ข่าวสารจากจิตจักรวาล

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 12 มกราคม 2007.

  1. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    เลข 11 หรือเลขรวมที่ได้ 11 เช่น TG 911 หรือ วันที่ 29 เวลา 17.30
    เป็นรหัสในการชำระ หรือ อยู่ในแผน, เป็นส่วนผสมของความวุ่นวายเพื่อ
    ให้เกิดการชำระ

    ถ้าว่างจะเล่าการติดต่อเบื้องบนแบบอ.ปริญญา เราก็ฝึกได้...
    ช่วงนี้ลูกไม่งอน แม่ก็เลยไม่ค่อยว่าง
     
  2. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4 Brain.jpg
      4 Brain.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.5 KB
      เปิดดู:
      84
    • TePathy.jpg
      TePathy.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71 KB
      เปิดดู:
      121
    • Aura.jpg
      Aura.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.1 KB
      เปิดดู:
      105
  3. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    การชนะความตาย คือรู้ว่าไม่ตายจริง


    โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
    หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 12 กรกฎาคม 2551

    เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เขียนได้ไปพูดเรื่อง “วิธีเอาชนะความตาย (How to Win Death)” ให้กับนักศึกษาปริญญาโท คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ศูนย์วัดศรีสุดาราม ผู้เขียนไม่ได้เป็นคนตั้งชื่อหัวข้อการพูดคุยดังกล่าว ซึ่งเป็นประเด็นทางกายที่เอามาใช้ในความหมายที่คนทั่วไปในสังคมเข้าใจกัน เพราะไม่มีใครเอาชนะความตายได้ตราบใดที่เรายังอยู่ในวัฏสงสาร จริงๆ แล้ว พูดรวมๆ ในทางวัฒนธรรม สาเหตุที่เราทั่วๆ ไปไม่ชอบความตายนั้น เป็นเพราะเราต่างยินดีปรีดากับการเกิด จนบางคนต้องเฉลิมฉลองการเกิดหรือครบรอบวันเกิดเพื่อแสดงความดีใจกัน เพราะฉะนั้น การเอาชนะความตายในที่นี้ จึงมีความหมายหลักๆ อยู่ที่ความกลัวการพลัดพรากจากกัน หรือความไม่ชอบ (ทั้งของผู้ที่กำลังจะตายไป กับของญาติพี่น้องที่อยู่ข้างหลัง) อันเป็นเรื่องของความเป็นจิตรู้ตัวตน (self) ของเราเอง (จิตรู้ หรือจิตสำนึก ที่ได้มาจากจิตไร้สำนึกอันสากลที่บริหารผ่านสมองและโดยสมอง) ซึ่งจริงๆ แล้ว จิตสำนึกแม้ว่าจะเป็นจิต แต่มันไม่ใช่ตัวตน (อัตตา) ของเราสักหน่อย

    การเอาชนะความตายในที่นี้จึงเป็นเรื่องการตายไปจากภพภูมินี้ โลกสามมิติ (บวกหนึ่ง) ใบนี้ อันเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกันของจิตกับสมอง (interaction of mind or consciousness กับ body) หรือเรียกว่าวิญญาณขันธ์ในทางพุทธศาสนา ซึ่งสำหรับผู้เขียน จิตสำนึกเป็นจิต (ไร้สำนึก) ที่ผ่านการบริหารที่สมองชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง (unconsciousness as consciousness)

    ในศาสนาที่อุบัติขึ้นมาจากลัทธิพระเวท ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมที่ไม่ใช่อารยัน (pre-vedic culture – เผ่าพันธุ์จากอัฟริกาตะวันออกที่ได้อพยพโยกย้ายมาอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ และสร้างอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ (Indus civilization) ขึ้นมาตั้งแต่ราวๆ ๒,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล) กับชนเผ่าอารยันซึ่งเป็นเผ่าเร่ร่อนจากเอเชียกลางและนับถือพระเจ้าหลายองค์ (pantheism) เข้าด้วยกันเป็นลัทธิพระเวท อันเป็นต้นตอของศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์ที่มีอภิปรัชญาหลากหลายเกิดขึ้นนับจากนั้นมา รวมทั้งอภิปรัชญาความรู้ที่ต่อมากลายเป็นฐานหนึ่งของพุทธศาสนาด้วย ในตอนนั้นจึงมีทฤษฎีมากมายที่อธิบายเรื่องของโลก ของจักรวาล และเรื่องของความจริงแท้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจิต เรื่องของกรรม เรื่องของมายา หรือเรื่องของอนิจจตา ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นอภิปรัชญาของอินเดียโบราณที่อธิบายไว้แตกต่างกันไป ฉะนั้น เรื่องของจิตไร้สำนึกอันสากล [ซึ่งมีลักษณะที่นักฟิสิกส์ใหม่หลายคนคิดว่าเป็นสนามแควนตัม หรือซุปเปอร์แควนตัม (Bohm)] จึงมีทฤษฎีทางอภิปรัชญาโบราณของอินเดียเขียนไว้แล้วตั้งแต่หลายร้อยปีหรือพันๆ ปีก่อนคริสตกาล เช่น ทฤษฎีโยคะ (Yoga) และทฤษฎีสางขยะ (Sankhya) เป็นต้น ทฤษฎีทั้งสองที่ได้มาจากเส้นทางภายใน รวมกับอีกหลายทฤษฎี มีการกล่าวถึงจิตว่า จิตนั้นสร้างขึ้นไม่ได้ ทำลายก็ไม่ได้ จึงไม่มีวันตายไปจากจักรวาลนี้หรือจากจักรวาลไหนๆ ได้

    ทฤษฎีสางขยะนี้น่าสนใจ เพราะหลายอย่างคล้ายๆ กับพุทธศาสนาสมัยแรกๆ และคล้ายๆ กับจักรวาลวิทยาใหม่ ทั้งๆ ที่มีมาก่อนพุทธกาล และก่อนอุปนิษัทด้วยซ้ำอย่างน้อยนับร้อยๆ ปี ครูคนแรกของพระพุทธเจ้า (ก่อนตรัสรู้) คือ อาฬารดาบส เป็นผู้ที่เชื่อและรู้จักปรัชญาสางขยะนี้ดี ได้พูดถึงที่มาของสรรพสิ่ง สรรพปรากฏการณ์ รวมทั้งที่มาของชีวิตรวมทั้งมนุษย์ว่า ทั้งหมดมาจากจิตสากล – ‘ปุรุษะ (purusa)’ กับ ‘ประกฤติ หรือ ปกติ (prakrti)’ อันแรกเป็นจิตหรือจิตวิญญาณสากล (soul or atta) ส่วนอันหลังเป็นจิตที่จะวิวัฒน์มาเป็นสรรพสิ่งของจักรวาลหรือเป็นอนุภาค (ธรรมธาตุ) ซึ่ง ‘ปุรุษะ’ กับ ‘ประกฤติ’ นี้ เมื่อพบกันจะสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกปรากฏการณ์ของจักรวาลขึ้นมา รวมทั้งสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ ผ่าน ‘คุณ (gunas)’ ทั้งสาม

    ทฤษฎีสางขยะนี้เป็นเรื่องของความรู้ที่ได้มาจากการปฏิบัติโยคะสมาธิ หรือเป็นญาณทัศนะล้วนๆ จึงไม่พูดถึงพระเจ้าเลย หรือจริงๆ แล้วไม่มีพระเจ้าด้วยซ้ำ (atheist) โดยในความเข้าใจของผู้เขียน ปรัชญานี้มีแต่เพียงปุรุษะหรือจิต (ที่เป็น) สากลหนึ่ง กับประกฤติอีกหนึ่งที่ปะทะกัน ประกฤติที่รวมกาย (๑๕) และจิตสำนึก (conscious mind = ๑) กับธาตุที่เป็นส่วนละเอียดยิ่งของธาตุหยาบทั้ง ๕ – ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศธาตุ – (๕) รวมกับจิตสากลที่อยู่ในใจมนุษย์ทุกๆ คนที่เรียกจิตพุทธะหรือจิตหนึ่ง (buddi/atman = ๑) และบารมี-อวิชชา-ความดีงาม-ความไม่รู้ที่เลวร้ายที่สะสมจนกลายเป็นบุคลิกลักษณะของคนผู้นั้นๆ (ahangar = ๑) ซึ่งเมื่อรวมกับตัวประกฤติเองอีกหนึ่ง (๑) ทั้งหมดรวมเป็น ๒๔ ไว้ด้วยกัน ประกอบเป็นนาม-รูปของชีวิตมนุษย์หนึ่งคน เพราะฉะนั้นเมื่อมนุษย์หนึ่งคนตายไปจากโลก จึงไม่ได้ตายทางจิตไปทั้งหมด หากตายแต่เพียงแค่กาย (๑๕) – รวมธาตุหยาบทั้ง ๕ ในนั้น – กับจิตรู้อีกหนึ่ง (๑) ส่วนจิตที่เหลือของมนุษย์ผู้นั้น (ยกเว้นปุรุษะและประกฤติใหญ่เดิมที่ไม่ได้มีวิวัฒนาการ (โดยทฤษฎี) ใดๆ เลย) ไม่ได้ตายจริง แต่เวียนว่ายตายเกิดต่อไป

    น่าสนใจที่ธาตุละเอียดอย่างยิ่ง (subtle elements) ซึ่งเป็นที่มาของดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศธาตุที่หยาบๆ ทั้งหมด เกิดมาตรงกันกับคุณสมบัติย่อยๆ ของอนุภาค เช่น สี หรือ รส ฯลฯ (color or taste) ของฟิสิกส์ใหม่ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หรืออนุภาคที่ประกอบเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งที่หยาบและละเอียดเหล่านั้น จะเป็นความรู้ที่รู้กันมาตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้ว โดยได้มาด้วยการทำสมาธิตามที่ปรัชญาสางขยะบอก ผู้เขียนจึงได้บอกว่าทฤษฎีนี้มีส่วนที่เหมือนกับจักรวาลวิทยาใหม่และฟิสิกส์ใหม่อย่างไม่น่าเชื่อหลายอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป

    ในขณะเดียวกัน พุทธศาสนายังสอนในเรื่องของกรรม และการเกิดใหม่ด้วยแรงกรรมที่คนผู้นั้น กระทำไว้ในอดีตรวมทั้งในชาติภพก่อน พุทธศาสนาสอนให้เชื่อในเรื่องการระลึกชาติ ซึ่งเป็นทั้งด้านของกายภาพกับด้านของจิตว่าเป็นไปได้ ดังที่องค์ดาไล ลามะกล่าวไว้ว่า “การระลึกชาติ...เป็นส่วนหนึ่งของที่มาของมนุษย์ เป็นข้อพิสูจน์ถึงความสามารถของ ‘กระแสธารของจิต’ (วิญญาณโสตะ หรือสัมวัติกะวิญญาณ) ที่จะคงสภาพของความรู้ทั้งในด้านของกายภาพและจิตภาพเอาไว้ได้ ซึ่งมีสาเหตุสัมพันธ์กับหลักปฏิจจสมุปบาทและกฎธรรมชาติว่าด้วยเหตุที่ก่อผล” (คำนำของหนังสือ The Case for Reincarnation)

    การตายของสัตว์โลกหรือมนุษย์นั้น อาจแยกได้เป็นสองประเภท คือ ตายไปเพราะหมดอายุขัย (proptosis) หรือป่วยตาย เกิดอุบัติเหตุ ในภาวะปกติ การตายของมนุษย์ส่วนใหญ่มากๆ จะเป็นการตายไปตามอายุขัยของปัจเจกแต่ละคน มีการตายร่วมกันเป็นหมู่น้อยหรือน้อยมาก แต่ในภาวะที่ไม่ปกติ เช่น ระหว่างมีสงคราม โรคระบาด ภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว พายุร้าย สึนามิ หรือโลกร้อนจนแผ่นดินกลายเป็นทะเลทรายที่ไร้ทั้งน้ำและพืชพันธุ์ธัญญาหาร หรือกระทั่งอุกกาบาตวิ่งมาชนโลกที่ล้วนอาจจะเป็นไปได้ทั้งนั้น ในภาวะเช่นนั้น การตายร่วมกันเป็นหมู่ หรือกระทั่งเป็นหมู่บ้าน หรือเมือง หรือทั้งโลกย่อมเป็นไปได้ ตามเหตุปัจจัยที่กล่าวมาข้างบนนั้น ทำให้การตายเพราะอายุขัยของแต่ละคนกลายเป็นเรื่องเล็กไป

    ผู้เขียนเป็นแพทย์ แถมเป็นพยาธิแพทย์ [พยา-ธิ เป็นคนละคำกับ พะ-ยาด ที่หมายถึง หนอนพะ-ยาดต่างๆ โดยพยาธิวิทยามาจากคำว่า pathology ที่แปลว่า การศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ของโรคทั้งหลายทั้งทางกาย (physical) และทางหน้าที่ (function)] จึงมีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับวิทยาศาสตร์ของคนตายจากโรคนั้นๆ นอกจากนี้ ในช่วง ๗ – ๘ ปีมานี้ ผู้เขียนยังมีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้าย รวมทั้งมะเร็งหรืออัมพาตอัมพฤกษ์จำนวนมากในสถานพยาบาลที่เป็นประหนึ่งฮอสปีซ [hospice - สถานพยาบาลที่ไม่ยื้อความตาย คำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ รักษาด้วยการประคับประคอง (palliative)] และให้การดูแลทางจิตและจิตวิญญาณกับศาสนา เพื่อให้บางคนที่พอจะพูดกันได้บ้างไม่กลัวตาย ให้รู้จักและเข้าใจชีวิตที่แยกจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้ ซึ่งการพูด วิธีพูด กับท่าทางของผู้พูดไม่ใช่ของง่ายเลย เพราะแพทย์และพยาบาลล้วนเรียนมาแต่เรื่องของวิทยาศาสตร์ทางกาย จึงมักไม่เชื่อในเรื่องของจิตและจิตวิญญาณ แพทย์เองแม้จะเรียนจิตวิทยามาบ้างก็เป็นเรื่องของโรคจิต ที่สำคัญ ผู้พูดไม่ใช่พระ จึงต้องทำให้ผู้ป่วยไว้ใจและเชื่อว่าแพทย์เองก็ไม่กลัวตายด้วย และการที่ผู้เขียนพอมีประสบการณ์การดูแลเรื่องทางจิตใจให้กับคนแก่มากๆ หรือดูแลคนเป็นโรคที่เกิดจากความชรามานานพอสมควร เห็นคนแก่ คนป่วย และตายไปมาก (หลายคนตายไปต่อหน้าต่อตา) พอจะสรุปได้ดังนี้ (ซึ่งนักวัตถุนิยมมักไม่รู้)


    ๑. คนแก่มากๆ (เช่น ๘๕ ปีขึ้นไป) ไม่ว่ามีโรคหรือไม่มีโรคมักไม่กลัวตายเลย


    ๒. ผู้ป่วยแทบทุกคน โดยมากที่เป็นผู้หญิง พอใจมากกับการพูดแสดงความรักความห่วงใยของบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน โดยเฉพาะการกอดหรือสัมผัสทางกายอย่างเข้าใจและเต็มใจของแพทย์ บางครั้งการร้องด้วยความเจ็บปวดหรือความขมขื่นถึงกับหายไปเลย

    ๓. คนแก่จำนวนไม่น้อยมักจะหลงๆ ลืมๆ หรือเป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือบางคนอยู่ในสภาพที่เรียกว่าโคม่า ซึ่งแพทย์ทั่วไปมักเชื่อว่าเป็นผู้ที่ไม่รู้เรื่องแล้ว จะกลัวตายหรือไม่กลัวตาย หากคิดตามที่เรียนมา ย่อมไม่มีใครรู้ แต่ผู้เขียนเชื่อโดยหลักฐานวิจัยทางวิทยาศาสตร์บางส่วนว่า ผู้ป่วยเหล่านั้นรู้ และช่วยให้เข้าใจชีวิตได้หากพยายามจริงๆ ด้วยการติดต่อทางจิต


    ๔. ผู้ป่วยที่ร่างกายแข็งแรง อายุยังไม่เกิน ๖๐ ปี หรือเป็นมะเร็ง มักกลัวตาย (ผู้เขียนสังเกตเอาเองโดยไม่ได้อ้างอิงการวิจัยว่า มีอัตราเร่งของการเป็นมะเร็งทวีสูงขึ้นมากในปัจจุบัน และผู้ป่วยมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับทศวรรษก่อน) ผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งเท่าที่เห็นจะทรมานอย่างที่สุด ทั้งๆ ที่กลัวตาย แต่จะกลัวเจ็บทรมานมากกว่า จึงต้องการตายเร็วๆ

    ๕. ผู้เขียนเชื่อว่า สำหรับบ้านเรา การดูแลผู้ป่วยที่แก่มากๆ หรือใกล้ตายไว้ที่บ้านอาจดีที่สุด ถ้าเมืองไทยยังไม่มีฮอสปีซซึ่งจะช่วยได้มากในประเด็นทางจิตวิญญาณและการไม่ยื้อผู้ป่วยจากความตาย แต่หากมีฮอสปีซจะดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยที่จะจากไปโดยไม่ห่วงหน้าห่วงหลัง เพราะการดูแลทางจิตวิญญาณของผู้ป่วยเป็นทั้งหน้าที่และจิตใจของฮอสปีซอยู่แล้ว

    เรื่องของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แม้ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติและทุกคนรู้ดีว่าจะต้องเกิดกับตัวเองไม่วันใดวันหนึ่งโดยไม่มีทางหลีกหนี แต่กระนั้นวัฒนธรรมของเรา (โดยเฉพาะวัฒนธรรมตะวันตก) ก็พยายามทำให้เราไม่นึกถึงมัน ซึ่งเป็นการสอนให้เราทำผิดธรรมชาติ เลยไปถึงเอาชนะธรรมชาติ หรือยื้อแย่งกับธรรมชาติ และเมื่อเอาชนะไม่ได้แน่ๆ ก็จงลืมมันเสีย

    เพราะฉะนั้น แทนที่จะลืมนึกถึงความตายไปเลย ตรงกันข้าม โรงเรียนในทุกระดับควรสอนให้คิดถึงความตายให้มากและบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความเคยชินกับการนึกถึงความตายทุกๆ วันหรือบ่อยกว่านั้น จะยิ่งทำให้เราคุ้นเคยกับมันจนไม่กลัวหรือเลิกกลัวมัน เพราะรู้ว่าธรรมชาติต้องเป็นอย่างนั้น ชีวิต และสรรพสิ่งต้องเป็นอย่างนั้น หนีไม่พ้น ถ้าหากมีเกิดย่อมต้องมีตายอย่างแน่นอน เพราะสาเหตุของการตายที่แท้จริงคือการเกิดขึ้นมานั่นเอง ดังนั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเราต้องตายแน่ๆ แล้วเราจะไปกลัวสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ กันทำไม


    http://jitwiwat.blogspot.com/
    วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 at : บทความมติชน, ประสาน ต่างใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2008
  4. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
  5. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258

    เอ๊ะ! เมฆจานบิน Falkman เห็นที่ไหนนะ
     
  6. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    เห็นที่ชลบุรี จ้า
     
  7. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    " เราคนหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติ ต่อไปการแบ่งแยกคนดีคนชั่วจะเกิดขึ้นทั่วโลก แล้วแต่ละชนชั้น
    แต่ละชาติจะลุกขึ้นมาฆ่ากันเอง ไม่ต้องให้ต่างชาติมาฆ่ามันจะฆ่ากันเองแล้วพอมันฆ่าเองแล้วยังไม่พอ
    มันจะชักศึกเข้าบ้าน แอบไปจ้างนักรบต่างชาติ เข้ามาฆ่าคนในชาติเดียวกันเอง เข้าใจที่พูดมั๊ย?
    ประเทศไทยเราก็จะเป้นประเทศหนึ่งที่เป็นเช่นนั้น ไม่ได้ขู่ให้กลัว เพราะว่าไม่ได้เป็นโหรฟันธง แต่เผลอ
    ฟันไปหลายธงแล้ว เพราะกลัวไม่เชื่อน่ะ แล้วจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ 20% บวก ลบ

    เพราะประเทศไทยเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันอุดม มีพระบรมโพธิสมภาร มีพระบารมีของ
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระสยามเทวาธิราช คนไทยเราจะโชคดีกว่าคนหลายเผ่าหลายชาติบนโลกนี้
    ภัยพิบัติรุนแรงทั้งหลายก็กลายจากร้ายเป็นร้ายน้อยลง แต่มิอาจยกเว้นได้ งั้น..พวกเรามีบุญมัีย
    ที่เกิดมา อยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วพระองค์มีพระชนมายุยืนยาว
    กว่าพระมหากษัตริย์องค์อื่นในการครองราชย์ อีกต่างหาก เหมือนกับพระองค์เป็นใจ จะคอยเมตตา
    ปกแผ่บารมีช่วยเหลือพวกเรา นี้คือสิ่งที่คนไทยเราต้องสำนึก

    ทุกวันนี้ ที่ภัยพิบัติบ้านเรามันเบากว่าชาติอื่น แล้วมันเกิดช้ามาก เพราะบารมีของพระองค์ท่าน
    ถ้าสิ้นพระองค์เสียแล้ว พวกเราแจว แล้วตัวใครตัวมัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
    อาจจะมีดีกว่านี้ก็ได้ เพราะบารมีของพระองค์ท่าน ขอให้พวกเราสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
    ของพระองค์ท่าน เราอย่าพูดแต่ปากเท่านั้นพูดด้วยใจ อย่าทำไปในลักษณะเป็นพลเมืองเลวใน
    ประเทศไทย เพราะพระองค์ทรงเสียพระทัยมากๆ ทุกวันนี้พระองค์ทรงเสียพระทัย พวกคุณก็รู้อยู่แล้ว
    เกิดมาชาติหนึ่งมีบุญบารมีที่ได้อยุ่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระองค์เป็นบุญหัวขนาดไหน
    พระองค์เป็นเทพมนุษย์ ขนาดเทพที่ไม่ใช่มนุษย์เรายังไหว้ก้มหัวงุดๆ

    นี่เทพเสด็จลงมาเป็นมนุษย์เพื่อโปรดเราได้ด้วย ใกล้ชิดเรา ดลบันดาลทุกสิ่งด้วยความเป้นมนุษย์ให้กับเรา
    ทำไมเราไม่เทอดทูนพระองค์ ทำไม มนุษย์หลายคน เอาพระองค์มาทำปู้ยี่ปู้ยำ บ้างที่รักแต่ปาก ใช่ม๊ะ
    ผมเดินสายมาทั่วประเทศ สอนข้าราชการทั่วประเทศว่าให้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
    ที่คุณอาสามาเป็นข้ารับใช้ใต้เบื้องยุคลบาท เพราะคุณชื่อว่าข้าราชการ ก็สอนย้ำเน้นตรงนี้
    เป็นข้าราชการที่ดีของประชาชน เป็นข้าราชการที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว นั่นคือการไม่เสียชาติเกิด
    ถ้าคุณเป็นข้าราชการที่บกพร่องต่อหน้าที่ เหลวไหลทรยศต่อแผ่นดิน ไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชน
    ไม่ภักดีต่อองค์เหนือหัว

    คุณเชื่อมั๊ย ตายไปแล้วตกนรกขุมที่ 16 ไม่ได้ผุดได้เกิดเลย ตกนรกขุมที่ 16 เพราะอะไร คนที่เกิดมาเป็น
    ข้าราชการนั้น จิตวิญาณมาจากชั้นเทพ พรหม มาจากชั้นสูง แต่พอมาเกิดเป็นมนุษย์ใช้อำนาจเหนือนำ
    ของตนเองในทางชั่ว ทำผิดบาป แทนที่จะช่วยองค์เหนือหัวที่เป็นเทพชั้นสูงจุติลงมา กลับมาช่วยทำร้าย
    ทำลายมาทำตัวเป็นอุปสรรค เสียชาติเกิดใช้มั๊ย ไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้ถูกต้องให้ลงตัว ก็ต้องไปเป็น
    สิ่งที่ตนเองไม่อยากเป็น นรกขุมที่ 16 เขาเรียกว่าตกนรกหมกไหม้

    ข้าราชการที่ฉ้อฉล ข้าราชการที่จิตชั่ว ไม่ต้องกลัว มันโลดแล่นได้เฉพาะตอนที่เป็นมนุษย์เท่านั้น
    วันเกิดเหตุร้ายในรัหัส 11: 11 บางคนอาจจะถึงฆาตก่อนวัน 56 วัน 7 ราตรี ซ่ะด้วยซ้ำ พวกนี้จะถูก
    ระเบิดภายในทั้งสิ้น ถูกระเบิดคือ สติแตกตาย บ้างคนสติแตกตาย เดี้ยง ทรมานจนตาย บ้างคนก็สติแตก
    ด้วยการเป็นบ้าก่อนตาย เที่ยวแก้ผ้าเดินประจานตัวเอง ให้คนดีๆ ที่เขารอดตายให้เห็น นี่ไงมันเลวเห็นมั๊ย

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ทุกวันนี้บอกว่าทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ลงโทษไอ้...พวกนี้ อ๊ะ! มันยังไม่ถึงเวลาน้อง มันยัง
    ไม่ถึงเวลาพี่ เดี๋ยวพอถึงเวลาแล้วพี่จะเห็นเอง ว่าเวรกรรมมันมีจริงมั๊ย สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงมั๊ย ทุกวันนี้มัน
    สาบานกันจนเคยปาก หารู้ไม่ว่าสาบานที่ไร สั่นสะเทือนถึงสวรรค์ ถึงจักรวาลทุกครั้ง จักรวาลรับรู้ทุกครั้ง
    ไอ้พวกที่ถูกฟ้าผ่าตาย ก็ไอ้พวกที่แก่สาบานไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว ว่า..งสาบานเอาไว้นั่นแหละ ชี้ให้เห็นว่า
    เนี่ยะ ฟ้าผ่า พวกที่สาบานในชาติที่แล้วทั้งนั้น อะไรๆ ก็สาบาน ซึ่งตรงนั้นมันเป็นการเย้ยฟ้าท้าดิน
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขามี ฟ้ามีตา..."

    ***************************************************
    จิตจักรวาลอ่านโลกครั้งที่ 141 โดย อ.ปริญญา
    เมื่อ 11 พ.ค. 51
    ***************************************************
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    วันนี้คุณแม่นายมล ขยันพิมพ์นะครับ
    ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นถ้าคิดแบบจิตมนุษย์มันจะไม่จบแน่..มันมีเบื้องลึกซับซ้อนกว่าที่เห็นมาก
    คนไทยควรรักและสามัคคีกันไว้ด้วยความเป็นกลางและมีเหตุผล มององค์รวมครับ
     
  9. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    จิตจักรวาล
    ในตัวตน ของคนเรา
    เซลล์ 1 เซลล์ มีชีวิต อิสระ
    ถือได้ว่า แต่ละเซลล์นั้น มีขัณฑ์ 5 ครบ
    คนเรามี 60 กว่าล้านล้านเซลล์ แต่ประสานกัน เป็นหนึ่ง
    โดย จิตเรา หรือนี่คือ จิตจักรวาล ในตัวตน ของคนเรา นั่นเอง
    ;8;aa21
     
  10. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    การบรรยายครั้งที่ 144
    ที่ โรงแรม เดอะแทรเวลเลอร์
    12 ส.ค. 2551 เวลา 13-18.00 น.
    เรื่อง สอนจิตให้คิดบวก

    *****************************
    ที่โคราชเกิดพระอาทิตยืทรงกลดมา 3 วันติดกัน
    ขณะพิมพ์อยู่นี่ ยังทรงกลดอยู่เลย
    ทรงโกรธเรื่องอะไรน๊า ถ่ายรูปไว้ได้แต่ไม่เต็มวง
    รอถ่านเต็ม จะเอารูปมาโชว์
     
  11. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    ก่อนเกิดสุริยคราส 1 วัน
    31 ก.ค 51 เกิดรุ้ง ซ้อนกัน 2 วง
    เป็นครึ่งวงกลมเต็มๆ แต่ถ่ายได้แค่นี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 100_0664.JPG
      100_0664.JPG
      ขนาดไฟล์:
      59 KB
      เปิดดู:
      61
    • 100_0663.JPG
      100_0663.JPG
      ขนาดไฟล์:
      55.6 KB
      เปิดดู:
      68
  12. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    3 ส.ค. 51 เกิดพระอาทิตยืทรงกลดแต่เห็นไม่เต็มวง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _0668.jpg
      _0668.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.8 KB
      เปิดดู:
      71
  13. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    4 ส.ค. 51 เริ่มเห็นพระอาทิิตยืทรงกลดเต็มวง มีสีรุ้งชัด มี 3 วงแต่ถ่ายได้ไม่ชัด
    มีเมฆแผ่นดินไหวด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0672.jpg
      0672.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59 KB
      เปิดดู:
      71
    • 0673.jpg
      0673.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.6 KB
      เปิดดู:
      75
    • 0674.jpg
      0674.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.1 KB
      เปิดดู:
      62
  14. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    5 ส.ค.51 เริ่มเห็นเวลา 9 โมงกว่าๆ
    ขอบอกว่าถ่ายยากกิงๆ แสงมันจ้ามาก ก็แต่งภาพลดแสงสว่างลง
    นี่ก็เป็นการประชุมของเหล่าเทพชั้นสูงที่ชำระโลก คาดว่าน่าจะมีพายุมาอีสานนะ
    จริงรึปล่าวไม่รู้ต้องรอดู เพราะเดาเอา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0675.jpg
      0675.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.2 KB
      เปิดดู:
      62
    • 0676.jpg
      0676.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42 KB
      เปิดดู:
      77
    • 0677.jpg
      0677.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.6 KB
      เปิดดู:
      67
  15. ทามปายได้

    ทามปายได้ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +56
    อืม ประชุมกันบ่อยมากเลยครับ สงสัย ใกล้เข้ามาเรื่อยๆและ เง้อ
     
  16. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    เคยสงสัยกันมั้ยกับคำสอนที่ว่า เกิด - ดับ ๆๆๆๆ
    มีความหมาย ในทางกายภาพ คือ
    แต่ละเซลล์ มีชีวิต มีขัณฑ์ห้าครบ รูป+จิต
    เซลล์...มีการสร้าง(เกิด)และทำลาย(ดับ) ตลอดเวลา
    ตัวอย่างง่ายๆ เช่น
    ขี้ไคล คือ เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว และมีการสร้างใหม่ทดแทนตลอด
    นี่คือ ความหมายอันเป็นรูปธรรมของการ เกิดดับๆๆๆ ตลอดเวลา

    อีกตัวอย่าง ของจิตจักรวาล ในการสร้างชีวิต จิตวิญญาณย่อยๆ เช่น มนุษย์ผู้ชาย สร้างตัวอสุจิ ทีละหลายๆล้านรูปแห่งชีวิต ที่อิสระในตัวเอง
    นี่คือ รูปชีวิต จิตย่อยๆทั้งหลาย ภายใต้ จิตจักรวาล วิญญาณใหญ่ คือตัวตนของคนเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2008
  17. *นักรบแห่งรัตติกาล*

    *นักรบแห่งรัตติกาล* สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +0
    พระเจ้าสร้างมนุษย์มาแล้ว ก็มีแต่ทุกข์ มนุษย์ก็ทุกข์ พระเจ้าก็ทุกข์ แล้วจะสร้างกันขึ้นมาทำไม ถ้าพระเจ้าไม่สร้างมนุษย์จะดีกว่าไหม


    แต่มาอีกมุมนึง พระพุทธเจ้าท่านสอนวิธีที่มนุษย์จะไม่ต้องมาเกิดอีก คือ ดับทุกข์


    สองมุมมองนี้ อย่างไหนฉลาดกว่ากัน พิจารณาดูเอาเองครับ


    ใครนับถือพุทธ ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ ขอให้ใช้จารณญาณให้ดีนะครับ








    ขยายความ:::


    พวกคุณลองถามตัวเองดูนะว่า หากสมมุติว่าคุณมีความสามารถพิเศษ หรือมีอุปกรณ์วิเศษ ที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมาบนโลกอีกใบหนึ่ง คุณจะตัดสินใจสร้างมันขึ้นมาหรือไม่





    แน่นอน ก่อนสร้างคุณต้องรุ้แน่ๆว่า หลังจากสร้างเสร็จ อะไรจะเกิดขึ้นบ้างบนโลกใบนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นที่ว่านั้น คือ "ความทุกข์ของมนุษย์" ทุกอย่างมีแต่ทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ได้ในสิ่งที่ไม่ต้องการ พวกนี้คือทุกข์ นี่คือทุกข์ของมนุษย์ที่คุณสร้างมา




    ทีนี้มาดูทุกข์ของคุณ(พระเจ้า) หลังจากที่คุณสร้างเสร็จแล้ว ว่ามีอะไรบ้าง มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าก็ทุกข์
    พระเจ้าเห็นมนุษย์ได้รับความทุกข์ พระเจ้าก็ทุกข์

    อย่างนี้สนุกไหม ต้องมาตามล้างตามเช็ดกันไปไม่จบไม่สิ้น (ดูพระเยซูเป็นตัวอย่าง)







    ในเมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว คุณจะสร้างไหม ทุกวันนี้ หมาตัวเดียวผมยังไม่อยากจะเลี้ยงเลย เพราะรู้ว่า เลี้ยงแล้วตัวผมจะเป็นทุกข์


    ถ้าคุณบอกว่ารู้แล้วว่าจะเกิดทุกข์ทั้งกับมนุษย์(ที่คนสร้าง) และตัวคุณในฐานะที่เป็นผู้สร้าง แต่คุณก็ยังจะสร้างมันขึ้นมา ถามว่าการกระทำอย่างนี้เป็นการกระทำที่ฉลาดไหม



    ทีนี้มาดูอีกมุมนึง พระพุทธเจ้าท่านเล็งเห็นแล้วว่ามนุษย์เกิดมาแล้วมันมีแต่ทุกข์ ตราบใดที่กิเลสยังคงไม่หมดไป มนุษย์ก็ต้องกลับมาเกิดเป็นทุกข์ใหม่ วนเวียนกันไปไม่รู้จักจบ

    ท่านจึงสอนเราถึงวิธีการที่จะไม่ต้องเกิดมารับทุกอีกแล้ว นั่นคือ นิพพาน นั่นเอง



    ถามว่า การกระทำของ พระพุทธเจ้า กับ พระเจ้าที่สร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น อย่างไหน ฉลาดกว่ากัน อย่างไหนควรได้รับคำสรรเสริญ



    หวังว่าพวกคุณคงจะตอบคำถามนี้ได้นะครับ ว่าควรจะสร้างมนุษย์ขึ้นมาหรือไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2008
  18. *นักรบแห่งรัตติกาล*

    *นักรบแห่งรัตติกาล* สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +0




    ไม่น่าเชื่อว่า คนไทยจะเก่งถึงระดับ คิดค้นทฤษฎีใหม่ๆ ได้ครั้งแรกของโลก
    เก่งอย่างนี้รางวัลโนเบล คงมีคนไทยได้รับเร็วๆนี้แน่เลย




    แต่น่าแปลก ทีทฤษฎี ที่ว่านี้ ยังไม่พบว่ามีนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติให้ความสนใจเลย

    และที่สำคัญ สิ่งที่อ้างว่าเป็นทฤษฎี นี้ไม่ทราบว่าได้ผ่านการพิสูจน์ ทดลอง ว่าถูกต้องแม่นยำ ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ จากนานาอารยประเทศแล้วหรือยัง ถึงได้เรียกสิ่งนี้ว่า ทฤษฎี
     
  19. *นักรบแห่งรัตติกาล*

    *นักรบแห่งรัตติกาล* สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +0




    ผมอ่านข้อมูลที่ยกมานี้ผมก็ขำๆ เพราะมันขัดแย้งกันเองในตัวพระเจ้า

    ตอนแรกสร้างมนุษย์ขึ้นมา ไม่สนใจว่ามนุษย์จะทุกข์ หรือ ตัวพระเจ้าเองจะทุกข์

    พอสร้างเสร็จ พระเจ้ามาสอนให้ไปนิพพาน

    อย่างนี้ ขัดแย้งไหมครับ





    และยังมีอีก พระเจ้าสอนให้มนุษย์รับมือกับภัยพิบัติ อย่างนี้น่าขำไหมครับ


    พระเจ้ารู้ทั้งรู้ว่า เมื่อสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้ว มันจะมีเรื่องตามมามากมายไม่จบไม่สิ้น มันเต็มไปด้วย ทุกข์ แต่สุดท้ายพระเจ้าก็สร้างมนุษย์ขึ้นมา

    พอสร้างเสร็จ มีภัยพิบัติ(ตรงนี้ผมอ่านไม่ทั่วว่า ภัยพิบัติเกิดจากพระเจ้าสร้างขึ้นมาเล่นงานมนุษย์ หรือว่า ภัยพิบัติมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ) พระเจ้าสอนให้มนุษย์เตรียมตัวรับมือ

    แล้วอย่างนี้จะสร้างมนุษย์ขึ้นมาทำไม หากพระเจ้าไม่สร้าง แล้วจะมีมนุษย์ที่ไหนต้องมาคอยหลบ คอยหนี ภัยพิบัติต่างๆ



    ่คุณลองนึกภาพว่าคุณเป็นพระเจ้าดูนะ หลังจากที่คุณสร้างมนุษย์เสร็จแล้ว จากนั้นคุณก็ตะโกนสั่งสอนมนุษย์ใหญ่เลยว่า "หลบโว้ยๆๆ ภัยจะมาแล้ว "
    ใครที่หลบไม่ทันก็ตายกันเป็นเบือ เห็นแล้วสลดใจ



    อย่างนี้คุณว่ามันเป็นเรื่องสนุกไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2008
  20. *นักรบแห่งรัตติกาล*

    *นักรบแห่งรัตติกาล* สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +0
    ผมเคยคุยกับคนที่นับถือคริสต์ ผมถามเขาว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาทำไม

    เขาตอบผม เล่นเอาผมงงไปหลายวันเลย

    เขาตอบผมว่า "พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์ได้รับรุ้ว่าพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่"



    คุณว่ามันตลกไหม


    มีคนอยู่บนโลกประมาณ หกพันล้านคน ทุกคนเต็มไปด้วยทุกข์ เพียงเพราะว่า พระเจ้าต้องการให้คนอื่นรู้ว่า ตัวเอง "ิยิ่งใหญ่"



    ตอนที่ได้ยินคำตอบ ผมไม่รู้ว่าจะ หัวเราะ หรือ เศร้าดี มันปนๆกันไปหมดเลย พูดไม่ออกเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...