ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    ดูรูปไปปลื้มใจไ.................อีกแล้ว ครับ ^_^
     
  2. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ธรรมภาษิต ตอน
    "มืด เงียบ และอิสระ"

    โดยพระชุมพล พลปญฺโญ
    จากหนังสือชื่อสันติรำลึก

    - บุคคลที่มีจิตยินดี ในความเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
    คือผู้มีสมบัติ มหาศาลอยู่ประจำตัว

    - เราห้ามอุปสรรคไม่ให้เกิดไม่ได้ แต่เมื่อเจออุปสรรคแล้ว เราพยายามแก้ไข
    ไปในทางที่ดีที่สุด ก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิตแล้วละ

    - คนเราจะรวยจะจนก็อยู่ที่วาสนา คนมีวาสนาจนไม่นาน
    คนไร้วาสนารวยไม่ยืด ฉะนั้นพยายามสร้างวาสนาไว้ คือ
    การสร้างบุญกุศล การบูชาพระรัตนตรัยด้วยความศรัทธา
    การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ประพฤติธรรม การยินดีเมื่อผู้อื่นสร้างความดีหรือได้ดี
    และการไม่ขัดขวางการสร้างความดีของผู้อื่น
    กระทำสิ่งทั้งปวงที่กล่าวไว้ข้างต้นให้เป็นนิสัย
    ก็จะพอกพูนวาสนาของตนไปเอง



    วันต่อๆ ไปอาจมาเติมนะครับ อ่านแล้วก็พิจารณาเป็นทอดๆ ไปครับ

    สาธุครับ
     
  3. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ธรรมภาษิต ตอน
    "มืด เงียบ และอิสระ" ต่อครับ

    โดยหลวงพ่อชุมพล พลปญฺโญ
    จากหนังสือชื่อสันติรำลึก

    - จงเอาปัจจุบันอารมณ์เป็นใหญ่ อย่าตกไปสู่อารมณ์แห่งอดีต อนาคต
    กำหนดสติในการเคลื่อนไหวของร่างกายให้แยบคาย
    จะช่วยนำจิตออกมาจากโลกแห่งมายาของอดึต อนาคตได้

    - คนเรามันศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่ศักดิ์สทธิ์ที่คำพูด

    - จงอย่าทำลายสมรรถภาพทางจิตของตนเอง โดยการนำเรื่องราวในอดีตมา
    ทุกข์ตรม ขมขื่น น้อยเนื้อ ต่ำใจ โศกเศร้า เคล้าน้ำตา

    - ความยึดมั่นอุปาทานของจิตต่อสิ่งใดก็ตาม จะชักพาให้จิตเข้าสู่ทางแคบ
    ทางตัน จนทำให้ จิตถูกบีบคั้น แล้วเกิดความทุกข์ใจลำเค็ญขึ้นมา

    - ตัวละนี่เองที่นำพาจิตไปสู่นิพพาน

    สาธุครับ
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สรุปยอดการบริจาคกิจกรรมของทุนนิธิฯ ครั้งที่ 6/51 ในวันที่ 25/5/51 ดังนี้

    1. ยอดเงินบริจาคสำหรับการซื้อเวชภัณฑ์เข้าส่วนกลาง
    1.1 ใช้เงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ 10,000.- บาท
    1.2 มีผู้บริจาคเพิ่มเติมที่โต๊ะบริจาค 1,800.- บาท
    2. ยอดเงินบริจาค สำหรับการซื้อเลือด
    2.1 ใช้เงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ 10,000.- บาท
    1.2 มีผู้บริจาคเพิ่มเติมที่โต๊ะบริจาค 1,800.- บาท
    3. ค่าสังฆทานอาหารถวายพระ จำนวน 5,000.- บาท
    200 กล่องๆ ละ 25.- บาท

    รวมเป็นเงินบริจาคทั้งสิ้น 28,600.- บาท

    โดยเป็นเงินที่ถอนจากบัญชีของทุนนิธิฯ 25,000.- บาท

    (รายละเอียดยอดเงินคงเหลือ และรายการรับโอน พร้อมรายชื่อ รอนายสตินำมาสแกนขึ้นกระทู้ให้ทราบอีกครั้งหนึ่งครับ)

    พันวฤทธิ์
    29/5/51

    หมายเหตุ เรื่องรายละเอียดการทำบุญคุณโสระได้อธิบายไว้แล้ว ส่วนสิ่งของในรถเข็นต่างๆ ตามที่เห็น นอกจากอาหารกล่องที่ใช้เงินของทุนนิธิฯ แล้ว สิ่งของอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ นม น้ำ ขนมปัง ฯ ล้วนแต่ผู้มีจิตศรัทธาที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ หิ้วมาเองทั้งนั้น คณะกรรมการฯ ต้องขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างมาก เพราะบางท่านไม่ได้นำรถส่วนตัวมา ต้องนั่งแท๊กซี่มา หิ้วกันอีรุงตุงนัง แต่ท่านมีจิตใจงดงามเหล่านี้ ท่านตั้งใจมาทำบุญจริงๆ ได้เห็นสีหน้าท่านแล้วก็สบายใจ แช่มชื่นใจ ดูอย่างท่าน อ.ประถมฯ ปะไร ท่านสีหน้ายิ้มแย้ม อธิบายข้ออรรถข้อธรรม ให้กลุ่มท่านผู้ใหญ่ได้ทราบด้วยอารมณ์ที่ดี ไม่บ่อยครั้งที่ผมได้เห็นกิริยาท่านเป็นอย่างนี้ ผมยังแอบบอกกับพี่จิ๋ว ลูกชาย อ.ประถมฯ เลยว่า สงสัยคราวหน้าท่านอาจจะมาอีก เพราะมาแล้วได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ที่ปฏิบัติภาวนา และผู้ที่มีจิตสูง และกำลังบุญสูงได้ฟัง ท่านจึงไม่รู้สึกเบื่อหน่าย นี่ถ้าไม่บอกให้ลุก ว่าจะปิดห้องแล้ว ท่านก็คงไม่ลุกเหมือนกันทั้งผู้ถ่ายทอดและผู้ฟังครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2008
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    "โอวาทปาติโมกข์ คือ หนึ่งเดียวในสามสิ่ง"
    <!-- Main -->[SIZE=-1][​IMG]

    "วันมาฆบูชา" เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
    ตรงกับวันเพ็ญกลางเดือน ๓
    เป็นวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพุทธศาสนา
    ที่เรียกว่า
    "จาตุรงคสันนิบาต"
    พระอริยสงฆ์สาวก(พระอรหันต์)ที่เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา
    จำนวน ๑,๒๕๐ รูป ที่มาประชุมพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้
    นัดหมายในวันเพ็ญกลางเดือน ๓ และ เป็นวันที่พระสัมมา
    สัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง
    "โอวาทปฎิโมกข์ "
    เป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์
    เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติ และ นำไปเผยแพร่
    เป็นหลักสำคัญของคำสอน เพื่อจะยังพระพุทธศาสนา
    ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป ดังนั้น ชาวพุทธ ควรเข้าใจหลักคำสอนนี้..........

    โอวาทปาติโมกข์

    เป็นหัวใจ หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนาประกอบด้วย

    ๑. ทำดี
    ๒. ละเว้นชั่ว
    ๓. การทำใจให้ผ่องใส

    ตามความเห็นของเจ้าของบล็อกแก็งค์(จขบก.) ทั้ง ๓ ข้อ ข้างต้น
    คือ สิ่งเดียวกัน

    ในขณะที่เราทำดี ขณะนั้นเราก็ไม่สามารถทำชั่ว ได้ และ
    เมื่อเราทำความดี ขณะนั้นจิตใจเราก็จะผ่องใส

    จึงขอสรุปว่า
    โอวาทปาฏิโมกข์ จะทำข้อใดข้อหนึ่งใน ๓ ข้อ อีก๒ ข้อก็
    สำเร็จพร้อมด้วยกันแล้ว จึงไม่ต้องไปตั้งใจทำให้ครบ ๓ ข้อ
    ก็ได้ถือว่าปฏิบัติตามโอวาทปาฏิโมกข์แล้ว
    [/SIZE]


    ขอขอบคุณ
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=panomsarakham&month=27-05-2008&group=7&gblog=5
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    "สำหรับพวกเทวดาข้างบนนั้นเวลาจะตาย เขาจะอวยพรขอให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์"
    <!-- Main -->[SIZE=-1]นำบทความที่ได้รับในอีเมลล์ที่สมัครเป็นสมาชิก ธรรมะใกล้มือ ไว้ได้รับบทความน่าสนใจจึงนำมาลงให้ผู้เข้าชมบล็อกจริยธรรมพิจารณา กัน

    จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว
    dharma.at.hand@gmail.com)
    Sent: Fri 3/07/08 5:15 PM


    กลางชล

    [​IMG]

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ท่านเคยเปรียบเปรยไว้น่าฟังดีค่ะ

    ท่านบอกว่า มนุษย์เราเวลาใกล้จะตายนั้น

    [​IMG]

    มักจะพากันอวยพรขอให้ได้ไปเกิดเป็นเทวดา ขอให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้า

    แต่ทราบไหมคะว่า สำหรับพวกเทวดาข้างบนนั้น

    เวลาจะตาย พรรคพวกเขาจะอวยพรขอให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ : )

    อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มนุษย์ เป็นสุคติภูมิของเทวดา

    ใช่แล้วค่ะ... ความเป็นมนุษย์ที่เราทุกคนกำลังได้โอกาสในการถือครองอยู่นี้แหละ

    คือเครื่องมือสำคัญที่มีศักยภาพขนาดให้เราใช้ฟันฝ่าจนดีดตัวพ้นจากทุกข์ได้จนหมดสิ้น

    หลวงพ่อท่านเคยพูดให้ฟังอย่างนี้ค่ะว่า

    "มนุษย์ แปลว่า ผู้มีใจสูง ผู้มีใจประเสริฐ (รากศัพท์: มนะ = ใจ / อุษยะ = สูง)

    จิตใจมนุษย์นั้นดีที่สุดเลย จิตใจมนุษย์นั้นเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเร็ว มีทั้งดี มีทั้งชั่ว

    อย่างจิตของสัตว์นรกนั้น ทุกข์เยอะเกินไป

    จิตของสัตว์เดรัจฉาน หลงมากเกินไป

    จิตเปรต จิตอสุรกาย โลภมากเกินไป

    จิตเทวดา เพลิดเพลินในบุญ ในกุศล ในความสุข ในความสบายมากไป

    จิตของพรหม ก็สงบนิ่งเกินไป

    จิตมนุษย์ วิเศษที่สุด

    แม้พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสรู้ในภูมิมนุษย์นี้ จิตใจของมนุษย์นั้นมันพอดี

    เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ไม่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง

    มันทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ทำให้เราเห็นว่ามันมี ไตรลักษณ์

    อย่างจิตพรหมนั้น จะไปดูให้เห็นไตรลักษณ์ ดูยากนะ

    เพราะมันจะสงบสบายอยู่อย่างนั้นแหละ มันสงบอยู่อย่างนั้น หาไตรลักษณ์ยาก

    หรือพวกเทวดา พวกนี้เป็นพวกบ้าบุญ ชอบทำบุญ ทำแล้วมีความสุข

    เข้าวัดโน้น ออกวัดนี้ มีความสุขไปเรื่อย พวกนี้ก็ภาวนายาก

    เพราะจะเพลิน พวกเผลอเพลินมันเยอะเกินไป

    เผลอเพลินนี่ก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ชื่อนันทิราคะ มันเพลินไป

    ไปนึกได้อีกที ก็ใกล้เกือบหมดอายุแล้ว ใกล้ตายแล้ว..."

    ไม่มีอะไรดีเท่าการได้เกิดมาเป็นมนุษย์

    โดยเฉพาะการเป็นมนุษย์ที่ได้พบและศรัทธาพระพุทธศาสนาอย่างนี้แล้วนะคะ

    แม้แต่เทวดานางฟ้ายังปรารถนาลงมาใช้ชีวิตแบบเรา

    คุณดังตฤณเคยเขียนผ่านตัวละครในนิยายเรื่อง "กรรมพยากรณ์" ไว้

    เหมือนเป็นการฉายภาพให้เห็นข้อสรุปที่ตอกย้ำไว้อย่างชัดเจนอีกครั้งค่ะว่า

    "เป็นมนุษย์นี่เลือกทำอะไรได้ยิ่งกว่าภพภูมิไหน ๆ ทั้งหมด

    อยากเสวยสุขสนุกพิสดารหลากหลายไม่ซ้ำซากจำเจ ก็ต้องที่นี่

    อยากเปลี่ยนนิสัยที่สั่งสมข้ามภพข้ามชาติมานาน ก็ต้องที่นี่

    อยากช่วยคนเอาบุญหวังสวรรค์ ก็ต้องที่นี่

    อยากสั่งสมเสบียงเตรียมเดินทางไกล

    ไปในท่ามกลางอันตรายของการเวียนว่ายตายเกิด ก็ต้องที่นี่

    หรือกระทั่งอยากถึงความสิ้นสุดทุกข์ ก็ต้องที่นี่
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๕ - พระนางสิริมหามายาทรงพระครรภ์
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๕ พระนางสิริมหามายาทรงพระครรภ์

    ขณะที่พระโพธิสัตวเจ้าเสด็จลงสู่พระครรภ์นั้น มีเหตุมหัศจรรย์เกิดขึ้นเหมือนกับตอนประสูติ ตรัสรู้ และตรัสปฐมเทศนา เช่นว่า กลองทิพย์บันลือลั่นทั่วท้องเวหา คนตาบอดกลับมองเห็น คนหูหนวกกลับได้ยิน กลองทิพย์บันลือลั่นนั้น ล้วนคือ 'นิมิต' หมายถึง พระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้าที่จะแผ่ไปทั่วโลก คนตาบอด หูหนวก คือ คนที่มีกิเลส ได้สดับรสธรรมแล้วจะหายตาบอด หูหนวก หรือมีปัญญารู้แจ้งมองเห็นทางพ้น ทุกข์นั้นเอง

    [​IMG]

    เมื่อพระมารดาทรงครรภ์แล้ว ปฐมสมโพธิได้พรรณาตอนที่พระโพธิสัตว์เสด็จอยู่ในพระครรภ์พระมารดาว่า
    "...เหมือนดุจด้ายเหลือง อันร้อยเข้าไปในแก้วมณีอันผ่องใส เมื่อปรารถนาจะทอดพระเนตรในขณะใด ก็เห็นพระโอรสนั่งเป็นบัลลังก์สมาธิ (นั่งขัดสมาธิ) ผันพระพักตร์มาข้างหนึ่งพระอุทรแห่งพระมารดา ดุจสุวรรณปฎิมาอันสถิตอยู่บนฝักอ่อน ในห้องแห่งกลีบปทุมชาติ แต่โพธิสัตว์มิได้เห็นองค์ชนนี..."

    ภายหลังโหราจารย์ประจำราชสำนักทำนายว่าเป็นสุบินนิมิตที่ดี จะมีพระราชโอรสผู้ประเสริฐ อุบัติบังเกิด

    [/SIZE]
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระประจำวันเสาร์ : พระปางนาคปรก

    [​IMG]

    พุทธประวัติ
    ภายหลังที่ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ๔๒ วัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปประทับบำเพ็ญสมาบัติ เสวยวิมุติสุขซึ่งเกิดแต่ความพ้นจากกิเลสอาสวะอยู่ ณ ร่มไม้จิก ( มุจลินทพฤกษ์ ) ต้นหนึ่ง อันอยู่ทางทิศตะวันออกของพระมหาโพธิ์พฤกษ์ เป็นเวลา ๗ วัน มีพระยานาคตนหนึ่งชื่อ มุจลินท์นาคราชอาศัยอยู่ในสระใหญ่ใกล้ๆที่นั้น ขึ้นมาแสดงอิทธิฤทธิ์ แผ่พังพาน และวงขนดกายเป็น ๗ รอบ ล้อมพระพุทธเจ้าไม่ให้ถูกต้องลมและฝน จนกระทั่งฝนหาย จึงแปลงร่างเป็นมนุษย์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ ก็ออกจาก สมาบัติเสด็จดำเนินไปสู่ร่มไม้เกต(ราชายตนะพฤกษ์) อันอยู่ทางทิศใต้ของไม้จิกต้นนั้น
    พระพุทธรูปนางปรกที่พุทธศาสนิกชนสร้างขึ้น ก็เป็นนิมิตหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดกับพระพุทธเจ้าในปางหรือในตอนนี้ เป็นพระพุทธรูปที่เชื่อถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ทางเมตตา เพราะเป็นรูปหรือภาพที่สอนคนทางอ้อมให้เห็นอานิสงส์หรือผลดีของเมตตา เพราะเเม้แต่พญางูใหญ่สระน้ำก็ยังขึ้นมาจากสระเข้าไปถวายความอารักขาแก่พระพุทธเจ้า ทั้งนี้ด้วยพลานุภาพแห่งพระมหากรุณาของพระพุทธองค์

    ดวงชะตา
    สิทธิการิยะ ท่านที่เกิดวันเสาร์ ท่านว่าเป็นคนจริงจังกับชีวิต พูดจริงทำจริง
    ภายนอกดูดุดันแต่ภายในใจเป็นคนใจอ่อน แต่เป็นคนที่หาคนทำร้ายได้ยากยิ่ง
    เนื่องจากตำแหน่งลักขณาดาวนี้ดวงแข็ง โบราณจารย์ถือว่า คนเกิดวันเสาร์นั้นดวงแข็งไม่มีผู้ใดทำร้ายได้ จึงถือเอาพระปางนาคปรกเป็นพระประจำวันเกิด เนื่องจากหมายถึง พระยามุจลินทร์นาคราช มาแผ่พังพาฬป้องกันภยันตรายต่างๆแก่พระพุทธองค์

    พระเครื่องที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เกิดในวันเสาร์ เนื่องจากดาวเสาร์ เป็นคนจริงจังเคร่งเครียด พระพิมพ์ที่เสริมดวงของผู้ที่เกิดวันนี้นั้นควรจะเป็น พระที่ทำจากว่านอันเป็นคุณลักษณะที่เย็นและบริสุทธิ์จากธรรมชาติ อาทิเช่น พระว่านหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ ปัตตานี , พระกำแพงว่านหน้ากอง หน้าเงิน พระว่านจำปาศักดิ์ ประเทศลาว , พระมหาว่านขาว มหาว่านดำ สำนักเขาฮ้อ พัทลุง ฯลฯ
    สรุป สำหรับท่านที่เกิดวันเสาร์ พระคู่กายควรเป็น พระเนื้อว่าน เป็นดีที่สุด

    คาถาสวดบูชา
    ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา
    โวโรเปตา เตน สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ คัพภัสสะ ฯ
    อาหารที่ควรถวายพระประจำวันนี้
    อาหารคาว : ประเภทของขม ของดำมะระยัดไส้ สะเดาน้ำปลาหวาน น้ำพริกปลาทู มะเขือยาว
    อาหารหวาน : ลูกตาลเชื่อม กาแฟ โอเลี้ยง
    ของถวายพระ : ร่มสีดำ กระเบื้องมุงหลังคา ไม้กวาด สร้างห้องน้ำถวายวัด
    การทำทาน : โรงพยาบาลโรคจิต โรงพยาบาลโรคประสาท
    การประพฤติตนของคนเกิดวันนี้ : กวาดลานวัด ล้างห้องน้ำวัด ไม่เครียด มองโลกในแง่ดี ขยะในบ้านยกทิ้งทุกวัน อย่าหมักหมม
    ผู้ที่เกิดวันเสาร์ พึงใช้เครื่องประดับและบ้านเรือนเป็นสีดำหลัว หรือสีม่วง ส่วนสีรองๆ ลงมา คือ สีเทา สีเมฆหมอก สีดอกรัก สีน้ำเงิน พึงเว้นสีเขียว

     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>ท้าวเวสสุวรรณ

    คอลัมน์ ซูมโฟกัส

    เซียนบ้านดอน



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดโคกอู่ทอง จ.ปราจีนบุรี "หลวงปู่โสฬส ยโสธโร" ได้จัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นโสฬสมหามงคล 51 เพื่อสมทบทุนสร้างพระใหญ่เป็นพุทธบูชา วัตถุมงคลดัง-ขลัง-ดี ท้าวเวสสุวรรณ, หุ่นพยนต์, เหรียญสำเภาทองมหาลาภ, ตะกรุดเกราะเพชร

    หลวงปู่โสฬส กล่าวถึงการจัดสร้างวัตถุมงคล "ท้าวเวสสุวรรณ" ว่า สังคมวิกฤต จิตมนุษย์แปรปรวน ถึงเวลาที่พระโพธิสัตว์ และเหล่าเทพเจ้าทั้งหลาย จะสำแดงปาฏิหาริย์ ช่วยเหลือบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้หมู่มวลมนุษยชาติได้รอดพ้นจากมหันตภัยทั้งปวง

    ท้าวสุวรรณ เป็นหนึ่งในสี่มหาเทพผู้ปกปักรักษาประจำทิศทั้งสี่หรือที่รู้จักกันในนาม "ท้าวจตุโลกบาล" ตามคติโบราณ ถือได้ว่าเป็นเทพผู้ทรงมหิธานุภาพสูงยิ่ง จะเห็นได้จากศิลปะ ทั้งที่เป็นภาพเขียน หุ่นปูนปั้น และงานแกะสลักต่างๆ ในสถานที่สำคัญๆ ปรากฏอยู่อย่างประณีต ตระการตาแม้ในเครื่องรางของขลังสืบมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาลก็มักจะปรากฏเป็นรูปของท้าวเวสสุวัณ ไม่ว่าจะเป็น ผ้ายันต์ ที่นิยมติดไว้หน้าประตู เพื่อหวังผลในการป้องกันเหล่าภูตผีปีศาจ และสิ่งอวมงคลต่างๆ มิให้กล้ำกราย
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    แม้ในตลาดร้านรวง ก็นิยมติดไว้บูชา เพื่อหวังผลในด้านโชคลาภ ความเชื่อเหล่านี้สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพกาล หากไม่มีอานุภาพที่สามารถเห็นผลได้จริงแล้วไซร้ รูปเคารพหรือเครื่องราง ที่เป็นรูปท้าวเวสสุวรรณนี้ คงจะอันตรธานไปสิ้น ไม่หลงเหลืออยู่จนปัจจุบันั้จะเห็นได้ว่าในยุครัตนโกสินทร์นี้เอง สำนักตักศิลาต่างๆ ก็ยังนิยมสร้าง ท้าวเวสสุวรรณไว้สักการบูชาอยู่มิได้ขาดั้เช่น มีดหมอมหาปราบ ด้ามงาแกะ ของหลวงปู่ยิ้มวัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี, งาแกะในสายหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพ จ.นครสวรรค์, งาแกะสายอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ฆราวาสจอมขมังเวทย์แห่งกรุงเก่า, ไม้โพธิ์แกะ ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม และที่เป็นสากลที่สุดก็คือท้าวเวสสุวรรณของสำนักวัดสุทัศน์

    ภาวะบ้านเมืองอันแสนจะอัตคัตบีบคั้นอย่างเช่นในยุคปัจจุบัน "ท้าวเวสสุวรรณ" เป็นเทพเจ้าองค์สำคัญ ที่ควรแก่การระลึกถึงและสักการบูชา เพราะด้วยเดชะอำนาจ ครอบคลุมหาประมาณมิได้ ทั้งในด้านป้องกันอันตรายจากภูตผีปีศาจ ไสยเวทมนต์ดำมนุษย์และอมนุษย์ ตลอดจนอุปสรรคเครื่องกีดขวางนานาประการ ที่จะทำให้กิจการงานทั้งหลายไม่สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ อีกทั้งในด้านโชคลาภ มหานิยม จูงจิต จูงใจคน ให้เข้ามาอุปถัมภ์ค้ำชู ดีนักหนาส่วนด้านโชคลาภนั้น จะรู้จักชัดเจนกันในนาม "ท้าวธนบดี" หรือ "เทพเจ้าไฉ่ฉิ่งเอี๊ย" ผู้ได้ขนานนามว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ซึ่งปรากฏทั้งในศาสตร์ของไทยและจีน ในนิกายมหายาน ซึ่งก็เป็นอีกปางหนึ่งของท้าวเวสสุวรรณนั่นเอง

    ตามตำนานกล่าวกันว่า เป็นเลิศประเสริฐนัก ในด้านโชคลาภ มหาสมบัติ สารพัดเงินตรา ดุจดังพระรูปลักษณะที่มีพระวรกายอ้วนพลี แสดงถึงความคั่งอุดมสมบูรณ์ พระหัตถ์ซ้ายประคองคอกระรอกเผือก ที่กำลังคายสายเงินและสายทองอย่างไม่ขาดสาย พระหัตถ์ขวา ทรงถือดวงแก้ววิเศษ อันหมายถึงทรงเดชานุภาพ ในด้านประทานความสำเร็จ อธิษฐานได้ตามใจปรารถนา จึงเป็นเสมือนแก้วน้ำเอกอีกชิ้นหนึ่ง ในยุคปัจจุบันที่สมควรไขว่คว้า ไว้ฟันผ่าวิกฤต...ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร (บูชาประจำวัน) ตั้ง นะโม 3 จบ อิติปิโส ภะคะวา ยมมะราชาโน เวสสุวัณณโณ มรณังสุขัง อะหัง สุคะโต นะโมพุทธายะ เวสสุวัณโณ จตุมหาราชิกา ยักขะพันตา ภัทภูริโต เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ เวสสุวัณโณ นะโมพุทธายะ และให้อธิษฐานขอพรตามปรารถนา

    สนใจบูชาได้ที่วัดโคกอู่ทอง จ.ปราจีนบุรี หรือศูนย์พระเครื่องชั้นนำทั่วไป ...ที่มา[​IMG]




    พอดีเหมือนตรงกับใจคิดเมื่อเช้านี้ คิดถึงท่านท้าวเวสสุวรรณที่บูชาอยู่ที่โต๊ะทำงานที่พี่ใหญ่ขอบารมีเชิญท่านมาให้ กำลังคิดจะนำมาแจกฟรีให้พวกเราสัก 100 องค์ ในคราวต่อๆ ไป เหมือนเกิดความบังเอิญได้เจอบทความนี้พอดี เลยนำมาลงให้อ่านกันก่อน ในภาวะอย่างนี้ ได้ท่านเป็นกำลังใจก็ไม่เลวนัก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    กราบขอบพระคุณและโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยนะครับที่เสียสละเวลาและบริจาคเงินให้กับทุนนิธิฯ เพื่อสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ทำให้งานในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาลุล่วงไปได้ด้วยดี กราบขอบพระคุณจากใจจริงครับ
    โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ

    ขอรายงานข้อมูลสำคัญบางประการดังนี้นะครับ



    ยอดเงินที่ถอนออกมาเพื่อใช้ในการทำบุญครั้งนี้

    *** ถอนเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2551
    = 25,000 บาท



    [​IMG]




    *** ยอดบริจาคให้โรงพยาบาลสงฆ์เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2551 = 23,600 บาท (มีผู้บริจาคสมทบ 3,600 บาท)


    [​IMG]



    *** ยอดค่าภัตตาหารถวายพระจำนวน 200 รูป เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2551 = 5,000 บาท


    สรุปยอดการบริจาคกิจกรรมของทุนนิธิฯ ครั้งที่ 6/51 ในวันที่ 25/5/51 ดังนี้

    1. ยอดเงินบริจาคสำหรับการซื้อเวชภัณฑ์เข้าส่วนกลาง
    1.1 ใช้เงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ 10,000.- บาท
    1.2 มีผู้บริจาคเพิ่มเติมที่โต๊ะบริจาค 1,800.- บาท
    2. ยอดเงินบริจาค สำหรับการซื้อเลือด
    2.1 ใช้เงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ 10,000.- บาท
    1.2 มีผู้บริจาคเพิ่มเติมที่โต๊ะบริจาค 1,800.- บาท
    3. ค่าสังฆทานอาหารถวายพระ จำนวน 5,000.- บาท
    200 กล่องๆ ละ 25.- บาท


    รวมเป็นเงินบริจาคทั้งสิ้น 28,600.- บาท




    *** ยอดเงินในบัญชีคงเหลือเมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2551
    = 122,977.41 บาท



    [​IMG]



    โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2008
  11. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    มองปัญหาด้วยปัญญา : สติตามควบคุมจิต


    [​IMG]


    พระอรหันต์ไม่สามารถทำลายราคะ โทสะ โมหะของโลกได้
    แต่มลภาวะภายนอกเหล่านี้ ก็ไม่สามารถมีอำนาจเหนือท่านได้
    เพราะท่านปราศจากหมดสิ้นแล้วซึ่งมลภาวะเหล่านี้

    ปุจฉา
    สติตามควบคุมจิต

    หลวงปู่สอนไว้ว่าให้ใช้สติควบคุมจิต เหมือนประตูหน้าต่าง แสดงว่าอารมณ์ต่างๆ เช่น โทสะ โมหะ จะต้องเกิดขึ้นก่อน แล้วสติค่อยกำกับทีหลัง มีข้อยกเว้น สำหรับพระอรหันต์ที่ยังอยู่ในสังคมไม่ใช่อยู่ในป่าหรือไม่ คือ จิตจะไม่เกิดอารมณ์ต่างๆ ที่ไม่ดีเลย หรือว่ามีอารมณ์เหมือน กัน แต่สติตามได้ทันตลอดเวลา ขอความกรุณาช่วยขานไข

    วิสัชนา

    "ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่า โทสะนั้นมีอยู่เดิม แต่บุคคลผู้รับโทสะหามีไม่ โมหะนั้นมีอยู่เดิม แต่บุคคลผู้รับโมหะนั้นหามีไม่ ราคะนั้นมีอยู่เดิมแต่บุคคลผู้รับราคะนั้นหามีอยู่ไม่

    เมื่อโทสะ โมหะ ราคะ มันมีอยู่เดิม แล้วเราไม่มี ก็คือ ตัวเราจริงๆ ไม่มี แต่ที่เราเข้าไปรับมัน ก็เพราะเราไปปรุงแต่งว่าตัวเรามี แล้วเรารับมันเข้ามาใช้ประโยชน์

    ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกเดิมก่อนที่คุณจะเกิด ทีนี้เมื่อมันมีอยู่เดิม คุณเกิด มาหน้าที่ของคุณก็คือเพียงแค่ระวังอย่าให้ไปเปื้อน อย่าให้ไปแปดเปื้อน อย่าให้มันมีอำนาจมา ทำให้จิตวิญญาณของคุณให้ขุ่นมัวเท่านั้นเอง สติก็เป็นตัวกางกั้น สติทำหน้าที่ หรือมีหน้าที่ที่จะเปิดปิดประตูแห่งใจคุณ ว่า อะไรควรรับ อะไรไม่ควรรับ นี่เรียกว่า ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นทุนเดิมของโลกมีอยู่แล้ว

    ส่วนราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นทุนเดิมของกรรม หรือพิธีกรรม หรือจิตวิญญาณของคุณ ที่เป็นทุนเดิมเรียกว่า โลภะมูลจิต โทสะมูลจิต โมหะมูลจิต ก็คือ คุณเกิดมาจาก ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นมูลเดิมของจิตวิญญาณคุณที่สั่งสมอบรมมาแต่อดีตชาติ ที่เรียกว่าอนุสัย เมื่อสั่งสมอบรมมาแต่เก่าก่อนแล้ว หน้าที่ของคุณ เกิดเป็นคน ต้องชำระล้าง และตัดให้หลุด อย่าปล่อยให้มันมาฉุดเราอยู่

    รวมๆ ก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ มีทั้งภายใน ก็คือจิตเดิมของคุณมีมาเก่า และมีทั้งภายนอก ก็คือมีอยู่ในโลกนี้แล้ว มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีประตูหน้าต่างเอาไว้สำหรับป้องกันพายุข้างนอก แต่ไม้กวาด ผ้าขี้ริ้ว ผ้าเช็ดถู มีสำหรับไว้ป้องกันฝุ่นละอองภายใน ถ้าคุณมีสองสิ่งนี้ได้ ก็ถือว่าคุณมี สติ สมาธิ และปัญญา จะกำจัดสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ของจิตคุณ ทั้งภายในและภายนอกได้

    ส่วนคำถามที่ถามว่า พระอรหันต์เป็นผู้ที่เจริญซึ่งสติ สมาธิ และปัญญาแล้ว ก็คือ มีทั้งประตูหน้าต่าง และเครื่องกำจัดภายในที่สมบูรณ์ที่ไม่มีรูรั่ว ที่สามารถป้องกัน ราคะ โทสะ โมหะ หรือภัยพิบัติจากข้างนอกได้แล้ว แล้วก็มีเครื่องดูดฝุ่น มีทั้งผ้าเช็ดพื้น มีทั้งไม้กวาดอันสมบูรณ์ แล้วก็มีพนักงานที่พร้อมที่จะทำลายสิ่งที่เป็นภายใน ที่เรียกว่าฝุ่นละอองนั้น ให้หมดไปเรียบร้อยได้

    รวมๆ ก็คือ พระอรหันต์ไม่มีมลภาวะทั้งภายในแล้ว หมดแล้ว ส่วนมลภาวะภายนอกก็ไม่ สามารถมีอำนาจเหนือท่านแล้ว

    แต่พระอรหันต์นี่ไม่สามารถที่จะไปทำลายโทสะ โมหะ ราคะ ของโลกได้ ก็บอกแล้วว่ามันมีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ถ้าจะทำลายก็ต้องวางระเบิดเวลา เผาผลาญโลก หรือไม่ก็ทำลายโลกไป ก็ไม่แน่ใจว่าโลกนี้มันระเบิดแล้วจะหมด ราคะ โทสะ โมหะ หรือไม่ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เป็นผู้หมดจากกิเลสทั้งภายใน และไม่ปล่อยให้กิเลสภายนอกมามีอำนาจเหนือท่าน

    ราคะ โทสะ โมหะ ข้างนอกมีอยู่ แต่ไม่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนเท่านั้นเอง จบ"



    ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก
    หลวงปู่พุทธะอิสระ กระจกจริยธรรม(ปุจฉา - วิสัชนา) โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ มาจาก dhamma-isara.org
    http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9510000049622
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2008
  12. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    มองปัญหาด้วยปัญญา: อุเบกขาเหมือนเบรกรถ ที่มีไว้ป้องกันอันตราย


    <HR style="COLOR: #e0e0e0" SIZE=1>
    [​IMG]

    ปุจฉา
    อยากเลื่อนตำแหน่ง

    กราบหลวงปู่ที่นับถือ ผมทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง ทำมาหลายสิบปีแล้วแต่ก็ไม่ ก้าวหน้าขึ้นเลย ไม่เหมือนกับเพื่อนบางคน ที่แอบยักยอกสินทรัพย์ของบริษัทแต่ก็ยังได้ดิบได้ดี มีคนบอกผมว่าถ้าหากอยากได้ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆ ให้ไปหาพ่อหมอซึ่งเขาสามารถเสกเป่าเพื่อให้ได้ตำแหน่งงานที่สูงขึ้นได้ ผมเองก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่ใจหนึ่งก็อยากจะลองดู สุดท้ายผมเลยตัดสิน-ใจว่าลองเขียนมาถามหลวงปู่ดูก่อนว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ตามที่มีคนบอก และถ้าจะให้ดีควรปฏิบัติ หรือทำบุญอย่างไรดีครับ

    วิสัชนา

    นี่เขาเรียกว่า ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐ และกำลังจะทำตัวเองให้เป็นสัตว์ที่ไม่ประเสริฐ กำลังจะก้าวถอยหลังไปจากการเป็นสัตว์ประเสริฐ กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานธรรมดา เพราะ สัตว์ที่ประเสริฐต้องทำต้องฝึกหัดปฏิบัติเรียนรู้ศึกษา ไม่ใช่เพราะการเสกสวดของใคร

    การที่คุณจะมีตำแหน่งหน้าที่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มันอยู่ที่คุณทำเหตุปัจจัยพร้อมมูลหรือไม่ หากคุณทำดีย่อมได้ดีแน่นอน แต่การที่เห็นคนอื่นทำชั่วแล้วยังได้ดีก็เพราะกรรมดีในอดีตของเขายังให้ผลอยู่ แต่เมื่อไหร่กรรมดี นั้นหมดลง กรรมชั่วก็จะให้ผลทบเท่าทวีคูณ

    ปุจฉา
    ใช้อุเบกขาตอนไหนดี


    กราบหลวงปู่ที่เคารพ ผมมี ปัญหาขอให้หลวงปู่ช่วยปุจฉา ดังนี้ คือผมอยากจะรู้ว่าจะมีวิธีปลูกฝังความจริงใจให้แกผู้อื่นได้อย่างไรบ้างครับ เพราะทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าคนในสังคมไม่ค่อยจะจริงใจต่อกันเลย แม้กระทั่งในหมู่เพื่อนร่วมงานก็เป็นเหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากถามคือที่เขามักพูดๆ กันเวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นว่าต้องมีอุเบกขา แต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่าถ้ามีอุเบกขามากไปจะกลายเป็นคนใจดำหรือเปล่า ผมเลยอยากจะรู้ว่าเราควรใช้อุเบกขาตอนไหนจะดีที่สุดครับ

    วิสัชนา

    ไม่ยาก เริ่มจากคุณต้องเริ่ม สร้างแรงจูงใจให้เขาเห็นว่าคุณก็จริงใจ เพราะถ้าคุณจะให้คนอื่นรักคุณ คุณต้องรักคนอื่น คุณจะให้คนอื่นไหว้คุณ คุณต้อง ไหว้คนอื่น คุณจะให้คนอื่นจริงใจ ต่อคุณ คุณจะต้องจริงใจต่อคนอื่น ทำไปอย่าย่อท้อ ขอเพียงคนนั้นมีสำนึก มีหรือคนอยู่ใกล้จะไม่รู้สึกในสำนึกนั้น

    อุเบกขาใช้ดีที่สุดตอนที่คุณเริ่มต้นชังและรู้สึกชอบนั่นแหละ เพราะเมื่อชังต้องใช้อุเบกขาทันทีคือวางเฉยซะบ้าง มันจะทำให้ความชังคุณหายไป ความโกรธอาฆาตพยาบาทโมโหรุนแรงเลวร้ายทั้งหลายมันก็จะลดน้อยถดถอยลงไป ส่วนรู้สึกชอบก็ต้องรู้จักอุเบกขา เพราะชอบบ่อยๆ มันก็จะเมา ประมาท ขาดสติ อุเบกขาจึงเหมือนเบรกรถที่มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายนั่นแหละ



    ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก
    หลวงปู่พุทธะอิสระ
    กระจกจริยธรรม(ปุจฉา - วิสัชนา) โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ มาจาก dhamma-isara.org

    http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9510000001891
     
  13. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    มองปัญหาด้วยปัญญา: การสาปแช่งคนชั่วให้รับกรรม คือการกำลังทำความชั่วเสียเอง


    <HR style="COLOR: #e0e0e0" SIZE=1>
    [​IMG]


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ปุจฉา
    เวรกรรมตามทัน


    ผมเป็นคนที่สนใจพุทธศาสนาอยู่บ้าง แต่มีข้อสงสัยดังนี้

    1. การเรียนรู้และปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนาแก่เด็กและเยาวชนให้เห็นภาพและข้อเท็จจริงควรสอนด้วยการใช้วิธีการอย่างไร

    2. ทำอย่างไรจึงจะทำให้เวรกรรมตามทันคนที่ประพฤติชั่วในชาตินี้

    3.ทำอย่างไรให้จิตสงบไม่คิดมาก ทำอย่างไรให้อีกฝ่ายได้รับผลกรรมที่ก่อกับเราไว้

    วิสัชนา

    1. สอนให้เขาเห็นว่า พระพุทธศาสนา มีอยู่ในชีวิตเขาตั้งแต่เกิดยันตาย เช่น ชี้ให้เขาเห็นว่า การที่น้องหนูรักพ่อรักแม่ ทำตามที่พ่อแม่อบรมสั่งสอน นี่ก็เป็นพุทธศาสนา ข้อว่า กตัญญู คือรู้บุญคุณท่าน พร้อมกับทำตามให้ท่านสบายใจ จัดว่าเป็นการตอบแทน พระคุณ เรียกว่า กตเวทิตา ชี้ให้เขาเห็นว่าการที่น้องหนูขยันหมั่นเพียร ศึกษาเล่าเรียนก็จัดว่าเป็นพุทธศาสนา ข้อที่ว่า วิริยะ คือความเพียร น้องหนู อดทนอดกลั้นต่อความยากลำบาก ต่อความไม่พอใจ อดทนอดกลั้นต่อความยั่วยวนได้ โดยไม่ตกเป็นทาสของสิ่งนั้นๆ นั่นก็แสดงว่า น้องหนูมี ขันติ ความอดทน

    เหล่านี้เป็นวิธีสอนพุทธศาสนาทั้งนั้นแหละคุณ ขึ้นอยู่กับว่าคุณ ผู้สอนจะมองเห็นพุทธศาสนา หรือไม่เท่านั้นแหละ

    2. ฉันคิดว่าคนที่ลงมือทำชั่ว เขาก็ทำด้วยความยากลำบากอยู่แล้ว เมื่อลงมือทำก็ยิ่งไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ซึ่งเขาก็ต้องได้รับไม่มากก็น้อย ก่อนทำก็คิดหนักวางแผนมาก ขณะทำก็ทำด้วยความยากลำบาก กลัวผู้อื่นจะเห็น ครั้นทำแล้วก็ไม่สบายใจ เผลอๆ เป็นโทษทางกายอีกต่างหาก คุณไม่ต้องไปสาปแช่งเขาหรอก ไม่งั้นเดี๋ยวคุณจะชั่วเสียเอง

    3. การทำจิตให้สงบ อันดับแรกต้องดูว่าไม่สงบเพราะอะไร ถ้าไม่สงบเพราะความผูกโกรธ ก็ต้องเจริญเมตตาด้วยการท่องในใจทุกครั้งที่นึกได้ว่า "ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข" ถ้าไม่สงบเพราะความฟุ้งซ่าน ก็เจริญสติระลึกรู้ลมหายใจว่า เข้าอย่างไร ออกอย่างไร

    ปุจฉา
    ระงับเวรได้ไหม


    กราบนมัสการหลวงปู่ที่เคารพอย่างสูง

    1. เวรจะระงับลงได้ไหมคะถ้าเราอโหสิกรรม แต่อีกฝ่ายไม่ยอมอโหสิกรรม แล้วยังอาฆาตพยาบาทจองเวรอยู่ ถ้าเราแผ่เมตตาโดยระบุชื่อ จะช่วยให้เวรระงับได้ไหมคะ

    2. มีวิธีใดบ้างที่ภพชาติต่อๆ ไปเราอยากมีบริวารสมบัติมากๆ นอกเหนือ จากการชวนคนไปฟังธรรมหรือชวนคนไปทำบุญ เพราะชาติปัจจุบันไม่มีบริวารเลยต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย(ชวนพ่อแม่พี่น้อง ลูก สามี เพื่อน ก็ไม่มีใครไปกับเราเลย)

    ขอความเป็นมหามงคลอันสูงสุดจงมีแด่องค์หลวงปู่ทุกประการเทอญ

    วิสัชนา

    1. เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าคุณอโหสิกรรมแล้วเขายังไม่รับรู้ ก็เป็นไปได้ที่เวรนั้นๆยังมิได้มีการระงับในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่มีชีวิตอยู่แล้ว อีกฝ่ายก็สามารถอโหสิกรรมให้ด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศล

    2. การสร้างบริวาร มิใช่มีแต่ชวนคนไปทำบุญฟังธรรมได้อย่างเดียว การมีน้ำใจ รู้จักให้อภัย ไม่เห็นแก่ตัว คุณก็สามารถมีบริวารได้

    ปุจฉา
    ขอทางสว่างสงบ


    กราบนมัสการหลวงปู่ หนูมีความทุกข์แสนสาหัส มีปัญหาเรียนถามหลวงปู่ดังนี้

    น้องชายของหนูถูกรถบัสปีศาจ คันใหญ่ คนขับเมายาหลับใน ขับด้วย ความเร็วสูง ขาดสติ พุ่งเข้าชนและขึ้นเหยียบรถของน้องชายจนแบนราบ แหลกละเอียด น้องชายเสียชีวิตพร้อมเพื่อน สร้างความสูญเสียอย่าง ใหญ่หลวง เพราะผู้ตายเป็นหลักของ ครอบครัว เป็นที่พึ่งของพ่อแม่

    คนขับรถหนี เจ้าของรถปีศาจดังกล่าวซึ่งเป็นเจ้าของรถประจำทางรายใหญ่ของประเทศไทย หาทางปกปิดบิดเบือน โดยไม่รับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สิน อาศัยอำนาจทางชั่วถือว่าตนใหญ่ ขาดจิตเมตตาไร้มนุษยธรรม ยืนอยู่บนกองทุกข์ทรมานของญาติผู้ตายที่สูญเสีย ในขณะที่ฉากหน้าประกาศความยิ่งใหญ่ ร่ำรวย สร้างภาพว่าเป็นคนดีมี คุณธรรม เพื่อให้สังคมรับรู้ยกย่อง แต่แท้จริงแล้วเป็นคนคิดคด มีแต่กลโกง เอาเปรียบเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ ร่ำรวยมาจากความทุกข์ยากของผู้อื่น ถามว่าคนพวกนี้จะได้รับผลกรรมหรือไม่ ทำไมยังคงอยู่ดีมีสุขสร้างความร่ำรวยต่อไป และเอาเปรียบเบียดเบียนผู้คนต่อไปด้วย วิธีการ ที่แยบยลยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และประชาสัมพันธ์ตัวเองว่าดีวิเศษ มีคุณธรรม ใจบุญ โดยไม่ละอายทั้งที่เงินทั้งหลายได้มาโดยกลโกง สังคมก็ต้องยกย่องที่เงิน หรือกลัวอำนาจ เพราะเงินคืออำนาจ เวรกรรมมีจริงจะตามสนองเมื่อไหร่

    ท้ายนี้ขอความเมตตาจากหลวงปู่ช่วยเหลือนำทางที่ดี ทางที่สว่าง สงบสุข ให้น้องชายหนูพบแต่สิ่งที่ดี และขอบารมีหลวงปู่ช่วยปกป้องคุ้มครองรักษาครอบครัวของหนูและญาติพี่น้องทุกคนด้วยค่ะ กราบหลวงปู่ที่เมตตา

    วิสัชนา

    อย่าไปคิดอะไรมากเลยคุณ ถึงรถจะไม่ทับน้องคุณตาย สุดท้ายเขาก็ต้องตายจากคุณอยู่ดีแหละ คิดเสียว่ารถและคนคนนั้นเป็นคู่กรรมของน้องชายคุณก็แล้วกัน

    คุณก็ไม่ควรจะลดตัวเองลงไปเป็นคู่กรรมคู่กัดกับเจ้าของรถอีกคน เสียน้องก็เสียแล้ว ทำไมยังจะต้องมา เสียคน เสียใจซ้ำซากอยู่อีกเล่า ไม่รู้จัก เบื่อบ้างหรืออย่างไร หมั่นทำดี มีเมตตา รู้จักให้อภัย แล้วใจจะเป็นสุข
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก
    หลวงปู่พุทธะอิสระ
    กระจกจริยธรรม(ปุจฉา - วิสัชนา) โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ มาจาก dhamma-isara.org
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9500000143337
     
  14. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    มองปัญหาด้วยปัญญา : ทำไมเจริญภาวนาได้กุศลมาก


    <HR style="COLOR: #e0e0e0" SIZE=1>
    [​IMG]

    การภาวนา คือ การฝึกทำให้จิตนี้ไม่กระเพื่อม
    ควบคุมจิตนี้ได้ ไม่ตกเป็นทาสของตาเห็นรูป
    หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส
    ซึ่งเมื่อทำได้แล้ว จะกลายเป็นคนพูดดี คิดดี ทำดี
    ทุกนาทีที่มีลมหายใจเข้า-ออก



    ปุจฉา
    ทำไมเจริญภาวนาได้กุศลมาก

    กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ดิฉันเคยได้ยินมาว่า การทำบุญให้ทานกับการเจริญภาวนานั้น การเจริญภาวนาจะได้กุศลมากที่สุด จริงหรือไม่เจ้าคะ แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นคะ กราบเรียนมาด้วยความเคารพเจ้าค่ะ

    วิสัชนา

    การทำบุญนั้นต้องทำด้วย 3 ประการ คือ บุญประกอบกิริยาบวกวัตถุ แต่การภาวนามีอย่างเดียวเท่านั้นคือจิต ได้แก่การทำให้จิตนี้ไม่กระเพื่อม ควบคุมจิตนี้ได้ ไม่ตกเป็นทาสของตา เห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กาย ถูกต้องสัมผัส ซึ่งเมื่อทำได้แล้วคุณจะกลายเป็นคนพูดดี คิดดี ทำดี ทุกนาทีที่มีลมหายใจอย่างนี้ จะไม่เป็นบุญมากกว่านานๆ จะได้ใส่บาตรถวายสังฆทานสักทีหรือ

    ปุจฉา
    ปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้า

    กราบนมัสการหลวงปู่ครับ ผมขอกราบเรียนถาม เกี่ยวกับการปฏิบัติที่ติดอยู่ตอนนี้ครับ คือ ผมพยายามฝึกสติอยู่และพยายามนั่งสมาธิอยู่ แต่ถ้าดูจะรู้สึกหนัก จึงพยายามปล่อยเฉยๆ เหมือนไม่รู้ จะรู้สึกเบา และพยายามนั่งสมาธิ เดินจงกรมบ่อยๆ เพื่อให้รู้ชัดๆ ถ้านั่งสมาธิก็จะรู้สึกว่ามีสมาธิดี แต่จะรู้สึกว่าการมีสมาธิมันหนักไป ต้องไม่เข้าไปดูมัน จะรู้สึกเบาคือรู้ว่ามีสมาธิเฉยๆ ผมเป็นอย่างนี้มาพอสมควร เลยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป บางทีคิดว่าถ้ารู้เฉยๆ แล้ว เวลามีอารมณ์บางครั้งจิตก็เข้าไปจับกับอารมณ์ บางทีก็ละอารมณ์ได้ บางทีก็ละอารมณ์ไม่ได้ หรือนานกว่าจะละได้ จะทำอย่างไรดีครับ ผมไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อ ผมก็ได้แต่รู้กับดูไปเรื่อยๆ ละได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางทีก็ขี้เกียจบ้าง วนเวียนอยู่ดังนี้ ไม่ก้าวหน้าหรือได้อะไรเพิ่มเลยครับ กราบขอบพระคุณหลวงปู่มากครับที่กรุณา

    วิสัชนา

    สิ่งที่คุณทำอยู่ก็ดีแล้วนี่ แต่เสียอยู่หน่อยที่นานๆ ทำที ไม่ยอมทำถี่ๆ ก็เลยไม่ค่อยเจอดี ฉันมีข้อสังเกตให้คุณลองพิจารณาดู คิดจะทำสมาธิถือว่าเป็นความดีงามของชีวิต ถ้าคุณสามารถพึ่งพิงอิงอาศัยได้ก็ยิ่งวิเศษ แต่ถ้าพึ่งยังไม่ได้ แถมยังจะทำให้ถมึงทึงตึงเครียด นั่นแสดงว่า ยาชนิดนี้ดูถ้าจะไม่ถูกกับโรคของคุณ หรือไม่คุณก็ทำไม่ถูกวิธี แต่ฟังดูจากคุณเล่ามา ว่าคุณลองเปลี่ยนวิธีมานั่งดูอารมณ์เฉยๆ แล้วรู้สึกเบาสบาย ก็แสดงว่าเป็นวิธีที่ถูกกับโรคของคุณ ควรจะทำต่อไป ถ้าทำแล้วคุณรู้สึก เบาสบาย ผ่อนคลายอย่างมีสติ สำคัญต้องทำอยู่ทุกขณะที่คุณนึกได้ แล้วคุณจะเห็นผล ไม่เชื่อลองทำดู


    ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก
    หลวงปู่พุทธะอิสระ
    กระจกจริยธรรม(ปุจฉา - วิสัชนา) โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ มาจาก dhamma-isara.org
    [​IMG]http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9500000122135
     
  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    อานิสงส์การนั่งสมาธิ, ขอวิธีแก้เครียด, แผ่บุญกุศลตอนไหนดี, เป็นคนขี้โกรธ ทำไงจะหาย

    <HR style="COLOR: #e0e0e0" SIZE=1>
    [​IMG]



    อานิสงส์การนั่งสมาธิ
    ปุจฉา :
    กราบเรียนหลวงปู่พุทธะอิสระ ลูกมีข้อสงสัยที่อยากจะทราบว่า การนั่งสมาธิแบบหลับตา และการลืมตาเจริญสติ ทั้งสองอย่างนี้จะมีอานิสงส์เท่ากันหรือไม่เจ้าคะ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ
    .......................................................................................................................
    อ.วิภา
    วิสัชนา
    : ถ้าคุณทำได้มันก็ได้ดีทั้งลืมตาและหลับตา แต่ถ้าคุณทำไม่ได้มันก็ไม่ดีทั้งลืมตาและหลับตา สำคัญมันอยู่ที่ว่าคุณทำได้หรือเปล่า ถ้าคุณทำได้อะไรมันก็ดี แล้วสติน่ะเขาไม่ได้ให้เราฝึกตอนนั่งหลับ เขาให้เราฝึกในขณะกิน ทำ พูด เรื่องทั้งหมดเราควบคุมมันได้ อย่างถูกต้อง ไม่บกพร่อง นั่นคือการฝึกสติ
    การเจริญสติไม่มีวิถีทาง แต่ทำได้ทุกวิถีทาง การเจริญสติไม่มีเวลา แต่ทำได้ทุกขณะที่คุณหายใจเข้าและออก แล้วคุณรู้สึกสงบ



    ขอวิธีแก้เครียด
    ปุจฉา :
    กราบนมัสการหลวงปู่ ดิฉันทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง วันๆต้องบริหารจัดการงานต่างๆวุ่นวายทั้งวัน ระยะหลังๆมานี่เศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้าก็น้อยลง ดิฉันก็เลย รู้สึกเครียด กลัวว่าบริษัทจะปิด แล้วตัวเองต้อง ตกงานด้วย ดิฉันเครียดจนนอนไม่ค่อยหลับ ต้องไปซื้อยานอนหลับมากินจึงจะหลับ ขอความเมตตาหลวงปู่ช่วยแนะวิธีแก้เครียดและนอนไม่หลับให้ด้วยค่ะ...........................................</I>วรัญญา
    วิสัชนา </I>: ถ้ากลางวันคิดอะไรมากๆมาแล้ว กลางคืนก็รู้จักผ่อนคลาย ด้วยการ หายใจเข้าลึกๆผ่อนลมหายใจออกยาวๆก่อนนอน ทำอย่างนี้สักสิบยี่สิบครั้งเดี๋ยวก็หลับไปเอง การที่พระให้ทำสมาธิก่อนนอน ก็เพื่อสะกดจิตให้หลับนั่นเอง จะได้ ไม่ต้องอาศัยยานอนหลับ

    แผ่บุญกุศลตอนไหนดี
    ปุจฉา :
    นมัสการหลวงปู่ที่เคารพ ผมอยากทราบว่า การแผ่บุญกุศลให้ผู้อื่นนั้นสามารถทำได้บ่อยๆหรือไม่ เพราะมีบางคนบอกว่าจะต้องทำเฉพาะตอนกรวดน้ำ เท่านั้น ผมก็เลยไม่แน่ใจ ขอให้หลวงปู่ช่วยบอก ด้วยครับ..............................................................................................................
    ปิยโชติ
    วิสัชนา
    : การแผ่บุญคือการแผ่ส่วนดี เป็น 1 ในวิธีการทำบุญ 10 อย่าง ก็คือการ แผ่เมตตา เช่น วันนี้คุณไปปล่อยปลามา แล้วแม่นอนป่วยอยู่ คุณไปบอกแม่ แม่ รับรู้แล้วดีใจ อนุโมทนาด้วย แม่คุณก็ได้บุญ ทุกครั้งที่คุณทำความดี แล้วคุณคิดว่า ความดีนี้เป็นของได้มายาก แล้วก็คิดจะให้ ความดีที่ได้มายากนี้แก่คนทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลายก็เป็นเรื่องดี พระพุทธเจ้าสอนให้เราเจริญเมตตา ทรงสอนว่าการเจริญเมตตาแค่ลัดนิ้วมือเดียวมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่
    เจริญเมตตาได้ทุกขณะจิต ภาวนาว่าขอสัตว์ทั้งปวงจนเป็นสุข ภาวนาไว้ในใจ ทุกวัน พลังบุญเราจะเพิ่มขึ้น และจิตใจของเราก็จะมากไปด้วยความเมตตาการุณ เราจะเป็นที่รักแก่เทพยดาและคนทั้งปวง

    เป็นคนขี้โกรธ ทำอย่างไรดี
    ปุจฉา :
    นมัสการหลวงปู่ที่เคารพ ผมเขียนมาเรียนถามหลวงปู่ 2 ข้อ คือ 1.ทำอย่างไรจะเอาชนะความโกรธได้ เพราะผมเป็นคนขี้โกรธ ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้ แต่บางทีมันก็เป็นไปโดยไม่รู้ตัว และข้อ2.การสวดมนต์เป็นการเจริญสติหรือไม่ เพราะผมใช้วิธีการสวดมนต์ เนื่อง จากผมนั่งสมาธิไม่เป็น ขอขอบพระคุณมากครับที่ช่วยตอบให้ผม............................................................</I>ตี๋เล็ก
    วิสัชนา</I> : 1. เจริญเมตตา และทำให้เกิดความ รักเป็นประจำอยู่ในใจ รู้จักเสียสละแบ่งปันให้อภัย สิ่งเหล่านี้เป็นคุณธรรมระงับความโกรธ การที่เราจะเอาชนะอารมณ์ของตนนั้นมันก็ไม่ง่ายเกินไป แต่ก็ไม่ยากเกินไปด้วยถ้าเราจะทำอย่างจริงๆจังๆ
    2. ขึ้นอยู่กับว่าคุณสวดด้วยกายพร้อมใจหรือเปล่า แต่ถ้าสวดเพียงแค่ซาก ปาก ก็อ้าปาวๆๆแต่ใจคุณเลื่อนลอยออกไป ก็แสดงว่าคุณไม่ได้อะไร คุณไม่ได้เจริญสติ คุณเพียงแค่ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองเฉยๆ เหมือนที่นกแก้วพูดคำว่า พ่อ แม่ แต่มันไม่รู้ความหมายว่าแปลว่าอะไร
    คำว่าเจริญสติคือการทำให้สติเจริญ เราต้องรู้เข้าใจลึกซึ้ง สุดท้ายเมื่อจบการสวดนั้น จิตเราสงบ สันติสุขก็ปรากฏ นั่นคือการเจริญสติ แต่ถ้าสวดแล้วมันยังหงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญโมโหโทโส พอสวดจบแล้วหันมาทะเลาะกันในครอบครัว อย่างนี้ถือว่าไม่ได้เจริญอะไร ถ้าอย่างนั้นอย่าสวดดีกว่า



    ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก
    หลวงปู่พุทธะอิสระ
    กระจกจริยธรรม(ปุจฉา - วิสัชนา) โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ มาจาก dhamma-isara.org

    [​IMG]http://www.manager.co.th/Dhamma/View...=9510000000034
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อภินิหารของ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ที่ประสบกับ 'พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล'

    ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๐ ผู้เขียนได้รับบทความมาชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก และหากนับย้อนหลังมาถึงวันนี้เป็นเวลาล่วงมา
     
  17. พุทธนิรันดร์

    พุทธนิรันดร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,641
    ค่าพลัง:
    +5,039
    ขอร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ 200 บาท โอนเงินแล้วจะโพสต์แจ้งให้ทราบอีกทีครับ

    ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้และทุกๆท่านด้วยครับ
     
  18. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
  19. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ธรรมภาษิต ตอน
    "มืด เงียบ และอิสระ" ต่อครับ

    โดยหลวงพ่อชุมพล พลปญฺโญ
    จากหนังสือชื่อสันติรำลึก

    - ความซื่อตรง มีสัจจะ จะช่วยให้ปัญญาของคนผู้นั้นมองเห็นเหตุผลต่างๆ
    อย่างชัดแจ้งตรงไปตรงมา เป็นประโยชน์แก่การเจริญก้าวหน้าของการหยั่งรู้สัจธรรมทั้งปวงที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต
    ซึ่งคนที่ไร้ความซื่อตรง ไร้สัจจะ ไม่อาจมองเห็นได้เลย

    - การบรรลุนิพพานคือการสิ้น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม
    จงสำเหนียกให้ดีว่า ต้องสิ้นกรรมด้วย

    - จงอยู่อย่างธรรมดา และยินดีในความเป็นธรรมดาของตน

    - จงภูมิใจในคุณค่าของการปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด มากกว่าภูมิใจในผลงานที่ออกมาดีที่สุด

    - เราสนุกสนานกับการได้ปล่อยวางมากกว่าการได้ยึดมั่นถือมั่น

    - จงสร้างบุญบารมี ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้เต็มที่ให้ดีที่สุด
    แล้วอนาคตจะมีทางออกที่ดีไปเอง

    - เราไม่กลัวจิตตกหรอก กลัวแต่ว่าจะหมดความเพียร
    เราไม่กลัวการพลาดพลั้งหรอก กลัวแต่การขาดกำลังใจที่จะฮึดสู้

    - คนเราถ้าพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ก็จะเป็นสุข
    ถ้าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่ามากๆ ก็จะเป็นทุกข์

    - ตรงไหนเป็นทุกข์ให้กำหนดหยั่งรู้ ดูตรงนั้นแหล่ะ
    จะมีทั้งปัญหา และวิธีแก้ปัญหาอยู่ในที่เดียวกัน
    เพราะว่าปัญหาทั้งหลายย่อมบอกวิธีแก้ตัวมันเอง แก่ผู้มีความเพียรเพ่งพินิจ
    ด้วยปัญญาและความเยือกเย็นแยบคายเสมอมา

    สาธุ
     
  20. tanya123

    tanya123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +544
    Today , I and family transfer money 400 to tumboon :)
    29/05/08-1702 1665A 348-1-23245-9=400.00:)
    Every body pls sa tue boon with us also we are sa tue boon with every body too ka:)

    Tanya Klyne and family:)
     

แชร์หน้านี้

Loading...