ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    รักษาโรคกรรม

    รักษาโรคกรรม
    ธรรมโอสถ
    อยู่ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงปู่ฝั้นพักอยู่บ้านจีด มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งไอทั้งวันทั้งคืน แม้ขณะฟังเทศน์ก็ไอตลอดเวลา
    รบกวนสมาธิของผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทศน์จบ พระอาจารย์ฝั้นจึงถามว่า ทำไมไม่รักษา โยมนั้นก็ตอบว่า
    กินยานับขนานไม่ถ้วน ก็ยังไม่หาย ท่านจึงบอกโยมผู้นั้นว่า คงเป็นกรรมที่ทำมาแต่ปางก่อน ขอให้หัดภาวนา
    แล้วบอกคาถาให้บริกรรมว่า " ปฏิกะ มันตุ ภูตานิ " ท่านให้ภาวนาตั้งจิตบริกรรม โดยกำหนดจิตที่ใดที่หนึ่ง
    วันแรกนั่งบริกรรมได้สักพักก็ยังไออยู่ตลอด วันที่สองปรากฎว่ามีอาการค่อยชุมคอขึ้น อาการไอห่างไปบ้าง
    พอถึงวันที่สาม อาการไอก็หายราวกับปลิดทิ้ง รู้สึกคอชุ่มขึ้น โยมผู้นั้นนั่งบริกรรมอยู่จนดึกดื่น ใคร ๆ ก็หลับกันหมด
    ก็ยังไม่ยอมหลับ ในที่สุด อาการไอก็หายโดยเด็ดขาดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

    ขอขอบคุณ
    http://www.geocities.com/samadhinet/mon2.htm
     
  2. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    จิตเสื่อม

    เหตุแห่งการเสื่อมของจิต....โดยอาจารย์ เทสก์ เทสรังสี (พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ )

    สติควบคุมจิตให้สงบรู้เท่ารู้เรื่องของ "ใจ" เพราะหากสติไม่ตั้งมั่น จิตจะค่อยเสื่อมไป เมื่อจิตเกิดความรู้ขึ้นมาครั้งหนึ่ง
    แล้วมันก็เสื่อมไป อย่างที่เห็นกันอยู่ว่าวันหนึ่งๆ นี่เราเผลอสติทั้งวัน มีสติตั้งอยู่ได้ ครู่หนึ่งขณะหนึ่ง
    ขณะที่เรารู้ตัวเท่านั้นแหละที่มีสติขึ้นมา


    การตั้งสติ คือ กำหนดจิตพิจารณาดูที่ใจของเราว่า มันตั้งอยู่ได้ด้วยอาการอย่างนี้ มันเสื่อม ความเจริญอยู่ที่นั้นแหละ อยู่ตรงนั้นแห่งเดียว


    เมื่อรู้เห็นแล้ว เข้าใจแล้วว่า สติตั้งมั่น ธรรมะก็เจริญอยู่ สติเผลอเรอเมื่อไรก็เสื่อมไป ศาสนาเสื่อม ไม่ได้เสื่อมที่อื่นใกล
    พูดกันว่าศาสนาเสื่อมๆ เพราะคนไม่ปฎิบัติรักษาต่างหาก ศาสนาไม่ได้เสื่อม ความจริงเป็นจริงอยู่อย่างนั้น เรียกว่าศาสนา
    ความจริงคนปฎิบัตินั่นต่างหาก-มันเสื่อม เหตุนั้นศาสนาไม่ได้เสื่อมที่อื่นไกล เสื่อมที่ใจของคน คนไม่ได้ตั้งใจปฎิบัติต่างหาก


    นี่จึงว่า ศาสนาเกิดขึ้นที่ใจ ตั้งอยู่ที่ใจ เสื่อมไปจากใจ ทุกคนมีศาสนาด้วยกันทั้งนั้น มีธาตุสี่ ขันธ์ห้า อายตนะหก
    ธรรมทั้งปวงหมด ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนก็ทรงสอนที่กาย วาจา ใจของคน เรานี่แหละ ไม่ได้สอนที่อื่น


    ครั้นไม่มีสติควบคุมรักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ปล่อยตามกิเลส กิเลสพาวิ่งว่อนไปวันยังค่ำ คืนยังรุ่ง
    ก็ไม่รู้ตัวมัวเมาตามกิเลสว่าเป็นของดิบของดี สนุกเฮฮาไปตามกิเลส เห็นว่าการควบคุมสติควบคุมใจให้อยู่
    เป็นการลำบากไม่อยากทำ ปล่อยตามเรื่องมันก็สนุกสนานดีสบายดี คนเราชอบอย่างนี้ ศาสนาจึงมีการเสื่อมมากว่าการเจริญ


    ผู้มีสติ แล้วควบคุมใจให้อยู่ตลอดเวลา นั่นเป็นผู้ที่เห็นธรรม รักษาธรรมไม่ให้เสื่อมโดยแท้

    ขอขอบคุณ
    http://www.geocities.com/samadhinet/down.htm
     
  3. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    สมาธิ 3 แบบ

    การคิด เพ่ง และปล่อยเพื่อให้เกิดสมาธิ
    การคิดที่จะให้เกิดสมาธิ เราต้องคิดในเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ เช่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ คิดอยู่ว่า อนิจจังซึ่งแปลว่า ไม่เที่ยง มันเป็นอย่างไร ในขณะที่คิดต้องมีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ อย่าให้จิตไปคิดเรื่องอื่น เมื่อจิตใจจดจ่ออยู่แต่เรื่องอนิจจังที่เราคิด จิตก็จะเป็นสมาธิขึ้นมาเอง คือ เมื่อสมาธิเกิดแล้วก็จะสิ้นสงสัยในเรื่องที่คิดนั้นได้
    การทำสมาธิแบบเพ่งหรือพิจารณา คือ น้อมจิตมาเพ่งดู กาย เวทนา จิต อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้หรือจะเพ่งดูลมหายใจ เข้าออกก็ได้ เพราะลมหายใจเข้าออกก็จัดเป็นกายสังขาร เพราะปรนปรือร่างกายให้เป็นอยู่
    การเพ่งดูลมหายใจ เพื่อให้เกิดสมาธิ ให้ตั้งสติไว้ที่ลมกระทบในรูจมูกของเราเพ่งดูอยู่ที่เดียวก่อน ถ้าจิตมันแลบออกไป ก็พยายามดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าจิตฟุ้งซ่านมาก สูดลมเข้าไปในปอดลึก ๆ หรือในทรวงอกลึก ๆ แล้วปล่อยลมให้ซึมซาบไปทั่วกาย ปล่อยความรู้สึกของกระแสใจให้ไหลเวียนลงในกาย แผ่ใจให้ทั่วกายเหมือนมีตารอบตัว เห็นทั่วร่างกาย อย่างหลับตา การทำสมาธิโดยวิธีธรรมชาติไม่ต้องหลับตา เมื่อลมหายใจละเอียดความอิ่มใจกายจะค่อย ๆ เกิดขึ้น จะรู้สึกว่า ทั้งร่างกายและจิตใจมันจะผสมผสานกลมกลืนเป็นอันเดียว จะมีความรู้สึกเยือกเย็นทั้งกายใจ ทั้งภายในภายนอก
    การปล่อย ในที่นี้ หมายถึงการปล่อยวางความคิด ปรุงแต่งในเรื่องอดีต อนาคต และปล่อยอารมณ์ปัจจุบันอื่น ๆ เสียให้สิ้น เพ่งดูลมหายใจเข้าออกเพียงอย่างเดียว ทำอย่างนี้จนจิตไม่ซัดส่ายไปมา สงบนิ่งอยู่ ณ ศูนย์ที่กำหนดไว้แล้ว จะมีความอิ่มเอิบใจแปลก ๆ เกิดขึ้นเป็นอย่าง ๆ เช่น มีอาการขนลุก น้ำตาไหล มีอาการเสียวแปลบปลาบบ้าง และมีแสงโชติช่วงดังฟ้าแลบ ทำให้รู้สึกซ่า ๆ คล้ายคลื่นกระทบฝั่ง ทำให้กายฟูเบาเลื่อนโลดลอยไป ทำให้รู้สึกซาบซ่านทั่วกาย นี้เป็นอาการของปิติทั้ง ๕ และถ้าเกิดพร้อมกันทำให้รู้สึกว่าเนื้อตัวเติบโตอ้วนใหญ่ขึ้น ถึงไม่กินอาหารหลาบก็อาจอยู่ได้หลายวัน
    การทำสมาธิแบบปล่อยวางหรือวิธีธรรมชาติ ไม่ต้องเข้าไม่ต้องออกจากสมาธิ คือ เขาเป็นเองเกิดเอง ถ้าจิตของเราว่างจากอารมณ์ บางคราวอ่านหนังสืออยู่เพลิน ๆ จิตก็รวมตัวมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ หรือ บางคราวขณะรับประทานอาหารอยู่จิตก็รวมตัวมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้เหมือนกัน

    ขอขอบคุณ
    http://www.geocities.com/samadhinet/methods3.htm
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ขอประชาสัมพันธ์งานบุญประจำเดือนหน้า(เดือนพฤศจิกายน) ทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร จะไปทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2551 นะครับ ก็ขอเรียนเชิญทุกท่านที่ว่างก็ไปร่วมงานกันได้เหมือนเดิมนะครับ ขอบพระคุณครับ
     
  5. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    พระสมเด็จ "รุ่นแรกสุด"
    เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต


    นั่นก็คือ "พระสมเด็จ ฐานคู่ หลังยันต์เฑาะว์" ที่สร้างโดยพระครูชินเทพ ชินเทโว วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานครเพื่อถวายพระมหารัชชมังคลาจารย์(เทศ นิเทสโก) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์แจกในงานวันคล้ายวันเกิดปีสุดท้ายเมื่อพ.ศ. 2509

    [​IMG][​IMG]


    ด้านหน้ามี 2 พิมพ์ คือ"พิมพ์ใหญ่" (รูปบน) และพิมพ์"เส้นด้าย" แต่ทั้งสองพิมพ์ ฐานชั้นล่างสุด จะเป็น"เส้นคู่"เหมือนกันทั้งหมด นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะโดยแท้

    [​IMG][​IMG]

    ส่วนด้านหลัง ทำเป็นยันต์ "เฑาะว์ดอกบัว" อันเป็นตราประจำของวัดสัมพันธวงศ์ ที่เคยนำมาประดิษฐานในพระชุดสำคัญๆหลายรุ่นหลายวาระด้วยกัน อาทิ พระพุทโธน้อย ที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมสร้างถวายพระมหารัชชมังคลาจารย์(เทศ นิเทสโก)เมื่อปีพ.ศ. 2494 หรือพระ,เหรียญหลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋งเป็นต้นฯ

    [​IMG][​IMG][​IMG]


    สร้างขึ้นจากผงพระสมเด็จกรุบางขุนพรหมของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) และผงโสฬสมหาพรหม(กูโบ๊ส) วัดสารนาถธรรมาราม ระยอง 2499 ซึ่งผงชุดเดียวกับที่หลวงพ่อลี วัดอโศการามเคยสัมผัสพลังแล้วถึงกับสะดุ้งร้องอุทานว่า "เฮ็ดหยังแรงจังซี่" พร้อมกับขอพระชำรุดไปผสมสร้างพระใบโพธิ์เมื่อปีพ.ศ. 2500 และแม้หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ยังกล่าวถึงพระที่อ.ประถม อาจสาครนำผงนี้มาสร้างพระชุดโสฬสมหาพรหมถวายให้ท่านเสกเป็นครั้งแรกสุดเมื่อปีพ.ศ. 2508 ว่า "ของดีของวิเศษ มีค่าควรเมือง" เป็นมวลสารหลักอย่างเข้มข้นที่สุด

    และเหตุที่"พระสมเด็จโสฬสมหาพรหม 2509 วัดสัมพันธวงศ์"นี้ จะได้กลายมาเป็น"พระสมเด็จ"รุ่น"แรกสุด"ของพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิตได้นั้น ก็เกิดจากสายสัมพันธ์ฉันน้องพี่ร่วมสถาบันอันยาวไกลและลึกล้ำของท่านธมฺมวิตกฺโกและท่านพระครูชินเทพ ชินเทโวเป็นเหตุสำคัญที่สุด
    เหตุเพราะท่านทั้งสององค์ ต่างล้วนเคยเป็นศิษย์เก่าของ"คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"(สิงห์ดำ)มาแต่แรกเริ่มนั่นเอง..!!!???

    [​IMG]
    [​IMG]


    โดย"รุ่นพี่ตรึก จินตยานนท์"จบ"รัฐศาสตร์ จุฬาฯ" เมื่อครั้งยังมีชื่อเป็น"โรงเรียนมหาดเล็กหลวง" เป็นรุ่นที่ "1" ด้วยคะแนนสอบได้เป็นที่ 1 ของรุ่นอีกด้วย[​IMG][​IMG][​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]


    ส่วน"รุ่นน้องชินเทพ วิทยานุกรณ์" จบรัฐศาสตร์เป็นรุ่นที่ "4" ในสถาบันเดียวกัน โดยห่างจากรุ่นแรกนานถึง "30 ปี" โดยที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น"จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"เรียบร้อยแล้วนั่นแลฯ

    [​IMG]
    [​IMG]



    จนกระทั่ง"น้องพี่ชาวสิงห์ดำ"ทั้งสองได้เข้ามาสู่ร่มกาสาวพัตร์ตามวาระแห่งบุญวาสนาโดยที่มิได้นัดหมายกันมาก่อน และ "รุ่นน้องชินเทพ" มีเหตุให้ได้สร้าง"พระสมเด็จ 09" เพื่อถวายแด่พระมหารัชชมังคลาจารย์(เทศ นิเทสโก) ซึ่งมีศักดิ์เป็น"ญาติผู้ใหญ่"ของท่านเองแจกวันเกิดในปีสุดท้าย เมื่อสร้างเสร็จ "รุ่นน้องชินเทพ"จึงได้ยกพระสมเด็จทั้งหมดไปหา "รุ่นพี่ตรึก" ซึ่งทราบเป็นการภายในมาก่อนหน้านี้แล้วว่า "สิงห์ดำรุ่นแรก"ท่านนี้ ได้บรรลุธรรมชั้นสูงอีกทั้งยังมีพลังจิตแก่กล้าที่สุดทำการ "รับน้อง" (อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยว)ให้เป็นการส่วนตัวแบบเฉพาะเจาะจงที่สุดในทันที..!!!!!!!!

    [​IMG]
    [​IMG]


    และด้วยระบบ Sotus ที่ยึดถือกันอย่างหนาแน่นในสายเลือดจามจุรี ประกอบกับ"รุ่นพี่ตรึก" มีพื้นฐานจิตใจที่ดีงามมาแต่ต้นอยู่แล้ว "รุ่นพี่ตรึก" จึงทำการ"รับน้อง"ให้แก่ "รุ่นน้องชินเทพ"อย่างไม่ยั้งมือจน"ขลัง"แบบสุดๆ ชนิดไม่ต้องหาในพระเครื่องยุคหลังๆจะเสมอเหมือนได้ไปเลยนั่นเทียว..!!!!!!
    [​IMG]
    [​IMG]






    คำว่า โซตัส (SOTUS) มาจากตัวอักษรนำของคำ 5 คำในภาษาอังกฤษ
    • Seniority - การเคารพผู้อาวุโส
    • Order - การปฏิบัติตามระเบียบวินัย
    • Tradition - การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี
    • Unity - การเป็นหนึ่งเดียว
    • Spirit - การฝึกจิตใจ
    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความหมายของแต่ละคำของโซตัสนั้นจะชัดเจน แต่ว่าขอบเขตเงื่อนไขนั้นค่อนข้างจะคลุมเครือ ทำให้มีการพยายามนิยามและกำหนดความหมายของคำเหล่านี้อยู่ทั่วไป

    Seniority คือ การเคารพผู้อาวุโส หรือการสำนึกในความเป็นน้องซึ่งเยาว์กว่าทั้งความรู้และประสบการณ์ เมื่อรุ่นน้องเจียมในความเยาว์กว่าทั้งความรู้และประสบการณ์ และประพฤติอ่อนน้อม เพื่อน้อมรับการสั่งสอนจากผู้ที่มีอาวุโสกว่า
    Order คือ การปฏิบัติตามระเบียบวินัย เนื่องจากสังคมประกอบไปด้วยคนจำนวนมาก เมื่อจะทำงานใหญ่จึงจำเป็นต้องแบ่งหน้าที่กันทำ ต้องมีผู้นำและผู้ตามเป็นลำดับ การพาคนหมู่มากไปสู่ความสำเร็จได้ จำต้องมีระเบียบและรักษาวินัย
    Tradition คือ การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี มีภาคภูมิใจในธรรมเนียมประเพณีที่ได้ยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมา คุณงามความดีของธรรมเนียมประเพณีเหล่านี้ได้หล่อหลอมต่อเนื่องมาจากรุ่นก่อน ๆ สู่รุ่นน้อง และทำให้ทราบว่าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน
    Unity คือ การเป็นหนึ่งเดียว หรือความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน มีใจมุ่งสู่เป้าหมายอันเดียวกัน
    Spirit คือ การฝึกจิตใจ การเสียสละกายและใจ มีน้ำใจเพื่อสังคม ให้กล้าทำในสิ่งที่ถูก ที่เป็นธรรมยืนอยู่ได้ในกระแสเชี่ยวของสังคมด้วยความนับถือในธรรมของตนเอง

    จุดประสงค์ของระบบ คือ การฝึกทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ของนักศักษาชั้นปีที่ 1 ที่เพิ่งเข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ร่วมจัดขึ้นโดยรุ่นพี่ในคณะในแต่ละชั้นปี โดยการยึดถือกฎโซตัสทั้งหมด 5 ข้อ โดยรวมถึงการเคารพผู้อาวุโสซึ่งเป็นคุณค่าของขนบธรรมเนียมประเพณีไทย การปฏิบัติตามคำสั่งเพื่อฝึกการมีระเบียบวินัย การปฏิบัติตามประเพณี เพื่อการถ่ายทอดธรรมเนียมและความรู้จากรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่ง การฝึกความเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้นักศึกษาเข้าใหม่ที่มาจากพื้นฐานทางสังคมแตกต่างกันมีการแลกเปลี่ยนความรู้และความเข้าใจ เพื่อพัฒนาจิตใจของนักศึกษาสำหรับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย พัฒนาการทำงานเป็นกลุ่ม ในขณะเดียวกันพัฒนาความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง และสุดท้ายการฝึกจิตใจเพื่อพร้อมรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่าทั้งทางด้านการเรียน หรือการทำงาน

    [​IMG][​IMG]

    และแน่นอน ในเมื่อหนึ่งใน โซตัส (SOTUS) คือ Spirit - การฝึกจิตใจ แล้ว เมื่อ"รุ่นน้องชินเทพ"อุตส่าห์มาหาถึงที่ "รุ่นพี่ตรึก"ไหนเลยจะไม่"โซตัส"ให้อย่างเต็มที่เป็นกรณีพิเศษสุดๆได้เล่า..?????
    ผลก็คือ ขณะที่ "รุ่นพี่ตรึก" กำลังอธิษฐานจิตปลุกเสกพระสมเด็จ 09 ให้"กับมือต่อหน้า"แบบจะๆอยู่นานนับ"ชั่วโมง"นั้น ท่านก็ได้สั่งให้"รุ่นน้องชินเทพ" นั่งสมาธิไปพร้อมๆกันด้วย
    แบบว่า "อย่าปล่อยลมหายใจทิ้งไปเปล่าๆ"นั่นแล
    นับเป็นสุดยอด"รุ่นพี่ตัวอย่าง" ที่เด็กรุ่นหลังๆควรจะยึดถือเป็นเยี่ยงอย่างเสียจริงๆ..!!!!!

    [​IMG]
    [​IMG]

    พระครูชินเทพ ชินเทโวเคยเล่าให้ท่านเจ้าคุณฯองค์หนึ่งในวัดฟังว่า ท่านได้นำ"พระสมเด็จ 09 วัดสัมพันธวงศ์"นี้ไปถวายให้พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิตอธิษฐานจิตปลุกเสกเป็นการส่วนตัวแบบ"เฉพาะเจาะจง"แบบ"จับกล่องเสก"แบบอัดพลังสายตรงต่อหน้าอย่างจะๆ (ไม่ใช่หันหลังโยงสายสิญจน์เสกแบบพิธีใหญ่ในชั้นหลังๆ)ทั้งที่ในโบสถ์และที่กุฏิ ซึ่งตามปกติ ท่านธมฺมวิตกฺโกไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปเป็นเด็ดขาดอยู่หลายวาระด้วยกัน จึงเป็นอันเชื่อได้อย่างสนิทใจได้ว่า พระสมเด็จรุ่นแรกของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ วัดเทพศิรินทร์ (แต่ไปแจกวัดสัมพันธวงศ์)ชุดนี้ คือ"ที่สุดของที่สุด" อย่างที่ไม่มีพระเครื่องชุดใดในท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯจะเสมอเหมือน อันเสมอด้วยของ"แทนใจ"แห่งความรักความปรารถนาดีจาก"รุ่นพี่ถึงรุ่นน้อง" ที่น่าชื่มชมและประทับใจอย่างบริสุทธิ์ที่สุด ไม่มีอะไรจะยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว............

    [​IMG]
    [​IMG]


    "พระสมเด็จ รุ่นแรกสุด เจ้าคุณนรรัตน์ วัดสัมพันธวงศ์"จำนวนการสร้างเป็นเพียงหลักพันต้นๆเท่านั้น จัดเป็นของดีที่น้อยคนนักจักล่วงรู้ความเป็นมา ทำให้พระชุดนี้ เหมือนหนึ่งเป็นเพชรแท้ที่ถูกเก็บลืมไว้ในหีบมหาสมบัติ ไร้คนรู้ค่าและเหลียวแลมาโดยตลอด
    จนกระทั่งเมื่อ"พุทธวงศ์" ซึ่งมี"เจ้าคุณนรรัตน์ในดวงใจ"มาแต่เดิมไปเจาะลึกเรื่อง "พระเครื่องหลวงปู่แหวน"และ"พระมงคลมหาลาภ"ที่วัดสัมพันธวงศ์เมื่อ 3-4 ปีก่อน ทำให้ได้ล่วงรู้ความลับและความมีอยู่ของ"พระสมเด็จรุ่นแรกสุด"ของท่านธมฺมวิตกฺโกนี้มาอย่างคาดไม่ถึง และได้นำเผยแพร่ออกมาในเวปไซต์"พุทธวงศ์"เป็นครั้งแรกสุด ก็ทำให้มีผู้สนใจแสวงหามาบูชาสักการะอย่างมากมาย จนกระทั่งพระชุดนี้ได้หมดไปอย่างรวดเร็วชั่วเพียงพริบตาเดียวฯ

    [​IMG]
    [​IMG]


    ผู้ที่มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในองค์ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่เป็น"รุ่นน้องจุฬา" ของท่านธมฺมวิตกฺโกไม่ว่าจะรหัสไหนและห่างจากรุ่นท่านกี่สิบปีก็ตาม หากเจอะเจอพระสมเด็จรุ่นนี้ ณ ที่แห่งไหน ก็อย่าปล่อยให้หลุดลอยนวลพ้นจากมือไปต่อหน้าต่อตาเป็นอันขาดทีเดียว
    เพราะนี่คือ สุดยอดพระเครื่องชั้นสูงแห่งความ"ภาคภูมิใจ"สาย"มหาจุฬาลงกรณ์"ที่ไม่มีใดจะเสมอสองได้อีกแล้ว ตราบชั่วชีวิตนี้

    [​IMG]
    [​IMG]



    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซท์พุทธวงศ์
    http://phuttawong.net/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2008
  6. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ประสบการณ์ในท้องแม่

    มีสักกี่คนที่สามารถจำได้ว่า ก่อนการเกิดเป็นทุกข์อย่างไร มันลำบากแค่ไหนที่ขดอยู่ในท้องเก้าเดือน
    ถ้าเราหลับตาเข้าสมาธิ แล้วค่อยๆ ลำดับความจำทีละเล็กละน้อย ย้อนกลับไปทีละวัน ทีละเดือน ทีละปี
    ในที่สุดมาถึง จุดเริ่มต้นของชีวิตนี้เห็นว่าในโลกวิญญานที่กว้างใหญ่สุดที่จะหาขอบเขตได้
    เช่นเดียวกับ มหาสมุทรนั้น มีวิญญาณที่แหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรแห่งวัฏสงสารมากมายเหลือคนานับได้
    ด้วยยังมีกิเลส ตัณหา อวิชา ทำให้วิญญาณต่างๆแหวกว่ายเพื่อจะได้กลับมาเกิดในโลกนี้อีก
    ในทันทีอสุจิชายผสมกับไข่ของผู้หญิง ก็เกิดอัศจรรย์แสงฟ้าแล็ป แสงแฟลส แวปเกิดขึ้น
    และทันทีทันใดนั้น วิญญานต่างๆ ก็แย่งกันกรูเข้าประตูโลก ก็มีวิญญาณพวกคุณ ๆ และผมเท่านั้น
    ที่ชนะเข้าไปอยู่ในไข่ที่ได้ถูกผสมแล้วแหม ! มันช่างไม่ง่ายเลย แต่เอ๊ะ ! เกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา
    แต่ก่อนเราเป็นแค่วิญญาน ตัวเราเป็นแค่แสง ไร้น้ำหนัก นึกจะไป ไหนก็ไปได้เพียงความคิดเบาๆ
    แต่นี่ เราเข้ามาอยู่ในคุกแห่งร่างกายอีกแล้วหรือ มันเป็นคุกมืดเก้าเดือนจริงๆ ที่หมดอิสระภาพ
    จะกินจะหายใจก็ต้องพึ่งพาจากคนอื่นผ่านเลือดตามสาย รกในท้องของแม่ วิญญานเรา
    ได้แต่เรียกร้อง ขอให้เราออกไปทีๆ ตาเราก็มองไม่เห็น หูเราก็ไม่ได้ยิน ถูกขังอยู่ในที่แคบๆ
    เราพยายามดิ้น เท่าไรก็ช่วยอะไรไม่ได้ จนเราเหนื่อย จนเราหลับ และเมื่อเราตื่นขึ้นมาเราก็หิว
    แต่ได้น้ำเลือดจากแม่เราก็แก้หิว ไปได้บ้าง เราได้ยินหัวใจของแม่เต้น ดัง
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอย่างมากในภารกิจการงานที่ได้รับมอบหมายเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ต้องหายตัวโดยกระทันหันบ่อย ทำให้ต้องรบกวนให้หลายคนช่วยกันมาโพสท์ในกระทู้แทน วันนี้ขอเริ่มต้นด้วย พุทธประวัติสำหรับการศึกษาบทบาทและหน้าหรือพุทธกิจแห่งพระองค์ท่านหลังจากที่ได้ตรัสรู้แล้วต่ออีกครับ

    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๖๖ | โปรดสหายภัททวัคคีย์
    [SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๖๖ : โปรดสหายภัททวัคคีย์

    โปรดสหายภัททวัคคีย์


    ครั้นพระสาวกทั้ง ๖๐ องค์ ถวายบังคมลาพระบรมศาสดาออกจากป่าอิสิปปตนมิคทายวัน จาริกไปประกาศพระศาสนายังชนบทน้อยใหญ่ตามพระพุทธประสงค์แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ที่นครพาราณสีตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วจึงเสด็จจาริกมุ่งไปสู่ตำบลอุรุเวลา ครั้นถึงไร่ฝ้ายในระหว่างทาง เสด็จหยุดพักที่ร่มไม้ต้นหนึ่ง


    [​IMG]

    ขณะนั้น มีมานพ ๓๐ คน ซึ่งเป็นสหายที่รักใคร่กัน เรียกว่า
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อย่าสนใจคำกระแนะกระแหนของใคร ทำตัวของเราเองให้ดีที่สุดเท่านั้น

    หลังจากที่มีเพื่อนของเราในพันทิพย์คนหนึ่งบอกประมาณว่า ท้อใจ ที่ถูกคนอื่นว่า ทั้งที่ตัวเองทำดีแล้ว

    เราจึงขออนุญาตลงเรื่องในคาถาธรรมบทนี้อีกครั้ง เพื่อให้เพื่อน ๆ ในพันทิพย์ ที่อาจจะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คือ ทำดีแล้ว ยังถูกตำหนิ จนท้อ ได้ข้อคิดขึ้น แล้วไม่ต้องไปหาเรื่องคนอื่นด้วย ว่าทำไมทีเขาก็ยังเป็นคนไม่ดี แบบนี้ ๆ

    ขอให้เพื่อน ๆ ได้สังเกตุว่า อุบาสิกาในเรื่องนี้ หลังจากที่ท่านเข้าใจธรรมะหัวข้อนี้ปุ๊บ ท่านก็บรรลุโสดาบันทันที แล้วท่านก็คิดได้ว่าไม่ควรน้อยใจกับเรื่องแบบนี้

    เพราะกรรมใครก็กรรมคนนั้นนั่นเอง ใครจะว่าเรา ก็ไม่ได้ทำให้กรรมดีของเราหายไป


    อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔
    ๖. เรื่องปาฏิกาชีวก [๓๘]


    ข้อความเบื้องต้น

    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอาชีวกชื่อปาฏิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น ปเรสํ วิโลมานิ" เป็นต้น.

    ชาวบ้านสรรเสริญธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า

    ดังได้สดับมา หญิงแม่เรือนคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี ปฏิบัติอาชีวกชื่อปาฏิกะ ตั้งไว้ในฐานะดังลูก. พวกมนุษย์ในเรือนใกล้เคียงของนาง ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว มาพรรณนาพระพุทธคุณโดยประการต่างๆ เป็นต้นว่า "แหม! พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย น่าอัศจรรย์ (นัก)."

    นางอยากไปฟังธรรมแต่ไม่สมประสงค์
    หญิงแม่เรือนนั้นฟังถ้อยคำสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ประสงค์จะไปสู่วิหารแล้วฟังธรรม จึงเล่าความนั้นแก่อาชีวก แล้วกล่าวว่า "พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันจักไปสำนักของพระพุทธเจ้า."

    อาชีวกนั้นห้ามว่า "อย่าไปเลย" แล้วก็เลยห้ามนางแม้ผู้อ้อนวอนอยู่แล้วๆ เล่าๆ เสียทีเดียว.
    นางคิดว่า "พระผู้เป็นเจ้านี้ ไม่ให้เราไปวิหารฟังธรรม, เราจักนิมนต์พระศาสดามา แล้วฟังธรรมในที่นี้แหละ" ดังนี้แล้ว ในเวลาเย็น จึงเรียกบุตรชายมาแล้วส่งไปด้วยคำว่า "เจ้าจงไป, จงนิมนต์พระศาสดามาเพื่อเสวยภัตตาหารพรุ่งนี้."

    บุตรชายนั้น เมื่อจะไป ก็ไปที่อยู่ของอาชีวกก่อน ไหว้อาชีวกแล้วนั่ง. ทีนั้น อาชีวกนั้นถามเขาว่า "เธอจะไปไหน?"
    บุตร. ผมจะไปนิมนต์พระศาสดาตามคำสั่งของคุณแม่.
    อาชีวก. อย่าไปสำนักของพระองค์เลย.
    บุตร. ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า, ผมจักไป.
    อาชีวก. เราทั้งสองคน จักกินเครื่องสักการะที่คุณแม่ของเธอทำถวายพระศาสดานั่น, อย่าไปเลย.
    บุตร. ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า, คุณแม่จักดุผม.
    อาชีวก. ถ้ากระนั้นก็ไปเถิด, ก็แล ครั้นไปแล้ว จงนิมนต์ (แต่) อย่าบอกว่า ‘พระองค์พึงเสด็จไปเรือนของพวกข้าพระองค์ในที่โน้น ในถนนโน้น หรือโดยหนทางโน้น’ (ทำ) เป็นเหมือนยืนอยู่ในที่ใกล้ เหมือนจะไปโดยหนทางอื่น จงหนีมาเสีย.


    บุตรชายทำตามคำของอาชีวก

    เขาฟังถ้อยคำของอาชีวกแล้วไปสำนักของพระศาสดา นิมนต์แล้ว ทำกิจทุกสิ่งโดยทำนองอาชีวกกล่าวแล้วนั่นแล แล้วไปสำนักของอาชีวกนั้น ถูกอาชีวกถามว่า "เธอทำอย่างไร?" จึงตอบว่า "ที่ท่านบอกทั้งหมด ผมทำแล้ว ขอรับ." อาชีวกกล่าวว่า "เธอทำดีแล้ว, เราทั้งสองคนจักกินเครื่องสักการะที่คุณแม่ของเธอทำไว้เพื่อพระศาสดานั้น" ดังนี้แล้ว ในวันรุ่งขึ้น อาชีวกได้ไปสู่เรือนนั้นแต่เช้าตรู่.

    พวกคนในบ้านพาอาชีวกนั้นให้ไปนั่งที่ห้องหลัง, พวกมนุษย์คุ้นเคยฉาบทาเรือนนั้นด้วยโคมัยสด โปรยดอกไม้ซึ่งมีข้าวตอกเป็นที่ ๕ ลง แล้วปูลาดอาสนะอันควรแก่ค่ามาก เพื่อประโยชน์แก่การประทับนั่งของพระศาสดา.

    จริงอยู่ พวกมนุษย์ที่ไม่คุ้นเคยกับพระพุทธเจ้า ย่อมไม่รู้จักการปูลาดอาสนะ.


    พระพุทธเจ้าเสด็จไปเยือนอุบาสิกา

    อนึ่ง ชื่อว่ากิจ (เนื่อง) ด้วยผู้แสดงทาง ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะหนทางทั้งหมดแจ่มแจ้งแก่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น แล้วว่า "ทางนี้ไปนรก, นี้ไปกำเนิดดิรัจฉาน, นี้ไปเปตวิสัย, นี้ไปมนุษยโลก, นี้ไปเทวโลก, นี้ไปอมตนิพพาน" ในวันที่ทรงยังหมื่นแห่งโลกธาตุให้หวั่นไหว แล้วบรรลุสัมโพธิที่โคนต้นโพธินั่นแล, จึงไม่มีคำที่ควรกล่าวในหนทางแห่งสถานที่ต่างๆ มีคามและนิคมเป็นต้นเลย

    เพราะฉะนั้น พระศาสดาทรงถือบาตรและจีวรแล้ว จึงเสด็จไปสู่ประตูเรือนของมหาอุบาสิกาแต่เช้าตรู่. นางออกมาจากเรือน ถวายบังคมพระศาสดา ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ อัญเชิญให้เสด็จเข้าไปภายในเรือน ให้ประทับนั่งเหนืออาสนะแล้วถวายทักษิโณทก อังคาสด้วยขาทนียะ และโภชนียะอันประณีต.

    อุบาสิกาประสงค์จะให้พระศาสดาผู้ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้ว ทรงกระทำอนุโมทนา จึงรับบาตรแล้ว.


    อุบาสิกาฟังธรรมแล้วถูกอาชีวกด่า

    พระศาสดาทรงเริ่มธรรมกถาสำหรับอนุโมทนา ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ. อุบาสิกาฟังธรรมพลางให้สาธุการว่า "สาธุ สาธุ." อาชีวกนั่งอยู่ห้องหลังนั่นแล ได้ยินเสียงนางให้สาธุการแล้ว ฟังธรรมอยู่ ไม่อาจจะอดทนอยู่ได้ จึงออกไป ด้วยคิดว่า "ทีนี้แหละ นางไม่เป็นของเราละ" ดังนี้แล้ว ด่าอุบาสิกาและพระศาสดาโดยประการต่างๆ ว่า "Eกาลกิ_ มึ_ เป็นคนฉิ_หา_, มึ_จงทำสักการะนี้แก่สมณะนั่นเถิด" ดังนี้เป็นต้น หนีไปแล้ว.


    อุบาสิกามีจิตฟุ้งซ่าน

    อุบาสิกาละอาย เพราะถ้อยคำของอาชีวกนั้น ไม่อาจจะส่งจิตซึ่งถึงความฟุ้งซ่าน ไปตามกระแสแห่งเทศนาได้.
    ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า "อุบาสิกา เธอไม่อาจทำจิตให้ไปตาม (แนว) เทศนาได้หรือ?"
    อุบาสิกา. พระเจ้าค่ะ เพราะถ้อยคำของอาชีวกนี้ จิตของข้าพระองค์เข้าถึงความฟุ้งซ่านเสียแล้ว.

    พระศาสดาตรัสว่า "ไม่ควรระลึกถึงถ้อยคำที่ชนผู้ไม่เสมอภาคกัน(ไม่เหมาะกัน)เห็นปานนี้กล่าว, การไม่คำนึงถึงถ้อยคำเห็นปานนี้แล้ว ตรวจดูกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของตนเท่านั้น จึงควร" ดังนี้แล้ว


    ตรัสพระคาถานี้ว่า :-

    ๖. น ปเรสํ วิโลมานิ น ปเรสํ กตากตํ
    อตฺตโน ว อเวกฺเขยฺย กตานิ อกตานิ จ.

    คนเราไม่ควรทำคำแสยงขนของคนอื่นไว้ในใจ,
    ไม่ควรแลดูกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของคนอื่น,
    พึงพิจารณากิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของตนเท่านั้น.
    ขอขอบคุณ
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7129200/Y7129200.html

    หลายคนอาจจะท้อใจในกิจการงานแห่งตนว่าอาจจะมีคนนินทาว่าร้าย เผอิญได้พบบทความนี้ในพันธ์ทิพย์ เลยนำมาฝากให้เป็นสติเตือนใจแห่งกัน "ผู้มีจิตสูงอยู่แล้ว มิควรที่จะนำจิตตกลงมาสู่เบื้องล่างอีก คงก้มหน้าก้มตาพยุงจิตขึ้นไปให้สูงขึ้นไปอีก อันเป็นกิจที่ควรทำกว่า เช่นกันผู้ที่มีจิตใจใฝ่บุญอยู่แล้ว ให้ก้มหน้าก้มตาพยุงบุญที่ตนได้ทำนั้น หรือให้ทำบุญเพิ่มแล้วค่อยพยุงบุญให้สูงขึ้นไปอีก ผลแห่งบุญจะเป็นตัวเปรียบเทียบ และทำให้เลิกหดหู่ใจ ท้อใจไปเอง คงเหลือ แต่ปิติ และสุข จากบุญจนทำให้จิตมีความประณีต และละเอียดมากขึ้นมาแทนที่และชื่นใจในทันทีที่นึกถึง" ขอโมทนาและสาธุบุญกับหลายท่านที่มีจิตเป็นบุญอยู่แล้วจริงๆ ครับ

    พันวฤทธิ์
    23/11/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2008
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขออาศิรวาทแด่องค์สมเด็จพระปิยะมหาราชครับ


    สมเด็จพระปิยมหาราช


    [​IMG]

    วันปิยมหาราช
    วันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    พระบรมมหากษัตริยาราช ไทยวิญญูชน


    วางมาลัยบูชาเสด็จพ่อ
    ลูกนั้นขอให้พระองค์ทรงสุขี
    บนสวรรค์ชั้นฟ้าอินทร์ธานี
    ตัวลูกนี้จักทำดีเพื่อไทยเอย

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๔ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและสมเด็จพระศรีสุริเยนทรา พระบรมราชินี) และสมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี (พระนางเธอ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ (เดิม หม่อมเจ้ารำเพย) พระธิดาในสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศ์ กรมหมื่อมาตยาพิทักษ์และหม่อมน้อย) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคารที่ ๒๐ กันยายน พระพุทธศักราช ๒๓๙๖ ปีฉลู พระนามเดิม สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศ์บริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร ล่วงพระพุทธศักราชได้ ๒๔๐๔ ปีได้เป็น กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ จากนั้นอีก ๖ ปีสถาปนาทรงกรมใหม่ว่า กรมขุนพินิจประชานาถ

    ในปีพระพุทธศักราช ๒๔๑๑ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จกลับตำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ในการทอดพระเนตรสุริยุปราคา ก็ทรงพระประชวรหนักด้วยพระโรคไข้ป่าอยู่หลายเพลา จนถึงวันที่ ๑ ตุลาคม ปีเดียวกัน พระองค์ก็เสด็จสู่สรรคาลัย ครั้งนั้น บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ ได้ร่วมประชุมกันและลงมติให้เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๕ ในมหาจักรีบรมราชวงศ์ เมื่อทรงพระชนม์ได้เพียง ๑๕ พรรษา โดยที่มีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทน

    เมื่อทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ทรงเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จากนั้นก็ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานด้านต่างๆเพื่อให้ประชาชนชาวไทยมีความสุขอยู่ดีกินดีทุกทั่วหัวระแหง พระราชกรณียกิจในพระองค์มีมากมายนานัปการ ดังเช่น

    การเลิกทาส - ทรงใช้กลวิธีการเลิกทาสอย่างละมุนละม่อมและยาวนานมาก แต่ก็ได้รับผลสำเร็จอย่างดียิ่ง จึงทำให้ชนชาวไทยทุกผู้ทุกคนพ้นจากการเป็นทาส ได้มีอิสรภาพเป็นไทแก่ตัวจนมาถึงทุกวันนี้
    การไปรษณีย์ การโทรเลข และการโทรศัพท์ - ทรงนำนวัตกรรมทั้งหลายเหล่านี้เข้ามาสู่ประเทศสยาม ทรงเริ่มการไปรษณีย์ในช่วงการเข้าร่วมเป็นสมาชิกภาพสากลไปรษณีย์ การโทรเลขเริ่มในปี ๒๔๑๒ และโทรศัพท์ได้เข้ามาทดลองใช้ในปี ๒๔๒๔
    การปกครอง - ทรงปรับเปลี่ยนปฏิรูปการปกครองทั้งหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับประเทศ
    การพยาบาลและสาธารณสุข - ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้สร้างโรงพยาบาลวังหลัง แล้วต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น โรงพยาบาลศิริราช เป็นเป็นที่ระลึกแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสิริราชกกุธภัณฑ์ (โอรสในพระองค์และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๔๒๘)
    ด้านกฎหมาย - ทรงให้มีการประมวลกฎหมายต่างๆขึ้นมา กำลังหลักในด้านการศาลและกฎหมายที่สำคัญได้แก่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคัคนางค์ กรมหลวงพิชิตปรีชากร (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระน้องยาเธอต่างพระชนนีของรัชกาลที่ ๕ ต้นราชสกุล คัคนางค์) และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระราชโอรสในพระองค์และเจ้าจอมมารดาตลับ ต้นราชสกุล รพีพัฒน์)
    การขนส่งและคมนาคม - ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้าง รถไฟหลวง ขึ้นเป็นครั้งแรก รวมทั้งการสร้างถนนต่างๆ
    การไฟฟ้า - ทรงนำไฟฟ้าเข้ามาทดลองใช้เป็นครั้งแรก
    เปลี่ยนแปลงระบบเงินตรา - ทรงปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์และระบบเงินตราบางประการ โดยมีธนบัตรที่เรียกว่า อัฐ เกิดขึ้น

    [​IMG]

    ธนบัตร "อัฐ"

    การเศรษฐกิจ - ทรงตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้น เพื่อรวมรวบรายได้แผ่นดินมาจัดสรรให้เป็นระบบ
    การตั้งธนาคาร - เริ่มต้นจาก บุคคลัภย์ โดยพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าไชยยันตมงคล กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระน้องยาเธอต่างพระชนนีของรัชกาลที่ ๕ )
    การประปา - ทรงริเริ่มการประปาขึ้น แต่หาได้เข้าที่เข้าทางได้รัชสมัยของพระองค์
    การสร้างพุทธศาสนาสถาน - ทรงโปรดให้สร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์พระอารามต่างๆ โดยมีวัดพระราชบพิตรสถิตมหาสีมารามเป็นวัดพระจำรัชกาล
    การศึกษา - มีพระยาสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้เขียนตำราเรียน ๖ เล่ม ในชุดมูลบทบรรพกิจ ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างโรงเรียนวัดมหรรณพาราม เป็นโรงเรียนหลวงแห่งแรก และยังมี โรงเรียนบำรุงสตรีวิทยา เป็นโรงเรียนเพื่อสตรีแห่งแรกของประเทศสยาม รวมทั้งได้ทรงโปรดให้สร้างโรงเรียนฝึกหัดครูพระนครด้วย

    [​IMG]


    การเสด็จประพาส - ืทรงประพาสไปยังประเทศต่างๆ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ อีกทั้งยังนำวิทยาการต่างๆที่เข้ากับเมืองสยามมาใช้ เพื่อความวัฒนาถาวรของประเทศ
    ด้านวรรณกรรม - ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมต่างๆไว้มาก อาทิ ลิลิตนิทราชาคริต พระราชพิธีสิบสองเดือน (ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดของความเรียง) บทละครเรื่อง เงาะป่า ไกลบ้าน พระราชวิจารณ์
    ด้านงานสถาปัตยกรรม - สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นมีดังนี้ พระที่นั่งอนันตสมาคม วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระราชวังดุสิต พระรามราชนิเวศน์ (พระราชวังบ้านปืน) ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระราชานุกิจและพระราชกรณียกิจมากมายหาที่สุดไม่ได้ ยังความทราบซึ่งใจให้แก่พสกนิกรสยามทุกคน และในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๓ พระมหากษัตริย์พระองค์นี้ก็เสด็จสู่สวรรคาลัย สร้างความทุกขโทมนัสให้แก้ชาวสยามเปนอย่างมาก โดยสิริรวมพระชนมพรรษาได้ ๕๗ ชันษา


    [​IMG][​IMG]

    เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ และฉลองพระมหากรุณาธิคุณอันมากล้นพ้น พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวในรัชกาลถัดมาทุกพระองค์ก็ทรงได้จัดพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปิยามหาราชทุกปีตลอดมา

    เอกสารอ้างอิงมาจาก มหาจุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ โดย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเรียบเรียง และพระราชประวัติพระมหากษัตริย์ ๙ รัชกาล โดย พิมาน แจ่มจรัส



    ขอขอบคุณ
    http://images.google.co.th/imgres?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2008
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ไปทำงานที่ระยองซะ 3 วัน เมื่อวานขากลับเข้ากรุงเทพฯ แวะบ้าน อ.ประถม ฝนตกพรำๆ มาตลอดทาง ถึงบ้าน อ. ฝนยังไม่หยุดตก เมื่อวาน อ.อยู่บ้านคนเดียวกำลังดูมวยทางโทรทัศน์อยู่ สาเหตุที่ต้องแวะก็คือท่านสั่งให้เอาพระเนื้อเมฆสิทธิ์คือพระพิมพ์ปางซ่อนหาของหลวงพ่อทับ วัดอนงคฯ ฝั่งธนฯ ไปให้ท่านด้วย เรื่องของเรื่องก็คือ คราวไปเยี่ยมท่านในวันอังคารพร้อมก๊วนใหญ่ของศิษย์รุ่นใหญ่ 3-4 ท่าน นำพระที่ตนเองที่พบในสนามโดยตรวจแล้วว่ามีสภาวะแห่งความเป็นทิพย์พอขากลับเข้ากรุงเทพแลยแวะไปร่วมก๊วนด้วย คราวนั้นมีพระติดตัวไปด้วยราว 5-6 พิมพ์คือพระขุนแผนเคลือบ พระกริ่งวัดสุทัศน์ พระกริ่งอวโลกิเตศวร พระสิวลี พระอุปคุต และพระเนื้อเมฆสิทธิ์นิรนาม ทุกองค์ตรวจขึ้นหมด พอถึงองค์สุดท้ายพี่ใหญ่จับขึ้นมาพระอะไร? แปลกดี ตรวจเสร็จบอก อื้อฮืดขึ้นปึ๊ดเลยวุ้ย ส่งให้ อ.ประถมตรวจ โดยส่งด้านหลังให้ พอถึงมือ อ.แตะปุ๊บ อ.ประถมอุทานทันที พระปางซ่อนหา หลวงพ่อทับวัดอนงคาราม ธนบุรี พอหันด้านหน้าเห็นพิมพ์อีกครั้ง ใช่เลยเห็นมั๊ย นับว่าปู่จิตเร็วมากทีเดียว อ.ประถมเลยบอกว่า คราวหน้ามาเอามาให้ปู่ด้วย 1 องค์อย่าลืม ปู่อยากได้มากพระแบบนี้ รวมถึงพี่ใหญ่ด้วยก็อยากได้เช่นกัน เพราะองค์ที่นำมาตรวจเนื้อเขียวปั๊ด ดั่งปีกแมงทับ แถมราคาหลักสิบต้นๆ ที่สำคัญก็คือหายากกว่าเนื้อผงมาก เมื่อวานเลยไปถวายท่าน 2 องค์เป็นปางซ่อนหา กับอีกปางหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี เอาไว้คราวหน้าจะไปเก็บมาให้หมดเพราะเหลือแค่ 20 กว่าองค์เอง บางส่วนจะนำมาให้นักเรียนดูพระในวันกิจกรรมที่ 9/11 ได้ดูกัน และถ้าถูกใจก็จะให้ไว้ใช้เลยในราคาที่นำมาก๋วยเตี๋ยว 1 ชามและน้ำขวด 1 ขวดครับ พระเนื้อเมฆสิทธิ์นี้รับรองคุณภาพโดย อ.ประถม และพี่ใหญ่ ชนิดที่ทั้ง 2 ท่าน สั่งแล้วสั่งอีกให้เก็บมาฝากให้ได้ก็แล้วกัน คิดดูก็ในเวลาท่านเสกกัน ปืนเที่ยงซึ่งเป็นปืนใหญ่ในสมัยนั้น ยิงไม่ออกก็แล้วกัน องค์พระขนาดปลายหัวแม่โป้งมือแค่นั้นเองน่าใช้มาก

    สำหรับงานบุญในวันที่ 9/11 นี้ ก็จะเป็นไปตามเดิม โดยในวันอาทิตย์นี้คณะกรรมการฯ จะประชุมกัน โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้จะมีวาระการบริจาคเครื่องดูดเสมหะ ที่ลูกศิษย์ของท่านหลวงปู่แฟ้บ วัดป่าดงหวาย ต.บ้านม่วง อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร ได้ติดต่อมาเพื่อขอนำไปใช้ที่ โรงพยาบาลสงฆ์ที่ หลวงปู่ท่านมีดำริห์ให้สร้างขึ้น เข้าที่ประชุมด้วย โดยหลวงปู่แฟ้บนี่สำคัญนัก เป็นหนึ่งในอรหันต์ยุคปัจจุบันที่หลวงตาบัวท่านกล่าวไว้ นับว่าหากเราได้ทำบุญกับท่าน ก็เท่ากับทำบุญกับพระที่สำเร็จอรหัตผลและยังดำรงธาตุขันธ์ไว้ทีเดียว โดยลูกศิษย์ท่านเจาะจงมาที่ทุนนิธิฯ เราโดยเฉพาะเลย โดยได้โทร.มาคุยด้วย 2 ครั้งแล้ว จึงต้องนำเข้าที่ประชุมเพื่อแจ้งให้ทราบและขออนุมัติตามระเบียบครับ

    สำหรับพระสงฆ์ที่อาพาธที่ รพ.แม่สอด จ.ตาก ที่อาพาธโดยเป็นวัณโรคชนิดร้ายแรงและเรื้อรังนั้น เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ที่ผ่านมา ผมโอนเงินผ่านธนาคารเพื่อส่งไปช่วยท่านแล้ว โดยโทร.ไปคุยกับคุณสุภรณ์ พยาบาลประจำหอสงฆ์ ซึ่งได้รับรายละเอียดเพิ่มเติมว่า อาการท่านยังน่าเป็นห่วงมากต้องใส่สายยางและให้ยาขยายปอดและฆ่าเชื้อวัณโรคไปยังปอดโดยตรง แต่ตรวจทีไร ก็ยังพบเชื้อทุกที คงต้องนอนรักษาตัวอีกนาน ทั้งญาติและพยาบาล ก็กลัวติดเชื้อ นับว่าเวทนามากทั้งการรักษาและผู้ที่คอยรักษาครับ แถมยังเป็นโรงพยาบาลชายแดนที่อุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่ค่อยพร้อมก็คงทำไปตามมีตามเกิดครับ

    สุดท้ายก็คงแจ้งให้ทราบแค่นี้ก่อน เอาไว้วันกิจกรรมค่อยว่ากัน ใครที่ชอบของดีของขลังก็คอยไว้ดูก็แล้วกัน วันนั้นคงมีให้ดูหลายอย่าง ใกล้ครบวันครบรอบ 1 ปี ของทุนนิธิฯ แล้ว (9/12) คงต้องวางแผนงานไว้ให้มากหน่อยครับเผื่อไว้ก่อนดีกว่าขาด และก็คงแจกให้หลายอย่างเหมือนกันบางอย่างก็ให้ฟรี เอาไปใช้กัน บางอย่างก็ทำบุญเข้าทุนนิธิฯ ครับ

    พันวฤทธิ์
    23/10/51

     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หลวงปู่แฟ้บ จากเวบพลังจิตครับ


    พญานาคขึ้มมาขอฟังธรรมจากหลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท ในวัดป่าดงหวาย
    http:// หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท ท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดป่าดงหวาย บ.จาร อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร

    หลวงปู่แฟ็บ สุภัทโท ท่านเป็นพระนักปฏิบัติมีปฏิปทางดงามเป็นที่รู้จักในเขตจังหวัดสกลนครเป็นอย่างดีอีกรูปหนึ่ง

    สำหรับท่านหลวงปู่แฟ๊บ เมื่อครั้งท่านบวชใหม่ ๆ กับท่านพระอาจารย์ประสิทธิ์ ปภังกโร ที่วัดป่าหมู่ใหม่ อ. แม่แตง จ. เชียงใหม่แล้ว และท่านก็ได้เข้าไปศึกษารับการอบรมข้อวัตรปฏิบัติตลอดจนการเจริญสมณะธรรมจากครูบาอาจารย์หลายรูปหลังจากที่ท่านได้เข้ารับการอบรมจากครูบาอาจารย์หลายรูป เช่น ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านก็ได้เดินธุดงค์มุ่งหน้าสู่การปฏิบัติรรมเป็นเวลาหลายปี โดยที่ครั้งหนึ่งได้มุ่งหน้าเดินธุดงค์ไปที่จังหวัดมุกดาหาร โดยไปพักภาวนาที่ภูเก้า และได้พบท่านหลวงปู่หล้า เขมปัตดต ที่วัดภูจ้อก้อ อ.หนองสูง จ. มุกดาหาร และได้รับการอบรมธรรมจากท่านพอสมควร แก่เวลา จึงลาท่านเพื่อหาสถานที่พักบำเพ็ญต่อไปเรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายพรรษา จนพรรษาเข้ากาลสมัย จึงมาพักการเดินธุดงค์โดยมาพักที่วัดป่าดงหวาย ในปัจจุบัน และทำนุบำรุงศาสนสถานให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมถาวรมกมาย เช่นศาลาการเปรียญ 1 หลัง กุฏิกรรรมฐานถาวรจำนวนมาก และได้สร้างวิหารมณฑปแสดงประวัติการปฏิบัติธรรมของท่านด้วย 1 หลัง และได้ทำการสร้างพุทะเจดีย์เพื่อบรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าและพระธาตุของครูบาอาจารย์หลายรูป ในการก่อสร้างหลวงปู่มิได้ทำการเรี่ยไรแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงความศรัทธาในตัวญาติโยมที่มีต่อหลวงปู่ เมื่อหลวงปู่แฟ๊บได้มาอยู่จำพรรษาที่วัดป่าดงหวายเป็นการถาวรแล้วท่านก็นำภิกษุสามเณรพากันประพฤติปฏิบัติธรรมเรื่อนมาจนถึงปัจุบัน ตลอดจนท่านได้อบรมพระเณร และชาวบ้านในแถวละแวกนั้น จนเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมากขึ้นเป็นลำดับ และเป็นที่พึ่งในเขตอำเภอบ้านม่วงด้วย ผู้เขียนขอเล่าคุณธรรมในหลวงปู่ว่า ในวันหนึ่งเมื่อหลวงปู่นั่งภาวนา ในกุฏิท่านเมื่อจิตท่านหยั่งเข้าสู่ภมิระเอียดแล้ว ปรากฎว่ามีพญานาคหลายตน ได้เข้ามากราบหลวงปู่ และขอให้หลวงปู่แสดงพระธรรมเทสนาให้ตนฟัง หลวงปู่เองก็แปลกใจจึงได้ถามต่อไปว่า พวกท่านมาได้อย่างไร วัดเราก็ไม่น่าจะมีนาคมากมายมาอาศัยนี่ พวกพญานาคเหล่านั้นจึงตอบหลวงปู่ไปว่า พวกข้าพเจ้าขึ้นมาจากสระน้ำข้างนี่แหละ วันจะได้ฟังหลวงปู่แสดงธรรมเทศนาแก่ญาติโยมก่อนฉันเช้าทุกครั้ง วันนี้พวกข้าพเจ้าเลยอดไม่ได้เลยขึ้นมาอยากขอให้หลวงปู่แสดงพระธรรมเทศนาแก่พวกข้าพได้ไหม พอหลวงปู่แฟ๊บท่านได้สนองตามเจตนารมดังกล่าวพวกนาคก็พากันยกมือขึ้นไหว้พร้อมกัน จากนั้นก็พากันลงจากกุฏิท่าน หลวงปู่เล่าต่อไปว่า แปลกพวกนาคเองหลวงปู่ก็ไม่เคยเห็นแต่นี่เห็นของจริงแล้ว พวกเขาบอกง่ายกว่ามนูษย์อีก

    หาฟังธรรมอย่างสงบไม่เหมือนพวกคน เรา เวลาเขาขึ้นมาก็เหมือนคนเราทุกอย่าง แต่เมื่อกลับลงกุฏิอาตมาแล้ว เขาเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นนาค มุ่งหน้าไปทางสระข้างวัด นี่ยังเป็นเรื่องที่พบเจอครั้งแลกในวัดป่าดงหวายของท่าน สำหรับข้าพเจ้าเองผู้เขียนก็ได้ยกคุณธรรมของหลวงปู่มาพอสมควรแก่เวลาแล้ว ถ้าข้อความไหนขาดตกบกพร่องประการใดก็ขออโหสิกรรมแก่ผู้กิเลสหนาด้วยเทอญ และถ้ากล่าวผิดขาดวรรคขาดตอน และประมาทในคุณธรรมหลวงปู่ก็กราบขออโหสิกรรมให้แก่ผู้เขียนด้วยเทอญสาธุอนุโมทามิ.



    ปัจจุบันท่าน หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท ท่านอยู่ที่

    วัดป่าดงหวาย บ.จาร

    อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร
    http://palungjit.org/showthread.php?t=33172
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หลวงพ่อทับ วัดอนงคาราม กรุงเทพฯ

    ข้อมูลประวัติ
    เกิด ปี พ.ศ.2373
    อุปสมบท ปี พ.ศ.2465

    วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
    วัตถุมงคลของท่านสร้างจากเนื้อเมฆสิทธิ์ มีหลายพิมพ์ เช่น ปางซ่อนหา พระปิดตา ลูกอม สำหรับพระปิดตามีทั้งพิมพ์แต่ง และพิมพ์ไม่แต่ง

    พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา
    เมตตามหานิยม


    [​IMG]
    รูปของ หลวงพ่อทับ

    [​IMG]
    พระปิดตา หลวงพ่อทับพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ พิมพ์ไม่แต่ง

    [​IMG]
    พระปิดตา หลวงพ่อทับพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ พิมพ์แต่ง

    [​IMG]
    พระปิดตา หลวงพ่อทับพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ พิมพ์แต่ง

    [​IMG]
    พระปิดตา หลวงพ่อทับพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ พิมพ์แต่ง

    [​IMG]
    พระปิดตา หลวงพ่อทับพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ พิมพ์แต่ง

    [​IMG]
    พระเหรียญหล่อ หลวงพ่อทับพระปรางค์ซ่อนหาเนื้อเมฆสิทธิ์

    [​IMG]
    พระเหรียญหล่อ หลวงพ่อทับพระปรางค์สมาธิเนื้อเมฆสิทธิ์

    [​IMG]
    เครื่องราง- รูปถ่าย- ล็อคเกต หลวงพ่อทับลูกอมเมฆสิทธิ์
     
  13. MEA

    MEA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +660
    วันนี้ 23/10/2551 เวลา 15.23โอนเงินร่วมทำบุญสงฆ์อาพาธ เข้าบัญชีทุนนิธิฯ
    ผ่าน ATM กรุงไทย จำนวน 300 บาท ร่วมโมทนาบุญด้วยครับ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ลืมแจ้งการบริจาคไปหนึ่งรายชื่อครับ เมื่อวันที่ 17/10 น้องที่ทำงานบริจาคเงินเข้าทุนนิธิฯ โดยผ่านผมมา 400.-โดยน้องชื่ออดิศร เรืองวิลาศานนท์ และครอบครัว ผมได้มอบให้ อ.ปุ๊ในวันที่ 19/10 และ อ.ปุ๊ นำฝากเข้าบัญชีวันที่ 20/10 ครับ
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวานวันหยุดเลยถือโอกาสนัดประชุมที่บ้านพี่ใหญ่แทนการประชุมในวันอาทิตย์ที่ 26/10 ซะเลย โดยมีวาระการประชุมพอสรุปคือ

    1.งานบุญครั้งต่อไปที่ รพ.สงฆ์จัดในวันที่ 9/11 ตามที่แจ้งให้ทราบไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
    2.แผนการใช้เงินจากบัญชีทุนนิธิฯ ในเดือน พฤศจิกายน มีดังนี้

    2.1 รพ.สงฆ์ กทม.

    ค่าเลือด 5,000.-บาท
    ค่าเวชภัณฑ์ 5,000.-บาท
    ค่าสังฆทานอาหาร 5,000.-บาท
    รวม 15,000.-บาท

    2.2 รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่

    บริจาคเข้าส่วนกลาง 5,000.-บาท

    2.3 รพ.สมเด็จพระยุพราช อ.ปัว จ.น่าน

    บริจาคเข้าส่วนกลาง 5,000.-บาท

    2.4 รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น (บริจาคผ่านกองทุนหลวงปู่เทสก์)

    บริจาคเข้าส่วนกลาง 5,000.-บาท

    2.5 รพ. 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ จ.อบลราชธานี

    บริจาคเข้าส่วนกลาง 5,000.-บาท

    2.6 รพ.แม่สอด จ.ตาก

    บริจาคเข้าส่วนกลาง 5,000.-บาท

    2.7 รพ.สงขลา จ.สงขลา

    บริจาคเข้าส่วนกลาง 5,000.-บาท

    2.8 บริจาคเพื่อซื้อเครื่องดูดเสมหะ สำหรับใช้ในโรงพยาบาล บ้านม่วง ของท่านหลวงปู่แฟ้บ สุภัทโท จำนวน 2 เครื่องๆ ละ 5,000.-บาท รวมเป็นเงิน
    10,000.-บาท (ปกติตามโรงพยาบาลจะเป็นเครื่องขนาดใหญ่ มีความเร็วและมีความสามารถในการช่วยชีวิตโดยการดูดเสมหะที่ดีกว่าเครื่องเล็ก แต่เนื่องจากเป็น รพ.ที่เกิดจาก ดำริห์ของหลวงปู่แฟ้บท่านเอง งบประมาณจึงมีจำกัด จึงขอจากทุนนิธิฯ เพียง 2 เครื่อง และจะนำไปใช้ตามมีตามเกิดเท่าที่จะรักษาได้ในเบื้องต้นเท่านั้น ลูกศิษย์ของท่านคือคุณสุขสันต์ได้กรุณาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่าหลวงปู่อธิษฐานขอดำรงขันธ์เพียงแค่ รพ.นี้เสร็จเท่านั้น และนี่ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว หากใครมีเวลาก็ควรไปทำบุญกับท่านได้ก็จะดี เพราะขณะนี้เส้นเกสาท่านกำลังรวมตัวเป็นก้อนกลมจะกลายเป็นพระธาตุแล้ว (ผมแอบขอคุณสุขสันต์มาแจกพวกเราด้วย) เบอร์โทร.คุณสุขสันต์ 081-6701870 ครับ)

    โดยสรุปทั้งหมดในเดือน พฤศจิกายน ใช้เงินตามประมาณการทั้งสิ้น 55,000.- (ห้าหมื่นห้าพันบาทถ้วน)

    3.คอร์สอบรมพระจะแจ้งให้ทราบทีหลังว่าคราวต่อไปจะเป็นพระอะไร แต่ที่แน่ๆคือพระเนื้อเมฆสิทธิ หลวงพ่อทับวัดอนงคาราม (ดูแล้วพร้อมเอาไปเลยถ้าผมไปเอาพระมาทันจากแผงลอยโดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนวันกิจกรรม)

    4.ยังยืนยันอีกนิดนึงคือในวันที่ 9/11 นี้ มีพระพิมพ์ที่ได้รับบริจาคมาจากกระทู้พระวังหน้าฯ โดยผ่านพี่ใหญ่ ให้สำหรับคนที่ไปร่วมงาน 50 องค์แจกให้ฟรี ตามเจตนารมย์ของผู้บริจาคครับ เป็นพระสมเด็จหลังเบี้ยพิธีเสกใหญ่ อธิษฐานจิตโดยการเชิญ ท่านเจ้าประคณสมเด็จฯ มา ถือว่าใช้ได้ทีเดียวครับ

    5.ของขลังที่ให้บูชาในงานเพื่อนำเงินเข้าทุนนิธิฯ กริชและพระขรรค์วังหน้า จำนวน 16 ด้าม หลายแบบในราคาทำบุญ แถมล้างให้สะอาดเรียบร้อย ยืนยันจาก อ.ประถมว่า ของเก่าเสกโดยหลวงปู่ใหญ่ องค์ที่ 3 เพิ่งไปรับจากมือท่านเมื่อวันที่ 22/10 ท่านรับรองอิทธิคุณให้ด้วยครับ

    สำหรับวันนี้แจ้งให้ทราบแค่นี้ก่อน หากมีอะไรเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง


    พันวฤทธิ์
    24/10/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2008
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ขอแจ้งข่าวให้ทราบหน่อยนะครับ คือทางผมและทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร กำลังจัดทำเว็บไซท์ 2 เว็บไซท์ คือเว็บไซท์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และเว็บไซท์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าและพระวังหน้า ขึ้นมาเพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรและพระพิมพ์ต่างๆที่ทางวังหน้าสมัยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญและช่างสิบหมู่ได้จัดสร้างขึ้นและเป็นการยกย่องประกาศเกียรติคุณของครูบาอาจารย์คือท่านอ.ประถม อาจสาคร ท่านด้วย ซึ่งข้อมูลต่างๆที่จะนำมาเผยแพร่นี้เป็นข้อมูลที่ท่านอ.ประถม อาจสาครได้ศึกษาค้นคว้ามาตลอดตั้งแต่ครั้งยังหนุ่มจนเข้าสู่วัยชราภาพแล้ว ซึ่งท่านอ.ประถม อาจสาคร ท่านมีความตั้งใจที่จะเผยแพร่เรื่องราวความรู้ต่างๆเหล่านี้ไปสู่สาธารณชนให้ได้รับรู้รับทราบความจริงเกี่ยวกับหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรและพระพิมพ์ต่างๆที่ทางวังหน้าได้จัดสร้างขึ้น อันที่จริงเว็บไซท์ 2 เว็บไซท์ นี้ผมเคยได้จัดทำขึ้นมาแล้วเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้วมาซึ่งการจัดทำครั้งนี้ก็ยังคงมีข้อมูลเก่าและเพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมเช้าไปอีกตลอดจนจะมีการUpdateข้อมูลให้ทันสมัยมากขึ้น ก็ขอให้ทุกๆท่านได้ติดตามดูชมกันด้วยนะครับนะครับ

    ขอบพระคุณครับ

    หมายเหตุ ทางผมและทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม ได้ไปกราบเรียนขออนุญาตในการจัดทำเว็บไซท์ 2 เว็บไซท์ต่อท่านอ.ประถม อาจสาครเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งท่านก็ได้อนุญาตให้จัดทำและพร้อมจะให้ข้อมูลเพิ่มเติม


    ตัวอย่างของเว็บไซท์ที่จะจัดทำขึ้น

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 123.jpg
      123.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94 KB
      เปิดดู:
      4,571
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2008
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


    จากกระทู้ข้างต้น มีข้อมูลเพิ่มเติมจากคุณสุขสันต์ ลูกศิษย์ของหลวงปู่ฯ ส่งมาให้อ่านกันครับ
    ทั้งในเรื่องปฏิปาทาและการสร้างโรงพยาบาลสำหรับสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    เรียนพี่พันวฤทธิ์และต้องขออนุญาต พอดีผมเห็นไฟล์แนบใหญ่ไปหน่อยเลยนำมาลดขนาดรูปภายในเอกสาร
    เพื่อที่จะให้เพื่อนๆได้ดาวน์โหลดได้ง่ายขึ้นครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,702
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,016
    หน้า 87 ลบให้เรียบร้อยแล้วครับ
    ต่อไปปพยายามอย่าโพส แบบ HTML
     
  20. narin96

    narin96 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +28
    เรียน คุณสติและทุนนิธิ
    เห็นด้วยและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะมีการตั้งwebsiteใหม่(อีกครั้ง) เพื่อเทิดพระเกียรติ์และเผยแพร่เกียรติคุณ แห่งปู่เทพโลกอุดร,วังหน้า และเจ้าคุณกรมท่า ให้เป็นที่ประจักษ์ คงอยู่ และสืบต่อไป อันเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา ภายใต้ปูชนิยบุคคลแห่งท่าน อ.ประถม
     

แชร์หน้านี้

Loading...