ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สำหรับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมใหม่


    ด้วยในปัจจุบันพระภิกษุสงฆ์อาพาธตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่น รพ.สงฆ์ ยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก พระสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็นเนื้อนาบุญของเรา ดังคำกล่าวที่ว่า"ผู้ใดปราถนาจะอุปปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงรักษาภิกษุป่วยไข้" ด้วยเหตุและปัจจัยแห่งเนื้อนาบุญอันมีอานิสงส์ที่ประมาณมิได้นี้ ประกอบกับเป็นการเชิดชูครูอาจารย็ที่ได้อบรมความรู้ และถ่ายทอดประสบการณ์ในเรื่องอภิญญาจิต และความรู้เรื่องพระพิมพ์สกุล วัดพระแก้ววังหน้า พระพิมพ์สกุลบรมครูเทพโลกอุดรของ ท่าน อ.ประถม อาจสาคร กระผมและคณะจึงได้ก่อตั้งกองทุนขึ้นมาในรูปแบบของทุนนิธิ เพื่อรวบรวมเงินบริจาคที่จะได้มานำไปบริจาคให้หรือรักษาไข้แก่พระภิกษุสงฆ์อาพาธที่ยากไร้ ตามโรงพยาบาลต่างๆ หรือบำรุงศาสนกิจที่จำเป็นตามที่คณะกรรมการของกองทุนจะได้พิจารณาขึ้น ดังนั้น กระผมและคณะจึงใคร่ขอเชิญชวนทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพุทธศาสนา ด้านการรักษาสงฆ์ หรือศาสนกิจอื่นๆ โดยการบริจาคเข้า บัญชี "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" (pratom foundation) บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนวิภาวดีรังสิต (ซันทาวเวอร์ส) บัญชีออมทรัพย์ หมายเลข 348-1-23245-9



    พร้อมนี้ คณะทำงานมีพระพิมพ์ที่แจกให้ฟรีเพื่อเป็นกำลังใจในการทำความดีของแต่ละคน ไม่เกี่ยวกับการบริจาคหรือไม่บริจาคในกระทู้นี้ เป็นพระพิมพ์ตามรูปข้างล่างนี้ ซึ่งพระพิมพ์ดังกล่าวนี้สำคัญนัก อ.ประถมฯ บอกว่าข้างในยังเป็นเนื้อผงยาวาสนาซะด้วย แถมด้วยพลังบารมีของท่านผู้อธิษฐานจิตไม่เป็นรองใคร จึงหายห่วงเรื่องพลังกฤตยาคม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2007
  2. MEA

    MEA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +660
    ได้รับพระแล้ว ขอบคุณมากครับสำหรับพระที่ส่งมาให้จะแยกเก็บไว้อย่างดีครับ พระสวยมากครับ ขอบคุณทุกคนในคณะที่จัดทำบุญในครั้งนี้ครับ แล้วจะช่วยในเรื่องค่าจัดส่งครับ
     
  3. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    หลวงปู่มั่นตอบปัญหาคนกรุงเทพ


    หลังจากที่หลวงปู่มั่นท่านกลับจากเชียงใหม่ เข้าพักที่วัดบรมนิวาสกรุงเทพ ฯตามคำสั่งของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ( ติสโส อ้วน ) ก่อนเดินทางไปอุดร ฯ ในระยะที่ท่านพักอยู่ที่นั้นปรากฏว่ามีคนมาถามปัญหากับท่านมาก มีปัญหาของบางรายที่แปลกกว่าปัญหาทั้งหลาย ซึ่งมีดังนี้
    ชาวกรุงเทพ : ได้ทราบว่าท่านรักษาศีลองค์เดียว มิได้รักษาถึง ๒๒๗ องค์ เหมือนพระทั้งหลายที่รักษากันใช้ไหม
    หลวงปู่มั่น : ใช่ อาตมารักษาเพียงอันเดียว
    ชาวกรุงเทพ: ที่ท่านรักษาเพียงอันเดียวนั้นคืออะไร
    หลวงปู่มั่น: คือใจ
    ชาวกรุงเทพ: ส่วน ๒๒๗ นั้นท่านไม่ได้รักษาหรือ
    หลวงปู่มั่น: อาตมารักษาใจไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ จะเป็น ๒๒๗ หรือมากกว่านั้นก็ตาม บรรดาที่เป็นข้อบัญญัติห้าม อาตมาก็เย็นใจว่า ตนมิได้ทำผิดต่อพุทธบัญญัติ ส่วนท่านผู้ใดจะว่าอาตมารักษาศีล ๒๒๗ หรือไม่นั้น สุดแต่ผู้นั้นจะคิดจะพูดเอาตามความคิดของตน เฉพาะอาตมาได้รักษาใจอันเป็นประธานของกายวาจาอย่างเข้มงวดกวดขันตลอดมา นับแต่เริ่มอุปสมบท
    ชาวกรุงเทพ: การรักษาศีลต้องรักษาใจด้วยหรือ
    หลวงปู่มั่น: ถ้าไม่รักษาใจจะรักษาอะไรถึงจะเป็นศีลเป็นธรรมที่ดีงามได้ นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้นจะไม่ต้องรักษาใจแม้กายวาจาก็ไม่จำต้องรักษา แต่ความเป็นเช่นนั้นของคนตายนักปราชญ์ท่านไม่ได้เรียกว่าเขามีศีล เพราะไม่มีเจตนาเป็นเครื่องส่องแสดงออก ถ้าเป็นศิลได้ควรเรียกได้เพียงว่าศีลคนตาย ซึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ตามคำเรียกแต่อย่างใด ส่วนอาตมามิใช่คนตายจะรักษาศีลแบบคนตายนั้นไม่ได้ ต้องรักษาใจให้เป็นศีลเป็นธรรมสมกับใจเป็นผู้ทรงไว้ทั้งบุญทั้งบาปอย่างตายตัว
    ชาวกรุงเทพ: ได้ยินในตำราว่าไว้ว่ารักษากายวาจาให้เรียบร้อยเรียกว่าศีล จึงเข้าใจว่าการรักษาศีลไม่จำเป็นต้องรักษาใจก็ได้ จึงได้เรียนถามอย่างนั้น
    หลวงปู่มั่น: ที่ว่ารักษากายวาจาให้เรียบร้อยนั้นก็ถูก แต่กายวาจาจะเรียบร้อยเป็นศีลได้นั้นต้นเหตุมาจากอะไร ถ้าไม่เป็นมาจากใจผู้เป็นนายคอยบังคับกายวาจาให้เป็นไปในทางที่ถูก เมื่อเป็นมาจากใจ ใจจะควรปฏิบัติอย่างไรต่อตัวเองบ้าง จึงจะควรเป็นผู้ควบคุมกายวาจาให้เป็นศีลเป็นธรรมที่น่าอบอุ่นแก่ตัวเอง และน่าเคารพเลื่อมใสแก่ผู้อื่นได้ ไม่เพียงแต่ศีลธรรมที่จำเป็นต้องอาศัยใจเป็นผู้คอบควบคุมรักษาเลย แม้กิจการอื่น ๆ จำต้องอาศัยใจเป็นผู้ควบคุมดูแลโดยดี การงานนั้น ๆ จึงจะเป็นที่เรียบร้อยไม่ผิดพลาดและทรงคุณภาพโดยสมบูรณ์ตามชนิดของมัน

    การรักษาโรคเขายังค้นหาสมุฏฐานของมัน จะควรรักษาอย่างไรจึงจะหายได้เท่าที่ควร ไม่เป็นโรคเรื้อรังต่อไป การรักษาศีลธรรมไม่มีใจเป็นตัวประธานพาให้เป็นไป ผลก็คือความเป็นผู้มีศีลด่างพร้อย ศีลขาดศีลทะลุ ความเป็นผู้มีธรรมที่น่าสลดสังเวช ธรรมพาอยู่ธรรมพาไปอย่างไม่มีจุดหมาย ธรรมบอ ธรรมบ้า ธรรมแตก ซึ่งล้วนเป็นจุดที่ศาสนาจะพลอยได้รับเคราะห์กรรมไปด้วยอย่างแยกไม่ออก ไม่เป็นศีลธรรมอันน่าอบอุ่นแก่ผู้รักษา และไม่น่าเลื่อมใสแก่ผู้อื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องบ้างเลย

    อาตมาไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก บวชแล้วอาจารย์พาเที่ยวและอยู่ตามป่าตามเขา เรียนธรรมก็เรียนไปกับต้นไม้ใบหญ้า แม่น้ำลำธาร หินผาหน้าถ้ำ เรียนไปกับเสียงนกเสียงกา เสียงสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ตามทัศนียภามที่มีอยู่ตามธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง ไม่ค่อยได้เรียนในคัมภีร์ใบลานพอจะมีความรู้สแตกฉานทางศีลธรรมการตอบปัญหาจึงเป็นไปตามนิสัยของผู้ศึกษาธรรมเถื่อน ๆ รู้สึกจนปัญญาที่ไม่สามารถค้นหาธรรมที่ไพเราะเหมาะสมมาอธิบายให้ท่านผู้สนใจฟังอย่างภูมิใจได้
    ชาวกรุงเทพ: คำว่าศีลได้แก่สภาพเช่นไร และอะไรเป็นเป็นศิลอย่างแท้จริง
    หลวงปู่มั่น: ความคิดในแง่ต่าง ๆ อันเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรคิดหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกายวาจาใจให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษาในลักษณะดังกล่าวมาชื่อว่ามีสภาพปกติไม่คะนองทางกายวาจาใจให้เป็นกิริยาที่น่าเกลียด นอกจากความปกติดีงามทางกายวาจาใจของผู้มีศีลว่าเป็นศีลเป็นธรรมแล้ว ก็ยากจะเรียกให้ถูกได้ว่าอะไรเป็นศีลเป็นธรรมที่แท้จริง เพราะศีลกับผู้รักษาศีลแยกกันได้ยาก ไม่เหมือนตัวบ้านเรือนกับเจ้าของบ้านเรือนซึ่งเป็นคนละอย่าง ที่พอจะแยกกันออกได้ไม่ยากนัก ว่านั่นคือตัวบ้าน และนั่นคือเจ้าของบ้าน
    ส่วนศีลกับคนจะแยกจากกันอย่างนั้นเป็นการลำบากเฉพาะอาตมาแล้วแยกไม่ได้ แม้แต่ผลคือความเย็นใจที่เกิดจากการรักษาศีลก็แยกไม่ออก ถ้าแยกออกได้ศีลก็อาจหลายเป็นสินค้ามีเกลื่อนตลาดไปนานแล้ว และอาจจะมีโจรมาแอบขโมยศีลธรรมไปขายจนหมดเกลี้ยงจากตัวไปหลายรายแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ศีลธรรมก็จะกลายเป็นสาเหตุก่อความเดือดร้อนแก่เจ้าของเช่นเดียวกับสมบัติอื่น ๆ ทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเอือมระอาที่จะแสวงหาศีลธรรมกัน เพราะได้มาก็ไม่ปลอดภัย
    ดังนั้น ความไม่รู้ว่า "อะไรเป็นศิลอย่างแท้จริง" จึงเป็นอุบายวิธีหลึกภัยอันอาจเกิดแก่ศีล และผู้มีศีลได้ทางหนึ่งอย่างแยบยลและเย็นใจ อาตมาจึงไม่คิดอยากแยกศีลออกจากตัวแม้แยกได้ เพราะระวังภัยยาก แยกไม่ได้อย่างนี้รู้สึกว่าอยู่สบาย ไปไหนมาไหนและอยู่ที่ใดไม่ต้องเป็นห่วงว่าศีลจะหาย ตัวจะตายจากศีล และกลับมาเป็นผีเฝ้ากองศีลเช่นเดียวกับคนเป็นห่วงสมบัติ ตายแล้วกลับมาเป็นผีเฝ้าทรัพย์ ไม่มีวันไปผุดไปเกิดได้ฉะนั้น
    ( จาก"ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตโต" โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน )
    http://www.luangpumun.org
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    มนุษย์เรามีเวลาสั่งสม บุญหรือบาป เพียง 1,800 สัปดาห์เท่านั้น

    อายุโดยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 จนถึงวันนี้ พ.ศ. 2548 คือ 75 ปี ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้านับเวลาเป็นวันคือ 27,375 วัน ถ้านับเป็นสัปดาห์คือ 3,600 สัปดาห์ ถ้านับเป็นเดือนคือ 900 เดือน ถ้านับเป็นชั่วโมงคือ 657,000 ชั่วโมง ถ้านับเป็นนาทีคือ 39,420,000 นาที ถ้านับเป็นวินาทีคือ 2,365,200,000 วินาที
    เท่ากับว่าถ้าเรานับ 1 ถึง 2,365,200,000 เราก็จะแก่ตายพอดี สมการคือ
    (60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 365 วัน x 75 ปี = 2,365,200,000) หรืออาจจะใช้อีกสมการหนึ่งคือ
    (60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 30 วัน x 12 เดือน x 75 ปี = 2,332,800,000) ตัวเลขไม่เท่ากันกับด้านบนเนื่องจาก บางเดือน มี 28 วัน บางเดือนมี 29 วัน บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน ไม่แน่นอนแต่ก็ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 สมการ
    วันหนึ่งๆมี 24 ชั่วโมง มนุษย์เราจะเสียเวลานอนเฉลี่ย 8-12 ชั่วโมง / วัน (ยังไม่รวมแอบหลับตอนกลางวัน) เพราะฉนั้นเราจะมีเวลาใช้ชีวิตกันจริงๆเพียงครึ่งหนึ่งของเวลาจริงเท่านั้น
    เมื่อไม่นับเวลาที่เรานอน ตั้งแต่เกิดถึงตายเราจะมีเวลาเพียงแค่ 13,687 วัน หรือ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน หรือ 328,500 ชั่วโมง หรือ 19,710,000 นาที หรือ 1,182,600,000 วินาทีเท่านั้นเอง (เพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว) ยิ่งเวลาที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ก็จะทำให้เราเสียเวลาไปอีกมากต่อมาก
    มนุษย์ในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องแก่ตาย ไม่จำเป็นต้องอยู่ครบอายุ จะตายก่อนเมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตชาติ บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา บางคนตายเมื่ออายุ 7 ชั่วโมง บางคนตายเมื่ออายุ 7 วัน บางคนตายเมื่ออายุ 7 สัปดาห์ บางคนตายเมื่ออายุ 7 เดือน บางคนตายเมื่ออายุ 7 ปี แล้วคุณผู้อ่านทั้งหลายใช้เวลามาเท่าไรแล้ว จะเหลืออีกกี่วัน ถ้าคิดว่าตนเองจะอยู่ครบอายุ 75 ปี นั่นถือว่าประมาทอย่างยิ่ง (เป็นความคิดที่โง่เขลาเหลือเกิน) ชีวิตมนุษย์มีน้อยนัก อย่ามัวประมาทอยู่เลย รีบทำบุญทำกุศลเพื่อเป็นเสบียงไปภพหน้ากันเถอะ
    แต่ก็มีมนุษย์บางจำพวกชอบพูดว่า "เดี๋ยวรอให้แก่ก่อนแล้วค่อยทำบุญ" โถ...คิดไปได้ กรรมอะไรมันบังตาทำให้คุณคิดเช่นนั้น แล้วคุณรู้ได้อย่างไร ว่าจะอยู่ถึงแก่น่ะ อดีตชาติของคุณอาจจะเคยก่อกรรมทำเข็ญบางอย่างมา จนกรรมนั้นตามมาทันในชาตินี้ หรือ เดี๋ยวนี้ ซึ่งคุณอาจจะเสียชีวิต อาจจะหัวใจวายตาย อาจจะเส้นเลือดตีบ หรือตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ภายหลังจากอ่านบทความนี้จบก็เป็นได้ กรรมมันจัดสรรมาแล้ว ตั้งแต่คุณ "จุติ" จากชาติที่แล้ว จนคุณมา "ปฏิสนธิ" ในชาตินี้ ว่าคุณจะต้องตายเมื่อไร วันไหน เวลาไหน ซึ่งมนุษย์ทุกคนตายได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
    โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นยากเต็มที อุปมาเหมือนมีเต่าตาบอดตัวหนึ่งอยู่ในมหาสมุทร ในมหาสมุทรมีห่วงยางอยู่ 1 ห่วง ในเวลา 100 ปี เต่าตาบอดตัวนี้ จะขึ้นมาหายใจ 1 ครั้ง แล้วให้คอเต่าตัวนี้ ลอดห่วงพอดี ซึ่งยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ (โอกาสเป็นไปได้ไม่ถึง 0.00000001 %)
    การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากกว่าการอุปมานี้เสียอีก เพราะต้องอาศัยผลบุญในอดีตชาติ เช่น การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ที่สั่งสมมาจำนวนมากๆ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ได้แล้ว ก็จะพบกับความยากอีก 4 อย่างตามมาอีก ซึ่งความยากที่สุด 4 อย่างตามที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้คือ
    1)การได้เกิดเป็นมนุษย์ ในชมพูทวีป (ที่มีอาการครบ 32)
    2)การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าในกัปป์นั้นๆ (ยุคปัจจุบันเรียกว่า "ภัทรกัปป์" หมายถึงกัปป์ที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์ ได้แก่ พระกกุสัณธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสะปะ, พระโคโตมะ, และพระศรีอริยะ)
    3)การเกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่
    4)การได้ศึกษาพระพุทธศาสนา (แก่นคือ การเจริญภาวนา สติปัฏฐาน 4 โดยพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอารมณ์ทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน)
    พวกเราในปัจจุบันนั้นได้มาครบทั้ง 4 อย่างแล้ว เป็นความยาก 4 อย่างที่มาบรรจบกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เราจะปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้ผ่านไปเฉยๆเหรอ (ยังมีมนุษย์ตามืดบอดอีกจำนวนมากที่มองเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกิน) ส่วนมนุษย์ที่มีปัญญาอย่างเราๆ ควรรีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด และการได้มาซึ่งบุญตามพระไตรปิฏกมี 10 ประการดังนี้ (เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10)
    1)ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการบริจากทาน
    2)สีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล
    3)ภาวนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา (สติปัฏฐาน 4)
    4)อปจายนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงตนเป็นคนอ่อนน้อม
    5)ไวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการขวานขวายช่วยในกิจการที่ชอบ
    6)ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
    7)ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
    8)ธัมมสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังพระสัทธรรม
    9)ธัมมเทสนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา
    10)ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความรู้ความเห็นแห่งตนให้ตรง (เชื่อว่า บาป-บุญมี ,นรก-สวรรค์มี ,ชาตินี้-ชาติหน้ามี)
    อย่าปล่อยให้เวลาแต่ละวันสูญเปล่าไปกับเรื่องไร้สาระแบบคนตามืดบอดเลย ถ้าตายแบบคนตามืดบอดไม่เคยสั่งสมบุญ ต้องไปเกิดในอบายภูมิ (นรก-อสุรกาย-เปรต-เดรัจฉาน) ถ้าตายแบบคนมีปัญญา จักไปเกิดในสุคติภูมิ (มนุษย์-เทวโลก-พรหมโลก) ผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงรู้ไว้ ว่ายังมีบุญอีกตั้ง 10 ประเภทให้ผู้มีปัญญาเลือกทำกันตามจริตและอัธยาศัย
    โลกมนุษย์ใบนี้ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะมาตั้งรกรากอยู่กันแบบถาวร แต่เป็นเพียงสนามสอบเท่านั้น เรามาอยู่กันชั่วครั้งชั่วคราว สอบเสร็จก็ต้องจากไป โดยใช้ผลบุญ-ผลบาป เป็นตัววัดว่าสอบได้หรือสอบตก ...ถ้าคุณต้องการแสวงหาความสุขที่แท้จริงและค่อนข้างยั่งยืน คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากๆ (คะแนนคือบุญกุศล) แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "เทวโลก" ซึ่งเป็นโลกแห่งความสุขแท้ และมีอายุขัยยาวนานเกินคณานับ ...แต่ถ้าคุณต้องการความสงบทางจิตแบบเหนือชั้น คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากกว่านั้นขึ้นไปอีก (คะแนน คือ "ฌาณสมาบัติ" หรือ สมาธิขั้นสูงระดับ "ปฐมฌาณ" ขึ้นไป) แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "พรหมโลก" ...อย่ามายึดติดในโลกมนุษย์ซึ่งมีแต่ความทุกข์ และอายุน้อยนิดใบนี้เลย
    ทรัพย์สมบัติในโลกใบนี้ที่เราหลงผิดไปแสวงหามาแทบตาย แต่อนิจจัง อายุมนุษย์ช่างน้อยเหลือเกิน ไม่ทันได้ใช้ทรัพย์เหล่านั้นก็ต้องมาตายเสียก่อน และทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถติดตัวเราไปได้อีกต่างหาก แต่เราเอาไปได้อย่างเดียวคือ บุญ-บาป เท่านั้น
    ท่านผู้มีปัญญาเห็นธรรมทั้งหลายโปรดพิจารณาว่า ที่เราขวนขวายแสวงหาทรัพย์สมบัติต่างๆนาๆ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่สามารถนำติดต่อไปได้นั้น เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่ คนรวยก็ตาย คนจนก็ตาย ทำไมเราไม่เอาเวลาไปทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นอริยทรัพย์ สามารถนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ
    โปรดใช้เวลาในโลกใบนี้ในแต่ละนาทีอย่างคุ้มค่าเถอะ เพราะเราเหลือเวลากันอีกน้อยแล้ว ให้สมกับความยากที่ได้เกิดบนโลกใบนี้ ถ้าเราไม่รีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาเกิดบนโลกใบนี้อีก หรืออาจจะไม่ได้มาอีกเลยก็เป็นได้ ถ้าคุณประมาทปล่อยให้เวลาแต่ละวันผ่านไปเฉยๆ ผ่านไปกับเรื่องไร้สาระ ผ่านไปกับเรื่องไม่มีแก่นสาร ครั้งนี้คุณอาจจะได้เป็นมนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว !!!
    ก่อนจะสายเกินไป คุณมีเวลาทำบุญทำกุศลจริงๆทั้งชีวิตโดยไม่นับเวลานอนเพียงแค่ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน เท่านั้นเอง (หรือเพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว) โปรดใช้เวลาเท่าที่มีนี้ อย่างคุ้มค่าที่สุดนะ !!!

    ***ขอทิ้งท้ายไว้ให้คิด เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ก็จะมาเสียดายว่า ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยทำบุญไว้เลย มาคิดตอนนั้นก็สายไปแล้ว ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมในนรกจากบาปกรรมที่ตัวเองทำระหว่างตอนเป็นมนุษย์ ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาแก้ตัวบนโลกใบนี้อีก***

    ***พวกมนุษย์ที่ชอบพูดว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" น่ะ... คือคนที่กลัวว่าตนเองจะต้องไปรับกรรมในนรกจากบาปกรรมของตัวเอง จึงพยายามสรรหาคำพูดมาปลอบใจตัวเองต่างๆนาๆ ...กฏแห่งกรรมมันเป็นกฏธรรมชาติ มันให้ผลไปตามธรรมชาติ ถึงคุณจะสรรหาคำอะไรมาปลอบใจตังเองก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นหรอก..หว่านเมล็ดพันธุ์เช่นไร ก็ต้องได้ผลเช่นนั้น ปลูกมะม่วงก็ต้องได้ผลมะม่วง คุณจะมาพูดว่า "มะม่วงอยู่ในใจอย่างนั้นหรือ" เลิกโง่เขลากันซะทีเถอะ***

    ยังพอมีเวลาที่จะเริ่มเลือกและทำในสิ่งที่ดีๆที่เป็นบุญกุศลให้กับตัวเอง,กับคนรอบข้าง,กับโลกที่เราอยู่ หลวงปู่อ่อนศรีท่านให้โอวาทตอนที่ไปกราบท่านไว้ว่า "คนที่อายุมากก็คือคนที่ใกล้ตายเข้าไปทุกที อายุมากทุกอย่างมันก็แก่ ผมก็แก่ ตาก็แก่ หูก็แก่ ปากก็แก่ แก่ไปหมด มันไม่มีอะไรดีหรอก" อย่าทำให้ตัวเราแก่ลงไปอย่างไร้ประโยชน์และจุดหมาย ฝึกสร้างบุญกุศลและการภาวนาสร้างสมาธิและความสงบให้กับตัวเราบ้างทำแต่น้อยแต่ให้สม่ำเสมอแล้ววันหนึ่งที่เราต้องจากโลกนี้ไปเราก็จะได้รับผลจากสิ่งที่เราได้ทำแต่ในสิ่งที่ดีๆอย่างแน่นอน


    ขอบพระคุณเว็บพุทธวงศ์ ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลครับ

    http://www.phuttawong.net
     
  5. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    เรียน ท่านโสระ ครับ

    ผมได้ช่วยค่าส่งพระ โดยฝากผ่านเคาเตอร์เข้าบัญชี 7052403272
    จำนวน 109 บาท เวลา 12:37 ref : 123735 ครับ

    พระที่ส่งมาได้รับเรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณครับ

    โมทนาบุญ ครับ
     
  6. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    วันที่ 14/12/50
    มีโอนไปอีก 500 บาท ของหมู่คณะที่ officeค่ะ
    slipอยู่ที่นี่ค่ะ

    [​IMG]

    แล้วจะส่งรายชื่อให้พี่พันวฤทธิ์ทางpmนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2007
  7. MEA

    MEA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +660
    คุณโสระครับ
    วันนี้16/12/2550 ได้โอนเงินช่วยค่าจัดส่งวัตถุมงคลแล้ว100บาท ผ่านATM กรุงศรี
    และได้โอนเงิน200บาทร่วมทำบุญกับพระสงฆ์อาพาธ โดยโอนผ่าน ATM กรุงศีร ขอบคุณมากครับ
     
  8. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    เมื่อเช้าตื่นไปทำบุญใส่บาตรที่มูลนิธิหลวงปู่มั่นแถวซอยวัดเพลง ถนนจรัลฯ นึกถึงกระทู้ที่คุณอวิโรธนัง(ขออนุญาติครับ)
    http://palungjit.org/showthread.php?t=104141
    กล่าวถึงวัดบางบำหรุมีพระแตกกรุอายุเป็นร้อยปีของหลวงปู่แขก จึงขับรถไปดู วัดบางบำหรุอยู่หลังเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ไม่ไกลกันนักผลปรากฏว่ามีพระเหลืออยู่มากพอสมควร อาจเป็นเพราะคนยังไม่รู้ถึงคุณค่าของพระนี้ และเป็นพระที่มีพิมพ์ทรงไม่งดงามแทบดูไม่ออกว่าเป็นพระ แต่อยากกระซิบดังๆว่าดีมากๆ ทำไมผมถึงบอกดีมากๆเพราะ
    1 รายได้จากการเช่าพระได้ทำบุญบูรณะพระอุโบสถที่เก่าทรุดโทรม ได้บุญมาก ดีกว่าไปให้เสี่ย อ. ผู้สร้างพระอาชีพหากินกับพรรคพวก
    2. พระเก่าเป็นร้อยปีอธิฐานจิตโดยหลวงปู่แขกผู้เป็นอาจารย์หลวงปู่รอดวัดนายโรง สำหรับหลวงปู่รอดนี้เป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาเบี้ยแก้ให้หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เบี้ยหลวงปู่บุญแพงมากแต่พระหลวงปู่แขกราคา 599 บาท สำหรับพิมพ์เล็ก ได้ทำบุญด้วย
    3. ข้อนี้แล้วแต่ท่านใดจะเชื่อครับ ว่าพลังที่บรรจุอยู่ในพระมีทั้งด้านแคล้วคลาด คงกระพัน และเมตตามหานิยม ขึ้นสลับกันไปมา เป็นพลังหนักแน่นและว่องไวมีน้อยองค์นักที่จะวางจิตเสกวัตถุให้เป็นลักษณะนี้ได้ แสดงว่าท่านหลวงปู่แขกนี้ไม่ธรรมดาครับ
    4. พระองค์เล็กมากครับเท่าเม็ดฟักทองนำไปเลี่ยมไม่ใหญ่โตเปลืองทอง(ทองกำลังแพงจัง)เข้าข่ายเล็กดีรสโตครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2008
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หลบหายไปไม่ได้เข้าเวบ 2 วัน เนื่องจากเกิดอาการ "จิตค้าง" ในคืนวันศุกร์ เมื่อพิจารณากำหนดในรูป ตามที่ครูอาจารย์แนะนำพอถึงฐานแล้วไม่ได้ถอยอารมณ์ออก เกิดเลิกสมาธิก่อนเรียบร้อยเลย นอนไม่หลับ 2 วัน รู้ตัวตลอด ขับรถไประยองไม่มีอาการง่วงหรือเพลียให้ปรากฏกลัวร่างกายรับไม่ไหว ปรึกษาพี่ใหญ่ ท่านบอก ให้เข้าไปอย่างเดิมใหม่ หรือที่เรียกว่า "ย้อนรอย" พอเข้าที่เดิมแล้วค่อยๆ ถอย เริ่มผ่อนจิต 3 โมงเย็นวันอาทิตย์คราวนี้หละหลับเป็นตายเลย 9 ชั่วโมง เป็นข้อควรระวังจริงๆ ในการถอยจิต เลยฝากเตือนกันมา หากนั่งสมาธินานๆ แล้วเกิดอาการนอนไม่หลับที่เรียกว่า "จิตค้าง" ต้อง "ย้อนรอย" แล้วค่อยๆ ผ่อนก่อนเลิกสมาธิครับจะแก้ได้ และไม่มีโทษต่อร่างกาย แต่หากนานไป ร่างกายจะรับไม่ไหว เพราะประสาทและสายตา ยังไม่พร้อมต้องระวังจริงๆ

    พระของคุณโสระนั้น น่าสนใจจริงๆ ครับ ถ้าอยากทำบุญกับทางวัดก็ขอเชิญ แต่ถ้าไม่ พระที่แจกฟรีนี่ล่ะ สุดยอดกว่าเยอะครับ

    เรื่องการฝากชื่อบุญนั้น ขอภายในวันศุกร์นี้ที่ 21/12 ครับ เพราะคาดว่าจะนำรายชื่อไปให้ครูอาจารย์ในวันอาทิตย์ที่ 23/12 นี้ และสงวนสิทธิ์ให้ผู้ที่ทำบุญมาครับ เสร็จแล้วผมจะนำไปที่เชียงใหม่ในวันสิ้นปีเพื่อให้พระกัมมัฏฐานที่ผมเป็นประธานผ้าป่า ท่านสวดโมทนาบุญให้ทุกท่านด้วยเช่นกัน จะได้บุญกันหลายทอดครับ
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้ต้นสัปดาห์ จะขอนำเสนอธรรมะจากท่านเจ้าคุณโชดกในตอนที่ 3 ต่อครับ ธรรมะของท่านเจ้าคุณเป็นธรรมะที่สุงและเป็นอกาลิโก

    การเจริญวิปัสสนา เพื่อมีดวงตาเห็นธรรม ๓ (เจ้าคุณโชดก)
    <O:p</O:p
    แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ผู้ปฏิบัติได้บรรลุมรรค ผล นิพพานแล้ว ที่รู้ได้ ก็โดยอาจารย์ผู้ควบคุมสอบดูญาณต่างๆ ที่ผู้ปฏิบัติได้ผ่านไป ผู้ปฏิบัติทุกคนย่อมจะผ่านญาณทุกญาณ ตามที่ระบุไว้ข้างต้นเป็นลำดับ ซึ่งจะรู้ได้โดยการสอบปัญญา และอารมณ์ของผู้ปฏิบัติ เพราะในญาณแต่ละญาณย่อมมีปัญญา และอารมณ์แต่ละอย่างโดยเฉพาะนับตั้งแต่ ญาณต้น จนถึงญาณสุดท้าย เป็นดังนี้เหมือนกันทุกคน ถ้าหากว่าหลักปฏิบัติธรรมเป็นหลักที่ไม่ถูกต้องแล้ว ญาณต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น หรือถ้าเกิดขึ้นก็จะไม่เป็นไปตามลำดับ และจะไม่มีทางเหมือนกันทุกคนอย่างแน่นอน


    การที่ผู้ปฏิบัตินับร้อยๆ ได้ผ่านญาณต่างๆ ไปในลักษณะ และอารมณ์อย่างเดียวกัน ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์อยุ่ในตัวว่า หลักที่ปฏิบัตินั้นถูกต้องอย่างแน่นอน เมื่ออาจารย์ได้ทดสอบปัญญา และอารมณ์ตามวิธีที่มีอยู่จนเป็นที่แน่ใจแล้วว่า ผู้ปฏิบัติได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน แล้วก็จะให้ได้ฟังเทศน์ ลำดับญาณ ซึ่งอาจารย์จะได้อธิบายคุณลักษณะของปัญญา และอารมณ์ในญาณต่างๆ โดยละเอียด เพื่อให้ผู้ปฏิบัติตรวจสอบดุว่า ลักษณะของปัญญา และอารมณ์ที่ตนมีอยู่ในญาณนั้นๆ จะถูกต้องตรงกับที่อาจารย์อธิบายหรือไม่ ถ้าไม่ตรงกัน ก็หมายความว่า ผู้ปฏิบัติยังไม่ได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน และจะต้องกลับไปปฏิบัติใหม่ นอกจากนี้ ถ้าผู้ปฏิบัติได้บรรลุมรรค ผล นิพพานแล้ว ผู้ปฏิบัติจะมีคุณธรรมพิเศษหลายประการ ดังจะได้กล่าวต่อไป ซึ่งเมื่อขาดแม้แต่ประการใดประการหนึ่งแล้ว ก็หมายถึงว่า ผู้ปฏิบัติยังหาได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ไม่ ทั้งนี้ ผู้ปฏิบัติตจะต้องเป็นผู้พิจารณาตัวของตัวเอง เพราะเป็นเรื่องแสวงหาคุณธรรม เพื่อตัวเองโดยเฉพาะเมื่อมีข้อพิสูจน์อยู่เช่นนี้ การที่จะรู้ว่าบรรลุมรรค ผล นิพพาน หรือไม่ จึงไม่เป็นของยาก** โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับตัวผู้ปฏิบัติเอง และผู้ที่สงสัยในวิธีการปฏิบัติ สามารถจะพิสูจน์ได้ว่า ความจริงมีอยู่อย่างไร โดยเข้ามาปฏิบัติด้วยตนเอง




    ** หมายเหตุ: พระอาจารย์ผุ้สอบอารมณ์ จะใช้ตาที่สาม ตรวจผู้ปฏบัติก่อนเรียกเข้าฟังเทศน์ลำดับญาณ การผิดพลาดในการเรียกผู้ไม่สำเร็จไปฟังเทศน์ลำดับญาณ จึงไม่เกิดขึ้นได้ : เทคเคน ผู้พิมพ์<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 1.5pt" cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #d4d0c8; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #d4d0c8; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BORDER-LEFT: #d4d0c8; WIDTH: 50%; PADDING-TOP: 0.75pt; BORDER-BOTTOM: #d4d0c8; BACKGROUND-COLOR: transparent" width="50%">Last Update : 21 กรกฎาคม 2550 19:05:28 น.<O:p</O:p

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <O:p
    <O:phttp://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=taken&month=07-2007&date=21&group=1&gblog=6</O:p>
    <O:p</O:p
     
  11. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    รายชื่อที่จัดส่งแล้ว
    1. mea

    2. thanyaka
    3. Choke mu-7
    4. asies 2497
    5. noom_bua
    6. newcomer
    7. เพชร
    8. พุทธันดร
    9. กุ้งมังกอน
    10.ตั้งจิต
    11.นว

    ท่านใดได้รับพระแล้วมีชำรุดหรือยังไม่ได้รับตามรายชื่อด้านบนแจ้งมาที่ผมได้ครับไว้จะจัดส่งให้ใหม่<!-- / message --><!-- sig -->
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ดูประวัติท่านให้ชัดๆ ยังไงก็ไปช่วยท่านสร้างวัดแล้ว ได้ของดีไว้ใช้ด้วย คณะทำงานขอสนับสนุนครับ




    [​IMG]
    [​IMG]
    <TABLE width="90%"><TBODY><TR><TD class=smalltext>ประวัติหลวงปู่แขก <?xml:namespace prefix = o /><o:p></o:p>
    หลวงปู่แขก (มรณภาพประมาณปี พ.ศ. 2466 ) เป็นอดีตเจ้าอาวาส
    รุ่นที่ ๒ ต่อจากสมภารพราหมณ์(หรือพรหม)วัดบางบำหรุ
    กรุงเทพมหานคร วัดบางบำหรุเป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ตำบลบางบำหรุ
    เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ด้านฝั่งธนบุรี (อยู่หลังเซ็นทรัล
    ปิ่นเกล้า) วัดนี้มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายเคยมีการขุดพบ
    พระเครื่องจากเจดีย์ใกล้วิหารเก่าเป็นพระเครื่องเนื้อดินเผาศิลปะ
    สมัยอยุธยาตอนปลายทั้งสิ้น บริเวณวัดอยู่ต่อกับวัดสุวรรณคีรี
    (วัดขี้เหล็ก) และใกล้วัดนายโรง เกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่แขก
    นั้นจากคำบอกเล่าของพระครูธรรมวิจารณ์ (ชุ่ม) อดีตเจ้าอาวาส <o:p></o:p>
    วัดศรีสุดาราม (วัดชีปะขาว) เขตบางกอกน้อย ซึ่งเล่าไว้เมื่อปี พ.ศ. 2517 ขณะท่าน
    อายุ 97 ปี พรรษา 71 ว่า หลวงปู่รอด วัดนายโรง (ปรมาจารย์ทางเบี้ยแก้อัน
    โด่งดัง) ได้เล่าให้ท่านฟังว่า หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ เป็นพระที่มาจาก
    นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม และหลวงปู่รอดได้ศึกษาวิชาเบี้ยแก้จาก
    หลวงปู่แขกซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบางบำหรุ ขณะที่หลวงปู่แขก<o:p></o:p>
    มาอยู่ที่วัดบางบำหรุนั้น ท่านเป็นพระมาแล้วโดยได้ธุดงค์มาจากนครชัยศรี
    พื้นเพหลวงปู่แขกเป็นชาวอยุธยาเป็นสหายกับพระปลัดปาน วัดตุ๊กตา (พระอุปัชฌาย์
    ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว) และพระปลัดทอง วัดกลางบางแก้ว
    (วัดคงคาราม) จังหวัดนครปฐม (พระกรรมวาจาจารย์และพระอาจารย์
    ซึ่งสอนวิชาการต่างๆ และวิชาอาคมให้หลวงปู่บุญ) ส่วนหลวงปู่แขกจะมาธุดงค์
    มาจากวัดตุ๊กตา หรือวัดกลางบางแก้วนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด พระปลัดปาน พระปลัดทอง
    และหลวงปู่แขกนั้นเป็นสหายกันหรืออาจเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน (ข้อมูลจาก
    หนังสือประวัติหลวงปู่บุญ เล่ม ๑ พิมพ์เมื่อปี 2528
    เขียนโดย สุธน ศรีหิรัญ) <o:p></o:p>
    เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2550 ทางวัดบางบำหรุได้มีการปรับพื้นที่เพื่อจะจัดงาน
    เจริญพระพุทธมนต์ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2550 ถวายเป็นพระราชกุศล
    แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา
    ขณะปรับพื้นที่ได้รื้อฐานเจดีย์เก่าแก่ที่หักมานานแล้วออกพบช่องสี่เหลี่ยม
    มีช่องที่ฐานเจดีย์พบพระเครื่องขนาดเล็กคลุกอยู่กับดินในช่องสี่เหลี่ยม
    ดังกล่าวเมื่อนำพระออกจากกรุทั้งหมดได้พระจำนวนมากแต่ส่วนใหญ่ชำรุด
    แตกหักคงเหลือสภาพดีประมาณ 1,000 กว่าองค์ ตามหลักฐานของเจดีย์
    ปรากฏว่าเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นในสมัยหลวงปู่แขก พระเครื่องนี้มีลักษณะ
    เป็นพิมพ์ตุ๊กตาขนาดเล็ก (พิมพ์คล้ายพระวัดพลับ) ซึ่งหลวงปู่แขกสร้าง
    บรรจุไว้ก่อนปี พ.ศ. 2466 พระเครื่องที่พบมี 3 พิมพ์คือ เล็ก กลาง ใหญ่
    แต่พิมพ์กลางมีน้อยมาก เนื้อที่พบส่วนใหญ่จะเป็นสีดำ ส่วนที่เป็นเนื้อ
    สีแดงมีจำนวนน้อย วัดบางบำหรุจึงนำออกทำบุญเฉพาะเนื้อสีดำ พิมพ์ใหญ่
    ประมาณ 800 กว่าองค์ บุชาองค์ละ 999 บาท พิมพ์เล็กประมาณ 800 กว่าองค์
    เช่นกัน บูชาองค์ละ 599 บาท วัตถุประสงค์ที่เปิดให้บูชาเพื่อรวบรวม
    จตุปัจจัยบูรณะปฏิสังขรณ์อุโบสถวัดบางบำหรุ
    บูชาได้ที่วัดบางบำหรุ หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดกับวัดบางบำหรุ
    ได้ที่เบอร์โทร. 02 4244486 และ 081 9811319
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    http://www.uamulet.com/newsBoardDetail.asp?qid=23581
     
  13. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2008
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อตอนเย็นได้รายงานงานบุญนี้ให้รองประธานที่ปรึกษาคณะทำงานได้ฟังถึงความคืบหน้าในกระทู้นี้ พร้อมกับสนทนาถึงพระของหลวงปู่แขกวัดบางบำหรุ ก็ได้รับความรู้มาว่า ท่านเป็นอาจารย์สมัยโบราณที่เก่งมากๆ องค์หนึ่งทีเดียว เพราะท่านยังเป็นอาจารย์ของท่านหลวงปู่บุญ ผู้ซึ่งสั่งให้กบไสไม้ได้โดยไม่ต้องใช้คนไส ซึ่งนับว่าเป็นพลังจิตขั้นอภิอภิญญาล้วนๆ ดังนั้น ระดับอาจารย์ย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน เสร็จแล้วก็เลยไพล่มาถึง พระพิมพ์ที่แจกฟรี ว่าสู้กับของท่านไหวมั๊ย เสียงหัวเราะมาตามสาย ลองใช้เดี๋ยวก็รู้เอง ของงี้บอกตรงๆ ไม่ได้ แต่รับรองไม่อายใคร เสร็จแล้วท่านลืมบอกไปว่า ลืมบอกแต่แรกว่า ใครอยากทำบุญให้รวยต้องทำยังงี้ เฮอะ ทำยังไงครับ


    เอาใหม่ ใครที่จะทำบุญให้ได้บุญเยอะๆ ในกระทู้นี้ อธิษฐานเลย เดือนนี้คาดว่าจะทำกี่บาท ตั้งเป็นสัจจะเอาไว้เลย แลกเหรียญ 5 บาท หรือ 10 บาท เอาไว้ตามนั้น

    เช้าขึ้นมาก่อนไปทำงาน นำเหรียญ 5 หรือ เหรียญ 10 ยกขึ้นมาอธิษฐาน ว่าข้าพเจ้าขอนำเงินที่ได้มาเหนื่อยยากนี้ ตั้งใจไว้ทำบุญกับ รพ.สงฆ์ เพื่อซื้อข้าวปลาอาหาร ถวายพระ พร้อมทั้งบริจาครักษาอาการอาพาธของพระสงฆ์ แล้วสวดต่อด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. drmetta

    drmetta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +752
    ผมยังไม่ได้พระเลย หรือลืมกันไปแล้ว
     
  16. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    คุณdrmettaส่งข้อความส่วนตัวมาที่ผม บอกที่อยู่ในการจัดส่งได้เลยครับ อาทิตย์หน้าจะทำการส่งพระให้ทุกท่านที่ขอมา
    ท่านอื่นต้องการกรุณาส่งที่อยู่มาให้ผมทางข้อความส่วนตัวครับ
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=5 width="90%" align=center bgColor=#efffef border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]

    .
    เมืองนาลันทา ภายในมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทาเดิม
    หลวงพ่อดำ พระพุทธรูปที่เหลือรอดจากการเผาลาย

    [๔๑๑] สา. ธรรม ๕ อย่างที่มีอุปการะมากเป็นไฉน?
    -สา. คือองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร ๕ คือ เป็นผู้เชื่อพระปัญญาของพระตถาคต ๑ เป็นผู้มีอาพาธน้อย ๑ เป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมายา ๑ เป็นผู้ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม ๑ เป็นผู้มีมีปัญญา ๑

    [๔๑๒] สา. ธรรม ๕ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน?
    -สา. คือ สัมมาสมาธิอันประกอบด้วยองค์ ๕ ได้แก่ ปีติแผ่ไป ๑ สุขแผ่ไป ๑ การกำหนดใจผู้อื่นแผ่ไป ๑ แสงสว่างแผ่ไป ๑ ( ทิพยจักษุ ชื่อว่า แสงสว่างแผ่ไป ) นิมิตเป็นเครื่องพิจารณา ๑ ( ญาณเป็นเครื่องพิจารณา ของท่านผู้ออกจากสมาธินั้นๆ ชื่อว่า นิมิตเป็นเครื่องพิจารณา - อรรถกถา เล่ม ๑๖ หน้า ๔๖๖ )

    [๔๑๓] สา. ธรรม ๕ อย่างที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน?
    -สา. คืออุปาทานขันธ์ ๕

    [๔๑๔] สา. ธรรม ๕ อย่างที่ควรละเป็นไฉน?
    -สา. คือนิวรณ์ ๕

    [๔๑๕] สา. ธรรม ๕ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อมเป็นไฉน?
    -สา. คือเจโตขีลธรรม ๕ สงสัยในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในความศึกษา เป็นผู้โกรธในเพื่อนพรหมจรรย์ ( เจโต = จิต, ใจ + ขิล = กระด้าง, ดื้อ )

    [๔๑๖] สา. ธรรม ๕ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างวิเศษเป็นไฉน?
    -สา. คืออินทรีย์ ๕

    [๔๑๗] สา. ธรรม ๕ อย่างที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน?
    -สา. คือธาตุเป็นที่ตั้งแห่งความถ่ายถอน เมื่อเธอกระทำไว้ในใจซึ่ง ๑. เนกขัมมะ ๒. ความไม่พยาบาท ๓. ความไม่เบียดเบียน ๔. อรูป ๕. ความดับกายของตน จิตย่อมแล่นไป น้อมไปในเนกเขมมะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2007
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ธรรมะจากครูอาจารย์สายกัมมัฏฐาน
    <BIG><BIG>ท่านพ่อลี ธัมมธโร</BIG></BIG>
    วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ
    </TD></TR><TR><TD>คนบางคนที่มีปัญญาฉลาดหลักแหลม สามารถจะอธิบายข้ออรรถข้อธรรมได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่กิเลสเพียงหยาบๆ อันเป็นคู่ปรับแห่งศีล แค่นี้ยังละกันไม่ค่อยจะออก เป็นเพราะขาดความสมบูรณ์ แห่งศีล สมาธิ ปัญญากระมัง จึงได้เป็นอย่างนี้ ศีลก็คงเป็นศีลอย่างเปลือกๆ ปัญญาก็คงเป็นปัญญาอย่างเลอะเลือน เคลือบเอาเสมอเหมือนดวงกระจกทาด้วยปรอท ฉะนั้นจึงไม่สามรถเป็นเหตุให้สำเร็จด้วยความมุ่งหวังของพุทธบริษัทได้ ตกอยู่ในลักษณะมีดที่คมอยู่นอกฝัก คือฉลาดในเชิงพูด เชิงคิด แต่ดวงจิตไม่มีสมาธิ นี้เรียกว่า คมนอกฝัก.
    </TD></TR>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2007
  19. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ความสำคัญของสี

    ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคิดแบบอย่างธงชาติไทยขึ้นใหม่
    ได้ทรงคำนึงถึงสีว่าสมควรให้มีลักษณะเป็นแบบสากลและให้ได้ความหมายที่ดีด้วย
    จึงทรงเลือกสีแดง ขาว และสีน้ำเงินมาสลับกันเป็น ๕ ริ้ว พระราชทานนามว่า
     
  20. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    สีของเครื่องแต่งกายในการทำศึกสงคราม

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    ในการทำศึกสงครามก็ถือว่าสีของเครื่องแต่งกายค่อนข้างสำคัญ เพราะทำให้ข้าศึกเกรงขามและมีชัยชนะดัง
    สุนทรภู่กวีเอกของไทยกล่าวไว้ในตำราสวัสดิรักษา

    คำกลอนดังนี้ :




     

แชร์หน้านี้

Loading...