ความลับหนังสือของคุณเอกอิสโร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย gnungnun, 15 มกราคม 2011.

  1. gnungnun

    gnungnun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +357
    คุณเอกอิสโรเขียนตอบกระทู้ผมว่า"การค้นหา "พระมาลีเจดีย์" ในเมือง Twante ก็ เพื่อจะค้นหา ที่ตั้งวัดพระเชตวัน ซึ่งคงจะเป็นซากปรักหักพัง ที่จมอยู่ใต้ดิน จึงจะยืนยันที่ตั้งของ "สาวัตถี" ได้ครับ"

    วิธีการหา
    "พระมาลีเจดีย์"ของคุณเอกอิสโร---> Google Earth

    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2011
  2. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ขอบคุณครับ เพราะกำลังของผมมีเท่านี้ ในเวลานี้ครับ
     
  3. ๙๙

    ๙๙ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +8
    ขอแสดงความชื่นชมกับคุณเอกอิสโร และคุณgnungnun ในความเป็นผู้ที่มีความรู้ มีความพากเพียรในการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ และที่สำคัญคือการกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นที่ได้จากการศึกษาค้นคว้ามานั้น ออกมาแสดงให้แก่ผู้อื่นได้รับทราบกันนะครับ เพราะเท่าที่ผมอ่านดูแล้วข้อมูลที่ถ่ายทอดออกมาของแต่ละท่านในแต่ละบรรทัดนั้น ได้ผ่านการศึกษาค้นคว้ามาอย่างมากมายแล้ว มิใช่การไปหาอ่านผ่านๆ มาจากที่ไหนแต่เพียงเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะคุณเอกอิสโร ที่ผมเองก็เป็นผู้หนึ่งที่คอยติดตามผลงานอยู่ในเว็บพลังจิตแห่งนี้อย่างเงียบๆ อยู่เป็นระยะเวลานานมาแล้ว

    การเปลี่ยนแปลงสิ่งที่บุคคลส่วนใหญ่มีความเชื่อเช่นนั้นสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จากข้อมูลและหลักฐานที่มีอยู่แล้วนั้นมิใช่เรื่องง่าย แต่ถ้ามีข้อมูลและหลักฐานใหม่ที่สามารถจะทำให้ความจริงที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์ปรากฎขึ้น และสามารถทำให้ความเชื่อที่สืบต่อกันมานั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ แม้จะเพียงแค่หนึ่งในร้อยส่วนก็ตาม ผมว่าคงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับศาสนาพุทธที่มีผู้คนนับถือกันอยู่ทั่วโลกเลยนะครับ ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
     
  4. gnungnun

    gnungnun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +357
    ข้างล่างคือแผนที่ของคุณเอกอิสโร เมืองสาวัตถีอยู่ในพม่า เมืองกุสินารา และเมืองราชคฤห์อยู่ในไทย

    [​IMG]

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    <CENTER>ประวัติพระอสีติมหาสาวก : พระอุปสีวเถระ

    </CENTER><HR style="COLOR: rgb(255,255,255); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255)" SIZE=1>๐ พราหมณ์พาวรีส่งศิษย์ ๑๖ คนไปเฝ้าพระศาสดา
    ในคราวนั้น พราหมณ์ทั้ง ๑๖ คนได้เดินทางผ่านเมืองอุชเชนี เมืองโคนัทธะ เมืองเวทิสะ เมืองวนนคร เมืองโกสัมพี เมืองสาเกต จนถึงเมืองสาวัตถี
    ๐ พระบรมศาสดาเสด็จออกจากกรุงสาวัตถี
    เพื่อบ่มอินทรีย์ของเหล่าพราหมณ์ให้แก่กล้า

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ทรงทราบด้วยพระญาณว่า ศิษย์ของพาวรีพราหมณ์ทั้ง ๑๖ คน มาพร้อมด้วยมหาชนเป็นอันมาก ทรงพระดำริว่า อินทรีย์ของพราหมณ์เหล่านั้นยังไม่แก่กล้าเพียงพอ อีกทั้งถิ่นนี้ก็ยังไม่เป็นที่สบายเหมาะแก่พราหมณ์ทั้งหลาย ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า ปาสาณกเจดีย์ในเขตแคว้นมคธเป็นที่สบายเหมาะแก่พราหมณ์เหล่านั้น ถ้าเราแสดงธรรมในที่นั้น มหาชนก็จักบรรลุธรรม อีกทั้งพวกพราหมณ์เหล่านั้นเมื่อเดินทางผ่านเข้าไปยังเมืองต่าง ๆ ก็จะมีมหาชนตามมามากยิ่งขึ้นไปอีก ผู้บรรลุธรรมก็จักมีมากขึ้น จะเป็นประโยชน์อันมหาศาล

    ครั้นทรงพระดำริเช่นนั้นแล้ว จึงทรง เสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ออกจากกรุงสาวัตถีบ่ายพระพักตร์ไปยังกรุงราชคฤห์ ก่อนที่พวกพราหมณ์จะมาถึง พวกพราหมณ์เหล่านั้นเมื่อก็มาถึงกรุงสาวัตถี เข้าไปสู่วิหาร เพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ครั้นทราบว่าพระพุทธองค์เสด็จออกจากเมืองสาวัตถีไปแล้ว ก็พากันเข้าไปถึงพระคันธกุฏี ได้เห็นรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็แน่ใจว่า เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าแน่แล้ว เพราะจากลักษณะของรอยพระบาทเป็นรอยของผู้หมดกิเลสแล้ว เมื่อทราบดังนั้นแล้วจึงได้ออกเดินทางตามพระบรมศาสดาไป

    พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จเข้าสู่พระนครมีเสตัพยนครและกรุงกบิล พัสดุ์ เมืองกุสินารา เมืองมันทิระ เมืองปาวาโภคนคร เมืองเวสาลี เมืองราชคฤห์ เป็นต้นตามลำดับ หมู่พราหมณ์ทั้ง ๑๖ คนก็ได้เดินทางพร้อมทั้งศิษย์ ๑๖,๐๐๐ คน ผ่านตามเมืองที่พระบรมศาสดาเสด็จผ่าน ผ่านเข้าเมืองใด มหาชนในเมืองเหล่านั้นก็ออกเดินทางติดตามมาอีกเป็นอันมากเพื่อจะได้มีโอกาส เข้าเฝ้าพระบรมศาสดา

    พระพุทธเจ้าจะต้องเสด็จจากเมืองสาวัตถี ไปเมืองกุสินารา และมาถึงเมืองราชคฤห์ ถ้าเดินทางตามแผนที่ของคุณเอกอิสโรแล้ว จากเมืองสาวัตถีจะต้องเดินขึ้นเหนือเพื่ออ้อมอ่าวลงใต้ไปเมืองกุสินาราแล้วก็เดินย้อนขึ้นเหนือเพื่อไปราชคฤห์ซึ่งไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรนะครับ ถ้าจะแย้งว่าอาจลงเรือข้ามทะเลไปเมืองกุสินารายิ่งยุ่งยากใหญ่เพราะจะต้องเตรียมเรือเพื่อบรรทุกคน๑๖,๐๑๖คน เดินเอาน่าจะสะดวกกว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • map.jpg
      map.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.7 KB
      เปิดดู:
      1,236
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2011
  5. gnungnun

    gnungnun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +357
    ถ้าคุณเอกอิสโรจะตามหาพระมาลีเจดีย์ซึ่งสร้างโดยพระเจ้าอโศกตามพงศาวดารเหนือของไทยที่เมืองTwanteจริงแล้ว เจดีย์Shwe Sandaw ที่ได้จากGoogle Earth ต้องไม่ใช่พระมาลีเจดีย์อย่างแน่นอน

    เหตุผลที่จะหักล้างก็มาจาก ข้อมูลของคุณเอกอิสโรเอง ที่ยกมาในความเห็นที่4

    The Legend of Twante

    Shwe Sandaw Pagoda also claims that the Pagoda was built during the lifetime of the Lord Buddha.

    ถอดความจากตำนานได้ว่าเจดีย์ Shwe Sandawถูกสร้างเมื่อพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่
     
  6. k_g

    k_g เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +170
    ถ้าพระพุทธเจ้าทรงอยู่แถวๆบ้านเราและประเทศเพื่อนบ้านของเราจริงๆ
    คำทำนายทั้งหลาย เกี่ยวกับภัยพิบัติ(ดูในหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับภัยพิบัติตามคำทำนายของพระพุทธเจ้า จำชื่อไม่ได้แล้วค่ะ -,.-) ผู้ที่นำคำทำนายนั้นไปวิเคราะห์ดู พบว่าพระพุทธเจ้าได้ทำนายเกี่ยวกับประเทศไทย(มั้ง) โดยอ้อมๆว่า ประเทศที่อยู่ทิศนั่น ห่างจากที่นี่ไป.....หลังจากภัยพิบัติจะเป็นประเทศที่มีอำนาจทางบุญ อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ

    ถ้าพระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่ไทยและประเทศเพื่อนบ้านของไทยนี่แล้ว
    คำทำนายนั้นจะไปเป็นคำทำนายให้ทะเลแทนนะคะ -o-'
    เอิ่ม..แล้วเรื่องคำทำนายนี้ อาจจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เกิดก็ได้ค่ะ ไม่ได้งมงายแต่อย่างใด


    ปล.ความจริงก็คือความจริง ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว (มาจากโคนันค่ะ =o=;)
    ส่วนตัวก็นับถือคุณเอกอิสโรที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ และมีจิตใจเด็ดเดี่ยวค่ะ ^^

    ปล.2 ขอโทษนะคะที่ความคิดเห็นนี้ไม่ค่อยตรงกับหัวข้อกระทู้เท่าไร
     
  7. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,437
    ค่าพลัง:
    +1,770
    น่านับถือ ท่านผู้มีความรู้ โต้วาทะกันด้วยเหตุและผล
     
  8. gnungnun

    gnungnun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +357
    [​IMG]
    [​IMG]

    คุณเอกอิสโรกล่าวไว้ว่าหลวงจีนฟาเหียนน่าจะมาแถบๆพม่า

    เส้นทางการเดินทางของหลวงจีนฟาเหียน ที่ท่านจะเดินทางไป “เมืองกบิลพัสดุ์” ซึ่งเป็นที่ตั้งของ สถานที่ประสูติของ “เจ้าชายสิทธัตถะ” โดยท่านหลวงจีนได้ตั้งหลักที่ นครสาวัตถี แล้วบันทึกไว้ดังนี้ ว่า

    จาก นครสาวัตถี ไปทางอาคเนย์ เดิน ๑๒ โยชน์ ถึงเมืองหนึ่งชื่อ นะปะกะ ต่อไปนี้เดินทางไปทางทิศตะวันออกทางไม่ถึงโยชน์ถึงนครกบิลพัสดุ์ จากนครไปทางทิศตะวันออก ๕๐ ลี้ มีราชอุทยานชื่อลุมพินี สถานพุทธประสูติ เดินไปทางตะวันออก ๕ โยชน์มี ประเทศชื่อ ราม (คาม)

    ถ้าเดินแบบหลวงจีนฟาเหียนจากเมืองสาวัตถีไปกบิลพัสดุ์ตามรูปของคุณเอกอิสโรรูปแรก ผมไม่แน่ใจว่าจะยังอยู่ในทะเลอยู่หรือเปล่านะครับสำหรับเมืองนะปะกะ ไม่มีโอกาสวัดนะครับ ดูหยาบๆเอา

    แต่ถ้าเดินทางตามรูปของคุณเอกอิสโรรูปแรกแบบนี้จริงก็ต้องใช้เรือ หลวงจีนฟาเหียนอุตส่าห์บอกซะละเอียดว่าเดินไปทิศโน้นทิศนี้กี่โยชน์ๆ มีอะไรอยู่ไหนบ้างตรงนั้นตรงนี้ ทำไมถึงไม่บันทึกว่าลงเรือไปครับ หรือไม่ก็กล่าวถึงทะเลบ้างก็ยังดี

    ถ้าหลวงจีนฟาเหียนเดินไปนี่ยิ่งยุ่งเลยครับ เพราะหลวงจีนฟาเหียนต้องเดินบนน้ำไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • map.jpg
      map.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.7 KB
      เปิดดู:
      591
    • map2.jpg
      map2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.6 KB
      เปิดดู:
      684
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2011
  9. lek_077

    lek_077 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +133
    ขอชื่นชมคุณ gnungnun ค่ะ
    หาข้อมูลมาแสดงให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากค่ะ ไม่สับสนเลื่อนลอยเหมือนคุณเอก
    เพราะข้อมูลของคุณเอกจะปักธงไว้ก่อนตามความเชื่อของตัวเอง
    แล้วค่อยหาเฉพาะข้อมูลที่เอื้อกับสิ่ที่ตัวเองเชื่อมาประกอบ
    ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเชื่อของเขาก็จะไม่พูดถึง
    ขอเป็นกําลังใจให้นะคะ่
     
  10. Gilgalad

    Gilgalad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +112
    ความจริงผมก็ไม่ค่อยอยากจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้นักนะครับ แต่ขอแสดงความคิดเห็นว่า

    เรื่องเราพบภาษาบาลี ปนอยู่ในภาษาไทยมากที่สุด ผมว่าน่าจะมาจากการที่เรารับวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนามาจากอินเดียต่างหาก

    การจะบอกว่า ไทยกับบาลี มีความเกี่ยวข้องกัน ต้องพิจารณา ในเรื่องโครงสร้าง ของประโยคนะครับ จะเอาเรื่องคำที่เหมือนกันมาใช้อ้างอิงนั้นไม่ได้นะครับ เพราะ "คำหลายๆคำ" ที่มาจากภาษาหนึ่ง ไปสู่อีกภาษาหนึ่ง ย่อมหมายถึงว่า มีภาษาที่เป็นภาษาที่มีอิทธิพลมากกว่า ได้แพร่กระจายไปสู่ อีกภาษาหรืออีกชนชาติหนึ่ง โดยเหตุผลทางเศรษกิจ การค้า หรือแม้กระทั่งสงคราม

    คนที่มีเชื้อสายของชาติไทย มีอยุ่ในอินเดีย คือ พวกไทอาหม ซึ่งพวกเขาก็ยอมรับว่าพวกเขามาจากแถบประเทศไทย และ ในภาษาพวกเขาก็เรียกได้ว่า ภาษาไทย ดีๆนี่เอง

    การที่คนพม่าพูดภาษาไทยไม่ชัด หรือ คนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ชัด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรรมพันธ์เลยครับ มันเกี่ยวกับว่า เสียงในแต่ละภาษามันไม่เหมือนกัน ในเมื่อเขาไม่เคยออกเสียง นั้น เขาไม่มีทางออกได้ถูก อย่างคนไทยออกเสียง 'th' ในภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือ คนอินเดีย ออกเสียงตัว 'p' เป็น เสียง 'ป' เสมอ หรือ คน พม่า ออกเสียง 'ส' ในภาษาอื่นไม่ได้ ออกเป็นเสียง 'ต' ไปหมด เช่นในคำว่า สมาธิ เขาก็ออกว่า "ตะมาธิ" แม้ในคำว่า 'smart' ก็ออกว่า 'ต่ะมาร์ท' ไม่ใช่เพราะลิ้นเขาออกไม่ได้ เขาออกได้ แค่ฝึกหน่อยก้สามารถทำได้แล้ว เพียงแต่ เป็นความเคยชินของเขาที่เขาออกเสียงแบบนั้นมาทั้งชีวิตของเขา

    เราต้องมาดูหลักทางภาษาด้วยครับว่า บาลี กับ ภาษาไทย มันเหมือนกันตรงไหน เราพูดถึงคำไทยแท้ๆนะครับ คำในภาษาไทยมักมีความหมายเดียว คำเดียว ไม่มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับแบบประโยคใดๆ เช่น กิน นอน นั่ง ดำ แดง เขียว ไม่มีแบบในภาษา บาลี

    (ผมทราบมาคร่าวๆ และไม่ได้เข้าใจบาลีอย่างถ่องแท้ แต่มองเห็นลางๆว่า)

    เช่น เรื่องของเพศในภาษา คำว่า ดำ ถ้าจะบอกว่าเป็น ผู้ชาย ภาษาไทย จะเติม คำว่า นายลงไปข้างหน้า กลายเป็น นายดำ นางแดง ซึ่งเป็นกรณี คำสองคำมาติดต่อกัน ไม่ใช่กรณี อย่างภาษาบาลี จะมีการเปลี่ยนรูป เช่นคำว่า ปุริโส เปลี่ยนเป็น ปุริสัง การเปลี่ยนรูปแบบนี้ไม่เหมือนในภาษาไทยอย่างสิ้นเชิง

    เรื่อง การเรียงรูปประโยคก็เช่นกัน ของไทย จะเป็น ประธาณ กริยา กรรม แต่ในภาษาตระกูลอื่นๆ จะมีรูปประโยคแตกต่างกัน

    เช่น ในภาษาไทย : ราม กิน มะ ม่วง แปลว่า รามกินมะม่วง
    ในภาษาฮินดี : ราม มะม่วง กิน แปลว่า รามกินมะม่วง

    ภาษาฮินดี, มาลาตี พวกนี้อยู่ในตระกูลภาษาอินโดอารยัน ที่นักภาษาศาสตร์จัดให้ ภาษา บาลี ให้อยู่ในตระกูลนี้เช่นกัน ไม่ใช่เพราะเขาเชื่อตาม นักโบราณคดีอังกฤษ แต่เขาศึกษาย้อนไปถึงประวัติศาสตร์ทางภาษา พฤติกรรม แนวความคิดของคนโบราณ ว่าทำไมภาษาถึงแตกต่างกัน โดยมีหลักฐานมารองรับ

    เช่น ศึกษาไปถึง ภาษาในบางภาษาไม่มีคำว่า "สีฟ้า" เหมือนคนไทยสมัยก่อน จะบอกว่า สีฟ้า คือ สีเขียว แต่ถ้า เอาสีมาเทียบกันจริงๆ เขาสามารถบอกได้ว่า สีเขียวที่เขาพูด มันคือสีฟ้า เรียกว่า "ตา" มองเห็นสีเหมือนกัน แต่ใช้คำไม่ถูกเท่านั้นเอง

    จึงมีคำถามว่า

    การจะให้คนไทยที่เคยพูดว่า "ราม มะม่วง กิน" ที่แปลว่า "รามกินมะม่วง" เป็นการพูดว่า "ราม กิน มะม่วง" ที่แปลว่า "รามกินมะม่วง" มันเป็นไปได้หรือกับการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ภาษาของมนุษย์ ? ซึ่งนักภาษาศาสตร์ บอกว่า ภาษาไทยอยู่ในกลุ่ม ธิเบโตเบอร์แมน (ภาษาของพวกชนชาติผิวเหลือง เช่น จีน ธิเบต )แต่เอาเข้าจริงๆ ภาษาไทยเนี่ย ไม่ค่อยจะไปทางนั้นสักทีเดียว เลยมีคนเสนอว่า ควรจะอยู่ ในตระกูล ไตกะได มากกว่า

    2. ข้อที่ว่า เอาคำบาลีไปให้ คนอินเดีย อ่านเขาจะแปลไม่ออก อันนี้เรื่องจริงครับ เพราะคนอินเดียไม่รู้จักภาษาบาลี เพราะส่วนมาก ไม่ได้เรียนหนังสือโดยตรงเกี่ยวกับภาษาบาลี

    แต่เวลาผมถามเขา ว่าของราคาเท่าไหร่ เขาตอบว่า "15 รูปี" เป็นภาษาฮินดีว่า "ปันตระรูปี" ดูดีๆนะครับ มันคล้ายในภาษาบาลีไหม "ปัญจะ" ที่แปลว่า "ห้า" ซึ่งนำไปสู่อีกคำถามนึงว่า ทำไม ภาษาไทยไม่ใช่ หน่วยเงิน ว่า "รูปียะ" แต่เป็น "บาท" แทน

    ระบบอีกอย่าง ของภาษา มาลาตี คือ ระบบการนับ จะเป็น

    เอ้ก โดน ตีน จ๊าต ป๊าต คือ นับ 1- 5 เหมือนระบบ วรรณยุกต์ไทยไหม เอก โท ตรี จัตวา ต้องถามว่า ใครยืมของใครไปกันแน่ อีกฝ่ายหนึ่ง เอาไปนับเลข อีกฝ่ายหนึ่งเอาไปใช้แทนเสียงในระบบวรรณยุกต์ ก็ระบบวรรณยุกต์นี่แหล่ะ ที่คนไทยมีมากกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา มี 5 วรรณยุกต์ ของฮินดี มาลาตรี มี สอง สาม วรรณยุกต์ ใครรู้เรื่องภาษาบาลีอย่างชัดแจ้ง ช่วยตอบหน่อยครับ บาลีมีระบบวรรณยุกต์ไหม มีครบ 5 เสียงเหมือนของไทยไหม?

    สรุป คนอินเดียอ่านไม่ออก แปลไม่ได้หรอกภาษาบาลี แต่หลายๆครั้งที่ผมคุยกับเพื่อนศรีลังกา หรือชาวพุทธที่นั่น มันรู้แฮะ ว่าพูดเรื่องอะไรกัน เพราะ คำหลายๆคำในภาษาบาลี คือ ภาษาบ้านมันเช่นกัน


    3.พระเจ้าอโศก ไม่ได้ใช้ภาษาบาลีในการพูดคุยกันในยุคของท่านนะครับ แต่ใช้ภาษาประกฤต ซึ่งเคยถามเพื่อนๆนักโบราณคดี เขาว่า เป็นภาษาลูกครึ่ง ระหว่าง บาลีกับสันสฤต เพราะเกิดหลังภาษาบาลี คำว่าเกิดในที่นี้หมายถึง กลับมาเป็นที่นิยมในสังคม อีกครั้ง แต่การจารึกในเสาหิน เป็น อักษร บรามีส อย่างที่คุณเอกเข้าใจ นักภาษาศาสตร์ชาวอินเดีย สนใจมาก สืบๆกลับไปในยุคนั้นโดยไม่สนใจว่า ตาอเลกซานเตอร์ จะบอกว่าอย่างไร เพราะพวกนักภาษาศาสตร์ เขาศึกษาหมด และก็มีความเป็นตัวเป็นตนสูงมากไม่เชื่อใครง่ายๆหรอก พร้อมที่จะหักล้าง คนอื่นๆ เพื่อตั้งทฤษฏีของตนเอง และมักเสนอแนวคิดที่ ขอใช้คำว่า "แหกแนว" มากกว่าคำว่า "แหวกแนว" ดังนั้นจะว่านักภาษาศาสตร์ยึดทฤษฏีเดิมๆไม่ได้ การสัมนาในแต่ละครั้ง ทฤษฏีพลิกโลกมีเยอะแยะ เช่น ภาษาอันดามันนีส เป็นภาษาแรกของโลก

    4.คนอินเดียน่ะ มีอยุ่อย่างหนึ่ง คือ ชอบหักล้างคนอื่นๆ แต่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ความคิดตนเอง หรือพฤติกรรมตนเอง เรียกง่ายๆว่า ดื้อ และแม้ว่าภาษาอังกฤษเข้ามาจนเกิด คำเรียกว่า Hinlish ไม่ใช่ English คนอินเดียยังไม่ยอมรับเลย พยายามคงชาตินิยมเอาไว้ พวกเทศกาลฝรั่ง วาเลนไทน์ หรืออะไรก็แล้วแต่ พวกคนอินเดีย ยังต่อต้านหัวชนฝา ชนิดที่ว่า เอาระเบิดไปวาง คนอินเดียคนไหนไป โดนไปด้วย จึงเป็นไปไม่ได้หรอก ที่วัฒนธรรมไทย หรือพุทธ จะกระเด็นไปสู่อินเดีย โดยข้ามไปจากไทย ผ่านดินแดนของพวกนากาแลนด์ชนล่าหัวมนุษย์ และชาวป่าแถบๆนั้น โดยพวกนั้นไม่เหลือร่องรอยของศาสนาพุทธเลย

    5. เรื่องสถานที่ต่างๆ ในอินเดียอาจจะมีผิดพลาดได้ ไม่แปลก เพราะโบราณสถานที่ขุดเจอพระพุทธรูปเยอะๆ ก็มี แต่ชาวบ้านไม่ยอมให้ขุด เพราะกลัวจะไปบอกเขาว่า ศาสนาพุทธเคยรุ่งเรืองอยุ่ที่อินเดีย พระพุทธเจ้าอยุ่ตรงนั้น พระสารีบุตรอยู่ตรงนี้ เขากลัวที่สุด เพราะพวกเขาเป็นพวกฮินดู เชน อิสลาม และ ก็กลัวว่าจะเสียที่ทำกินเช่นเดียว กับที่พวกมหันต์ต้องเสียพุทธคยาให้กับชาวพุทธ

    6. มีทฤษฏีนึงเหมือนกันคือ นักโบราณคดีอินเดีย เสนอมาว่า พระพุทธเจ้าประสูติที่แคว้นโอริสา ประเทศอินเดีย ไม่ใช่เนปาล


    เอาเป็นว่าพอแค่นี้ก่อนดีกว่าครับ เยอะแยะลายตา ขอบคุณครับ
     
  11. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    อาจจะใช่ ดังที่คุณ gnungnun ว่า ก็ไปได้ครับ ที่ว่า เจดีย์ Shwe Sandaw ที่ได้จาก Google Earth ต้องไม่ใช่พระมาลีเจดีย์อย่างแน่นอน

    เพราะ บอกตามตรง แต่แรก นั้น ผมก็คิดว่า จะเป็น พระธาตุมุเตา แต่ยังหา ตำนานที่เชื่อมโยงกับ ยุคสมัยพระเจ้าอโศก ไม่ได้ จนเมื่อ ได้มา พบ คำธิบาย พระเจดีย์ชเวซานดอ ซึ่ง ตอนต้น กล่าวว่า สรางตั้งแต่ครั้งสมัย พระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับ พระธาตุชเวดากอง ก็สร้าง ในสมัยพระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพ อยู่ และได้รับการบูรณะ ต่อๆ กันมา เช่นเดียว กับ พระเจดีย์ชเวซานดอว์ ก็ได้รับการบูรณะ สร้างเสริมมาเป็นลำดับ ซึ่งผมติดใจตรงที่ มีจุดร่วมในสมัยพระเจ้าอโศก ดังใน คำอธิบาย ตอนท้าย นั้นว่า Then on Friday the 3rd waning moon of Tubodwe (February) in the year 238 the relics were enshined in the Pagoda on the Mayuda Ridge. ครับ


    ซึ่งครั้งนี้ ผมจึงยังไม่กล่ฟันธงครับ ถึงต้องร้อขอ ในกระทู้เก่าว่า ...


    ผมจึงขอรบกวนถามครับว่า มีท่านใดเคยได้เดินทางไปไหว้เจดีย์ชเวซานดอนี้ และทราบประวัติ ตำนานโดยละเอียดบ้างมั๊ยครับ รบกวนขอแบ่งปันด้วยนะครับ
    <!-- google_ad_section_end -->

    และที่ สำคัญก็อย่างที่บอก จะต้องมีการค้นหา พระมาลีเจดีย์ วัดพระเชตวัน จึง จะสามารถยืนยันที่ตั้ง "สาวัตถี" ได้ เพียงแต่ ผมมั่นใจว่า อยู่ที่ "พม่า" แน่นอน ไม่ใช่ที่ "อินเดีย" หรือคุณ gnungnun ยังเชื่อว่าอยู่ที่อินเดียอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2011
  12. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,437
    ค่าพลัง:
    +1,770
    พักฟังธรรม ภาษาไทลื้อก่อนนะครับ คล้ายๆภาษาไทย



    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/3Ze65GZUI9k?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/3Ze65GZUI9k?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  13. gnungnun

    gnungnun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +357
    ต้องเรียนไว้ก่อนนะครับว่าผมไม่ได้เคยมีความคิดที่จะเขียนหนังสือ ความจริงพระพุทธเจ้าประสูติในอินเดีย,เนปาลหรือที่ไหนๆก็ตามแต่เลยครับ จึงไม่จำเป็นต้องมาหาหลักฐานอะไรทั้งสิ้นครับ ถ้าจะเอาจริงๆโดยใช้วิธีgoogleแบบที่คุณเอกอิสโรใช้ ก็ลอง search ว่า "The History of Buddhism "ก็คงมีมากโขอยู่ครับ

    ผมเป็นแค่คนธรรมดาๆที่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าครับ

    ผมดูละครมงกุฏดอกส้มซึ่งผมคิดว่าถ่ายทำในเมืองไทย วันดีคืนดีมีคนมาบอกผมว่า จริงๆแล้วละครมงกุฏดอกส้มถ่ายทำที่เอธิโอเปียโดยให้เหตุผลต่างๆนาๆแล้วบอกว่าต้องเชื่อเขาเพื่อที่จะได้ดูละครสนุกขึ้น ผมก็ฟังขำๆครับ ถ้ามีเวลาก็คงหาโอกาสคุยด้วยครับ

    ผมขอแค่มีละครให้ผมดูเพลินๆก็พอแล้วครับ ถึงจะไปถ่ายทำกันที่เอธิโอเปีย ผมก็ดูครับ

    ที่คุณเอกอิสโรยกมาข้างล่างเป็นภาษาอังกฤษก็ไม่มีอะไรที่จะเกี่ยวกับพระเจ้าอโศกว่าเป็นผู้สร้างนี่ครับ จะว่าไปแล้วอาจจะไปเกี่ยวเนื่องอะไรกับวันมาฆบูชามากกว่าครับ

    Then on Friday the 3rd waning moon of Tubodwe (February) in the year 238 the relics were enshined in the Pagoda on the Mayuda Ridge
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  14. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    การเดินทางจากสาวัตถี ไปราชคฤห์ อย่างน้อยมี ๒ เส้นทางครับ ระยะทางก็ต่างกัน

    เส้นทางหนึ่ง คือ จากสาวัตถี มากบิลพัสดุ์ (ท่าตอน?) มากอกะเร๊ก (เทวทหะ?) เข้า ตรงด่านแม่สอด แล้ว ก็มาตามเส้นทางปัจจุบัน ที่จะไปชัยภูมิ (ราชคฤห์) เส้นทางนี้ คือ เส้นทางที่ท่านอนาบิณฑิกะเศรษฐี ใช้เดินทางมาราชคฤห์ ซึ่ง มีระยะทางประมาณ ๔๕ โยชน์

    เส้นทางหนึ่ง คือ เส้นทาง ที่พระพุทธองค์ท่านจาริก ตามที่ คุณ gnungnun ยก อรรถกถา มาแสดง ซึ่งบางครั้ง การจาริกของพระพุทธองค์ นั้น มี "เป้าหมาย" ที่ไม่ใช่ เอาระยะทางสั้น หรือไปโดยเร็ว ซึ่งเส้นทางนี้ ก็คือ จากสาวัตถี มากบิลพัสดุ์ (ท่าตอน?) แล้วลงใต้ เพื่อมาเข้า ที่ด่านเจดีย์สามองค์ (ในปัจจุบัน) เข้าสู่กาญจนบุรี ผ่าน ตำบลพระแท่นดงรัง (กุสินารา) แล้ว เข้าบางเลน นครปฐม เข้า ปทุมธานี อยุธยา สระบุรี นครราชสีมา (เวสาลี) แล้ว เข้าชัยภูมิ (ราชคฤห์) ซึ่งจะไกลกว่าเส้นทางแรก เพราะเส้นทางนี้ เฉพาะจากกบิลพัสดุ์ถึงเวสาลี จะเท่ากับ ๕๑ โยชน์ ซึ่งเป็น เส้นทางที่พระนางปชาบดีโคตมี เสด็จดำเนินไปทูลขอบวชเป็นภิกษุณี และจาก เวสาลีไปราชคฤห์ อีก ๙ โยชน์ ตามอรรถกถา รัตนสูตร รวม แล้ว ๖๐ โยชน์ ซึ่งก็คือ เส้นทางที่พระพุทธองค์เสด็จดำเนิน เพื่อไปโปรดพุทธมารดาในพรรษาที่ ๕ เมื่อรวมกับระยะทางจากกบิลพัสดุ์ไปสาวัตถี จึงไกลกว่า เส้นทางแรก แต่ที่พระพุทธองค์เลือกเส้นทางนี้ คงเพราะเล็งเห็นประโยชน์บางอย่าง ที่จะเกิดกับเวไนยสัตว์

    ผมเองก็สนใจคำสอน และการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับ คุณ gnungnun และเพื่อนอีกหลายคน แต่ที่ผมอาจจะเดินโค้งไปมา หรือศึกษาในเรื่องที่ไม่ควรศึกษา เพราะผมก็คิดว่า คงจะเป็นหน้าที่ และจะเกิดประโยชน์แก่ผู้คนที่ อาจจะได้ประโยชน์ คือพอกพูนศรัทธา ยิ่งๆ ขึ้นไป ส่วนผู้ที่มี "อจลศรัทธา" แล้ว การศึกษาของผม จะไม่ทำให้ท่านเหล่านั้น ละศรัทธา ไปจากพระพุทธศาสนาเลย ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2011
  15. gnungnun

    gnungnun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +357
    คุณเอกอิสโรเขียนไว้ว่าสถานที่ตั้งที่เชื่อกันทั่วไปในแผนที่ข้างล่างผิด

    [​IMG]

    โดยคุณเอกอิสโรใช้แผนที่ของหลวงจีนฟาเหียนที่คุณเอกอิสโรบอกว่ามาที่พม่าไม่ได้ไปที่อินเดียเป็นหลักแย้งดังรูปข้างล่าง โดยบอกว่าถ้าเดินตามทิศทางแบบนี้จากบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน แผนที่ข้างบนจึงผิด
    [​IMG]

    คุณเอกอิสโรเขียนไว้ที่กระทู้นี้--> ถ้าสาวัตถีอยู่พม่า กุสินาราอยู่ประเทศไทย แล้วราชคฤห์อยู่ที่ไหน?ว่า จากการศึกษาของคุณเอกอิสโร เมืองกบิลพัสดุ์จะอยู่ที่เมือง THATON หรือ สะเทิม

    ดังนั้นสถานที่ระหว่างเมืองสาวัตถีกับเมืองกบิลพัสด์จะต้องเป็นดังรูปข้างล่าง(ตรงวงกลมสีขาวและมีลูกศรชี้ไปทีTHATON)
    [​IMG]

    ผมขอถามว่าทำไมทิศทางระหว่างเมืองสาวัตถีกับเมืองกบิลพัสด์ตามแบบของคุณเอกอิสโรจึงไปกันคนละทิศกับแบบของหลวงจีนฟาเหียนครับ แล้วทำไมช่างไปเหมือนกับแบบแผนที่รูปแรกที่คุณเอกอิศโรบอกว่าผิดครับ



    ปล.คุณเอกอิสโรยังไม่ได้ตอบผมในความเห็นที่28 นะครับ









     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mapindia.JPG
      mapindia.JPG
      ขนาดไฟล์:
      37 KB
      เปิดดู:
      710
    • map2.jpg
      map2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.6 KB
      เปิดดู:
      829
    • mapg.JPG
      mapg.JPG
      ขนาดไฟล์:
      66.7 KB
      เปิดดู:
      640
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  16. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ขอบคุณคุณ gnungnun จริงๆ เพราะ คุณคือคนที่ผมอยากพบ และอยากรู้จัก เพราะคุณคือ "ครู" จริงๆ ครับ

    แล้วจะมาตอบนะครับ สั้นๆ ก่อน ครับ เพราะ ต้องไปประชุมข้างนอกก่อน

    1. ที่ตั้งเมือง สาวัตถี ของผม ยังไม่ชัดครับ ซึ่ง แน่นอน หากย้ายมาที่ Twante แล้ว จะไม่สอดคล้องกับการเดินทางของหลวงจีน เลย แต่ถ้าอยู่ที่ BAGO หรือเหนือขึ้นไป ก็จะสอดคล้องกันครับ และ ก็จะไม่ต้องลงทะเลครับ

    อย่างที่ทราบครับ อยู่ระหว่างการศึกษา และต้องมีคนมาช่วยคิดครับ


    ต้องออกไปแล้วครับ แล้วจะมาต่อนะครับ
     
  17. gnungnun

    gnungnun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +357
    ตกลงตอนนี้เมืองสาวัตถีไม่ใช่Twanteแล้วนะครับ ก็คงจะต้องย้ายเมืองกันอีกรอบ ถ้าจะย้ายไปหงสาวดีอีก ก็คงต้องกลับไปที่ความเห็นที่1ของผมอีกครั้งล่ะครับ

    แต่ผมว่าตำแหน่งสถานที่ที่คุณเอกอิสโรไปโยงๆไว้กับหงสาวดีในหนังสือของคุณเอกอิสโรตอนนี้คงคลาดเคลื่อนแล้วเเหละครับ ในเมื่อยังไม่มีความชัดเจนเรื่องสถานที่ของเมืองสาวัตถี
     
  18. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809

    เรื่องการค้นหาเมือง "สาวัตถี" คงต้องหากันต่อไปครับ ว่า ศูนย์กลางเมือง ที่ตั้ง วัดพระเชตพน อยู่ที่ไหนแน่ แต่คงไม่ใช่ จาก Google earth เป็นแน่ครับ

    อย่างน้อย ประการหนึ่ง ก็สอดรับกับคำของครูบาอาจารย์ คือหลวงปู่มั่น ที่เคยบอกไว้ และก็จะเป็นการยืนยัน ว่า ที่หลวงปู่มั่น พูดไว้ ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย

    หลวงปู่มั่น เคยพูดไว้อย่างไร เรื่องพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย
    http://www.facebook.com/#!/note.php?note_id=170856176291305

    แต่ตอนนี้ ด้วยข้อจำกัด หลายๆ ด้าน ผมคงจะต้อง มุ่งเน้น ไปที่ การหาหลักฐาน พยานวัตถุ พยานสถานที่ ต่างๆ ใน เขตพระนครราชคฤห์ ก่อน เพราะอยู่พื้นที่ประเทศไทย และมีความคล่องตัวในการเดินทาง และไม่ใช้งบประมาณมาก

    ซึ่ง หากพิจารณา ดังที่เราได้สนทนา แลกเปลี่ยนกันนี้ ศูนย์กลางของเมืองสาวัตถี ก็น่าจะอยู่ ที่ เมือง BAGO หรือเหนือขึ้นไป ให้พ้นจากระดับที่น้ำทะเล จะท่วมถึง เพื่อให้สอดรับ กับ การเดินทางของหลวงจีนฟาเหียน ที่เดินทางไปตามทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตามแผนผังนี้

    [​IMG]

    อย่างไรก็ตาม ผมขอขอบคุณ คุณ gnungnun อย่างที่สุด ในความชี้แนะ ที่ผ่านมา และที่จะได้รับในอนาคต ตามมา เพราะผมเชื่อว่า คุณ gnungnun คงจะรู้อะไร อยู่มากพอสมควรครับ
     
  19. gnungnun

    gnungnun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +357
    คุณเอกอิสโรบอกว่า "เรื่องการค้นหาเมือง "สาวัตถี" คงต้องหากันต่อไปครับ ว่า ศูนย์กลางเมือง ที่ตั้ง วัดพระเชตพน อยู่ที่ไหนแน่"

    คุณเอกอิสโรบอกอีกว่า "แต่ตอนนี้ด้วยข้อจำกัดหลายๆ ด้าน คงจะต้องมุ่งเน้นไปที่การหาหลักฐาน พยานวัตถุ พยานสถานที่ต่างๆในเขตพระนครราชคฤห์ก่อน เพราะอยู่พื้นที่ประเทศไทย และมีความคล่องตัวในการเดินทางและไม่ใช้งบประมาณมาก"

    วิธีหาเมืองราชคฤห์ของคุณเอกอิสโรคือ
    โดยวิธีเรขาคณิต กางวงเวียนที่มีรัศมี ๔๐๐ กิโลเมตร โดยมีจุดศูนย์กลาง อยู่ที่ เมืองโบราณโกสินารายณ์ จังหวัดราชบุรี
    และโดยวิธีเรขาคณิต กางวงเวียนที่มีรัศมี ๗๒๐ กิโลเมตร โดยมีจุดศูนย์กลาง อยู่ที่ เมืองสาวัตถี(ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด) จะได้จุดตัดกัน

    ในเมื่อเมืองราชคฤห์คือจุดตัดกันของวงรัศมีของเมืองสาวัตถีและเมืองกุสินาราแล้ว และเมืองสาวัตถีก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ไหน คำถามคือ เมืองราชคฤห์ที่คุณเอกอิสโรอ้างว่าอยู่ที่เมืองไทย
    และจะต้องมุ่งเน้นไปที่การหาหลักฐาน พยานวัตถุ พยานสถานที่ต่างๆก่อนนั้น โผล่มาได้อย่างไรครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2011
  20. gnungnun

    gnungnun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +357
    ผมจะใช้วิธีที่คุณเอกอิสโรใช้ครับ โดยการดึงประโยคจากคำบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน,อรรถกถา,หรือพระไตรปิฎกก็ดีมาใช้ในการอ้างอิง ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณเอกอิสโรดูบริบทรอบๆประโยคหรือใจความหลักของเรื่องหรือเปล่า แต่ที่ผมอ่านๆดูก็คือมีคำที่ใช้ได้คุณเอกอิสโรก็เอาแล้ว เอาเป็นว่าผมขอใช้วิธีเดียวกันนะครับ

    ประวัติพระนันทเถระ
    เอตทัคคมหาสาวกผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์
    บุรพกรรมของพระนันทะ

    ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี ได้มีพ่อค้าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง ชื่อกัปปกะ ซึ่งเป็นเจ้าของลาเพศผู้ตัวหนึ่ง สามารถบรรทุกนำสัมภาระได้กุมภะหนึ่ง มันเดินไปได้วันละ ๗ โยชน์
    สมัยหนึ่งเขาเดินทางไปยังเมืองตักกสิลา พร้อมด้วยภาระที่บรรทุกหลังลา ครั้นเมื่อถึงแล้วจึงได้ปล่อยลาเที่ยวไปจนกว่าจำหน่ายสิ่งของหมด ครั้งนั้น ลาของเขานั้นเที่ยวไปบนหลังคู พบนางลาตัวหนึ่ง จึงเข้าไปหา นางลาเมื่อจะทำปฏิสันถารกับลาผู้ตัวนั้น จึงกล่าวว่า “ ท่านมาแต่ไหน ? ”
    ลาผู้ “ มาแต่เมืองพาราณสี “
    นางลา “ ท่านมาด้วยกิจอะไร ? “
    ลาผู้ “ ด้วยกิจของพ่อค้า “ .
    นาง ลา “ ท่านสามารถบรรทุกสัมภาระไปได้เท่าไร ? ...............................................................................................................
    .............................................................................................
    ................................................................................................

    พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงยังชาดกให้จบลงด้วยพระดำรัสว่า “ภิกษุ ทั้งหลาย นางลาในคราวนั้นได้เป็นนางชนบทกัลยาณี ลาผู้ได้เป็นนันทะ พ่อค้าได้เป็นเราเอง แม้ในกาลก่อน นันทะนี้ เราก็ได้ล่อด้วยมาตุคามแนะนำแล้ว ด้วยประการอย่างนี้” ดังนี้แล.


    ถ้าสถานที่ต่างๆที่คุณเอกอิสโรพยายามจะค้นคว้าให้ได้ว่าอยู่ในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น กุสินารา , พาราณสี, ราชคฤห์ก็ดี

    แถบใดในโลกครับที่มีการนำของบรรทุกหลังลา เอาของไปขายระหว่างเมือง คุณเอกอิสโรคิดว่าเป็นเมืองไทยหรือครับ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • donkey.jpg
      donkey.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.8 KB
      เปิดดู:
      499
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...