ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    AVO #Shishaldin สีแดง / คำเตือน - ปะทุอย่างต่อเนื่อง
    อลาสกา 25 มกราคม 2563
    กลุ่มเถ้าสูงสุด 20,000 ฟุตมุ่งหน้าไปทางตะวันออก
    FB_IMG_1579568502285.jpg FB_IMG_1579568504974.jpg
    AVO #Shishaldin RED/WARNING - Explosive eruption ongoing.
    Alaska Jan19 2020
    Plume up to 20,000 ft asl heading east.

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    แผ่นดินไหวขนาด 6.4 ซินเจียง, #ประเทศจีน, ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ, สร้างความเสียหายแก่บ้าน, ก่อกวนบริการ วันที่ 19 มกราคม 2020

    เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 มณฑล Jiashi ใน Kashgar ในเขตปกครองตนเอง ซินเจียง อุยกูร์ เขตปกครองตนเองเขตตะวันตกเฉียงเหนือของจีนเวลา 21:27 น. วันอาทิตย์ (เวลาปักกิ่ง) ทำให้เกิดการบาดเจ็บ3 คน สร้างความเสียหายแก่บ้าน ตัดไฟและบริการรถไฟ

    6.4-magnitude Earthquake Jolted Xinjiang, #China, Causing Injuries, Damaging Houses, Disrupting Service Jan19 2020

    A 6.4-magnitude earthquake jolted Jiashi County in Kashgar Prefecture in northwest China's Xinjiang Uygur Autonomous Region at 21:27 Sunday (Beijing Time), causing three injuries, damaging houses, cutting power supply and train service.

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อย่าลืมใส่หน้ากากอนามัยนะคะ #ฝุ่นกทม
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    #Gede #Krakatau #TangkubanPrahu
    ชวาตะวันตก, อินโดนีเซีย 21 ม.ค. 2020
    FB_IMG_1579569490079.jpg FB_IMG_1579569492884.jpg FB_IMG_1579569495457.jpg
    #Gede #Krakatau #TangkubanPrahu
    West Java, Indonesia Jan21 2020

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ข่าวหน้า1 ทส.แจงปริมาณฝุ่นละอองในภาพรวม มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกพื้นที่
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อ.เชียงคาน จ.เลย น้ำโขงแห้งในรอบสิบปี ชายหาดทรายขาวสวย ดึง นทท.พักผ่อน
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Mekong Voice เสียงจากลำน้ำโขง

    แม่น้ำโขงวันนี้ที่บ้านน้ำไพร ต.น้ำไพร อ.สังคม จ.หนองคาย ตรงนี้เคยเป็นบุ่งหรือหรือแอ่งน้ำขนาดใหญ่ในน้ำโขงที่เคยลึก 5 เมตร
    175716_1435242233392529408_n.jpg?_nc_cat=105&_nc_ohc=GFxA1Ck-39EAX82_7X5&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    อ้อมบุญ ทิพย์สุนา รายงาน

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แทบไม่เห็นน้ำ! แล้งขั้นวิกฤติ น้ำโขง จ.หนองคาย น้ำลดระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี จนสามารถเดินได้เกือบถึงฝั่ง สปป.ลาว

    วันนี้ (20 ม.ค.63) ระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่ไหลผ่าน จ.หนองคาย มีระดับที่ต่ำมาก ทุบสถิติระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี ส่งผลให้น้ำโขงที่เคยไหลผ่านระหว่างโขดหินของพันโขดแสนไคร้แห้งขอด จนเป็นผืนเดียวกันสามารถเดินได้เกือบถึงฝั่ง สปป.ลาว

    [​IMG]
    ภาพจากอีจัน

    ขณะนี้สามารถวัดที่ส่วนอุทกวิทยาหนองคาย กรมทรัพยากรน้ำ มีระดับเพียง 88 ซม. เท่านั้น เทียบกับช่วงเดียวกันของเมื่อวานนี้ลดลง 4 ซม. ต่ำกว่าตลิ่งถึง 11.32 เมตร ยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าวัน ซึ่งระดับน้ำโขงต่ำสุดในรอบ 50 ปีในช่วงเดียวกันอยู่ที่ประมาณ 1.50 เมตร และระดับน้ำโขงในช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 3.50 เมตร
    [​IMG]
    ภาพจากอีจัน

    จากระดับน้ำโขงที่ลดต่ำลงและมีระดับที่ต่ำมาก นอกจากจะทำให้ขณะนี้สามารถมองเห็นเสาตอม่อที่อยู่ใต้ฐานตอม่อสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่ตั้งอยู่ในน้ำโขงทั้ง 6 ตอม่อ และได้ส่งผลให้โป๊ะแพและเรือที่จอดไว้ริมฝั่งแม่น้ำโขงเกยตื้นหลายลำ รวมไปถึงเครื่องสูบน้ำของโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าหลายแห่งสูบน้ำไม่ได้แล้ว ยังทำให้พันโขดแสนไคร้ ที่เป็นโขดหินโผล่ขึ้นจากแม่น้ำโขง ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่นับพัน ๆ โขด ตั้งแต่เขตบ้านห้วยค้อ , บ้านหนอง , บ้านภูเขาทอง และบ้านม่วง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย เป็นบริเวณกว้างประมาณ 300 เมตร ระยะทางยาวตามแม่น้ำโขงกว่า 5 กิโลเมตร
    [​IMG]
    ภาพจากอีจัน


    [​IMG]

    ภาพจากอีจัน

    ทั้งนี้ น้ำโขงที่เคยไหลผ่านตามซอกโขดหินแห้งขอด เหลือเพียงแอ่งน้ำเล็ก ๆ จนติดกันเป็นผืนใหญ่ หลายจุดสามารถเดินได้เกือบถึงฝั่ง สปป.ลาว ส่งผลให้การสัญจรทางเรือในบริเวณนี้ต้องใช้ร่องน้ำลึกที่อยู่ติดฝั่ง สปป.ลาว เท่านั้น ซึ่งปกติพันโขดแสนไคร้จะมีความสวยงาม เมื่อน้ำโขงมีระดับอยู่ระหว่าง 2.50 เมตร – 3.50 เมตร เพราะจะมีน้ำไหลผ่านระหว่างโขดหินและซอกหินนับพัน ๆ ก้อน



    อีจันขอเป็นกำลังชาว จ.หนองคายผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปโดยเร็วด้วยนะคะ #จันเป็นกำลังใจให้


    https://ejan.co/news/5e2530b6d4fec?...wTJsQqTeSmu95gQAnEFiVnjia0uWE6txEJekktzPsMJvQ
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เพราะน้ำโขงแห้งจากการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง ทำให้ไม่มีน้ำลึกให้หลบในช่วงฤดูแล้ง วันนี้ปลาขนาดใหญ่จึงถูกจับ และอนาคตเราปลาเหล่านี้ รวมทั้งปลาบึกจะเหลือเพียงตำนาน
    --------------------------------------------------------------------------------------------
    นาตาลบ้านเฮา
    19 มกราคม เวลา 07:51 น. ·


    ปลาขึ้น..บ้านนาทราย

    ”ปลาบึกเทพเจ้าแม่น้ำโขง”
    น้ำหนักรวม 146กิโลกรัม

    ขอบคุณจ้าของภาพ panya krungmee

    633182_5159321492860698624_n.jpg?_nc_cat=105&_nc_ohc=OyV42XLOMVYAX_6KrwR&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    966496_6716422522650230784_n.jpg?_nc_cat=111&_nc_ohc=nd8oTX5mZTYAX-c_qL7&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Mekong Voice เสียงจากลำน้ำโขง
    19 มกราคม เวลา 11:25 น. ·

    เขื่อนไซยะบุรีที่ทำน้ำโขงแห้ง ยังทำให้น้ำสาขาแห้งลงด้วยเพราะน้ำสาขาไหลลงน้ำโขงอย่างรวดเร็ว และจะเป็นตัวการเร่งให้เกิดภัยแล้งทั้งในภาคอีสานและทั่วอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

    การแก้ปัญหาไม่ใช่ไปสร้างเขื่อนหรือฝายกั้นน้ำสาขา เพราะจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก ทางที่ดีที่สุดก็คือรัฐบาลไทยต้องเจรจากับรัฐบาลลาวให้เขื่อนไซยะบุรีปล่อยน้ำลงมารักษาระบบนิเวศน์แม่น้ำโขงและแก้ปัญหาภัยแล้งให้กับพื้นที่ท้ายเขื่อนไม่เพียงแต่ในภาคอีสาน แต่เป็นการแก้ไขปัญหาทั้งอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

    ปากแม่น้ำห้วยบางทรายใหญ่ จ. มุกดาหาร สายวันนี้ ภาพโดย ประทีป ศรี กลุ่มไลน์ คนฮักแม่น้ำโขง

    655701_4621832041145565184_o.jpg?_nc_cat=109&_nc_ohc=xHRis86SJc4AX_E2Iyx&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    5989033_797557121716584448_o.jpg?_nc_cat=108&_nc_ohc=LJothHLgyioAX-mjWnW&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    655702_8203446513850908672_o.jpg?_nc_cat=100&_nc_ohc=_Rl3BGwbCScAX_XX_RH&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra
    แหล่งข่าวจากจีนกล่าวว่าโรงพยาบาลหวู่ฮั่น ติดเชื้อกับแพทย์และพยาบาลและมีความร้ายแรง
    Fuentes china aseguran que el hospital de Wuhan están infectados hasta los Médicos y enfermeros y están graves

    9515162_647104868309270528_n.jpg?_nc_cat=108&_nc_ohc=3nIZnv1T85EAX-ELY16&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    848492_4361247811132456960_n.jpg?_nc_cat=108&_nc_ohc=vcfA9SRLAvUAX_gZBwZ&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    181823_8780598141708664832_n.jpg?_nc_cat=105&_nc_ohc=kM2UnkeKL0YAX9fjugS&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    2848484_825927648449396736_n.jpg?_nc_cat=101&_nc_ohc=90DXAQqkLa4AX-DCB3k&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Workpoint News

    #UPDATE เวลา 07:00 น. วันที่ 21 ม.ค.2563 คุณภาพอากาศเช้านี้ ภาคเหนืออากาศเป็นอันตรายต่อสุขภาพ 11 จุด ขณะที่กรุงเทพฯและปริมณฑล 21 จุด ได้แก่

    32712873_7209296730267844608_o.jpg?_nc_cat=1&_nc_ohc=v4OSNpKBeqIAX9Ba6Cs&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    1. แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพฯ
    2. ริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ
    3. แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ
    4. แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ
    5. แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ
    6. แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ
    7. ริมถนนพระราม 4 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
    8. ริมถนนอินทรพิทักษ์ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ
    9. ริมถนนลาดพร้าว เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ
    10. ริมถนนดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ
    11. แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ
    12. แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ
    13. ต.นครปฐม อ.เมือง นครปฐม
    14. ต.บางกรวย อ.บางกรวย นนทบุรี
    15. ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด นนทบุรี
    16. ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง ปทุมธานี
    17. ต.ทรงคนอง อ.พระประแดง สมุทรปราการ
    18. ต.บางโปรง อ.เมือง สมุทรปราการ
    19. ต.ตลาด อ.พระประแดง สมุทรปราการ
    20. ต.ปากน้ำ อ.เมือง สมุทรปราการ
    21. ต.มหาชัย อ.เมือง สมุทรสาคร
    .
    ขณะที่ภาคเหนือค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานที่
    1. ต.แม่ปะ อ.แม่สอด ตาก
    2. ต.ในเวียง อ.เมือง น่าน
    3. ต.บ้านต๋อม อ.เมือง พะเยา
    4. ต.พระบาท อ.เมือง ลำปาง
    5. ต.สบป้าด อ.แม่เมาะ ลำปาง
    6. ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ ลำปาง
    7. ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ ลำปาง
    8. ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย เชียงราย
    9. ต.ช้างเผือก อ.เมือง เชียงใหม่
    10. ต.ศรีภูมิ อ.เมือง เชียงใหม่
    11. ต.นาจักร อ.เมือง แพร่
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไวรัสโคโรนาพันธุ์ใหม่ แพร่จากคนสู่คน-บุคลากรการแพทย์ติดเชื้อ 21 มกราคม 2563 - 07:12 น.
    c8ckikagaibcjbbbcida9.jpg

    จง หนานซาน อายุรแพทย์โรคระบบหายใจ ที่เคยค้นพบโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) จากไวรัสโคโรนาในปี 2556 และปัจจุบันเป็นประธานคณะผู้เชี่ยวชาญสอบสวนไวรัสอู่ฮั่น ที่คณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติของจีนแต่งตั้งขึ้น ระบุว่า

    “สถานการณ์ในขณะนี้ ไม่ใช่เชื้อไวรัสแพร่จากสัตว์สู่คนอีกต่อไป แต่เป็นการแพร่ระหว่างคนกับคน” หลังจากพบผู้ป่วยที่มณฑลกวางตุ้ง ที่ไม่เคยไปเมืองอู่ฮั่นเลย แต่ติดไวรัสจากคนในครอบครัว นอกจากนี้ บุคลากรการแพทย์อย่างน้อย 14 คนที่ดูแลช่วยเหลือผู้ป่วย ก็ติดเชื้อจากพาหะคนหนึ่ง

    สถานีโทรทัศน์ ซีซีทีวี รายงานว่า พบผู้ป่วยรายใหม่ในปักกิ่งและมณฑลกวางตุ้ง ทำให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 5 และ 14 รายตามลำดับในสองแห่งนี้ นับถึงเวลา 18.00 น. ของวันจันทร์ ( 20 ม.ค.) ขณะตัวเลขผู้ติดเชื้อในอู่ฮั่นยังไม่เปลี่ยนแปลงที่ 198 ซึ่งเป็นตัวล่าสุดเมื่อ 13.00 น. วันเดียวกัน ขณะยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 3 คน

    ที่เซี่ยงไฮ้ เมืองที่มีประชากร 24.2 ล้านคน คณะกรรมการสาธารณสุข ยืนยันพบผู้ติดเชื้อ 1 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อทั้งหมดในจีนอยู่ที่ 218 ราย ผู้ป่วยเป็นสตรีวัย 56 ปีจากอู่ฮั่น แต่แยกรักษา หายไข้และไม่มีเชื้อไวรัสแล้ว

    ส่วนการพบเชื้อนอกจีน ยังอยู่ที่ 4 ราย โดยพบในไทย 2 ราย อีกสองรายพบในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยทุกรายเชื่อมโยงกับเมืองอู่ฮั่น

    ด้านองค์การอนามัยโลกแถลงว่า คณะกรรมการว่าด้วยกฎอนามัยฉุกเฉินระหว่างประเทศ จะประชุมในวันพุธนี้ ( 22 ม.ค.) ก่อนตัดสินใจว่าควรประกาศให้สถานการณ์ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขทั่วโลก ( public health emergency of international concern ) หรือไม่ ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงด้านสาธารณสุขต่อประเทศอื่นและจะต้องกำหนดมาตรการรับมือทั่วโลกอย่างเข้มงวด

    องค์การอนามัยโลกเคยใช้มาตรการนี้กับสถานการณ์ระบาดไม่กี่ครั้ง รวมถึงไวรัส H1N1 หรือหวัดหมู ในปี 2552 โรคอีโบลาในแอฟริกาตะวันตกช่วงปี 2557-2559 ไวรัสซิกาในปี 2559 และอีโบลาระบาดในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก 2561

    พัฒนาการล่าสุดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ มีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ประกาศในวันเดียวกันว่า จีนจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส รัฐบาลจีนจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกต่อความปลอดภัย และสุขภาพของประชาชน

    https://www.komchadluek.net/news/fo...qQVAZjcmYir3vSe2uORQOTgvfVYJH40KJtdXo5LPEZpUo
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เบื้องหลัง...ไทยไขปริศนา 'โคโรนาพันธุ์ใหม่' เจอเชื้อก่อนจีนเปิดเผยรหัส 2 วัน

    750x422_862808_1579512970.jpg

    21 มกราคม 2563 | โดย พวงชมพู ประเสริฐ QUALITYLIFE4444@GMAIL.COM

    ไทยนับเป็นประเทศแรกที่สามารถยืนยันพบผู้ป่วยติดเชื้อ “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019” รายแรกนอกพื้นที่เมืองอู่ฮั่น เบื้องหลังการเฝ้าระวัง คัดกรอง ป้องกัน จนถึงการที่สามารถยืนยันเชื้อไวรัสได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางข้อมูลที่ค่อนข้างจำกัดจากจีน!!!

    สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี รองหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่กรมควบคุมโรค(คร.)ได้คัดกรองพบผู้เข้าเกณฑ์สงสัยต้องเฝ้าระวังที่สนามบินสุวรรณภูมิ และนำตัวเข้ารับการรักษาที่ห้องแยกโรคความดันลบสถาบันบำราศนราดูร และตรวจเชื้อเบื้องต้นไม่พบเชื้อที่ก่อโรคระบบทางเดินหายใจ 33 ชนิดที่รู้จักมาก่อน จึงส่งตัวอย่างเชื้อให้ศูนย์ฯทำการตรวจ โดยระบุโจทย์ว่า “สงสัยจะเป็นโรคใหม่ในจีน ซึ่งไม่รู้โรคอะไร”

    ศูนย์ดำเนินการตรวจมุ่งไปที่ไวรัส 2 ตระกูล คือ โคโรนาและอินฟลูเอนซา เนื่องจากช่วงเวลานั้นจีนยังไม่เปิดเผยว่าเป็นไวรัสตระกูลโคโรนา โดยใช้วิธีพิเศษเพราะการตรวจวิธีปกติไม่สามารถตรวจเจอเชื้อ คือ เพิ่มปริมาณไวรัสแบบทั้งตระกูล(Family wide PCR) แล้วถอดรหัสพันธุกรรม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงในการตรวจต่อ 1 ตัวอย่าง 1.2 แสนบาท ก่อนนำมาเปรียบเทียบรหัสพันธุกรรมจากธนาคารรหัสพันธุกรรมโลก

    ในวันที่ 9 ม.ค.2563 ไทยพบว่าเป็นเชื้อไวรัสตระกูลโคโรนา แต่ไม่สามารถระบุสายพันธุ์ย่อยได้ แต่พบว่ามีความคล้ายคลึงกับเชื้อที่ก่อโรคซาร์ส เพราะไม่มีรหัสพันธุกรรมของสายพันธุ์นี้อยู่ในธนาคาร กระทั่งหลังจากไทยพบลักษณะเชื้อเช่นนี้ 2 วัน ในวันที่ 11ม.ค.2563ทางการจีนนำรหัสพันธุกรรรมไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่พบในเมืองอู่ฮั่นใส่ในธนาคาร และระบุว่าเป็นไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ทำให้ไทยสามารถนำรหัสพันธุกรรมของไวรัสมาเทียบเคียงและพบว่าตรงกับที่ตรวจเจอจากผู้ป่วยชาวจีนในไทย

    “เท่าที่มีข้อมูลตอนนี้ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019นี้ มีรหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกับเชื้อที่พบในค้างคาวมากที่สุดที่ประมาณ 89 % ซึ่งเป็นค้างคาวมงกุฎซึ่งพบในจีน 2 สปีชี่ส์ คือ ค้างคาวเกือกม้าของจีน (Rhinolophus sinicus) ไม่พบในไทย และค้างคาวมงกุฎยอดสั้นเล็ก (Rhinolophus thomast)พบในไทย ส่วนที่เชื้อจากค้างคาวจะอาศัยสัตว์ทะเลเป็นตัวกลางปรับเปลี่ยนสารพันธุกรรม ในการมาสู่คนนั้น ค่อนข้างยาก เพราะค้างคาวเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การจะเป็นตัวกลางก็น่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกัน แต่ก็อยู่ที่ความสามารถของตัวเชื้อด้วย” สุภาภรณ์กล่าว

    "เท่าที่รู้ตอนนี้ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 มีรหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกับเชื้อที่พบในค้างคาวมากที่สุดที่ประมาณ 89%"

    สุภาภรณ์ บอกด้วยว่า จากการที่ศูนย์ฯได้ร่วมกับกรมควบคุมโรค กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการสำรวจไวรัสที่พบในสัตว์ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2553-2562 ใน 9 จังหวัด ได้แก่ เลย ชลบุรี ราชบุรี เชียงใหม่ ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา พังงา สระแก้ว และตราด โดยส่งตรวจในห้องแล็ปกว่า 42,000 ตัวอย่าง พบว่า เป็นไวรัสที่รู้จักแล้ว 402 ชนิด และไวรัสใหม่ที่ไม่รู้จัก 458 ชนิด ส่วนใหญ่พบในค้างคาว และเป็นไวรัสตระกูลโคโรนา

    แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ อัลฟา(AlphaCoV) เบต้าโค เอ(BetaCov A) เบต้าโค บี (BetaCov B) เบต้าโค ซี(BetaCov C) และเบต้าโค ดี (BetaCov D) โดยกลุ่มที่สนใจเป็นพิเศษ คือ เบต้าโค บี ซึ่งกลุ่มเดียวกับที่ก่อให้เกิดโรคซาร์สและตัวระบาดที่อู่ฮั่น ส่วนอัลฟายังไม่พบรายงานก่อโรคในคน

    ขณะที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย อธิบายว่า ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่าหายนะที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์มีส่วนหรือความเป็นไปได้ที่จะเกิดจากเชื้อโรคโดยเฉพาะไวรัสที่ส่งผ่านมาจากสัตว์โดยตรงสู่คน หรือมีตัวกลางจากแมลง ยุง เห็บ ไร ริ้น

    ทั้งนี้ เมื่อกว่า 20 ปี ที่แล้ว เริ่มเป็นที่รับทราบว่า ไม่ต่ำกว่า 60-70%ของเชื้อก่อโรคในคนมีต้นตอจากสัตว์ทั้งสิ้น และมีศักยภาพ ในการทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ที่จะสร้างผลกระทบในวงกว้าง ทั้งจากการเกิดโรคระบาดและในการกระทบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากไวรัสที่สามารถผันแปรรหัสพันธุกรรม ซึ่งเอื้อต่อการตั้งตัวในสัตว์ต่างขนิดจากตระกูลแรกและเป็นหนทางสู่คนในที่สุด การที่เชื้อจะเข้าคนได้นั้นจะต้องมีการสมยอม ให้เชื้อผ่านเข้าเซลล์และเนื้อเยื่อได้แต่แม้จะมีการสมยอมก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดโรคหรือมีอาการเสมอไป

    "หายนะที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์มีส่วนหรือความเป็นไปได้ที่จะเกิดจากเชื้อโรคโดยเฉพาะไวรัสที่ส่งผ่านมาจากสัตว์โดยตรงสู่คน"

    กระบวนการที่ก่อให้เกิดโรค จำเป็นจะต้องมีขั้นตอนหลบหลีก จากระบบป้องกันภัยของคนและเมื่อมีการตั้งตัวโดยเริ่มขยายจำนวนได้แล้ว จึงจะมีกลไกในการทำร้ายเซลล์ไม่ว่าจากการกระตุ้นให้มีการอักเสบมากเกินพอเหมาะพอควร หรือเป็นกระบวนการแฝงอาศัยอยู่ในเซลล์ดูดพลังงานจนเซลล์หมดกำลัง (bioenergetic failure)อีกทั้งไม่ยอมให้ระบบกำจัดสิ่งแปลกปลอมขจัดตัวเชื้อโรคออกจากเซลล์

    “ความรุนแรงหรืออาการมีได้ตั้งแต่ อาการน้อยมากจนแทบไม่รู้สึกถึงรุนแรงมาก กระทั่งถึงเสียชีวิต เมื่อมีการสมยอมเกิดมีอาการแล้วอาจจะยังตัดกันไม่ขาด ยังคงหลบซอกซอนอยู่ในร่างกายตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นที่เดิม และเกิดโรคซ้ำซ้อนขึ้นมา แม้ว่าจะผ่านไปหลายเดือน จนเป็นปีก็ตาม เช่น ในโรคไข้เลือดออกอีโบล่า สมองอักเสบนิปาห์ และโรคซิการ์ (zika) Fดยที่ในระหว่างที่มีการสมยอมนั้นยังมีการแพร่ให้คนอื่นได้ และเป็นกระบวนการสำคัญอีกอย่างในการพัฒนาการแพร่กระจายของเชื้อ โดยที่การติดต่อทางการหายใจ ถือเป็นขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพที่สุดของเชื้อโรค และเชื้ออุบัติใหม่เหล่านี้เนื่องจากคนไม่เคยสัมผัสมาก่อนดังนั้นจะไม่มีภูมิคุ้มกันเลย ทำให้โรคอาจจะมีความรุนแรงมาก” ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าว

    นสพ.ภัทรพล มณีอ่อน สัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บอกว่า ผลจากการทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ่งเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามมา ซึ่งส่งผลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ มี 2 รูปแบบ คือ ภัยธรรมชาติ และโรคระบาดบางพื้นที่เกิดภัยธรรมชาติ บางพื้นที่เกิดโรคระบาดโรคติดต่อ และในบางกรณีเกิดขึ้นพร้อมๆกัน โดยเฉพาะโรคระบาด จากข้อมูลพบว่า โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดขึ้น 70 กว่า%มาจากสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ป่า ถือเป็นแหล่งเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งหากอยู่ในตัวสัตว์ป่าเอง จะไม่ก่อโรคหรือแสดงอาการเจ็บป่วยออกมา แต่หากเชื้อโรคเหล่านี้ติดต่อสู่มนุษย์หรือสัตว์เลี้ยง ก็จะเกิดโรคและแสดงอาการเจ็บป่วยออกมา รวมถึงสามารถติดต่อสู่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้

    " โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดขึ้น 70 กว่า%มาจากสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ป่า"

    ปัจจัยที่ทำให้เชื้อโรคจากสัตว์ป่าติดต่อสู่คน ได้แก่ 1. ถิ่นอาศัยถูกบุกรุก ทำลาย หรือรบกวน สัตว์ป่าไม่มีที่อยู่ พฤติกรรมเปลี่ยน ออกมาอยู่ในพื้นที่ เดียวกันกับมนุษย์ 2. ภัยธรรมชาติ ที่ทำลายสมดุลของสภาพแวดล้อม ระหว่างคนและสัตว์ป่า ทำให้ระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลง เช่น อุทกภัย อัคคีภัย เป็นต้น 3.อาชญากรรมสัตว์ป่า เป็นอีกปัจจัยคุกคามการอยู่รอดของมนุษยชาติที่สำคัญ เพราะสัตว์ป่าในขบวนการนี้ มักถูกจับจากธรรมชาติ ถูกเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ถูกจำกัดพื้นที่ กักขัง สัตว์จึงเกิดความเครียด

    เมื่อร่างกายสัตว์เกิดความเครียด ภูมิคุ้มกันร่างกายจะลดลง โอกาสที่เชื้อโรคที่มีอยู่ในร่างกายจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น โอกาสที่จะแพร่กระจายเชื้อก็มีมากขึ้น 4.การบริโภคสัตว์ป่า เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ โดยเฉพาะ ขั้นตอนและกระบวนการประกอบอาหาร เช่น การฆ่า ผ่า ช าแหละ ซากสัตว์ป่า มีโอกาสที่สัมผัสกับสารคัดหลั่งต่างๆ ของสัตว์ป่า เช่น เลือด น้ำาลาย อุจาระ ปัสสาวะ โดยในสารคัดหลั่งเหล่านี้ สามารถตรวจพบเชื้อไวรัสต่างๆ ได้

    https://www.bangkokbiznews.com/news..._HIVIE6GdTa950kdVOyXyNMJpVco9IvXLU3YYETkFCRj8
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'คลัง' เล็งขยายเวลายื่นภาษีบุคคล ถึงสิ้น มิ.ย.หวังบรรเทาภาระ
    750x422_862840_1579526211.jpg
    21 มกราคม 2563

    “คลัง” จ่อขยายเวลายื่นชำระภาษีบุคคลธรรมดาออกไปอีก 3 เดือน โดยสิ้นสุดมิ.ย.จากเดิมต้องยื่นภายในมี.ค. หวังบรรเทาความเดือนร้อนประชาชน ย้ำการขยายเวลาไม่กระทบสภาพคล่องรัฐ เหตุมีเงินคงคลังเพียงพอ

    กระทรวงการคลัง เตรียมออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาความเดือนร้อนและภาระของประชาชน โดยหนึ่งในแนวทางที่อยู่ระหว่างพิจารณา คือ การขยายเวลาการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาออกไป 3 เดือน จากเดิมที่ต้องยื่นชำระภาษีภายในเดือนมี.ค. ก็จะขยายออกไปเป็นภายในสิ้นเดือนมิ.ย.แทน

    แหล่งข่าวกล่าวว่า เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาภาระความเดือดร้อนของผู้เสียภาษี กระทรวงการคลังจึงเสนอให้ขยายระยะเวลาการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาออกไปอีก 3 เดือน โดยในส่วนคนที่ยื่นแบบภาษีแล้วได้รับคืนภาษี ก็จะได้รับคืนภาษีที่เร็วขึ้น ส่วนในรายที่คาดว่า จะเสียภาษีหรือเสียภาษีเพิ่ม สามารถไปยื่นภาษีได้ภายในเดือนมิ.ย.เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งเรื่องนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ก็เห็นว่า เป็นมาตรการที่น่าสนใจ ให้กระทรวงการคลังไปพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง

    นอกจากนี้การขยายเวลาการชำระภาษีเงินได้ดังกล่าว ยังช่วยบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนที่มีรายได้เกี่ยวเนื่องกับการรับงานภาครัฐ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการเบิกจ่ายที่ไม่สามาถดำเนินการได้ เนื่องจากงบประมาณปี 2563 ยังไม่ผ่าน และถึงแม้งบจะผ่านในเดือนก.พ. แต่กว่าจะตั้งเบิกจ่ายได้ก็ราวเดือนเม.ย. ดังนั้นการขยายเวลาจึงช่วยบรรเทาภาระคนกลุ่มนี้ด้วย

    สำหรับในรายที่มีภาระภาษีจ่าย ตามปกติแล้ว สามารถที่จะขอผ่อนชำระต่อกรมสรรพากรได้เป็นเวลา 3 เดือนนับจากวันที่กรมสรรพากรกำหนดให้ชำระภาษี ดังนั้น หากกระทรวงการคลังกำหนดให้เลื่อนระยะเวลาการจ่ายภาษีดังกล่าวออกไปอีก 3 เดือน ผู้ที่มีภาระภาษีก็จะสามารถขอผ่อนชำระภาษีได้อีก 3 เดือนเช่นเดิม กล่าวคือ หากยื่นแบบชำระภาษีในเดือนมิ.ย.สามารถขอผ่อนชำระภาษีได้จนถึงเดือนก.ย. เป็นต้น

    ทั้งนี้ หากมองในแง่ผลกระทบที่มีต่อการจัดเก็บรายได้รัฐบาล กระทรวงการคลังได้พิจารณาเบื้องต้นว่า การเลื่อนระยะเวลาการชำระภาษีดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการคลังรัฐบาล เนื่องจาก ขณะนี้ ระดับเงินคงคลังของรัฐบาลยังอยู่ในระดับสูง เพียงพอต่อการบริหารจัดการด้านรายจ่ายของรัฐบาลได้

    แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า นายสมคิด ได้ติดตามการดำเนินตามมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยได้รับรายงานว่า ส่วนใหญ่หรือราว 80% ของมาตรการสามารถเดินหน้าไปได้ อย่างไรก็ดี นายสมคิด ได้เร่งรัดและตั้งเป้าหมายให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งตามมาตรการจะมีวงเงินความช่วยเหลือเอสเอ็มอีผ่านการปล่อยสินเชื่อกว่า 3 แสนล้านบาท โดยจะต้องปล่อยให้ได้ถึง 50% จากวงเงินดังกล่าว

    นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ในช่วงเช้าวานนี้(20ม.ค.)ว่า ได้ประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับนโยบายที่ตนได้มอบไว้เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งตนได้เร่งรัดให้ดำเนินการโดยเร็ว หากมีมาตรการใดที่จำเป็นต้องเพิ่มเติมก็มอบให้กระทรวงการคลังไปพิจารณา

    นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้หารือกับประธานสมาคมธนาคารไทยเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หลังจากที่รัฐบาลได้ออกมาตรการเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องของการเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันสินเชื่อจากบรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม(บสย.)จาก 30% เป็น 40% ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ซึ่งได้กำชับให้สถาบันการเงินได้เร่งปล่อยสินเชื่อให้ได้ตามเป้าหมายจำนวน 6 หมื่นล้านบาท

    “ผมได้ขอความร่วมมือทั้งแบงก์รัฐและเอกชนให้เขาช่วยเร่งปล่อยสินเชื่อตามมาตรการดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อให้เม็ดเงินลงไปยังผู้ประกอบการเอสเอ็มอี”

    เขากล่าวด้วยว่า ผู้บริหารคปภ.ได้รายงานต่อที่ประชุมด้วยว่า สัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะกรรมการคปภ.โดยจะได้หารือถึงการขยายการลงทุนให้กว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศของผู้ประกอบธุรกิจประกัน ทั้งนี้ ธุรกิจประกันมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่มากถึง 4 ล้านล้านบาท ดังนั้น การขยายการลงทุนจึงจะเป็นประโยชน์ โดยกรณีการลงทุนในประเทศนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ ส่วนการลงทุนในต่างประเทศนั้น ก็จะช่วยลดแรงกดดันค่าเงินบาทที่แข็งค่าได้อีกทางหนึ่งด้วย

    https://www.bangkokbiznews.com/news...ce=slide_topnews&utm_medium=internal_referral
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    webcamsdemexico กำลังถ่ายทอดสด

    วิวที่งดงาม! คืนนี้ ภูเขาไฟ #popocatépetl เห็นจาก tlamacas ใน #edomex

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    ที่ Belo Horizonte, ประเทศบราซิล วันที่ 20 มกราคม 2020









     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    LOCKED, LOADED, -> ❓
    จากนั้นคุณสามารถตอบตัวเอง!
    ส่วนทางตอนเหนือของรอยเลื่อนส่วนใหญ่ยังถูกล็อคอยู่ในขณะนี้โดยไม่มีการเคลื่อนไหวที่ตรวจพบได้ และแผ่นดินไหวเล็กน้อยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449

    ระหว่างส่วนที่ถูกล็อคเหล่านี้ รอยเลื่อนของ San Andreas จะคืบคลานออกไป
    909673_1894151715079323648_o.jpg?_nc_cat=105&_nc_ohc=5NlId7BATSQAX8KsOmg&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    574441_1790347668409548800_o.jpg?_nc_cat=110&_nc_ohc=oqNA1kRF6J0AX_J5aKp&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    LOCKED, LOADED, ->❓
    Then you can answer yourself !

    Most of the northern section of the fault is also currently locked, with no detectable movement and few earthquakes since 1906.
    Between these locked sections, the San Andreas fault creeps (slips aseismically).



    https://www.latimes.com/local/lanow...PK5OT5l5b_qz9o87L0e3cUcvgnLi435x3_yZTtwsqjud0
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กฎไตรลักษณ์

    [เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ถึงมหานครหนึ่งที่กำลังสิ้นสุด และมหานครใหม่กำลังจะเกิดขึ้น]
    .........อนิจจัง แปลว่าไม่เที่ยง หมายความว่าสิ่งทั้งหลายมีลักษณะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไป ไม่มีความ
    คงที่ตายตัว
    .........ทุกขัง แปลว่าเป็นทุกข์ มีความหมายว่า สิ่งทั้งปวงมีลักษณะที่เป็นทุกข ์มองดูแล้วน่าสังเวชใจ
    ทำให้เกิดความทุกข์ใจแก่ผู้ที่ไม่มีความเห็นอย่างแจ่มแจ้งในสิ่งนั้นๆ
    .........อนัตตา แปลว่าไม่ใช่ตัวตน หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความหมายแห่งความ
    เป็นตัวเป็นตน ไม่มีลักษณะอันใดที่จะทำให้เรายึดถือได้ว่าเป็นตัวเราของเรา ถ้าเห็นอย่างแจ่มแจ้ง
    ชัดเจนถูกต้องแล้ว ความรู้สึกที่ว่า "ไม่มีตัวตน" จะเกิดขึ้นมาเองในสิ่งทั้งปวง แต่ที่เราหลงเห็นไปว่าเป็น
    ตัวเป็นตนนั้น ก็เพราะความไม่รู้อย่างถูกต้องนั่นเอง
    .........ขอให้ทราบว่า ลักษณะสามัญ ๓ ประการนี้ พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมากกว่าคำสั่งสอนอื่นๆ
    ในบรรดาคำสั่งสอนทั้งหลายจะนำมารวบยอดอยู่ที่การเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ทั้งนั้น
    บางทีก็กล่าวตรงๆ บางทีก็พูดด้วยโวหารอย่างอื่น แต่ใจความมุ่งแสดงความจริงอย่างเดียวกัน
    เรื่องของความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งทั้งหลายนี้ เคยมีสอนกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ขยาย
    ความให้ลึกซึ้งถึงที่สุด ไม่ประกอบด้วยเหตุผล และไม่สามารถชี้ถึงวิธีดับทุกข์ที่สมบูรณ์จริงๆ ได้
    เพราะยังไม่รู้จักความทุกข์อย่างเพียงพอเท่ากับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ส่วนเรื่องความไม่ใช่ตัว
    ไม่ใช่ตนนี้ มีสอนแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ข้อนี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่รู้จักว่าอะไรเป็น
    อะไรถึงที่สุดเท่านั้น จึงจะรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของตน เหตุนั้นจึงมีสอนแต่
    โดยพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้ว่า อะไรเป็นอะไรได้ถึงที่สุดจริงๆ
    .........คำสอนเรื่องลักษณะ ๓ ประการนี้ มีวิธีปฏิบัติเพื่อให้เห็นแจ้งมากมายหลายวิธีด้วยกัน ถ้าปฏิบัติ
    จนเห็นแจ้งแล้ว เราจะพบว่ามีข้อสังเกตข้อหนึ่ง คือต้องการเห็นจนรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่ายึดถือ
    ไม่มีอะไรที่อยากจะเอา จะมี จะเป็น ซึ่งสรุปสั้นๆ ว่า "ไม่มีอะไรที่น่าเอา ไม่มีอะไรที่น่าเป็น" เมื่อท่านมองเห็นว่า ความมีความเป็นอย่างใดก็ตามเป็นของหลอกลวง เป็นมายา ไม่น่าเอา
    ไม่น่าเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นจริงๆ ดังนี้แล้ว นั่นแหละ คือการเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างถูกต้อง
    ส่วนคนที่ท่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ทั้งเช้าทั้งเย็นหลายร้อยหลายพันครั้งมาแล้ว ไม่อาจเห็นก็ได้
    เพราะไม่ใช่วิสัยที่จะเห็นได้ด้วยการฟัง หรือด้วยการท่องการคำนึงคำนวณเอาตามหลักเหตุผลนั้นไม่ใช่
    "การเห็นแจ้ง" อย่างที่เรียกว่า "เห็นธรรม" การเห็นธรรมไม่อาจจะเห็นได้ด้วยการคิดไปตามเหตุผล แต่ต้องเห็นแจ้ง ด้วยความรู้สึกภายในที่แท้จริง เช่นพิจารณาเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำความเจ็บปวดให้แก่ตน
    ที่เข้าไปหลงไหลอย่างสาสม อาศัยการที่ได้กระทบจริงๆ จนเกิดเป็นความรู้สึกแก่จิตใจขึ้นมาจริงๆ แล้วเกิด
    ความเบื่อหน่าย เกิดความสลดสังเวชขึ้นมา อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเห็นธรรม หรือเห็นแจ้ง
    ......... การเห็นแจ้งทำนองนี้ อาจเลื่อนสูงขึ้นไปตามลำดับ จนกว่าจะถึงเรื่องสุดท้ายที่ทำให้ปล่อยวาง
    สิ่งทั้งปวงได้ ส่วนผู้ที่ท่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือพิจารณาอยู่ทั้งวันทั้งคืน แต่ถ้าไม่เกิดความ
    รู้สึกเบื่อหน่ายต่อสิ่งทั้งปวง คือไม่อยากเอาอะไร ไม่อยากเป็นอะไร ไม่อยากยึดถือในอะไรแล้ว
    ก็เรียกว่ายังไม่เป็นอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงสรุปเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ความไม่ใช่ตัวตน
    ลงไว้ที่คำว่า "เห็นจนเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่น่าเอาหรือน่าเป็น"
    ......... พุทธศาสนามีคำอยู่คำหนึ่งเป็น คำรวบยอด คือคำว่า "สุญญตา" ซึ่งแปลว่า ความเป็นของว่าง
    คือว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน ว่างจากสาระที่เราควรจะเข้าไปยึดถือด้วยกำลังใจ
    ทั้งหมดทั้งสิ้นว่า ตัวเรา-ของเรา การเพ่งพิจารณาดูให้เห็นว่า สิ่งทั้งปวงว่างจากสาระที่ควรเข้าไป
    ยึดถือนั้น เป็นตัวศาสนาโดยแท้ เป็นหัวใจของการปฏบัติตามหลักพุทธศาสนา เมื่อรู้แจ้งว่าทุกสิ่ง
    ทุกอย่างว่างจากตัวตนแล้ว ก็เรียกว่ารู้พุทธศาสนาถึงที่สุด
    ......... คำว่า "ว่างจากตัวตน" คำเดียว เป็นการเพียงพอ ที่รวบเอาคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาไว้ด้วย
    เสร็จ เมื่อมันไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีส่วนไหนยั่งยืนถาวร ก็เรียกได้ว่าว่างเหมือนกัน
    เมื่อเต็มไปด้วยลักษณะที่ดูแล้วน่าสังเวชใจก็แปลว่า ว่างจากส่วนที่เราควรจะเข้าไปยึดถือเอา
    เมื่อเราพิจารณาดูว่าไม่มีลักษณะไหนที่จะคงทนเป็นตัวตนของมันเองได้ เป็นเพียงธรรมชาติ
    ที่ผันแปรไปตามกฎของธรรมชาติ อันไม่ควรเรียกว่าเป็นตัวตนของมันเอง ดังนี้ก็เรียกว่า "ว่างจากตัวตนได้"
    ถ้าบุคคลใดเห็นความว่างของสิ่งทั้งปวงแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึก "ไม่น่าเอาไม่น่าเป็น" ในสิ่งต่างๆ
    ขึ้นมาทันที ความรู้สึกไม่อยากเอา ไม่อยากเป็นนี่แหละ มีอำนาจเพียงพอที่จะคุ้มครองคนเรา
    ไม่ให้ตกไปเป็นทาสของกิเลสหรือของอารมณ์ทุกชนิด บุคคลชนิดนี้ไม่สามารถทำความชั่วต่อไป
    ไม่หลงใหลพัวพันติดอยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือเอนเอียงไปตามสิ่งยั่วยวนใจใดๆ เขาย่อมมีจิตใจ
    เป็นอิสระอยู่เสมอ และไม่มีความทุกข์เลย
    ......... ที่ว่า "ไม่มีอะไรน่าเอาน่าเป็น" นี้ เป็นสำนวนโวหารอยู่สักหน่อย คำว่า "เอา" และ "เป็น" ในที่นี้
    หมายถึงการเอาหรือเป็นด้วยจิตใจที่หลงใหล ด้วยจิตใจที่ยึดถือ ด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นจริงๆ
    มิได้หมายความว่า คนเราจะเป็นอยู่ได้โดยไม่มีอะไรไม่เป็นอะไรเสียเลย ตามปกติคนเราจะต้อง
    เอาอะไร เป็นอะไรอยู่เป็นประจำ เช่นจะต้องมีทรัพย์สมบัติ มีบุตร ภรรยา เรือกสวนไร่นาจะต้อง
    เป็นคนดี เป็นผู้แพ้ เป็นผู้ชนะ หรือเป็นผู้ถูกเอาเปรียบเป็นต้น จะต้องมีความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
    อยู่เสมอ แต่แล้วทำไมพุทธศาสนาจึงสอนให้เราพิจารณาในทางที่จะไม่เอาไม่เป็น
    ......... ข้อนี้หมายความว่า พุทธศาสนาได้ชี้ให้เห็นความ การเอาการเป็นนั้น เป็นเรื่องสมมติอย่างโลกๆ
    อย่างหนึ่ง และเป็นไปด้วยอำนาจของความไม่รู้ (อวิชชา) นั่นเอง เพราะเมื่อพูดกันตามความจริง
    ขั้นที่เด็ดขาดถึงที่สุด ซึ่งเรียกว่า ขั้นปรมัตถ์แล้ว คนเราจะเอาอะไร เป็นอะไรไม่ได้เลย เพราะเหตุใด?
    เพราะเหตุว่าทั้งคนที่จะเอาและสิ่งที่จะถูกเอานั้นมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตนด้วยกันทั้งนั้น
    แต่คนที่ไม่รู้เช่นนั้น ย่อมจะต้องมีความรู้สึกว่า "เราเอา" "เรามี" "เราเป็น" เป็นธรรมดา นี่เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้
    .........ความรู้สึกว่าเอา ว่าเป็น นั่นเอง ได้ทำให้เกิดมีความหนักใจ หรือความทุกข์ขึ้นมา การเอา การเป็น
    ก็เป็นความอยากอย่างหนึ่ง คืออยากไม่ให้สิ่งที่ตนกำลังเอา กำลังเป็นอยู่นั้นสูญหายหลุดลอยไป
    ความทุกข์เกิดมาจากความอยากมี อยากเป็น อันรวมเรียกสั้นๆ ว่า ความอยาก ซึ่งเรียกโดยภาษา
    บาลีว่า "ตัณหา"
    ......... การที่อยากก็เพราะไม่รู้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรอยาก มันเป็นความเข้าใจผิดติดตาม
    มาตามสัญชาตญาณเกิดมาตั้งแต่เด็กๆ ก็รู้จักอยาก แล้วก็บังเกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา
    ซึ่งตรงตามที่อยากก็มี ไม่ตรงก็มี ถ้าได้ผลตรงตามที่อยาก ก็เกิดอยากให้มากขึ้นไปอีก ถ้าไม่ได้ผล
    ตรงตามที่อยาก ก็ต้องดิ้นรนทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปจนกว่าจะได้ผลตรงตามที่อยาก เมื่อทำลงไป
    มันก็ได้ผลอย่างใดอย่างหนึ่ง วนเวียนเป็นวงกลมของกิเลส-การกระทำ-ผล วิบากอยู่อย่างนี้ เรียกว่า "วัฏฏสงสาร"
    ......... คำว่าวัฏฏสงสาร นั้นอย่าเพ่อไปเข้าใจว่า เป็นเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ชาติโน้น ชาตินี้ ชาตินั้น
    แต่อย่างเดียว ที่แท้จริงกว่านั้นเป็นเรื่องการวนเวียนของสิ่ง ๓ สิ่ง คือ ความอยาก-การกระทำตาม
    ความอยาก-ผลอย่างใดอย่างหนึ่งที่ได้มาจากการกระทำนั้น-แล้วไม่สามารถหยุดความอยากได้
    เลยต้องอยากอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป-แล้วก็กระทำอีก-ได้ผลมาอีก-เลยส่งเสริมความอยากอย่าง
    ใดอย่างหนึ่งต่อไปอีก เป็นวงกลมอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ท่านเรียกว่า วัฏฏะ หรือ วัฏฏสงสาร
    เพราะเป็นวงกลมที่เวียนวน ไม่มีที่สิ้นสุดลงได้
    ......... คนเราต้องทนทุกข์ทรมาน ก็เพราะติดอยู่ในวงกลมนี้เอง ถ้าใครหลุดออกไปจากวงกลมนี้ได้
    ก็เป็นอันว่าพ้นไปจากความทุกข์ทุกอย่างแน่นอน (นิพพาน)
    ......... ไม่ว่ากระยาจกเข็ญใจ เศรษฐี มหากษัตริย์ จักรพรรดิ เทวดา พรหม หรือจะเป็นอะไรก็ตามที ล้วน
    แต่ตกอยู่ในวงกลมนี้ทั้งนั้น จะต้องมีความทุกข์ทรมานชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเหมาะสมกับความ
    อยากของเขา ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า ในวัฏฏสงสารนี้ เต็มไปด้วยความทรมานอันใหญ่หลวง
    ศีลธรรมหรือจริยธรรมนั้น ไม่สามารถแก้ปัญหาข้อนี้ได้เลย เราจึงต้องพึ่งตัวแท้ของพุทธศาสนา
    ที่เป็นหลักธรรมชั้นสูง ให้แก้ไขในเรื่องนี้โดยเฉพาะทีเดียว ทั้งหมดนี้เราจะเห็นได้ว่า ความทุกข์นั้น
    มาจากความอยาก สมดังที่พระพุทธเจ้าท่านจัดความอยากไว้ในเรื่องอริยสัจจ์ข้อที่สอง ในฐานะ
    เป็นมูลเหตุให้เกิดความทุกข์ต่างๆ โดยตรง
    ......... ความอยากมีอยู่ ๓ อย่าง อย่างแรกเรียกว่า กามตัณหา อยากในสิ่งน่ารักใคร่พอใจ จะเป็นรูป
    เสียงกลิ่น รส สัมผัส อะไรก็ได้ อย่างที่สองเรียกว่า ภวตัณหา คือความอยากเป็นอย่างนี้อย่างนั้น
    ตามที่ตนอยากจะเป็น อย่างที่สามเรียกว่า วิภวตัณหา คือความอยากไม่ให้มีอย่างนั้น ไม่ให้เป็น
    อย่างนี้ หลักเกณฑ์ข้อนี้กล้าท้าให้ใครๆ พิสูจน์หรือแย้งอย่างไรก็ได้ว่า ยังมีความอยากอะไรอีกบ้าง
    นอกเหนือไปกว่า ๓ อย่าง ที่กล่าวมานี้
    .........ท่านทั้งหลายจะมองเห็นว่า เมื่อมีความอยากที่ไหน ก็มีความร้อนใจที่นั่น และเมื่อต้องกระทำตาม
    ความอยาก ก็ย่อมมีความทุกข์ตามส่วนของการกระทำ ได้ผลมาแล้วก็หยุดอยากไม่ได้ คงอยากต่อไป
    ต้องมีความร้อนใจต่อไปอีก เพราะยังไม่เป็นอิสระจากความอยาก ยังต้องเป็นทาสของความอยาก
    ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่า คนชั่วทำชั่วเพราะอยากทำชั่ว มันก็มีความทุกข์ไปตามประสาคนชั่ว คนดี
    อยากทำดีตามประสาของคนดี
    ........ แต่ข้อนี้ อย่าเพ่อเข้าใจว่าเป็นการสั่งสอนให้เลิกละจากการทำความดี เฉพาะในที่นี้ประสงค์จะชี้
    ให้เห็นว่า ความทุกข์นั้นมีอยู่หลายระดับ ละเอียดจนคนธรรมเข้าใจไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยสติ
    ปัญญาของบุคคลประเภทพระพุทธเจ้าซึ่งชึ้ให้เห็นว่า เราจะพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิงด้วย
    ลำพังเพียงการกระทำความดีอย่างเดียวเท่านั้นยังไม่พอ ยังจะต้องทำบางสิ่งที่ยิ่งหรือเหนือไปจาก
    การทำความดีซึ่งได้แก่ การทำจิตให้หลุดพ้นไจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของความอยากทุกชนิดนั่นเอง
    นี่เป็นใจความสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่มีทางแพ้ศาสนาใดๆในโลก อันไม่อาจเข้ามาเทียบ
    สู้หรือเคียงคู่ได้ในส่วนนี้ จึงเป็นสิ่งที่ต้องจำไว้ให้แม่นยำ
    ......... เราเอาชนะความอยากทั้ง ๓ อย่งที่กล่าวแล้วได้นั่นแหละ จึงจะเป็นความพ้นจากความทุกข์ หรือหมดความทุกข์โดยประการทั้งปวง
    ......... เราจะกำจัดหรือดับระงับหรือตัดรากเง่าของความอยากให้หมดจดสิ้นเชิงได้อย่างไร?
    คำตอบก็คือว่าพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน จนมองเห็นว่าไม่มี
    อะไรที่น่าอยากนั่นเอง มันมีอะไรบ้างที่น่าเอา น่าเป็น ซึ่งเมื่อเอาหรือเป็นเข้าแล้ว จะไม่โยนความทุกข์
    ชนิดใดชนิดหนึ่งมาใส่ให้บุคคลนั้น? ขอให้ตั้งปัญหาถามขึ้นอย่างนี้ ได้อะไรหรือเป็นอะไรบ้าง ที่จะไม่
    นำมาซึ่งความหนักอกหนักใจ
    ......... ขอให้ลองคิดดู การได้บุตรได้ภรรยานำเอาความเบากายเบาใจมาให้ หรือเอาภาระหลายอย่างมาให้?
    การได้ตำแหน่งหน้าที่ เป็นการได้มาซึ่งความสงบเย็น หรือได้มาซึ่งภาระหนักโดยนัยนี้จะเห็นได้โดย
    ง่ายว่า ล้วนแต่นำมาซึ่งภาระและหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ เพราะเหตุใด? เพราะเหตุว่า สิ่งทั้ง
    หลายทั้งปวงล้วนแต่เป็นภาระ เพราะความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนของมันนั่นเอง เมื่อเราได้อะไรมา เราก็จะต้องจัดการกับสิ่งนั้นๆ ให้มันคงอยู่กับเรา ให้เป็นไปตามใจเราหรือมี
    ประโยชน์แก่เรา แต่แล้วสิ่งนั้นๆ ตามปกติ มันเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่เป็นตัวตนของใคร คือ
    ไม่รู้ไม่ชี้ต่อความประสงค์มุ่งหมายของบุคคลใด มีแต่จะเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุ ตามวิสัยของมัน
    เอง การพยายามของคนเราจึงเป็นการต่อสู้ หรือเป็นการต่อต้านกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงของสิ่ง
    เหล่านั้น ฉะนั้น จึงเกิดเป็นความยากลำบาก หรือเป็นความทนทรมานในการที่จะเป็นอยู่ หรือไปทำ
    สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ให้เป็นไปตามความประสงค์ของเรา
    ......... อุบายซึ่งจะจัดการกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่ไม่น่าเอาไม่น่าเป็นนั้นมีอยู่ ข้อนี้ได้แก่การพิจารณาให้
    ลึกซึ้งจนพบความจริงว่าเมื่อยังมีกิเลสตัณหา ความรู้สึกในการเอา การเป็นนั้น ย่อมมีลักษณะ
    ไปอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีกิเลสตัณหา มีแต่ปัญญาที่รู้จักสิ่งต่างๆ ถูกต้องดีว่า อะไรเป็นอะไรแล้วความรู้สึก
    ในการเอา การเป็น หรือการได้ของบุคคลนั้นย่อมอยู่ในลักษณะอีกแบบหนึ่ง
    ......... ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การกินอาหาร ถ้ากินด้วยตัณหา หรือด้วยความอยากในความเอร็ดอร่อย
    การกินอาหารของผู้นั้น ต้องมีอาการต่างจากบุคคลที่ไม่กินอาหารด้วยตัณหา แต่กินด้วยสติ
    สัมปชัญญะหรือมีปัญญารู้ว่าอะไรเป็นอะไร นี้ก็เป็นคนด้วยกัน แต่คนหนึ่งกินด้วยตัณหา อีกคน
    หนึ่งกินด้วยความรู้สึกตัวด้วยสติปัญญา การกินจะต้องผิดกัน กิริยาอาการที่กินและความรู้สึก
    ในขณะกิน ก็จะต้องผิดกัน และในที่สุดผลอันเกิดจากการกินก็จะต้องผิดกัน
    ......... เราต้องทำความเข้าใจกันในข้อที่ว่า แม้จะไม่ต้องมีตัณหาหรือความอยากในรสอร่อย คนเราก็กิน
    อาหารได้ พระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีกิเลสตัณหาเลย ก็ยังทำอะไรๆ ได้
    เป็นอะไรๆ ได้ ยังทำงานมากกว่าพวกเรา ที่ทำด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา ท่านทำด้วยอำนาจ
    ของอะไร? ท่านทำเหมือนกับพวกเรา ที่ทำด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา อยากเป็นนั่นเป็นนี่หรือ
    คำตอบก็คือ ท่านทำด้วยอำนาจของปัญญา คือความรู้ที่แจ่มแจ้งถึงที่สุดว่า อะไรเป็นอะไร
    ผิดแปลกแตกต่างจากพวกเราซึ่งทำอะไรๆ ด้วยตัณหา ผลที่เกิดขึ้นนั้นคือ พวกเราต้องเป็นทุกข์
    กันแทบตลอดเวลา แต่ส่วนท่านไม่มีความทุกข์เลย ท่านไม่อยากได้อะไร ไม่อยากเอาอะไร ผลจึง
    ไปได้แก่คนทั้งหลายเหล่าอื่น ด้วยความเมตตาของท่านเอง ท่านมีปัญญาเป็นเครื่องบอกว่า สิ่งที่
    ควรจะทำแทนที่จะอยู่เฉยๆ ฉะนั้นท่านจึงทำการสืบอายุพระศาสนามาจนถึงพวกเราได้ และทั้งได้
    ทำประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย
    ......... ร่างกายและจิตใจที่ปราศจากกิเลสตัณหา ก็แสวงหาและบริโภคอาหารได้ด้วยปัญญา ไม่แสวงและ
    บริโภคด้วยกิเลสตัณหาเหมือนแต่ก่อน เมื่อเราหวังจะเป็นผู้พ้นทุกข์ตามรอยบาทของพระพุทธเจ้า
    หรือของพระอรหันต์ทั้งหลายเราก็ควรฝึกฝนตัว ในการที่จะทำอะไรลงไปด้วยปัญญา อย่าทำไปด้วย
    อำนาจกิเลสตัณหา ถ้าเป็นคนศึกษาเล่าเรียนก็ศึกษา ไปด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีว่ามันเป็นการ
    สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษา ถ้าประกอบการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ทำไปด้วยความรู้สึก
    ผิดชอบชั่วดี ว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนควรกระทำและทำให้ดีที่สุด ด้วยความเยือกเย็นเท่าที่สติปัญญา
    จะอำนวยให้
    ......... ถ้าทำไปด้วยตัณหา มันจะร้อนใจเมื่อกำลังทำ และร้อนใจเมื่อทำเสร็จแล้ว แต่ถ้าทำด้วยอำนาจ
    ของปัญญาควบคุมอยู่ จะไม่ร้อนใจเลย ผลแตกต่างกันอย่างนี้ ฉะนั้นเราจำเป็ฯต้องรู้อยู่เสมอว่า
    สิ่งทั้งหลายโดยแท้จริงแล้วเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็ฯ จะเข้าไปเกี่ยวข้อง
    ก็เข้าไปด้วยปัญญา การกระทำของเราก็จักไม่ตกหล่มของกิเลสตัณหา
    ......... การทำด้วยสติปัญญา จะไม่มีความทุกข์ตั้งแต่เบื้องต้นจนปลาย จิตใจจะไม่มีความหลงยึดถือ
    อย่างหลับหูหลับตาว่าเป็นของน่าเอา น่าเป็น ทำไปด้วยจิตว่าง ปล่อยให้เป็นไปตามขนบ
    ธรรมเนียมประเพณีหรือตามกฏหมาย ยกตัวอย่างเช่น เรามีที่ดินเป็นทรัพย์สมบัติอยู่ เราไม่จำเป็น
    ต้องมีความรู้สึกที่เป็นตัณหาไปยึดถือในสิ่งนั้น จนถึงกับหนักอกหนักใจแผดเผาหัวใจ กฎหมายยังคง
    คุ้มครองที่ดินผืนนั้นให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเราอยู่นั่นเอง เราไม่ต้องทุกข์ร้อนวิตกกังวลมันก็ไม่หลุด
    มือหายไปไหน
    ......... แม้ว่าจะมีใครมาแย่งชิงก็ยังคงทำการต้านทานป้องกันได้ด้วยสติปัญญา ไม่ต้องต้านทานด้วย
    กิเลสตัณหาให้เร่าร้อนด้วยไฟคือโทสะ เราอาศัยอำนาจกฎหมายทำการต้านทานได้โดยไม่ต้อง
    มีความทุกข์ เราก็ยังคงรักษาคุ้มครองเอาไว้ได้ แต่ถ้าหากว่ามันจะหลุดมือไปจริงๆ เราจะมีกิเลส
    ตัณหาหรือไม่มีก็ตาม มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ คิดเสีย
    ดังนี้เราก็ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไร แม้"การเป็น" ก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปยึดถือในการได้เป็นนั่นเป็นนี่ เพราะโดยที่แท้แล้ว ไม่มีอะไรที่น่าสนุกเลยล้วนแต่นำมาซึ่งความทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งนั้น
    ......... อุบายง่ายๆ ที่เราจะต้องพิจารณา ซึ่งเรียกว่า วิปัสสนา หรือเป็นการปฏิบัติธรรมโดยตรงก็คือ
    พิจารณาให้เห็นว่า ไม่มีอะไรที่น่าเป็น หรือไม่มีการเป็นอะไรที่น่าสนุกเลย ท่านทั้งหลายลองตั้ง
    ปัญหาสำหรับพิจารณาในข้อนี้ว่าการเป็นอะไรบ้างที่น่าสนุก? เช่น เป็นบุตร เป็นบิดา มารดา
    เป็นสามี เป็นภรรยา เป็นนายเขา เป็นบ่าวเขา สนุกไหม? เป็นมนุษย์สนุกไหม? กระทั่งว่าเป็นพรหม
    สนุกไหม?
    ......... ถ้าท่านมีความรู้ว่า อะไรเป็นอะไรอย่างแท้จริงแล้วทุกอย่างล้วนแต่ไม่มีอะไรที่น่าสนุกเลย
    เราต้องทนทำ ทนเป็น ทนเอา ทนอยู่ โดยไม่รู้สึกตัว แล้วทำไมเราจะต้องไปมอบกายถวายชีวิต
    หลงใหลเอา หลงใหลเป็น หรือทำไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา? เราควรจะมีความรู้ที่ถูกต้อง
    ในสิ่งเหล่านี้ แล้วมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ในอาการที่จะให้เป็นทุกข์
    น้อยที่สุด หรือไม่ให้เป็นทุกข์เสียเลยยิ่งดี
    ......... อีกประการหนึ่ง เราจะต้องทำความเข้าใจกับผู้ที่อยู่ร่วมกันในโลก จะเป็นมิตรสหาย แม้ที่สุดบุตร
    ภรรยาผู้ใกล้ชิดสนิทสนม ว่าสิ่งทั้งปวงมันเป็นอย่างนี้ ให้เขามีความเข้าใจที่ถูกต้องเหมือนกับเรา
    แล้วก็จะไม่มีอะไรขัดขวางกันในครอบครัว ในบ้านเมืองตลอดถึงในโลก ต่างคนต่างมีจิตใจที่ไม่
    ยึดมั่นหลงใหลในสิ่งใดๆ หรือในกันและกัน ด้วยอำนาจกิเลสตัณหา แต่ว่าคงมีชีวิตเป็นอยู่ด้วย
    อำนาจของปัญญา โดยมองเห็นชัดอยู่เสมอว่า ไม่มีอะไรที่จะยึดถืออย่างจริงจังได้
    ......... ขอให้ทุกคนมีความรู้สึกว่า สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นตัวตนอย่างแท้จริง ไม่
    น่าหลงด้วยกำลังใจทั้งหมดทั้งสิ้น ควรยับยั้งด้วยปัญญาเรียกว่าเป็นผู้รู้ด้วยปัญญา มีความเห็นถูกต้อง
    ตามคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา จึงสมควรเรียกว่าเป็นพุทธบริษัทอย่างแท้จริง แม้จะไม่เคยบวช
    ไม่เคยรับศีล แต่ก็เป็นบุคคลที่เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง
    เขามีจิตใจอย่างเดียวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือมีความสะอาด สว่าง สงบในจิตใจ
    เพราะเหตุที่ไม่ยึดถือในสิ่งใด ว่าน่าเอา หรือน่าเป็นนั่นเอง เขาจึงเป็นพุทธบริษัทขึ้นมาได้โดย
    สมบูรณ์ อย่างง่ายดายและอย่างแท้จริง ด้วยอาศัยอุบายที่ถูกต้อง ที่พิจารณามองเห็นความไม่
    เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่ใช่ตัวตน ของตัวของตน จนเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ น่าเอา
    น่าเป็นสักอย่างเดียว
    ......... ความชั่วเป็นชั้นที่ทรมานที่สุด ก็มาจากความอยากเอา อยากเป็น ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา
    ความชั่วที่เบาขึ้นมาก็ทำกันด้วยอำนาจของความรู้สึกที่เบา ด้วยกิเลสตัณหา ความดีทั้งปวงก็ทำกัน
    ด้วยตัณหา ชนิดที่ดี ที่ประณีตละเอียดสูงขึ้นไป เป็นความอยากเอา อย่างเป็นในชั้นดี แม้ความดี
    ถึงที่สุดก็ทำด้วยตัณหา ที่ประณีตละเอียดที่สุด จนคนไม่ถือว่าเป็นความชั่วเลย แต่แล้วก็ยังไม่พ้น
    จากความทุกข์ทั้งปวงได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่พ้นทุกข์ถึงที่สุด กล่าวคือพระอรหันต์จึงเป็นผู้ที่หมด
    จากการกระทำด้วยอำนาจของตัณหา กลายเป็นบุคคลที่ทำชั่วทำดีไม่ได้ ทำได้แต่สิ่งที่เหนือไป
    กว่าความชั่วและความดี คือมีใจเป็นอิสระอยู่เหนือการครอบงำในค่าของความชั่วและความดี
    ท่านจึงไม่มีความทุกข์เลย
    ......... หลักของพระพุทธศาสนามีอยู่อย่างนี้ เราจะทำได้หรือไม่ได้ก็ตาม ปรารถนาหรือไม่ปรารถนาก็ตาม
    แนวของความพ้นทุกข์ย่อมมีอยู่อย่างนี้ วันนี้ยังไม่ปรารถนา วันหน้าก็จะต้องปรารถนา เพราะว่าเมื่อ
    ได้ละความชั่วเสร็จแล้วความดีก็ทำได้เต็มเปี่ยม แต่จิตยังหม่นหมอง ด้วยตัณหาชั้นประณีต
    บางประการอยู่ และก็ไม่รู้จักจะดับด้วยวิธีใด นอกจากพยายามอยู่เหนืออำนาจตัณหา คืออยู่เหนือ
    การที่จะไปอยากได้ อยากเป็นทั้งในสิ่งที่ชั่ว หรือสิ่งที่ดีก็ตาม ต้องไม่มีความอยากโดยสิ้นเชิง จึงจะ
    พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ (นิพพาน)
    ......... สรุปความว่า การรู้ว่า อะไรเป็นอะไรถึงที่สุดนั้น คือรู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
    ของตน เมื่อรู้โดยแท้จริงแล้ว ก็จะเกิดความรู้ชนิดที่จิตใจจะไม่อยากเป็นอะไรด้วยความยึดถือ
    แต่ถ้าต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งใดๆ ที่เรียกกันว่า "ความมี- ความเป็น" บ้าง ก็เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
    สติสัมปชัญญะ ด้วยอำนาจของปัญญา ไม่เกี่ยวข้องด้วยอำนาจของตัณหา เพราะฉะนั้น จึงไม่มี
    ความทุกข์เลย
    (ที่มา : ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ)
    เข้าถึงได้จาก : http://www.geocities.com/ppi_econo/trilug.html
    วีดีโอจาก Youtube แผ่นดินใหม่ของ สยาม l ตัวอย่าง ศรีอโยธยา ภาค ๒ l 20-21 ม.ค. 63
     

แชร์หน้านี้

Loading...