ขันธ์5ตามดูการเกิดดับ ของจิตสังขาร

ให้หยุดพร่าม โอยทำได้ไหมเนี้ย

 

ถูกนั่งขำด้วย บอกให้ไปอยู่วัดสักเดือน

 

ซื้อหวยคือบ่แม่นแบบนี้

 

จะว่าจิตดับก็ดับ,แต่จิตไม่ตาย
สิ่งที่เกิดดับไม่ใช่จิตแต่เป็นสิ่งที่จิตสัมผัสรับรู้คับ
หมายความว่าเห็นสัมผัสรับรู้จากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่งหรือสัมผัสรับรู้หลายสิ่งในเวลาเดียวกันคับ
สิ่งที่จิตสัมผัสดับ,ไม่ใช่จิตดับคับ

 

พิจารณาอยู่นานว่าจะยกมาดีไหม หากเคยมีการกระทบอะไรกับใคร ต้องขออภัยนะครับ ก็มีข้อคิดเห็นเช่นเดียวกัน อ่านแล้วไม่ต้องยกกระทู้มานะครับ มันมีเรื่องราวผสมปนเปกันจนอาจสับสนได้ ช่วงแรกเป็นของพระอรหันต์ขีณาสพที่สอนไว้ครับ https://palungjit.org/threads/ข้อคิดเห็นเรื่องจิต.238009/

 

ถ้าชอบอ่าน วลีหลวงตามหาบัว ต้องอ่าน ตอนขมวดท้ายด้วย

จิตที่ไม่เกิดไม่ดับ ปรากฎตอนไหน

จะปรากฎ ตอนที่จิตบริสุทธิ์ คือ กิเลสตัณหา ดับสิ้น จิตจึงบริสุทธิ์ ตัวนี้ ถึงไม่เกิดไม่ดับ

แต่ คนที่บอกว่า จิตที่ไม่เกิดไม่ดับปรากฎแล้ว
แต่กิเลส ยังเต็มกะบาลหรือยังมีอยู่ แม้น้อยนิด อันนี้ เพ้อ

 

“นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง” สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี.

(1/1)

raponsan:

จงเข้าถึงสุขอันยิ่ง
พระพุทธเจ้าสอนว่า
“นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง” สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี.
หมายความว่า ความสุขอื่นมีเช่นกับความสุขในการดูละคร ดูหนัง ความสุขในการเข้าสังคม(Social) ในการมีคู่รักคู่ครอง หรือในการมีลาภยศ

การได้รับความสุข สรรเสริญ และได้รับความสุขจากสิ่งเหล่านี้ก็สุขจริง แต่ว่าสุขเหล่านี้มีทุกข์ซ่อนอยู่ทุกอย่าง ต้องคอยแก้ไขปรับปรุงกันอยู่เสมอ ไม่เหมือนกับความสุขที่เกิดจากสันติ ความสงบ เป็นความสุขทีเยือกเย็น และไม่ซ้อนด้วยความทุกข์ และไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงตกแต่งมาก

เป็นความสุขที่ทำได้ง่าย ๆ เกิดกับกายใจของเรานี่เอง อยู่ในที่เงียบ ๆ คนเดียวก็ทำได้ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมสังคมก็ทำได้ ถ้าเรารู้จักแยกใจหาสันติสุข กายนี้ก็เพียงสักแต่ว่าอยู่ในที่ระคนด้วยความยุ่ง สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ยุ่งมาถึงใจ

แม้เวลาเจ็บหนักมีทุกขเวทนาปวดร้าวไปทั่วกาย แต่เรารู้จักทำใจให้เป็นสันติสุขได้ ความเจ็บนั้นก็ไม่สามารถจะทำใจให้เดือนร้อนตามไปด้วย เมื่อใจสงบแล้ว กลับจะทำให้กายนั้นสงบ หายทุกขเวทนาได้ด้วย และประสบสันติสุขซึ่งไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่าสันติสุขนั้น


พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกเป็น ๓ ทาง คือ

๑. สอนให้สงบกาย วาจา ด้วยศีล ไม่ทำโทษทุจริตอย่างหยาบที่เกิดทางกาย วาจา เป็นเหตุให้เกิดสันติสุขทางกาย วาจา เป็นประการต้น

๒. สอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางใจด้วยสมาธิ หัดใจไม่ให้คิดถึงความกำหนัด ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความกลัว ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความลังเลใจ ทำให้ใจไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เด็ดขาดเมื่อละสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นเหตุให้ใจสงบ เป็นสันติสุขทางจิตใจอีกประการหนึ่ง

๓. ทรงสอนให้ฝีกหัดให้เกิดสันติสุขทางทิฏฐิ (ความเห็น) ด้วยปัญญา พิจารณาให้เห็นว่าสรรพสิ่งทั้งหลายไม่แน่นอน เป็น “อนิจจัง” เป็น “ทุกข์” ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อ้อนวอนขอร้อง หรือเร่งรัดให้เป็นไปตามความประสงค์ ท่านเรียกว่า “อนัตตา”

เมื่อเรารู้เห็นตามเป็นจริงเช่นนี้ จะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งมั่นคงเด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์ทั้งหลาย เพราะรู้เห็นตามเป็นจริงด้วยปัญญาว่า
"สิ่งเหล่านั้นมันไม่แน่นอน มันคงอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงเสื่อมสิ้นดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาฝ่าฝืนของเรา"

อย่าไปเร่งรัดให้เสียกำลังใจ คงรักษาใจเราให้เป็นอิสระมั่นคง อยู่เสมอ ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์เหล่านั้น
เป็นเหตุให้ใจตั้งอยู่ใน สันติสุข เป็นอิสสระ เกิดอำนาจทางจิต – Mind Power ที่จะใช้ทำกิจกรณียะ อันเป็นหน้าที่ของตน ได้สำเร็จสมประสงค์


อ้างอิง
โอวาทจากเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต(ธัมมวิตักโก ภิกขุ)
ไม่แน่ใจเหมือนกันสภาวะนี้ใช่นิพพานหรือป่าวงง

 

กิเลสขาดเป็นสมุจเฉทประหารเมื่อไหร่
จิตก็ไม่เกิดไม่ดับคับ
ใครดับกิเลสหมดก่อนก็ไปพระนิพพานก่อนคับท่านปราบ
คนที่ยังดับไม่ได้ก็ต้องเกิดใหม่อีกคับ

 

ท่านปราบหมดกิเลสแล้วใช่ไหมคับ
ถึงว่าคนอื่นเพ้อ

 

ถามได้ถือสมชื่อ55

 

คนที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังไม่เจอหรอกครับ จิตที่ไม่เกิดไม่ดับ คือ ยังปฏิบัติอยู่

แค่คนที่เจอจิตที่ไม่เกิดไม่ดับ แต่กิเลสยังเต็มกะบาล คือ คนเพ้อ


ส่วนผม ยังฝึกอยู่นะครับ กิเลสยังเต็มกะบาล
ยังไม่เจอจิตที่ไม่เกิดไม่ดับกะเขาสักที

 

เป็นการยากมากที่ปุถุชนจะถูกแบบคั่นด้วยกิเลส

 

เราก็ว่ามันก็เกิดก็ดับของมันไปตามเรื่องนั่นแหละเหมือนกัน มันอะไรทำให้เกิดมันก็เกิดอยู่ร่ำไป แต่มันเกิดแล้วก็ไม่เคยเห็นมันเกิดแบบค้างเติ่งนะ เหมือนหนังกดพอสไว้ ก็ไม่เคย อือ อันนี้ไม่เคย เคยเห็นแบบนั้นแหละ แต่ถ้าทำอีกแบบไม่แน่ ก็จิตเหมือนกัน ตัดมันไปทีละอย่าง ทีละอย่าง แต่ท้ายที่สุด ก็มีความไหวติงในระดับ.... อะไร ณูๆมั้ง ช่างเถอะ ไหวหรือเคลื่อนไหว ก็คือไหวหรือเคลื่อนไหว จะมากจะน้อยก็คือมี เมื่อมีก็ย่อมมีแปรปรวนได้ แปรว่า มันไม่ได้นิ่งแบบที่คิด หรือต่อให้เป็นแบบที่ไม่อาศัยรูปอาศัยนามอย่างเดียว ก็ไหวแปรวนแต่ในระดับไหนก็แล้วแต่คนจะสามารถรับรู้ได้ แต่นิ่งไม่ไหวติง ไม่เคยเห็นครับ

 

ผมว่านะมันไม่ได้ค้างแต่สติมันไว
จนเห็นทุกอย่างหยุดนิ่ง

 

ไม่รู้เหมือนกันครับ สติไว จนเห็นสิ่งต่างหยุดนิ่ง ผมคิดว่าแบบนั้นไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของสติเช่นกัน ถ้ามองดีดีด้วยสติจริงๆ อาจเห็นว่าไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ถ้าทำสติให้มีอำนาจโดยละเอียดๆๆๆๆๆ มากๆ ยิ่งจะเห็นการเคลื่อนไหวที่มากเกินจะจินตนาการด้วยซ้ำ อันนี้แค่ประเมินการ ต้องลองทำเองดูคับ

 

#เข้าใจให้ถูก
#ถ้าใครยังคิดว่าสมาธิ
#ต้องนั่งขัดสมาธิหลับตาภาวนา_คนนั้นยังโง่อยู่
#ถ้าผู้ใดเข้าใจว่าสมาธิเราทําได้ตลอดเวลา
#ทุกลมหายใจ_ผู้นั้นเข้าใจถูก
#สมาธิคือการกําหนดสติ
#รู้อยู่ในชีวิตประจําวัน_ในปัจจุบันตลอดเวลา
เมื่อเรามีสติรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเราทําอะไร
มันไม่ใช่ความประมาท
เราปฏิบัติธรรมหามรุ่งหามค่ำ ผลลัพธ์ที่เราต้องการคือความมีสติอย่างเดียวเท่านั้น
เราสร้างสติเพื่ออะไร
เพื่อให้จิตของเรามีความเข้มแข็ง
ถ้าเรามีสติแล้วจิตของเราแข็งเหมือนเหล็กกล้า
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวันจ. นครราชสีมา
(จาก ฐานิยปูชา 2543 หน้าที่ 14)

 

คนที่ยังมีกิเลสอยู่ แต่เจอจิตที่ไม่เกิดไม่ดับได้
หากสิ่งที่คนยังมีกิเลสอยู่เขียนเป็นความจริง
คำว่าเพ้อจะสะท้อนย้อนกลับเข้าหาคนที่ยังมีกิเลสอยู่เต็มกระบาลว่าคนอื่นเพ้อคับท่านปราบเทวา
คนที่อยู่ในฐานะว่าคนอื่นเพ้อได้โดยไม่มีผลคือคนไม่เกิดคับ
ไม่ใช่คนที่กิเลสเต็มกระบาล
ท่านปราบตรึกไตร่ตรองดูให้ถ้วนถี่คับ