ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,836
    ค่าพลัง:
    +97,150


    PSX_20250104_125640.jpg
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,836
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "อหิวาตกโรค: 7 ระลอกการระบาด 3 ศตวรรษแห่งการต่อสู้ และความท้าทายใหม่จากการกลายพันธุ์ของเชื้อ"
    **ประเด็นสำคัญ**
    สถานการณ์ปัจจุบัน
    องค์การอนามัยโลกประกาศให้อหิวาตกโรคเป็นภาวะฉุกเฉินครั้งใหญ่ เนื่องจากในปี 2566 มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 13% (535,321 ราย) และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 71% (กว่า 4,000 ราย) โดยเฉพาะในแอฟริกาที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 125% ปัญหาสำคัญคือการขาดแคลนวัคซีนชนิดรับประทานและการเข้าถึงการรักษา
    ประวัติศาสตร์โรคในไทย
    อหิวาตกโรคเข้ามาในสยามครั้งแรกสมัยรัชกาลที่ 2 (พ.ศ. 2363) ผ่านเส้นทางการค้าจากอินเดียและปีนัง มีการระบาดรุนแรงหลายครั้ง นำไปสู่การพัฒนาระบบสาธารณสุขที่สำคัญ เช่น การตั้งโรงพยาบาลเอกเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นโรงศิริราชพยาบาล และการจัดตั้งกรมสาธารณสุขในสมัยรัชกาลที่ 6
    การกลายพันธุ์ที่น่ากังวล
    พบสายพันธุ์ใหม่ BD-1.2 ที่มีความรุนแรงกว่าสายพันธุ์เดิม (BD-2) เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ที่ทำให้:
    - เชื้อสร้างไบโอฟิล์มได้ดีขึ้น อยู่ในลำไส้ได้นานขึ้น
    - ทนต่อสภาพกรดในลำไส้ได้ดีขึ้น
    - ดื้อต่อยาหลายชนิด
    - หลบเลี่ยงการถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น
    ปัจจัยที่ทำให้การระบาดรุนแรงขึ้น
    - การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เชื้อเจริญเติบโตได้ดีขึ้น
    - การขยายตัวของเมืองและชุมชนแออัด
    - ภัยพิบัติธรรมชาติที่ทำให้ระบบสุขาภิบาลเสียหาย
    - การเดินทางและการขนส่งที่เพิ่มขึ้นทำให้โรคแพร่กระจายได้เร็วขึ้น
    - พฤติกรรมการบริโภคที่เสี่ยง เช่น การกินอาหารดิบหรือไม่สะอาด
    การรับมือในปัจจุบัน WHO เน้นการปรับปรุงระบบน้ำและสุขาภิบาล เพิ่มประสิทธิภาพการเฝ้าระวังโรค และเร่งผลิตวัคซีนให้เพียงพอ
    **รายละเอียด**
    องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้อหิวาตกโรคเป็น "ภาวะฉุกเฉินครั้งใหญ่" เนื่องจากมีการระบาดเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีระบบน้ำและสุขอนามัยไม่เพียงพอ แม้จำนวนผู้ป่วยจะลดลง แต่การเสียชีวิตกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าวิตก ขณะเดียวกัน วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคชนิดรับประทาน (ไม่ใช้วัคซีนฉีดเหมือนในอดีต) ในคลังสำรองทั่วโลกหมดลง ส่งผลกระทบต่อการควบคุมการแพร่ระบาด WHO จึงออกมาตรการเร่งด่วนสามด้าน ได้แก่ การปรับปรุงระบบน้ำและสุขาภิบาล การเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังการระบาด และการเร่งผลิตวัคซีนให้เพียงพอต่อความต้องการ
    >>จากอดีต
    การระบาดของอหิวาตกโรคส่งผลกระทบอย่างมากต่อสาธารณสุขไทยและสาธารสุขโลกตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ถึง 20 โดยมีสาเหตุหลักมาจากเชื้อแบคทีเรีย วิบริโอ คอเลรี (Vibrio cholerae)
    อหิวาตกโรคในประวัติศาสตร์ไทยมีความเป็นมาที่น่าสนใจและสะท้อนให้เห็นพัฒนาการทางการแพทย์ของประเทศ โดยในอดีตโรคนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ "โรคป่วงใหญ่" หรือ "โรคลงราก" เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากแบคทีเรีย มีอาการท้องร่วงและอาเจียนรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยขาดน้ำและเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว การแพร่ระบาดเกิดขึ้นผ่านแหล่งน้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ
    การระบาดครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2363 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการระบาดทั่วโลกครั้งที่ 1 โรคแพร่มาจากอินเดีย ผ่านปีนัง เข้าสู่สมุทรปราการและกรุงเทพมหานคร ในครั้งนั้นมีการจัดพระราชพิธีอาพาธพินาศเพื่อปัดเป่าโรคร้าย แต่กลับส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น จนต้องยกเลิกการประกอบพระราชพิธีนี้ในเวลาต่อมา
    เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 5 การรับมือกับโรคระบาดมีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยในการระบาดปี พ.ศ. 2424 มีการจัดตั้งโรงพยาบาลเอกเทศถึง 48 แห่งในกรุงเทพมหานคร การดำเนินการครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่นำไปสู่การก่อตั้งโรงศิริราชพยาบาลในเวลาต่อมา
    วิธีการรักษาอหิวาตกโรคได้พัฒนาขึ้นตามลำดับ โดยการรักษาหลักคือการให้น้ำเกลือเพื่อแก้ภาวะขาดน้ำ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยามากนัก จนกระทั่งในทศวรรษ 2480 มีการพัฒนาการป้องกันโรคด้วยการใช้วัคซีนและการฆ่าเชื้อในแหล่งน้ำ ส่งผลให้การระบาดในยุคหลังมีอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำลงและมีระยะเวลาการระบาดที่สั้นลงอย่างชัดเจน
    การพัฒนาระบบสุขาภิบาลในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการวางท่อประปาในกรุงเทพฯ (พ.ศ. 2452) ขุดคูระบายน้ำ ปรับปรุงความสะอาดในเมือง และออกกฎหมายสุขาภิบาลฉบับแรก เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
    กรมสาธารณสุขจัดตั้งในสมัยรัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2461) เนื่องจากการระบาดรุนแรงของโรคติดต่อ โดยเฉพาะอหิวาตกโรค ทำให้เกิดการจัดตั้งหน่วยงานด้านสาธารณสุขอย่างเป็นระบบ
    >>ความหมายของ "อหิวาตกโรค"
    "คำว่า "อหิวาตกโรค" นั้นเปรียบเสมือนพายุหมุนร้ายแรงที่ซัดกระหน่ำร่างกายของผู้ป่วย ทำให้เกิดอาการรุนแรงและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว คำนี้มีที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต โดยคำว่า "อหิ" หมายถึงงู ซึ่งสื่อถึงความรุนแรงและอันตรายของโรค ส่วนคำว่า "วาต" หมายถึงลม ซึ่งสื่อถึงการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เหมือนกับลมพายุที่พัดพาเชื้อโรคไปสู่ผู้คนจำนวนมากในเวลาอันสั้น
    ในอดีต ผู้คนเชื่อว่าโรคอหิวาตกโรคเป็นการลงโทษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเกิดจากอิทธิพลของสิ่งชั่วร้าย จึงใช้คำที่มีความหมายเป็นสัญลักษณ์อย่าง "งู" และ "ลม" มาอธิบายถึงโรคนี้ ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่ว่าโรคระบาดเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่อาจคาดเดาได้
    >>เชื้อที่ก่อโรค:
    ปัจจุบันเราทราบแล้ว่า วิบริโอ คอเลรี หรือ เชื้ออหิวาตกโรค คือแบคทีเรียแกรมลบรูปร่างคล้ายเครื่องหมายจุลภาค เป็นสาเหตุของอหิวาตกโรค ซึ่งเป็นโรคท้องร่วงเฉียบพลันที่อาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงและเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษา แบคทีเรียนี้เจริญเติบโตได้ดีในน้ำกร่อยและมักแพร่กระจายผ่านน้ำดื่มหรืออาหารที่ปนเปื้อน
    >>จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ:
    ตลอดประวัติศาสตร์ อหิวาตกโรคทำให้มีผู้เสียชีวิตนับล้านคนจากการระบาดหลายครั้ง การระบาดหกครั้งแรกระหว่างปี พ.ศ. 2360-2466 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายแสนคน การระบาดครั้งที่เจ็ดเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2504 และยังคงส่งผลกระทบต่อประชากรจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีสุขาภิบาลไม่ดี
    >>การระบาดครั้งสำคัญของอหิวาตกโรค
    1. การระบาดครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2360-2364): เริ่มต้นจากเบงกอล อินเดีย แพร่กระจายไปทั่วเอเชียและไปถึงยุโรป ส่งผลให้มีอัตราการเสียชีวิตสูง ในประเทศไทยมีการระบาดครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 2 ราว พ.ศ. 2363 ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 30,000 คน ในสมัยรัชกาลที่ 2 เรียกว่า "โรคห่า" หรือ "ทรพิษห่า" เนื่องจากเป็นโรคที่ระบาดรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูง คำว่า "ห่า" เป็นคำโบราณที่หมายถึงโรคระบาดร้ายแรง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงเริ่มใช้คำว่า "อหิวาตกโรค" อย่างเป็นทางการ เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อเรียกทางการแพทย์และเพื่อหลีกเลี่ยงความหมายที่รุนแรงของคำว่า "ห่า"
    2. การระบาดครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2372-2394): การระบาดครั้งนี้แพร่จากอินเดียไปจีน ยุโรป และอเมริกา ในประเทศไทยมีการระบาดรุนแรงในสมัยรัชกาลที่ 3 ช่วง พ.ศ. 2392-2393 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 40,000 คน
    3. การระบาดครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2395-2403): ส่งผลกระทบต่อรัสเซียเป็นหลัก ในประเทศไทยมีการระบาดในสมัยรัชกาลที่ 4 ช่วง พ.ศ. 2402 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 20,000 คน
    4. การระบาดครั้งที่ 4 (พ.ศ. 2406-2418): เริ่มต้นจากอินเดียอีกครั้ง ในประเทศไทยมีการระบาดช่วงปลายรัชกาลที่ 4 และต้นรัชกาลที่ 5 ราว พ.ศ. 2413-2414
    5. การระบาดครั้งที่ 5 (พ.ศ. 2424-2439): ในประเทศไทยมีการระบาดในสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วง พ.ศ. 2424-2425 นำไปสู่การปรับปรุงสุขาภิบาลในกรุงเทพฯ
    6. การระบาดครั้งที่ 6 (พ.ศ. 2442-2466): ในประเทศไทยมีการระบาดช่วงปลายรัชกาลที่ 5 ถึงต้นรัชกาลที่ 6 นำไปสู่การจัดตั้งกรมสาธารณสุขในปี พ.ศ. 2461
    7. การระบาดครั้งที่ 7 (พ.ศ. 2504-ปัจจุบัน): ในประเทศไทยพบการระบาดเป็นระยะ โดยเฉพาะในช่วง พ.ศ. 2501-2503 และ พ.ศ. 2551-2552 นำไปสู่การพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคที่เข้มแข็งขึ้น
    >>ปัจจุบัน
    ล่าสุด ดร.เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากอหิวาตกโรคทั่วโลกในปี 2566 โดยมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 13% (ประมาณ 535,321 ราย) และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 71% รวมกว่า 4,000 ราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 0.75% ของผู้ป่วยที่รายงาน
    สถานการณ์รุนแรงในแอฟริกาที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 125% ขณะที่หลายพื้นที่ประสบปัญหาการเข้าถึงการรักษาพยาบาลเนื่องจากความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ WHO ประสบปัญหาขาดแคลนวัคซีนอหิวาตกโรคชนิดรับประทานอย่างหนัก จึงปรับใช้กลยุทธ์การให้วัคซีนเพียงหนึ่งครั้งเพื่อให้ครอบคลุมประชากรให้ได้มากที่สุด
    มีการรายงานการระบาดของอหิวาตกโรคในประเทศไทย พม่า และลาว โดยมีความรุนแรงแตกต่างกัน ในประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดเล็กน้อยได้แล้ว มีผู้ป่วย 4 ราย เป็นคนไทย 2 ราย และพม่า 2 ราย ซึ่งทั้งหมดได้รับการรักษาจนหายดี ส่วนในเมืองชเวโกโกของพม่า สถานการณ์ดีขึ้น จำนวนผู้ป่วยลดลงจาก 761 รายในปลายธันวาคม เหลือเพียง 40 รายที่กำลังรักษาอยู่ แม้จะดีขึ้น แต่บางเขตใกล้ชายแดนยังคงเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงสำหรับผู้ป่วยรายใหม่
    ดร.เทดรอสเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ สุขาภิบาล และสุขอนามัย เพื่อป้องกันการระบาดในอนาคตและเสริมสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพโลกต่อโรคที่สามารถป้องกันได้นี้
    >>พบปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้แบคทีเรียก่อโรคอหิวาตกโรคมีความอันตรายร้ายแรงเพิ่มขึ้น
    ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการถอดรหัสพันธุกรรม (DNA sequencing) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของจีโนมของเชื้อ วิบริโอ คอเลรี ได้ละเอียดถึงระดับเบส (nucleotide) ซึ่งทำให้เห็นการกลายพันธุ์ที่สำคัญหลายตำแหน่ง เช่น การเปลี่ยนแปลงลำดับเบสที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนกรดอะมิโน (amino acid substitution) ในโปรตีนสำคัญ การเพิ่มหรือลดของยีน และการเปลี่ยนแปลงในส่วนควบคุมการแสดงออกของยีน ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจกลไกการก่อโรค การดื้อยา และการปรับตัวของเชื้อได้ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การพัฒนาแนวทางการรักษาและควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    จากผลงานตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications (2024) วิเคราะห์เปรียบเทียบสายพันธุ์ของเชื้อ Vibrio cholerae ในบังกลาเทศระหว่างปี 2015-2021 พบความแตกต่างสำคัญดังนี้:
    สายพันธุ์ BD-1.2:
    • เป็นสายพันธุ์ที่พบใหม่และเป็นสาเหตุของการระบาดในปี 2022 แทนที่สายพันธุ์ BD-2 ที่เคยระบาดก่อนหน้านี้
    • มียีนที่ทำให้เชื้อรุนแรงขึ้น:
    - lon_3: ควบคุมการสร้างไบโอฟิล์ม ทำให้เชื้อเกาะติดผนังลำไส้ได้ดีและอยู่รอดได้นาน
    - endA: ช่วยเพิ่มความรุนแรงของเชื้อผ่านการสร้างและปลดปล่อยสารพิษ
    - bcr_2: ทำให้ดื้อต่อยาหลายชนิด ทำให้การรักษายากขึ้น
    • มีการกลายพันธุ์ที่เพิ่มความสามารถในการอยู่รอด:
    - OmpU G325D: ทำให้ต้านทานต่อแบคทีริโอฟาจได้ดีขึ้น ลดการถูกทำลายโดยไวรัส
    - fabV และ gshB: ช่วยให้เชื้อปรับตัวในสภาพความเป็นกรดในลำไส้ได้ดีขึ้น
    สายพันธุ์ BD-2:
    • เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบก่อน มีความรุนแรงน้อยกว่า BD-1.2
    • มียีนเฉพาะที่สำคัญ:
    - aer_3: ช่วยในการตอบสนองต่อระดับออกซิเจน ทำให้ปรับตัวในสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้
    - hlyA_2: สร้างสารพิษ แต่มีประสิทธิภาพน้อยกว่ายีนในสายพันธุ์ BD-1.2
    - tetA และ tetR: ให้การดื้อต่อยา tetracycline เท่านั้น ไม่ได้ดื้อยาหลายขนาน
    - mcrC: เป็นระบบป้องกันตัวเองของเชื้อ
    ความสำคัญทางคลินิก:
    • สายพันธุ์ BD-1.2 มีแนวโน้มก่อโรครุนแรงกว่า เนื่องจาก:
    - สร้างไบโอฟิล์มได้ดีกว่า ทำให้อยู่ในลำไส้ได้นานกว่า
    - ทนต่อสภาพกรดในลำไส้ได้ดีกว่า
    - ดื้อต่อยาหลายชนิด ทำให้การรักษายากขึ้น
    - หลบเลี่ยงการถูกทำลายโดยไวรัสได้ดี
    เชื้ออหิวาตกโรค (Vibrio cholerae) มีความสามารถในการสร้างไบโอฟิล์มที่ช่วยให้เชื้ออยู่รอดในสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้นานขึ้น รวมถึงในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ ไบโอฟิล์มประกอบด้วยกลุ่มแบคทีเรียและสารเหนียวที่ช่วยให้เชื้อยึดเกาะกับผนังลำไส้ได้ดีขึ้น ปกป้องเชื้อจากความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร และเพิ่มความทนทานต่อยาปฏิชีวนะ นอกจากนี้ ไบโอฟิล์มยังช่วยให้เชื้อทนต่อสภาวะความเป็นกรดและน้ำดีในลำไส้ได้ดีขึ้น ทำให้เชื้อไม่ถูกขับออกจากร่างกายได้ง่าย ส่งผลให้เพิ่มโอกาสในการก่อโรคอหิวาตกโรค เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง และยากต่อการรักษา การเข้าใจกลไกนี้จะช่วยในการพัฒนาวิธีการป้องกันและรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    การเข้าใจความแตกต่างนี้มีความสำคัญต่อการวางแผนรักษาและควบคุมการระบาด เนื่องจากสายพันธุ์ใหม่ BD-1.2 มีคุณสมบัติที่ทำให้ควบคุมและรักษายากขึ้นกว่าสายพันธุ์เดิม
    >>การกลายพันธุ์อย่างละเอียด
    การกลายพันธุ์ของ วิบริโอ คอเลรี แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญในยีนหลายตำแหน่ง โดยยีน OmpU มีการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง G325D ซึ่งเพิ่มความต้านทานต่อแบคทีริโอเฟจ (ไวรัสสังหารเชื้อแบคทีเรีย) ทำให้เชื้อวิบริโอ คอเลรี มีชีวิตรอดได้ดีขึ้นถึง 10,000 เท่า ส่วนยีน FabV มีการเปลี่ยนจาก Pro149 เป็น His149 ส่งผลให้โปรตีนมีความเสถียรมากขึ้นและลดความยืดหยุ่นของโมเลกุล ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องร่วงรุนแรงและถ่ายบ่อยขึ้น เป็นกลไกที่ทำให้โรคอหิวาตกโรคระบาดได้รวดเร็วและรุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสุขาภิบาลไม่ดี
    การกลายพันธุ์ของยีน GshB จาก Thr93 เป็น Ile93 มีผลสำคัญต่อการอยู่รอดของเชื้อ โดยเอนไซม์ glutathione synthetase ที่ถูกควบคุมโดยยีนนี้ทำหน้าที่สร้างสารต้านอนุมูลอิสระและควบคุมสมดุลกรด-ด่าง การกลายพันธุ์ทำให้โปรตีนมีความเสถียรขึ้น ส่งผลให้เชื้อทนต่อการถูกทำลายจากระบบภูมิคุ้มกันและสภาวะกรดในกระเพาะอาหารได้ดีขึ้น
    เมื่อรวมกับการมียีนดื้อยา bcr ในสายพันธุ์ BD-1.2 ที่ทำหน้าที่เป็นปั๊มขับยาหลายชนิดออกจากเซลล์ และยีน tetA/tetR ในสายพันธุ์ BD-2 ที่ควบคุมการต้านทานยาเตตราไซคลิน ทำให้เชื้อไม่เพียงอยู่รอดได้ดีในร่างกายเท่านั้น แต่ยังดื้อต่อยาที่ใช้รักษาด้วย
    ผลลัพธ์คือเชื้อสามารถเพิ่มจำนวนในลำไส้ได้มาก ก่อให้เกิดอาการท้องร่วงรุนแรง และการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไม่ได้ผล ทำให้โรคมีความรุนแรงมากขึ้นและควบคุมได้ยากขึ้น
    >>ยีนที่ควบคุมการปรับตัวของเชื้อ Vibrio cholerae มี 3 ยีนหลักที่สำคัญ:
    ยีน clpS ควบคุมการปรับตัวเมื่อเชื้อเข้าสู่ลำไส้ โดยช่วยให้เชื้อเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำย่อยและเกลือน้ำดี นอกจากนี้ยังควบคุมการสร้างสารพิษ (toxin) ที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วง เมื่อยีนนี้ทำงานได้ดี เชื้อจะก่อโรครุนแรงขึ้น
    ยีน pckA มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตในลำไส้ โดยควบคุมการสร้างน้ำตาลเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงาน เชื้อที่มียีนนี้ทำงานได้ดีจะเพิ่มจำนวนได้เร็ว ส่งผลให้สร้างสารพิษได้มาก อาการท้องร่วงจึงรุนแรง
    ยีน rpoS ช่วยให้เชื้อปรับตัวเมื่อเผชิญความเครียด เช่น การขาดสารอาหาร สภาพกรด-ด่าง และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เชื้อมีชีวิตรอดได้นานในสภาวะไม่เหมาะสม
    เมื่อยีนทั้งสามทำงานร่วมกันได้ดี จะทำให้:
    1. เชื้อเพิ่มจำนวนได้มากในลำไส้
    2. สร้างสารพิษได้มาก ทำให้ท้องร่วงรุนแรง
    3. ทนต่อยาปฏิชีวนะได้ดี ทำให้รักษายาก
    4. มีชีวิตรอดนอกร่างกายได้นาน ทำให้แพร่กระจายได้ดี
    ผลกระทบทางคลินิกคือผู้ป่วยมีอาการรุนแรงขึ้น ทำให้การรักษายากขึ้น ส่วนผลทางระบาดวิทยาคือเชื้อแพร่กระจายได้มากขึ้นและควบคุมยากขึ้น จำเป็นต้องมีการพัฒนาแนวทางการรักษาใหม่ การเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ และการปรับปรุงมาตรการควบคุมป้องกันโรคให้เหมาะสม
    >>ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ทำให้อหิวาตกโรคระบาดเพิ่มมากขึ้น
    สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
    การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบต่อการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรค เนื่องจาก:
    - อุณหภูมิที่สูงขึ้นช่วยให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี
    - ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเช่น เอลนีโญและลานีญาส่งผลต่อสภาพอากาศ
    - การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลและความเค็มสามารถสร้างสภาวะที่เหมาะสมต่อการแพร่กระจายของเชื้อ
    สภาวะความเป็นเมือง
    การขยายตัวของเมืองและชุมชนที่มีความหนาแน่นสูงส่งผลให้:
    - เกิดแหล่งแพร่ระบาดของโรคติดต่อ
    - การใช้น้ำร่วมกันในชุมชนเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
    ภัยธรรมชาติ
    เหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมและแผ่นดินไหว สามารถทำให้:
    - สภาพสุขอนามัยในพื้นที่ถูกทำลาย
    - ประชาชนต้องอพยพ ทำให้เกิดการรวมกลุ่มในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง
    - ระบบการดูแลสุขภาพได้รับผลกระทบ
    การเดินทางและการขนส่ง
    การเดินทางและการขนส่งที่เพิ่มขึ้นทำให้:
    - เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วผ่านการเดินทางทางอากาศ
    - การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศสามารถนำเชื้อโรคเข้ามาในประเทศได้
    สภาพแวดล้อมทางน้ำ
    สภาพแวดล้อมน้ำมีบทบาทสำคัญในการแพร่ระบาด เนื่องจาก:
    - แหล่งน้ำในชุมชนที่ขาดการจัดการด้านสุขาภิบาล
    - การปนเปื้อนของเชื้อในแหล่งน้ำธรรมชาติ
    พฤติกรรมการบริโภค
    พฤติกรรมในการบริโภคอาหารมีผลต่อการแพร่ระบาด เช่น:
    - การบริโภคอาหารทะเลดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ
    - การบริโภคผักและผลไม้ที่ไม่ได้ล้างให้สะอาด
    การเข้าใจถึงปัจจัยเหล่านี้จะช่วยในการวางแผนป้องกันและควบคุมการระบาดของอหิวาตกโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    https://www.nature.com/articles/s41467-024-52238-0
    https://www.news-medical.net/news/2...ia-behind-cholera-so-dangerous-uncovered.aspx

    https://www.facebook.com/share/p/17DfHLB3CB/

    PSX_20250104_125952.jpg FB_IMG_1735970316832.jpg FB_IMG_1735970319124.jpg FB_IMG_1735970321062.jpg
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,836
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "เตรียมรับมือปี 2025: โอมิครอน LP.8.1 โควิดที่คาดว่าจะระบาดเป็นสายพันธุ์หลักไปทั่วโลก"
    จากการศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับวิวัฒนาการและคุณลักษณะของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาด พบการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการปรับตัวของไวรัส โดยเฉพาะในสายพันธุ์ LP.8.1 ที่แสดงคุณสมบัติโดดเด่นในการแพร่กระจายและการหลบหลีกภูมิคุ้มกัน
    โดเมน N-terminal (NTD) เป็นส่วนหนึ่งของโปรตีนหนาม (Spike protein) ของไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเข้าสู่เซลล์ของไวรัส โดย NTD จะอยู่ที่บริเวณปลายด้านบนของโปรตีนหนามและมีลักษณะเป็นโดเมนที่มีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันและการจับกับตัวรับ ACE2 บนเซลล์ของมนุษย์
    ACE2 (Angiotensin-converting enzyme 2) เป็นโปรตีนที่อยู่บนผิวเซลล์ของมนุษย์ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับความดันโลหิตและการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด แต่ในบริบทของโควิด-19 ACE2 กลายเป็นตัวรับที่ไวรัส SARS-CoV-2 ใช้ในการเข้าสู่เซลล์ เมื่อโปรตีนหนามของไวรัสจับกับ ACE2 จะทำให้เกิดการหลอมรวมของเยื่อหุ้มเซลล์และไวรัส ซึ่งนำไปสู่การติดเชื้อ
    ในช่วงปี 2567 สายพันธุ์โอมิครอน XEC และ KP.3.1.1 ได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วโลก เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ที่สำคัญในโดเมน NTD ซึ่งช่วยให้ไวรัสสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น โดยสายพันธุ์ KP.3.1.1 มีการกลายพันธุ์ S31del ขณะที่สายพันธุ์ XEC มีการกลายพันธุ์ T22N และ F59S การกลายพันธุ์เหล่านี้ทำให้ไวรัสสามารถเพิ่มความสามารถในการแพร่กระจายได้
    อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพบว่ามีสายพันธุ์ย่อยของ JN.1 หลายสายพันธุ์ที่กำลังแซงหน้าทั้ง XEC และ KP.3.1.1 ในแง่ของความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาด (Relative growth advantage) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการติดตามและศึกษาการกลายพันธุ์ในโดเมน NTD และ ACE2 เพื่อประเมินผลกระทบต่อการแพร่ระบาดและการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในอนาคต
    สายพันธุ์ LF.7.2.1 มีการกลายพันธุ์ A475V เพิ่มเติมจาก LF.7 ซึ่งมีการกลายพันธุ์พื้นฐานประกอบด้วย S31P, K182R, R190S และ K444R บนโปรตีนหนาม สายพันธุ์นี้ได้แพร่กระจายจากกาตาร์ไปยังตะวันออกกลางและยุโรป แม้จะมีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันสูง แต่มีข้อจำกัดในการจับกับตัวรับ ACE2 บนผิวเซลล์ทำให้ประสิทธิภาพการแพร่กระจายไม่สูงเท่าที่ควร
    RBD (Receptor-Binding Domain) เป็นส่วนสำคัญของโปรตีนหนาม (Spike protein) ของไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งมีบทบาทหลักในการจับกับตัวรับ ACE2 บนผิวเซลล์ของมนุษย์ การจับกันนี้เป็นขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการเข้าสู่เซลล์และการติดเชื้อของไวรัส RBD อยู่ในโดเมนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ซึ่งทำให้ไวรัสสามารถปรับตัวและหลีกเลี่ยงการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันได้
    ในกรณีของสายพันธุ์ NP.1 ที่มีการกลายพันธุ์ S446N ใน RBD การกลายพันธุ์นี้ช่วยเพิ่มความสามารถในการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในแคนาดา สายพันธุ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันสูง แต่มีข้อจำกัดในการจับกับ ACE2 เช่นเดียวกับสายพันธุ์ MC.10.1 ที่มีการกลายพันธุ์ A435S ซึ่งทำให้มีความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาดเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์ต้นกำเนิด
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกลายพันธุ์ใน RBD และประสิทธิภาพในการจับกับ ACE2 เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากมันส่งผลต่อความสามารถของไวรัสในการติดเชื้อและแพร่กระจาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการพัฒนาวัคซีนและมาตรการควบคุมโรคในอนาคต
    สายพันธุ์ LP.8 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของ KP.1.1 มีการกลายพันธุ์ S31del, F186L, Q493E และ H445R บนโปรตีนหนาม โดยเฉพาะ LP.8.1 ที่มีการกลายพันธุ์ R190S เพิ่มเติม ได้แสดงความได้เปรียบในการเติบโตสูงสุดในบรรดาสายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดทั้งหมด
    การศึกษาด้วยเทคนิค Surface Plasmon Resonance (SPR) พบว่าการกลายพันธุ์ A475V ใน LF.7.2.1 ลดความสามารถในการจับกับ ACE2 อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่สายพันธุ์ LF.7, LP.8.1 และ NP.1 ที่มีการกลายพันธุ์ K444R, H445R และ S446N ตามลำดับ ไม่แสดงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ส่วนการกลายพันธุ์ A435S ใน MC.10.1 กลับเพิ่มความสามารถในการจับกับ ACE2 เล็กน้อย
    เทคนิค Surface Plasmon Resonance (SPR) เป็นวิธีการที่ใช้ในการศึกษาการจับกันระหว่างโมเลกุล โดยเฉพาะในงานวิจัยเกี่ยวกับไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์การโต้ตอบระหว่างโปรตีนและลิแกนด์ได้อย่างแม่นยำ โดยหลักการทำงานของ SPR จะใช้แสงที่ตกกระทบบนพื้นผิวโลหะบาง เช่น ทอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมุมสะท้อนของแสงเมื่อมีการจับกันของโมเลกุลบนพื้นผิว การวัดการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้สามารถประเมินค่าความแรงในการจับ (binding affinity) และอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้ นอกจากนี้ SPR ยังถูกใช้เพื่อประเมินความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันของสายพันธุ์ต่างๆ ของ SARS-CoV-2 เช่น LP.8.1 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันและประสิทธิภาพในการจับกับตัวรับ ACE2 ที่สูง ทำให้มีอัตราการเติบโตที่เหนือกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ในปัจจุบัน
    การทดสอบด้วยไวรัสเทียม VSV (Vesicular Stomatitis Virus) ที่สร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการให้มีโปรตีนหนามของ SARS-CoV-2 แต่ละสายพันธุ์เป็นวิธีที่ใช้ในการศึกษาประสิทธิภาพการเข้าสู่เซลล์ของไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ต่างๆ โดยไม่ต้องใช้ไวรัสจริง ซึ่งทำโดยการสร้างไวรัส VSV ที่มีโปรตีนหนามของ SARS-CoV-2 สายพันธุ์ที่ต้องการศึกษาบนผิวไวรัส แล้วทดสอบความสามารถในการเข้าสู่เซลล์เป้าหมาย ผลการทดสอบพบว่าการกลายพันธุ์ใน N-terminal domain (NTD) ของสายพันธุ์ KP.3.1.1 และ XEC ทำให้ประสิทธิภาพการเข้าสู่เซลล์ลดลง ขณะที่การกลายพันธุ์ A475V ใน LF.7.2.1 และ A435S ใน MC.10.1 และ NP.1 ก็มีผลเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม LP.8.1 กลับแสดงการเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าสู่เซลล์ใกล้เคียงกับ KP.3 ซึ่งบ่งชี้ถึงความสามารถในการแพร่กระจายที่สูงขึ้นของสายพันธุ์นี้เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ โดยผลการศึกษานี้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการติดตามและวิเคราะห์การกลายพันธุ์ในไวรัส SARS-CoV-2 เพื่อประเมินความเสี่ยงและการตอบสนองต่อวัคซีนในอนาคต
    การศึกษาความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันของไวรัส SARS-CoV-2 ได้ทำการทดสอบโดยใช้พลาสมาจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อซ้ำและแอนติบอดีโมโนโคลนที่จำเพาะต่อ RBD ผลการศึกษาพบว่า LF.7.2.1 มีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันสูงสุด โดยเฉพาะในการหลบหลีกแอนติบอดีคลาส 1 ในขณะที่ MC.10.1 แสดงการหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้สูงใกล้เคียงกับ XEC และ NP.1 ซึ่งมีความสามารถเพิ่มในการหลบหลีกแอนติบอดีคลาส 3 ส่วน LP.8.1 สามารถรักษาระดับการหลบหลีกภูมิคุ้มกันให้สูงเทียบเท่ากับ XEC ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในความสามารถของไวรัสแต่ละสายพันธุ์ในการหลบหลีกภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการออกแบบวัคซีนและกลยุทธ์การรักษาในอนาคต
    ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าหลายสายพันธุ์ของไวรัสมีการแลกเปลี่ยนระหว่างความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันและการจับกับ ACE2 บนผิวเซลล์ โดย LF.7.2.1 สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี แต่มีประสิทธิภาพในการจับ ACE2 ต่ำ ขณะที่ MC.10.1 และ NP.1 ก็มีข้อจำกัดในการจับ ACE2 ทำให้ความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาด (Relative growth advantage) ไม่ดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม LP.8.1 กลับแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นในการรักษาประสิทธิภาพการจับกับ ACE2 ได้ใกล้เคียงกับ KP.3 ในขณะที่ยังคงความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันในระดับใกล้เคียงกับ XEC ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่สูงในการแพร่กระจายของสายพันธุ์นี้ในอนาคต
    ความสัมพันธ์ระหว่างการหลบหลีกภูมิคุ้มกันและประสิทธิภาพในการจับกับ ACE2 บนผิวเซลล์ของไวรัส SARS-CoV-2 เป็นเรื่องสำคัญที่มีผลต่อการแพร่กระจายและความรุนแรงของการระบาด โดยการหลบหลีกภูมิคุ้มกันหมายถึงความสามารถของไวรัสในการหลีกเลี่ยงการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจทำให้ไวรัสสามารถติดเชื้อในผู้คนได้แม้จะมีการฉีดวัคซีนหรือมีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อก่อนหน้า
    จากการศึกษาพบว่าไวรัสบางสายพันธุ์ เช่น LF.7.2.1 มีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันสูง แต่กลับมีประสิทธิภาพในการจับกับ ACE2 บนผิวเซลล์ต่ำ ซึ่งทำให้ความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาดไม่ดีเท่าที่ควร ในทางตรงกันข้าม LP.8.1 แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันในระดับสูง แต่ยังคงรักษาประสิทธิภาพการจับกับ ACE2 ได้ดี ทำให้มีความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาดที่สูงขึ้น
    ความสำคัญของความสัมพันธ์นี้อยู่ที่การเข้าใจกลไกที่ไวรัสใช้ในการปรับตัวเพื่อเอาชนะระบบภูมิคุ้มกันและยังคงสามารถเข้าสู่เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาวัคซีนและมาตรการควบคุมโรคในอนาคต การติดตามและวิเคราะห์สายพันธุ์ที่มีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันพร้อมกับประสิทธิภาพในการจับ ACE2 จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการตอบสนองต่อการระบาดในอนาคต.
    ผลการวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร bioRxiv เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งและห้องปฏิบัติการ Changping ในประเทศจีน แม้ว่าการศึกษานี้จะยังไม่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็มีข้อมูลที่สำคัญสำหรับการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสายพันธุ์ LP.8.1 และการกลายพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของวัคซีนและมาตรการควบคุมโรคในอนาคต
    https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2024.12.27.630350v1
    https://www.facebook.com/share/p/1RATFEsTZC/

    PSX_20250104_130310.jpg FB_IMG_1735970544625.jpg FB_IMG_1735970546960.jpg
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,836
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตรงนี้สำคัญมากๆ เลยนะครับ จุดเปลี่ยนไม่จุดเปลี่ยน!!!??? ทั่วโลกจับตาระทึก
    รัฐบาลจีนพยายามขึงไม่ให้เงินหยวนอ่อนหลุด 7.3 หยวน/ดอลลาร์มาแรมปีนะครับ นี่เป็นทั้งแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญสำหรับตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของโลก และคล้ายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลจีนตั้งไว้
    นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจปี 2007 --- นับจากนั้น รัฐบาลจีนก็ไม่ยอมให้ก้าวล่วงจากจุดนี้ไปได้เลย
    ที่ไม่อาจสกัด คือ ปลายปี 2023 ที่อ่อนหลุดไปจากนี้ ซึ่งนั่นนับเป็นครั้งเดียวตั้งแต่ปี 2007 ย้ำ!
    ที่จริงๆ ก่อนๆ นี้ คือ 7 หยวน/ดอลลาร์ครับท่าน ตลาดโลกเข้าใจกันแบบนั้น แต่ตอนปี 2019 ก็เหมือนว่ารัฐบาลจีนยอมเปลี่ยนนโยบาย ปล่อยให้หลุดตรงนั้นมาได้
    แล้วพอปี 2022 ที่โควิดในจีนแรงๆ นั่นก็เห็นว่าทะลุ 7 หยวน/ดอลลาร์ กลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่จะทะลุไปถึงไหนนี่สิ
    ที่ผ่านมา ตลาดโลกมองว่าจีนคุมอยู่ที่ 7.3 หยวน/ดอลลาร์
    มีปลายปี 2023 นี่แหละ ที่แหกไปได้ (และแหวกไปถึง 7.35 ด้วย) กระทั่งมาเจอวันศุกร์ที่ 3 ม.ค. 2025 เนี่ยแหละ ที่เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 17 ปี ที่ด่านแตก ทะลุ 7.3 ไปอีก (ซึ่งถ้าเดี๋ยวไปถึง 7.35 ก็จะกลายเป็นทำสถิติอ่อนสุดในรอบ 17 ปีเลยเชียวล่ะ!)
    รัฐบาลจีนมองว่าตอนนี้ไม่พึงต้าน เพราะดอลลาร์แข็งแบบมาแรง ดังนั้นปล่อยชั่วครู่ชั่วยาม เดี๋ยวค่อยสู้ใหม่ในจังหวะที่คลื่นลมเหมาะสม หรือว่าจะปรับนโยบายให้เงินหยวนอ่อนเพื่อต้อนรับทรัมป์ซะเลย (แน่นอนว่าทรัมป์ไม่ชอบให้หยวนอ่อนมากๆ เมื่อเทียบกับดอลลาร์ เพราะยิ่งทำให้จีนได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้า) ซึ่งอย่าลืมอีกข้อว่าถ้ากำแพงภาษีกำลังจะมา จีนยิ่งต้องปล่อยให้หยวนอ่อนเพื่อมาหักลบผลจากกำแพงภาษี
    https://www.bloomberg.com/news/arti...s-past-7-3-level-opens-room-for-further-drops
    https://www.facebook.com/share/p/17DfHLB3CB/
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,836
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jan 3, 2025 เคาะแล้วชง ! คลัง - สศช. -ธปท.-สำนักงบประมาณ เคาะกรอบงบประมาณปี 2569 ตั้งงบรายจ่าย 3.78 ล้านล้าน ขาดดุล 8.6 แสนล้าน จ่อเสนอ ครม. 7 ม.ค.นี้
    .
    นายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยภายหลังการประชุมกำหนดกรอบงบประมาณประจำปี 2569 ร่วมกับ 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ ได้แก่ กระทรวงการคลัง, สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงบประมาณ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ได้เห็นชอบกรอบงบประมาณปี 2569 งบประมาณรายจ่าย วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 8.6 แสนล้านบาท
    .
    โดยจะนำกรอบงบประมาณปี 2569 เข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7 ม.ค.นี้ เพื่อเป็นกรอบในการจัดทำงบประมาณสำหรับทุกหน่วยงาน
    .
    อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังได้เน้นย้ำถึงเรื่องการมีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณและการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลกับเศรษฐกิจมากที่สุดตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ดี การอนุมัติกรอบงบประมาณประจำปี 2569 เป็นไปตามตามกรอบการคลังระยะปานกลาง 2569 - 2572 ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2567
    .
    ส่วนกรณีมีการตัดงบประมาณรายจ่ายประจำ 1.2 แสนล้านบาท ตามที่มีข่าวก่อนหน้านี้หรือไม่นั้น เรื่องนี้เป็นนโยบายที่ต้องการให้มีการเพิ่มงบลงทุนมากขึ้น ทั้งนี้ยังต้องดูคำขอของหน่วยงานที่ส่งเข้ามายังสำนักงบประมาณและมีการพิจารณาความสำคัญอีกครั้ง
    .
    อ่านเพิ่มเติม คลิก https://shorturl.asia/EC3jB
    .
    Website: https://btimes.biz
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3

    #กรอบงบประมาณปี2569 #คลัง #ครม #สภาพัฒน์ #แบงก์ชาติ #สำนักงบประมาณ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/1A1RXPGXph/
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,836
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jan 3, 2025 ลือสะพัด! จีนจ่อขึ้นเงินเดือนข้าราชการครั้งใหญ่ในรอบทศวรรษ นับตั้งแต่ปี 2558 หวังช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย ดันเศรษฐกิจฟื้น คาดปรับขึ้น เฉลี่ยสูงสุดประมาณ 2,350 บาท
    .
    สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าข้าราชการหลายล้านคนทั่วประเทศจีนได้รับการขึ้นเงินเดือนอย่างไม่คาดคิดในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นความพยายามของรัฐบาลจีนในการกระตุ้นการใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยหากการขึ้นเงินเดือนนี้ครอบคลุมข้าราชการและพนักงานภาครัฐทั้งหมด 48 ล้านคน ก็จะเป็นเม็ดเงินที่ถูกอัดฉีดเข้าสู่เศรษฐกิจในทันทีราว 1.2-2.0 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
    .
    โดยที่ผ่านมาครั้งสุดท้ายที่จีนประกาศขึ้นเงินเดือนข้าราชการทั่วประเทศอย่างเป็นทางการคือในปี 2558 โดยรัฐบาลได้ขึ้นเงินเดือนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมากกว่า 30% เพื่อแก้ปัญหาการทุจริตและเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค
    .
    สำนักงานสารสนเทศของสภาแห่งรัฐจีน ซึ่งถือเป็นโฆษกของรัฐบาลนั้น ยังไม่ได้ตอบกลับการขอความคิดเห็นในทันที
    .
    แหล่งข่าวเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ครั้งนี้ เงินเดือนข้าราชการได้ถูกปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 500 หยวน หรือประมาณ 2,350 บาท สำหรับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยบางคนรายงานว่า ได้ขึ้นเงินเดือนประมาณ 300 หยวน หรือประมาณ 1,410 บาท
    .
    ในหลายกรณีนั้น มีการปรับขึ้นเงินเดือนย้อนหลังไปถึงเดือนก.ค. และจ่ายเป็นเงินก้อนเดียวคล้ายกับโบนัส
    .
    อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3W0Hn1K
    .
    Website: https://btimes.biz
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3
    .
    #จีน #เงินเดือน #ขึ้นเงินเดือน #เงินเดือนข้าราชการ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/152BGLELKY/
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,836
    ค่าพลัง:
    +97,150
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,836
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอร์เวย์กำลังเดินหน้าก้าวสำคัญสู่อนาคตสีเขียวด้วยการกำหนดเป้าหมายการขายรถยนต์ไฟฟ้า 100% ภายในปี 2025 เป็นประเทศแรกในโลก นี่ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการพลิกโฉมวิธีคิดและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนไปสู่สังคมในอุดมคติอย่างแท้จริง
    .......................................................................................
    :: เป้าหมายที่เคยถูกมองว่า “บ้าคลั่ง” สู่ความเป็นจริงในปี 2025 ::
    .
    ความมุ่งมั่นทางการเมืองและวิสัยทัศน์ระยะยาว รัฐบาลนอร์เวย์ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นทางการเมืองที่แข็งแกร่งในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ทะเยอทะยาน ในปี 2012 ได้มีการออกกฎหมายที่มุ่งหมายให้รถยนต์ใหม่ทุกคันที่จำหน่ายภายในปี 2025 เป็นรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ วิสัยทัศน์ระยะยาวนี้ได้รับการสนับสนุนจากการสนับสนุนทางการเงินที่สม่ำเสมอสำหรับโครงการ EV และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
    .
    วิสัยทัศน์ที่เคยถูกมองว่าเกินจริง แต่วันนี้ดูเหมือนว่านอร์เวย์จะทำสำเร็จตามแผนได้อย่างน่าประทับใจ ตัวเลขล่าสุดตามรายงานของ Norwegian Road Federation (OFV) ระบุว่า ในปี 2024 รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 89% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ เพิ่มขึ้นจาก 82.4% ในปี 2023 และคาดว่าภายในปีหน้าจะครบ 100% แบรนด์ที่ขายดีที่สุด ได้แก่ Tesla รองลงมาคือ Volkswagen และ Toyota ปัจจุบัน EV ของจีนคิดเป็นเกือบ 10% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าใหม่
    .
    “นอร์เวย์จะเป็นประเทศแรกในโลกที่จะลบรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลออกไปจากตลาดรถยนต์ใหม่” Christina Bu หัวหน้าสมาคม EV ของนอร์เวย์กล่าว
    .
    ความสำเร็จที่น่าทึ่งนี้ไม่ได้มาโดยง่าย เพราะนับตั้งแต่ปี 2010 ที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแทบไม่มีในตลาด โดยปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ นโยบายภาษีที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภค เช่น การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า การยกเว้นภาษีและค่าผ่านทางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นหนึ่งในมาตรการที่ช่วยส่งเสริมการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในหลายประเทศ โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งอาจสูงถึง 25% ช่วยทำให้ราคาของ EV ถูกลงอย่างมาก นอกจากนี้ การยกเว้นภาษีการซื้อจำนวนมากที่อาจสูงถึง 40% ของราคารถยนต์ก่อนหักภาษี ช่วยลดภาระทางการเงินในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภค ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจและเข้าถึงได้มากขึ้น
    .
    นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังได้รับการยกเว้นจากค่าผ่านทางและภาษีถนนประจำปี ซึ่งเป็นข้อดีที่ช่วยลดต้นทุนในการเป็นเจ้าของรถยนต์อีกหนึ่งด้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีค่าผ่านทางหรือภาษีถนนสูง การยกเว้นค่าใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้การเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ในการเดินทางเป็นประจำ ไม่เพียงเท่านี้ยังมีการให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น การอนุญาตให้รถยนต์ไฟฟ้าใช้ช่องทางรถบัสและการติดตั้งจุดชาร์จไฟฟ้ากว่า 9,000 แห่งทั่วประเทศ
    .......................................................................................
    :: ความท้าทายและโอกาสในตลาดโลก ::
    .
    ในขณะที่นอร์เวย์ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และมีแนวโน้มที่สดใสในการพัฒนาระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปยังคงเผชิญกับความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเฉพาะในบางประเทศที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากลับลดลงอย่างน่ากังวล อาทิเช่น เยอรมนีและฝรั่งเศส ซึ่งยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าลดลงมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
    .
    ปัจจัยสำคัญได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และความไม่แน่นอนในตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์คันใหม่ นอกจากนี้ การแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกที่มาจากประเทศจีนยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปต้องเผชิญกับความยากลำบาก เพราะรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายและสามารถดึงดูดผู้บริโภคที่มองหาทางเลือกที่มีความคุ้มค่าสูง
    .
    ความท้าทายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป ซึ่งต้องการนโยบายที่ยืดหยุ่นและการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อที่จะผลักดันให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือกหลักในอนาคต
    .
    อย่างไรก็ตาม จีนคือเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของนอร์เวย์ ด้วยแบรนด์อย่าง MG, BYD และ XPeng ที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก Tesla แต่นอร์เวย์เองก็แสดงท่าทีเปิดกว้างต่อรถยนต์ไฟฟ้าจีน โดยไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ของสหภาพยุโรป ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าจีนมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    .......................................................................................
    :: จุดยืนและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อบทบาทของนอร์เวย์ในด้านสิ่งแวดล้อม ::
    .
    แม้จะมีความสำเร็จในด้านผลักดันการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย แต่นอร์เวย์ยังเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหัวที่ยังสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น ฝรั่งเศสและสเปน รวมถึงการมอบใบอนุญาตขุดเจาะน้ำมันในอาร์กติกยังเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์อย่างหนักจากนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสหประชาชาติ
    .
    กระนั้น นโยบายรถยนต์ไฟฟ้าของนอร์เวย์ยังคงเป็นกรณีศึกษาสำคัญให้กับโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกลจากออสโล ซึ่งในอดีตหลายคนเคยกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน แต่การนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้งานกลับทำให้ยอดขายในพื้นที่เหล่านี้สูงถึง 100% ซึ่งเป็นการพิสูจน์ถึงศักยภาพของการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกภูมิภาค ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่เมืองใหญ่หรือพื้นที่ห่างไกล นี่คือการยืนยันว่าความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงนี้สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีได้ในทุกระดับของสังคม
    .
    การประชุม Nordic EV Summit ที่กรุงออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์ในเดือนเมษายน 2025 จะเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จของนอร์เวย์ในการผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ และในขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้และบทเรียนระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งจะช่วยให้สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของนอร์เวย์ในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานที่ยั่งยืนและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยผู้จัดงานได้เน้นย้ำว่า “นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจและสังคม” นั่นหมายความว่า การหันหลังให้กับพลังงานฟอสซิลไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในแง่ของโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว
    .
    การประชุมครั้งนี้จะเป็นเวทีสำคัญในการหาคำตอบว่าโลกจะสามารถเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดได้เร็วเพียงใด และจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้แนวทางนี้สามารถนำไปใช้ได้จริงทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน การหารือจะช่วยกำหนดแนวทางที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ให้เป็นจริงในทุกประเทศ
    .
    นอร์เวย์ได้แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าว่าต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างนโยบายภาครัฐที่ชัดเจน โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน การสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสมและการจัดการความวิตกกังวลของประชาชนเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เป้าหมายที่เคยดู “เป็นไปไม่ได้” กลายเป็นจริงในที่สุด
    .......................................................................................
    ที่มา :
    .
    https://www.thenationalnews.com/cli...ctory-in-100-per-cent-electric-car-sale-push/
    .
    https://www.oecd.org/en/publication...ives-for-zero-emission-vehicles_c74c1e9d.html
    .
    https://www.reuters.com/business/au...y-electric-2025-01-02/?utm_source=chatgpt.com
    .
    https://www.salika.co/2025/01/03/norway-all-ev-history-2025/
    .
    Knowledge Sharing Space | www.salika.co
    .
    #EV #นอร์เวย์ #รถยนต์ไฟฟ้า #salikaco

    https://www.facebook.com/share/19oHQAscDV/
     

แชร์หน้านี้

Loading...