ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

Chayutt · 19 มกราคม 2011

บางส่วนของข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก Matthew Ward

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2011
ผู้รับการสื่อสาร นาง Suzzane Ward

ที่มา:

http://www.galacticchannelings.com/e...w15-01-11.html

ตอนที่ 5:

 16). คำถาม:

หากว่าร่างโคลนของใครคนใดคนหนึ่งกระทำสิ่งชั่วร้ายลงไป มันจะไปมีผลกระทบต่อกรรม
และการทบทวนบันทึกแห่งชีวิต (life print review) ของเจ้าของร่างตัวจริงไหม?

คำตอบ:

มันจะไม่มีผลกระทบต่อกรรมของเจ้าของร่างตัวจริงเลยแม้แต่น้อย และในส่วนของการทบทวนบันทึกแห่งชีวิต
(หลังจากตายไปแล้ว – ผู้แปล) มันจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

บนโลกมนุษย์ ผู้คนบางคนถูกโคลนขึ้นมา เพื่อเอาไว้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจของตนเองเอาไว้ต่อไป
ในกรณีที่ตัวจริงตายตามธรรมชาติ หรือตายเพราะถูกลอบสังหาร และเพราะว่าปกติแล้ว
ผู้ที่มีร่างโคลนก็จะเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงๆในกลุ่มอิลลูมินาติเท่านั้น มันจึงเป็นการโคลนนิ่งด้วยความสมัครใจ

17). เพราะว่ากระบวนการโคลนนิ่งจะ “ดาวน์โหลด” คุณลักษณะทั้งหมด
รวมถึงรูปแบบพฤติกรรม และความรู้ของคนผู้นั้น ในขณะนั้นๆ ลงไปในร่างโคลน
ร่างโคลนจึงรับช่วงต่อเอาความโหดเหี้ยมอำมหิต และการโกหกหลอกลวงของบุคคลผู้นั้น
ที่เป็นสาเหตุให้บุคคลผู้นั้นก่อกรรมทำเข็ญ ก่อนที่จะมีการโคลนนิ่งเกิดขึ้นไปด้วย

แต่อย่างไรก็ตามร่างโคลนใดๆก็ตาม ที่ถูกโคลนนิ่งต่อมาจากร่างโคลนรุ่นก่อนๆ
ก็จะมีการเสื่อมสภาพทางด้านร่างกายและจิตใจเกิดขึ้น ทุกครั้งที่มีการดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ
ลงไปในร่างโคลนรุ่นถัดๆไป และหากว่าร่างโคลนนั้นถูกโคลนนิ่งขึ้นมาจากร่างที่เกิดการเจ็บป่วยเรื้อรังมาก่อน
หรือ ทานยาหรือแอลกอฮอล์ติดต่อกันหลายๆปีมาก่อน แม้ว่าสภาวะของร่างโคลนรุ่นแรกจะยังดีอยู่ก็ตาม
และมีการดาวน์โหลดข้อมูลแทนที่เกิดขึ้นบ่อยๆก็ตาม

ตัวอย่างเช่นอดีตประธานาธิปดี George W. Bush นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม
ร่างโคลนของรองประธานาธิปดี Cheney จึงต้องทำหน้าที่ประธานาธิปดีแทนในทางปฏิบัติ

18). แต่จิตวิญญาณใดๆอาจจะเลือกที่จะเข้าไปอยู่ในร่างโคลนใดๆก็ได้ เพราะตั้งใจว่า
จะไปเปลี่ยนคุณลักษณะด้านลบต่างๆ และพฤติกรรมด้านลบต่างๆให้เป็นด้านบวกเสีย
แต่ก็มีน้อยมากที่ทำได้สำเร็จ เพราะส่วนใหญ่แล้วจิตวิญญาณที่เข้าไปอยู่ในร่างโคลนของใครก็ตาม
แล้วต่อต้านขัดขืน ก็จะถูกฆ่าตายซะก่อน ตัวอย่างเช่นร่างโคลนของ โป๊บ John Paul
และอดีตประธานาธิปดี Jimmy Carter

จิตวิญญาณที่เข้าไปอยู่ในร่างเหล่านี้ ประสบความสำเร็จตามความตั้งใจของพวกเขา
ที่จะไม่ยอมก้มหัวให้กับกลุ่มอิลลูมินาติ และพวกเขาก็กลายเป็นบุคคลที่พวกคุณให้ความเคารพนับถือ

(Jimmy Carter - ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

19). ไม่เลย นาย Barak Obama ไม่เคยมีร่างโคลน และตัวเขาเองก็ไม่ใช่ร่างที่ถูกโคลนขึ้นมาด้วย

........................

imjoice · 19 มกราคม 2011

มารอด้วยคนค่ะ ขอบคุณคุณชยุตมากค่ะ

Chayutt · 19 มกราคม 2011

บางส่วนของข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก Matthew Ward

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2011
ผู้รับการสื่อสาร นาง Suzzane Ward

ที่มา:

http://www.galacticchannelings.com/e...w15-01-11.html

ตอนที่ 6:

 20). กรุณาอย่าท้อแท้ใจ หากความพยายามที่จะทำให้ตัวเองมีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง
หรือทำให้มีระดับพลังงานที่สูงขึ้น ยังไม่ประสบผลสำเร็จตามที่ต้องการ

เพราะว่าในมิติที่ 3 นี้ พลังแห่งการเนรมิตยังพัฒนาไปได้ไม่มากพอ ดังนั้น ร่างกายที่อ่อนแอ
จึงยังไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นร่างกายที่มีสุขภาพดีได้ภายในพริบตา หรือระดับพลังงานที่ต่ำๆ
จึงยังไม่สามารถเพิ่มสูงขึ้นได้ในพริบตา

แต่อย่างไรก็ตาม จงคอยจับตาดูตัวเองในช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นโน้นให้ดี

การคิดในแง่บวกเกี่ยวกับการมีสุขภาพดี จะไปดึงดูดพลังงาน
ของกระแสความคิดที่เหมือนกัน ในซุปแห่งจักรวาลมาให้คุณ
และจะช่วยเสริมให้การเปลี่ยนแปลงของพวกคุณประสบผลสำเร็จได้

ยิ่งเส้นทางแห่งการเลื่อนระดับขึ้นของดาวเคราะห์โลก ดำเนินมาได้ไกลมากเท่าใด
ระดับความสั่นสะเทือนที่สูงขึ้น ก็จะช่วยพัฒนาสุขภาพร่างกายของคุณให้ดีขึ้น
และทำให้ความสามารถในการเนรมิตของพวกคุณให้เข้มแข็งขึ้นมากขึ้นเท่านั้นด้วย

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิถีความเชื่อของพวกคุณแต่ละคนด้วย
ว่าจะเชื่อว่าแท้ที่จริงแล้ว พวกคุณมีพลังอำนาจนั้นอยู่แล้วหรือไม่

21). คำถาม:

พวกเรามีพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณ ที่จะพัฒนาจิตวิญญาณ
แต่ถ้าพวกเราไม่สามารถจดจำพันธะสัญญานั้นได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรนะสิ
แต่ถ้าพวกเรารู้ว่าภารกิจของพวกเราคืออะไรแล้ว ชีวิตของพวกเราก็น่าจะง่ายขึ้นอีกมาก
เพราะว่าพวกเราคงไม่มีใครทำผิดอีก และไม่ต้องมาเสียเวลาหลายภพชาติในการพยายามแก้ไขพวกมัน

22). คำตอบ:

ถ้าพวกคุณจดจำพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณของพวกคุณได้ทั้งหมด
แล้วพวกคุณจะลงมาเกิดในร่างมนุษย์นี้ทำไมกัน?

เพราะว่าถ้าพวกคุณแค่ทำตามสิ่งที่พวกคุณตั้งใจที่จะลงมาทำตั้งแต่แรกเท่านั้น
และรู้ว่าสิ่งที่จะต้องเผชิญทั้งหมดในชีวิตคืออะไรแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไรต่อพัฒนาการด้านจิตวิญญาณ?
มันจะมีประโยชน์อะไรต่อการนำกฎจักรวาลไปใช้?? และการมีทางเลือกอิสระมันจะมีประโยชน์อะไร?

23). การลืมพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณ ที่พวกคุณได้เลือกและระบุรายละเอียดของสิ่งจำเป็นพื้นฐาน
และผู้แสดงหลักๆทั้งหมด ที่จะมาร่วมแสดงบทบาทต่างๆในชีวิตของพวกคุณ
เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ส่วนที่พวกคุณขาดหายไปของพวกคุณเอง เอาไว้แล้ว มันไม่ได้หมายความว่า
พวกคุณจะจมอยู่ในทะเลแห่งความสับสนไปตลอดชีวิต

เพราะถ้าใครก็ตาม ที่รู้จักเอาใจใส่ต่อคำแนะนำของจิตวิญญาณของตัวเอง
ซึ่งเป็นคำแนะนำที่ไม่ผิดพลาด และเป็นดั่งลูกศรนำทางขนาดใหญ่
ที่กำลังกระพริบอยู่ ได้แล้วหละก็ พวกเขาก็จะสามารถเดินตามแสงสว่าง
ที่กระพริบนำทางอยู่นั้นได้

ซึ่งมันจะมาในรูปแบบของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี,
แรงบันดาลใจ, สัญชาตญาณ และอื่นๆ

พวกเขาจะสามารถตัดสินใจทำสิ่งต่างๆอย่างมีสติสัมปชัญญะ
และสอดคล้องกับพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณของตัวเองได้

24). แต่อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า พวกคุณไม่สามารถใช้ทางเลือกอิสระ
เลือกที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปได้ เมื่อมีโอกาสแห่งการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณเปิดขึ้น

เพราะพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนตายตัว แต่มันสามารถยืดหยุ่นได้
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์อื่นๆที่แตกต่างออกไป และสามารถทำให้เรียนรู้ประสบการณ์นั้นๆได้เหมือนกัน

จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ “การเรียนรู้” ซะทีเดียวหรอก แต่มันคือ
“การจดจำในสิ่งที่จิตวิญญาณของพวกคุณรู้อยู่แล้วให้ได้” เท่านั้นเอง

การเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณ มันเป็นซีรี่ของการค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
ที่ดำเนินสืบทอดต่อๆกันไปภพชาติแล้วภพชาติเล่า และแต่ละพันธะสัญญา
ก็ถูกออกแบบมาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณ ให้มากขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง

25). การตระหนักรู้ถึง “ภารกิจ” ซึ่งหมายถึงวัตถุประสงค์หลักเบื้องต้นของการลงมาเกิดของแต่ละจิตวิญญาณ
มันก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้แบบปุบปับหรอกนะ เพราะมันคือความสำเร็จครั้งสำคัญที่สื่อถึงการบรรลุวัตถุประสงค์

และไม่มีภพชาติไหนเลยที่เสียเปล่า! สิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “ความผิดพลาด”
ที่นำพาคุณไปสู่สถานการณ์ที่ยากยิ่งต่อการจัดการนั้น ก็ไม่ใช่ขยะหรือของเสียแต่ประการใดเลย
ถ้าพวกคุณรู้จักเรียนรู้จากมัน

ยิ่งกว่านั้น มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณของพวกคุณเองก็ได้

ทุกๆภพชาติไม่สามารถราบรื่นได้เหมือนๆกันทั้งหมด
เพราะว่านั่นมันจะทำให้ไม่เกิดพัฒาการด้านจิตวิญญาณ

วิวัฒนาการจำเป็นต้องมีความสมดุล และการจะได้มาซึ่งความสมดุล ก็จำเป็นจะต้องเผชิญกับ
สถานการณ์ที่ตึงเครียดซะก่อน พอๆกับการยินดีปรีดากับสถานการณ์ที่ชื่นชอบนั่นแหละ

การเวียนว่ายตายเกิดจะช่วยให้มีความเป็นไปได้ และความน่าจะเป็นมากมายเกิดขึ้น
แต่ไม่มีสิ่งที่แน่นอนตายตัวใดๆเลย ที่จะสามารถมาขัดขวาง “การเลือก” ของพวกคุณได้เลย
เพราะการเลือกเหล่านั้น จะทำให้แต่ละภพชาติ กลายเป็นการผจญภัยแห่งการเรียนรู้
ที่มีความพิเศษเฉพาะตัวของใครของมัน

26). พระผู้เป็นเจ้าได้อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างสั้นๆ ตอนที่ตอบคำถามของคุณแม่ผม เมื่อคุณแม่ผมถามท่านว่า

“ทำไมมนุษย์จึงไม่สามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จิตวิญญาณของตัวเองรู้แล้วได้” ว่า:

“ถ้าหากมนุษย์ทุกๆคนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างทะลุปรุโปร่งทั้งหมดแล้ว
ถ้าไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง หรือมีความต้องการเป็นของตัวเอง
หรือมีพฤติกรรมเป็นของตัวเองแล้ว แล้วมันจะมีประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายได้อย่างไร?
แล้วมันจะมีอะไรให้เรียนรู้หละ? แล้วมนุษย์จะมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเกิดมาหละ?

พวกเราก็คงแค่มุ่งหน้าไปสู่จุดจบ ซึ่งก็คือจุดเริ่มต้น อย่างรวดเร็วเท่านั้นเอง
และก็คงทิ้งให้ชีวิตทุกๆชีวิต ในทุกๆกาลเวลา ดำรงอยู่ภายใน (พระเจ้า – ผู้แปล)
ในสภาวะที่เหมือนกับตอนที่อยู่ ณ.จุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง"

......................

mawmee · 19 มกราคม 2011

ขอบคุณคุณชยุตมากค่ะ ตอบโจทย์ในใจได้กระจ่างเลยค่ะจริงด้วยกับการมีประสพการณ์ชีวิตที่หลากหลาย ถ้าเรารู้จำได้หมดย่อมไม่เกิดประสพการณ์การเรียนรู้ จึงไม่มีความจำเป็นมาเกิดในร่างมนุษย์ ลงมาเมื่อจำเป็นดีกว่า

vijit_j · 19 มกราคม 2011

(เดี๋ยวค่อยมาต่อนะครับ ตอนนี้ขอไปร้องคาราโอเกะก่อนครับ.)
(deejai)(deejai)(deejai)

.........................[/QUOTE]

อย่าไปร้องดีกว่าต้นฉบับของเขาก็แล้วกัน

Chayutt · 19 มกราคม 2011

บางส่วนของข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก Matthew Ward

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2011
ผู้รับการสื่อสาร นาง Suzzane Ward

ที่มา:

http://www.galacticchannelings.com/e...w15-01-11.html

ตอนที่ 7:

27). ตอนนี้ เทศกาลเฉลิมฉลองวันหยุด (ปีใหม่ และคริสต์มาส – ผู้แปล) ก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
และกระแสความคิดของพวกคุณก็กลับเข้ามาสู่ภาระหน้าที่ตามปกติแล้ว
ความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับปี 2012 ก็กลับมาอีกครั้งด้วย

ความเชื่อหลายๆกระแสที่ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ที่จะนำพาไปสู่ยุคทองของโลก
ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทัน ภายในระยะเวลาสั้นๆแค่ 2 ปีนี้ได้ ก็ยังคงอยู่ และก็กำลังมีอยู่เคียงคู่ไปกับความเชื่อที่ว่า
“ความมืด” ก็ยังจะมีอยู่ต่อไป จนกว่าจะถึงสิ้นปี 2012 แล้วเมื่อถึงตอนนั้นมันก็จะอันตรธานไปในฉับพลัน

บางกระแส ก็เชื่อเรื่อง “สามวันแห่งความมืดมิด” (three days of darkness)
บ้างก็เชื่อว่าจะมีเหตุการณ์ความพลิกผันครั้งใหญ่บางอย่างเกิดขึ้น
ซึ่งนั่นแหละจะเป็นการประกาศถึงการเริ่มต้นเข้าสู่ยุคทองของโลก

มีหลายคนเชื่อว่า มันจะมีการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้น ก่อนที่โลกจะเข้าสู่มิติที่ 4

บางคนก็เชื่อว่า “โลกทั้งสอง” จะปรากฏตัวออกมาจากกระบวนการเลื่อนระดับขึ้น (Ascension) นี้

ส่วนอีกหลายคนก็เชื่อว่า การร่วมเดินทางไปพร้อมกับดาวเคราะห์โลก สู่ยุคทองนี้
เป็นการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณขั้นสุดยอด

หลายคนเชื่อว่าภายหลังปี 2012 แล้ว โลกของพวกคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

28). เพราะว่าความเชื่อของพวกคุณ คือผู้สร้างโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณเอง
และความเชื่อมวลรวมทั้งหลายของพวกคุณเหล่านั้นแหละ
ที่จะไปสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณให้เป็นไปตามนั้น

พวกคุณจำเป็นต้องรู้ “ความเป็นจริงระดับจักรวาล” ข้อนี้
ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกคุณอยู่ในขณะนี้
และสิ่งที่รอคอยพวกคุณอยู่ในวันข้างหน้า
ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้นมาจากความเชื่อของพวกคุณเองทั้งสิ้น

และเพื่อจะขับไล่ความเชื่อที่เกิดจากความเข้าใจทั้งหลายเหล่านี้ออกไป

พวกเราจะขอเริ่มต้นด้วยการ “รับประกัน” กับพวกคุณก่อนเลยว่า
การปฏิรูปที่มีความจำเป็นทั้งหมด ที่จะปลดปล่อยโลกของพวกคุณ
ออกจากเงื้อมมือของความมืด จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในช่วงเวลา
และในระยะที่เหมาะสมด้วย

ไม่ใช่จะไปเสร็จสิ้นลงอย่างปุบปับ เอาตอนปลายปี 2012 เพียงครั้งเดียวแต่อย่างใดเลย

29). ก่อนที่ดาวเคราะห์โลกจะเข้าไปสู่ยุคทอง มันจะไม่มี
การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นอย่างฉับพลันแบบนั้นหรอก
และวันสุดท้ายของปี 2012 ก็จะไม่ต่างอะไรกับวันแรกของปี 2013 เลย

30). แม้ว่าชายฝั่งทะเล จะค่อยๆรุกล้ำแผ่นดินเข้ามามากขึ้นอีกเล็กน้อย และพื้นที่ที่เป็นเกาะแก่งทั้งหลาย ที่อยู่ต่ำๆ
ก็จะเริ่มจมอยู่ใต้น้ำบ้างแล้วก็ตาม แต่มันก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ร้ายแรงเกิดขึ้นกับแผ่นดินใหญ่ หรือทะเลทั้งหลายหรอก

31). ดาวเคราะห์โลก คือสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณอยู่ภายใน และเธอก็ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดเลย
ที่จะต้องมีร่างกายใหม่เป็นร่างที่สอง

32). มนุษย์โลกทั้งหลาย จะยังคงวิวัฒน์ต่อไป จนกระทั่งพวกเขาจะสามารถกลับเข้าไปรวมกับ
ความเป็นหนึ่งเดียวของเอกภพ แห่งพระผู้สร้าง (Creator) ได้อีกครั้งหนึ่งแล้วโน่นแหละ
ซึ่งที่นั่น “จิตวิญญาณเป็นอมตะ” และ “จิตวิญญาณมีชีวิตตราบชั่วนิรันดร”

33). และไม่มีสิ่งใดเลยในจักรวาลนี้ที่อยู่นิ่งๆ เพราะการไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง
มันขัดแย้งกับกฎทางวิทยาศาสตร์ ที่ควบคุมทุกๆสรรพชีวิตในจักรวาลนี้อยู่

..........................

Chayutt · 19 มกราคม 2011

บางส่วนของข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก Matthew Ward

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2011
ผู้รับการสื่อสาร นาง Suzzane Ward

ที่มา:

http://www.galacticchannelings.com/e...w15-01-11.html

ตอนที่ 8: จบครับ

 34). พวกเราอยากจะขอพูดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นให้พวกคุณฟังสักหน่อย
เพราะว่าถ้าตามนัยยะของกาลเวลาแบบที่เป็นเส้นตรงของพวกคุณแล้ว
มันเหลือเวลาอีกแค่ไม่นาน ก่อนที่โลกจะออกไปจากมิติที่ 3 นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม การเปลี่ยนแปลงในเฟสที่พวกคุณกำลังผ่านเข้าไปอยู่นี้
จึงจะเกิดขึ้นอย่างอึกทึกครึกโครม การเปลี่ยนแปลงต่างๆ
จะเกิดถี่ขึ้นและรวดเร็วขึ้น

พวกคุณจะตกอยู่ท่ามกลางผู้คนที่หวาดกลัว เพราะว่าระบบทุกๆระบบ ที่พวกเขาคุ้นเคย
จะสับสนอลหม่าน และล่มสลายลงไป

พวกคุณรู้แล้วว่า สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนรูปแบบของดาวเคราะห์โลก
และพวกคุณก็อยู่ที่นั่น เพื่อให้ความช่วยเหลือในกระบวนการนี้ โดยการเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ
ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงบ

และพวกคุณก็สามารถช่วยบรรเทาความวิตกกังวลของผู้คน ที่ยังไม่เข้าใจว่า
ความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นเหล่านี้ จะนำพาไปสู่ “โลกที่ดีกว่าเดิม” ตามที่พวกเขาต้องการนั่นเอง

35). เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคทองแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า ความรุ่งเรืองและความศิวิไลทั้งหมดของมัน
จะนั่งรอพวกคุณอยู่ที่ธรณีประตูหรอกนะ

จริงอยู่ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมา ด้วยเจตนารมณ์อันชั่วร้ายของฝ่ายมืด
จะถูกกำจัดให้หมดสิ้นไป เมื่อยุคทองมาถึง ซึ่งนั่นจะทำให้สงคราม หรือการก่อความรุนแรงต่างๆไม่มีอีกต่อไปแล้ว

ความแร้นแค้นอดอยาก และโรคภัยไข้เจ็บ ก็จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว มลภาวะ และการควบคุมจิตใจ
และการคอรัปชั่น จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว

ความเป็นจริงที่จำเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะถูกเปิดเผย และเมื่อนั้นรัฐบาลทั้งหลาย, ระบบเศรษฐกิจ,
ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม, ระบบพลังงาน, ระบบการศึกษา,
ระบบการสื่อสาร และ ระบบขนส่ง ก็จะถูกปฏิรูปใหม่ทั้งหมดแล้ว

ทั้งหมดนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของรายการการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ที่กำลังจะเกิดขึ้น
และในปลายปี 2012 รายการทั้งหมดนี้ ก็จะยังไม่มีรายการใดที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์แบบทั้ง 100% หรอก
เพราะว่ามันยังจะต้องมีการปรับแก้ในรายละเอียดปลีกย่อยต่อไปอยู่อีก ทั้งสำหรับรายการที่กล่าวมาแล้วนี้
และรายการอื่นๆที่ยังไม่ได้กล่าวถึงด้วย

ยิ่งเมื่อพวกคุณมีพัฒนาการด้านจิตวิญญาณ และมีภูมิปัญญาสูงขึ้นมากเท่าไหร่
พวกคุณก็จะยิ่งยินดีปรีดากับความก้าวหน้าเหล่านี้มากขึ้นเท่านั้นด้วย

(สำหรับผู้ที่มีคำถามเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่จะเป็นในยุคทอง กรุณากลับไปอ่านในหน้าแรกๆของกระทู้นี้นะครับ
ที่ชื่อตอนว่า “เรียงความเกี่ยวกับปี 2012” โดย Matthew Ward – ผู้แปล)

36). ตอนนี้พวกเราต้องกล่าวคำอำลาพวกคุณไปก่อน แต่สำหรับข้อความตอนนี้เท่านั้นนะ
เพราะว่าไม่มีช่วงเวลาไหนเลย ในโลกแห่งจิตวิญญาณ ที่พวกเราอยู่ห่างจากพวกคุณ
พวกเราอยู่กับพวกคุณทุกๆฝีก้าว ที่กำลังก้าวไปสู่ยุคทองอยู่นี้

มิหนำซ้ำ พวกเรายังมองเห็นว่า พวกคุณได้มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข
ในโลกที่สวยสดงดงามของยุคนั้น เรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำไป

_________________________
LOVE and PEACE
Suzanne Ward
Website: The Matthew Books

sarissa · 19 มกราคม 2011

ขอบคุณคุณชยุตสำหรับข่าวสารที่ดีๆค่ะ ถือว่าเป็นข่าวที่ดีและตอบคำถามของใครหลายๆคนได้ดี

เส้นแบ่งระหว่างเรากับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความเชื่อเท่านั้น

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

imjoice · 20 มกราคม 2011

ข้อมูลชุดนี้ให้ความกระจ่างในข้อสงสัยได้มากค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

DukeSonic · 20 มกราคม 2011

คิดเล่น ๆ ดูสมมุติโลกเข้าสู่มิติที่ 5 จริงเราจะได้กลับมาพบปะกับคนที่เคยล่วงลับไปแล้วได้ใช่ไหมครับคุณชยุต

Chayutt · 20 มกราคม 2011

DukeSonic said: ↑

คิดเล่น ๆ ดูสมมุติโลกเข้าสู่มิติที่ 5 จริงเราจะได้กลับมาพบปะกับคนที่เคยล่วงลับไปแล้วได้ใช่ไหมครับคุณชยุต
Click to expand...

เขาว่าอย่างนั้นนะครับ
เพราะว่า ในโลกแห่งจิตวิญญาณแล้ว
ไม่มีช่วงเวลานาทีไหนเลยที่พวกเรา
จะห่างจากกัน...

.......................

สงบระงับ · 21 มกราคม 2011

ขอบคุณ คุณชยุตค่ะ
ขอย้อนกลับมาอ่านหน้านี้อีกรอบ(ตอนที่จิตนิ่งๆ);k06

สงบระงับ · 21 มกราคม 2011

และไม่มีภพชาติไหนเลยที่เสียเปล่า! สิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “ความผิดพลาด”
ที่นำพาคุณไปสู่สถานการณ์ที่ยากยิ่งต่อการจัดการนั้น ก็ไม่ใช่ขยะหรือของเสียแต่ประการใดเลย
ถ้าพวกคุณรู้จักเรียนรู้จากมัน

ยิ่งกว่านั้น มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณของพวกคุณเองก็ได้

ทุกๆภพชาติไม่สามารถราบรื่นได้เหมือนๆกันทั้งหมด
เพราะว่านั่นมันจะทำให้ไม่เกิดพัฒาการด้านจิตวิญญาณ

วิวัฒนาการจำเป็นต้องมีความสมดุล และการจะได้มาซึ่งความสมดุล ก็จำเป็นจะต้องเผชิญกับ
สถานการณ์ที่ตึงเครียดซะก่อน พอๆกับการยินดีปรีดากับสถานการณ์ที่ชื่นชอบนั่นแหละ

การเวียนว่ายตายเกิดจะช่วยให้มีความเป็นไปได้ และความน่าจะเป็นมากมายเกิดขึ้น
แต่ไม่มีสิ่งที่แน่นอนตายตัวใดๆเลย ที่จะสามารถมาขัดขวาง “การเลือก” ของพวกคุณได้เลย
เพราะการเลือกเหล่านั้น จะทำให้แต่ละภพชาติ กลายเป็นการผจญภัยแห่งการเรียนรู้
ที่มีความพิเศษเฉพาะตัวของใครของมัน

26). พระผู้เป็นเจ้าได้อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างสั้นๆ ตอนที่ตอบคำถามของคุณแม่ผม เมื่อคุณแม่ผมถามท่านว่า

“ทำไมมนุษย์จึงไม่สามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จิตวิญญาณของตัวเองรู้แล้วได้” ว่า:

“ถ้าหากมนุษย์ทุกๆคนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างทะลุปรุโปร่งทั้งหมดแล้ว
ถ้าไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง หรือมีความต้องการเป็นของตัวเอง
หรือมีพฤติกรรมเป็นของตัวเองแล้ว แล้วมันจะมีประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายได้อย่างไร?
แล้วมันจะมีอะไรให้เรียนรู้หละ? แล้วมนุษย์จะมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเกิดมาหละ?

พวกเราก็คงแค่มุ่งหน้าไปสู่จุดจบ ซึ่งก็คือจุดเริ่มต้น อย่างรวดเร็วเท่านั้นเอง
และก็คงทิ้งให้ชีวิตทุกๆชีวิต ในทุกๆกาลเวลา ดำรงอยู่ภายใน (พระเจ้า – ผู้แปล)
ในสภาวะที่เหมือนกับตอนที่อยู่ ณ.จุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง"
อืม....

imjoice · 21 มกราคม 2011

คุณชยุตคะ จอยขอถามค่ะว่า กฏของจักรวาล เท่าที่คุณชยุตได้ศึกษามาและได้แปลมา มันมีอะไรบ้างคะ เท่าที่จอยรู้ก็คือ คิดดี ก็จะดูดสิ่งดีๆเข้ามา เป็นต้นค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะที่ตอบ

Chayutt · 21 มกราคม 2011

imjoice said: ↑

คุณชยุตคะ จอยขอถามค่ะว่า กฏของจักรวาล เท่าที่คุณชยุตได้ศึกษามาและได้แปลมา มันมีอะไรบ้างคะ เท่าที่จอยรู้ก็คือ คิดดี ก็จะดูดสิ่งดีๆเข้ามา เป็นต้นค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะที่ตอบ
Click to expand...

ผมเองก็รู้ไม่มากหรอกนะครับ เท่าที่ผ่านๆตามาก็จะประมาณ

1). กฏแห่งการดึงดูด (Law of Attraction):

Like attract the like พลังงานที่เหมือนกันจะดึงดูดซึ่งกันและกัน

2). กฏแห่งทางเลือกอิสระ (Law of free will):

ทุกๆสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ มีอิสระในการเลือกเส้นทางเดินของชีวิตตนเองอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะผิดหรือถูกก็ตาม
ไม่สามารถมีใครจะไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงได้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต หรือถ้าไม่ถูกร้องขอ
อันนี้ ตามความคิดเห็นของผมนะ มันจึงเป็นเหตุให้เกิดพิธีกรรมทางศาสนาบางอย่างขึ้น
เช่น การร้องขอ หรืออ้อนวอนพระเจ้า ของชาวคริสต์,
การอารธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยหรือให้คุ้มครอง ของชาวพุทธ,
การทำพิธีต่างๆเพื่อร้องขอเข้าไปเป็นสมาชิกของศาสนานั้นๆ เช่น เป็นพุทธมามกะ หรือแบบติสของคริสต์ เป็นต้น

เพราะว่าถ้าไม่ร้องขอ พวกท่านก็ช่วยไม่ได้ เพราะว่าพวกท่านจะไม่มาแทรกแซงพวกเรา เพราะนั่นผิดกฏจักรวาล

3). กฎแห่งกรรม (Law of Karma):

ความหมายก็คล้ายๆแบบพุทธสอนไว้ แต่ก็ไม่เหมือนทั้ง 100% เลยทีเดียว

4). กฏแห่งความเป็นหนึ่งเดียว (Law of Oneness):

ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะแก่นแท้มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน

.........................

ต่อไปนี้มีคำศัพท์ที่ผมลองค้นหาในข้อความต่างๆของท่านมหาเทพเมตาตรอนหนะนะครับ
ผมก็ยังไม่เข้าใจหมดหรอกนะครับ แต่ก็เอามาโพสต์ให้รู้ไว้เฉยๆครับ

5). กฏแห่งความสมดุล (Law of Balance):

6). Law of Authority: กฏแห่งอำนาจหน้าที่

7). Law of Harmonic Oscillation: พลังงานชนิดเดียวกัน มันจะมาเสริมกัน

8). Law of Creation Manifestation:
โลกแห่งความเป็นจริงของแต่ละคน จะถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดและความเชื่อของแต่ละคนเอง

9). Law of Addition:

10). Law of Circle: อันนี้ค้นมาจากข้อความของท่านมหาเทพไมเคิล

 "ในชั่วขณะแห่งปัจจุบันกาลอันเป็นนิรันดร์นี้ (the eternal Now moment) ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันหมด
ทุกสิ่งทุกอย่างเลื่อนไหลและหมุนเวียน ก็เหมือนกับกระแสวัฏจักร หรือกฎแห่งการหมุนเวียน (Law of Circle)
ในมิติที่ 3 ที่พวกคุณเข้าใจกันแล้วนั่นแหละ เพียงแต่ว่ามันจะเป็นสเกลที่ใหญ่กว่ามากเท่านั้นเอง
ทุกสรรพชีวิตล้วนมีการแผ่ขยายในรูปแบบของวัฏจักรแบบนี้ด้วยกันทั้งสิ้น มีการแผ่ขยายอยู่ตลอดเวลา,
มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และมีการเลื่อนไหลอยู่ตลอดเวลา"

11). Law of Grace: อันนี้ก็จากท่านมหาเทพไมเคิลครับ

 "กฎแห่งคุณงามความดี (The Law of Grace) เป็นกฎที่มีระดับคลื่นความถี่สูงกว่ากฎแห่งกรรม (Karmic Law)
และนับจากนี้ไป กฎนี้จะมีผลต่อเหล่าผู้อุทิศตนเพื่อรับใช้โลก รวมถึงเหล่าผู้ปรารถนาความหลุดพ้น
ที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการเลื่อนระดับขึ้น (Ascension) และบรรดาสานุศิษย์ของพวกเขาทั้งหลายด้วย"

...........................

sarissa · 21 มกราคม 2011

ชอบจังมารวมๆเอาไว้แบบนี้

ขออนุญาตเสริมจากที่ได้จากพี่นักเขียน 2ข้อที่จำได้

เวลาไม่มีอยู่จริง
จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งคือจินตนาการ

imjoice · 22 มกราคม 2011

Chayutt said: ↑

ผมเองก็รู้ไม่มากหรอกนะครับ เท่าที่ผ่านๆตามาก็จะประมาณ

1). กฏแห่งการดึงดูด (Law of Attraction):

Like attract the like พลังงานที่เหมือนกันจะดึงดูดซึ่งกันและกัน

2). กฏแห่งทางเลือกอิสระ (Law of free will):

ทุกๆสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ มีอิสระในการเลือกเส้นทางเดินของชีวิตตนเองอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะผิดหรือถูกก็ตาม
ไม่สามารถมีใครจะไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงได้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต หรือถ้าไม่ถูกร้องขอ
อันนี้ ตามความคิดเห็นของผมนะ มันจึงเป็นเหตุให้เกิดพิธีกรรมทางศาสนาบางอย่างขึ้น
เช่น การร้องขอ หรืออ้อนวอนพระเจ้า ของชาวคริสต์,
การอารธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยหรือให้คุ้มครอง ของชาวพุทธ,
การทำพิธีต่างๆเพื่อร้องขอเข้าไปเป็นสมาชิกของศาสนานั้นๆ เช่น เป็นพุทธมามกะ หรือแบบติสของคริสต์ เป็นต้น

เพราะว่าถ้าไม่ร้องขอ พวกท่านก็ช่วยไม่ได้ เพราะว่าพวกท่านจะไม่มาแทรกแซงพวกเรา เพราะนั่นผิดกฏจักรวาล

3). กฎแห่งกรรม (Law of Karma):

ความหมายก็คล้ายๆแบบพุทธสอนไว้ แต่ก็ไม่เหมือนทั้ง 100% เลยทีเดียว

4). กฏแห่งความเป็นหนึ่งเดียว (Law of Oneness):

ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะแก่นแท้มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน

.........................

ต่อไปนี้มีคำศัพท์ที่ผมลองค้นหาในข้อความต่างๆของท่านมหาเทพเมตาตรอนหนะนะครับ
ผมก็ยังไม่เข้าใจหมดหรอกนะครับ แต่ก็เอามาโพสต์ให้รู้ไว้เฉยๆครับ

5). กฏแห่งความสมดุล (Law of Balance):

6). Law of Authority: กฏแห่งอำนาจหน้าที่

7). Law of Harmonic Oscillation: พลังงานชนิดเดียวกัน มันจะมาเสริมกัน

8). Law of Creation Manifestation:
โลกแห่งความเป็นจริงของแต่ละคน จะถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดและความเชื่อของแต่ละคนเอง

9). Law of Addition:

10). Law of Circle: อันนี้ค้นมาจากข้อความของท่านมหาเทพไมเคิล

 "ในชั่วขณะแห่งปัจจุบันกาลอันเป็นนิรันดร์นี้ (the eternal Now moment) ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันหมด
ทุกสิ่งทุกอย่างเลื่อนไหลและหมุนเวียน ก็เหมือนกับกระแสวัฏจักร หรือกฎแห่งการหมุนเวียน (Law of Circle)
ในมิติที่ 3 ที่พวกคุณเข้าใจกันแล้วนั่นแหละ เพียงแต่ว่ามันจะเป็นสเกลที่ใหญ่กว่ามากเท่านั้นเอง
ทุกสรรพชีวิตล้วนมีการแผ่ขยายในรูปแบบของวัฏจักรแบบนี้ด้วยกันทั้งสิ้น มีการแผ่ขยายอยู่ตลอดเวลา,
มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และมีการเลื่อนไหลอยู่ตลอดเวลา"

11). Law of Grace: อันนี้ก็จากท่านมหาเทพไมเคิลครับ

 "กฎแห่งคุณงามความดี (The Law of Grace) เป็นกฎที่มีระดับคลื่นความถี่สูงกว่ากฎแห่งกรรม (Karmic Law)
และนับจากนี้ไป กฎนี้จะมีผลต่อเหล่าผู้อุทิศตนเพื่อรับใช้โลก รวมถึงเหล่าผู้ปรารถนาความหลุดพ้น
ที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการเลื่อนระดับขึ้น (Ascension) และบรรดาสานุศิษย์ของพวกเขาทั้งหลายด้วย"

...........................

Click to expand...

ขอบคุณคุณชยุตมากค่ะ ที่นำมารวบรวมให้ศึกษา ขอถามอีกหนึ่งคำถามนะคะว่า เราจะทำความเข้าใจและทำความรู้สึกยังงัยในเรื่อง ความไม่มีตัวตน ทุกๆสรรพสิ่งเป็นสิ่งสมมติ (คือมันเกิด ดับ) ช่วยแนะนำจอยด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

imjoice · 22 มกราคม 2011

sarissa said: ↑

ชอบจังมารวมๆเอาไว้แบบนี้

ขออนุญาตเสริมจากที่ได้จากพี่นักเขียน 2ข้อที่จำได้

เวลาไม่มีอยู่จริง
จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งคือจินตนาการ
Click to expand...

ขอบคุณคุณsarissaมากค่ะที่มาเพิ่มให้

Chayutt · 22 มกราคม 2011

ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากท่านซาลูซ่า แห่งดาวซีรีอุส
ในนามของสหพันธ์แห่งกาแล็กซี่ (Galactic Federation)

ผู้รับการสื่อสาร: นาย Mike Quinsey
วันที่รับการสื่อสาร: 21 มกราคม 2011
ที่มา:

Mike Quinsey - SaLuSa, January 21, 2011

ตอนที่ 1:

มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย สำหรับช่วงเวลาที่ใกล้จะถึงวันสิ้นยุคแบบนี้ ที่จะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น
แต่เมื่อใดที่เส้นทางสายเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว เส้นทางสายใหม่ก็จะปรากฏขึ้น

ณ.ตอนนี้พวกคุณก็น่าจะเริ่มมองเห็นทิศทางที่ตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปแล้ว
ซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันถึงแผนการแห่งการยกระดับขึ้น (Ascension) ได้เป็นอย่างดี

พวกคุณแต่ละคนก็จะมีประสบการณ์ในรูปแบบต่างๆกันไป อย่างที่พวกคุณจะสามารถสังเกตได้
ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในจิตสำนึกของตัวเอง พวกคุณกำลังพบว่าสามารถควบคุมตัวเองได้มากขึ้น
และมีความหวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆน้อยลง

ช่วงเวลาแห่งการสิ้นยุคนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่จะใช้ประเมินผลการทดสอบของพวกคุณ
ว่ามีก้าวหน้าไปมากน้อยเพียงใดแล้ว
พวกคุณจำเป็นจะต้องรับมือกับการถูกจุ่โจมด้านอารมณ์ความรู้สึกอยู่อย่างสม่ำเสมอ
เพราะการได้รู้ได้เห็นถึงการตายของผู้คน และหายนะต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ
และดูเหมือนว่ามันจะเป็นข่าวใหญ่ในสื่อต่างๆอยู่เสมอๆด้วย

เมื่อใดที่พวกคุณสามารถเผื่อแผ่ความรักและความเมตตาของพวกคุณออกมาให้แก่ผู้ประสบภัยเหล่านั้นได้แล้ว
และสามารถตั้งสติประคองตัวเอง ไม่ให้อารมณ์ความรู้สึกได้รับผลกระทบมากนักได้แล้ว
เมื่อนั้น ก็แสดงว่า พวกคุณสามารถข้ามพ้นระดับของ "การตอบสนองในแง่ลบ" มาได้แล้ว

ความโกรธแค้นชิงชังที่เกิดขึ้นในหัวใจของใครหลายๆคน ก็รั้งแต่จะไปเพิ่มพูนความหวาดกลัวที่มีอยู่แล้ว
ให้พวกเขาอีกเท่านั้นเอง มิหนำซ้ำมันก็ยิ่งจะเป็นแรงพลังให้กับผู้ที่พยายามจะสร้างสถานการณ์ต่างๆ
ให้พวกคุณรู้สึกว่าขาดความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นเองด้วย
ลองมองดูรอบๆตัวพวกคุณดูสิ แล้วคุณจะพบว่ามันยังมีข่าวดีๆอีกมากมาย
ที่จะสามารถทำให้ความหวังของพวกคุณสดใสขึ้นมาได้

มันมีสิ่งบอกเหตุหลายอย่าง ที่กำลังบ่งบอกว่า “ฝ่ายมืด” กำลังจะแพ้สงครามแห่งการควบคุมพวกคุณเร็วๆนี้แล้ว
พวกคุณสังเกตไหมว่า ตอนนี้ประเทศจีนกำลังทำข้อตกลงหลายอย่างกับประเทศทางตะวันตกอยู่
และนั่นแหละคือความหมายว่าพวกเขากำลังรวมพลังกันเพื่อต่อต้าน “กลุ่มอิลลูมินาติ” อยู่
ไม่ให้มามีอำนาจในซีกโลกตะวันออกนี้อีกต่อไป พวกเขาคือส่วนหนึ่งของแผนการการเคลื่อนไหว
เพื่อความก้าวหน้า เพื่อรักษาความมั่นคงให้กับโลกใบนี้ และเพื่อถอนรากถอนโคนอำนาจอิทธิพลต่างๆ
ที่พยายามชักนำพวกคุณให้เข้าสู่สงครามอีกครั้งหนึ่ง (สงครามโลกครั้งที่ 3? - ผู้แปล) ให้หมดไปอยู่

แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถหยุดยั้งการปะทะกัน หรือการทะเลาะวิวาทกันเล็กๆน้อยๆทั้งหมดได้
แต่พวกเราจะป้องกันไม่ให้มันลุกลามบานปลาย จนกลายไปเป็นสงครามระดับโลกได้
เพราะนั่นคือขอบเขตอำนาจหน้าที่ของพวกเรา และก็เพื่อตอบสนองต่อระดับจิตสำนึกของพวกคุณ
ที่กำลังสูงขึ้นและปรารถนาสันติภาพด้วย

คนเพียงกลุ่มเล็กๆกลุ่มนั้น จะไม่สามารถบงการชีวิตของคนทั้งโลกได้อีกต่อไป
และเส้นทางไปสู่การสิ้นสุดของความเป็นทวิภาวะ (Duality) อย่างที่พวกคุณรู้จัก ก็กำลังเปิดออกแล้ว

.....................

mead · 22 มกราคม 2011

imjoice said: ↑

ขอบคุณคุณชยุตมากค่ะ ที่นำมารวบรวมให้ศึกษา ขอถามอีกหนึ่งคำถามนะคะว่า เราจะทำความเข้าใจและทำความรู้สึกยังงัยในเรื่อง ความไม่มีตัวตน ทุกๆสรรพสิ่งเป็นสิ่งสมมติ (คือมันเกิด ดับ) ช่วยแนะนำจอยด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
Click to expand...

เคยสงสัย เรื่องความไม่มีตัวตนเหมือนคุณจอยเลย
ขอตอบตามความเข้าใจที่ได้เรียนรู้มานะครับ
เผื่อจะช่วยเสริมความเข้าใจให้เล็กๆน้อยๆน่ะครับ

ปกติสิ่งที่เกิดขึ้น ชั่วครู่ เราอาจเรียกมันว่า "อาการ" นะครับ
เข่น ปรากฎการณ์ต่างๆ ฟ้าแลป ฟ้าผ่า ฝนตก ฯลฯ
รวมทั้ง พฤติกรรม หรืออารมณ์รายวัน อะไรเหล่านี้

และถ้ามันดำรงอยู่ ยาวนาน ขึ้น เราก็อาจเรียกมันว่า "ตัวตน" ก็ได้
เช่น โลกมนุษย์ ร่างกาย ความเชื่อความศรัทธา ฯลฯ
ซึ่งมันก็คือความเสมือนจริงที่ปรากฎอยู่ในความหนาแน่นของมิติที่ 1- 3 นี้ครับ

ส่วนสิ่งที่ดำรงอยู่อย่าง ไม่มีวันเสื่อมสลาย ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลาใดๆ (นอกจากเราจะอ้างอิงขึ้น)
สามารถแลกเปลี่ยนคุณสมบัติกันได้ด้วย สิ่งนี้เราเรียกว่าเป็น "มิติทางพลังงาน"
ซึ่งเป็นกลไกสำคัญอันเป็นเบื้องหลังในการแผ่ขยายของทุกสรรพสิ่งในทุกๆทิศทุกทางทีเดียว
พลังงานนี้ดำรงอยู่ในทุกๆสรรพสิ่งไม่เว้นแม้แต่วัตถุธาตุต่างๆ......
เต็มเปี่ยมและทรงพลังตามรหัสและคุณสมบัติเฉพาะตัวของมันครับ

และพลังงานนี้ก็อยู่เคียงคู่สิ่งมีชีวิตในทุกๆมิติ ยิ่งกว่าเส้นขนานซะอีกครับ
สรุปว่าสิ่งที่เป็นมายาหรือตัวตนก็คือ "เงา" ของแก่นแท้ทางพลังงานนั่นเอง

และการที่เรามักจะถูกสอนให้รู้จักแยกแยะ ไม่หลงไหล ไม่ยึดติดในตัวตนบ่อยๆ
ก็เพราะ ท่านผู้รู้เหล่านั้นต้องการให้เรามีสติมากขึ้น ไม่ใช้อารมณ์นำหน้าปัญญา
ไม่หลงคิดว่า โลกนี้คือบ้าน หรือคิดว่า สวรรค์ คือ นิพพาน
ที่สำคัญคือไม่หลงลืมเรื่องจิตวิญญาณของตนเองไปน่ะครับ

อีกนิดนึงนะครับ การละวางตัวตนในทางปฎิบัติแล้วนั้น
ไม่ใช่การไม่สนใจหรือปล่อยปะละเลย เพราะคิดว่ามันเป็นเพียงสิ่งสมมุตินะครับ
เช่น ร่างการเราก็ควรเอาใจใส่ดูแล ทั้งการบริหารร่างการ-อาหารการกิน ให้เหมาะสมด้วย
เพราะมันเป็น ชุดทำงานของเรา เราสวมใส่มันอยู่เพื่อการใช้งาน
หากร่างกายอ่อนแอลง พันธะสัญญาที่เรามีโอกาสได้ถือกำเนิดขึ้นมานั้น
ก็อาจล้มเหลวหรือไม่บรรลุผลสำเร็จ
ส่งผลกระทบไปสู่ตัว"ตัวตนรวม"ในมิติอื่นๆที่เฝ้ารอลุ้นเราอยู่อีกด้วยครับ

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

ไฟล์ที่แนบมา:

Jimmy Carter_1.jpg

imjoice เป็นที่รู้จักกันดี

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

mawmee เป็นที่รู้จักกันดี

vijit_j เป็นที่รู้จักกันดี

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

imjoice เป็นที่รู้จักกันดี

DukeSonic เป็นที่รู้จักกันดี

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

imjoice เป็นที่รู้จักกันดี

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

imjoice เป็นที่รู้จักกันดี

imjoice เป็นที่รู้จักกันดี

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

mead เป็นที่รู้จักกันดี

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ไฟล์ที่แนบมา:

Jimmy Carter_1.jpg

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา