คุยกันฉันท์เพื่อน - ( ๔๑) ^_^

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ชนินทร, 17 กันยายน 2009.

  1. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ปฏิบัติธรรม...ธรรมคืออะไร มีหลายต่อหลายคนที่ยังไม่เข้าใจ
    หรือบางคนก็เข้าใจแบบที่ตัวเองเข้าใจ หรือเข้าใจแบบที่เห็นๆ อยู่ทั่วไป
    โดยความเข้าใจถ่องแท้ยังหาไม่ค่อยได้
    ณ ไม่ใช่ผู้รู้ เพราะยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ
    แต่ในความเข้าใจของตัวเอง ธรรม ก็คือ ธรรมชาติ ที่ต้องเรียนรู้
    จำเป็นไหมต้องเข้าวัด? ขอบอกว่าไม่จำเป็น
    แต่ที่เราเข้าวัดกันแล้วบอกว่าไปปฏิบัติธรรม
    มันก็คือการรวมกลุ่มของผู้มีความต้องการแบบเดียวกัน
    เมื่อรวมเป็นกลุ่มก็เกิดอารมณ์ร่วมในการปฏิบัติ เกิดมีกำลังใจมากขึ้น
    มันก็เหมือนกับตอนที่เราเห็นคนอ้าปากหาว แล้วก็จะมีคนหาวตาม

    และที่เข้าวัดเพราะเราเชื่อว่า มีผู้รู้และผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ภายในวัด
    เราจึงอยากได้ความรู้ ได้เรียนรู้จากท่านผู้นั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดี

    แต่ในความเป็นจริง คนเราเบื้องต้นและท้ายสุดก็อยู่กับตัวเองนั่นแหละ
    เราทุกคนต่างก็ต้องเรียนรู้ เรียนถูก เรียนผิด กว่าจะหาทางที่ใช่ ก็ต้องเรียนกันไป
    ไม่มีใครสามารถเดินผ่านทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบตั้งแต่ตนจนจบ
    เพียงแต่ว่า เราต้องยอมรับในสิ่งที่ผ่านมา และผ่านไปให้ได้
    ใช้ทุกสิ่งมาพิจารณาเพื่อพัฒนาการทางจิตวิญญาณของตน

    การที่ใครสักคนจะได้พิจารณาถึงธรรมชาติของความเป็นไปของตน
    มันก็ต้องให้เวลา มันต้องใช้เวลา และใช้จังหวะ
    ซึ่งตรงนี้ไม่สามารถระบุได้ว่ามันต้องนานแค่ไหน ต้องรอจังหวะอย่างไร
    เพราะเวลาและจังหวะที่เหมาะสมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    แต่หากเรามีเมตตากรุณาหวังให้คนที่เราปรารถนาดี รู้จักพิจารณาในธรรม
    ทางที่เราพอจะทำได้ คือค่อยๆ เพิ่มหยดน้ำไปบนหินที่แกร่ง
    และทำใจเฝ้ารอ จังหวะของหินก้อนนั้น
    เราอาจจะไม่ใช่น้ำที่ทำให้หินกร่อน แต่จงพอใจที่เราเป็นผู้กรุยทาง
    แม้จะเป็นทางเล็กๆ ที่ไม่เด่นชัด ขอจงมีความเชื่อและมั่นใจว่า
    วันนั้น วันที่จังหวะของก้อนหินจะเปลี่ยนไป กำลังใกล้เข้ามา

    ขอเป็นกำลังใจให้ทุกจิตวิญญาณที่กำลังสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้แก่กันและกัน

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2011
  2. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ... ใช่ค่ะ...

    ทุกคนที่เป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา มีทั้งความดี และไม่ดีอยู่ในตัวด้วยกันทั้งสิ้น... เพียงแค่ว่า... ในมุมมองของคนแต่ละคน.. มองจากมุมที่ต่างกัน... จึงเห็นข้อดีเป็นข้อเสีย และเห็นข้อเสียเป็นข้อดีได้...

    หรืออย่างเช่น...สำหรับคนบางคน ที่พยายามรักษาศีล 5 อย่างเต็มความสามารถที่จะทำได้แล้ว... ทำไมในสายตาของหลายๆ คน เขายังเป็นคนไม่ดีอยู่...

    เขาไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดลูกเมียคนอื่น ไม่พูดปด ไม่กินเหล้าไม่เล่นการพนัน...

    แต่... เวลาที่เห็นคนอื่นเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็น เห็นคนสูงอายุที่ถือของมาเต็มมือ แต่ก็ไม่คิดที่จะเข้าไปช่วย... ไม่คิดอยากแม้แต่จะให้เงินหรือซื้ออาหารให้คนที่ไม่มีจะกิน และนอนรอความตายอยู่ข้างถนน... เวลาที่อยู่กับครอบครัว มีคุณพ่อ-คุณแม่ มีภรรยา-มีสามี-มีลูกๆแต่ตัวเองไม่เคยดูแลเอาใจใส่เลย...

    จริงๆ แล้ว... คนๆ นี้เป็นคนดีหรือไม่...

    เขาดีพอที่จะเกิดมาเป็นคนเพราะศีล 5 เป็นศีลที่ป้องกันไม่ให้ผู้ปฏิบัติตกลงไปยังอบายภูมิ... และเป็นข้อกำหนดพื้นฐานที่ทำให้คนๆ นั้นเกิดมาเป็นคนมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่พิกลพิการ...

    แต่เมื่อเกิดมาแล้ว... เขาจะเป็นคนที่ยากจนเข็ญใจ เพราะไม่เคยให้อะไรผู้อื่นเลย... เขาจะไม่รู้จักคำว่ารัก ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น... ในทางกลับกัน ก็จะไม่มีใครคิดอยากจะมอบสิ่งดีๆ เหล่านี้ให้เขาด้วยเช่นกัน... เวลาที่เขาเดือดร้อน เจ็บป่วย ไม่สบายกายไม่สบายใจ ก็จะไม่มีใครคิดอยากที่จะช่วยเขา...

    ดังนั้นจะบอกว่าศีล 5 ไม่ดีก็ไม่ได้...

    ศีล ซึ่งเป็นหนึ่งในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า... เป็นของดี เป็นของประเสริฐ... แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนเฉพาะแค่เรื่องศีล

    ท่านสอนให้คนมีพรหมวิหาร 4 สอนหน้าที่ของคนที่เป็นลูก สอนว่าการที่จะเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีนั้นเป็นกันอย่างไร...

    สอนว่าการที่จะเป็นฆราวาสที่ดีนั้น ควรทำอะไรบ้าง

    สอนว่าการที่จะเป็นผู้ทรงศีลนั้นมีประการใด

    สอนว่าจะก้าวข้ามพ้นความทุกข์อย่างสิ้นเชิงนั้นต้องทำอย่างไร...

    จะเห็นได้ว่า คำสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาท่านละเอียดลึกซึ้ง ประณีตครอบคลุมทุกแง่ทุกมุมของชีวิตเราตั้งแต่เกิดจนตาย... ขนาดไหน

    เฉกเช่นเดียวกัน...

    .แต่ชวนคนมาปฎิบัติธรรมยากที่สุดแล้ว...


    ข้อนี้ก็เป็นความจริงเช่นกันค่ะ...

    เพียงแต่ว่า... ความยากนั้นก็มีลำดับของมันเองอีกเช่นกัน...

    ถ้าชวนคนที่ ทำทาน รักษาศีล และปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว... ความยากก็จะเป็นในลักษณะที่ว่า คนผู้นั้นมีเวลาว่างตรงกับที่เราจะชวนเขามาปฏิบัติธรรมหรือไม่... แนวทางที่เขาใช้ในการปฏิบัติธรรมเป็นแนวทางเดียวกับที่เราใช้หรือไม่... แม้นหากจะเป็นแนวทางเดียวกัน... วิธีการที่จะใช้ต่างหรือเหมือนกันกับของเรา...

    ถ้าชวนคนที่ ทำทาน รักษาศีล แต่ไม่ปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว... ชวนให้เขามาปฏิบัติธรรม... คงต้องใช้ความวิริยอุตสาหเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยที่จะชวนให้เขามาเข้าใจแม้เพียงพื้นฐานของการปฏิบัติธรรม...

    ถ้าชวนคนที่ ทำทาน ไม่รักษาศีล และไม่ปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว... มาปฏิบัติธรรม... สมควรเริ่มตั้งแต่ชวนให้เขาเห็นถึงคุณประโยชน์ของการรักษาศีลทีละข้อทีละข้อก่อน เอาตั้งแต่ที่ว่าข้อ 1 ปาณาติปาตานั้น ไม่ได้ครอบคลุมแค่ไม่ฆ่าใคร แม้การทำร้ายร่างกายให้ผู้อื่นเจ็บปวด ก็ไม่สมควร... การฆ่า การทำร้ายผู้อื่นด้วยวาจา ก็ไม่ใช่เรื่องดี... การที่ทำให้คนอื่นตกอยู่ในสถานการณ์ที่โดนบีบคั้นแบบตายทั้งเป็น ก็ถือเป็นการละเมิดศีลนี้เช่นกัน... และอื่นๆ อีกมากมาย... กว่าจะยอมมารักษาศีล ก็ต้องดูกันต่อไปว่าระหว่างผู้ชักชวนให้มาปฏิบัติธรรม กับ ผู้ที่ถูกชวน... ใครจะอ่อนก่อนกัน... ก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่เนื่องกันมาอีก

    ถ้าชวนคนที่ ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล และไม่ปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว... ... ถ้าผู้ที่เป็นคนชักชวนไม่เป็นคนที่มีธรรมะอย่างจริงๆ หรือไม่ใช่คนใจเย็นเป็นนิสัยอยู่แล้ว... สงสัยเหลือเกินว่าจะต้องใช้ความพยายามมากน้อยเพียงไหน...

    ถ้าชวนคนที่ ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่ปฏิบัติธรรมภาวนา และไม่เชื่อเรื่องกฏของกรรม การเวียนว่ายตายเกิด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว... ... คงต้องขอน้อมถวายให้อยู่ในดุลยพินิจขององค์พระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน...

    แต่ก็อีกแหละ... หากแต่ละคนเจอ "คู่ปรับ" ของตัวเอง เจอคนที่เคยเป็นครูบาอาจารย์ คนที่เคยเชื่อเคยเคารพกันมาก่อน... เลวแสนเลวแค่ไหน... ก็พลิกกลับได้รวดเร็วทันใจเช่นกัน...

    ในทางตรงกันข้าม... คนที่เคยดีแสนดี... ดีเลิศประเสริฐศรี... พอโดนอกุศลกรรม เข้าครอบงำ โดนเจ้ากรรมนายเวรตามมาถึงตัว... ถ้าขาดสติ ขาดความหนักแน่นในธรรมะ... ก็อาจถึงขั้นเซ หลงผิด หรือออกนอกทางได้เลยเช่นกัน

    ครูบาอาจารย์ท่านถึงสอนให้คอยเตือนตัวของตัวเองไว้เสมอ... อย่าให้ตัวเก่ง ทิฐิมานะ ตัวหลง มาครอบงำใจเราได้...


    จะเห็นได้ว่า... ธรรมะ... มีทั้งที่เป็นของหยาบ และของละเอียด...

    ของหยาบเป็นสิ่งที่ง่ายต่อการปฏิบัติ และมองเห็นสำหรับกลุ่มคนที่พอจะมีพื้นฐานการปฏิบัติกันมาบ้างแล้ว...

    ส่วนของละเอียดนั้น... ทุกคนต้องระวังรักษากาย รักษาวาจา รักษาใจกันไป อย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะบรรลุเป็นพระอรหันต์... ถ้าประมาทหรือเผลอเรอเมื่อไหร่... ก็เสร็จอวิชชาเท่านั้น...

    ขอบพระคุณค่ะคุณเด็ก 3 ขวบ สำหรับความคิดเห็นที่แสดงออกมา... มีประโยชน์สำหรับธรและคนอื่นๆ มากเลยค่ะ...
     
  3. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ชีวิตที่ไหลลื่นไปกับธรรมะ : นางแก้ว
    วันพุธ ที่ 30 มีนาคม 2554 เวลา 0:00 น
    เนื้อหาข่าว

    ตามปกติที่เราเข้าใจกัน ผู้ที่จะสร้างบารมีมักจะเป็นพระโพธิสัตว์บ้าง พระอริยสาวกบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะถือกำเนิดในเพศชาย...ถ้าเช่นนั้นผู้ที่เป็นผู้หญิงล่ะจะปรารถนาการเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้หรือ...คำตอบ คือ ได้...เพราะถึงแม้จะเริ่มต้นอธิษฐานปรารถนาพระโพธิญาณในขณะที่ยังเป็นสตรีเพศ แต่ท้ายที่สุดก็จะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณในร่างของบุรุษแล้วเป็นไปไม่ได้หรือที่ผู้หญิงจะวางกำลังใจเฉกเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ และบรรลุธรรมในขณะที่อยู่ในร่างของอิสตรี...

    คำตอบก็ยังเป็นเช่นเดิม คือ ได้...ถ้าไม่ปรารถนาซึ่งการเป็นสาวกภูมิ บรรดาสตรีทั้งหลายสามารถอธิษฐานปรารถนาซึ่งการรักษาส่งเสริมไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาและการสงเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากกองทุกข์ได้เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์...ด้วยการอธิษฐานเป็น “นางแก้ว” คู่บุญของพระโพธิสัตว์

    โดยปกติหญิง–ชาย ที่อธิษฐานเป็นคู่กัน และรักที่จะอยู่ด้วยกันเป็นคู่บุญกันนั้น ต้องมีบารมีเสมอกัน มีการทำทาน รักษาศีล และปฏิบัติธรรม ที่เสมอ หรือใกล้เคียงกัน... ดังนั้นผู้ที่ปรารถนาจะเป็นนางแก้วของพระโพธิสัตว์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งก็ย่อมต้องวางกำลังใจให้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระโพธิสัตว์ที่เป็นคู่บุญของตน...

    เพราะผู้ที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างเร็วที่สุดก็ ๔ อสงไขยกับแสนกัป (๑ อสงไขยปีเท่ากับ ๑ x๑๐ ยกกำลัง ๑๔๐ ปี) (หรือจะพูดง่าย ๆ ว่า ๔ อสงไขยปีเมื่อเทียบเป็นระยะเวลาในโลกมนุษย์ก็ โอ้โห! นานมาก... นานจนนับได้ไม่ถ้วนทีเดียวว่าจะเป็นกี่พันกี่หมื่นล้านปี)

    ดังนั้นการที่หญิงใดจะอธิษฐานเป็นนางแก้วคู่บุญพระโพธิสัตว์ด้วยนั้น สตรีนางนั้นจะต้องวางกำลังใจให้หนักแน่นและเข้มแข็งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระโพธิสัตว์เองเลย เพราะตราบใดที่คู่ของตนเองยังไม่ตรัสรู้ธรรม ต่อให้พบพระพุทธเจ้ามากมายแค่ไหนก็ตามหญิงท่านนั้นก็ไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้

    นอกจากนั้นยังต้องประสบกับความทุกข์ยากนานัปการที่หนักหนาสาหัสกว่าหญิงอื่นใดทั้งหลาย... ต้องอย่าลืมว่าในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์นั้น ต้องใช้ระยะเวลานานมาก เกิดมานับชาติไม่ถ้วน อีกทั้งต้องโปรดสาวกมากมาย ดังนั้นถึงแม้พระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์จะมีนางแก้วหลักแล้วก็ยังต้องมีนางแก้วรอง ๆ ลงไปนับพันนับหมื่นนาง (ลองจินตนาการกันดูว่าจะมีปัญหามากมายสักเพียงไหน) นอกจากนั้นยังต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นสามี หรือบุตร-ธิดาอันเป็นที่รักยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ เพราะ...ในการสร้างบารมีนั้นพระโพธิสัตว์ต้องกระทำมหาทานอันยิ่งใหญ่ ซึ่ง...การบริจาคลูก-เมียเป็นทาน ก็อยู่ในการสร้างบารมีข้อนั้นด้วย...

    ดังนั้นผู้ที่จะเป็นนางแก้วหลักที่จะตามพระโพธิสัตว์คู่ของตนไปจนกว่าจะจบกิจได้นั้น ต้องมีความเข้มแข็ง อดทน มีเมตตา มีบารมีสูงมาก...หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือ จะต้องวางกำลังใจเฉกเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งทีเดียว

    (มีหลายท่านที่ไม่เข้าใจในเรื่องนี้...ได้กล่าวปรามาสพระโพธิสัตว์ว่าเห็นแก่ตัวถึงกับเอาลูกเมียไปบริจาคเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง...

    แท้จริง ๆ แล้วต้องบอกว่าผู้ที่คิดจะอธิษฐานเป็นทั้งนางแก้วและบุตร-ธิดาของพระโพธิสัตว์นั้น ทุกท่านทราบมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะต้องถูกบริจาค เพียงแต่ว่าในแต่ละชาติที่ลงมาเกิดจะระลึกได้หรือไม่เท่านั้นเอง เพื่อเป็นการวัดกำลังใจ สร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ที่ตนเองอธิษฐานติดตาม และก็เป็นการสร้างบารมี และวัดกำลังใจของตนเองด้วยเช่นกัน...

    สรุปก็คือ ทุกท่านยอมทนทุกข์ทรมานก็เพราะความรักความเมตตา ปรารถนาที่จะสงเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลายในวัฏสงสารนี้ให้ออกจากกองทุกข์ให้ได้เป็นหลักนั่นเอง)

    การเป็นนางแก้วคู่บารมีของพระโพธิสัตว์... ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็ง ไม่มุ่งมั่นจริง ๆ ถ้าในดวงจิตไม่ฉ่ำเย็นไปด้วยความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างท่วมท้นจริง ๆ...ถ้าขาดเสียซึ่งขันติ ความอดทนอย่างยิ่งยวด...ขาดเสียซึ่งปัญญา ที่จะนำพาให้ทุกชีวิตมีแต่สันติสุข...ขาดเสียซึ่งบารมีทั้ง 30 ทัศแล้ว... ต้องบอกว่า...ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นกันได้ง่าย ๆ เลย...แต่อย่างไรก็ตามถ้าตั้งจิตปรารถนาที่จะเป็นจริง ๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะยากเกินกว่าความมุมานะพยายามของทุกดวงจิตที่จะทำได้...

    ขอน้อมโมทนากับสตรีทุกท่านที่มีจิตคิดปรารถนาซึ่งการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การสงเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลาย และการหนุนนำพระโพธิสัตว์คู่บารมีของท่านให้สำเร็จซึ่งพระโพธิญาณในที่สุด...

    ขอบคุณรูปภาพจาก วัดท่าซุงและเว็บไซต์พลังจิตดอทคอม

    ชนินทร
    chdhorn@hotmail.com
    Daily News Online > หน้าบทความ > จิตเหนืออารมณ์ > ชีวิตที่ไหลลื่นไปกับธรรมะ : นางแก้ว
    Daily News Online > หน้าบทความ > จิตเหนืออารมณ์ > ชีวิตที่ไหลลื่นไปกับธรรมะ : นางแก้ว
     
  4. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,378
    ค่าพลัง:
    +12,917
    โมทนาด้วยจ๊ะ..
    เมื่อวาน นำรถยนต์เข้าไปตรวจสภาพประจำปี เจอะ เจอ บทความหนึ่งพอดี ซึ่ง มีความกินใจ พอสมควร ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หน้า 20 ฉบับ วันที่ 30 มีนา 54
    นางแก้ว ...
    โดยคุณ chdhorn (ภาพจากเว็ป พลังจิต.คอม )
    นางแก้ว ที่ทนทุกข์ทรมาน ในแต่ละภพ ที่ ตั้งจิต อธิฐาน ตามพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งในการ ช่วยสร้าง ทาน บารมี จนกระทั่ง การสละ เมีย และ ลูกเพื่อเป็น มหาทาน
    ด้วยจิต ที่ศรัทธา มุ่งมั่น ไม่เปลี่ยนแปลง ..

    แม้กระทั่งใน กระทู้ ของหลวงพี่เล็ก ในพลังจิต ( ยังไม่กล้าจะนำมาใว้ในกระทู้.. อิอิ )

    เราขอโมทนา ...
     
  5. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384


    สาธุจ้ะ...

    โมทนากับ... ทุกจิตวิญญาณที่กำลังสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้แก่กันและกัน... เช่นกันจ้ะ...
     
  6. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    ค่ารถตู้ไปกลับ ( ๒ วัน ตกอยู่ ที่ ๓,๖๐๐ - ๔,๐๐๐ บาท) จะประมาณ ๓๖๐ - ๔๐๐ บาท ต่อคน (ยังไม่รวมค่าแก๊ส หรือน้ำมันค่ะ)... แต่จะขอให้เพื่อนๆ ที่อยากจะเดินทางร่วมไปสร้างบุญด้วยกัน... ช่วยกันออกคนละ ๒๕๐ บาท... (เพิ่งผ่านสงกรานต์ กับ เป็นช่วงปลายเดือนพอดี เพื่อนๆ จะได้ไม่เดือดร้อนกันมากน่ะค่ะ ^___^)
     
  7. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    กำหนดการสำหรับการเดินทางค่ะ...

    ที่น่ายินดีอีกประการ คือ ในวันที่ ๒๔ เมษานี้ นอกจากหลวงปู่พวงที่พวกเราหลายคน เคารพรักท่าน จะเป็นมิ่งขวัญกำลังใจของพวกเราในงานแล้ว... หลวงพ่อโนรี จากวัดหนองหญ้าปล้อง... และอาจจะมีท่านอื่นอีก ๒ - ๓ ท่าน ไปร่วมงานนี้กับพวกเรากันด้วยนะคะ...

    ไปร่วมกราบครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนด้วยกันค่ะ...

     
  8. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    อานิสงค์การสร้างสมเด็จองค์ปฐมค่ะ...

    เพื่อนๆ ทุกคนที่เคยส่งปัจจัยมาร่วมทำบุญด้วยกันตั้งแต่ต้น... ธรถือว่าเงินของทุกคนร่วมในการสร้างกุศลผลบุญทุกอย่างที่ทำ ทั้งหมด รวมถึงการหล่อพระในครั้งนี้ด้วยนะคะ... ส่วนท่านอื่นๆ... เมื่อร่วมโมทนาด้วยกันแล้ว... กุศลที่จะพึงบังเกิดทั้งหมด... ก็ขออธิษฐานให้ทุกท่านได้รับเต็ม สมบูรณ์ ครบถ้วนเฉกเช่นเดียวกับที่ทุกคนจะได้รับทุกประการค่ะ...


     
  9. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384



    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ประวัติของสมเด็จองค์ปฐม

    ที่มา : หนังสือประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม ฯ
    วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

    "ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่ 1 เรียกว่า “องค์ปฐม” ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิด คือเมื่อประมาณ พ.ศ.2511 ตอนนั้นอาตมา (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) มาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้ว และ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็นนาวาอากาศเอกเป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั้น ตอนกลางคืนสามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ ขณะที่ทำสมาธิบรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพานยืนสองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้าแล้วก็พนมมือ จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางที่อาจเป็นอุปาทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็ก ๆ ที่หลังคาต่ำ ๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคา ก็สูงขึ้น แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปาทานคือกิเลสคงกินใจมากเมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้าง ๆ ท่านบอกว่า “คุณ…..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา” อีกประมาณสัก 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพานเดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก้มศรีษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมาท่านก็พูดว่า “ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า….ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าเอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วก็บอกว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูดตอนไหนจะเทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น” ก็เป็นความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางที่คิดว่าวันนี้จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริง ๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดี ใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน" หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้ว อาจจะมีชื่อซ้ำกันก็ได้ โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกันถึง 5 พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น ”สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1” พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระวงศ์ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู" อย่างแท้จริง
    ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จมาเล่าให้หลวงพ่อฟังที่บ้านสายลมว่า สมัยที่พระองค์ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้นคนมีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปีหลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก 2 หมื่นปีจึงได้ ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์อีกประมาณ 2 หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัป ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง
     
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ประวัติของสมเด็จองค์ปฐม

    ที่มา : หนังสือประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม ฯ
    วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

    "ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่ 1 เรียกว่า “องค์ปฐม”

    ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิด คือเมื่อประมาณ พ.ศ.2511 ตอนนั้นอาตมา (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) มาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้ว และ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็นนาวาอากาศเอกเป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั้น ตอนกลางคืนสามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ ขณะที่ทำสมาธิบรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพานยืนสองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้าแล้วก็พนมมือ จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางที่อาจเป็นอุปาทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็ก ๆ ที่หลังคาต่ำ ๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคา ก็สูงขึ้น แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปาทานคือกิเลสคงกินใจมากเมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้าง ๆ ท่านบอกว่า “คุณ…..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา” อีกประมาณสัก 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพานเดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก้มศรีษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมาท่านก็พูดว่า “ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า….ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าเอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วก็บอกว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูดตอนไหนจะเทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น” ก็เป็นความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางที่คิดว่าวันนี้จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริง ๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดี ใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน" หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้ว อาจจะมีชื่อซ้ำกันก็ได้ โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกันถึง 5 พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น ”สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1” พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระวงศ์ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู" อย่างแท้จริง

    ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จมาเล่าให้หลวงพ่อฟังที่บ้านสายลมว่า สมัยที่พระองค์ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้นคนมีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปีหลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก 2 หมื่นปีจึงได้ ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์อีกประมาณ 2 หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัป ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2011
  12. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    พระพุทธปางทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ
    พระหัตถ์(มือ)ซ้ายหงาย
    พระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนเข่าขวา(พระชานุ) ในพุทธลักษณะประทับนั่งขัดสมาธิบนบัลลังก์ดอกบัวแห่งพระโพธิญาณรายล้อมโดยรอบองค์พระด้วยแก้วจักรพรรดิอีกหกดวงรวมเป็นสัตตะรัตนะทั้งเจ็ด คือ
    ๑. จักรแก้ว (จักกรัตนะ)
    ๒. ขุนคลังแก้ว (คหปติรัตนะ)
    ๓. แก้วมณี (มณีรัตนะ)
    ๔.นางแก้ว (อิตถีรัตนะ)
    ๕.ขุนพลแก้ว (ปริณายกรัตนะ)
    ๖. ช้างแก้ว (หัตถิรัตนะ)
    ๗. ม้าแก้ว (อัสสรัตนะ)

    ความหมาย
    พระพุทธปางทรงเครื่องจักรพรรดิเป็นพระพุทธปางที่เป็นเลิศทั้งทางธรรมและทางโลก กล่าวคือพระพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศในทางธรรม และพระจักรพรรดิเป็นผู้เลิศในทางโลก เปี่ยมด้วยบารมีและโชคลาภ ทรัพย์สินสมบัติ อำนาจยศถาบรรดาศักดิ์บุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสบผลสำเร็จและมีความคล่องตัวทั้งทางธรรมและทางโลกครบทุกด้าน

    ความหมายของแก้วทั้ง ๗ ประการนี้ คือ
    • จักรแก้ว คือ อำนาจบารมีแห่งพระเจ้าจักรพรรดิอาวุธ ความเฉียบคม หมายถึง แสนยานุภาพสูงสุด
    • ขุนคลังแก้ว คือ โชคลาภ ทรัพย์สินสมบัติ เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด หมายถึงเศรษฐกิจที่ดี
    • แก้วมณี คือ แก้วสารพัดนึก สติปัญญาอันเลิศเป็นสิ่งที่ให้เกิดความสำเร็จทุกประการได้ดั่งใจปรารถนาทุกประการ
    • นางแก้ว คือ ภรรยา หรือ คู่ครองที่ดีการดูแลสุขภาพ เรื่องกิจการภายในทั้งหมด การปรับตนเข้าหากัน
    • ขุนพลแก้ว คือ ผู้ร่วมงานที่ดี ข้าราชการที่มีความสามารถเป็นเลิศ
    • ช้างแก้ว คือ ความหนักแน่นมั่นคง ยานพาหนะขนาดหนักที่ดีที่สุดซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้ก็ได้แก่กิจการรถไฟ เครื่องบินเป็นต้น
    • ม้าแก้ว ก็คือ ความรวดเร็ว การคมนาคมที่ดีที่สุดซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้ก็ได้แก่กิจการระบบโทรคมนาคมเพราะสมัยโบราณใช้ม้าเป็นเครื่องมือสื่อสาร

    ดวงแก้ว 7 ประการเป็นความสำเร็จในทางโลกกล่าวคืออำนาจบารมี โชคลาภเงินทอง ทำกิจการงานใดๆสำเร็จดั่งใจนึก มีคู่ครองที่ดีคอยดูแลสุขภาพและเรื่องในครอบครัว มีเพื่อนร่วมงานที่ดีคอยให้ความช่วยเหลือมีความคล่องตัวในทางสังคม และความสะดวกในการเดินทางติดต่อสื่อสาร จักรพรรดิแห่งธรรม ซึ่งผู้เป็นจักรพรรดิสูงสุดแห่งธรรมคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  13. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ความทรงจำเกี่ยวกับหลวงปู่พวง... ที่พำนักสงฆ์ถ้ำหินผาแดง ต.ม่วงเฒ่า อ.หนองปรือ จ.กาญจนบุรี

    จำได้ว่า...

    ครั้งแรกที่ได้กราบนมัสการหลวงปู่พวงนั้น เป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว...

    มีพระอาจารย์ของรุ่นน้องที่เป็นเพื่อนของเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมด้วยกันมา แจ้งเข้ามาอย่างกระทันหันว่าจะพาไปกราบพระปฏิบัติที่ในป่า... จะไปไหม...

    ทางเข้าวัดลำบากเอาเรื่อง... คนที่เข้าไปครั้งสองครั้งแรก คงหลงทางกันน่าดู เพราะเข้าได้หลายทางมาก... แถมพอเข้าไปแล้ว... ยังมีไร่อ้อยสูงชะลูดแน่นขนัดไปหมด...

    ภาพแรกที่เห็นหลวงปู่พวง คือ ท่านชราภาพแล้ว (ท่านบอกว่าท่าน อายุ ๗๐ กว่า เกิดปีชวด ปีนี้ท่านน่าจะอายุประมาณ ๗๖ แล้ว)... แต่ยังคงแข็งแรง... ยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดี อารมณ์เย็น...

    เวลาที่ท่านพูดคุยเรื่องอะไรขึ้นมาก็แล้วแต่... เท่าที่สังเกตุดู... เนื้อหาที่พูดจะไปกระทบโดนใจของใครบางคน หรือหลายๆ คน... จนบางคนถึงกับน้ำตาซึม...

    เคยเรียนถามท่าน... ท่านบอกว่า หลวงปู่ไม่รู้หรอกว่าใครทำอะไรมาบ้าง... รู้แต่ว่า...

    มีเรื่องที่ต้องพูด จะมีตัวรู้ผุดขึ้นมาในจิตของหลวงปู่ ว่าตอนนี้ ขณะนี้ ควรพูดเรื่องใด หรือควรเตือนใครในเรื่องใดบ้าง... เมื่อพูดไปแล้วจะไปสะกิดเตือนใคร... หรือเมื่อเตือนไปแล้ว ผู้ถูกเตือนจะยอมรับ จะสำนึกได้หรือไม่นั้น... นั่นก็สุดแล้วแต่เขา...

    สิ่งที่หลวงปู่จะสอนได้ บอกได้... ก็ล้วนมาจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น... ทุกคนมีกรรมเป็นของของตนเอง ไม่มีใครหนีกรรมได้พ้น...

    แล้วท่านก็เล่าถึงบุพกรรมที่ทำให้ท่านตาบอดทั้ง ๒ ข้างให้ฟัง...

    ท่านเล่าว่า... ตอนที่ท่านยังอายุน้อยๆ กว่านี้... ท่านชอบท่านกุ้งเต้นเป็นๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วบีบมะนาว ใส่พริกลงไปคลุกเคล้า... แล้วก็ตักทานทั้งๆ ที่กุ้งมันยังดิ้นๆ อยู่แบบนั้นแหละ...

    ผลคือ...

    จากการที่ทั้งมะนาว และพริกลงไปโดนตาของกุ้งจนมันแสบร้อน... ที่ผ่านมา หลวงปู่พวงท่านจึงสูญเสียดวงตาทั้ง ๒ ข้าง...

    และเชื่อหรือไม่ว่า... จากผลกรรมหลายๆ ประการรวมตัวกัน...

    ในช่วงที่หลวงปู่สูญเสียการมองเห็นทั้ง ๒ ข้างนั้น... ทั้งพระ และฆราวาสที่อยู่กับหลวงปู่ในตอนนั้น... ต่างก็ไม่มีใครอยากที่จะอยู่ช่วยดูแลหลวงปู่เลยสักท่าน... เพราะต่างติดภาระกิจหน้าที่ที่มีอยู่ทั้งสิ้น... ก่อนที่จะทิ้งให้หลงวงปู่อยู่เพียงลำพัง... ท่านเหล่านั้น... ช่วยกันขึงเชือกให้หลวงปู่ใช้ต่างราวสะพานเพื่อเป็นเครื่องนำทางไปตามจุดต่างๆ... เนื่องจากที่พำนักหรือห้องพักของหลวงปู่ อยู่บนเขา... ถึงจะไม่สูงอะไรนัก แต่บันไดที่ทำไว้ ก็ลื่นเอาการ... โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าฝน ที่จะมีขี้ตะไคร้ขึ้นเขียว...

    หลวงปู่ยอมรับผลของกรรม...

    หลวงปู่พวงเล่าให้ฟังว่า...

    ตอนนั้น... อยู่อย่างลำบากมาก... เพราะไหนจะเรื่องสุขภาพกายที่ไม่ค่อยจะดีนัก สุขภาพตาที่มองไม่เห็น อาหารการกิน... ถ้าไม่มีใครว่างเอาอาหารมาถวายให้... หลวงปู่ก็อด ไม่ได้ฉันอะไร... ช่วงแรกๆ หลวงปู่ทุกข์ใจมาก...

    แต่แล้วท่านก็ใช้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาเป็นเครื่องประหัตประหารกิเลส... ประคองจิต ประคองสติ ให้สู้กับอวิชชา... จนตอนนี้... ท่านบอกว่า...

    เจ้ากรรมนายเวรใด จะเรียกร้องให้ท่านต้องชดใช้อะไร อย่างไรก็แล้วแต่... ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นกับท่าน... ท่านพร้อมที่จะยอมรับทั้งหมด...

    อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิดไป...

    ละสังขารจากชาตินี้ภพนี้เมื่อไหร่... ท่านไม่ขอกลับมาเกิดอีกแล้ว... ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว สำหรับท่าน...

    การรักษาพยาบาลท่าน ทั้งเพื่อให้ท่านมีสุขภาพที่ดี และรักษาตาของท่าน... ท่านต้องถูกเข็มทิ่มไปทั่วทั้งตัว... ท่านบอกว่า เหมือนกับตอนที่ท่านไปจับปลาเป็นๆ มาทำอาหารทาน... ต้องถูกหยอดตา ซึ่งทั้งปวด ทั้งแสบ... และอื่นๆ อีกมากมาย...

    ทุกสิ่งล้วนเกิดจาก อกุศลกรรมบันดาลทั้งสิ้น...

    ไปทุกครั้ง... หลวงปู่จะเน้นย้ำบอกพวกเราเสมอว่า...

    "ทำความดีให้มากๆ เข้าไว้นะลูกนะ... อย่าทิ้งการทำความดี...

    ศีล ๕ ให้มีเป็นปกตินะ... หลวงปู่ไม่มีอะไรที่จะให้หรอกนะ... นอกจาก... เชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าไว้นะลูกนะ...

    อะไรที่เราช่วยใครไม่ไหว... ก็ต้องวางนะลูกนะ... กรรมของเขา เราช่วยแล้ว แต่เขาไม่ช่วยตัวเอง... เราก็ต้องอุเบกขานะลูกนะ...

    ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็ช่วยพระเทวฑัตได้สิลูก...

    ชีวิตมันเป็นทุกข์นะลูกนะ... จะเกิดมาอีกทำไมกัน... ไปนิพพานกันไม่ดีกว่าเหรอ...

    สังขารมันก็แค่นี้แหละ... อีกไม่นานก็ตายแล้ว... จะอยู่เพื่อให้ทุกข์ไปเพื่ออะไร...

    เข้านิพพานดีกว่า......"

    หลวงปู่จะชวนพวกเราที่ไปนั่งฟังท่านเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังให้เข้าพระนิพพาน... เพราะท่านบอกว่า... ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว ลูกเอ๋ย...

    สำหรับตอนนี้... ตาข้างหนึ่งของหลวงปู่มองเห็นได้ลางๆ... แต่หลวงปู่ก้บอกว่า... ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เจ้ากรรมนายเวรเขาจะมาทวงคืน... ถ้าเขาจะเอาก็ต้องให้เขาไป... ไม่มีใครหนีกรรมพ้นนะลูกนะ...

    วันที่ ๒๔ เมษานี้... ท่านไหนอยากจะไปร่วมกราบ และรับฟังธรรมะจากหลวงปู่พวง หลวงพ่อโนรี และท่านอื่นๆ กับธรและเพื่อนๆ...

    ขอช่วยกรุณาแจ้งชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และจำนวนที่ที่จะไปไว้ในกระทู้นี้เลยนะคะ...

    ถ้าจำนวนคนมากกว่าที่รถตู้คันเดียวจะรับได้... จะได้เช่าเพิ่มค่ะ...

    กราบโมทนากับทุกท่านล่วงหน้าค่ะ...
     
  14. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    สวัสดีค่ะ พี่ชายใหญ่นาคา แห่งเมืองบาดาล...

    ขอโทษด้วยค่ะ ที่ไม่ได้ตอบตั้งแต่แรก... เห็นชื่อคุณนาคาทีไร... เห็นแต่ภาพพญานาคยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ( ไม่ก็นาคา นาคีในร่างคน... ซึ่งสวยงาม และ ดูดีมาก ) เลยสะดุดกึก...

    จริงๆ ได้ยินชื่อคุณนาคามานานแล้วล่ะค่ะ... น่าจะเคยเจอแล้วด้วย... แต่ไม่ทราบทำไม รู้สึกยังไม่รู้จักกัน...

    เลยถือโอกาสนี้ทำความรู้จักซะเลยนะคะ...

    ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ... พี่นาคา... ^___^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2011
  15. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    สำหรับลงวันที่ 13 เมษายน 54
    เรื่อง : ชีวิตใหม่... วันสงกรานต์


    วันสงกรานต์มีความหมายมากสำหรับคนไทยส่วนใหญ่... เนื่องจากเป็นวันปีใหม่ เป็นวันที่ทุกคนในครอบครัวสมควรจะอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทำบุญไหว้พระรับสิ่งที่เป็นสิริมงคลดีๆ เข้าสู่ชีวิต ก่อนที่จะสนุกสนานกับประเพณีรดน้ำดำหัว ประแป้งสาดน้ำ ด้วยความสุภาพอ่อนหวาน ซึ่งเป็นประเพณีที่ดีงามที่บรรพบุรุษของพวกเราเคยทำกัน


    ในโอกาสนี้... ผู้เขียนขอน้อมตั้งจิตอธิษฐาน...


    ระลึกถึงคุณของพระศรีรัตนตรัย พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ คุณของท่านผู้มีพระคุณ พรหมเทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วทั้งสังสารวัฏนี้ อีกทั้งเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย... หากข้าพเจ้าเคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่านไปด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี... ข้าพเจ้าขอน้อมกราบขอขมาโทษต่อทุกท่าน... ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆ ท่านได้โปรดอโหสิกรรมทั้งหลายเหล่านั้นให้ข้าพเจ้านับแต่นี้ตราบเข้าสู่พระนิพพาน


    หากแม้นว่าท่านใด ดวงจิตดวงใดก็ตามได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินข้าพเจ้า... ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา หรือทางใจก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะในชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้าให้อโหสิกรรมกับทุกๆ ท่าน ทุกๆ ดวงจิต... นับแต่นี้ตราบเข้าสู่พระนิพพาน... ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาซึ่งการเป็นศัตรู หรือคิดร้ายต่อดวงจิตดวงใดทั้งสิ้น...


    ขออาราธนาบารมีแห่งองค์พระศรีรัตนตรัย... ขอได้โปรดน้อมถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และเชื้อพระวงศ์ทุกๆ พระองค์... ขอให้ทรงพระเกษมสำราญทุกทิวาราตรี มีพระพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ...


    อีกทั้งขอได้โปรดอำนวยพร และช่วย ปกปัก รักษา คุ้มครอง ป้องกัน คนไทยทุกคน... คนทุกชาติทุกภาษาที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทย... อีกทั้งเพื่อนร่วมโลก ร่วมสังสารวัฏทั้งหลาย... ให้พ้นจากภัยแห่งมิจฉาทิฐิ... พ้นจากทุกข์ โศก โรค ภัย... ภัยทั้งที่เกิดจากมนุษย์ อมนุษย์... มาร... ภัยธรรมชาติ... และภัยอื่นๆ... ขอให้สมหวังทั้งมนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ โลกียสมบัติ (ที่เป็นไปในทางที่ชอบ ที่ควร ที่เป็นสัมมา) อีกทั้งโลกุตรสมบัติ อริยสมบัติ... มีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ...


    มีหลายท่านที่อยากจะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ที่เป็นสิ่งดีๆ ให้กับชีวิต ให้กับตัวเอง ให้ครอบครัว ให้คนที่รัก... อย่ามัวรีรออีกเลยที่จะเริ่มต้นสิ่งเหล่านั้น เสียตั้งแต่วันนี้... ก่อนที่เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เฉลิมฉลองปีใหม่อีกเลยก็เป็นได้...


    ชนินทร Email : chdhorn@gmail.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2011
  16. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    มีผู้ร่วมบุญ ทำบุญปิดยอดหัวใจพระ เป็นจำนวน 1,500 บาท เรียบร้อยแล้วครับผม

    สถานะการทำรายการ ธนาคารได้ทำรายการของคุณเรียบร้อยแล้ว
    หมายเลขอ้างอิง TRTR110418981988
    จำนวนเงิน (บาท) 1,500.00
    วันที่โอนเงิน 18/04/2011


    อนุโมทนาสาธุ ครับ เดี๋ยวส่วนที่ เกินจะกระจายไปทำบุญหล่อพระ นะครับ
     
  17. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    อัพเดต รายชื่อผู้ร่วมทริป ครับ

    1. คุณbnbk (มีเบอร์โทรแล้ว)
    2. คุณปาฏิหาริย์ (มีเบอร์โทรแล้ว)
    3. คุณR_numotana (มีเบอร์โทรแล้ว)
    4. คุณลิงเมืองละโว้ (มีเบอร์โทรแล้ว)
    5. คุณK_jit (มีเบอร์โทรแล้ว)
    6. คุณMink3266 (มีเบอร์โทรแล้ว)
    7.
    8.
    9.
    10. ณ.
     
  18. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอประทานโทษทุกท่านค่ะ...

    ชวนทุกคนมาหล่อพระ... แต่ลืมบอกราคาพระ...

    ค่าหล่อพระรวมค่าประดับครัสตัล... (แพงที่คริสตัลนี่แหละค่ะ).... ราคารวมแล้วอยู่ที่องค์ละ ๘๐,๐๐๐.๐๐ บาทค่ะ...

    ตอนนี้มีปัจจัยสำหรับค่าพระแล้วประมาณ ๕๐,๐๐๐ บาทค่ะ... ท่านใดอยากร่วมกันสร้างพระของพวกเรากันเอง... ก็เชิญเลยนะคะ

    ใครร่วมโอนเข้ามาช่วยกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยนะคะ...

    กราบโมทนากับทุกท่านค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2011
  19. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอประทานโทษทุกท่านค่ะ...

    ชวนทุกคนมาหล่อพระ... แต่ลืมบอกราคาพระ...

    ค่าหล่อพระรวมค่าประดับครัสตัล... (แพงที่คริสตัลนี่แหละค่ะ).... ราคารวมแล้วอยู่ที่องค์ละ ๘๐,๐๐๐.๐๐ บาทค่ะ...

    ตอนนี้มีปัจจัยสำหรับค่าพระแล้วประมาณ ๕๐,๐๐๐ บาทค่ะ... ท่านใดอยากร่วมกันสร้างพระของพวกเรากันเอง... ก็เชิญเลยนะคะ

    ใครร่วมโอนเข้ามาช่วยกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยนะคะ...

    กราบโมทนากับทุกท่านค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2011
  20. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    คำสอนหลวงพ่อโนรี... (ถ่ายทอดโดยหลวงพี่อู๊ด วัดหนองหญ้าปล้อง)


    - จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จรอเราอยู่ ขอเพียงเรามุ่งมั่น บากบั่น ไม่ย่อท้อ ต้องถึงความสำเร็จแน่นอน...

    - ถ้าเรายังเจริญศรัทธาเขาไม่ได้ ก็อย่าไปทำลายศรัทธาในสถานที่ของเขา

    - พระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสคำไม่จริง... ชีวิตเรามีความตายเป็นที่สุด เราต้องการอะไรในชีวิตนี้ การสละสิ้นชีพแล้วไซร้ พระอรหันต์






    พระคาถาชุดสำหรับแคล้วคลาด และทำอะไรคล่องตัวทุกอย่าง...

    (พระคาถาชุดนี้ หลวงพี่อู๊ด - พระเลขาของหลวงพ่อโนรี - เล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อท่านให้สวดให้เป็นปกติ เพื่อการปัดเป่าสิ่งที่จะมาเป็นอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต... และยังสามารถนำไปสวดเป็นปกติเพื่อช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยอาการหนักให้ทุเลาเบาบางลงได้ด้วย... กราบขอบพระคุณหลวงพ่อโนรี และหลวงพี่อู๊ด เป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ... ที่เมตตาลูกหลาน...)


    พระคาถาชุดแคล้วคลาดมีดังนี้

    - นะโมตัสสะ (๓จบ)

    - อาราธนาพระตามปกติ

    - พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ (๑ จบ)

    คำไหว้บารมี 30 ทัศ(แบบครูบาศรีวิชัย)

    ทานะ ปาระมี สัมปันโน , ทานะ อุปะปารมี สัมปันโน , ทานะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    สีละ ปาระมี สัมปันโน , สีละ อุปะปารมี สัมปันโน , สีละ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    เนกขัมมะ ปาระมี สัมปันโน , เนกขัมมะ อุปะปารมี สัมปันโน , เนกขัมมะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    ปัญญา ปาระมี สัมปันโน , ปัญญา อุปะปารมี สัมปันโน , ปัญญา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    วิริยะ ปาระมี สัมปันโน , วิริยะ อุปะปารมี สัมปันโน , วิริยะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    ขันตี ปาระมี สัมปันโน , ขันตี อุปะปารมี สัมปันโน , ขันตี ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    สัจจะ ปาระมี สัมปันโน , สัจจะ อุปะปารมี สัมปันโน , สัจจะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    อะธิฏฐานะ ปาระมี สัมปันโน , อะธิฏฐานะ อุปะปารมี สัมปันโน , อะธิฏฐานะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    เมตตา ปาระมี สัมปันโน , เมตตา อุปะปารมี สัมปันโน , เมตตา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน , อุเปกขา อุปะปารมี สัมปันโน , อุเปกขา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    ทะสะ ปาระมี สัมปันโน , ทะสะ อุปะปารมี สัมปันโน , ทะสะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ นะมามิหัง

    -บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ (อย่างละ ๓ จบ)

    - อิติปโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิสัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ

    - สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปสสิโก โอปะนะยิโก ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหิติฯ

    - สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิทัง จัตตาริปุริสะยุคานิอัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติฯ

    คาถาเงินล้าน (๓๐ จบ)
    (คาถาของพระราชพรหมยาน หรือ ฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง )

    สัมปะจิตฉามิ
    นาสังสิโม
    พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน )
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันต ุเม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
    มิเตภาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา
    วิระทาสี วิระทาสา วิระอิทถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
    สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
    เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ




    .......................................................

    อธิบาย บารมี 30 ทัศ

    การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาตินั้นๆ บารมีที่บำเพ็ญนั้นคือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี รวมเรียกว่าบารมี ๓๐ (๓ x ๑๐)

    โดยแบ่งเป็นบารมีชั้นธรรมดา ๑๐ (บารมี)
    บารมี ชั้นกลาง ๑๐ (อุปบารมี) และ
    บารมีชั้นสูง ๑๐ (ปรมัตถบารมี) รวมเป็นบารมี ๓๐ ประการ

    ในอรรถกถาจริยาปิฎกพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ ได้จัดชาดกเรื่องต่างๆ ลงในบารมีทั้ง ๓๐ ประการ มีนัยโดยสังเขปที่น่าศึกษา ดังนี้

    ๑. ทานบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทานบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสีวิราช (๒๗/๔๙๙) ทรงบำเพ็ญทานอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร (๒๘/๕๔๗) และทรงบำเพ็ญทานปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นกระต่ายป่าสสบัณฑิต (๒๗/๓๑๖)

    ๒. ศีลบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญศีลบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญาช้างฉัตทันต์เลี้ยงมารดา (๒๗/๗๒) ทรงบำเพ็ญศีลอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญานาคภูริทัต (๒๘/๕๔๓)

    ๓. เนกขัมมบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นอโยฆรราชกุมาร (๒๗/๕๑๐) ทรงบำเพ็ญเนกขัมมอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นหัตถิปาลกุมาร (๒๗/๕๐๙) และทรงบำเพ็ญเนกขัมมปรมัตถบารมี ในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจูฬสุตโสม (๒๗/๕๒๗)

    ๔. ปัญญาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นสัมภวกุมาร (๒๗/๕๑๕) ทรงบำเพ็ญปัญญาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นอำมาตย์วิธุรบัญฑิต (๒๘/๕๔๖) และทรงบำเพ็ญปัญญาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นเสนกบัณฑิต (๒๗/๔๐๒)

    ๕. วิริยบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญวิริยบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญากปิ (๒๗/๕๑๖) ทรงบำเพ็ญวิริยอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสีลวมหาราช (๒๗/๕๑) และทรงบำเพ็ญวิริยปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระมหาชนก (๒๘/๕๓๙)

    ๖. ขันติบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญขันติบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นจูฬธัมมปาลราชกุมาร (๒๗/๓๕๘) ทรงบำเพ็ญขันติอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นธัมมิกเทพบุตร (๒๗/๔๕๗) และทรงบำเพ็ญขันติปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นขันติวาทีดาบส (๒๗/๓๑๓)

    ๗. สัจจบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญสัจจบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นวัฏฏกะ (ลูกนกคุ่ม (๒๗/๓๕) ทรงบำเพ็ญสัจจอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญาปลาช่อน (๒๗/๗๕) และทรงบำเพ็ญสัจจปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้ามหาสุตโสม (๒๘/๕๓๗)

    ๘. อธิษฐานบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญากุกกุระ (๒๗/๒๒) ทรงบำเพ็ญอธิษฐานอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นมาตังคบัณฑิต (๒๗/๔๙๗) และทรงบำเพ็ญอธิษฐานปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเตมิยราชกุมาร (๒๘/๕๓๘)

    ๙. เมตตาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นสุวรรณสามดาบส (๒๘/๕๔๐) ทรงบำเพ็ญเมตตาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นกัณหาทีปายนดาบส (๒๗/๔๔๔) และทรงบำเพ็ญเมตตาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าเอกราช

    ๑๐. อุเบกขาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นกัจฉปบัณฑิต (๒๗/๒๗๓) ทรงบำเพ็ญอุเบกขาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญามหิส (๒๗/๒๗๘) และทรงบำเพ็ญอุเบกขาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นโลมหังสบัณฑิต (๒๗/๙๔) หมายเหตุ เลขหน้าเป็นลำดับเล่มพระไตรปิฎก เลขหลังเป็นลำดับชาดก เช่น (๒๗/๒๗๓) หมายถึง พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ ชาดกเรื่องที่ ๒๗๓)

    การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาติหนึ่ง ๆ มิใช่ว่าจะทรงบำเพ็ญบารมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ทรงบำเพ็ญทานบารมี หรือทรงบำเพ็ญศีลบารมีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในชาติเดียวกันนั้น ได้บำเพ็ญบารมีหลายอย่างควบคู่กันไป แต่อาจเด่นเพียงบารมีเดียว ที่เหลือนอกนั้นเป็นบารมีระดับรอง ๆ ลงไป เช่น ในชาติที่เป็นพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญบารมีครบทั้ง ๑๐ บารมี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...