ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วิธีสร้างความคล่องแคล่วในการเข้าสมาธิ

    <!-- Main -->[SIZE=-1]ก่อนอื่น ผู้ศึกษาธรรมะจะต้องทราบว่า
    สัมมาสมาธิ
    ไม่ใช่สมาธิที่ทำให้จิตสงบเพราะเกาะยึดอารมณ์ ไว้เป็น “เอกัคคตา”
    แต่ประการใดเลย


    หลักการของ สัมมาสมาธิ นั้น คือ
    สมาธิที่ทำให้จิตสงบเพราะปล่อยวางอารมณ์
    และอาการนึกคิดของจิตออกไปจนหมดสิ้น


    ดังนั้น เมื่อลงมือปฏิบัติจริง จึงต้องมุ่งไปในทิศทางที่ปล่อยวางอารมณ์
    และนิมิตหมายต่างๆที่ไม่พึงประสงค์ออกไปตามลำดับ
    จนจิตย่างเข้าสู่สภาพสุญญตา คือ ว่างเพราะไม่มีอะไรเหลือเป็นนิมิตหมายอยู่เลย
    กลายเป็นจิตสงบเพราะหลุดพ้นจากการปรุงแต่งใดๆในที่สุด.

    ทั้งนี้หมายความว่า พลังปัญญาที่จะสลัดอารมณ์ออกไป
    เป็นสิ่งที่จะต้องอบรมให้เกิดขึ้น โดยวิธียกจิตเข้าไปตั้งไว้ที่ฐานที่ตั้งสติ

    ซึ่งจะส่งผลเป็นความสงบร่มเย็นให้แก่ผู้ปฏิบัติ และเป็นที่พึ่งทางจิตที่ถูกต้อง
    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ย่อมปรากฏขึ้นแล้ว ณ ที่จิตหลุดพ้นนี้.

    ๑. เมื่อเริ่มปฏิบัติสมาธิ
    ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้ตัวว่า ตนเลือกฐานที่ตั้งสติไว้ ณ ที่ใด
    และใช้คำบริกรรมว่าอย่างไร ( ถ้าใช้ )…
    ให้จำและหมั่นฝึกจิตเข้าไปตั้งไว้บ่อยๆเนืองๆโดยไม่ประมาท เลินเล่อ
    เผลอตัว เผลอสติ เมื่อมีอารมณ์เข้ามากระทบเป็นอันขาด

    รวมทั้งสังเกตดูว่า
    เมื่อยกจิตเข้าไปตั้งอยู่ที่ฐานแล้ว รวมตัวลงได้ด้วยวิธีวางจิตอย่างไร?
    ถ้าจิตรวมตัวดีแล้ว ให้หยุดคำบริกรรมเสียทันที.

    ขณะนี้
    ให้จำสภาวะตรงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างที่จิตยังไม่สงบ กับเมื่อจิตเริ่มสงบให้ได้
    โดยวิธีถอนลมหายใจให้หยาบขึ้นสักเล็กน้อย

    แล้วจึงนำจิตกลับเข้าสู่ความสงบให้ได้อีกครั้งหนึ่งทันที
    ให้ทำเช่นนี้สักสองสามครั้ง ทุกคราวที่ปฏิบัติสมาธิ
    เพื่อให้จำทางเข้าสมาธิได้อย่างคล่องแคล่ว.

    ๒. ในขณะที่จิตรวมตัวและสงบยิ่งขึ้นไปอีกนั้น
    ผู้ปฏิบัติจะต้องเพ่งดูลมหายใจ ให้ “รู้ชัด” ตลอดเวลาด้วยความพากเพียร
    และประคองไว้ด้วยอุบายอันแยบคาย


    ทำความศึกษาสภาพของลมหายใจที่ปรากฏสัมพันธ์กับความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นด้วยว่า
    ลักษณะของลมหายใจเช่นนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ ยินดี ยินร้าย ประการใด ไม่ว่าลมหายใจจะหยาบ ละเอียด แผ่วเบา หรือประณีตเพียงใดก็ตาม

    เพราะลมหายใจของแต่ละคนนั้น เป็นเครื่องชี้บอกความนึกคิดในขณะนั้นๆได้
    เช่นในขณะโกรธ ลมหายใจจะมีลักษณะร้อน แรง หายใจสั้น
    หรือ เมื่อลมหายใจไม่ปรากฏ ก็ให้ “รู้ชัด” ว่า “ว่าง”
    คือ ความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ ยินดี ยินร้าย ดับหายไปอย่างสิ้นเชิงด้วย เป็นต้น


    ดังนั้น ปัญญาจึงถูกอบรมให้เกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติสมาธิ
    เพราะศึกษาจนรู้วิธีทำลมหายใจชนิดต่างๆให้ละเอียด แผ่วเบา และประณีต
    จนชำนาญในขณะปฏิบัติสมาธิ
    แล้วจึงนำเอาประสบการณ์เช่นนี้ไปใช้
    เมื่อรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส
    ซึ่งเรียกว่า ปฏิบัติ “วิปัสสนา” ต่อไป.


    ๓.เมื่อได้ใช้ความเพียรประคองจิตให้สงบถึงขีดสุด
    รวมทั้งศึกษาวิธีเข้าถึงสภาพว่างเป็นสุญญตามานานพอสมควรแล้ว
    ก็ควรจะได้ศึกษาวิธีออกจากสมาธิด้วย

    โดยถอนลมหายใจให้หยาบขึ้นทีละน้อยๆช้าๆ สุขุมเยือกเย็น ตามลำดับ
    พร้อมสังเกตดูสภาวะจิตใจอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
    อย่าออกอย่างรวดเร็วพรวดพราด จนเสียสติการทรงตัวเป็นอันขาด
    เพราะจิตจะแลบหนีออกไป ทำให้เสียพลัง
    และจำทางเข้าสมาธิไม่ได้โดยง่ายในครั้งต่อไป

    ด้วยเหตุนี้ ผู้ปฏิบัติควรถอนลมหายใจเข้าเพื่อให้ลมหยาบขึ้นเล็กน้อย
    แล้วนำกลับเข้าสู่ลมหายใจละเอียดจนเป็นสมาธิให้ได้อีกครั้งหนึ่ง
    พร้อมกับใช้ความสังเกตดูสภาวะตรงหัวเลี้ยวหัวต่อ
    ขณะที่จิตสงบเป็นสมาธิกับขณะที่เริ่มไม่สงบ ให้เห็นชัดด้วย


    ผู้ปฏิบัติควรซ้อมทำวิธีออกจากสมาธิดังกล่าวนี้สักสองสามครั้ง
    ทุกคราวเมื่อจะออกจากสมาธิ เพื่อให้จำทางออกจากสมาธิได้อย่างแม่นยำ
    ซึ่งจะช่วยให้เข้าสมาธิครั้งต่อไปได้โดยง่ายที่สุด

    ๔.เมื่อถึงเวลานอน
    ก็นอนลงไปพร้อมกับตั้งสติกำหนดลมหายใจตลอดเวลาจนกระทั่งหลับ
    ผู้ที่ทำเช่นนี้เพียงระยะเวลาไม่นานนัก
    จิตจะรู้เองว่าถึงเวลาที่ตนจะต้องทำหน้าที่อย่างใดแล้วในขณะนี้ ตรงกันทุกวันเสมอ
    เพราะจิตเป็นอิสระ เป็นไท พ้นจากถูกอารมณ์ครอบงำแล้ว
    รวมทั้งรู้ว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรต่อไปจึงจะหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย

    ๕.เมื่อจะตื่นขึ้น
    ก็รีบยกจิตเข้าไปตั้งไว้ ณ ฐานที่ตั้งสติอีกทันที
    และรักษาไว้ที่ฐานที่ตั้งสติให้มั่นคงทั้งวันทั้งคืน

    ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง หรือนอนก็ตาม

    เมื่อมีสิ่งใดเข้ามากระทบจิต
    ก็ให้รีบยกจิตออกจากสิ่งนั้นๆ เข้าไปไว้ที่ฐานที่ตั้งสติทันที
    และทำสติให้รู้ลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน
    เพื่อไม่ให้แลบหนีไปหาสิ่งที่เข้ามากระทบได้อีก

    ทั้งนี้หมายความว่า
    เมื่อเรื่องอะไรเข้ามากระทบจิต ก็ให้ละเรื่องที่รู้ออกไปเสีย
    แล้วรีบนำจิตเข้าไปตั้งไว้ที่ฐานโดยเร็วที่สุดทุกครั้ง
    ความยินดี-ยินร้ายก็จะไม่เกิดขึ้นที่จิตได้เลย


    เมื่อได้ปฏิบัติเช่นนี้มากขึ้นและนานขึ้น จนถึงขั้นที่เรียกว่าบ่อยๆเนืองๆต่อเนื่องกันแล้ว
    ผู้ปฏิบัติย่อมเกิดความคล่องแคล่วในการรวมจิตที่กำลังไม่สงบ
    ให้กลับเข้ามาสงบเป็นสมาธิ ณ ฐานที่ตั้งสติภายในกายได้โดยไม่ชักช้า

    หรืออีกนัยหนึ่ง คือ
    ผู้ปฏิบัติเกิดความชำนาญที่จะทำลมหายใจที่กำลังหยาบอยู่
    ให้กลายเป็นลมหายใจที่ละเอียดและประณีตที่สุดได้ทันทีโดยไม่เสียเวลาเลย
    ทุกข์ก็ย่อมดับไปจากจิตเป็นธรรมดา

    ความคล่องแคล่วที่ได้รับเพิ่มมากขึ้นนี้ ก็คือ อริยมรรค ซึ่งใช้สำหรับตัดความยินดี-
    ยินร้ายออกไปได้โดยเด็ดขาด ในเมื่อมีอารมณ์ใดๆเข้ามากระทบ

    ดังนั้น ความคล่องแคล่วหรืออริยมรรคสำหรับตัดความยินดียินร้ายออกไปดังกล่าวนี้
    จึงเป็นเป้าหมายที่ผู้ปฏิบัติจะต้องทำให้เกิดขึ้นด้วยความพากเพียรที่สุด
    เมื่อความยินดียินร้ายดับไปแล้ว ก็จัดว่าอริยผลได้เกิดขึ้นทันทีที่จิตของผู้ปฏิบัติด้วย


    จากหนังสือ ธรรมประทีป ๗ ธรรมะภาคปฏิบัติ โดย อ.ไชยทรง จันทรอารีย
    ์[/SIZE]






    [SIZE=-1]ขอขอบคุณ[/SIZE]
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nulek&month=09-05-2008&group=5&gblog=17
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2008
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เนื่องจากมีผู้ที่อยากรู้ในเรื่องอจินไตย ได้แจ้งเข้ามาว่า ขอให้สอดแทรกในเรื่องเกี่ยวกับฤทธิ หรือทิพย์อำนาจ เข้ามาในกระทู้บ้าง เพราะอ่านแต่ธรรมะ บางทีภูมิจิตภูมิใจ ยังไม่ถึง จึงทำความเข้าใจลำบาก อยากได้เครื่องล่อ พอสร้างความบันเทิงต่อจิตบ้าง ดังนั้นจึงจะขอ สรุปว่าต่อไปหากมีบทความที่เป็นทางด้านอจินไตยของครูอาจารย์ในอดีตทั้งสายอรัญวาสีและคามวาสีทั้งของธรรมยุติและมหานิกายที่น่าสนใจแล้วจะนำมาลงให้อ่านนอกเหนือจากข้อธรรมปกติครับ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ "รู้ได้เฉพาะตน" ได้ขวนขวายปฏิบัติทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐานต่อไป เพราะบางทีเอาแต่แง่ธรรมะมาเผยแพร่อย่างเดียว อาจจะไม่ถูกจริตกับท่านที่ชอบทางด้านฤทธิอำนาจ หรือทิพยอำนาจ จึงอาจทำให้ย่อหย่อนทางด้านความเพียรไปบ้าง วันนี้จึงเริ่มต้นด้วยบทความที่อ่านเจอ คือทิพยอำนาจของหลวงปู่บุญ และหลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง ซึ่งมีเนื้อหาชวนอ่านดี เป็นความน่ารักของพระคุณเจ้าทั้ง 2 รูป ครับ



    การย่นระยะทางของการเดินทางของพระเกจิอาจารย์ นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนัก ที่ระยะทางที่ปกติต้องใช้เวลาในการเดินทางกว่า 1 ชั่วโมง หากพระเกจิอาจารย์บางรูปใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็บรรลุถึงปลายทาง

    กล่าวกันว่า พระเกจิอาจารย์รูปใดที่ใช้วิชาในการย่นระยะทาง ต้องชดใช้ด้วยการเดินจงกรมเท่ากับระยะทางที่ใช้ในการย่นระยะ

    ดังเรื่องราวของหลวงพ่อแช่ม แห่งวัดตาก้อง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม พระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงแห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อแช่มได้เดินทางไปยังวัดกลางบางแก้ว เพื่อเยี่ยมเยียนหลวงปู่บุญตามปกติ ระหว่างเดินเข้ามายังวัดกลางบางแก้ว พบพระภิกษุลูกวัดกลุ่มหนึ่งกำลังสนทนากันอยู่หน้ากุฏิหลวงปู่บุญ หลวงพ่อแช่มก็เอ่ยกับพระภิกษุกลุ่มนั้นว่า

    "เดินมาจากวัดตาก้องถึงวัดกลางบางแก้ว ก็พอดีได้เหงื่อเปียกจีวร ยังไม่เหนื่อยเท่าไร ถึงเสียแล้ว"

    ระหว่างวัดตาก้องเดินทางมาถึงวัดกลางบางแก้ว มีระยะทางห่างกันถึง 30 กิโลเมตร พระภิกษุรูปหนึ่งได้ถามหลวงพ่อแช่มว่า "ทำไมหลวงพ่อไม่ขึ้นรถไฟมาเล่า" หลวงพ่อแช่มตอบกลับไปว่า "ไปถึงสถานีรถไฟนครปฐมแล้ว แต่ไม่ทันรถไฟออกไปเสียก่อนแล้ว เลยเดินมาเรื่อยๆ มาถึงสถานีรถไฟนครชัยศรีพักหนึ่งรถไฟเพิ่งจะมาถึง"

    พระภิกษุกลุ่มนั้นพากันแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง และเข้าใจว่าหลวงพ่อแช่มใช้วิชาการย่นระยะทาง ในการเดินทางมาถึงวัดกลางบางแก้วเป็นแน่ จึงมาถึงก่อนรถไฟได้

    พอหลวงพ่อแช่มบอกเสร็จก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า "ท่านแช่มที่ท่านว่ารถไฟเพิ่งมาถึงนั้น คงจะเป็นรถไฟคนละขบวนกันมั่ง"

    เมื่อหันไปทางต้นเสียง เป็นหลวงปู่บุญยืนอยู่ริมระเบียงกุฏินั้นเอง

    หรือเรื่องหนึ่ง

    คราวหนึ่งหลวงพ่อแช่มมาเยี่ยมหลวงปู่บุญที่วัดกลางบางแก้ว พบพระภิกษุลูกวัด 4 รูป กำลังช่วยกันเลื่อยไม้ และไสกบไม้กระดานกันอยู่ หลวงพ่อแช่มได้หยุดทักทายพระภิกษุเหล่านั้นด้วยความคุ้นเคย แล้วทักพระภิกษุที่กำลังไสกบไม้กระดานอยู่ว่า "ทำไมจะต้องไปไสให้เมื่อยมือเปล่าๆ"


    พระหนุ่มที่กำลังไสไม้อยู่ได้ยินหลวงพ่อแช่มกล่าวเช่นนั้น ก็หยุดไสแล้วหันไปตอบหลวงพ่อแช่มว่า "ถ้าไม่ไสแบบนี้แล้วจะเรียบได้อย่างไรล่ะหลวงพ่อ"

    หลวงพ่อแช่มจึงตรงปรี่ไปที่พระหนุ่มนั้น แล้วหยิบกบไสไม้มาถือในมือ ภาวนาคาถาพึมพำแล้ววางกบไสไม้ลงบนแผ่นไม้กระดานด้านปลาย ทันใดกบไสไม้ก็เคลื่อนไสไม้เองโดยไม่มีใครออกแรงจับไสไปข้างหน้าอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อกบไสไปถึงหัวกระดาน หลวงพ่อแช่มก็ไปหยิบขึ้นมาวางที่ปลายไม้กระดานแล้วปล่อยให้กบไสไม้เคลื่อนที่ไปเอง ท่ามกลางความตกตะลึงใจของพระภิกษุลูกวัดกลางบางแก้ว

    พระภิกษุเหล่านั้น ต่างสนใจในวิชาคาถานี้เป็นยิ่ง ถึงกลับกล่าวกับหลวงพ่อแช่ม "หลวงพ่อสอนผมบ้างสิครับ"

    แต่กลับมีเสียงตอบมา เป็นเสียงของหลวงปู่บุญ ว่า

    "แบบนี้ไม่น่าเรียนเพราะต้องไปจับมาวางเสียเวลาเปล่าๆ"

    หลวงพ่อแช่มได้ยินก็หันไปทำความเคารพหลวงปู่บุญในฐานะที่อาวุโสกว่า แล้วจึงกล่าวกับหลวงปู่บุญ "ท่านเจ้าคุณลองดูบ้างเถอะครับ"

    หลวงปู่บุญเดินเข้าไปหากบไสไม้พลางหยิบขึ้นมาภาวนาคาถาครู่หนึ่ง แล้วจึงวางกบไสไม้ลงบนแผ่นไม้กระดาน กบไสไม้ก็ไสไปเองเช่นเดียวกับตอนที่หลวงพ่อแช่มทำ ทว่าเมื่อกบไสไม้ไสไปถึงหัวไม้กระดาน กบไสไม้ก็ถอยกลับมาเองถึงปลายไม้แล้วไสไม้ต่อไป โดยไม่ต้องเสียเวลามาจับวางใหม่

    ซึ่งสร้างความตื่นเต้นแก่พระภิกษุลูกวัดที่ได้เห็นการแสดงหยอกล้อกันด้วยวิชาคาถาอาคมระหว่างหลวงปู่บุญ และหลวงพ่อแช่ม แห่งวัดตาก้อง

    นำมาจาก
    http://www.thaiblades.com/forums/archive/index.php/t-12148.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2008
  3. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    สารบัญ

    1. บทนำ
    2. <SCRIPT> function confirmDelete(delUrl) { if (confirm("แน่ใจนะคะ ว่่าคุณต้องการ ลบ หน้านี้ออกจากงานเขียน ? ")) { document.location = delUrl; } } </SCRIPT>จุดเริ่มต้นและแนวทางการดำเนินงาน
    3. <SCRIPT> function confirmDelete(delUrl) { if (confirm("แน่ใจนะคะ ว่่าคุณต้องการ ลบ หน้านี้ออกจากงานเขียน ? ")) { document.location = delUrl; } } </SCRIPT>ความคืบหน้าและยอดเงินบริจาค ณ เดือน ธันวาคม 2550
    4. <SCRIPT> function confirmDelete(delUrl) { if (confirm("แน่ใจนะคะ ว่่าคุณต้องการ ลบ หน้านี้ออกจากงานเขียน ? ")) { document.location = delUrl; } } </SCRIPT>พี่ใหญ่ฝากมา...
    5. <SCRIPT> function confirmDelete(delUrl) { if (confirm("แน่ใจนะคะ ว่่าคุณต้องการ ลบ หน้านี้ออกจากงานเขียน ? ")) { document.location = delUrl; } } </SCRIPT>ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน ธันวาคม 2550 #1
    6. ความรู้ปู่ให้มา..พระสมเด็จกรุบางน้ำชน (ปีระกาป่วงใหญ่)
    7. ความรู้ปู่ให้มา..พระสมเด็จปูนสอ "สมเด็จอัศนี"
    8. พระท่าดอกแก้วที่ อ.ประถม อาจสาครสร้าง
    9. ความคืบหน้าและยอดเงินบริจาค ณ เดือน มกราคม 2551
    10. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มกราคม 2551 #2
    11. ความคืบหน้าและยอดเงินบริจาค ณ เดือน กุมภาพันธ์ 2551
    12. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2551 #3
    13. การไหว้ 5 ครั้ง (ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร ) วัดเทพศิรินทราวาส
    14. แจ้งกำหนดการร่วมทำบุญเดือน มีนาคม
    15. ภาพพระโลกอุดรที่เรียกว่า "กรุเก่า"
    16. ใบเสร็จรับเงินที่ไปทำบุญมาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2551
    17. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2551 #4
    18. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน มีนาคม 2551 #4 หน้า 2
    19. "กระดูก 300 ท่อน" สุดยอดธรรมจากหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
    20. ย้อนหลังกลับมาคุยถึงเรื่อง พระกำลังใจ 2
    21. ชนวนที่ใช้ในการสร้างพระกำลังใจ 2 หน้าที่ 1
    22. ชนวนที่ใช้ในการสร้างพระกำลังใจ 2 หน้าที่ 2
    23. สรุปยอดเงินบริจาคที่ Update ยอดเมื่อวันนี้ 10 เมษายน 2551
    24. ใบโมทนาบัตรเมื่อคราวไปทำบุญเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2551
    25. สรุปรายการพระที่นำมามอบให้เป็นสำหรับผู้ร่วมทำบุญกับทุนนิธิ ฯ
    26. บรรยากาศแบบไทย ๆ ณ บ้านอาจารย์ประถม อาจสาคร ร่วมกับ คณะกรรมการทุนนิธิฯ
    27. พระอีกรุ่นหนึ่งที่เป็นพระที่ อ.ประถมฯ สร้างไว้...
    28. คำบอกเล่าเกี่ยวกับกิจกรรมทำบุญครั้งที่ 5 ของทุนนิธิฯ...จากประธานทุนนิธิฯ
    29. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน เมษายน 2551 #5
    30. ภาพการทำบุญของ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ประจำเดือน เมษายน 2551 #5-2
    31. รูปขณะที่ทางประธานทุนนิธิฯและคณะกรรมการได้นำกระเช้า ไปกราบเยี่ยมอาการผ่าตัดต้อที่ตาของ อาจารย์ประถม ที่บ้าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2008
  4. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
  5. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    “ยุคสมัยผู้คนคบยากเชื่อยาก ให้เขาหมั่นเพียร เราต้องหมั่นเพียร ให้เขาสงบ เราต้องสงบ มีสิ่งล่อใจ ต้องให้ประทับใจ จึงปฏิบัติตาม”


    ท่านพระอาจารย์นพพร อทิจฺจวํโส

    ขอขอบคุณ
    แหล่งที่มาของบทความ >>ClickHere<<<!-- / message --><!-- sig -->
     
  6. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    โทษ ๑๐ ประการ วิบัติทันตาเห็น พระพุทธปกาศิต

    ผู้ใดประทุษร้ายผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายใคร ย่อมประสบเหตุ ๑๐ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งโดยพลัน ​
    ๑. ได้รับเวทนากล้า
    ๒. ทรัพย์สมบัติเกิดพินาศ
    ๓. ถูกกทำร้ายร่างกาย
    ๔. เป็นโรคร้ายแรง
    ๕. จิตฟุ้งซ่าน
    ๖. ผู้มีอำนาจเบียดเบียน
    ๗. ถูกใส่ความอย่างร้ายแรง
    ๘. ความฉิบหายแห่งญาติ
    ๙. โภคสมบัติถึงความย่อยยับ
    ๑๐. ถูกไฟไหม้บ้าน
    เมื่อตายแล้ว เสวยทุกขเวทนา อยู่ในนรก

    พระพุทธโอวาท​


    ขอขอบคุณ
    แหล่งที่มาของบทความ >>ClickHere<<<!-- / message --><!-- sig -->​
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    นี่เป็นบทคัดย่อในวิชาการดอทคอมที่ทางทุนนิธิฯ ทำสรุปไว้ให้ โดยในส่วนของพระพิมพ์สมเด็จปูนสอ และพระพิมพ์สมเด็จอัศนี (บางครั้งเรียกเป็นพระพิมพ์สมเด็จสายฟ้า หรือพระพิมพ์สมเด็จฟ้าผ่า ) เรื่องเต็มๆ จะพิจารณานำมาลงให้อ่านกัน สำหรับผู้ที่ไม่มีหนังสือ ปู่ (อ.ประถม) เล่าให้ฟัง ในภายหลังครับ เพราะต้องขออนุญาตท่านก่อนตามธรรมเนียมของศิษย์ที่ดีครับ
     
  8. thanyaka

    thanyaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +2,497
    นำมาอ่านแก้เซ็งวันหวยออกค่ะffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    ทะเลาะกับเมีย เพลียใจที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับผัว ปวดหัวที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับแฟน แค้นใจที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับมิตร หงุดหงิดที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับพ่อแม่ แย่ที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับลูก ทุกข์ใจที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน รำคาญใจที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับพี่น้อง ฟ้องร้องไม่สิ้นสุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับพระเณร เวรกรรมที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับผู้ร่วมงาน ฟุ้งซ่านที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับลูกน้อง มัวหมองที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับนาย วอดวายที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับผู้บังคับบัญชา ความก้าวหน้าสะดุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับครูอาจารย์ ร้าวฉานที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับนักเลง ถูกข่มเหงไม่สิ่นสุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับขี้เมา งี่เง่าที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับคนบ้า น่าระอาที่สุด<O:p></O:p>
    ทะเลาะกับสตรี เสียศักดิ์ศรีที่สุด<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    นำมาจากหนังสือพุทธสยาม หน้า33 โดย พระครูวิวิธธรรมโกศล<O:p></O:p>
    ขอกราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระอริยคุณาธาร หรือ ท่านปุสโส เส็ง ผู้รจนา หนังสือทิพยอำนาจ นี้ ท่าน อ.ประถมฯ เคยเมตตาเล่าให้ฟังว่า ท่านมีของเก่าในอดีตชาติมาเยอะมาก ได้ทิพยจักขุญาณ ในวัยเด็ก แสดงฤทธิ์ได้ เห็นบทความนี้จึงนำลงมาให้อ่านกันครับ


    ********************************************************************************

    วิธีเจริญวิปัสสนาอย่างลัด

    โดย...พระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง , ปธ. 6)
    วัดป่าเขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น

    { คัดลอกมาจาก : หนังสือ
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พิธีพุทธาภิเษก และ การห้อยพระที่ถูกต้อง โดย หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ
    (1/4) >>>
    plahang:
    วิธีการปลุกพระ ปลุกผ้ายันต์ และวัตถุมงคลต่างๆ ถ้าพระที่เข้าขั้นที่เรียกว่าได้ทิพยจักขุญาน โดยมากเขาไม่ทำเองนะ เขาเที่ยววานพระมาทำ พระพุทธเจ้าบ้าง พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง พระอริยสงฆ์บ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้าง อันนี้ก็สบายดี แต่หากว่าถ้าทำเองไม่นานมันก็เจ๊ง ตัวเองยังคุ้มครองตัวเองไม่ค่อยได้ คนมันก็ตายนี่ แล้วมันจะไปคุ้มครองความตายของใครเค้าได้ วิธีทำฉันก็บวงสรวงชุมนุมเทวดา อาราธนาบารมีพระทั้งหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด ครูอาจารย์ทั้งหมด ฉันยกยอดเลย ยกยอดในเมื่ออาราธนาก็เห็นท่านมากันครบถ้วน แล้วมาทำกัน เมื่อท่านบอกว่าไม่มีอะไรจะบรรจุแล้ว เต็มแล้ว ฉันก็เลิก จงจำไว้นะ การที่เราจะเสกพระเสกยันต์อะไรต่ออะไรนี่นะ ถ้าเสกด้วยอำนาจกำลังของเราล่ะก็ ไม่ช้ามันก็เสื่อม เราน่ะมันดีแค่ไหน การเสกว่าคาถาต่างๆ นี่ก็เป็นการอาราธนาบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเทวดา หรือพรหมมาช่วย แต่ว่าคาถาบางอย่างก็จะว่าแต่เฉพาะบางจุด

    การเสกพระเสกเจ้า หรือผ้ายันต์เสก อะไรต่ออะไรพวกนี้ ถ้าเราเอาตัวของเราออกเสีย เราไม่เข้าไปยุ่ง แต่อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมหรือเทวดาทั้งหมดท่านมาช่วย ท่านทำประเดี๋ยวเดียวสองสามนาทีมันก็เสร็จ ดีกว่าเราทำ ๑,๐๐๐ ปี แล้วจะเอาอะไรบ้างก็อาราธนาบอกท่าน บอกว่าขอให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่อย่าลืมนะ ถ้าใช้ในทางทุจริตหรือกฏของกรรมบังคับ ไม่มีอะไรที่จะคุ้มครองใครได้ ถ้าหากว่าใครเลวอยู่แล้วก็คอยพยุงๆ ให้เลวน้อยลงไปนึดหนึ่งได้ ถ้าใครดีขึ้นมาหน่ยก็พยุงให้ดีมากได้ นี่เป็นกฏของอำนาจ พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี และพรหมและเทวดาทั้งหลาย การทำตัวเป็นคนเก่งเองน่ะ มันใช้ไม่ได้ มันต้องให้พระท่านเก่งซี พระพุทธท่านเก่ง พระธรรมท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง พรหมท่านเก่ง เทวดาท่านเก่ง ของที่เราทำจะตามไปคุ้มครองชาวบ้านชาวเมืองได้ยังไงทุกคน ถ้าหากพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครอง ท่านก็มองเห็นได้ถนัด สงเคราะห์เขาได้โดยสะดวก

    พระของฉัน หรือของๆที่ฉันออกแจกก็ตาม ฉันไม่เคยบอกว่าของๆฉันเป็นของคงกระพันชาตรี อันนี้ต้องจำกันไว้ด้วย ใครที่รับของๆฉัน แล้วจงทราบว่า ฉันไม่เคยรับรองเรื่องคงกระพันชาตรีเพราะเรื่องนี้ถ้าใครรับรองคนนั้นก็โง่ มันเป็นกฏของกรรม คนที่เหนียวๆ ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า แต่ก็ทะลุทุกราย ถ้ากรรมชั่วมันเข้ามาถึงแล้ว กรรมใดที่เป็นบาปมันก็เปิดโอกาสให้คนหนังเหนียวนี่ตายเพราะอาวุธนับไม่ถ้วน

    ความมุ่งหมายในการใช้พระคล้องคอ โดยมาพวกเรามักเข้าใจผิดกัน ที่พระท่านทำไว้ให้คล้องคอ ก็หมายถึงว่า บุคคลที่มีใจเคารพในพระพุทธเจ้า มีใจเคารพในพระธรรม มีใจเคารพในพระอริยสงฆ์ แต่ทว่ามีกำลังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการยังอ่อนอยู่ ฉะนั้น จึงได้ทำรูปเปรียบของพระพุทธเจ้าก็ดี รูปเปรียบเทียบของพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ดี ที่เป็นที่เคารพนับถือห้อยคอไว้ ถ้าหากว่าเรานึกถึงพระท่านไม่ออก จะได้นำพระขึ้นมาดู รูปนี้เป็นรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามระบอบแห่งความดีที่เรียกว่า พระธรรมวินัย

    นี่คือความเป็นจริงเป็นความมุ่งหมายของผู้ทำต้องการอย่างนั้น หมายความว่าคนที่มีพระห้อยคอ ควรจะทำใจอย่างพระหรือมิฉะนั้นคนที่มีพระห้อยคอ ก็ควรที่จะทำตามพระแนะนำ ให้ปฏิบัตดี ปฏิบัติชอบ แต่พวกเราก็กลับมาพลิกแพลงเสีย เอาพระไปตีกับชาวบ้านเขา ไปยุให้พระตีกัน

    พระที่นำมาห้อยคอนี่ พระท่านทำขึ้นมาก็ด้วยอาศัยอำนาจของพระพุทธานุภาพนะ อำนาจของพระพุทธานุภาพนี่สามารถที่จะช่วยคนที่ยังไม่ถึงอายุขัยให้พ้นจากอันตรายได้ ที่เรียกว่า "พระเครื่อง" อันนี้ใช้ได้ แต่ถ้าหากจะเรียก "เครื่องรางของขลัง" อันนี้ใช้ไม่ได้ พระทุกองค์ท่านทำมาไม่ใช่ของขลังท่านทำมาด้วย วิธีที่เรียกว่า พุทธศาสตร์ ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์มีค่าต่างกัน

    พวกของขลังนี่เป็นไสยศาสตร์ เขาทำมาเพื่อขาย สำหรับพุทธศาสตร์ เขาทำเพื่อการสงเคราะห์ เพื่อให้บุคคลที่มีพระประเภทนี้ไว้ ถ้ามีจิตใจเคารพในคุณพระรัตนตรัย ถ้าไม่ถึงอายุขัย ถ้าอันตรายของชีวิตพึงจะเกิดขึ้น ก็สามารถปลอดภัยจากอันตรายนั้นได้



    จาก หนังสือสมบัติพ่อให้
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษี ลิงดำ)


    นำมาจาก

    http://www.palungjit.org/board//showthread.php?t=45366



    ไม่ต้องแปลกใจเช่นกัน พระที่ทุนนิธิฯ นี้แจกให้ฟรี ก็เป็นเช่นนี้ อย่างที่หลวงพ่อฤาษีท่านกล่าวไว้ข้างบนเหมือนกัน ไม่มีราชวัตรฉัตรธง มีเพียงดอกไม้ ผลไม้ เครื่องบูชาให้สมเกียรติ และจิตที่ตั้งมั่นของผู้ขอบารมีที่สื่อถึงท่านได้ พร้อมด้วยเจตนาที่บริสุทธิที่จะนำมาแจกฟรีให้แก่ผู้ทำบุญเพื่อสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ แค่นี้ก็พอ สำหรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ และพรหม เทพชั้นสูง สาธุ .... นี่คืออจินไตย แห่งจิตในบวรพุทธศาสนาโดยแท้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2008
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ธรรมะในวันวิสาขบูชา จากข้าพเจ้า

    "ความมหัศจรรย์แห่งกุศลกรรม"

    พันวฤทธิ์
    18/5/51
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2008
  12. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    พระมหาอุตม์ (ปิดทวาร)


    ตามความเข้าใจดั้งเดิม โดยทั่วไปเข้าใจกันว่า พระปิดตา หรือพระปิดทวารทั้งเก้า เป็นพระมหาอุด จะอุดโชคอุดลาภต่าง ๆ
    เช่นเดียวกับพระรอดซึ่งมักจะเข้าใจกันว่า โชคลาภต่าง ๆ จะรอดพ้นไปหมด ยังเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
    คำว่า "อุตม์" กับคำว่า "อุด"
    "อุตมะ" มีความหมายว่า สูงสุด, ยิ่ง, เลิศ, มากมาย, บริบูรณ์
    "อุตมัตถ์" มีความหมายว่า ยิ่งใหญ่
    "มหา" มีความหมายว่า ยิ่งใหญ่
    "อุด" มีความหมายว่า จุกกัน, จุกช่อง, จุกให้แน่น

    ดังนั้น "มหาอุตม์" จึงมีความหมายว่า ผลอันยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ และเป็นความหมายที่ถูกต้อง กว่าคำว่า "มหาอุด"
    พระมหาอุตม์ จึงมีความหมายว่า พระนั้น ๆ มีพุทธานุภาพอันยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นความหมายที่ถูกต้องกว่าคำว่า "มหาอุต"
    ซึ่งหมายถึง ยิงไม่ออก ยิงไม่เข้า พระมหาอุตม์ หรือพระปิดตา หรือพระปิดทวาร หรือพระปิดทวารทั้งเก้า
    หรือพระสังกัจจายน์ ก็คือ พระอรหันต์องค์เดียวกัน ซึ่งเป็นสาวกของพระศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่า "พระราควัมบดี"
    หรือที่เรียกว่า "พระควัมปติมหาเถโร" แต่อยู่ในลักษณะปางแตกต่างกันไป
    ปางปิดตา
    ปางปิดทวารทั้งเก้า (พระมหาอุตม์)
    ปางอุ้มท้อง หรือ สังกัจจายน์
    คำว่า "อุตมะ" เป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต ตรงกับคำในภาษาไทยว่า "อุดม" พระภควัมบดี จึงเป็นพระที่อุดมไปด้วยความดี ทุกอย่าง ทุกทาง
    พระมหาอุตม์ เป็นพระปิดตาที่มีมือปิด "ทวาร" หรือ ทางเข้าออกแห่งอาสวะกิเลสทั้งหลาย ซึ่งเราเชื่อกันว่าร่างกายของมนุษย์ (หรือสัตว์) มีทวาร
    หมายถึง ประตูแห่งการออก ๙ ทาง ได้แก่ ตา ๒ จมูก ๒ หู ๒ ปาก ๑ รวมทั้งช่องทางขับถ่ายด้านหน้า และด้านหลังอีก ๒ รวมเป็น ทวารทั้ง ๙
    การปิดทวารทั้ง ๙ เป็นปริศนาธรรมที่กั้นกิเลสจากภายนอกไม่ให้เข้ามาสู่ภายในเพื่อจุดหมายแห่งการปฏิบัติกรรมฐาน

    ในกระบวนพระมหาอุตม์ (ปิดทวาร) ของพระคณาจารย์แต่โบราณนั้นมีที่ขึ้นชื่อลือเลื่องหลายสำนักด้วยกัน
    วัสดุมวลสารที่นำมาประกอบเป็นองค์พระนั้น มีทั้งเนื้อโลหะและเนื้อผง
    [​IMG]

    พระปิดตามหาอุตม์ ยันต์ยุ่ง เนื้อสัมฤทธิ์เงิน
    หลวงพ่อทัพ วัดทอง กรุงเทพฯ



    พระปิดตา ( พระภควัมบดี )

    พระปิดตา หรือ พระภควัมบดี เป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นปางหนึ่งของพระสังกัจจายน์

    พระภควัมบดี ตามภาษาบาลี เรียกว่า "พระควัมปติ มหาเถโร" มีพุทธลักษณะงดงามละม้ายคล้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือว่า พระภควัมบดีเป็นอัครสาวกองค์หนึ่ง เพียบพร้อมไปด้วยความเฉลียวฉลาด สามารถอธิบายธรรมได้ดียอดเยี่ยมกว่าพระสาวกองค์อื่น ๆ ถือกำเนิดจากตระกูลพราหมณ์-ปุโรหิตกัจจายนะโคตร์ แห่งเมืองอุชเชนี เนื่องมาจากวรรณะของท่านงดงามดั่งทอง ท่านจึงมีนามว่า "กาญจน" ได้ศึกษาไตรเพทจนเจนจบ ได้เป็นพราหมณ์ปุโรหิตแทนบิดา ในสมัยพระเจ้าจันทรปัตโชติ ต่อมาได้ฟังธรรมในสำนักพระศาสดาพระพุทธเจ้าจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ภายหลังจึงได้อุปสมบทด้วย เอหิภิกขุอุปสัมปทา เนื่องจากพระภควัมบดี มีผิวเหลืองดังทองและรูปร่างละม้ายคล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้า ฉะนั้นเมื่อไปยังแห่งหนตำบลใดก็ตามฝูงชนต่างกล่าวขานสรรเสริญว่า "พระพุทธเจ้าเสด็จมา" ท่านจึงเห็นว่าไม่เป็นการอันสมควรเป็นแน่แท้ จึงได้อธิษฐานรูปร่างตัวท่านเองให้มีร่างกายเตี้ย และพุงพลุ้ยไม่น่าดู จากการนิมิตตัวท่านเองในครั้งนี้ ทำให้พระคณาจารย์ต่าง ๆ ทำรูปเคารพ ในพุทธลักษณะปางต่าง ๆ กัน อาทิเช่น ปางปิดตา ปางปิดทวารทั้งเก้า และปางพระสังกัจจายน์ เป็นต้น

    พระปิดตา มีลักษณะเป็นพระนั่งอ้วนพลุงพลุ้ยสมบูรณ์ ยกมือทั้ง ๒ ข้าง ปิดหน้าตา พระปิดตาของคณาจารย์แต่โบราณนั้น มีที่ขึ้นชื่อลือเลื่องหลายสำนักด้วยกัน วัสดุมวลสารท่ีนำมาประกอบเป็นองค์พระมีทั้งเนื้อชินตะกั่ว เนื้อผงคลุกรัก เนื้อผงใบลาน เนื้อผงมวลสาร เนื้อโลหะต่าง ๆ เช่น เนื้อสัมฤทธิ์ เนื้อเมฆพัด เนื้อเมฆสิทธิ์ เนื้อนวโลหะ เป็นต้น

    [​IMG]
    พระปิดตาพิมพ์
    กรุวังหน้า กทม.



    ขอขอบคุณ
    แหล่งที่มา >>ClickHere<<&>>ClickHere<<
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2008
  13. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    วันนี้ขอเล่าเรื่องที่พบเจอมากะตัวละกันครับ
    ซึ่ง ณ ตอนบ่ายนำพระที่พี่นายสติให้ไปเลี่ยม
    กะว่าจะคล้องครับ เพราะองค์เล็กๆ และจัดสรรใหม่ให้เหมาะสม
    ใจจริงก็อยากเลี่ยมทอง แต่ตอนนี้ไม่ไหวครับ ทองแพงจริงๆ

    เลี่ยมพลาสติดไปก่อนละกันครับ
    ที่น่าแปลกก็คือ ฝนตกระหว่างช่างที่เลี่ยม แต่ไม่ใช่ช่างชาละวัน (ช่างหยุด)

    เดินหาอยู่นาน ส่วนใหญ่ ช่างใช้เข็มฉีดยา เพื่อฉีดน้ำประสานเชื่อมพลาสติค
    ผมก็เลี่ยงไป เพราะอยากได้ช่างที่ใช้ตะไบเลื่อยครับ
    (ใช้น้ำประสานน้อย ไม่โดนพระ)
    ก็เจอ แต่ฝีมือสู้ช่างชาละวันไม่ได้ หลายขั้นตอนยังเนียมไม่เท่า
    แต่ช่างคนนี้เจียสวยกว่าช่างชาละวัน
    ระหว่างเลี่ยมฝนก็ตกลงมา หนักบ้าง ผสมเบาบ้าง

    ก่อนใกล้ๆ จะเสร็จครับ ผมนึกในใจว่า ขอฝนหยุดหน่อยครับ
    ไม่ถึง 3 นาที ฝนหยุดตก ช่วงเลี่ยมเสร็จ ใส่ซองพลาสติค
    ผมจ่ายตังค์ ก็เดินออกไปขึ้นรถเมลล์ทันที ใกล้มาถึงร้านเพื่อน
    ฝนเริ่มตกหนักต่อ ผมวิ่งเข้าร้านหนังสือเพื่อน นิดเดียว ฝนตกหนักเลย

    ผมแปลกใจนะครับ ว่าพระพี่นายสติให้มาเกี่ยวอะไรกับพระธรรมชาตินะ
    แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2551
    เวลาประมาณ 4 - 5 โมงเย็นครับ
    ผมก็เปียกบ้างครับ นิดๆ หน่อย

    สาธุครับ
     
  14. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    พรุ่งนี้จะจัดส่งพระกรุโลกอุดรให้กับท่านที่ขอไว้ พระชุดนี้นอกจากหลวงปู่โลกอุดรเสกยังได้รับการเชิญบารมีเพิ่มจากสมเด็จองค์ปฐมแห่งภัทรกัปป์นี้ ท่านที่พลาดโอกาสให้ไปรับได้อีกทีในวันทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์ วันที่25พฤษภาคมนี้ สำหรับรายชื่อที่จะจัดส่งให้วันพรุ่งนี้คือ
    คุณกุ้งมังกร
    คุณธิติ
    คุณjirautes
    คุณnarin96
    คุณcoco
    คุณpisit22
    ส่วนท่านมีความประสงค์จะขอรับพระกรุโลกอุดรนี้ ก็pmมาที่ผมได้ โดยบอกที่อยู่จัดส่งพระ และ ต้องเป็นผู้เคยทำบุญกับ ทุนนิธิฯ มาแล้ว ส่วนท่านใดยังไม่ได้โอนค่าจัดส่งก็โอนได้ที่บัญชี พลภัทร 7052403272 กสิกรไทย ออมทรัพย์ สาขาถนนประชาอุทิศ จำนวนท่านละ50บาทครับ ปัจจัยที่เหลือจากค่าส่งผมจะนำเข้าทำบุญกับทุนนิธิทั้งหมดครับ
     
  15. 16

    16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +419
    เท่าที่ผมอ่านมา " พระมหากัจจายนเถระ " และ " พระควัมปติเถระ " เป็นท่านละองค์กันน่ะครับ

    โดยพระมหากัจจายนเถระ หรือที่เรียกพระสังกัจจายน์ มีประวัติดังนี้ครับ

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7544

    http://www.choosuwan.com/prasavok 1/savok17.html

    ส่วนพระควัมปติเถระ " พระเถระแสดงฤทธิ์หยุดกระแสน้ำ " มีประวัติดังนี้ครับ

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7586

    http://www.choosuwan.com/prasavok 1/savok10.html


    ส่วนตัวเคยไปงานพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตสาวกที่เมืองทองธานีครับ ได้อ่านประวัติและกราบพระอรหันตธาตุของพระอรหันต์สาวกทั้งสองพระองค์เลยจำได้ว่าเป็นท่านละองค์กันน่ะครับ

    ^-^ ^-^ ^-^
     
  16. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    สรุปมีทั้งหมดเหลือเพียง7พิมพ์ ที่จะทำการแจกมาชมรูปและขนาดโดยประมาณครับ
    [​IMG]

    พิมพ์อธิษฐานฤทธิ์ใหญ่ ฐาน2.5ซม สูง 4 ซม





    [​IMG]

    พิมพ์สังกัจจายน์ใหญ่ ฐาน 2.5ซม สูง 4 ซม

    [​IMG]

    พิมพ์สังกัจจายน์เล็ก ฐาน2ซม สูง 2.2 ซม
    สังกัจจายน์สองพิมพ์นี้ก็เช่นกัน รูปแบบก็พอจะบอกได้ว่าเด่น เมตตา โชคลาภ เป็นพิเศษ

    [​IMG]

    พิมพ์สังฆฏิ พิมพ์ที่1 ฐาน2ซม สูง 2.2 ซม

    [​IMG]

    พิมพ์สังฆฏิ พิมพ์ที่2 ฐาน2ซม สูง 2.2 ซม
    ส่วนพิมพ์สังฆฏิ ทั้งสองพิมพ์นี้ มีอิทธิคุณพิเศษที่พี่ใหญ่บอกไว้ว่า กันอาวุธ กันปืน แต่อย่าลองกันเลยไม่ดี ปรามาสพระท่านจะเป็นบาปได้

    [​IMG]

    พิมพ์ปิดตาสี่กร ฐาน 2 ซม สูง 3.5ซม
    ปิดตาสีกรก็พอจะดูออกว่า ฤทธิ์มาก เด่นด้านคุ้มครองป้องกันภัย

    [​IMG]

    พิมพ์หลวงปู่ใหญ่ ฐาน2ซม สูง 2.2 ซม เด่นครบทุกทางแล้วแต่อธิษฐาน ท่านหลวงปู่ใหญ่สุดยอดอยู่แล้วครับ

    ท่านใดมีความประสงค์จะรับพระกรุพระโลกอุดรนี้ ส่งPM มาที่ผมได้ครับ แต่ต้องเป็นผู้เคยทำบุญกับทุนนิธิฯมาแล้ว หรือไปรับที่โรงพยาบาลสงฆ์ในวันอาทิตย์ที่25 พฤษภาคมนี้ พระนี้ผมได้เคยอาราธนาขอให้ลมฝนที่กำลังพัดแรงจัด จนต้นไม้บริเวณบ้านถอนราก ล้มไปหลายต้น หยุดลงได้ในสองนาทีครับ นำไปเล่าให้อาจารย์ประถมฟัง ท่านบอกว่าในวันเดียวกันกับที่ผมเกิดเรื่อง มีคนที่ระยองหรือชลบุรีไม่แน่ใจ มาเล่าให้ท่านฟังว่าลมพัดแรงมากเค้าเลยขอให้ลมหยุด ผลปรากฏว่าบ้านอื่นพังหมดเหลือแต่บ้านท่านนี้อยู่ไม่เป็นไร ส่วนพี่พันวฤทธิ์เคยอาราธนาตัดสายรุ้งขาดเป็นริ้วๆเลย

    ที่นำมาเล่าให้ฟ้งเพื่อให้เกิดความศรัทธาและมั่นใจ ในพระกรุนี้ ถึงจะแจกฟรีแต่อิทธิคุณเกินล้านครับ แต่ไม่ควรนำไปลอง ให้ทำเมื่อถึงคราวจำเป็นจริงๆนะครับ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นปรามาสพระและหลวงปู่ได้ครับ
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    494 ฤทธิเดชปาฏิหาริย์เป็นไปได้จริง

    ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงรังรองไว้จริงหรือว่า เรื่องของฤทธิเดชปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริง ?

    พุทธดำรัสตอบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2008
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ประชาสัมพันธ์ งานบุญที่ รพ.สงฆ์ ครั้งที่ 6/51

    งานบุญครั้งที่ 6/51 สำหรับเดือน พฤษภาคมนี้ กำหนดจัดงานในวันอาทิตย์ที่ 25 โดยมีกำหนดการเช่นเดิมเริ่มเวลาประมาณ 7.30 น.ที่โรงอาหารด้านข้างของ รพ. โดยมีกำหนดการดังนี้

    1. งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการ
    1.1 ค่าสังฆทานอาหารประมาณ 5,000.- บาท คำนวณที่พระ
    สงฆ์ประมาณ 200 รูป (ตัวเลขจริงคาดว่าจะทราบพรุ่งนี้)
    1.2 บริจาคซื้อเลือด สำหรับพระสงฆ์ที่อาพาธและต้องการใช้
    เลือดในการรักษา 10,000.- บาท
    1.3 บริจาคซื้อวัสดุอุปกรณ์ส่วนกลางสำหรับใช้ในการรักษาทั่วไป
    10,000.-บาท

    รวมเป็นเงินทั้งสิ้นราว 25,000.-บาท

    2. เรื่องพระพิมพ์บรมครูฯ ที่แจก ยังคงเป็นไปอย่างเดิม เงื่อนไขเดิม แต่อิทธิคุณของพระพิมพ์ในชุดนี้ จะเข้มขลังกว่าเดิมอีกเท่าตัว เนื่องจากผ่านการขอบารมีจากท่านองค์ใหญ่เมื่อ 2/5 รายละเอียดไปสอบถามได้ในวันที่ไปทำบุญครับ ส่วนท่านที่อยู่ทางบ้านอยากได้เพื่อให้สมาชิกทางครอบครัวไว้คุ้มกันตัวเพิ่มเติม ทางไปรษณีย์ คงต้องรอในเดือนสิงหาคม เพราะท่านต้องทำบุญให้ รพ.สงฆ์ โดยผ่านทุนนิธิฯ ตามที่ท่านผู้บริจาคพระพิมพ์ฯ ท่านได้ตั้งเจตนาไว้ไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง คือในเดือนนี้ เดือนมิ.ย. และเดือน ก.ค. ครับ

    3. สำหรับท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เรายังคงกราบขอบารมีท่านได้ตามปกติ โดยอาหารที่จะถวายท่าน ต้องเป็นอาหารงดหวาน งดเค้ม และงดมันครับ คงจะเป็นนมกล่องผสมงาดำ "ดีน่า" เหมือนเดิมครับ แต่ขอให้ใช้เวลากับท่านไม่มาก ท่านต้องการพักผ่อนครับ

    4. รูปแบบการถวายสังฆทานอาหาร หลังจากที่ได้มีการประชุมกันในกลุ่มกรรมการฯ แล้ว คราวนี้จะทำทีละชั้นๆ ไปจนครบ และขอให้ท่านที่ไปร่วมงานรับเครื่องสังฆทานจากคณะกรรมได้คราวละ 2 ถุง โดยขอให้นำไปถวายพระคุณเจ้ารูปละ 1 ถุง เท่านั้น เพราะจะได้ตัดปัญหาพระคุณเจ้าที่อยู่ชั้นอื่นได้สังฆทานไม่ครบครับ

    5. เมื่อเสร็จงานถวายสังฆทานแล้ว ขอให้อยู่สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนิดนึงทำความรู้จักกันก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน เผื่อมีอะไรดีๆ จะได้แนะนำกันได้ครับ

    จึงเรียนมาเพื่อทราบ

    พันวฤทธิ์
    20/5/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2008
  19. onimaru_u

    onimaru_u เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +854
    วันที่ 25/05/51 ถ้าผมไม่ติดงานอะไร
    ผมก็จะไปร่วมงานบุญด้วยครับ
    อนุโมทนาสาธุกับพี่ๆทุกท่านครับ
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เรื่องราวของพระพิมพ์ของบรมครูฯ ที่จะแจกให้ผู้ที่ไปทำบุญที่ รพ.สงฆ์ รวมถึงที่ให้ท่านขอเพิ่มสำหรับบุคคลที่รักในครอบครัวนี้ คณะกรรมการฯ ได้ขออนุญาตพี่ใหญ่ รองประธานที่ปรึกษาทุนนิธิฯ นำเข้าพิธีทำน้ำมนต์เพื่อแช่พระที่หล่อสำหรับที่จะแจกให้ผู้ที่ทำบุญกับทุนนิธิฯ ซึ่งเป็นพระ "กำลังใจ 2" ด้วยนั้น ต้องขออธิบายเพิ่มเติมเรื่องน้ำมนต์สำหรับพระที่หล่อดังนี้
    เดิมทีพระที่หล่อที่เรียกว่า "พระกำลังใจ 2" นั้น ได้ใช้ระยะเวลาเตรียมการมาราวครึ่งปี เพื่อเตรียมการหล่อโดยใช้วัตถุที่สำคัญๆ มาเป็นเครื่องผสม และเมื่อหล่อเป็นองค์พระแล้ว ท่าน อ.ประถมฯ ท่านกรุณาตั้งชื่อให้ว่า "ปิยะบารมี" ซึ่งเป็นชื่อมงคลและกินความหมายกว้างต่อคนหมู่มาก (เอาไว้เมื่อถึงเวลา จะฝากให้คุณโสระนำรูปพร้อมทั้งรายละเอียดทั้งหมดมาให้พวกเราได้ทราบ พระนี้มีกระแสเนื้อที่ออกทางทองคำ+เงินยวง) เพราะหากไปดูเนื้อหาของพระชุดนี้ตามที่เคยแจ้งให้ทราบ จะเห็นว่าลงทุนเยอะ ซึ่งรายละเอียดพร้อมกับกติกาการแจกจะได้แจ้งให้ทราบอีกทีนึงครับ ทีนี้กลับมาถึงเรื่องน้ำมนต์ที่นำมาแช่ เฉพาะน้ำมนต์นั้น เกิดจากท่านองค์ใหญ่ท่านบัญชาลงมา ดังนั้นจึงต้องทำพิธีค่อนข้างจะพิเศษละเอียดเรื่องฤกษ์ยามและเกิดอจินไตยมากถึงมากที่สุดเกี่ยวกับบารมีของท่านองค์ใหญ่ของทุนนิธิฯ เมื่อทำน้ำมนต์เสร็จ ก็นำพระเนื้อโลหะทั้งหมดลงแช่ เมือแช่พระเสร็จก็นำน้ำมนต์มาพรมที่พระเนื้อผงเตรียมไว้ทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระในสกุลวังหน้าที่นอกสารบบของวงการ รวมพระพิมพ์ของบรมครูฯ ที่ยังคงเหลือตามที่คุณโสระลงรูปไว้ข้างต้น เพื่อเพิ่ม "ความขลัง" หรือ "อิทธิคุณ" ให้ยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้น พระที่แจกในชุดใหม่นี้จึงมั่นใจได้เป็นอย่างดีในเรื่องข้างต้นนี้ค่อนข้างมาก ว่าไม่ต้องไปขวนขวายหาพระจากที่อื่นอีกและอีกอย่างพระพิมพ์ทั้งหมดนี้ เราแจกให้เป็นสังฆานุสสติ ไม่มีคุณค่าในทางการค้า แต่ให้เป็นเครื่องระลึกทางใจสำหรับผู้ที่ทำบุญผ่านทุนนิธิฯ นี้ และให้ไว้คุ้มครอง สร้างความเจริญ ให้มีกินมีใช้ไม่เป็นหนี้ใคร สำหรับครอบครัวหรือผู้ที่ครอบครองไว้ และผู้ที่ใฝ่ในการบุญ หมดก็คือหมดครับไม่มีอีกแล้วใครไม่ขอก็ไม่ให้ เก็บเอาไว้ เผื่อวันข้างหน้ามีเหตุจำเป็นใดๆ จะได้นำมาให้พวกเราได้ยลโฉมอีกครั้ง ก็เท่านั้น หรืออย่างเก่งก็เก็บไว้ตำนานเท่านั้นเอง เอาแค่นี้ก่อนครับ



    พันวฤทธิ์
    20/5/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...