ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1720335048860.jpg

    (Jul 5) 'เศรษฐพุฒิ'กระทุ้งรื้อโครงสร้าง: ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ระบุศักยภาพ เศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 3% อัดมาตรการกระตุ้น ไม่ช่วยเศรษฐกิจโตกว่าเดิม ชี้ต้องเปลี่ยน เชิงโครงสร้าง เพิ่มลงทุนและเทคโนโลยีใหม่ ระบุไม่ปิดประตูปรับดอกเบี้ยนโยบายหากมี การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ อย่างมี นัยสำคัญ ชี้ปัจจุบันอยู่ในระดับเหมาะสม ตามคาดการณ์

    ส่วนการปรับกรอบเงินเฟ้อ อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ กระทบตลาดบอนด์ยีลด์ เพิ่มขึ้น ภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันถือว่าชะลอตัวลงจากการเติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้ภาคธุรกิจและภาครัฐที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งมีความจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องเข้าใจปัญหาตรงกันและช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง

    ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดกิจกรรมงาน "Meet the press" ผู้ว่าการ พบสื่อมวลชน ที่ศูนย์เรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้ข้อมูลทางเศรษฐกิจและตอบคำถามถึงภาวะเศรษฐกิจ และนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทย เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2567

    นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท.เปิดเผยว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจากวิกฤติโควิด-19 เมื่อเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจโลกถือว่าฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวและทยอยกลับเข้าสู่ระดับศักยภาพ

    ทั้งนี้ ธปท.มองว่าศักยภาพของเศรษฐกิจ ไทยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3% ขณะที่ความเห็น จากหลายฝ่ายมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย มองเศรษฐกิจดีเกินไปและไม่เห็นความลำบาก ของคน

    "การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นเพียงตัวเลข ภาพรวม โดยค่าเฉลี่ยของคน แต่เราเข้าใจดีว่า ที่ซ่อนอยู่คือความลำบากและความทุกข์ของประชาชนอีกหลายกลุ่ม" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
    โดยเฉพาะเมื่อดูจากตัวเลขรายได้ของ ลูกจ้างนอกภาคเกษตร กลุ่มที่ประกอบอาชีพอิสระ ภาคการบริการ การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม ที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทำให้ตั้งแต่ผ่านช่วงโควิดมาต้องเผชิญกับหลุมรายได้ที่หายไป ขณะที่ค่าครองชีพมีแต่จะเพิ่มขึ้น

    รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำไม่ได้หมายความว่าราคาสินค้าต่ำลง ปัจจุบันราคาสินค้าเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน ปรับเพิ่มขึ้นมา ทั้งสินค้าพลังงาน ไข่ไก่ เนื้อหมู รวมถึงการซ้ำเติมจาก หนี้ครัวเรือนของประชาชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็น ความทุกข์ยากและความลำบากของคน

    ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังได้รับผลกระทบเชิงโครงสร้างที่หนักขึ้น จากการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นไม่ใช่เพียงอุปสงค์ที่หายไปแต่ยังได้รับการซ้ำเติม จากอุปทานจากต่างประเทศ ขณะที่ความสามารถในการแข่งการผลิตในประเทศที่เคยเป็นพระเอกไม่ตอบโจทย์กระแสใหม่ของโลกที่กำลังก้าวไปสู่เอไอ เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ปิโตรเคมี และเหล็ก

    ศักยภาพเศรษฐกิจไทยเหลือแค่ 3%

    นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ดังนั้นต้องปรับจูน ความคาดหวังต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ที่มองว่าจะกลับมาฟื้นตัวถึง 5% เพราะศักยภาพ ของเศรษฐกิจไทยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3%

    "การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะกลับมา ที่ศักยภาพที่ประมาณ 3% ซึ่งไม่ได้เป็น ตัวเลขตายตัว หากอยากให้ขยายตัวมากกว่านี้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง มีการลงทุนและเทคโนโลยีใหม่ แต่ไม่ได้มาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะหากความสามารถเราเท่าเดิมจะกระตุ้นให้ตายก็กลับมาที่ศักยภาพเท่าเดิมคือ 3%" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
    ทั้งนี้ ความสามารถในการเติบโตของเศรษฐกิจ ต้องขึ้นอยู่กับการขยายตัวของแรงงานและ ประสิทธิภาพของแรงงานด้วย ซึ่งประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยซึ่งทำให้การขยายตัวของ กำลังแรงงานลดลง

    ขณะที่ประสิทธิภาพการผลิตยังเท่าเดิมกับที่ผ่านมา ซึ่งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ 3% ไม่ถือเป็นตัวเลขที่เพียงพอ เมื่อเทียบกับระดับรายได้ ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ

    อัตราดอกเบี้ยมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาก

    นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ธปท.ดำเนินนโยบาย การเงินให้อยู่ในกรอบเงินเฟ้ออย่างยืดหยุ่น โดยดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน 2.50% เป็นอัตราที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องการประเมินสถานการณ์ข้างหน้า แต่ถ้าในอนาคตปัจจัยต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปก็พร้อมที่จะพิจารณา ความเหมาะสมอีกครั้ง

    ทั้งนี้การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงไม่ได้พิจารณาแค่เงินเฟ้อเท่านั้น แต่ยังต้อง พิจารณาถึงการเติบโตของเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงิน จึงไม่ได้เป็นสูตรตายตัวว่าเงินเฟ้อต่ำและจะต้องลดอัตราดอกเบี้ย เช่นเดียวกับประเทศ อื่นๆ ที่มีกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ใช้เอไอตัดสินใจได้แทน

    นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือทางการเงินที่เรียกว่าดอกเบี้ยนโยบายจะต้องชั่งน้ำหนักใน หลายมิติและดูผลข้างเคียง และมองไปข้างหน้า ว่าเทรนด์เป็นอย่างไร ซึ่งเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีแรก ใกล้ศูนย์ แต่ในครึ่งปีหลังจะขยายตัว 1.1% ทำให้ทั้งปีคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 0.6% รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นซึ่งเกิดจากการกำหนดดอกเบี้ยนโยบายในระดับที่ต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้เสถียรภาพด้านการเงินเสื่อมลง

    "ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน เพื่อมองแนวโน้มในระยะข้างหน้า ซึ่งปัจจุบัน ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสมตามที่ ธปท. คาดการณ์ แต่ถ้าคาดการณ์นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ การฟื้นตัว เศรษฐกิจ ก็พร้อมที่จะปรับดอกเบี้ย ไม่มีการ ปิดประตูอะไรทั้งนั้นท่ามกลางความเสี่ยง ความไม่แน่นอนของโลกที่มีอย่างมหาศาล" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
    ใช้มาตรการอื่นคู่อัตราดอกเบี้ย

    อย่างไรก็ดีนอกจากการพิจารณาเครื่องมือ เรื่องของดอกเบี้ยนโยบายแล้ว ยังมีเครื่องมือ อื่นที่จะช่วยขับเคลื่อนนโยบายด้านการเงินได้ และลดผลกระทบต่าง ๆ ลงได้ เช่น มาตรการ ดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งมีเป้าหมายในการ ดูแลเงินบาทไม่ให้มีความผันผวน มาตรการ ดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน เช่น การผ่อนเกณฑ์ LTV ชั่วคราว

    นอกจากนี้ยังมีมาตรการทางการเงินเข้ามา เสริม โดยเฉพาะการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การแก้ปัญหาสภาพคล่อง โดยที่ผ่านมามีตัวอย่างของมาตรการทางการเงิน เช่น สินเชื่อฟื้นฟูจาก โควิด โครงการค้ำประกันสินเชื่อ มาตรการแก้หนี้ระยะยาว (ฟ้า-สิม) คลินิกแก้หนี้

    รวมถึงการออกมาตรการการให้สินเชื่อ อย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending-RL) เพื่อให้สถาบันการเงินช่วย แก้หนี้เก่าที่มีปัญหา และปล่อยหนี้ใหม่อย่าง มีความรับผิดชอบ

    "หากเราพึ่งแค่เรื่องของดอกเบี้ยนโยบาย จะลำบาก จึงต้องใช้เครื่องมืออื่น ๆ เข้ามาเสริม และทำแบบผสมผสาน" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
    พร้อมถกคลัง ปรับกรอบเงินเฟ้อ

    นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า การหารือเรื่อง กรอบเงินเฟ้อระหว่างธปท.และกระทรวงการคลังจะมีการประชุมร่วมกันในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่ง ขณะนี้เป็นช่วงที่หารือร่วมกันและรับข้อเสนอ ของกระทรวงการคลังมาพิจารณา อย่างไรก็ตามการปรับกรอบเงินเฟ้อเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ และคาดการณ์ต่อเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งจะส่งสัญญาณไปที่ตลาด ทำให้ต้นทุน การกู้ยืมที่สูงขึ้น และผลตอบแทนพันธบัตร ที่สูงขึ้น

    "เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำไม่ได้เกิดจากการกำหนดกรอบเงินเฟ้อ แต่เกิดจากปัจจัยด้านอุปทาน การอุดหนุนพลังงาน และการแข่งขันของธุรกิจทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้ ธปท.ไม่ใช่กระทรวงพาณิชย์ที่จะไปบังคับให้ผู้ประกอบการห้ามขึ้นราคา" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
    สำหรับความกังวลเรื่องการเข้าสู่ภาวะเงินฝืด นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เงินเฟ้อที่ไม่ได้สูงไม่ได้เป็นปัญหาถ้าไม่ได้นำไปสู่ภาวะเงินฝืด ซึ่งสะท้อนจากราคาของสินค้าที่ลดลงและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ การบริโภคและอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวลง ขณะที่เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำของไทยไม่ได้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะเงินฝืด เนื่องจากการบริโภคที่ยังขยายตัว 7% ในปีที่แล้ว และยังโตต่อเนื่องในปีนี้

    ห่วงสินค้าจีนกระทบโครงสร้างผลิต

    ทั้งนี้ น่าเป็นห่วงมากกว่าคือการแข่งขันจากสินค้าจีนที่จะเข้ามา เพราะกำลังการผลิตจีนมีอยู่มาก แต่อุปสงค์ในประเทศยังไม่โต ทำให้สินค้าจีนส่งออกมามากขึ้น ผนวกกับการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ และยุโรปลำบาก ก็จะส่งมาในอาเซียนมากขึ้น อาทิ สินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง

    นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ภาวะภายหลังจาก วิกฤติโควิด มุมมองขององค์กรระหว่างประเทศ อยากจะเห็นประเทศมีเสถียรภาพ รวมทั้งเสถียรภาพด้านการคลังซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเสถียรภาพ โดยรวม โดยเฉพาะการมีสถานะการคลังในระยะยาวให้กลับมาเข้มแข็ง ซึ่งไทยมีการขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องมาก 20 ปี และมีแนวโน้มหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่สูงขึ้น อยู่ในระดับ 64-65% ซึ่งเรื่องเหล่านี้ควรต้องใส่ใจ

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1134497
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1720335333482.jpg

    ‘น้ำแข็งขั้วโลก’ ละลายเร็วขึ้น เพราะน้ำอุ่นไหลทะลัก ต่อให้หยุดปล่อยคาร์บอนวันนี้ ก็ช่วยไม่ได้
    .
    นักวิทยาศาสตร์ว่าน้ำอุ่นในมหาสมุทรไหลซึมผ่านใต้แผ่นน้ำแข็ง ทำให้เกิดน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น
    .
    “ภาวะโลกร้อน” ทำให้ “น้ำแข็งขั้วโลก” ละลายอย่างรวดเร็วขึ้นไปทุกขณะ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ระดับน้ำทะเล” ที่พุ่งสูงขึ้น และดูเหมือนว่าการประเมินการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจะต่ำความเป็นจริงอยู่เรื่อยมา ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์พบปัจจัยใหม่ที่ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว และระดับน้ำทะเลพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
    .
    จากการศึกษาใหม่จากคณะสำรวจทวีปแอนตาร์ติกาของสหราชอาณาจักร หรือ BAS ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Geoscience พบว่า มีน้ำทะเลอุ่นแทรกซึมอยู่ระหว่างแผ่นน้ำแข็งชายฝั่งและพื้นดินอยู่ ซึ่งน้ำอุ่นละลายช่องน้ำแข็ง ยิ่งทำให้น้ำไหลเข้าไปในน้ำแข็งได้มากขึ้น และเมื่อน้ำแข็งละลายขขขขสู่มหาสมุทร ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
    .
    การศึกษาครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่ “เขตกราวดิง” (grounding zones) เป็นบริเวณที่น้ำแข็งจากพื้นดินมาบรรจบกับทะเล เมื่อเวลาผ่านไป น้ำแข็งบนบกจะเคลื่อนตัวลงสู่มหาสมุทรโดยรอบและละลายในที่สุด ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ชายฝั่งแอนตาร์กติกาและกรีนแลนด์ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
    .
    นักวิทยาศาสตร์สร้างแบบจำลอง เพื่อหาว่าน้ำทะเลสามารถซึมระหว่างพื้นดินกับแผ่นน้ำแข็งได้อย่างไร ส่งผลต่อการละลายน้ำแข็งเฉพาะจุดและเร่งให้ละลายเร็วขึ้นอย่างไร ซึ่งพบว่ากระบวนการนี้เกิดขึ้นจาก น้ำทะเลอุ่นเข้ามาละลายน้ำแข็งบริเวณกราวดิงจนเป็นโพรงใหญ่ และทำให้น้ำอุ่นไหลเข้ามาในแผ่นน้ำแข็ง ซึ่งจะเร่งให้น้ำแข็งละลายมากขึ้นและรวดเร็วขึ้น
    .
    ดังนั้นหากน้ำทะเลมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นแม้เพียงนิดเดียวก็จะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตราการละลายของน้ำแข็ง ซึ่งจะเปลี่ยนจากระยะทางไม่กี่เมตรให้กลายเป็นหลาย 10 ขกิโลเมตร ได้ในระยะเวลาไม่นาน
    .
    ทั้งนี้ การศึกษาระบุว่าเราจะยังไม่รู้สึกถึงผลกระทบดังกล่าวในทันที แต่ระดับน้ำทะเลจะค่อย ๆ สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ในอีกหลายร้อยปี ซึ่งคุกคามชุมชนชายฝั่งทั่วโลก อีกทั้งการศึกษาไม่ได้ระบุว่าจุดพลิกผันจะมาถึงเมื่อไหร่ และไม่ได้ระบุว่าการรุกล้ำของน้ำทะเลจะทำให้ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นเท่าใด แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ในแต่ละปีแอนตาร์กติกาจะสูญเสียน้ำแข็งปีละ 150,000 ล้านเมตริกตัน และหากน้ำแข็งทั้งหมดละลายจะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นประมาณ 58 เมตร
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1133226?anm=
    .
    เผยแพร่ครั้งแรก วันที่ 30 มิถุนายน 2567
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจSustain #กรุงเทพธุรกิจClimate
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1720335622819.jpg

    เปิดปฏิบัติการล่า “ปลาหมอคางดำ” วายร้ายทำลายระบบนิเวศชายฝั่ง

    ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การแพร่ระบาดของเอเลียนสปีชีส์วายร้ายแห่งลุ่มน้ำ “ปลาหมอคางดำ” กำลังก่อผลกระทบต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำในพื้นที่ชายฝั่งทะเลหลายจังหวัดของไทย ขณะเดียวกัน ก.เกษตรฯ จ่อยกระดับสถานการณ์ขึ้นเป็น “วาระแห่งชาติ” เแก้ไขปัญหาเร่งด่วน “เปิดปฏิบัติการล่า” เพื่อลดปริมาณและควบคุมการระบาดโดยเร็วที่สุด

    เป็นประเด็นท้าทาย “ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งปัญหาการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำเป็นปัญหาเรื้อรังนานนับสิบปี ไม่เพียงก่อผลกระทบต่อระบบนิเวศของแหล่งน้ำ รุกรานสัตว์น้ำพื้นถิ่นหายไป ยังส่งผลกระทบรุนแรงต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร โดยประกาศยกระดับการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งสร้างความเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด เป็นเรื่องน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง

    สำหรับ “ปลาหมอคางดำ” (Blackchin Tilapia

    ) เป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นจากทวีปแอฟริกาจัดเป็น “เอเลียนสปีชีส์” หรือสิ่งมีชีวิตสัตว์/พืชที่เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (introduced species) ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในถิ่นใดถิ่นหนึ่งแต่ถูกนำเข้ามาจากถิ่นอื่น สามารถขายพันธุ์และแพร่กระจายพันธุ์ได้ดีจนเกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมระบบนิเวศในพื้นที่นั้นๆ

    โดยข้อมูลการศึกษาจากการประเมินระบบนิเวศแห่งสหัสวรรษ (Millennium Ecosystem Assessment 2005) ได้ระบุว่า “เอเลียนสปีชีส์ ถือเป็นสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ หากไม่นับการบุกรุกพื้นที่ธรรมชาติโดยมนุษย์”

    “ปลาหมอคางดำ” เป็นสัตว์น้ำวงศ์เดียวกับ “ปลาหมอสี” และ “ปลาหมอเทศ” โดยคุณลักษณะเฉพาะของ “ปลาหมอคางดำ” เติบโตเร็วแพร่พันธุ์รวดเร็ว สามารถวางไข่และฟักตัวได้ตลอดทั้งปี เฉลี่ยวางไข่ได้ครั้งละ 150 - 300 ฟองต่อ 1 ตัว โดยสามารถมีชีวิตอยู่ในทุกสภาพแวดล้อมแหล่งน้ำ 3 แหล่ง ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม กินสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ลูกปลาลูกกุ้งลูกหอยเป็นอาหาร ดังนั้น ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของแหล่งน้ำทำให้สัตว์น้ำพื้นถิ่นหายไป ยังส่งผลต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกรอย่างหนักอีกด้วยx

    ประมงจังหวัดสงขลา ออกประกาศจับปลาหมอคางดำ เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของสัตว์น้ำต่างถิ่นที่คุกคามระบบนิเวศและสัตว์น้ำดั้งเดิม
    ประมงจังหวัดสงขลา ออกประกาศจับปลาหมอคางดำ เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของสัตว์น้ำต่างถิ่นที่คุกคามระบบนิเวศและสัตว์น้ำดั้งเดิม

    สถานการณ์การแพร่ระบาดของ “ปลาหมอคางดำ” กระจายอยู่ในพื้นที่ 25 จังหวัด โดยพบการแพร่ระบาดใน 13 จังหวัด บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยและพื้นที่ใกล้เคียง ได้แก่ จันทบุรี ระยอง สมุทรปราการ กรุงเทพฯ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา โดยลักษณะการแพร่ระบาดจะพบทั้งคลองที่เชื่อมถึงกัน และพบเฉพาะบางแหล่งน้ำที่ห่างไกลออกไปซึ่งพบบางพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่เฝ้าระวัง 3 จังหวัด ได้แก่ ตราด ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ส่วนอีก 9 จังหวัดยังไม่พบการแพร่ระบาด คือ พัทลุง ปัตตานี นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล

    โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 “ประมงจังหวัดสงขลา ประกาศจับปลาหมอคางดำ” หลังพบปลาหมอคางดำในลำคลองน้ำกร่อยหลายจุดใน อ.ระโนด จ.สงขลา อาจก่อให้ผลกระทบกับพันธุ์สัตว์น้ำในธรรมชาติ โดยเฉพาะลำคลองหลายจุดที่พบปลาหมอคางดำนั้นมีเส้นทางเชื่อมต่อกับทะเลสาบสงขลา และหากปลาชนิดนี้ระบาดในทะเลสาบสงขลาจะเกิดวิกฤตอย่างหนัก เนื่องจากปลาหมอคางดำอยู่ได้ทุกสภาพแวดล้อม กินสัตว์น้ำตัวเล็กชนิดอื่นๆ จนหมดเกลี้ยงในเวลารวดเร็ว

    -1-

    จุดกำเนิดและเส้นทางการแพร่ระบาด

    สำหรับเส้นทางก่อนเกิดปลาหมอคางดำแพร่พร่ระบาดในพื้นที่ลุ่มน้ำของไทยหลายแห่งนั้น ย้อนกลับไป ช่วงปี 2561 กลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำใน จ.สมุทรสงคราม และ จ.เพชรบุรี ร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนว่า ได้รับผลกระทบจากการแพร่พันธุ์ของปลาหมอคางดำ ซึ่งกรมประมง (ผู้ถูกร้อง) อนุญาตให้เอกชนนำเข้ามาทดลองเพาะเลี้ยง กระทั่งเกิดการแพร่ระบาดของพันธุ์ปลาชนิดดังกล่าวรุกรานปลาพื้นถิ่น สร้างความเดือดร้อนแก่เกษตรกรในวงกว้างมาตั้งแต่ปี 2555

    ต่อมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า ปี 2549 คณะกรรมการด้านความหลากหลายและความปลอดภัยทางชีวภาพของกรมประมง (IBC) มีมติอนุญาตให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งนำเข้าปลาหมอคางดำจากสาธารณรัฐกานา ทวีปแอฟริกา เพื่อนำมาปรับปรุงสายพันธุ์ปลานิลแบบมีเงื่อนไข

    จากนั้น ปี 2553 บริษัทแห่งนี้ได้นำเข้าปลาหมอคางดำ จำนวน 2,000 ตัว โดยมีศูนย์ทดลองอยู่ที่ ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จากนั้นปลาหมอคางดำได้ทยอยตายเกือบทั้งหมดภายใน 3 สัปดาห์ บริษัทจึงทำลายและฝังกลบซากปลาโดยการโรยด้วยปูนขาวและแจ้งให้กรมประมงทราบด้วยวาจา โดยไม่ได้จัดทำรายงานอย่างเป็นทางการและเก็บซากปลาส่งให้กับกรมประมงตามเงื่อนไขการอนุญาตของคณะกรรมการ IBC

    กระทั่ง ปี 2555 เกษตรกรในพื้นที่ ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ได้พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นครั้งแรก จากนั้นเกษตรกรที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม และ จ.เพชรบุรี ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นอย่างมาก

    โดยทาง กสม. มีมติว่าการแพร่ระบาดของปลาชนิดดังกล่าว มีผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ สิทธิทางเศรษฐกิจ และการประกอบอาชีพของประชาชนอันกระทบต่อสิทธิมนุษยชนซึ่งได้รับการรับรองไว้ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR)

    อย่างไรก็ดี แม้ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า กรมประมงในฐานะผู้ถูกร้องละเลยการกระทำอันเป็นผลให้เกิดการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำหรือไม่ แต่ก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่า กรมประมงไม่สามารถควบคุมดูแลและตรวจสอบติดตามให้เอกชนรายดังกล่าว ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุญาตนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่นอย่างครบถ้วนตามที่กรมประมงกำหนดให้ต้องรายงานและเก็บซากปลาให้กับกรมประมง

    นายปัญญา โตกทอง คณะกรรมการลุ่มน้ำเพรชบุรี เปิดเผยผ่านมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ความว่าการระบาดของปลาหมอคางดำได้ส่งผลกระทบให้ปลาหมอเทศน์ที่เป็นสัตว์ท้องถิ่นหายไปภายในปีเดียว ทำให้คนในพื้นที่ต้องปรับเปลี่ยนอาชีพ การแพร่กระจายพันธุ์ของปลาหมอคางดำมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และในปัจจุบันการจัดการปลาหมอคางดำในพื้นที่เป็นไปได้ยากเพราะมีจำนวนมหาศาล และในด้านของเศรษฐกิจไม่มีราคาจูงใจให้คนจับมาทำการค้า

    “สัตว์ต่างถิ่นที่เข้ามา มาจากนายทุนและหน่วยงานที่กำกับดูแล พวกเขาต้องมีสามัญสำนึกที่สูงกว่านี้ ผมมีความหวังว่า เมื่อสังคมโลกเปลี่ยนแปลง ธุรกิจจะต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็เช่นกัน สิ่งนี้ควรเป็นบทเรียนใหญ่หลวงที่มีราคาแพง” นายปัญญา โตกทอง คณะกรรมการลุ่มน้ำเพรชบุรี ระบุ

    ที่ผ่านมา กรมประมงทราบดีถึงปัญหาการแพร่ระบาดของปลางหมอคางดำ และมีการดำเนินการระยะสั้นและแผนระยะยาวเพื่อควบคุมสถานการณ์มาโดยตลอด ขณะเดียวกัน มีการออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 9 มกราคม 2561 เรื่อง กำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามนำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือเพาะเลี้ยง พ.ศ. 2561 ก่อนประกาศลงราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2561 ตามประกาศที่ห้ามมิให้บุคคลใดนำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือเพาะเลี้ยง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมประมง หรือเป็นผู้ซึ่งอธิบดีกรมประมงมอบหมาย ประกอบด้วยสัตว์น้ำ 3 ชนิดพันธุ์ ได้แก่ 1. ปลาหมอคางดำ Sarotherodon melanotheron (RÜppell,1852) 2. ปลาหมอมายัน Cichlasoma urophthalmus (GÜnther,1862) และ 3. ปลาหมอบัตเตอร์ Heterotilapia buttikoferi (Hubrecht,1881) ทั้งนี้ หากพบลอบเพาะเลี้ยงมีโทษปรับ 1 ล้านบาท จำคุก 1 ปี

    ต่อมา ประกาศราชกิจจานุเบกษาในปี 2564 เรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามเพาะเลี้ยงในราชอาณาจักร พ.ศ.2564 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองพันธุ์สัตว์น้ำที่หายาก หรือป้องกันอันตรายมิให้เกิดแก่สัตว์น้ำและระบบนิเวศ จึงสมควรกำหนดสัตว์น้ำบางชนิดที่ห้ามเพาะเลี้ยง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 65 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดการประมง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560 รมว.เกษตรและสหกรณ์ ออกประกาศไว้ ห้ามมีให้บุคคลใดเพาะเลี้ยง ซึ่งสัตว์น้ำที่ระบุไว้ในบัญชีท้ายประกาศนี้ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีกรมประมง หรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมประมงมอบหมาย

    โดยจากบัญชีท้ายประกาศ ประกอบสัตว์น้ำด้วย 13 ชนิด ได้แก่ 1. ปลาหมอคางดำ 2. ปลาหมอมายัน 3. ปลาหมอบัตเตอร์ 4. ปลาทุกชนิดในสกุล Cichla และปลาลูกผสม 5. ปลาเทราท์สายรุ้ง 6. ปลาเทราท์สีน้ำตาล 7. ปลากะพงปากกว้าง 8. ปลาโกไลแอทไทเกอร์ฟิช 9. ปลาเก๋าหยก 10. ปลาที่มีการดัดแปลงหรือตัดแต่งพันธุกรรม GMO LMO ทุกชนิด และสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ 11. ปูขนจีน 12. หอยมุกน้ำจืด 13. หมึกสายวงน้ำเงินทุกชนิดในสกุล Hapalochlaena ทั้งนี้ ห้ามปล่อยลงในแหล่งน้ำธรรมชาติเด็ดขาด ฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ทำผิดซ้ำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท

    เนื้อปลาหมอคางดำรับประทานได้ การนำมาบริโภคประกอบอาหาร หรือแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร เป็นหนึ่งในแนวทางลดปริมาณและควบคุมการระบาด
    เนื้อปลาหมอคางดำรับประทานได้ การนำมาบริโภคประกอบอาหาร หรือแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร เป็นหนึ่งในแนวทางลดปริมาณและควบคุมการระบาด

    -2-

    เปิดปฏิบัติล่า-กำจัดให้สิ้นซาก

    ปัจจุบันปลาหมอคางดำได้แพร่ระบาดกระจายตัวในลุ่มน้ำหลายจังหวัดเป็นปัญหารุนแรง หน่วยงานเจ้าภาพ “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ยกระดับสถาการณ์เป็น “วาระแห่งชาติ” มีคำสั่งแต่งตั้ง “คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ” เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567

    โดยมี นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ครั้งที่ 1/2567 เบื้องต้นที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณามาตรการการจัดการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ เพื่อวางแผนและกำหนดมาตรการในการควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพโดยเร่งด่วน

    รวมทั้งมีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเครือข่ายชาวประมงและเกษตรกรในการกำจัดปลาหมอคางดำ ด้วยเรือประมงขนาดไม่เกิน 3 ตันกรอส ติดอวนรุน ร่วมกับการปล่อยปลาผู้ล่า เช่น ปลากะพงขาว ปลาอีกง ในแหล่งน้ำที่พบการแพร่ระบาด เพื่อควบคุมและลดจำนวนประชากรปลาหมอคางดำขนาดเล็กที่พบในธรรมชาติ

    โดย กรมประมง กระทรวงเกษตรฯ ได้เปิดปฏิบัติการ “การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในแหล่งน้ำธรรมชาติ” นำร่องจังหวัดต่างๆ อาทิ จ.สมุทรสงคราม จัดกิจกรรม “ลงแขก ลงคลอง ปราบปลาหมอคางดำ”

    , จ.นครศรีธรรมราช จัดกิจกรรม “ปราบวายร้ายแห่งลุ่มน้ำ” ฯลฯ วัตถุประสงค์เพื่อล่าปลาหมอคางดำขึ้นมาใช้ประโยชน์สร้างรายได้ การแปรรูปต่างๆ หรือจูงใจด้วยการรับซื้อ เป็นต้น

    ทั้งหมดนี้เป็นหนทางสำคัญที่จะช่วยลดประชากรปลาหมอคางดำได้มากและรวดเร็วที่สุด โดยเฉพาะบริโภคในครัวเรือนและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ดี “ปลาหมอคางดำ” สามารถนำมารับประทานได้เช่นเดียวกับปลาชนิดอื่นๆ ซึ่งทางการมีการประชาสัมพันธ์เสริมด้านการบริโภคเป็นหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหา

    “ปลาหมอคางดำ” รับประทานได้ สามารถประกอบอาหารได้สารพัดเมนูทีเดียว ยกตัวอย่างเมนูง่ายๆ “ปลาแดดเดียว” หากเป็นปลาไซส์เล็กต้องทอดให้กรอบสุดๆ ทั้งตัว แต่หากเป็นไซส์ใหญ่สามารถแล่เอาแต่เนื้อ ซึ่งปลาชนิดนี้แล่ไม่ยากเพราะก้างใหญ่ จากนั้นนำมาปรุงรสและทอดให้เหลืองกรอบ

    หรือเมนู “ปลาหวาน” โดยแล่เฉพาะเนื้อปลาออกมาหั่นเป็นเส้นๆ แล้วปรุงรสตามกรรมวิธีทำปลาหวานแล้วนำลงทอด เมนูนี้ได้รับเสียงยืนยันว่าอร่อยเหมือนปลาริวกิวหวานที่นิยมบริโภคกันเลยทีเดียว ยังมี “เมนูขนมจีนน้ำยาปลา” และ “แกงส้มปลา" ปลาหมอคางดำก็นำมาทำ 2 เมนูนี้ได้รสอร่อย รวมถึงของกินเล่นอย่า“ไส้อั่วปลา" และ “ข้าวเกรียบปลา” ทั้งยังนำไปทำ “ปลาร้า” และ “น้ำปลา” จะเห็นว่าปลาหมอคางดำที่สามารถรังสรรค์ได้หลากหลายเมนู

    นอกเหนือจากการปรุงเป็นเมนูอาหารและขนมของกินเล่นแล้ว ในแง่คุณประโยชน์ปลาหมอคางดำยังนำขึ้นมาขายให้โรงงานปลาป่น เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ หรือนำไปทำปุ๋ยน้ำชีวภาพ สำหรับใช้รดต้นไม้ให้ดอกผลงดงามได้อีกด้วย

    ทั้งนี้ ราคาปลาหมอคางดำ (คละขนาด) ณ ปัจจุบัน หากยังไม่นำไปแปรรูปเพิ่มมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 7-10 บาท/กก. สามารถจับขึ้นมาได้โดยไม่ต้องลงทุนเลี้ยง ซึ่งเป็นการช่วยฟื้นฟูสมดุลธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพให้สิ่งแวดล้อมในชุมชน ในส่วนปลาที่ถูกนำไปแปรรูปแล้ว เช่น ปลาแดดเดียวแบบทั้งตัวจะอยู่ที่ 80-90 บาท/กก. แต่ถ้าแล่เฉพาะเนื้อ จะอยู่ที่ 160 บาท/กก. สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนไม่น้อยเลยทีเดียว

    อย่างไรก็ตาม ย้ำเตือนว่าไม่มีความจำเป็นต้องสร้างมูลค่าให้ปลาหมอคางดำให้มีราคาสูงจนเกินเหตุ เพราะนั่นอาจทำให้เกษตรกรบางคนทำการลักลอบขยายพันธุ์ปลาจนเกิดภาวะที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งจะผิดเป้าประสงค์และเกิดหายนะของน่านน้ำตามมาอีกระลอกใหญ่

    นโยบายจัดการปลาหมอคางดำในครั้งนี้ รัฐพยายามสร้างการมีส่วนร่วมในสังคมไทย ช่วยกันจับ ช่วยกันกิน และช่วยกันใช้ ควบคู่ไปกับมาตรการอื่นๆ ตามแผนของกรมประมง เช่น กิจกรรมลงแขกลงคลอง การปล่อยปลากะพง ปลาอีกงเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อจำกัดการแพร่ระบาด พร้อมกับการประเมินสถานการณ์ปริมาณปลาดังกล่าว รวมถึงให้ความรู้เกษตรกรและชาวบ้านที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

    สุดท้ายการระบาดของ “ปลาหมอคางดำ” เป็นบทเรียนสำคัญของการรุกรานจากสิ่งมีชีวิตพันธุ์ต่างถิ่น ซึ่งการยกระดับการแก้ปัญหาเป็น “วาระแห่งชาติ” เป็นแนวทางให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ยังต้องติดตามกันว่าการจัดการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำจะสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายหรือไม่?

    https://www.facebook.com/share/p/uHhHbreNPQuKrGqi/?mibextid=oFDknk
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทางการจีนสั่งอพยพประชาชนราว 6,000 คน หลังฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้เขื่อนในทะเลสาบขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศที่มณฑลหูหนานเกิดการพังทลาย และปลดปล่อยมวลน้ำไหลเข้าท่วมชุมชน
    .
    สำนักข่าวซินหวารายงานว่า ส่วนหนึ่งของเขื่อนบริเวณขอบทะเลสาบตงถิง (Dongting Lake) ในมณฑลหูหนานเกิดการแตกออกเป็นระยะทางกว้างราว 226 เมตรเมื่อบ่ายวันศุกร์ (5 ก.ค.) ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องสั่งอพยพชาวบ้านราว 6,000 คน และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต
    .
    สถานีโทรทัศน์ CCTV ได้เผยแพร่ภาพมวลน้ำที่ไหลทะลักออกจากช่องแตกของเขื่อนเข้าท่วมเรือกสวนไร่นาและบ้านเรือนของประชาชนจนเกือบมิดหลังคา
    .
    ขณะเดียวกัน ศูนย์เฝ้าระวังของจีนได้ประกาศควบคุมการจราจรบนถนนทุกสายที่มุ่งหน้าและออกจากเทศมณฑลหวาหรง (Huarong) ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ราว 500,000 คน “สืบเนื่องจากความจำเป็นในการป้องกันอุทกภัย”
    .
    “ในช่วงเวลาควบคุม ยานพาหนะอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากรถของเจ้าหน้าที่ป้องกันน้ำท่วมจะไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าพื้นที่” ศูนย์เฝ้าระวังประกาศผ่านแพลตฟอร์ม weibo
    .
    ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้มีคำสั่งให้ทุกหน่วยงานระดมกำลังเจ้าหน้าที่และทรัพยากรทั้งหมด “เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน” ตามรายงานของซินหวาวันนี้ (6)
    .
    กระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินของจีนยังได้ส่งทีมกู้ภัยกว่า 800 คน ยานพาหนะเกือบ 150 คัน และเรืออีกหลายสิบลำเข้าไปช่วยซ่อมแซมรอยแตกของเขื่อน และสนับสนุนภารกิจบรรเทาทุกข์ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม
    .
    รัฐบาลจีนได้ประกาศจัดสรรงบประมาณพิเศษจำนวน 540 ล้านหยวน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในมณฑลหูหนานและพื้นที่ภัยพิบัติอื่นๆ ตามรายงานของ CCTV
    .
    จีนต้องเผชิญกับฤดูร้อนที่สภาพอากาศรุนแรงสุดขั้ว โดยเกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ทางตอนกลางและตอนใต้ ขณะที่ภาคเหนือมีอุณหภูมิร้อนจัด
    .
    ที่มา: เอเอฟพี

    https://www.facebook.com/share/p/WxGqCHyPpPUozUCj/?mibextid=oFDknk
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พรรคเนชันแนล แรลลี พรรคฝ่ายขวาของฝรั่งเศส จะขัดขวางความเป็นไปได้ใดๆในการส่งทหารแดนน้ำหอมเข้าประจำการในยูเครน และห้ามเคียฟจากการใช้อาวุธที่ทางฝรั่งเศสจัดหาให้ โจมตีใส่แผ่นดินรัสเซีย หากว่าพวกเขาคว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งรัฐสภารอบตัดเชือก และคว้าเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของประเทศมาครอง จากคำประกาศของมารีน เลอ เปน อดีตผู้นำพรรค

    ความเห็นของเธอเป็นการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนหน้าศึกเลือกตั้งรอบ 2 ที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์(7ก.ค.) ทั้งนี้ เลอ แปน บ่งชี้ว่าการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการประจำการทหารฝรั่งเศสในยูเครน จะขึ้นอยู่กับนายกรัฐมมนตรี และท่าทีของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง จะไม่มีความสำคัญใดๆในกรณีดังกล่าว แม้ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มาครง พูดซ้ำๆว่ากำลังขบคิดเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าว ในขณะที่เขาใช้ถ้อยคำชวนทะเลาะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆในเรื่องความขัดแย้งยูเครน

    "ถ้า เอ็มมานูเอล มาครง ต้องการส่งทหารไปยังยูเครน แต่นายกรัฐมนตรีคัดค้าน เมื่อนั้น ก็มีจะไม่ทหารถูกส่งไปยังยูเครน นายกรัฐมตรีจะเป็นคนตัดสินใจขั้นสุดท้าย" เลอ เปน กล่าว

    เลอ เปน ระบุต่อว่าถ้าพรรคของเธอก้าวเข้าสู่อำนาจ จะมีการห้ามเคียฟจากการใช้อาวุธที่จัดหาให้โดยฝรั่งเศส โจมตีผืนแผ่นดินรัสเซียเช่นกัน โดยอ้างว่าการอนุญาตดังกล่าวจะทำให้ปารีส กลายเป็นผู้ร่วมสงครามในความขัดแย้งนี้

    ท่าทีของพรรคแนชันแนล แรลลี แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากบรรดาชาติตะวันตกส่วนใหญ่ ซึ่งอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธของพวกเขาโจมตีลักษณะดังกล่าว โดยอ้างว่ามันจะไม่ทำให้ประเทศของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นปรปักษ์

    รัสเซีย ส่งเสียงเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปยังตะวันตกร่วม ต่อการจัดหาอาวุธที่ล้ำสมัยมากขึ้นเรื่อยๆแก่ยูเครน พร้อมเน้นย้ำว่าความคริงคือบรรดาผู้สนับสนุนของยูเครน เข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งมานานแล้ว และมองว่ามันคือการทำ "สงครามตัวแทน" กับรัสเซีย

    คำประกาศของเลอ เปน ก่อความกังวลว่าพรรคของเธออาจใช้มาตรการแบบสุดขั้ว นั่นคือหยุดการสนับสนุนทั้งหมดที่มอบแก่ยูเครน หรือกระทั่งถอนฝรั่งเศสออกจากพันธมิตรทหารนาโตที่นำโดยสหรัฐฯ ขณะที่สำนักข่าว Euractiv รายงานอ้างแหล่งข่าวนักการทูตหลายคนที่ไม่ประสงค์เอ่ยนาม ระบุว่าความวิตกดังกล่าวเริ่มมีมากขึ้นในช่วงไม่นานที่ผ่านมา

    พรรคเนชันแนล แรลลี(อาร์เอ็น) นำมาเป็นอันดับ 1 ในศึกเลือกตั้งรอบแรกของฝรั่งเศส คว้าคะแนนเสียงได้ 33% ในศึกเลือกตั้ง ที่เกิดขึ้นจากการยุบสภาของมาครง หลังจากพรรคของเขาประสบความพ่ายแพ้แก่พรรคเนชันแนล แรลลี ในศึกเลือกตั้งรัฐสภายุโรปเมื่อเดือนที่แล้ว

    ทาง Ensemble พรรคสายกลางของมาครง ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ในศึกเลือกตั้งรอบแรก โดยรั้งอันดับ 3 ด้วยคะแนนเสียง 20% ส่วนอันดับ 2 เป็นของพันธมิตรฝ่ายซ้าย ซึ่งกำลังเร่งรีบระดมเสียงสนับสนุนก่อนถึงศึกเลือกตั้งรอบตัดสิน ท่ามกลางผลสำรวจความคิดเห็นของสำนักโพลบางแห่ง ที่คาดหมายว่าพรรคอาร์เอ็น จะกวาดเก้าอี้มาได้ทั้งหมด 280 ที่นั่ง จากทั้งหมด 577 ที่นั่งในสมัชชาแห่งชาติ

    (ที่มา:ซีเอ็นเอ็น/อาร์ทีนิวส์)

    https://www.facebook.com/share/p/Ji1MCqd9VqmzG2vi/?mibextid=oFDknk
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มหาอำนาจตะวันตกบางชาติ ดูเหมือนจะมุ่งมั่นอย่างไม่มีลดละ ในความพยายามเปลี่ยนความขัดแย้งยูเครนเข้าสู่สงครามโลกเต็มรูปแบบ จากคำกล่าวหาของเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกี แต่เขาแสดงความหวังว่าสันติภาพจะมีชัยเหนือความอาฆาตแค้นนี้

    เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ยื่นข้อเสนอจำนวนหนึ่ง โดยมีเป้าหมายยุติความเป็นปรปักษ์ในยูเครน พร้อมยืนยันว่ามอสโกเปิดกว้างสำหรับการเจรจามาตลอด อย่างไรก็ตามข้อเสนอเหล่านั้นถูกปฏิเสธโดยยูเครนและบรรดาชาติตะวันตกผู้สนับสนุน อ้างว่าไม่มีความเป็นจริงและไร้ความจริงใจ

    ระหว่างให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินประธานาธิบดี ขณะเดินทางกลับจากไปร่วมประชุมซัมมิตองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organisation: SCO) ในกรุงอัสตานา คาซัคสถาน เมื่อวันศุกร์(5ก.ค.) ทาง แอร์โดอัน คร่ำครวญว่า "เป็นที่น่าเสียหายที่มีประเทศต่างๆและเครือข่ายในตะวันตก สนับสนุนแนวทางหนึ่งๆ ซึ่งเปิดทางสำหรับสงครามโลกครั้งที่ 3"

    เขากล่าวโทษบรรดาผู้ผลิตอาวุธที่เอาแต่ผลักดันวาระของตนเอง ในขณะที่บรรดามหาอำนาจตะวันตกเดินหน้าไหลบ่าความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน "มันชัดเจนว่าพวกพ่อค้าอาวุธต้องการเงิน และตลาดสำหรับพวกพ่อค้าอาวุธก็คือตะวันตก"

    ประธานาธิบดีตุรกีกล่าวต่อว่า ในทางตรงกันข้าม รัสเซียกำลังสนับสนุนสันติภาพและทางออกอย่างสันติของความขัดแย้งยูเครน เขาบอกด้วยว่าอังการาจะจับตาดูพัฒนาการในความขัดแย้งนี้ และหวังว่าเคียฟกับมอสโกจะบรรลุข้อตกลงสันติภาพกันได้ในเร็ววัน

    ผู้นำตุรกีและรัสเซีย มีโอกาสพบปะกันรอบนอกการประชุม SCO ในวันพุธ(3ก.ค.) โดยแม้ตุรกีไม่ได้เป็นสมาชิกขององค์กรแห่งนี้ แต่ก็อยู่ในฐานะพันธมิตรทางการทูต

    ในการพูดถึงประเด็นความเป็นไปได้เกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพกับยูเครน ระหว่างการประชุมซัมมิตในวันพฤหัสบดี(4ก.ค.) ปูติน กล่าวว่าประตูสำหรับสันติภาพยังคงเปิดกว้างอยู่ "ข้อตกลงอิสตันบูลไม่ได้หายไปไหน มันริเริ่มโดยหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาของยูเครน นั่นหมายความอย่างชัดเจนว่า ยูเครนพอใจกับข้อตกลงนั้น"

    ปูติน อ้างถึงร่างเอกสารที่เกือบจะมีการลงนามอย่างเป็นทางการในเมืองหลวงของตุรกี ในช่วงฤดูใบไม้ผลิใน 2022 ในข้อตกลงที่ระบุว่ายูเครนจะให้พันธสัญญาเกี่ยวกับความเป็นกลางอย่างถาวร พร้อมกับลดขนาดกองทัพ และกับคำรับประกันด้านความมั่นคงบางอย่าง "ข้อตกลงต่างๆเหล่านี้ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ และอาจถูกใช้เป็นพื้นฐานของการเดินหน้าเจรจากันต่อ"

    มอสโกกล่าวอ้างว่าการเจรจาพังครืนลงจากฝีมือของ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ณ ขณะนั้น โดยแม้ จอห์น สัน ปฏิเสธคำกล่าวหานี้โดยสิ้นเชิง แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ระบุในตอนนั้น ยอมรับแบบกลายๆว่า จอห์นสัน มีบทบาทสำคัญในการล้มโต๊ะเจรจา ด้วยการสนับสนุนให้เคียฟเดินหน้าสู่ต่อ

    เมื่อเดือนที่แล้ว ปูตินระบุว่ารัสเซียพร้อมเปิดการเจรจาสันติภาพกับยูเครนในทันที หากว่าเคียฟถอนทหารจากภูมิภาคดอนบาส และอีก 2 แคว้นที่เคยเป็นของยูเครน เช่นเดียวกับรับปากเกี่ยวกับการเป็นรัฐที่เป็นกลาง อย่างไรก็ตามเคียฟและบรรดาชาติตะวันตกผู้สนับสนุน รุดออกมาปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างรวดเร็ว โดยสวนกลับว่ามันเป็นการยื่นคำขาด

    (ที่มา:อาร์ทีนิวส์)

    https://www.facebook.com/share/p/QZBx5feNG8ngvu6f/?mibextid=oFDknk
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สภาเยอรมัน "บล็อก"! ห้าม "โฟล์คสวาเกน" ขายธุรกิจกังหันก๊าซให้จีน! มันคือ "ยุทธศาสตร์ชาติ" ยังไงถึงต้องออกโรงมาขวาง??? ขอใบ้ว่าให้นึกถึงเรื่องท่อก๊าซ "นอร์ด สตรีม" ของรัสเซียครับท่าน!!! (ยังคุ้นๆ กันอยู่ไหม)

    "บุนเดสเรกียง" Bundesregierung มีมติให้ "โฟล์คสวาเกน" ยุติแผนขาย MAN Energy Solutions บริษัทลูก ที่ทำธุรกิจกังหันก๊าซ ให้ไปอยู่ในกำมือของ CSIC Longjiang GH Gas Turbine รัฐวิสาหกิจจีน
    อ้างเหตุผลว่า กลัวรัฐบาลจีนเอาไปใช้สำหรับเรือรบ ...

    กระทรวงเศรษฐกิจชี้แจงว่า ทั่วไปแล้ว ยินดีต้อนรับการลงทุน ยกเว้นเทคโนโลยีที่ชี้เป็นชี้ตายต่อ "ความสงบสุขของมวลชน (ชาวโลก)"
    ต้องพิทักษ์ไว้

    ย้อนไปกลางๆ ปี 2022 เยอรมัน (ในนามของพี่ใหญ่ยุโรป) งัดข้อกับรัสเซีย
    ประเด็นท่อขนส่งก๊าซ "นอร์ด สตรีม 1"
    สรุปสั้นๆ ตอนนั้นกังหันก๊าซ ณ สถานีเพิ่มแรงดัน เกิดพังขึ้นมา
    กังหันผลิตโดย "ซีเมนส์" ของเยอรมัน
    ต้องส่งไปซ่อมข้ามทวีปถึงแคนาดา
    และนั่นล่ะครับท่าน มหากาพย์ยืดยาว ไม่จบไม่สิ้น เมื่อกังหันไปแล้วไปลับ ไม่กลับมาเลย
    โวยกันเละ โบ้ยกันไป โทษกันมา ว่าปัญหาอยู่ที่ตรงไหน แต่ผลลัพธ์คือส่งกังหันกลับมาที่รัสเซียไม่ได้
    นั่นทำให้รัสเซียเดือดดาล สุดท้ายจบลงที่รัสเซียตัดก๊าซ --- ท่อ "นอร์ด สตรีม 1" ส่งก๊าซเป็นศูนย์

    ลองคิดดู ถ้าวันนั้นจีนมีเทคโนโลยีกังหันก๊าซอยู่กับตัว เรื่องราวจะออกหน้าไหน เกมจะพลิกไปยังไง
    ไม่ต้องวันนั้นหรอก เอาถ้าวันนี้จีนมีเทคโนโลยีกังหันก๊าซแล้ว จะเอามาเล่นอะไรได้ กังหันจะผันแปรไปในทางใด
    อนาคตอีกเล่า?

    รัฐบาลเยอรมันไม่กล้าตอบ
    "ล้มโต๊ะ" ขวางดีลของโฟล์คสวาเกนแล้วล่ะครับท่าน

    https://www.reuters.com/business/en...le-vws-gas-turbine-business-china-2024-07-03/

    https://www.facebook.com/share/p/wPi9KkwSmbUEmNQA/?mibextid=oFDknk
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    TikTok
    กำลังจะจดบริษัทในประเทศไทย 1 ส.ค. นี้
    ต่อไปร้านค้าออนไลน์ ทุกแพลตฟอร์ม เตรียมนำส่งข้อมูลให้สรรพากร‼️

    https://www.facebook.com/share/VrvZXswRM59cegdu/?mibextid=oFDknk

    PSX_20240707_141915.jpg
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #กิจการที่เข้าระบบภาษี มีภาระภาษีที่มาก จะรู้สึกเครียดที่ต้องจ่ายภาษี และโดนคู่แข่งตัดราคา
    .
    #กิจการที่อยู่นอกระบบ‼ ไม่มีภาระภาษี ขายราคาถูกได้ เน้นขายเอาปริมาณ
    .
    ซึ่งเร็วๆนี้ #ใกล้ถึงช่วงหมดโปร ร้านค้าหนีภาษี ขายนอกระบบแล้ว สรรพากรเริ่มเอาจริง‼️ เข้มงวดมากขึ้น มีเครื่องมือมากขึ้น
    .
    ทำการค้า ย่อมมีเรื่องภาษีเข้ามาเป็นปัจจัยธุรกิจ ดังนั้นควรเรียนรู้ เพื่อรับมือกับภาษี เพราะบางกิจการ โครงสร้างราคา และต้นทุน หากเข้าระบบภาษี เหมือนจะไม่มีกำไรเหลือเลย #ต้องรีบวางแผน

    https://www.facebook.com/share/p/6AcBFRBQnxtd88CT/?mibextid=oFDknk

    PSX_20240707_142130.jpg
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โรงงานปิดตัว คนตกงานไหลไปไหน? ภาคท่องเที่ยว-บริการโอบรับ ขอคนมีทักษะเฉพาะ
    .
    เมื่อ ‘ภาคอุตสาหกรรม’ เผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ตัวเลขโรงงานแห่ปิดตัว คนตกงานพุ่ง ส่งสัญญาณอันตรายต่อเศรษฐกิจไทย แล้วแรงงานเหล่านี้ไหลไปเซ็กเตอร์ไหน? ‘สทท.’ ชี้จำนวนแรงงาน ‘ภาคท่องเที่ยวและบริการ’ ฟื้นตัวก้าวกระโดดในไตรมาส 2 สู่ภาวะปกติ ช่วยโอบรับเอาไว้บางส่วน
    .
    สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยรายงาน “ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย ไตรมาส 2 ปี 2567” โดยหนึ่งในหัวข้อสำคัญคือ “ภาวะการจ้างงานของสถานประกอบการไตรมาส 2/2567” พบว่า จำนวนแรงงานในไตรมาส 2/2567 มีประมาณ 99% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 เพิ่มขึ้นจากแรงงานในไตรมาส 1/2567 ด้วยอัตราก้าวกระโดดจากระดับ 87% และฟื้นตัวกลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อปี 2562
    .
    ทั้งนี้อาจมีสาเหตุจากมีจำนวนแรงงานที่ถูกออกจากภาคอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก กว่า 300,000 ตำแหน่ง จากการปิดตัวของโรงงานในภาคอุตสาหกรรมในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
    .
    ประกอบกับนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังหางานทำอีกมากกว่า 5 แสนคน ส่งผลให้แรงงานเหล่านั้นหันมาสนใจงานในภาคบริการมากขึ้น สะท้อนภาวะการไหลของแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมเข้าสู่ภาคบริการเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ได้ขาดแรงงานในเชิงปริมาณ แต่ขาดแรงงานคุณภาพหรือขาดแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ เช่น พนักงานนวด/สปา มัคคุเทศก์ แม่ครัว พนักงานปรุงอาหาร และพนักงานต้อนรับในโรงแรม เป็นต้น ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้ล้วนต้องมีทักษะเฉพาะที่สูงกว่าแรงงานทั่วไป
    .
    สำหรับข้อมูลจำนวนโรงงานที่ปิดไปในปี 2564 อยู่ที่ 678 โรงงาน, ปี 2565 อยู่ที่ 997 โรงงาน, ปี 2566 อยู่ที่ 1,337 โรงงาน และปี 2567 ช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) ผู้ประกอบการปิดโรงงานไปทั้งสิ้น 561 โรงงาน หากพิจารณาจำนวนการปิดโรงงานตั้งแต่เดือน ม.ค. 2566 – พ.ค. 2567 มีโรงงานปิดตัว 1,898 โรงงาน มีคนตกงานมากกว่า 40,000 คน หากรวมตั้งแต่เดือน ม.ค. 2564 – พ.ค. 2567 คาดว่ามีโรงงานปิดตัวไปแล้วมากกว่า 3,573 โรง ทำให้มีผู้ตกงานกว่า 300,000 คน สามารถกลับเข้าสู่ระบบแรงงานได้มากกว่าครึ่ง เมื่อรวมกับเด็กจบใหม่อีก 500,000 คน คาดว่าจะมีแรงงานประมาณ 600,000 คน กำลังหางานทำ แต่ตำแหน่งงานในตลาดแรงงานมีประมาณ 500,000 ตำแหน่ง ดังนั้นทำให้เหลือคนว่างงานอยู่อีก 100,000 คน
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจEconomic

    https://www.facebook.com/share/p/pUaKD1ZbkeFBT2Vw/?mibextid=oFDknk
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยอดบริษัทล้มละลายใน 'ญี่ปุ่น' พุ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี เหตุขาดแคลนแรงงาน-เงินเฟ้อสูง
    .
    สำนักข่าวเกียวโดรายงานอ้างการเปิดเผยของ บริษัทโตเกียว โชโก รีเสิร์ชว่า จำนวนบริษัทในญี่ปุ่นที่ประสบภาวะล้มละลายในรอบครึ่งปีแรกของปี 2567 พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี อยู่ที่ 4,931 ราย หรือเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบปีที่แล้ว และนับเป็นการเพิ่มขึ้นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้ว
    .
    รายงานระบุว่า การล้มละลายดังกล่าวซึ่งรวมถึงกรณีการมีหนี้สินคงค้าง 10 ล้านเยนขึ้นไป (เกือบ 2.3 ล้านล้านบาท) มีสาเหตุหลักๆ มาจากเรื่องการขาดแคลนแรงงานและภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในญี่ปุ่น
    .
    มีบริษัทถึง 374 แห่งที่อ้างเหตุผลเรื่องราคาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หรือมากกว่าปีที่แล้ว 23.4% ส่วนบริษัทอีก 327 แห่งอ้างเหตุผลเรื่องไม่สามารถจ่ายคืนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยที่ได้รับในช่วงโควิดระบาด
    .
    ส่วนบริษัทที่อ้างเหตุผลเรื่องการขาดแคลนแรงงานนั้น แม้จะมีจำนวนเพียง 145 บริษัท แต่ก็เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นถึง 2.2 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และยังสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจบริษัทล้มละลายในปี 2556 เป็นต้นมา
    .
    "ยังมีบริษัทอื่นๆ อีกมาก ที่ไม่สามารถรับมือราคาต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพวกเขาจะส่งต่อต้นทุนที่แพงขึ้นไปให้กับลูกค้าแล้วก็ตาม" เจ้าหน้าที่ของโตเกียว โชโก รีเสิร์ชกล่าว พร้อมระบุถึงความเป็นไปได้ที่อาจมีบริษัทล้มละลายทะลุ 10,000 แห่งต่อปี
    .
    หากพิจารณารายละเอียดเป็นภาคอุตสาหกรรมจะพบว่า "ภาคการก่อสร้าง" มีสถิติบริษัทล้มละลายมากที่สุดเป็นอันดับสองที่ 947 แห่ง หรือเพิ่มขึ้น 20.6% จากผลกระทบข้อจำกัดเรื่องกฎการทำงานนอกเวลา (โอที) ที่เข้มงวดขึ้นซึ่งปรับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา และยังเป็นผลจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่แพงขึ้นด้วย
    .
    เฉพาะในเดือน มิ.ย. เพียงเดือนเดียว อัตราการล้มละลายเพิ่มขึ้นถึง 6.49% เมื่อเทียบปีที่แล้ว อยู่ที่ 820 ราย โดยมีหนี้สินคงค้างราว 1.09 แสนล้านเยน
    .
    หุ้นญี่ปุ่นพุ่งทุบสถิติใหม่ แต่ SME ตายเรียบ
    .
    บริษัทที่ล้มละลายทั้งหมดในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ มีจำนวนหนี้สินรวมกันทั้งหมดราว 721,040 ล้านเยน (ราว 1.63 แสนล้านบาท) หรือ ลดลง 22.8% เมื่อเทียบปีที่แล้ว เนื่องจากบริษัทที่ล้มละลายมีขนาดเล็กลง หรืออาจเรียกได้ว่าการล้มละลายในปีนี้เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กมากขึ้น
    .
    ทั้งนี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่งพุ่งทะยานไปทำสถิติใหม่เมื่อวันศุกร์ที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ทั้งดัชนี Nikkei 225 และดัชนี Topix เนื่องจากการคาดการณ์ว่า "ค่าเงินเยน" จะยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่โดยเฉพาะในภาคการผลิตและส่งออก แต่ไม่ใช่สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
    .
    ในจำนวนบริษัทที่ล้มละลายช่วงครึ่งปีแรก คิดเป็นสัดส่วนบริษัทขนาดเล็กที่มีจำนวนพนักงนไม่ถึง 10 คน มากถึง 88.4% ของบริษัททั้งหมดที่ไปไม่รอด
    .
    หากเทียบกับในปี 2552 หรือช่วงวิกฤตซับไพรม์ 2009 ในสหรัฐแล้ว จำนวนบริษัทล้มละลายในญี่ปุ่นขณะนั้นอยู่ที่ 8,169 ราย และลดลงต่อเนื่องหลังจากนั้นแม้กระทั่งในช่วงการระบาดของโควิด เนื่องจากได้รับมาตรการช่วยเหลือจากรัฐ แต่ไม่ใช่สำหรับปีที่เผชิญภาวะของแพงและขาดแคลนแรงงานเหมือนในปีนี้
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจEconomic
    https://www.facebook.com/share/p/YQ6eDDtkgKTvAMMj/?mibextid=oFDknk
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1720361765011.jpg

    (Jul 7) ‘เศรษฐกิจกำลังฟื้น ไม่ได้แปลว่าคนไม่ลำบาก’ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติกล่าว ตัวเลขเศรษฐกิจภาพรวมซ่อนความทุกข์ยากลำบากของคนไว้ไม่น้อย: ผู้ว่าแบงก์ชาติกล่าว ‘เศรษฐกิจกำลังฟื้น ไม่ใช่คนไม่ลำบาก’ เผยศักยภาพการเติบโตเศรษฐกิจไทยปัจจุบันอยู่ที่ 3% ชี้หากไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ยากจะกลับไปโตได้ 4-5% ตามที่รัฐบาลตั้งเป้า ห่วงขยับกรอบเงินเฟ้อจ่อกระทบตลาด ย้ำเงินเฟ้อต่ำไม่เป็นปัญหา



    วันที่ 4 กรกฎาคม ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน ‘Meet the Press: ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน’ โดยระบุว่า ธปท. ประเมินว่า ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (Potential GDP Growth) ในปี 2566-2567 อยู่ที่ราว 3% และหากไม่มีการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ เศรษฐกิจไทยก็ยากที่จะกลับไปโตได้สูงถึง 4-5%



    “ศักยภาพเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ราว 3% หมายความว่า การที่ ธปท. บอกว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวไม่ได้หมายความว่าจะฟื้นไป 4-5% แต่ถ้าอยากให้เศรษฐกิจโตมากกว่า 3% จะต้องทำเชิงโครงสร้าง การลงทุนเทคโนโลยีใหม่ เป็นต้น แต่หากจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว สุดท้ายเศรษฐกิจก็จะกลับมาโตที่ราว 3% อยู่ดี”



    ทั้งนี้ หากอิงจากแบบจำลองของ ธปท. พบว่า ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ทุน จำนวนและคุณภาพแรงงาน ผลิตภาพการผลิต โดยระดับศักยภาพที่ราว 3% นับว่าลดลงจากช่วง 10 ปีก่อนเกิดโควิด ซึ่งอยู่ที่ราว 3-3.5%

    ตัวเลขซ่อนความทุกข์-ยากลำบากของผู้คนไม่น้อย

    ดร.เศรษฐพุฒิ อธิบายอีกว่า “ต้องเรียนว่า ตอนที่เราพูดว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นกลับเข้าสู่ระดับศักยภาพ ผมต้องยืนยันว่าไม่ได้หมายความว่าคนไม่ได้ลำบากนะ เราทราบดีว่าตัวเลขเหล่านั้นเป็นตัวเลขภาพรวม เป็นตัวเลขเชิงเดี่ยว แต่ซ่อนความทุกข์และความลำบากของคนไม่น้อย”

    พร้อมทั้งกล่าวว่า “แม้ภาพรวมค่าเฉลี่ยของเศรษฐกิจจะโต แต่หลายคนไม่ได้รู้สึกว่าเศรษฐกิจดี เนื่องจากแม้รายได้อาจเพิ่มขึ้น แต่ของก็แพงขึ้น ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในไทย แต่เห็นทั่วโลก แต่ประเทศไทยยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ซึ่งสร้างภาระกับผู้คน

    ยังมีประชาชนเดือดร้อนจากปัญหา ‘หลุมรายได้’

    ดร.เศรษฐพุฒิ ได้หยิบยกตัวเลขการฟื้นตัวของรายได้ลูกจ้างนอกภาคเกษตร ผู้ประกอบอาชีพอิสระและเงินเฟ้อเปรียบเทียบกัน โดยพบว่า แม้ปัจจุบันรายได้ของลูกจ้างและผู้ประกอบอาชีพอิสระจะฟื้นตัวก่อนช่วงโควิดแล้ว แต่ความเป็นจริงความยากลำบากของประชาชนยังถูกซ่อนอยู่ เนื่องจากมีหลุมรายได้มหาศาลระหว่างทาง กล่าวคือรายได้ที่ควรจะได้หายไประหว่างช่วงเวลาดังกล่าว

    ธปท. ห่วงเงินเฟ้อกระทบค่าครองชีพประชาชน

    ดร.เศรษฐพุฒิ อธิบายต่อว่า อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำในปัจจุบันไม่ได้ความว่าราคาของถูกลง เพราะเมื่อราคาสินค้าต่างๆ ขึ้นไปแล้วมักจะไม่ลง

    “แม้ตัวเลขจากกระทรวงพาณิชย์บอกว่า อัตราเงินเฟ้อลดลง แต่ค่าครองชีพราคาของสินค้าต่างๆ ในประเทศกลับเพิ่มขึ้น ‘ไม่น้อย’ ตัวอย่างเช่น ราคาแก๊สโซฮอล์ 95 ต่อลิตร ปัจจุบันเพิ่มขึ้นจาก 5 ปีก่อนกว่า 40% ราคาไข่ไก่เพิ่มขึ้นจาก 4 บาทเป็น 5 บาท หรือเพิ่มราว 25%

    ดังนั้น เงินเฟ้อที่เราทุกคนประสบ ในแง่ของค่าครองชีพ ไม่มีใครจะมองว่าต่ำเกินไป เราจึงต้องใส่ใจเงินเฟ้อ เนื่องจากเมื่อเงินเฟ้อขึ้น ราคาของขึ้นไปแล้วมันจะไม่ลง”

    ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันยัง ‘เหมาะสม’ ยึดหลัก Outlook Dependent

    ดร.เศรษฐพุฒิ ยืนยันว่า ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันยัง ‘เหมาะสม’ กับแนวโน้ม (Outlook) ปัจจุบัน แต่ถ้า Outlook ทั้งเงินเฟ้อ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หรือเสถียรภาพทางการเงินเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ กนง. ก็พร้อมจะปรับ เราไม่ได้มีการปิดประตู เนื่องจากตอนนี้ความเสี่ยง ความไม่แน่นอนทั่วโลกมีมหาศาล

    “การพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายยึดหลัก Outlook Dependent และมองไปข้างหน้า เนื่องจากนโยบายที่ตัดสินใจวันนี้จะมีผลในระยะข้างหน้า โดยจากการประเมินเศรษฐกิจไทยระยะข้างหน้าของ ธปท. มองว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเลยจะค่อยๆ ทยอยฟื้นกลับเข้าสู่ศักยภาพที่ประมาณ 3% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อรายไตรมาสก็จะกลับเข้าสู่กรอบเงินเฟ้อในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้”

    ชี้ขยับกรอบเงินเฟ้อจ่อกระทบตลาด ย้ำเงินเฟ้อต่ำไม่เป็นปัญหา

    ดร.เศรษฐพุฒิ ตอบประเด็นเรื่องที่กระทรวงการคลังเสนอให้มีการปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อว่า ตามกระบวนการแล้ว การหารือเรื่องกรอบเงินเฟ้อจะเป็นการตกลงร่วมกัน (ระหว่าง ธปท. และกระทรวงการคลัง) ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของทุกปี ส่วนตัวผมคิดว่า ตอนนี้เป็นช่วงที่เราต้องหารือกัน และผมได้เห็นข้อเสนอจากทางกระทรวงการคลังที่ได้ออกมาพูดในเวทีต่างๆ แล้ว

    พร้อมอธิบายว่า กรอบเงินเฟ้อมีไว้เพื่อยึดเหนี่ยวคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคต และการปรับกรอบต้องชั่งน้ำหนักหลายอย่าง ในหลายประเทศตอนนี้เงินเฟ้อไม่ได้อยู่ในกรอบ แต่จนถึงตอนนี้แทบไม่มีประเทศไหนเลยจะปรับกรอบ

    เนื่องจากการขยับกรอบเงินเฟ้ออาจจะกระทบกับความน่าเชื่อถือ (Credibility) และการคาดการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาด ต้นทุนการกู้ยืม และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ‘ทันที’

    “เงินเฟ้อต่ำไม่ได้เป็นปัญหา ถ้าไม่ได้นำไปสู่ภาวะเงินฝืด โดยภาวะเงินฝืดหมายถึง อัตราเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง ราคาสินค้าลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจ การบริโภค และอุปสงค์ในประเทศลดลง ทำให้คาดการณ์เงินเฟ้อลดลงตาม เป็นวงจรอุบาทว์ แต่ว่าภาวะเงินเฟ้อต่ำของไทยไม่ได้ส่อไปทางเงินฝืด การบริโภคปีนี้ก็ยังโตต่อเนื่องอยู่” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว

    โดย วาราดา ทองจำนงค์

    Source: Standard
    https://thestandard.co/economy-recovering-people-are-in-trouble/
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1720361921776.jpg

    สทนช. ยืนยัน เขื่อนกั้นน้ำทะเลสาบต้งถิงที่จีนแตก ไม่ส่งผลกระทบถึงไทย

    ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เผย ตามที่มีข่าวคันเขื่อนกั้นน้ำของทะเลสาบต้งถิงได้แตกพังทลาย เมื่อบ่ายวันศุกร์ ที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา จนทำให้น้ำไหลบ่าท่วมนั้น ขอยืนยันว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับประเทศไทยแน่นอน

    เนื่องจากพื้นที่ที่เกิดเหตุไม่มีทิศทางการไหลของน้ำมายังแม่น้ำโขง อีกทั้งสภาพภูมิประเทศและสภาพลุ่มน้ำนั้น อยู่กันคนละลุ่มน้ำและไม่มีความเชื่อมโยงกันแต่อย่างใด

    ----

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ - https://mono29.com/news/487255.html

    ----
    #MONONews #สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ #เขื่อนกั้นน้ำทะเลสาบต้งถิง #เขื่อนกั้นน้ำทะเลสาบต้งถิงแตก

    https://www.facebook.com/share/p/bNpYRJJBYJRwQGok/?mibextid=oFDknk
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประชุม แก้ไข ปัญหา เศรษฐกิจ ลาว

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในกัมพูชา ถ้าใช่ก็ 555 เศรษฐกิจ ของเขาคงจะไม่ดีจริงๆ

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jul 9, 2024 อ่อนยวบ! เงินเยนร่วงอีก หลังรายย่อยญี่ปุ่นแห่ลงทุนหุ้น กองทุนต่างประเทศสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ครึ่งปีขนเงินออกกว่า 6 ล้านล้านเยน

    เว็บไซต์นิกเกอิเอเชียรายงานว่า นักลงทุนรายย่อยในญี่ปุ่นได้ลงทุนซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 นี้ ซึ่งนับเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ฉุดเงินเยนให้อ่อนค่าลง และคาดว่าการขนเงินลงทุนนอกของรายย่อยในครั้งนี้อาจพุ่งแซงหน้าการขาดดุลการค้าของญี่ปุ่นในครึ่งปีแรกไปแล้ว

    นับตั้งแต่เดือน ม.ค. ปีนี้ ที่รัฐบาลปรับเกณฑ์ใหม่ในโครงการบัญชีออมทรัพย์ส่วนบุคคลนิปปอน (NISA) ซึ่งยกเว้นภาษีเงินปันผลและกำไรจากการลงทุนให้นักลงทุนส่วนบุคคล เพื่อกระตุ้นให้รายย่อยนำเงินออมออกมาลงทุนในตลาดหุ้นให้มากขึ้นนั้น พบว่าบริษัทจัดการการลงทุนต่างๆ เข้าซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศมากถึงราว 1 ล้านล้านเยนต่อเดือน (ราว 2.26 แสนล้านบาท) จากอานิสงส์ของโครงการนี้

    จากข้อมูลของกระทรวงการคลังญี่ปุ่นพบว่าในรอบ 6 เดือนแรกของปีนี้ บรรดาบริษัทจัดการการลงทุนและบริษัทจัดการสินทรัพย์ได้ซื้อสุทธิหุ้นและกองทุนในต่างประเทศถึง 6.16 ล้านล้านเยน (ราว 1.4 ล้านล้านบาท)

    นอกจากตัวเลขดังกล่าวจะเป็นการลงทุนสูงสุดทุบสถิติใหม่ของรายย่อยในญี่ปุ่นแล้ว ก็ยังเป็นจำนวนมากกว่าการขาดดุลการค้าของประเทศในช่วงเวลาเดียวกันด้วย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านล้านเยน อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับนักลงทุนสถาบันในญี่ปุ่นพบว่า นักลงทุนรายใหญ่ไม่ได้มุ่งลงทุนในต่างประเทศมากนัก โดยกลุ่มสถาบันการเงินซื้อสุทธิช่วงครึ่งปีแรกเพียง 2.2 แสนล้านเยน ในขณะที่บรรดากองทุนบำเหน็จบำนาญขายสุทธิออกไป 9.43 ล้านล้านเยน

    ทั้งนี้ ภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้นักลงทุนรายย่อยนำเงินออมไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยดัชนีราคาผู้บริโภค CPI (ไม่รวมอาหารสดและพลังงาน) ในญี่ปุ่นขยายตัวมากกว่า 2% ต่อเดือน นับตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงของปี 2565 เป็นต้นมา และตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดในเดือน พ.ค. อยู่ที่ 2.1% หรือมากกว่ากรอบเป้าหมาย 2% ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) กำหนดเอาไว้

    #เงินเยน #เงินเยนอ่อน #กองทุน #ลงทุน #กองทุนหุ้น #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/LLyY72x83TLeG98T/?mibextid=oFDknk
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jul 9, 2024 กลไกใหม่! สรรพสามิตเร่งพิจารณาเก็บภาษีคาร์บอน ซึ่งในระยะยาวจะเป็นฐานภาษีใหม่ คาดเสนอ ครม. 1-2 เดือนนี้ ยอมรับ ยอดการจัดเก็บรายได้รัฐยังต่ำ
    .
    นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมฯ อยู่ระหว่างการเร่งพิจารณาภาษีคาร์บอน ซึ่งในระยะยาวจะเป็นฐานภาษีตัวใหม่ที่เข้ามาช่วยเสริมบทบาทของกรมที่มุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยขณะนี้ได้ดำเนินการพิจารณาเรื่องภาษีคาร์บอนไปแล้ว 80-90% หลักการ คือ กรมฯ จะเข้ามาช่วยสร้างกลไกราคาคาร์บอน ซึ่งภาษีคาร์บอนจะแทรกอยู่ในภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
    .
    อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าในการดำเนินการในช่วง 2 ปีแรก จะไม่ให้มีผลกระทบกับประชาชนอย่างแน่นอน เช่น ปัจจุบันเก็บภาษีน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 6.44 บาทต่อลิตร ซึ่งตามมาตรฐานโลก ประเทศที่เก็บภาษีคาร์บอน จะอยู่ที่ 0.0027 ตันคาร์บอนต่อลิตร โดยระดับดังกล่าว จะไม่กระทบกับประชาชน และไม่กระทบกับรายได้ของกรมฯ อย่างแน่นอน
    .
    นอกจากนี้ กรมฯ ยังอยู่ระหว่างเร่งศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีแบตเตอรี่ เพื่อเตรียมเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณา โดยปัจจุบันเก็บภาษีในอัตรา 8% ทุกประเภทแบตเตอรี่ ซึ่งขณะนี้มีข้อสรุปเบื้องต้น คือ จะพิจารณาจากคุณภาพของแบตเตอรี่เป็นหลัก เช่น หากเป็นแบตเตอรี่คุณภาพสูง เก็บพลังงานได้เยอะ ชาร์จได้เกิน 1 พันรอบ มีความทนทาน ใช้ได้นาน ก็อาจจะเก็บภาษีในอัตราที่ถูกลง แต่หากเป็นแบตเตอรี่คุณภาพไม่สูง ก็อาจจะเก็บภาษีในอัตราที่แพงกว่า ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราภาษีที่จัดเก็บจะออกมาเป็นตารางตามคุณภาพของแบตเตอรี่
    .
    "ถ้าแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพสูง คือ ชาร์จได้หลายครั้ง เกิน 1 พันรอบ อึด ทน ใหญ่ เราอาจให้ภาษีถูกลง คิดว่าจะต่ำกว่า 8% กำลังศึกษาอยู่ และประเด็นสิ่งแวดล้อม ถ้าใช้ได้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ต้องเก็บภาษีแพงกว่า แต่ถ้าใช้ได้หลายครั้ง ภาษีก็จะถูกลง" นายเอกนิติ ระบุ
    .
    นายเอกนิติ กล่าวถึงผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในช่วง 9 เดือนแรก ของปีงบประมาณ 2567 (ต.ค.66-มิ.ย.67) ว่า มียอดจัดเก็บรายได้อยู่ที่ 3.94 แสนล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.3% ซึ่งมากกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1-2%
    .
    อย่างไรก็ดี ยอมรับว่ายอดการจัดเก็บรายได้ดังกล่าวยังต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลจาก 3 ส่วนสำคัญ คือ
    .
    1. มาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน คิดเป็นการสูญเสียรายได้ราว 25,000 ล้านบาท ซึ่งภาษีสรรพสามิตน้ำมัน คิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของการจัดเก็บรายได้ของกรมฯ ทั้งหมด
    .
    2. การจัดเก็บภาษีรถยนต์ที่ต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จาก 8% เหลือ 2% และอีกส่วนหนึ่งมาจากสภาพโดยรวมของตลาดรถยนต์ในประเทศที่หดตัวแรง โดยยอดการผลิตรถยนต์ลดลงจากปีก่อนราว 30% อีกทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผู้ขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งภาษีสรรพสามิตรถยนต์ คิดเป็น 20% ของการจัดเก็บรายได้ของกรมฯ และ 3. การชะลอตัวลงของภาษีสรรพสามิตยาสูบ ซึ่งรายได้หายไปอีกประมาณ 8 พันล้านบาท
    .
    ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงการจัดเก็บรายได้ในส่วนที่ยังสามารถขยายตัวได้ดี ได้แก่ รายได้จากภาษีเครื่องดื่ม ที่ขยายตัว 13% จากช่วงเดียวกันปีก่อน รวมถึงภาษีสุรา ภาษีเบียร์ ภาษีสนามกอล์ฟ ภาษีสถานบริการที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะมีส่วนเข้ามาช่วยเสริมการจัดเก็บรายได้ในภาพรวมของกรมฯ ในปีงบ 67 ให้ยังสามารถเติบโต 12-13% จากปีที่ผ่านมา โดยยอมรับว่ายังเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย แต่ก็จะพยายามให้เต็มที่ สิ่งที่มาช่วยทดแทน คือ ภาษีจากเหล้า เบียร์ แบตเตอรี่ สนามกอล์ฟ สถานบริการที่เติบโตดี ก็เข้ามาช่วยได้เยอะ ภาพรวมทั้งปี จะพยายามให้เต็มที่ มั่นใจว่าปิดปีงบประมาณนี้ การจัดเก็บรายได้จะเติบโตราว 12-13% จากปีก่อน
    .
    อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/4cCSKTR
    .
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/c/MisterBan
    X: https://twitter.com/BTimes_ch3
    Threads: https://www.threads.net/@btimes.ch3
    Website: https://btimes.biz
    Podcast : https://btimes.podbean.com/
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3
    .
    #สรรพสามิต #ภาษี #ภาษีคาร์บอน #ครม #ภาษีน้ำมัน #ภาษีรถอีวี #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/kXo4xDww2mtV59mT/?mibextid=oFDknk
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jul 9, 2024 มีเจิมแน่! เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 เสี่ยงเจิร์ม(GERM) น้ำมันดิบโลกจ่อแตะ 100 ดอลล์ บาทมีอ่อนกว่าคาดถึง 37.5 เอสเอ็มอีส่อปิดพุ่ง

    ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปีนี้ มี 4 ปัจจัยเสี่ยงหลัก เรียกย่อๆ ว่า GERM ดังนี้

    ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์(E – Elections)กำลังป่วนโลก กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ต้นทุนขนส่งสินค้าทางเรือจะสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบที่เป็นต้นทุนสำคัญในภาคการผลิตและขนส่ง ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่เคยคาดการณ์ 82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอาจปรับขึ้นไปทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้หากสถานการณ์เลวร้ายและกระทบผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน รวมทั้งความขัดแย้งในยูเครนที่อาจยืดเยื้อและรุนแรงจนกระทบอุปทานน้ำมันของรัสเซีย ตลอดจนความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวัน หรือเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ที่อาจกระทบห่วงโซ่อุปทานภาคการผลิตจนทำให้ราคาสินค้าบางประเภทโดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ปรับพุ่งขึ้นได้

    การเลือกตั้ง(E – Elections)ในหลายประเทศที่อาจเปลี่ยนขั้วการเมือง การเลือกตั้งแม้เป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกตัวแทนไปบริหารประเทศ แต่ เรามักพบการเมืองที่เปลี่ยนขั้ว มีผลต่อการดำเนินนโยบายที่แตกต่างกันออกไป เช่น การเลือกตั้งในอังกฤษและฝรั่งเศส กระทบต่อความเชื่อมั่นในการลดระดับหนี้สาธารณะและกระทบต่อค่าเงินและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่น่าจับตา คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ วันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ จะมีความสำคัญต่อทิศทางการค้า การลงทุน และกระแสโลกาภิวัตน์ตีกลับ (De-globalization) ที่จะกระทบกับเศรษฐกิจไทยได้

    อัตราดอกเบี้ย(R-Interest Rate)ทรงตัวในระดับสูงและลากยาว แม้เราคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยช่วงกันยายนและธันวาคม จากระดับ 5.50% สู่ระดับ 5.00% ในปลายปีนี้ จากตัวเลขการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มแผ่วลง แต่หากเฟดยังกังวลต่อทิศทางเงินเฟ้อที่ลดลงช้า และห่วงว่าหากปรับลดดอกเบี้ยเร็วเกินไปจะทำให้เงินเฟ้อกลับมาพุ่งขึ้นต่อได้ เฟดอาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปี ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้น ความน่าสนใจของการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่ลดลง มีเงินทุนไหลออกจากตลาดทุนไทย และหากเฟดส่งสัญญาณที่จะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยเลยในปีนี้ ค่าเงินบาทอาจพลิกกลับไปอ่อนค่าได้ต่อ ทะลุระดับ 37.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แทนระดับที่เคยคาดการณ์ 37.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะกระทบต้นทุนการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะน้ำมัน ส่งผลให้เงินเฟ้อไทยปรับสูงขึ้นกว่าคาดได้ และกนง. อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปีแทนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมอย่างที่เราคาด (มีต่อหน้า 2/2)

    (หน้า 2/2) ภาคการผลิต (M – Manufacturing) อาจหดตัวต่อเนื่อง ความอ่อนแอของภาคการผลิตมีส่วนสำคัญทำให้เศรษฐกิจไทยอ่อนแอในช่วงที่ผ่านมา ทั้งขาดสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก ขาด FDI หรือเติบโตรั้งท้ายในภูมิภาค หรือการที่ไทยนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีนเป็นจำนวนมากจนทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะตัวเลข MPI ที่หดตัวต่อเนื่อง แม้เราคาดว่าภาคการผลิตจะปรับตัวดีขึ้นไตรมาสสามตามการฟื้นตัวของตลาดโลกและความเชื่อมั่นดีขึ้น แต่หากไทยไม่สามารถยับยั้งการเร่งระบายสินค้าจากจีน SMEs ไทยจะกระทบหนักถึงขั้นปิดโรงงาน

    “จากการที่จีนยังคงระดับการผลิตสินค้าเพื่อรักษาระดับการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจแม้อุปสงค์ในประเทศชะลอและเผชิญสงครามการค้ากับชาติตะวันตก ซึ่งที่จริงจีนน่าจะผลิตลดลง แต่กลับนำผลผลิตส่วนเกินมาระบายในตลาดอาเซียนโดยเฉพาะไทย หากเป็นเช่นนี้ต่อเนื่อง ภาคการผลิตของไทย โดยเฉพาะโรงงานในกลุ่ม SMEs ที่ขาดความสามารถในการแข่งขันอาจต้องปิดตัวลงจนกระทบการจ้างงานและการบริโภคของคนไทยอีกทอดหนึ่ง ซึ่งหวังว่ารัฐบาลไทยจะมีความชัดเจนในการแก้ปัญหาสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาและเร่งให้ SMEs ไทยปรับตัวได้ในไม่ช้า” ดร.อมรเทพ กล่าว

    https://www.facebook.com/share/p/rdMD3ZKSM9WqQatL/?mibextid=oFDknk
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jul 9, 2024 ยืนหนึ่ง! ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ เผยครัวเรือนภาคอีสานฟื้นตัวช้ากว่าทุกภูมิภาค รายได้โตเพียง 1% สวนทางรายจ่าย 5,396 บาท แต่หนี้โตเร็วสูงสุด พึ่งเงินช่วยเหลือภาครัฐ แนะแก้หนี้ยั่งยืน

    ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนาประจำปี 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรื่อง “แก้หนี้เกษตรอีสานอย่างไร ให้ยั่งยืน” ในหัวข้อ “การเงินกับความกินดีอยู่ดีของคนอีสาน” ว่า ธปท. มุ่งที่จะทำให้ประชาชนมีความกินดีอยู่ดี โดยจะต้องมี รายได้ต้องเพียงพอกับรายจ่ายในระยะยาว เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งรายได้รวมของประเทศโตช้าลง ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจากเดิมอยู่ราว 4-5% สะท้อนปัญหาโครงสร้างหลัก ๆ คือประสิทธิภาพของแรงงานและอัตราการเติบโตของแรงงานที่ชะลอลง ทำให้ในปัจจุบันพบว่าศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเติบโตเพียง 3% ซึ่ง 40% ของการบริโภคที่โตในปี’66 มาจากการบริโภคเพียง 10% ของกลลุ่มรายได้สูง สะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มรายได้สูง

    ขณะที่เศรษฐกิจอีสานฟื้นตัวช้ากว่าประเทศและทุกภาค มีสัดส่วนรายได้ที่เติบโตช้า ไม่เพียงพอสำหรับรายจ่าย พบว่า รายได้ครัวเรือนอีสานน้อยกว่ารายจ่ายถึง 5,396 บาท ซี่งมีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ขณะที่ครัวเรือนอีสานพึ่งพาและรับเงินช่วยเหลือถึง 5,024 บาท โดยแรงงานมากกว่า 50% อยู่ในภาคการเกษตร มีการพึ่งพารายได้เพียง 1 รอบต่อปี ทำให้โอกาสในการเติบโตของรายได้ไม่สูงมากนัก

    สำหรับ หนี้สินต้องน้อยกว่าทรัพย์สิน ซึ่งหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 1/67 ของไทยอยู่ที่ 90.8% โดย 1 ใน 3 เป็นหนี้ที่ไม่สร้างรายได้ เมื่อดูภาระหนี้สินของเกษตรกรไทยพบว่ามีหนี้ก้อนใหญ่เกือบ 5 แสนบาท/ครัวเรือน และหนี้โตเร็วถึง 41%

    ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยมักจะมีหนี้จากหลายแหล่ง เช่น ธ.ก.ส. กองทุนหมู่บ้าน ลิสซิ่ง และสหกรณ์การเกษตรซึ่งเกษตรกรมากกว่า 50% มีประสิทธิภาพในการชำระเพียงดอกเบี้ยเท่านั้นขณะที่เกษตรกรภาคอีสานมีทรัพย์สินมากกว่าครัวเรือนอื่นในภูมิภาคและหนี้โตเร็วถึง 65% ซึ่งมากกว่าทุกภาคในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่ารายจ่ายของครัวเรือนอีสานเมื่อเทียบกับรายได้จากการทำงานสวนทางกันอย่างชัดเจน พบว่าในช่วงปี 2556 ครัวเรือนอีสานมีรายได้จากการทำงาน เฉลี่ย 12,754 บาทต่อเดือน ขณะที่รายจ่าย 15,092 บาทต่อเดือน และในปี 2566 พบว่า ครัวเรือนอีสานมีรายได้จากการทำงานเฉลี่ย 13,280 บาทต่อเดือน ขณะที่รายจ่ายสูงถึง 18,767 บาทต่อเดือน ซึ่งในช่วงระยะเวลา 10 ปี (2555-2566) รายได้จากการทำงานเติบโตเพียง 0.8% ต่อปี ขณะที่รายจ่ายเติบโตถึง 1.27% ต่อปี
    (มีต่อหน้า 2/2)

    (ต่อหน้า 2/2)
    ทั้งนี้ เมื่อเกิดช่องว่างระหว่างรายได้และรายจ่าย สิ่งที่ตามมาแบบหนี้ไม่พ้นคือหนี้ การจะแก้ปัญหาโครงสร้างสู่ความกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน ก็จะต้องดูให้ครบทุกด้าน ทั้งรายจ่ายและรายได้รวมถึงแก้ปัญหาหนี้สิน ผ่าน 3 แนวทางการเงิน สู่ความกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนมีรายจ่ายเยอะขึ้น มาจากค่าครองชีพและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น จะต้องดูแลรายจ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่สูงเกินไป ได้แก่ 1. หน้าที่สำคัญของธปท. คือการแก้ปัญหาหนี้เสียอย่างยั่งยืน ดูแลเสถียรภาพของราคาไม่ให้ค่าครองชีพของคนและเงินเฟ้อสูงเกินไป ซึ่งกระทบความแป็นอยู่ในทุกภาคส่วน กระทบต้นทุนของผู้ประกอบการ กระทบค่าครองชีพของครัวเรือน โดยเฉพาะครัวเรือนรากหญ้า ดังนั้นการดูแลเงินเฟ้อเป็นส่วนสำคัญในการดูแลครัวเรือนที่เปราะบาง 2. ดูแลให้รายได้โตอย่างยั่งยืน : มาตรการชั่วคราวอาจจะช่วยได้ในระยะสั้น การที่จะเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่องจึงเป็นเรื่องจำเป็น ธปท. จึงให้ความสำคัญในการปฎิรูปในเรื่องโครงสร้างประสิทธิภาพแรงงานจึงงจะสร้างรายได้แรงงานอย่างยั่งยืน ธปท. ก็ช่วยเหลือในด้านการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ให้ทุกคนสสามารถเข้าถึงกลไกทางการเงินและระบบสินเชื่อได้ 3.แก้ปัญหาหนี้สิน : เราอยากจะเห็นการเติบโตในระดับที่เหมาะสม ธปท. ก็มีมาตรการต่าง ๆ ในกรปรับโครงสร้างหนี้ เช่น มาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม พยายามแก้ปัญหาหนี้สินสูงอย่างเป็นระบบและครบวงจร

    ด้าน ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระบุว่า เศรษฐกิจอีสานปี 2566-2568 ยังคงฟื้นตัวช้าและเติบโตต่ำกว่าภาพรวมประเทศ คาดว่าจะเติบโตขึ้นเพียง 1% ซึ่งเท่ากับการประมาณการณ์ในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของผลผลิต (GRP) ของอีสานในภาพรวมโตเพียงประมาณ 4% แต่รายได้ครัวเรือนต่อปีของอีสานโตเพียง 1% ซึ่งรายได้ครัวเรือนต่อปีของอีสานที่เติบโตเพียง 1% เกิดการก่อหนี้ กระจุกตัวอยู่กลุ่มรายได้น้อย และเป็นโครงสร้างที่เป็นมาตลอดจนถึงปัจจุบัน พบว่าในปี 2556 สัดส่วนรายได้ครัวเรือนอีสานอยู่ที่ 164,000 บาทต่อปี สัดส่วนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 69% ถือว่าน้อยกว่า 12,000 ต่อเดือนต่อครอบครัว

    ขณะที่ปี 2566 รายได้เพิ่มขึ้นต่อครัวเรือนต่อปีอยู่ที่ 181,000 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ประมาณ 10% ด้านสัดส่วนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 67% แสดงว่ายังมีการกระจายไม่ทั่วถึงและไม่ได้รับผลตอบแทนที่เป็นสัดส่วนที่เหมาะสม ทำให้กลุ่มที่มีรายได้น้อยสามารถเลื่อนชั้นรายได้ครัวเรือนให้ดีขึ้นต้องใช้ระยะเวลานานถึง 32 ปี อีกทั้งพบว่าคนอีสานพึ่งพารายได้ที่ไม่ได้มาจากการทำงานหรือผลิตเองสูงกว่าทุกภาคและมีเพิ่มแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น คิดเป็น 1 ใน 3 ของเงินที่หาได้

    #หนี้ #แบงก์ชาติ #เศรษฐกิจ #ครัวเรือน #รายได้ #ภาคอีสาน #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/qtXeoHupRviS5YiH/?mibextid=oFDknk
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jul 10, 2024 ลงต่ออีก! ราคาน้ำมันดิบปิดร่วงหลุดต่ำกว่า 85 ดอลลาร์ ฉุดปิดลง 3 วันติดกันกว่า 3% ความตึงเครียดในฉนวนกาซามีแนวโน้มลดลง พายุเฮอริเคนไม่ส่งผลมากในอ่าวเม็กซิโก

    ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2024 ที่ผ่านไป พบว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 81.41 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.92 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -1.1% ส่งผลราคาปิดลง 3 วันติดกันรวม -2.47 หรือ -3.0% ด้านราคาน้ำมันดิบ เบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 84.66 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -1.09 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -1.3% ส่งผลราคาปิดลง 3 วันติดกันรวม -2.77 หรือ -3.21%

    ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +2.1% และ +0.4% ตามลำดับ สิ้นสุดมิถุนายนราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น +5.9% ส่งผลตั้งแต่ต้นปีนี้มาถึงสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐ และเบร็นท์ อังกฤษ ปิดเพิ่มขึ้น +13.8% และ +12.1% ตามลำดับ

    สาเหตุจากโอกาสการหยุดยิงในฉนวนกาซามีมากขึ้น นอกจากนี้ ความกังวลที่มีต่อพายุเฮอริเคนชื่อว่า แบร์เรียล ในอ่าวเม็กซิโก พบว่าส่งผลน้อยลงต่อโอกาสที่จะเกิดการสะดุดหยุดลงในการหยุดผลิตน้ำมันดิบชั่วคราวในอ่าวเม็กซิโก

    อย่างไรก็ตาม เริ่มต้นฤดูร้อนในสหรัฐอเมริกาส่งผลให้คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้น 3% ที่สำคัญ สัญญาซื้อขายราคาน้ำมันดีเซลและเบนซินล่วงหน้าพุ่งปิดสูงสุดในรอบ 10 และ 8 สัปดาห์ตามลำดับ กลุ่มโอเปกพลัส เปิดเผยว่า ความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกยังไม่มีจุดสูงสุดในระยะกลางหรือระยะยาว พร้อมปรับคาดการณ์ว่า ปริมาณบริโภคน้ำมันดิบทั่วโลกจะเพิ่มเป็น 116 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2045 และสำนักบริหารจัดการข้อมูลพลังงานแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ อีไอเอ ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกปี 2024 เป็นวันละ 1.10 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่วันละ 900,000 บาร์เรล

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2022 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน และในปี 2022 ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

    ทั้งนี้ ผู้ค้าน้ำมันทุกรายในประเทศไทยปรับราคาขายน้ำมันครั้งสุดท้ายมีผลวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 โดยลดราคากลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ลง 30 สตางค์/ลิตร นับเป็นการลดราคาครั้งแรกในรอบการขึ้นราคามาทั้งหมด 5 ครั้งต่อเนื่อง ในเกือบ 3 สัปดาห์ผ่านมา หรือตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2567 ส่งผลให้เป็นราคาน้ำมันที่ถูกที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์ หรือตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม ผ่านมา

    #น้ำมันดิบ #สหรัฐ #อังกฤษ #เศรษฐกิจ #ราคาน้ำมันวันนี้ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/o6JXHx3eeic3CBpa/?mibextid=oFDknk
     

แชร์หน้านี้

Loading...