางเองก็เป็นแหล่งเชื้อโรคที่สำคัญ และการที่ตัวเครื่องสำอางมีเชื้อโรคก็เพราะ สาวๆ ส่วนใหญ่ (เกิน 97%) ใช้เครื่องสำอางที่เลยวันหมดอายุไปเป็นปกติ โดยนักวิจัยชี้ว่า ถึงสาวๆ จะรู้สึกว่าเครื่องสำอางที่หมดอายุก็ยังสามารถใช้ได้ปกติ ไม่ได้ทำให้เกิดการระคายเคืองอะไร แต่ในทางหลักการ การหมดอายุของเครื่องสำอาง มันวางเอาไว้ผ่านการคิดคำนวนการปนเปื้อน “เชื้อโรค” ในเครื่องสำอางแล้ว และการใช้เลยวันหมดอายุก็หมายถึงว่าทางผู้ผลิตนั้นไม่รับประกันว่ามันจะมี “เชื้อโรค” ปนเปื้อนสะสมอยู่ในเครื่องสำอางในระดับที่ก่ออันตรายได้หรือไม่ ซึ่งการปนเปื้อนนี้จะเกิดขึ้นหนักๆ ในเครื่องสำอางที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากๆ
    .
    ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ทำให้นักวิจัยเสนอว่าเราควรจะให้การศึกษาผู้บริโภคมากขึ้นเกี่ยวกับภัยด้านเชื้อโรคของอุปกรณ์เสริมความงามที่ใช้มายาวนานกันจนปนเปื้อนเป็นปกตินี้ เพราะอย่างน้อยๆ อุปกรณ์พวกนี้ก็ใช้ในส่วนของร่างกายที่มีความเสี่ยงต่อการที่ “เชื้อโรค” เหล่านี้จะเข้าไปในร่างกาย
    .
    ทั้งนี้ทั้งนั้น การวิจัยที่ว่ามาก็คือการวิจัยในอังกฤษนะครับ ซึ่งเป็นเมืองหนาวที่อากาศชื้นพอสมควร ดังนั้นก็ไม่แปลกที่การปนเปื้อนเชื้อโรคก็น่าจะมีมากกว่าโซนที่อากาศแห้งกว่า แต่ในทางกลับกัน ถ้าย้ายมาเขตร้อนชื้นแบบประเทศไทย แล้วทำการทดสอบแบบเดียวกัน แนวโน้มที่การเจอการปนเปื้อนเชื้อโรคในอุปกรณ์เสริมความงามที่สาวๆ ใช้ก็น่าจะมีมากกว่าอยู่

    อ้างอิง: http://bit.ly/2YYFROY
    http://bit.ly/2Px9wvn

    #Makeup #Bacteria #Health #BrandThink
    #แชร์สิ่งเล็กๆให้ยิ่งใหญ่
    #sharingIsEmpowering
    อัปเดตและติดตามข่าวสารได้ที่
    Line: @brandthink (มี @ ด้วยนะครับ)
    Instagram: instagram.com/brandthink.me
    Website: www.brandthink.me
    Twitter: twitter.com/BrandThinkme

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    MOODY: คิดให้ดี 60 วินาที ก่อนตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
    จะทำให้คุณผิดพลาดทางอารมณ์น้อยขึ้น
    .
    เคยทำอะไรแล้วรู้สึกเสียใจในภายหลังไหมครับ?
    เคยรู้สึกว่าไม่น่าทำแบบนั้นเลยหรือเปล่า?
    .
    เชื่อไหมว่า การหยุดรอสัก 60 วินาที อาจจะเป็นวิธีการสำคัญที่จะช่วยคุณไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจากอารมณ์ของตัวเองก็ได้นะ
    .
    คุณ Amelia Aldao Ph.D. เธอได้นำเสนอแนวคิดนี้ผ่านเว็บไซต์ด้านจิตวิทยาอย่าง Psychology Today ครับ โดยหลังจากเธอได้เขียนบทความลงไป เนื้อหาดังกล่าวก็ถูกหยิบขึ้นมาเป็นหนึ่งในคอนเทนต์ที่กระแสดีคอนเทนต์หนึ่งเลยทีเดียว
    .
    ต้องขอเล่าให้ฟังก่อนว่า ดอกเตอร์ Amelia เป็นนักจิตวิทยาคลินิก และผู้ก่อตั้ง Together CBT คลินิกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเยียวอาการอย่าง อาการวิตกกังวล (Anxiety) โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ความเครียด และอาการซึมเศร้า (Depression) หรือพูดง่ายๆ เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเสียงจริงในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพจิตของมนุษย์นั่นเอง
    .
    อย่างที่เรากล่าวไปในด้านบนครับ เราพลั้งพลาดทางอารมณ์กันเยอะมาก เพราะฉะนั้นการควบคุมมันให้ได้จึงสำคัญในการดำรงชีวิต ทั้งในเรื่องของความสัมพันธ์และการงาน แล้วจะทำอย่างไรถึงจะควบคุมอารมณ์ได้อย่างอยู่หมัดล่ะ? เธอได้นำเสนอกฎ 60 วินาทีครับ ก่อนที่จะส่งข้อความด้วยความโกรธ ก่อนที่จะปฏิเสธการเชิญชวนอะไรบางอย่าง ก่อนจะปฎิเสธโอกาสที่มาถึง ก่อนจะส่งอีเมลบ่นหัวหน้าเกี่ยวกับการทำงาน ลองหยุดสักนิด ก่อนจะทำอะไรด้วยอารมณ์ แวะพักอารมณ์สัก 60 วินาทีกันก่อน
    .
    60 วินาทีจะเปิดโอกาสให้คุณได้สำรวจร่างกายและอารมณ์ตัวเอง มันจะทำให้คุณไตร่ตรองความคิดของคุณเองก่อน มันอาจจะทำยาก แต่ลองตั้งเวลาในมือถือเป็นตัวช่วยก็ได้ครับ แล้วพอครบ 60 วินาที ค่อยมาดูกันว่าเราอยากจะทำแบบนั้นอยู่หรือเปล่า
    .
    เธอระบุอีกว่า ถ้า 60 วินาทียังไม่พอ คุณสามารถเพิ่มระยะเวลาเป็น 2 นาทีหรือ 5 นาทีเลยด้วยซ้ำ โดยตัวเลขเจาะจงเหล่านี้ไม่สำคัญมากครับ พยายามหาช่วงเวลาที่เหมาะสมกับตัวเองให้ได้มากที่สุดจะดีกว่า
    .
    บางคนอาจจะเรียกวิธีการเล่านี้ว่า ‘การมีสติ’ หรือ ‘Mindfulness’ ครับ หรือบางท่านก็เรียกที่จะเรียกมันว่า การสำรวจอารมณ์ก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ไม่สำคัญ การปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป ทำให้เรามีห้วงเวลาที่จะสำรวจความรู้สึกตัวเองมากขึ้น และยิ่งมีเวลามากเท่าไหร่ คุณจะจัดการและควบคุมมันได้มากขึ้นนั่นเอง
    .
    แต่อย่างไรก็ตามครับ ถ้าคุณรู้สึกว่าการใช้อารมณ์ของตัวเองส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำก็ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก็น่าจะเหมาะสมที่สุด อย่าไปคิดว่าการไปปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเป็นสิ่งไม่ดีครับ เพราะเมื่อร่างกายมนุษ์ป่วยได้ จิตใจเราก็ป่วยได้เช่นกัน มันเป็นเรื่องปกติเอาเสียมากๆ เลย
    .
    แล้วคุณล่ะครับ คิดว่าแนวคิด หรือวิธีการนี้ใช้ได้หรือเปล่า นำไปลองทำ แล้วมาร่วมแชร์กันหน่อยดีกว่า

    อ้างอิง: The 60-Second Approach to Managing Emotions, Amelia Aldao Ph.D. (https://bit.ly/2Iys2zf)

    #Moody #Temper #BrandThink
    #แชร์สิ่งเล็กๆให้ยิ่งใหญ่
    #sharingIsEmpowering
    อัปเดตและติดตามข่าวสารได้ที่
    Line: @brandthink (มี @ ด้วยนะครับ)
    Instagram: instagram.com/brandthink.me
    Website: www.brandthink.me
    Twitter: twitter.com/BrandThinkme

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    LOCALRY: ทำไมคนดำถึง ‘ดำ’ มองจากมุมชีววิทยา
    .
    กระแส #BlackLivesMatter ที่คุกรุ่นในปี 2020 มาแรงมากระดับแทบจะถอนรากคิดทางวัฒนธรรมว่าความ “ดำ” คือสิ่งไม่ดี
    .
    แบรนด์เครื่องสำอางชื่อดังถึงขั้นจะเลิกผลิตสินค้า ‘ไวท์เทนนิ่ง’ องค์กรและสมาคมต่างๆ ก็พูดคุยกันว่า ควรจะเลิกใช้ ‘สีดำ’ แทนนิยามสิ่งไม่ดีหรือไม่
    .
    เช่น บรรดาแฮกเกอร์คุยกันว่า ควรจะเลิกใช้คำว่า ‘Black Hat Hacker’ ที่หมายถึงแฮกเกอร์ฝ่ายอธรรมหรือพวกที่ทำผิดกฎหมายดีไหม
    .
    ที่ว่ามาทั้งหมด ดูจะเป็นการหลีกเลี่ยงในการนำเสนอภาพความ ‘ดำ’ ในแง่ไม่ดี แต่ถ้าจะว่ากัน ‘ตามธรรมชาติ’ ความ ‘ดำ’ ก็มีข้อดีไม่น้อย

    1.
    มนุษย์เริ่ม ‘ดำ’ อย่างไร
    .
    แรกเริ่มเดิมที บรรพบุรุษของมนุษย์ไม่ได้มีผิวดำ ซึ่งคาดคะเนจากการสังเกตผิวหนังส่วนที่ไม่มีขนของลิงสายพันธุ์ต่างๆ ที่มักจะมีสีชมพู
    .
    ในทางวิวัฒนาการเชื่อว่า ลิงเริ่มมีวิวัฒนาการจนมีขนน้อยลงช่วงราว 1.2 ล้านปี ถึง 1 แสนปีก่อน พอขนน้อยลง ผลคือผิวหนังรับแสงแดดมากขึ้น พอผิวหนังรับแสงแดดมากเกินไป กรดโฟลิกหรือวิตามิน B9 ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นต่อร่างกายก็ถูกทำลาย
    .
    กลไกร่างกายจึงผลิต ‘เม็ดสี’ หรือเมลานินออกมา เพื่อป้องกันไม่ให้แสงแดดไปทำร้ายผิว
    .
    นี่คือจุดเริ่มต้นของ ‘ความดำ’ ในบรรพบุรุษของมนุษย์ และเชื่อกันทั่วไปว่าตอนที่ ‘ลิง’ วิวัฒนาการมาเป็น ‘โฮโมเซเปียนส์’ ตอนนั้นผิวดำแล้ว
    .
    ดังนั้น มนุษย์ดั้งเดิมคือ ‘คนดำ’ และน่าจะดำแบบที่เราเห็นคนดำในแอฟริกา

    2.
    คนผิวน้ำตาล ผิวเหลือง และคนขาวเกิดขึ้นได้อย่างไร?
    .
    คำอธิบายพื้นฐานคือคนออกจากแอฟริกา แล้ว “ขึ้นเหนือ” ไปอยู่ในโซนที่แสงอาทิตย์น้อย ผลคือผิวที่ดำเกินไปไม่สามารถจะสังเคราะห์วิตามิน D อย่างเหมาะสมจากแสงแดดได้ เลยเกิด ‘วิวัฒนาการ’ อีกรอบ ผิวกลับสีอ่อนขึ้นกลายเป็น ‘คนขาว’ ในที่สุด
    .
    และกระบวนการเปลี่ยนจากผิวดำไปขาวทั้งหมด ก็เพื่อให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามิน D ในพื้นที่ที่มีแดดน้อยๆ ได้
    .
    นี่คือความเข้าใจพื้นฐานที่หลายคนอาจเคยได้ยิน แต่สิ่งที่คนอาจไม่รู้ก็คือ ‘ความขาว’ นั้นเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน

    3.
    โดยพื้นฐาน เราเชื่อกันว่า ‘มนุษย์’ ออกจากแอฟริการาว 70,000 ปีที่แล้ว และราว 50,000 ปีที่แล้ว บางส่วนก็เดินทางมาถึงเอเชีย รวมถึงเกาะต่างๆ
    .
    และมนุษย์ก็เริ่ม ‘ขาว’ ในช่วงเวลานี้แหละ
    .
    แต่งานวิจัยยุคหลังๆ ปฏิเสธสมมติฐานข้างต้น โดยระบุว่ามนุษย์น่าจะเริ่ม ‘ขาว’ กันจริงๆ ตอนเริ่มทำการเกษตร หรือช่วงราว 12,000-8,000 ปีที่ผ่านมา
    .
    หลักฐานยืนยันก็คือยุคหลังๆ เราระบุพอได้ว่ายีนตัวไหนทำให้คนผิวขาวหรือดำ และไม่มีการตรวจพบว่า มนุษย์ก่อนช่วงเวลาดังกล่าวมียีนที่ทำให้ผิวขาว
    .
    จากผลการตรวจข้างต้น พอจะสรุปได้ว่า ก่อนหน้านั้นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นคนยุโรปหรือคนเอเชีย ล้วนเป็น ‘คนดำ’ กันหมด
    .
    ในแง่นี้ คนดำในแอฟริกาไม่ใช่แค่บรรพบุรุษของชนชาติอื่นๆ เท่านั้น แต่ชนชาติต่างๆ ในโลก ไม่ว่าฝรั่งหรือเอเชียน ล้วนมีบรรพบุรุษเป็น ‘คนดำ’ ทั้งสิ้น
    .
    เรียกได้ว่า เพิ่งกลายมาเป็นคนผิวขาวกันเมื่อราว 10,000 ปีที่ผ่านมานี้เอง

    4.
    ทำไมถึงขาว?
    .
    ผลการศึกษาระบุว่า ความขาวอาจมาจากสาเหตุที่หลากหลาย ตั้งแต่อาหารการกิน จนถึงการใส่เสื้อผ้า ซึ่งประเมินกันว่า ความเปลี่ยนแปลงในร้อยชั่วคน ก็ส่งผลต่อสีผิวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นหมายถึงเวลาแค่ไม่กี่พันปีเท่านั้นเอง (อาจจะแค่ราวๆ 2,000-3,000 ปี)
    .
    นี่คือ ‘ต้นกำเนิดความขาว’ ของมนุษย์ ภายใต้ความรู้ชุดปัจจุบัน
    .
    ส่วนการสรุปว่า จะดำจะขาวล้วนเป็นพี่น้องกัน อันนั้นเป็นการเคลมในทางสังคม แต่ในทางชีววิทยา ความแตกต่างของสีผิวไม่ใช่ ‘สิ่งประกอบทางสังคม’ เท่านั้น แต่มีผลต่อชีวิตในทางชีววิทยาด้วย
    .
    ยกตัวอย่างเช่น คนยิ่งผิวดำ ก็จะยิ่งไม่เป็นมะเร็งผิวหนัง ประเด็นนี้ชัดเจน อธิบายได้ เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตทะลุเม็ดสีไม่ได้ ในแง่นี้ เราก็จะเห็นว่าคนขาวที่อยู่ในเขตร้อนแดดจ้าแบบออสเตรเลีย จะเป็นมะเร็งผิวหนังกันมาก เพราะผิวหนังไม่ได้วิวัฒนาการมารับแดดแรงๆ และในทางกลับกัน คนดำในแอฟริกาที่ต้องเจอแดดแรงกว่า กลับรับแดดได้ชิลๆ โดยไม่ต้องกลัวมะเร็ง
    .
    ในทางกลับกัน คนดำก็ใช่จะได้เปรียบไปทั้งหมด เพราะในทางการแพทย์ คนดำถือว่ามีความเสี่ยงโรคในกลุ่มหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนขาว และกลุ่มชาติพันธุ์ใดๆ ในอเมริกา
    .
    ทำไมถึงเป็นแบบนี้? บางคนประเมินว่า อาจเป็นเพราะฐานะทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ทำให้คนดำไม่ได้มีอาหารการกินที่ดี และไม่ได้ออกกำลังกาย
    .
    แต่ในความเป็นจริง ถ้าไปดูละเอียด เราจะพบว่าคนละตินอเมริกันที่ไม่น่าจะมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าคนดำเท่าไร กลับเป็นคนกลุ่มที่ไม่ค่อยจะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดนัก ดังนั้นเราอาจต้องตัดปัจจัยทางเศรษฐกิจออกไป
    .
    บางทีปัญหาอาจจะอยู่ที่ ‘ผิว’ ของคนดำ

    5.
    ดังที่เล่ามาทั้งหมด ผิวดำทำให้มนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามิน D ได้ และงานวิจัยยุคหลังๆ ก็เริ่มพบว่า การขาดวิตามิน D อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้ความดันเลือดสูง และภาวะที่ความดันในเส้นเลือดสูง เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยระดับต้นๆ ที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมา
    .
    สรุปคือคนดำมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนเชื้อชาติอื่นๆ ก็เพราะพวกเขาสามารถสังเคราะห์วิตามิน D ได้น้อยกว่าชาวบ้านก็ได้
    .
    นี่คือบางมิติในทางชีววิทยาที่ย้ำเตือนว่า แม้ในทางการเมือง เราจะอยากให้มนุษย์ ‘เท่าเทียมกัน’ แค่ไหน แต่ความแตกต่างทางชีววิทยาระหว่างชาติพันธุ์ก็มีอยู่จริง และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน
    .
    ซึ่งการพูดถึงมิติเหล่านี้หรือยืนยันว่ามิติเหล่านี้มีอยู่จริง ไม่ควรจะถูกหยิบยกเป็นประเด็นการ ‘เหยียดผิว’ ด้วยประการทั้งปวง

    #Localry #BrandThink
    #แชร์สิ่งเล็กๆให้ยิ่งใหญ่
    #sharingIsEmpowering
    อัปเดตและติดตามข่าวสารได้ที่
    Line: @brandthink (มี @ ด้วยนะครับ)
    Instagram: instagram.com/brandthink.me
    Website: www.brandthink.me
    Twitter: twitter.com/BrandThinkme

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พ่อค้ายาหัวหมอซุกซ่อนโคเคนในเมล็ดกาแฟ
    .
    ตำรวจอิตาลีสกัดพัสดุบรรจุเมล็ดกาแฟที่ภายในมีโคเคนซุกซ่อนเอาไว้ได้ที่สนามบินเมืองมิลาน
    .
    พัสดุชิ้นนี้ถูกส่งมาจากประเทศโคลอมเบีย โดยจ่าหน้าถึงผู้รับที่ชื่อ “ซานติโน ดี อันโตนิโอ” (Santino D'Antonio) ซึ่งเป็นชื่อของเจ้าพ่อมาเฟียในภาพยนตร์เรื่อง John Wick: Chapter 2 ในเวลาต่อมาตำรวจได้จับกุมชายวัย 50 ปีคนหนึ่งที่พยายามติดต่อรับพัสดุดังกล่าวในเมืองฟลอเรนซ์

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วัคซีนนี้มีชื่อว่า ChAdOx1 nCoV-19 พัฒนาขึ้นจากเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคหวัดในลิงชิมแปนซี

    การทดลองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กับอาสาสมัคร 1,077 คน พบว่ามีความปลอดภัยและสามารถฝึกฝนระบบภูมิคุ้มกันได้สำเร็จ โดยร่างกายของอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนสร้างแอนติบอดีและเม็ดเลือดขาวที่สามารถต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้

    งานวิจัยนี้ทำให้เกิดความหวังท่ามกลางความพยายามในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ แต่ยังถือว่าเร็วเกินไปที่จะรู้ว่าจะวัคซีนสามารถป้องกันโควิด-19 ได้ และนักวิจัยกำลังดำเนินการทดลองที่มีอาสาสมัครเข้าร่วมมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้น ขณะนี้ทางการสหราชอาณาจักรได้สั่งซื้อวัคซีนชนิดนี้ 100 ล้านเข็มแล้ว

    วัคซีนที่ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วนี้มีชื่อว่า ChAdOx1 nCoV-19 เป็นวัคซีนที่พัฒนาขึ้นจากเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคหวัดในชิมแปนซี ที่ถูกนำมาดัดแปลงพันธุกรรมจนไม่สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อในมนุษย์ได้ และทำให้มีลักษณะคล้ายเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์สามารถเรียนรู้ว่าจะจัดการมันได้อย่างไร

    วัคซีนดังกล่าวมีความปลอดภัย แต่ก็มีผลข้างเคียงที่ไม่อันตราย อย่างไรก็ดี อาสาสมัครที่เข้าร่วมการทดลองราว 70% บอกว่ามีอาการตัวร้อนและปวดศีรษะ ซึ่งนักวิจัยระบุว่าสามารถใช้ยาพาราเซตามอลบรรเทาอาการดังกล่าวได้

    ศ.ซาราห์ กิลเบิร์ต แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดกล่าวว่า ยังต้องทำการทดลองเพิ่มเติมอีกก่อนจะยืนยันได้ว่าวัคซีนชนิดนี้จะใช้ป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ แต่ผลการทดลองในเบื้องต้นนี้ถือว่าน่าพอใจ

    วิธีรักษาอื่น ๆ
    ก่อนหน้านี้ ผลการทดลองในขั้นแรกโดย ซิแนร์เจ็น(Synairgen) บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจากเมืองเซาธ์แฮมป์ตันของอังกฤษ พบว่า การใช้โปรตีนที่ชื่อว่า อินเตอร์เฟอรอน เบตา(interferon beta) สามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จำนวนมากให้ไม่ต้องเข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยหนักได้

    โดยปกติแล้ว ร่างกายจะผลิตโปรตีนชนิดนี้เมื่อติดเชื้อไวรัส นักวิจัยได้ให้คนไข้หายใจเอาโปรตีนนี้เข้าไปในร่างกายผ่านเครื่องพ่นละอองยา (nebuliser) โดยหวังว่าจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

    ผลการทดลองในระยะแรกพบว่าวิธีรักษานี้ลดโอกาสเสี่ยงที่คนไข้จะต้องเข้าแผนกผู้ป่วยหนักและใช้เครื่องช่วยหายใจได้ถึง 79%

    ซิแนร์เจ็น อ้างว่า คนไข้ที่รักษาด้วยวิธีนี้มีโอกาสมากกว่า 2-3 เท่าที่จะกลับมาหายดีถึงขั้นใช้ชีวิตปกติได้

    นอกจากนี้บริษัทนี้ยังบอกว่าช่วยลดอาการหายใจติดขัดได้มาก และลดเวลาโดยเฉลี่ยที่คนไข้ต้องอยู่ในโรงพยาบาลลงถึง 1 ใน 3 คือจากโดยเฉลี่ย 9 วัน เหลือ 6 วัน

    ยังไม่ยืนยันผล
    ตามกฎของตลาดหลักทรัพย์ ซิแนร์เจ็นต้องรายงานผลการทดลองในขั้นต้น อย่างไรก็ดี เมื่อยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้ และงานวิจัยยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการซึ่งมีคณะผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบข้อมูล บีบีซีจึงยังไม่สามารถยืนยันผลดังกล่าวได้

    ทอม วิลคินสัน หัวหน้านักวิจัย บอกว่า หากผลการวิจัยนี้ได้รับการยืนยันอีกขั้นในการทดลองระดับใหญ่ขึ้น การรักษาวิธีนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญในการต่อสู้กับโควิด-19

    ขั้นตอนต่อไป
    อาจต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะผ่านกระบวนการอนุมัติให้นำการรักษาวิธีนี้ไปใช้ได้

    อย่างไรก็ดี รัฐบาลสหราชอาณาจักรบอกว่าจะเร่งอนุมติวิธีหรือตัวยาที่มีแนวโน้มรักษาโควิด-19 ให้เร็วเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับกรณีของยาเรมเดซิเวียร์เมื่อเดือน พ.ค.

    หรืออีกวิธีหนึ่งคือทางการอาจจะอนุญาตให้ใช้วิธีการรักษานี้โดยให้แพทย์เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด


    โปรตีนที่ชื่อว่า อินเตอร์เฟอรอน เบตา เป็นปฏิกิริยาขั้นแรกของร่างกายเวลาเผชิญกับไวรัส

    ดูเหมือนว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะสามารถไปยับยั้งการผลิตโปรตีนตัวนี้ได้ และการรักษาวิธีนี้จะให้คนไข้หายใจเอาโปรตีนอินเตอร์เฟอรอน เบตา เข้าไปในร่างกายโดยผ่านเครื่องพ่นละอองยา

    ปกติแล้ว มีการใช้โปรตีนอินเตอร์เฟอรอน เบตา เพื่อการรักษาโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) หรือโรคเอ็มเอส (MS) อยู่แล้ว

    การทดลองในครั้งที่แล้วๆ มาโดยซิแนร์เจ็นพบว่า การรักษานี้สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้ และผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้และเป็นโรคเกี่ยวกับปอดเรื้อรังไม่มีปัญหากับการรักษาวิธีนี้

    ผู้เชี่ยวชาญว่าอย่างไร
    ศ.สตีฟ กูเดเคอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนกฉุกเฉินจากมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ บอกว่า ต้องมีข้อมูลครบถ้วนก่อนที่จะสามารถสรุปอะไรได้ ส่วน ศ.นาวีด สัตตาร์ จากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ บอกว่า ผลการทดลองให้ผลน่าพอใจ และแม้จะเป็นการทดลองขนาดเล็กที่มีผู้เข้าร่วมเพียง 100 คน แต่การได้ผลถึงร้อยละ 79 ถือว่าการรักษาวิธีนี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญได้

    อย่างไรก็ดี ศ.สัตตาร์ บอกว่า เมื่อจำนวนผู้เข้าร่วมการทดลองยังน้อยอยู่ ความแม่นยำของประสิทธิภาพที่แท้จริงด้วยการรักษาวิธีนี้ก็น้อยลงไปด้วย และไม่แน่ใจว่าจะให้ผลในการรักษากับผู้ป่วยแต่ละคนที่มีความเสี่ยงต่างกันอย่างไร

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฮ่องกงพบผู้ติดเชื้อ 73 รายวานนี้ เป็นเคสติดเชื้อในฮ่องกง 66 ราย

    เมื่อวานนี้ (20 ก.ค. 20) ได้มีรายงานมีผู้ติดเชื้อเพิ่มทั้งหมด 73 ราย โดยมี 66 ราย ซึ่งเป็นเคสติดเพิ่มจากในฮ่องกง รวมยอดสะสมทั้งหมด 1,959 ราย

    Dr Chuang Shuk-kwan หัวหน้าสาขาโรคติดต่อศูนย์คุ้มครองสุขภาพ เผยว่ามี 39 รายเท่านั้นที่สามารถตามแหล่งต้นตอได้ ซึ่งรวมถึงหมอที่ทำงานที่คลินิคย่าน Causeway Bay ที่ได้พบผู้ป่วยติดเชื้อก่อนหน้านี้

    ส่วนอีก 27 รายไม่ทราบแหล่งต้นตอ ซึ่งรวมถึงพนักงานล้างจานที่ร้านอาหาร Fairwood ที่ Choi Hung Estate, ผู้ที่ไปบาร์ย่าน Tsim Sha Tsui และผู้ที่ทำงานที่ร้านไพ่นกกระจอกย่าน Sham Shui Po

    อีก 7 เคสที่เดินทางมาจากต่างประเทศนั้น รวมถึงคนงานทางทะเล 4 ราย, นักบิน 2 รายและผู้ป่วยที่มาจากคาซัคสถาน

    ***ติดตามอัพเดทสรุปประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าในฮ่องกงได้ที่กระทู้ปักหมุด***


    Source : https://www.thestandard.com.hk/brea...-virus-patients-strain-hospitals;-19-critical

    #ข่าวฮ่องกง #khaohongkong

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เวท 9 อักษร มุทรา 9 ท่า วิถีแห่งการหลุดพ้น

    เวท 9 อักษร
    FB_IMG_1595302934640.jpg
    "หลิน ปิง โต่ว เจ๋อ เจีย เจิ้น เลี่ย เฉียน สิง"

    "....เวทเก้าอักษรนี้ เดิมปรากฏจากคัมภีร์เป้าผูจื่อที่แต่งโดยเก่อหง นักพรตลัทธิเต๋าสมัยจิ้นตะวันออก เรียกอีกชื่อว่าเวทลับลิ่วเจี่ย มีเนื้อความว่า "ผู้เผชิญกองทัพส่วนเรียงรายอยู่เบื้องหน้า มองอย่างพินิจโดยไม่หลีกลี้" แต่เดิมใช้ปลุกใจเหล่าทหารหาญก่อนออกรบ แต่ต่อมาถูกนำไปใช้เป็นมนตราปราบมารและขับไล่สิ่งชั่วร้ายในพิธีกรรมของลัทธิเต๋า ซึ่งก็ได้ผลอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก "

    ส่วนคาถาที่ว่า ริน เบียว โท ฉะ ไค จิน เร็ทสึ ไซ เซ็นนั้น ตามตัวอักษรเป็นอักษรเวทเดียวกับของจีน เพียงแต่เป็นการออกเสียงตามอักษรคันจิสำเนียงญี่ปุ่นของ พุทธศาสนานิกายชินงอน(วัชรยานตะวันออก)ของญี่ปุ่น จึงมีการเพี้ยนเสียงกันไป

    ศาสนาพุทธกำเนิดที่อินเดีย เมื่อเผยแผ่เข้ามายังประเทศจีนนั้น บทเวทจำนวนมากในพุทธศาสนาได้ส่งอิทธิพลต่อลัทธิเต๋าที่ในเวลานั้นเพิ่งมีวิวัฒนาการในระดับแรก หลังจากเวลาผ่านไปยาวนาน ลัทธิเต๋าตกผลึกนานปี เวทเก้าอักษรแพร่สู่นิกายลับชินงอนที่อยู่ในศาสนาพุทธเช่นกัน เวลาพันปีมานี้พุทธกับเต๋าประชันแข่งขันกัน ความจริงกำเนิดจากรากเหง้าเดียวกัน....."

    มุทรา 9 ท่า

    ส่วนความหมายของมุทราเก้าท่าที่เชื่อมโยงกับเวทเก้าอักษร คือ

    ริน (หลิน-เผชิญ) - คือ การมุ่งใจที่ไม่หวั่นไหว เรียกว่า มุทราพื้นฐานไม่เคลื่อน เพื่อไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากทั้งปวงและมีพลังกายที่เข้มแข็ง

    เบียว (ปิง-ทัพ) - คือ การทำให้มีอายุยืน ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ และเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เรียกว่า มุทราวัชระ

    โต (โต่ว-สู้) - คือ ความกล้าหาญที่จะยืนหยัดต่อสู้ เรียกว่า มุทราราชสีห์นอก

    ฉะ (เจ๋อ-ผู้) - คือ การช่วยเยียวยา รักษา หรือบำบัดผู้อื่น เรียกว่า มุทราราชสีห์ใน

    ไค (เจีย-ล้วน) - คือ การเข้าใจจิตใจของผู้อื่น เรียกว่า มุทราร้อยรัดนอก

    จิน (เจิ้น-เรียง) - คือ การรู้จักชะตากรรมของตนเองและเปลี่ยนแปลงมันได้ เรียกว่า มุทราร้อยรัดใน

    เร็ทสุ (เลี่ย-แถว) - คือ การมุ่งช่วยเหลือผู้อื่นเป็นหลักเพราะสำเร็จกิจของตนแล้ว เรียกว่า มุทรากำปั้นแห่งปัญญา

    ไซ (เฉียน-อยู่) - คือ การดิ่งลึกลงในการช่วยเหลือผู้อื่น เรียกว่า มุทราดวงสูรย์

    เซ็น (สิง-เบื้องหน้า) - คือ การเป็นพุทธะ เรียกว่า มุทรากุณฑี"

    "ยามเคลื่อนมุทราไปข้างหน้าให้ผ่อนลมหายใจออก
    ยามดึงมุทรากลับมาให้สูดลมหายใจเข้า
    ยามยกมุทราขึ้นบนให้ผ่อนลมหายใจออก
    ยามดึงมุทรากลับมาให้ผ่อนลมหายใจเข้า
    ขณะฝึกมุทราให้รวมศูนย์ประสาทและจิตสำนึกไปที่ปลายนิ้วตลอด
    ขณะฝึกจะต้องเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องไม่ให้ขาดตอนดุจสายน้ำ
    ตอนยกมุทราไปข้างหน้า หรือเหนือหัวจะต้องใส่แรงเข้าไปชั่วพริบตาด้วย การฝึกมุทราได้ทุกเวลา และไม่จำกัดสถานที่"

    การผนึกมุทราต้องรวมกาย - วาจา - ใจ ให้เป็นหนึ่งเดียว เป็นการทำสมาธิและฝึกลมปราณรูปแบบหนึ่ง

    การผนึกมุทรานั้นผู้ใช้ต้องสวดมนต์หรือออกเสียงควบคู่ไปด้วย เพราะเชื่อว่าเสียงจะช่วยปรับการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายให้เคลื่อนไหวกลับมาทำงานอย่างเป็นระเบียบ

    การผนึกมุทราก็เปรียบเสมือนตัวเชื่อมระหว่างเสียงสวดกับอวัยวะภายใน ซึ่งก่อนอื่น ต้องมีพื้นฐานความเข้าใจก่อนว่าตามภูมิปัญญาตะวันออกนั้น ในร่างกายของเราที่เคลื่อนไหวได้นั้น เกิดจากทำงานได้ด้วยระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การขับดันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

    อวัยวะในร่างกายแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้พลังหยิน อีกฝ่ายหนึ่งให้พลังหยาง

    ฝ่ายที่ให้พลังหยิน คือ หัวใจ ปอด ไต ม้าม ตับ เยื่อหุ้มหัวใจ

    ฝ่ายที่ให้พลังหยาง คือ กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ถุงน้ำดี ฯลฯ

    หยาง-หยินคือขั้วบวก-ขั้วลบนั่นเอง

    ในหัวใจจึงมีโมเลกุลที่เรียงตัวเป็นเหนือ-ใต้ เหนือ-ใต้ เรียงตัวเป็นระเบียบมันก็จะสั่นสะเทือนและจะเป็นคลื่นวิ่งไปตามเส้นลมปราณต่าง ๆ

    ในฝ่ามือเราจะเหมือนกับฝ่าเท้า คือ มีจุดสะท้อนของอวัยวะภายใน, มีเส้นลมปราณ 6 เส้น ด้านหน้า 3 เส้น ด้านหลัง 3 เส้น มือข้างหนึ่งมี 6 เส้น ถ้ามือสองข้างรวมกันเป็น 12 เส้น การประนมมือเป็นท่าต่าง ๆ คือ กด รัด พับ เชื่อม เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาที่เส้นลมปราณสะท้อนไปถึงอวัยวะภายใน

    ร่างกายเมื่อได้รับการกด รัด พับ เชื่อม ในการทำปางมือต่างๆ ตามที่ได้ฝึกฝนมาแล้ว จะเกิดการเคลื่อนไหว เมื่อถึงจุดหนึ่งมือจะหมุนขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำ

    มุทราแบบนี้ญี่ป่นเรียกว่า คุจิ-อิง ในสมัยก่อนถือเป็นหัวใจของการฝึกวิชานินจาเลยทีเดียว ซึ่งการฝึกมุทรานี้ก็คือ การฝึกจิตของตนให้เข้าถึงแก่นแท้สรรพสิ่งทั้งมวล เมื่อเข้าใจถึงแก่นแท้แล้วก็จะเข้าใจความสัมพันธ์ของที่มาแห่งพลังต่างๆ และสามารถนำพลังนั้นออกมาใช้ได้โดยไม่เกิดอันตรายกับตนเอง
    ศาสตร์แห่งนินจาเชื่อว่าการประสานมือเป็นการโอบล้อมทำให้เกิดพลัง อันประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ (ชิ - ซุย - ฟุ - กะ) เมื่อผู้ใช้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิอันแน่วแน่จะสามารถบังคับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอารมณ์ สภาพบรรยากาศอันกดดัน และผนึกสมาธิให้ตั้งมั่นได้อย่างสูงสุด ซึ่งรากฐานของการประสานมือนี้ก็ถูกผนึกให้เข้ากับการกำหนดลมหายใจแบบวิปัสนาของพุทธ

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการผนึกมุทราในแบบใดก็ตาม ก็คือการทำสมาธิและฝึกจิตในแบบพุทธศาสนา เป้าหมายสูงสุดของการผนึกมุทราไม่ใช่เพื่อให้เอาไว้สู้กับใคร แต่มีไว้เพื่อมุ่งชำระใจของตนให้ถึงซึ่งพุทธนั่นเอง

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เวท 9 อักษร มุทรา 9 ท่า วิถีแห่งการหลุดพ้น

    เวท 9 อักษร

    "หลิน ปิง โต่ว เจ๋อ เจีย เจิ้น เลี่ย เฉียน สิง"

    "....เวทเก้าอักษรนี้ เดิมปรากฏจากคัมภีร์เป้าผูจื่อที่แต่งโดยเก่อหง นักพรตลัทธิเต๋าสมัยจิ้นตะวันออก เรียกอีกชื่อว่าเวทลับลิ่วเจี่ย มีเนื้อความว่า "ผู้เผชิญกองทัพส่วนเรียงรายอยู่เบื้องหน้า มองอย่างพินิจโดยไม่หลีกลี้" แต่เดิมใช้ปลุกใจเหล่าทหารหาญก่อนออกรบ แต่ต่อมาถูกนำไปใช้เป็นมนตราปราบมารและขับไล่สิ่งชั่วร้ายในพิธีกรรมของลัทธิเต๋า ซึ่งก็ได้ผลอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก "

    ส่วนคาถาที่ว่า ริน เบียว โท ฉะ ไค จิน เร็ทสึ ไซ เซ็นนั้น ตามตัวอักษรเป็นอักษรเวทเดียวกับของจีน เพียงแต่เป็นการออกเสียงตามอักษรคันจิสำเนียงญี่ปุ่นของ พุทธศาสนานิกายชินงอน(วัชรยานตะวันออก)ของญี่ปุ่น จึงมีการเพี้ยนเสียงกันไป

    ศาสนาพุทธกำเนิดที่อินเดีย เมื่อเผยแผ่เข้ามายังประเทศจีนนั้น บทเวทจำนวนมากในพุทธศาสนาได้ส่งอิทธิพลต่อลัทธิเต๋าที่ในเวลานั้นเพิ่งมีวิวัฒนาการในระดับแรก หลังจากเวลาผ่านไปยาวนาน ลัทธิเต๋าตกผลึกนานปี เวทเก้าอักษรแพร่สู่นิกายลับชินงอนที่อยู่ในศาสนาพุทธเช่นกัน เวลาพันปีมานี้พุทธกับเต๋าประชันแข่งขันกัน ความจริงกำเนิดจากรากเหง้าเดียวกัน....."

    มุทรา 9 ท่า

    ส่วนความหมายของมุทราเก้าท่าที่เชื่อมโยงกับเวทเก้าอักษร คือ

    ริน (หลิน-เผชิญ) - คือ การมุ่งใจที่ไม่หวั่นไหว เรียกว่า มุทราพื้นฐานไม่เคลื่อน เพื่อไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากทั้งปวงและมีพลังกายที่เข้มแข็ง

    เบียว (ปิง-ทัพ) - คือ การทำให้มีอายุยืน ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ และเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เรียกว่า มุทราวัชระ

    โต (โต่ว-สู้) - คือ ความกล้าหาญที่จะยืนหยัดต่อสู้ เรียกว่า มุทราราชสีห์นอก

    ฉะ (เจ๋อ-ผู้) - คือ การช่วยเยียวยา รักษา หรือบำบัดผู้อื่น เรียกว่า มุทราราชสีห์ใน

    ไค (เจีย-ล้วน) - คือ การเข้าใจจิตใจของผู้อื่น เรียกว่า มุทราร้อยรัดนอก

    จิน (เจิ้น-เรียง) - คือ การรู้จักชะตากรรมของตนเองและเปลี่ยนแปลงมันได้ เรียกว่า มุทราร้อยรัดใน

    เร็ทสุ (เลี่ย-แถว) - คือ การมุ่งช่วยเหลือผู้อื่นเป็นหลักเพราะสำเร็จกิจของตนแล้ว เรียกว่า มุทรากำปั้นแห่งปัญญา

    ไซ (เฉียน-อยู่) - คือ การดิ่งลึกลงในการช่วยเหลือผู้อื่น เรียกว่า มุทราดวงสูรย์

    เซ็น (สิง-เบื้องหน้า) - คือ การเป็นพุทธะ เรียกว่า มุทรากุณฑี"

    "ยามเคลื่อนมุทราไปข้างหน้าให้ผ่อนลมหายใจออก
    ยามดึงมุทรากลับมาให้สูดลมหายใจเข้า
    ยามยกมุทราขึ้นบนให้ผ่อนลมหายใจออก
    ยามดึงมุทรากลับมาให้ผ่อนลมหายใจเข้า
    ขณะฝึกมุทราให้รวมศูนย์ประสาทและจิตสำนึกไปที่ปลายนิ้วตลอด
    ขณะฝึกจะต้องเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องไม่ให้ขาดตอนดุจสายน้ำ
    ตอนยกมุทราไปข้างหน้า หรือเหนือหัวจะต้องใส่แรงเข้าไปชั่วพริบตาด้วย การฝึกมุทราได้ทุกเวลา และไม่จำกัดสถานที่"

    การผนึกมุทราต้องรวมกาย - วาจา - ใจ ให้เป็นหนึ่งเดียว เป็นการทำสมาธิและฝึกลมปราณรูปแบบหนึ่ง

    การผนึกมุทรานั้นผู้ใช้ต้องสวดมนต์หรือออกเสียงควบคู่ไปด้วย เพราะเชื่อว่าเสียงจะช่วยปรับการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายให้เคลื่อนไหวกลับมาทำงานอย่างเป็นระเบียบ

    การผนึกมุทราก็เปรียบเสมือนตัวเชื่อมระหว่างเสียงสวดกับอวัยวะภายใน ซึ่งก่อนอื่น ต้องมีพื้นฐานความเข้าใจก่อนว่าตามภูมิปัญญาตะวันออกนั้น ในร่างกายของเราที่เคลื่อนไหวได้นั้น เกิดจากทำงานได้ด้วยระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การขับดันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

    อวัยวะในร่างกายแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้พลังหยิน อีกฝ่ายหนึ่งให้พลังหยาง

    ฝ่ายที่ให้พลังหยิน คือ หัวใจ ปอด ไต ม้าม ตับ เยื่อหุ้มหัวใจ

    ฝ่ายที่ให้พลังหยาง คือ กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ถุงน้ำดี ฯลฯ

    หยาง-หยินคือขั้วบวก-ขั้วลบนั่นเอง

    ในหัวใจจึงมีโมเลกุลที่เรียงตัวเป็นเหนือ-ใต้ เหนือ-ใต้ เรียงตัวเป็นระเบียบมันก็จะสั่นสะเทือนและจะเป็นคลื่นวิ่งไปตามเส้นลมปราณต่าง ๆ

    ในฝ่ามือเราจะเหมือนกับฝ่าเท้า คือ มีจุดสะท้อนของอวัยวะภายใน, มีเส้นลมปราณ 6 เส้น ด้านหน้า 3 เส้น ด้านหลัง 3 เส้น มือข้างหนึ่งมี 6 เส้น ถ้ามือสองข้างรวมกันเป็น 12 เส้น การประนมมือเป็นท่าต่าง ๆ คือ กด รัด พับ เชื่อม เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาที่เส้นลมปราณสะท้อนไปถึงอวัยวะภายใน

    ร่างกายเมื่อได้รับการกด รัด พับ เชื่อม ในการทำปางมือต่างๆ ตามที่ได้ฝึกฝนมาแล้ว จะเกิดการเคลื่อนไหว เมื่อถึงจุดหนึ่งมือจะหมุนขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำ

    มุทราแบบนี้ญี่ป่นเรียกว่า คุจิ-อิง ในสมัยก่อนถือเป็นหัวใจของการฝึกวิชานินจาเลยทีเดียว ซึ่งการฝึกมุทรานี้ก็คือ การฝึกจิตของตนให้เข้าถึงแก่นแท้สรรพสิ่งทั้งมวล เมื่อเข้าใจถึงแก่นแท้แล้วก็จะเข้าใจความสัมพันธ์ของที่มาแห่งพลังต่างๆ และสามารถนำพลังนั้นออกมาใช้ได้โดยไม่เกิดอันตรายกับตนเอง
    ศาสตร์แห่งนินจาเชื่อว่าการประสานมือเป็นการโอบล้อมทำให้เกิดพลัง อันประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ (ชิ - ซุย - ฟุ - กะ) เมื่อผู้ใช้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิอันแน่วแน่จะสามารถบังคับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอารมณ์ สภาพบรรยากาศอันกดดัน และผนึกสมาธิให้ตั้งมั่นได้อย่างสูงสุด ซึ่งรากฐานของการประสานมือนี้ก็ถูกผนึกให้เข้ากับการกำหนดลมหายใจแบบวิปัสนาของพุทธ

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการผนึกมุทราในแบบใดก็ตาม ก็คือการทำสมาธิและฝึกจิตในแบบพุทธศาสนา เป้าหมายสูงสุดของการผนึกมุทราไม่ใช่เพื่อให้เอาไว้สู้กับใคร แต่มีไว้เพื่อมุ่งชำระใจของตนให้ถึงซึ่งพุทธนั่นเอง

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “โจชัว หว่อง” แกนนำกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง หนุนการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ชี้เคยช่วยต้านเกรียนคีย์บอร์ดจีนมาแล้ว ถึงเวลาช่วยเหลือพวกเขากลับคืนมาบ้าง ต้องการประชาธิปไตยและอนาคตกลับมา

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9630000074529
    ………………………………
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : http://nav.cx/4tvbDJ8
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ป็นเวลา 67 วัน ที่ เกาะปรินซ์ เอ็ดเวิร์ด ไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 แม้แต่รายเดียว แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปในช่วงเดือนนี้ เมื่อรัฐที่มีขนาดเล็กสุดของแคนาดา แถลงพบกลุ่มก้อนผู้ติดเชื้อใหม่ที่เชื่อมโยงกับนักศึกษาต่างชาติคนหนึ่งที่เดินทางจากสหรัฐฯเข้าสู่แคนาดา

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9630000074522
    ………………………………

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “บิ๊กป้อม” ชี้ โควต้า พลังงาน ให้นายกฯ ตัดสินใจ
    ก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปรับ ครม. ของกระทรวงพลังงาน ยังเป็นของนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เนื่องจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐบอกเป็นโควต้าของพรรคฯ ว่า เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี

    เมื่อถามถึงบรรยากาศการประชุม ครม. ในวันนี้ มีความเงียบเหงา ห้องโล่งหรือไม่ เพราะทีมรัฐมนตรี ลาออกไป 7 คน พลเอกประวิตร ระบุว่า ไม่เห็นเป็นอะไรเลย

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ อวดอ้างระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันอาทิตย์ (19 ก.ค.) ว่าอเมริกามีอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ต่ำที่สุดในโลก สวนทางกับข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง แต่อีกด้านหนึ่งเขาได้ทวีตข้อความสนับสนุนประชาชนสวมหน้ากากป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9630000074527
    ………………………………

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยาหมดอายุ ยาเสื่อมคุณภาพ อันตรายถึงชีวิต

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พลังงานความเย็นจากก๊าซธรรมชาติ เบื้องหลังสตรอว์เบอร์รี "Harumiki" หอมนุ่มหวานฉ่ำ
    .
    จากแนวคิดที่ต้องการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ปตท. ได้ศึกษาเรียนรู้การนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้า ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงใช้เป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์อย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปี และในปัจจุบัน ได้มีการศึกษาทดลองการใช้องค์ความรู้ทางวิศวกรรมซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของ ปตท. ผนวกรวมกับองค์ความรู้ด้านเกษตรกรรมที่ได้ศึกษากับผู้เชี่ยวชาญ นำพลังงานความเย็นจากก๊าซธรรมชาติมาหล่อเลี้ยงอุณหภูมิในโรงเรือนอัจฉริยะเพาะปลูกผลไม้และดอกไม้จากเมืองหนาวได้สำเร็จ โดยมีผลงานเป็นรูปธรรมที่ลองลิ้มชิมรสได้อย่าง สตรอว์เบอร์รี "ฮะรุมิกิ" (Harumiki) ...
    .
    คลิก >> https://ibusiness.co/detail/9630000071965
    .
    #ฮะรุมิกิ #สตรอว์เบอร์รี #Harumiki #ปตท #สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

    จากแนวคิดที่ต้องการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ปตท. ได้ศึกษาเรียนรู้การนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้า ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงใช้เป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์อย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปี และในปัจจุบัน ได้มีการศึกษาทดลองการใช้องค์ความรู้ทางวิศวกรรมซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของ ปตท. ผนวกรวมกับองค์ความรู้ด้านเกษตรกรรมที่ได้ศึกษากับผู้เชี่ยวชาญ นำพลังงานความเย็นจากก๊าซธรรมชาติมาหล่อเลี้ยงอุณหภูมิในโรงเรือนอัจฉริยะเพาะปลูกผลไม้และดอกไม้จากเมืองหนาวได้สำเร็จ โดยมีผลงานเป็นรูปธรรมที่ลองลิ้มชิมรสได้อย่าง สตรอว์เบอร์รี "ฮะรุมิกิ" (Harumiki)

    ท่อไอเย็นเจาะรูถูกติดตั้งไว้ใต้ทุกแปลงปลูก

    โดยได้พลังงานความเย็นไปใช้ประโยชน์ในโรงเรือนเพาะปลูกอัจฉริยะ ขนาด 1,500 ตารางเมตร ที่ตั้งอยู่ในสวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จังหวัดระยอง ความเย็นจะถูกส่งเข้ายังโรงเรือนผ่านท่อไอเย็นเจาะรู ซึ่งวางอยู่ใต้แปลงปลูกจึงทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนให้อยู่ในระดับ 17 – 25 องศาเซลเซียสได้ตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของสตรอว์เบอร์รี

    แปลงปลูกสตรอว์เบอร์รีในโรงเรือนอัจฉริยะ ที่จังหวัดระยอง

    โรงเรือนอัจฉริยะ มีประโยชน์ในด้านการควบคุมสภาพแวดล้อมที่สำคัญต่อการเติบโตของพืชเมืองหนาวอย่างสตรอว์เบอร์รี โดยสามารถควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณแสงแดด ช่วยป้องกันแมลงและศัตรูพืช มลภาวะแวดล้อม เชื้อโรค แม้แต่การป้องกันน้ำฝนเจือปนลงในดิน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อการเติบโตของต้นสตรอว์เบอร์รี นอกจากนั้นโรงเรือนเพาะปลูกแห่งนี้ยังมีประโยชน์ทางอ้อมต่อชุมชน เพิ่มการจ้างงานผู้คนในชุมชนละแวกใกล้เคียง รวมถึงมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูกแก่ชุมชน

    พื้นที่ในโรงเรือนถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน สำหรับปลูกพืชพันธุ์เมืองหนาว และ สตรอว์เบอร์รีฮะรุมิกิ ในส่วนของพืชพันธุ์ดอกไม้เมืองหนาว ประกอบด้วย กล้วยไม้ฟาแลนนอปซิส ดอกไฮเดรนเยีย ดอกทิวลิป ดอกลิลลี่ ดอกแอลเลียม (Allium) บลูเบอร์รี่ ต้นมงกุฎจักรพรรดิ์ (Fritillaria) และ ต้นซากุระ

    ไฮไลท์ของโรงเรือนอัจฉริยะนี้คือ สตรอว์เบอร์รีฮะรุมิกิ (Harumiki) ที่เป็นสตรอว์เบอร์รีสายพันธุ์อะกิฮิเมะ(Akihime) จากเมืองชิซึโอกะ (Shizuoka) ประเทศญี่ปุ่น แต่กว่าจะนำมาปลูกจนออกวางจำหน่ายได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานฮะรุมิกิ ได้ศึกษาเรียนรู้โดยตรงจากเกษตรกรชาวญี่ปุ่น และทำงานร่วมกับนักวิจัยการเกษตรเพื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความต้องการของสตรอว์เบอร์รีพันธุ์อะกิฮิเมะ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำ ความต้องการแสง อุณหภูมิที่เหมาะสมในแต่ละช่วง และเคล็ดลับที่ทำให้สตรอว์เบอร์รีมีกลิ่นหอม หวานอร่อยตามลักษณะเฉพาะของสายพันธุ์

    ต้นกล้าสตรอว์เบอร์รีทุกต้นได้รับการดูแลอย่างดีในโรงเรือนอนุบาลแบบระบบปิด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถเติบโตเป็นต้นสตรอว์เบอร์รีที่แข็งแรงสมบูรณ์ ก่อนจะถูกย้ายเพื่อลงแปลงปลูกเมื่อต้นกล้ามีอายุครบ 30 วัน และต้นสตรอว์เบอร์รีที่ปลูกในโรงเรือนระบบปิด จะเติบโตอย่างแข็งแรง ให้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพตลอดทั้งปี

    สตรอว์เบอร์รีแบรนด์ "ฮะรุมิกิ" (Harumiki) มีวางจำหน่ายแล้วในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ นักชิมท่านใดอยากสัมผัส "ความหอม รสชาติหวานฉ่ำ นุ่มนิ่ม ละลายในปาก" ก็อยากชวนมาลิ้มลองกันดูเผื่อจะติดใจ

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีน : มณฑลยูนนาน ดินภูเขาถล่ม
    20 กรกฎาคม. 15.00 ดินถล่ม บนทางหลวง
    เฉาตง คาดว่ามีผู้เสียชีวิต 2 คนติดในรถ
    ในมณฑลยูนนาน เริ่มมีในตกหนัก น้ำท่วม และดินถล่มในหลายพื้นที่
    Cr : wypk@vip.163.com

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ออสเตรเลีย : ยอดติดเชื้อโควิดรายใหม่วันนี้ + 358 คนพบใน 2 รัฐ วิกตอเรีย 347 คน รัฐนิวเซาท์เวลส์ 11 คน ยอดติดเชื้อรายใหม่กำลังสูงขึ้นในช่วงอาทิตย์นี้
    CR : ภาพ7 News

     

แชร์หน้านี้

Loading...