ข่าวสารจากจิตจักรวาล

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 12 มกราคม 2007.

  1. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    วิชชา ความรู้แจ้งจริง ทำให้คิดถูก

    อวิชชา ความรู้ไม่แจ้งจริง ทำให้หลงคิดผิดๆ แต่คิดว่าถูก

    จึงขอเสนอแนวคิดเก่า อธิบายใหม่ ให้กัลยาณมิตรช่วยวิจารณ์ :( :( :(

    โมเลกุลชีวิต2.jpg
    สิ่งที่สามารถทำให้ คงที่ อมตะนิรันดร์กาล ได้หนึ่งเดียว คือ จิต
    ด้วยวิถี แห่ง พรหมจรรย์ อันบริสุทธิ นั่นเอง
    จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว เสมอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2008
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    นิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด....คือ ตัวสร้างแรงดึงดูด
    นิสัย หมด....อารมณ์ ก็หมด
    ก็หลุดพ้น...จากทุกข์ การเกิดใหม่ได้

    สัจจะ...คือ การฝึกจิตใจให้นิสัยหมดไปได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  3. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ขออณุญาติสอบถามนะครับ เมื่อท่านเขียนคำเหล่านี้ขึ้นมาแล้ว ท่านควรอธิบายความหมายของคำนั้นได้นะครับ เช่น

    -ปัญญาญาน คือ .......
    - จิตอิสระ คือ ...... ทำอย่างไร
    - กับดักโลกธรรมแปด คือ ...... อะไรบ้าง....
    - ลาภ-เสื่อมลาภ ยศ-เสื่อมยศ สรรเสริญ-นินทา สุข-ทุกข์ แต่ละตัว คือ .....
    - ทางสายกลางหาให้เจอแล้วจะเห็นและเข้าใจในสภาวะการเกิดของปัญญาญาน หาอย่างไรครับ ต้องทำอย่างไร
    ทุกคำถามนี้ตอบได้ไหมครับผม.... รอคำตอบครับ
     
  4. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ท่านเป็นผู้มาบอกสิ่งนั้น สิ่งนี้ตั้งมากมาย แต่ไม่เห็น บอกวิธีการปฏิบัติ เพื่อให้เกิด ผลตามที่ท่านบอกไว้เลยครับ ถ้าท่านเขียนขึ้นมาแล้วช่วยบอกวิธีการปฏิบัติตนเพื่อที่จะบรรลุในหัวข้อที่ท่านเขียนขึ้นมาด้วยนะครับ
    ท่านเขียน อยู่อย่างเดียว ก็เข้าใจของท่านคนเดียว คนอื่นจะเข้าใจได้ไหมละครับท่าน...
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931


    *** นำหลักสัจจะธรรม มาดำเนินชีวิต ****

    วิธีรอดพ้น จากกรรมได้...คือ การปฏิบัติตนด้วย "สัจจะ"
    เพื่อให้เกิดการกระทำใหม่....ที่ไม่ได้เกิดจาก การทำตามใจ ตามนิสัยตนเอง

    หาก...เรามีนิสัยชอบขโมย
    แล้วเรา กำหนดสัจจะว่า....ไม่ขโมย มีกำหนด ๑ เดือน
    เมื่อทำได้...ก็คือ เกิดการกระทำขึ้นใหม่ในชีวิต ของคนที่เคยขี้ขโมย
    และ ผลการกระทำที่ทำได้...จะติดตัวเราเป็นบารมี

    ผลการกระทำนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า "ตัวกระทำ" เป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่สูญสลาย
    และจะคอยช่วยเหลือ จัดสรร ...ให้เรารอดพ้นจากกรรมที่กำลังมาถึง

    สัจจะ...เมื่อปฏิบัติเป็นประจำ
    นิสัยทีมี....ก็จะหมดไปได้
    การกระทำไม่ดีจากนิสัยนั้น...ก็หมดไปในที่สุด

    เหมือนกรรมเป็นโจร ที่กำลังตามล่าเราอยู่
    แล้ว เราปลูกสัจจะ เป็นต้นมะม่วงไว้ข้างทางไปเรื่อยๆ
    เมื่อโจรมาถึงต้นมะม่วง มะม่วงก็ออกผลแล้ว
    โจรก็แวะกินมะม่วงที่เราปลูกไว้ อยู่ข้างทาง
    สุดท้าย โจรก็ตามเราไม่ทัน
    ชีวิตเรา จึงรอดพ้นจากกรรมที่เคยทำไว้

    ทำความดี โดยไม่หวังผลตอบแทน
    ปลูกต้นมะม่วงไว้ให้คนข้างหลัง ใครจะใช้ประโยชน์ จะทำลายอย่างไร
    ก็เป็นเรื่องของเขา เราทำให้แล้ว

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ขอบคุณครับ
    การทำตัวเองให้รอดพ้นจากกรรม กับ การทำตัวเองให้กรรมนั้นแตกสลายไป ท่านทำไมไม่เลือกที่จะทำให้กรรมนั้นสลายไป เพื่อไม่ต้องหนีหรือต้องมาชดใช้กรรมนั้นอีก
    ท่านให้ทำตัวเองเพื่อรอดพ้นจากกรรมนั้น แต่กรรมนั้นก็ยังตามตัวเราอยู่แต่ตามยังไม่ทันแต่ถ้าวันไหนที่เราเผลอกรรมก็มีโอกาสตามทันได้ใช่ไหมครับ แล้วทำไมท่านไม่ทำกรรมนั้นให้แตกสลายไป ซึ่งการทำกรรมให้แตกสลายนั้นอาจารย์ ปริญญา ท่านสอนไว้แล้วครับ
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** กรรม ****

    กรรม...คือ "ผลจากตัวกระทำ"

    ต้องเป็นไปตาม "หลักสัจจะธรรม"
    คือ ตัวกระทำไม่ตาย ไม่สูญสลาย และมีผลตอบแทน

    เมื่อกรรม กำลังจะปรากฏขึ้นมา
    และ เรารู้ตัว...ตั้งใจทำความดีอย่างจริงจังด้วย "สัจจะ"
    จึงเกิดเป็น "ตัวกระทำที่ดี" ขึ้นมา
    และ มีผลช่วยเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ให้ดีขึ้น
    กรรม ไม่ได้สลาย
    แต่ ตัวกระทำส่งผลดีตอบแทนมา
    กรรมที่ปรากฏขึ้นใหม่ จึงลดลง เบี่ยงเบน เบาบางขึ้น

    กรรม...คือ ผลตอบแทนจาก "ตัวกระทำ"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ทั้งหมด...เป็นเรื่องเดียวกัน
    เพียงแต่...อ.ปริญญา ยังไม่พบ "หลักสัจจะธรรม" และ "สัจจะปฏิบัติ"
    ที่พระพุทธเจ้า ได้ค้นพบ....โดยการนำพาจาก โลกุตตระธรรม

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    ขอตั้งคำถาม คงไม่ว่ากันนะคะ ดิฉันยังรู้น้อยอยู่มาก
    พระพุทธองค์สอนว่า เรามีกรรมเป็นของตน
    มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
    หลังจากที่พิจารณา ศึกษา ตั้งสมุตติฐาน เฝ้าสังเกต
    ดิฉันก็เชื่อตามนั้น และเคารพในกฏนี้อย่างไม่สงสัยเลย

    ท่านว่ากรรมเป็นของผู้กระทำ ไม่สูญสลายไปไหน
    แม้แต่ท่านเอง ก็หนีกฏของกรรมไปไม่พ้น
    ดิฉันจึงสงสัยที่คุณพูดว่า กรรมนั้นทำให้แตกสลายไปได้
    นั้นเป็นอย่างไร พิสูจน์ได้อย่างไร
    รบกวนช่วยอธิบายรายละเอียดได้มั้ยคะ
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** พิจารณาให้ดี ****

    "กรรม" ...เป็น เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นมากระทบกับกาย วาจา ใจ
    สิ่งที่ส่งผลให้เกิดเป็น กรรม ขึ้นมา .... คือ "ตัวกระทำ"
    สิ่งที่ทำให้เกิด "ตัวกระทำ"... คือ "การกระทำ"

    กรรม...ต้องเกิดขึ้นแน่นอน
    แต่ จะแผลงมาในรูปแบบใด ...ไม่มีใครรู้ได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ตามความเข้าใจของผมนะครับ ฝากให้ช่วยพิจารณาด้วยครับ
    สิ่งที่เราคิด เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็คือสิ่งที่กระทำผ่านมาแล้วในอดีต ทั้งอารมณ์ ความคิด การกระทำ
    สิ่งที่ผ่านมาในอดีต ไม่สามารถแก้ไขได้ครับ จะแก้ไขได้นั้นต้องทำผ่านจิตสำนึกในปัจจุบันขณะเท่านั้น
    เช่น หากเราดับการเกิดดับของอารมณ์ขยะทั้งหลายอย่างสิ้นเชิงนั้น เราก็จะไม่ก่อให้เกิดกรรมใหม่ขึ้นครับ หากยังไม่ได้ เมื่อเจอสิ่งเร้าใดๆ เราก็จะสั่นสะเทือนอารมณ์นั้นตามความเคยชินของเรานั่นเอง ซึ่งเหตุการณ์เก่าๆที่เคยผิดพลาด ก็จะผ่านเข้ามาเรื่อยๆครับ จนเมื่อเราดับได้สิ้นเชิง ผ่านการมีสติ ไม่รับรู้ ไม่รับเอา เพราะไม่ยึดติดตัวตน การที่จะก่อกรรมใหม่ต่อไปในอนาคตก็จะไม่เกิดขึ้นอีกครับ
    ส่วนกรรมเก่านั้น จะตามมาตอบสนองเราหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่จิตผู้ที่เราเคยกระทำนั้น อโหสิกรรมให้เราหรือไม่ครับ เช่น ในอดีตหากเราเคยสั่นสะเทือนทางอารมณ์เป็นอารมณ์โกรธ ต่อเพื่อน และจิตของเพื่อนรับเอาอารมณ์ด้านลบที่เราส่งไปให้ และยึดเป็นตัวตน คือเกิดอารมณ์โกรธตอบโต้เราออกมา เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว เราย่อมไม่สามารถที่จะทำให้เพื่อนเราหายโกรธได้ หากเพื่อนเราไม่อโหสิกรรมในสิ่งที่เราเคยล่วงเกินเขาไป แต่หากต่อมาเราแก้ที่จิตเราคือไม่สั่นสะเทือนอารมณ์ด้านลบใส่เขา แต่กลับสั่นสะเทือนความรักให้เขาเข้าไปแทน เขาย่อมรู้สึกและรับรู้ได้ และอาจอโหสิกรรมในสิ่งที่เค้าเคยจองจำเราไว้ก็ได้ กรรมนั้นก็จะเกิดความเป็นกลางขึ้นมาครับ
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** นิสัยสันดาน ****

    ฝังลึก...ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
    เพียงแค่ ชอบ ไม่ชอบ ...ก็ทำให้ใจเราสุข ทุกข์ได้

    อารมณ์...รัก โลภ โกรธ หลง
    เหมือนเป็น....แรงดึงดูด
    ดึงไปให้เจอ...คนที่เคยรัก
    ดูดคนที่เคยโกรธแค้น....ให้เข้ามาหา
    เป็นการสร้าง...สัญญา ต่อกัน
    เช่นเดียวกัน....เราจึงต้องมาเจอกัน

    นิสัย สร้างอารมณ์ สร้างการกระทำ
    อารมณ์ยังคงมี...ก็สร้างการกระทำไปตามใจตน
    ต้องหมั่นฝืน ใจตนเอง
    คือ สัจจะปฏิบัติทุกวัน
    คือ หนทางหลุดพ้นนิสัย

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  13. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ขอบคุณครับ ที่ช่วยอธิบายครับ
    คนที่ยังยึดติดอยู่กับคำสอนของครูบาอาจารย์ ยังงัยก็ไม่มีทางที่จะรู้มากไปกว่าครูบาอาจารย์วันยังค่ำ ยังคงเดินตามรอยครูบาอาจารย์คงอีกหลายภพชาติถึงจะตามทัน
    อ่านดูแล้ว ในเวปนี้ ก็เห็นแต่อวดภูมิรู้กันซะส่วนใหญ่
    เป็นเรื่อง ขบขันของจักรวาล เสีบจริงๆ
     
  14. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    กรรม...ต้องเกิดขึ้นแน่นอน
    แต่ จะแผลงมาในรูปแบบใด ...ไม่มีใครรู้ได้
    ท่านเขียนมาตั้งมากมาย รู้ว่ากรรมเกิดขึ้นแน่นอน
    แต่ผลของกรรม และการข้ามภพชาติของกรรมข้ามผ่านมาอย่างไรและตามเรามาอย่างไร ท่านยังไม่สามารถรู้ตรงนี้ได้เลยแล้วท่านจะเข้าสู่การรู้จริง จนทำให้เกิดการรู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องกรรมได้อย่างไร เมื่อท่านยังรู้ไม่จริงรู้ไม่แจ้งในเรื่องกรรมนี้ ท่านก็ได้แต่หนีกรรมอยู่ตลอดแล้วยังมาอวดรู้ ตั้งมากมาย มาเขียน คำพูดที่วกเวียน กลับไปกลับมา คนที่เขามาอ่าน ปวดเศียรเวียนเกล้า ไปตามๆกัน ท่านแสดงออกได้เพียง ผู้รู้มากเท่านั้น ท่านยังไม่ทำให้เกิดการรู้จริง และยังเข้าไม่ถึงการรู้แจ้ง แทงตลอดของเรื่องราวนั้นๆเลย เมื่อจิตที่ยังไม่สามารถรู้แจ้งในเรื่องเหล่านี้ได้ จิตมันก็พยายามที่จะค้นหาต่อไปไม่รู้จักละ รู้จักวาง เพราะมันยังรู้ไม่จริงรู้ไม่แจ้ง
    จิต ที่มันเข้าไปรู้แล้ว มันจะละวางจากเรื่องนั้นไปแล้วมันก็จะเรียนรู้สิ่งใหม่เข้ามาเพื่อให้เกิดการรูู้็แจ้ง พอเกิดการรูู้็แจ้งในเรื่องนั้นจิตมันก็จะวาง แล้วบอกตัวเอง ว่า ข้ารูู้็้แล้ว
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    สัจจะ...คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  16. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    กรรมแบ่งเป็นสองพวกใหญ่ๆ

    ชนิดแรก เป็นกรรมที่ก่อขึ้นจากการเบียดเบียน และจองเวร (รวมเรียกว่าการก่อเวร)
    เป็นกรรมที่ต้องตามล้างตามเช็ดซึ่งกันและกัน เมื่อโคจรมาพบกัน ใครมีโอกาสมากกว่า ในบุญและบาป ผู้นั้นก็เป็นผู้เริ่ม(วิบาก(กรรม)จะเป็นตัวเริ่ม)
    กรรมชนิดนี้จะลบล้าง กันไปได้ก็ด้วยการ "อโหสิกรรม" ซึ่งกันและกันอย่างจริงแท้ จากก้นบึ้งแห่งจิตเท่านั้น

    ชนิดที่สอง เป็นสิ่งที่เรารียกว่า "วิบากกรรม" เป็นกมลสันดานที่บันทึกลงในจิตสะสมกันมาข้ามภพข้ามชาติ
    สะสมอยู่ใน สัญญา และวิญญานธาตุ และก่อให้เกิด การยึดติด(อุปปาทานในขันธ์ห้า)
    ทั่วไปเรียกสิ่งนี้ว่า สันดาน ทำให้เกิดความชอบหรือยึดติดที่จะทำสิ่งต่างตามที่ตนต้องใจ(สิ่งที่กระทำจะก่อให้เกิดเวทนาในแบบต่างๆ สุข-ทุกข์ ฯ)
    การที่จะสลายหรือทำลายซึ่งกรรมตัวนี้ อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงสัญญา และความรู้ที่บรรจุอยู่ในวิญญานธาตุเท่านั้น
    วิธีการก็เริ่มจากการจิตดูจิต ดูการเกิดดับ รู้จักวิธีการสร้างสัญญา รู้วิธีการบันทึกความรู้ลงในจิต
    ศึกษาปฏิปักในกันและกัน แห่งธรรมทั้งสามฝ่าย(ทวิลักษณ์แห่งธรรม-กุศล อกุศล และธรรมที่เป็นกลาง)
    เมื่อรู้แจ้ง ไม่มีทางแยกเป็นอื่น ก็ให้บันทึกความรู้ใหม่(ที่ถูกต้อง)ทับความรู้(ที่ผิด)เดิมๆ เสีย
    ความรู้ใหม่และสัญญาใหม่ ก็จะปรากฎขึ้น
    สัญญาธาตุ และวิญญานธาตุ จะถูกเปลี่ยนแปลง สันดานก็จะถูกเปลี่ยน วิบากกรรมที่บันทึกในจิตก็จะถูกเปลี่ยน
    ตัวตนใหม่(กายธาตุ-จิตวิญญานใหม่) ก็จะเกิดขึ้น ในพริบตานั้น(ที่ความรู้ใหม่ได้บันทึกเสร็จ)

    กรรมที่ท่าน "หนุมานผู้น่าสงสาร" พยายามประกาศให้โลกรู้ คือวิบากกรรมตัวนี้
    การสร้างสัจจะ เป็นวิธีการหนึ่งที่จะสลายซึ่งกมลสันดานแห่งวิบากกรรม
    แต่การสร้างสัจจะด้วยความประมาท ล้วนนำความทุกข์มาให้อย่างไม่รู้จบสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2008
  17. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    สัจจะ เป็นหนึ่งในธรรม "เป็นการกระทำ" ที่นำผู้ที่ตั้งความปรารถนา ก้าวขึ้นสู่ควมเป็นพุทธะ
    แม้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นพุทธะแล้ว สัจจะก็ยังเป็นธรรมที่ต้องใช้อยู่ตลอด

    การนำสาร เพื่อประกาศธรรม มีจุดมุ่งหมาย
    ให้ผู้มีคุณธรรมสูง มีการต่อยอดเพิ่มขึ้น รู้มากขึ้น
    ให้ผู้ที่มีธรรมรองๆลงมารับรู้และปฏิบัติได้ เพื่อให้สภาพธรรมสูงขึ้น
    ให้ผู้ที่ไม่รู้เรื่องเลย ได้มองเห็น และเข้าใจ และตั้งเป้าหมายที่ต้องการได้

    แต่สิ่งที่หนุมารเพียรนำมาแสดงให้ปรากฏ มีเพียงข้อความซ้ำซาก ไร้ที่ไป ไร้ที่มา ไร้คำอธิบาย
    ผู้มีธรรมสูง จะเข้าใจ ไม่ว่ากัน(ในพวกนี้จะมีบ้าง ถามในรายละเอียด และได้รับคำตอบบ้าง)
    แต่ผู้ตามมาภายหลังมีภูมิธรรมที่ลดหลั่นลงมา บ้างพอเข้าใจ บ้างไม่เข้าใจ ก็เกิดความรำคาญ จึงเกิดคำประชดประชัน แดกดัน ดังปรากฏให้เห็น

    การปรามาส ล้วนเป็นวิบากกรรมที่ติดตัวไป น่าสงสารนัก
    แต่ผู้ที่จงใจให้เกิดการปรามาส (ด้วยความประมาท) นั้น น่าสงสารยิ่งกว่า
    นับเป็นความประมาทในความประมาทโดยแท้
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2008
  18. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    สิ่งที่จิตแต่ท่านได้สื่อออกมา ล้วนกล่าวถึงสิ่งเดียวกัน และมีความปราถนาดีเพื่อจะได้เป็นแนวทางให้จิตดวงอื่นๆได้พิจารณา เพื่อแลกเปลี่ยนให้เรามีความเข้าใจมากขึ้น และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ทั้งนั้นครับ
    ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นครูเราได้ทั้งนั้นครับ สำคัญที่สุดคือจิตของเราเอง ว่านำสิ่งที่เรารู้ และเราเข้าใจ มาใช้ให้เกิดประโยชน์เป็นรูปธรรมทั้ง ความคิด คำพูด และการกระทำ ต่อตนเอง ต่อสังคม ต่อโลก และจักรวาลอย่างไรครับ

    ขออนุโมทนา กับดวงจิตที่มีความรัก ความปราถนาดี อย่างสุดซึ้งครับ
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ทางสายกลาง ****

    สัจจะ ...ที่พระพุทธเจ้าสอน
    คือ....การตั้งใจทำความดี ด้วยกำหนดที่ชัดเจน
    ไม่เหนือบ่าฝ่าแรง จนเกินไป
    พอหยิบ พอเอื้อมถึง
    แล้ว ทำสัญญาใจนั้น...ให้เกิดขึ้นจริงในชีวิต

    สิ่งสำคัญ...คือ การปฏิบัติเป็นประจำ เหมือนพระในอดีต
    สันดานตัวนั้น....จึงจะหมดไปได้จริง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  20. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    กรรม คือ ผลของการกระทำ
    กรรมแบ่งเป็น 2 อย่าง
    1.พันธะสัญญากรรม คือ กรรมที่ดวงจิตวิญญาณได้ร่วมกันเขียนขึ้นมาก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติแรก เพื่อการเรียนรู้และต่างฝ่ายจะต้องพยายามฟันฝ่าพันธะสัญญากรรมตัวนี้ให้ได้เพื่อยกระดับจิตให้เข้าสู่ความเป็นสุญญตา พร้อมที่จะกลับคืนสู่ที่เดิมที่ ดวงจิต ดวงนั้นขันอาสามา
    2.พันธะกรรม คือ กรรมที่มาก่อขึ้นในระหว่างที่มาเกิดเป็นมนุษย์หลายๆภพชาติไม่ว่าจะกับสรรพสิ่งใดก็ตามที่เราเข้าไปเกี่ยวพันด้วยล้วนก่อให้เกิดกรรมทั้งสิ้น โดยจะมีทั้ง กรรมฝ่ายดี และกรรมฝ่ายชั่ว ซึ่งทั้งกรรมฝ่ายดีและฝ่ายชั่วนี้ มนุษย์จะต้องกลับมาชดใช้ให้หมด จึงมีการเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อย่างนี้
    ซึ่งนั้นก็หมายความว่า ดวงจืตวืญญาณ 1 ดวง จะต้องพยายามสลายกรรมเหล่านี้ให้ลดน้อยลงเพื่อดวงจิตวิญญาณจะได้เบาไปจากภาระกรรม เมื่อดวงจิตวิญญาณมีสถานะที่เบาบางไปจากผลกรรมต่างๆแล้วจะทำให้ ดวงจิตนั้นเข้าใกล้สู่ความเป็นสุญญตาได้มาก ฉะนั้นคำว่า ละกิเลสปฏิเสธตัณหาจึงต้องมีขึ้นมา
     

แชร์หน้านี้

Loading...