ขอลาอุปสมบทเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ในห้อง 'งานบวช' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 26 พฤศจิกายน 2007.

  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    มารายงานตัวว่า ลาสิกขาจากความเป็นพระมาเรียบร้อยแล้วครับ


    ได้รับ PM จากพี่ติ๊ก ให้เล่าประสบการณ์ตอนบวชให้อ่านกันบ้าง ซึ่งก็ตรงกับที่ตั้งใจไว้เหมือนกันว่า กลับมาแล้วจะเขียนเล่าประสบการณ์การบวชธุดงค์ที่วัดท่าซุงให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน เผื่อว่าปีต่อๆ ไป ท่านใดมีโอกาสมีจิตศรัทธาไปบวชจะได้นำส่วนที่ดีที่ผมได้ปฏิบัติมานำไปเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป ส่วนที่ไม่ดีก็ขออย่าได้จดจำนำไปใช้นะครับ


    สำหรับท่านที่ประสงค์จะอุปสมบทในโครงการบวชธุดงค์ที่วัดท่าซุง ทางวัดกำหนดให้ผู้ที่ต้องการอุปสมบทจะต้องผ่านการทดสอบมโนมยิทธิ จำนวน 3 ครั้ง คือ ขั้นต้น ฝึกท่องเที่ยว และญาณ 8 เสียก่อนจึงจะรับเข้าอุปสมบทได้ หากเคยผ่านการอุปสมบทที่วัดท่าซุงมาแล้ว ก็จะได้รับยกเว้นไม่ต้องทดสอบมโนมยิทธิในขั้นต้น แต่ยังคงต้องทดสอบขั้นท่องเที่ยวและญาณ 8 เหมือนเดิม


    ขอเริ่มจากวันแรกที่เดินทางไปรายงานตัว ณ วัดท่าซุง เลยละกัน


    วันเสาร์ที่ 1 ธ.ค. 2550 เวลาประมาณ 08.00 น. ผม พร้อมด้วยแม่ที่เป็นแม่ชี และน้องสมาชิกกลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ คือ khunkik ได้ออกเดินทางจาก กทม. มุ่งสู่วัดท่าซุง


    แม่ชีและ Khunkik พร้อมด้วย Queenie (ซึ่งตามไปสมทบภายหลัง) ตั้งใจไปบวชธุดงค์แบบชีพราหมณ์ในครั้งนี้ด้วย


    เดินทางถึงจังหวัดอุทัยธานีเมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. แวะรับคุณคลิก (สมาชิกกลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ) ที่บ้านแล้วมุ่งสู่วิหาร 100 เมตร เพื่อไปฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังกันก่อน


    ต้องแอบกระซิบว่า อันนี้เป็นแผนการที่วางไว้ ด้วยต้องการพาแม่ชีซึ่งปฏิบัติในสายของพระอริยเจ้าองค์หนึ่งในแบบสุขวิปัสโก ให้ได้มีโอกาสมาฝึกมโนมยิทธิและได้มีโอกาสสัมผัสพระนิพพาน จะได้มีจิตมุ่งตรงสู่พระนิพพานในชาตินี้เลย ไม่ต้องมัวแต่รอไปชาติหน้า และแล้วแผนการของเราก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี


    หลังจากฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังเสร็จ ตอนเย็นก็ไปรายงานตัวกับหลวงพี่ชัยวัฒน์ที่ศาลาพระพินิจฯ เนื่องจากปีนี้มีผู้สมัครอุปสมบทเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงถึง 167 คน (เดิมต้องการรับสมัคร 199 คน แต่เกิดการผิดพลาดในขั้นตอนการลงทะเบียนทำให้เข้าใจว่ามีคนสมัครครบแล้ว ทางวัดจึงปิดรับสมัคร แต่เมื่อตรวจสอบรายชื่ออีกครั้ง ก็พบว่า มีรายชื่อกระโดดจากลำดับที่ไปถึงกว่า 30 คน) ทางวัดจึงได้จัดให้มีพิธีอุปสมบท 2 โบสถ์ โดยส่วนหนึ่งจะอุปสมบทที่วัดท่าซุง และอีกส่วนหนึ่งไปทำพิธีอุปสมบทที่วัดยาง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน โดยใช้พระคู่สวดและพระอันดับจากวัดท่าซุง ผมได้อยู่ในกลุ่มของผู้ที่ต้องไปอุปสมบทที่วัดยาง และถูกจัดให้อยู่กลุ่มเดียวกับนาคอีก 2 ท่าน


    ในวันแรกนี้ ได้มีการซ้อมกราบ ซ้อมบรรพชาสามเณรหมู่ และซ้อมอุปสมบท (ขานนาค) พอหอมปากหอมคอ นาคหลายคนเคยบวชที่นี่มาหลายครั้งแล้ว จึงมีความสนิทสนมกันพอเจอหน้ากันก็อดพูดคุยกันเสียงดังไม่ได้ เลยทำให้หลวงพี่ชัยวัฒน์ถึงกับต้องดุและห้ามไม่ให้ส่งเสียงดังเป็นระยะๆ


    เมื่อซ้อมเสร็จก็ทยอยเดินไปสู่ที่พัก ซึ่งทางวัดจัดให้พักบนศาลา 4 ไร่ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ตามลำดับที่เข้าอุปสมบท

    วันที่ 2 - 3 ธ.ค. 2550 ยังคงซ้อมและเตรียมตัวอุปสมบทกันเหมือนเดิม ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางและเป็นระเบียบดูพร้อมเพรียงกันมากขึ้น แต่ผมยังท่องบทขานนาคบางบทได้ไม่คล่องเท่าที่ควร ยังคงต้องถือโฉนดตอนซ้อมอยู่ตลอดเวลา อันนี้ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี คือ หลวงพี่ชัยวัฒน์ท่านให้บทสวดขานนาคมาซ้อมตั้งแต่สอบผ่านมโนมยิทธิแล้ว แต่ผมไม่ได้นำมาซ้อมเลยจนกระทั่งมาถึงวัดจึงได้นำออกมาซ้อม ด้วยความที่เคยบวชมาแล้วจึงประมาทคิดว่า ท่องแป๊บเดียวก็จำได้ แต่พอเอาเข้าจริง มันไม่แป๊บเดียวแล้วสิ ชักหลายแป๊บเข้าไปแล้ว....

    ตอนเย็นวันที่ 3 ธ.ค. 2550 เริ่มโกนศรีษะ พอโกนแล้วรู้สึกเบาๆ เย็นๆ ดีจัง..


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2007
  2. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่แรกๆ แล้วว่า บวชคราวนี้ตั้งใจจะไปเอาดีให้ได้มากที่สุด และจะพยายามระมัดระวังกาย วาจา ใจ ไม่ให้คิด พูด และทำ ในสิ่งที่ไม่ดีให้น้อยที่สุด เพื่อจะได้ไม่พลาดลงสู่อบายภูมิเหมือนครั้งก่อนที่เคยบวชมา ซึ่งเป็นการบวชตามประเพณีที่ว่า ชายไทยเมื่ออายุครบถึงเกณฑ์บวชก็ต้องบวช แต่บวชแล้วขาดทุนพลาดท่าเสียทีลงนรกไป เพราะไม่รู้อะไรเป็นอะไร พระธรรมวินัยและหลักในการประพฤติปฏิบัติของสงฆ์มีอย่างไร สักแต่ว่า ได้บวชเท่านั้นเอง อย่างนี้ไม่คุ้มเลย

    การบวชคราวนี้ จึงต้องเตรียมกาย วาจา ใจ และศึกษาพระวินัยและการประพฤติปฏิบัติของสงฆ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    ผมเริ่มจากการหา CD โทษละเมิดพระวินัย ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ท่านได้บรรยายสอนเอาไว้มาเปิดฟัง และหาหนังสือ "ศีลของพระ" ที่เรียบเรียงจากคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน โดยท่าน "จิตโต" หรือหลวงพี่สมปองมาอ่าน เพื่อจะได้รู้ว่า ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติของสงฆ์มีอะไรบ้าง อะไรที่ทำแล้วเป็นอาบัติร้ายแรงที่แก้ไขไม่ได้ อาบัติอะไรพอจะบรรเทาความผิดได้

    หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านสอนไว้ว่า อาบัติทุกชนิดไม่ควรให้มี เพราะถ้ามีแล้วก็ถือว่าได้กระทำผิดและมีผลคืออบายภูมิ การปลงอาบัติไม่ได้หมายความว่าจะรอดพ้นจากความผิด ความผิดเกิดขึ้นแล้วก็ต้องรับโทษตามกรรมที่ทำ การปลงอาบัติเป็นแต่เพียงบอกความผิดของตนให้หมู่สงฆ์ทราบ และประกาศว่าตนจะไม่ทำความผิดนั้นซ้ำอีก ไม่ใช่ปลงอาบัติแล้วทำให้อาบัตินั้นหมดไป อันนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของสงฆ์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน

    ด้วยความที่กลัวว่า ตนเองจะพลาดทำสิ่งที่เป็นอาบัติเข้า จึงต้องระมัดระวังและสำรวมกาย วาจา ใจ ตลอดเวลา

    ก่อนจะเดินทางไปบวช คุณ kananun สมาชิกกลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ ได้โทรศัพท์มาบอกว่า "พระ" ท่านสั่งมาให้ผมไปอ่านประสบการณ์การบวชธุดงค์และการวางอารมณ์ใจในระหว่างบวช เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ


    ผมจึงไป print ออกมาและนำติดตัวไปอ่านและปฏิบัติตามในระหว่างบวช นับว่าเป็นตัวอย่างและเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ดีมาก ผมจึงพยายามทำตามให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ตั้งแต่วันที่เข้าไปอยู่ที่วัดท่าซุงจึงพยายามทรงสมาธิจับภาพพระและภาวนาคาถาบารมี 30 ทัศ ไว้ในใจตลอด ตามที่หลวงพ่อท่านบอกว่า "พระ" ท่านสอนไว้ว่า วิธี ธุดงค์ เขาปฏิบัติตามนี้

    1. เอาจิตจับที่ศูนย์ ตั้ง "อานาปานุสสติ" ไว้ตลอดตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกว่าจะหลับ คือว่า เผลอไม่ได้เลย ถ้าเผลอเมื่อไหร่ "นิวรณ์" เข้า ตัวนี้กั้นนิวรณ์ ไม่ใช่เฉพาะไปนั่งสมาธิ ต้องฝึกแม้แต่ทำงาน ไม่ใช่ธุดงค์ทำอะไรไม่ได้ ธุดงค์ต้องทำงานได้ทุกอย่าง

    2. นึกถึงบารมี 10 ตั้งใจปฏิบัติให้ครบถ้วน เวลาที่จะภาวนาคู่กับลม ให้ใช้คาถาบารมี 30 ทัศ หรือว่า "พุทโธ" ก็ได้ แต่ผลที่จะได้ต่างกัน ถ้าภาวนา "บารมี 30 ทัศ" ได้คล่องจิตจะแจ่มใสมาก มารต่างๆ จะไม่มารบกวน สัตว์ในป่าจะเป็นมิตร ป้องกันอันตรายได้

    3. .....................



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2007
  3. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    เช้ามืดวันอังคารที่ 4 ธ.ค. 2550 บรรดานาคทั้งหลายพร้อมด้วยบิดามารดาต่างกระวีกระวาดลุกขึ้นมาแต่เช้ามืด อาบน้ำอาบท่า แต่งตัวเตรียมพร้อมเข้าสู่พิธีบรรพชาและอุปสมบท หลังจากรับประทานข้าวต้มที่ร้านป้าจำเนียรนำมาเลี้ยงฟรีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างก็ทยอยเดินไปยังศาลาพระพินิจฯ


    06.00 น. เริ่มพิธีขอขมาบิดา มารดา ขณะเริ่มพิธี หลวงพี่ชัยวัฒน์ได้บอกให้นาคทั้งหลายอัญเชิญท่านผู้ที่เคยเป็นบิดา มารดา มาในกาลก่อน ทั้งท่านที่อยู่บนพระนิพพาน พรหม สวรรค์ ทั้งหลาย มารับคำขอขมาและร่วมโมทนาบุญในการบวชครั้งนี้


    ผมก็ได้อธิษฐานขออัญเชิญตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่เคยเป็นบิดา มารดา ตลอดจน ท่านที่อยู่บนพระนิพพาน พรหม และสวรรค์ทุกชั้น มาร่วมรับคำขอขมาและร่วมโมทนาบุญกับผมในครั้งนี้


    เมื่ออธิษฐานเสร็จ ก็บอกกับแม่ชีซึ่งเป็นมารดาในชาติปัจจุบันว่า ขอให้ท่านเป็นตัวแทนของบิดา มารดา ทั้งหมดทุกภพภูมิ แม่ชีก็ทำหน้า งง ๆ แต่ก็ปฏิบัติตามโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา


    ในระหว่างที่หลวงพี่ชัยวัฒน์กล่าวนำขอขมา พลันสายตาของผมก็เห็นภาพที่ประทับใจที่สุด ที่ไม่อาจจะลืมได้เลยในชาตินี้ ผมได้เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาหลายพระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ห้อมล้อมไปด้วย ท่านทั้งหลายที่อยู่บนพระนิพพาน มีหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด และพรหม เทพเทวา ทั้งหลาย ประทับลอยอยู่ในอากาศด้านหน้าบริเวณที่ตั้งเก้าอี้ของหลวงพี่ชัยวัฒน์


    การมองเห็นครั้งนี้ เป็นการมองเห็นด้วยตาเนื้อ ไม่ได้หลับตาแต่อย่างใด ภาพที่เห็นเป็นภาพที่ชัดเจนแจ่มใส ผมรู้สึกปิติและปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด เมื่อกล่าวคำขอขมาเสร็จก็ได้ก้มลงกราบ 3 ครั้ง หลังจากนั้น บรรดานาคทั้งหลายก็เดินออกไปตั้งแถวเพื่อทำการแห่นาครอบพระอุโบสถ 3 รอบ โดยมีวงโยธวาทิตของนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา เดินนำขบวน


    ในระหว่างที่เดินทักษิณาวัตรรอบพระอุโบสถ 3 รอบ นี้เอง ความปลื้มปิติก็บังเกิดขึ้นกับผมเป็นวาระที่ 2 เพราะพอเดินไปถึงบริเวณท้ายพระอุโบสถคราใด สายตาของผมก็จะพบสมเด็จองค์ปฐม พร้อมด้วยพระพุทธเจ้า และเหล่าพรหม เทพ เทวา รวมทั้งหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ประทับลอยอยู่กลางอากาศ ทุกพระองค์ล้วนมีพระพักตร์แจ่มใส เหล่าเทวดา นางฟ้า ต่างโปรยปรายดอกไม้ให้แก่บรรดานาคทุกคน โดยเฉพาะหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ผมเห็นท่านยืนถือไม้เท้าแล้วยิ้มน้อยๆ ด้วยความสุขใจ คงเป็นเพราะได้เห็นบรรดาลูกๆ ของท่านที่ได้สร้างกุศลอันยิ่งใหญ่


    เห็นภาพนี้แล้วผมอดที่จะปิติและปลาบปลื้มใจจนน้ำตาไหลไม่ได้ เดินไปก็สุขใจและน้ำตาไหลไป เดินมาถึงท้ายพระอุโบสถครั้งใดก็จะเห็นภาพนี้ทุกรอบทุกครั้งไป และผมก็จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลไม่ได้ มันเป็นน้ำตาของความปลื้มปิติจริงๆ ที่เห็นทุกๆ ท่านเสด็จมาโมทนาบุญกับพวกเรา ขณะที่พิมพ์อยู่นี้ก็อดที่จะมีน้ำตารื้นๆ ขึ้นมาไม่ได้


    ผมมาทบทวนดูแล้ว นี่คงเป็นอานิสงส์ที่เกิดจากการภาวนาบารมี 30 ทัศ และด้วยพระบารมีของพระพุทธเจ้าท่าน จึงทำให้ผมสามารถเห็นภาพต่างๆ ได้อย่างชัดเจนแจ่มใสด้วยตาเนื้อ


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2007
  4. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    ขออภัยนะคะ ภาพประกอบจะตามมาภายหลังค่ะ วันนี้งานยุ่งจริงๆ ค่ะ สาธุ
     
  5. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    เมื่อการแห่นาครอบพระอุโบสถเสร็จสิ้นลง นาคก็แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกทำพิธีบรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดท่าซุง กลุ่มที่สองไปทำพิธีบรรพชาและอุปสมบทที่วัดยาง ตลอดเส้นทางมีแต่ผู้คนคอยโมทนาบุญกันเป็นแถว เห็นแล้วปลาบปลื้มใจจริงๆ


    เมื่อไปถึงวัดยาง นาคกลุ่มที่สองก็ตรงเข้าไปทำพิธีบรรพชาเป็นสามเณรหมู่ทันที ขั้นตอนนี้ไม่ยุ่งยากและไม่ใช้เวลานานก็เปลี่ยนเพศจากนาคไปเป็นสามเณร หลังจากนั้นก็กลับไปที่วัดท่าซุงเพื่อรอเวลาอุปสมบทต่อไป


    ช่วง 11 โมง ซึ่งเป็นเวลาฉันเพลมื้อแรกของเพศที่ไม่ใช่ฆราวาส ก็รู้สึกเกร็งๆ เหมือนกัน กลัวว่าจะลืมพิจารณาอาหารเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา เพราะเมื่อคราวบวชครั้งแรก ทำบ้างไม่ทำบ้าง หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านบอกไว้ว่า พระที่ฉันอาหารโดยไม่พิจารณาอาหารเสียก่อน สู้กินก้อนถ่านที่ติดไฟลุกแดงๆ ยังดีเสียกว่าลงไปสู่อบายภูมิ เพราะที่นั่นจะได้รับโทษหนักกว่าเป็นหลายเท่า


    แม้จะเป็นเพียงสามเณร แต่เพื่อความไม่ประมาทก่อนฉันก็ควรพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาเสียก่อน เพื่อความปลอดภัยของตนเอง และแล้วอาหารมื้อเที่ยงมื้อแรกของการเป็นสามเณรก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อย


    ครั้นถึงเวลาเที่ยงครึ่ง ก็ได้เวลาที่นาคกลุ่มของผมจะต้องเข้าทำพิธีอุปสมบท จึงเดินทางกลับไปยังวัดยางอีกครั้งหนึ่ง กว่าจะทำพิธีอุปสมบทเสร็จก็ประมาณ 4 โมงเย็น เนื่องจากมีนาคหลายชุดที่ต้องเข้าทำพิธีให้เสร็จในคราวเดียวกัน


    พอเปลี่ยนเพศจากสามเณรมาเป็นพระสงฆ์ ก็ต้องเพิ่มอาการสำรวมให้มากขึ้น เมื่อก้าวออกมาจากโบสถ์ก็พบว่า มีญาติโยมมารอทำบุญกับพระใหม่มากมาย พอเดินรับปัจจัยมาได้สักระยะหนึ่ง น้องๆ ก็เข้ามานิมนต์ให้ไปรับน้ำดื่มจากโยมแม่ชี ซึ่งเตรียมโค้กเย็นๆ ไว้รอถวาย แหม...ของชอบนะเนี่ย


    กลับถึงวัดท่าซุง มีพระนวกะด้วยกันทักเตือนว่าให้ระวังจะอาบัติ (อาบัติเพราะยืนดื่มน้ำ) เราก็หันไปตอบว่า ทราบแล้วและระวังอยู่ หลวงพี่เอกชัย (พระพี่เลี้ยง) ถามว่าใครถวาย บอกว่า โยมแม่ถวาย ท่านบอกว่า โยมแม่นี่ช่างรู้ใจเสียจริง


    หลวงพี่เอกชัยได้สอนให้พระนวกะ ทำการอธิษฐานครองผ้า 3 ผืน และพินทุผ้า หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันเอาของไปเก็บที่ห้องพัก แล้วกลับมารอฟังอนุศาสน์จากพระอุปัชฌาย์ตอน 2 ทุ่ม


    เมื่อฟังพระอุปัชฌาย์กล่าวอนุศาสน์จบแล้ว พระนวกะทั้งหมดก็ทำพิธีอุทิศถวายพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นก็เดินกลับที่พัก ระหว่างทางมีญาติโยมมารอใส่ปัจจัยในย่ามของพระนวกะเป็นทิวแถวยาวไปจนถึงหน้าประตูโบสถ์


    คืนแรกของการบวชเป็นพระสงฆ์ยังคงจำวัดอยู่ที่ศาลา 4 ไร่ ยังไม่ไปอยู่ในป่า


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2007
  6. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    วันที่ 5 ธ.ค. 2550 เช้าวันนี้พระภิกษุทุกรูปยังไม่ออกบิณฑบาต แต่ไปฉันภัตตาหารเช้าที่ศาลา 12 ไร่ หลังจากนั้นก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า

    หลังจากทำวัตรเช้าเสร็จแล้ว พระนวกะทุกรูปก็ไปจัดเตรียมเครื่องอัฐบริขารเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปปักกลด กางเต้นท์ ในป่าไผ่ ซึ่งเป็นบริเวณสถานที่ที่ใช้ปฏิบัติธุดงค์และอยู่ห่างออกไปจากด้านหลังวัดประมาณ 2 - 3 กิโลเมตร

    นอกจากพระนวกะที่มาบวชเพื่ออุทิศถวายกุศลแด่ในหลวงแล้ว ก็ยังมีพระอาคันตุกะหรือพระจากวัดต่างๆ มาร่วมอยู่ธุดงค์ด้วย จำนวนประมาณ 200 กว่ารูป รวมกับพระนวกะ 167 รูป แล้วก็มีพระจำนวนรวมประมาณ 400 รูป แบ่งกลุ่มธุดงค์ออกเป็น 4 กลุ่ม โดยมีพระอาคันตุกะกับพระนวกะผสมกัน กลุ่มของผมคือ ตัวผมและเพื่อนพระนวกะอีก 2 รูป อยู่กลุ่มที่ 3 มีหลวงพี่ประทีปเป็นพระพี่เลี้ยง

    พระแต่ละรูปต่างก็สะพายเครื่องอัฐบริขารพร้อมบาตรและกลด (บางรูปก็ใช้เต้นท์) กันอีลุงตุงนัง ที่น่ายกย่องและนับถือกำลังใจของท่านก็คือ พระเถระบางรูปที่อายุเกินกว่า 60 ปี ท่านยังมาร่วมธุดงค์ด้วย นอกจากนี้ ก็ยังมีสามเณรน้อยอายุประมาณ 10 กว่าปี มาร่วมธุดงค์ด้วยเช่นกัน ต่างก็ถือข้าวของเครื่องใช้ในการธุดงค์กันเต็มไม้เต็มมือ บ้างก็เอาข้าวของเครื่องใช้ใส่ถุงเป้สะพายหลัง บ้างก็จัดใส่ในห่อเสื่อที่ม้วนๆ แล้วมัดหัวมัดท้ายโยงเชือกผูกตรงกลางทำเป็นหูหิ้วก็มี ซึ่งพระอาคันตุกะที่มาจากสายอีสานมักจะทำแบบนี้กันมาก

    ระหว่างทางที่เดินไปสู่ป่าไผ่ (ชื่อป่าไผ่ แต่มีต้นไผ่น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นเสียมากกว่า) ผมก็เดินจับลมหายใจและภาวนาคาถาหัวใจบารมี 30 ทัศ ไปเรื่อยๆ ให้จิตอยู่ในสมาธิตลอด เมื่อไปถึงประตูทางเข้าป่าไผ่ก็หยุดภาวนา แล้วอธิษฐานขออนุญาตต่อท่านพรหม เทพ เทวา เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายที่ปกปักรักษาคุ้มครองบริเวณป่าไผ่ ขออนุญาตท่านเข้าไปอาศัยเป็นที่จำวัดตลอดระยะเวลาในการปฏิบัติธุดงค์


    เมื่อเข้าสู่ป่าไผ่แล้ว แต่ละกลุ่มต่างก็แยกย้ายกันไปหาสถานที่ที่เหมาะสมในการปักกลดกางเต้นท์กัน โดยมีการกำหนดเขตไว้สำหรับกลุ่มแต่ละกลุ่ม เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและเพื่อความสะดวกในการตรวจเช็ค


    บริเวณสถานที่ที่ผมและเพื่อนพระนวกะเลือกเป็นที่ปักกลดกางเต้นท์ เป็นบริเวณด้านในติดริมบึง มีต้นไม้ขึ้นมีใบดกหนาทำให้ร่มครี้มและอากาศเย็นสบายเพราะอยู่ติดริมบึงมีกระแสลมพัดตลอดเวลา เหมาะแก่การปักกลดกางเต้นท์มาก


    ไหนๆ ก็เอ่ยถึงเรื่องกางเต้นท์แล้วก็อยากกล่าวถึงให้ชัดเจนสักหน่อย คือ ในยุคปัจจุบันนี้ พระธุดงค์เริ่มหันมานิยมใช้เต้นท์แทนกลดกันมากขึ้น จะเห็นได้จากจำนวนกลดกับเต้นท์ที่ใช้มีจำนวนพอๆ กันทีเดียว ผมเองก่อนจะตัดสินใจว่าจะใช้อะไรดีระหว่างกลดกับเต้นท์ ก็คิดหนักเหมือนกัน เพราะมีทั้งกลดและเต้นท์ แต่เมื่อพิจารณาถึงอากาศที่หนาวเย็นแล้ว ผมคิดว่าใช้เต้นท์น่าจะดีกว่าเพราะสามารถกันอากาศหนาวและเก็บอากาศที่อุ่นไว้ภายในได้มากกว่ากลดที่โปร่งใสได้ จึงเลือกใช้เต้นท์

    ทีนี้ตอนกางเต้นท์จะทำยังไงละ ในหนังสือหลักการปฏิบัติธุดงค์ของหลวงพ่อก็ไม่ได้มีพูดถึงไว้ซะด้วย เพราะในสมัยนั้นยังไม่นิยมเต้นท์เหมือนสมัยนี้ และถึงจะนิยมกันอย่างไร หลวงพ่อท่านก็คงสมัครใจใช้กลดอยู่ดี

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านสอนเรื่องการปักกลดเอาไว้ว่า

    "เวลาจะปักกลดนี่ ท่านให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน เขาให้ว่า คาถาบารมี 30 ทัศ ไปเรื่อยๆ กี่จบก็ได้ จนกว่าจะปักเสร็จ พระคาถาว่าดังนี้

    อิติ ปาระมิตตา ติงสา
    อิติ สัพพัญญู มาคะตา
    อิติ โพธิมะนุปปัตโต
    อิติปิโส จะ เต นะโม

    ถ้าปักเสร็จแล้ว เวลาจะตอกหลักขึงสายอัพโภกาส (สายเชือกที่ขึงกลด) ท่านให้ว่าคาถาบทนี้

    "ภะสัมสัม วิสะเทภะ"

    ว่าไปเรื่อย ตอกไปเรื่อยจนกว่าจะแน่น เวลาผูกก็เหมือนกัน ให้ว่าคาถาบทนี้จนกว่าจะผูกเสร็จ คาถาบทนี้เขาเรียก "คาถาตวาดป่าหิมพานต์" เขาตวาดช้างหนีนะ เป็นคาถามหาอำนาจไล่ช้างหนีได้ สัตว์ไม่กล้าเข้าใกล้ สัตว์จะมาวนได้แค่หลักนะ เข้ามาในหลักไม่ได้..."



    เอาละสิ ทีนี้จะทำยังไงดีหว่า คิดไปคิดมา เอาละวะ ประยุกต์คำสอนของหลวงพ่อดีกว่า คิดแล้วผมก็ลงมือกางเต้นท์ ในใจก็ภาวนาคาถาบารมี 30 ทัศ ต่อไปเรื่อยๆ ทีนี้อีตอนที่จะตอกหลักขึงสายอัพโภกาสนี่สิ ของเรามันเป็นเต้นท์มันไม่ต้องมีเสาไม่ต้องใช้เชือกขึงเหมือนกลด ก็เลยประยุกต์ใช้โดยเมื่อกางเต้นท์เสร็จก็ภาวนาคาถาตวาดป่าหิมพานต์แล้วเอามือลูบไปที่บริเวณโครงเต้นท์ทั้งสี่ด้าน ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการกางเต้นท์สำหรับธุดงค์


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2008
  7. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    กางเต้นท์เสร็จเรียบร้อย มองดูนาฬิกายังพอมีเวลาเหลือ แดดก็ร่มเนื่องจากมีต้นไม้เป็นร่มเงา ลมพัดเย็นสบาย เพราะกางเต้นท์อยู่ริมบึง จึงคิดว่าจะนั่งทำสมาธิสักนิดหน่อย พอหย่อนตัวลงนั่งในเต้นท์เท่านั้นแหละ มาแล้วครับ....บททดสอบบทแรก


    ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเสียงคุยกันของพระอาคันตุกะ 2 รูป ที่กางเต้นท์อยู่ใกล้ๆ กันนั่นเอง ท่านคุยกันดังมาก จนทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดไม่มีสมาธิในการปฏิบัติ จึงลุกออกจากเต้นท์ตั้งใจจะเดินไปหาเพื่อนนวกะและบ่นเรื่องนี้ให้ฟัง แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อขึ้นมาที่เกี่ยวกับเรื่อง "นินทา ปสังสา" และคิดได้ว่า นี่เรากำลังจะไปหาเพื่อนพระนวกะ เพื่อนำเรื่องที่พระอาคันตุกะคุยส่งเสียงดังไปเล่าให้เขาฟัง เท่ากับเรากำลังจะไปนินทาผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี จึงตัดสินใจหันหลังกลับและเดินกลับไปยังเต้นท์ของตนเอง


    พอเข้าไปนั่งเรียบร้อยไม่รู้จะทำอะไร ก็หยิบหนังสือ "หลักการปฏิบัติธุดงค์" ขึ้นมาอ่าน โดยไม่ได้กะเกณฑ์ว่าจะอ่านเรื่องใดเป็นพิเศษ แต่พอก้มลงอ่านในหน้าที่เปิดปรากฏว่า คำสอนของหลวงพ่อช่างโดนใจเข้าเต็มๆ เลย จำได้อย่างแม่นยำว่า หน้าที่เปิดนั้น คือ หน้า 59 ซึ่งเขียนไว้ดังนี้

    "...เวลาใดที่นั่งอยู่ ทำจิตสงัดทรงกำลังสมาธิให้มันถึงที่สุดของอารมณ์สมาธิที่มีอยู่ เวลาที่เราจะเดินไปไหน ทำกิจธุระ จิตจะตั้งไว้อย่างน้อยอยู่ใน "อุปจารสมาธิ" หรือ "ปฐมฌาณ"

    อุปจารสมาธิก็ดี ปฐมฌาณก็ดี สองอย่างนี้เวลาทำงานเราใช้ได้ จิตทรงอยู่ได้ ต้องฝึก...อย่าไปนั่งฝึกเงียบอยู่ในห้อง ออกมาได้ยินใครเขาคุยกัน...พังแล้ว อันนี้ใช้ไม่ได้ มันต้องต่อสู้ทั้งเวลาสงัด เวลาเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ ทำกิจการงานทุกอย่าง ใช้จิตทรงฌาณได้ด้วย

    ฌาณนี่เขาไม่ได้ไปนั่งทรงอยู่ในห้องเวลาดึกๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าทรงอยู่อย่างนั้น ยังไม่พ้นปากเสือ คือ "นรก"
    เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราจะตายเวลาไหน ดีไม่ดีเราเดินไปถูกงูกัดตาย รถชนตายว่าไง จิตทรงฌาณไม่ได้ ฌาณมันจะต้องทรงได้ทุกขณะจิตที่เรากำลังทำงานอยู่"



    โห....หลวงพ่อท่านคงมาดลใจให้เปิดไปเจอเอาหน้านี้เข้า อ่านแล้วก็เข้าใจและวางอารมณ์ใจใหม่ เลิกหงุดหงิดและไม่สนใจต่อบรรดาเสียงต่างๆ อีกต่อไป


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2007
  8. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    ฮั่นแน่...อ่านไปเจอบทเดียวกันเลยค่ะ queenie เอง วันก่อนจะไปวัดพอดีช่วงนั้นศึกษากรรมฐาน๔๐ ที่โหลดเป็น mp3 ไว้ในโทรศัพท์ แต่ว่าวันนั้นจบหมดพอดี ก็ไล่หาไปว่าจะฟังอะไรต่อดีน๊อ มาเจอเรื่องการรออกธุดงค์ ก็เลยเปิดฟัง คืนนั้นก็เลยกลับบ้านมาหา "คาถาบารมี ๓๐ ทัศ" แล้วก็หัดท่องมาเรื่อยจนถึงวัดเลย แล้วก็ท่องไปกางเต๊นท์ไปเหมือนกัน แต่เห็นว่าเราไม่ได้ผูกกลด ก็เลยไม่ได้ตวาดป่าแบบหลวงพี่ค่ะ แต่เปลี่ยนเป็น กรณียเมตตสูตร กับวิรูปักเข แทนล่ะ
     
  9. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    พอถึงเวลา 10.30 น. ก็ห่มผ้าครองจีวรพร้อมกับเพื่อนพระนวกะ ออกเดินจากป่าไผ่ไปยังศาลา 12 ไร่ เพื่อฉันภัตตาหารเพล


    12.00 น. ฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังร่วมกับญาติโยมต่างๆ ที่มาบวชชีพราหมณ์ เนื่องจากมีผู้มาบวชชีพราหมณ์จำนวน 2,000 กว่าคน ทางวัดจึงต้องแบ่งกลุ่มฝึกออกเป็นหลายกลุ่ม โดยมีทั้งกลุ่มที่เพิ่งเริ่มฝึกมโนมยิทธิ กลุ่มที่ฝึกท่องเที่ยว และกลุ่มที่ฝึกญาณ 8 แยกย้ายกันไปตามสถานที่ต่างๆ ทั้งที่ศาลา 12 ไร่ และศาลา 4 ไร่


    ผมเลือกฝึกญาณ 8 โดยเลือกฝึกกับกลุ่มของครูเปี๊ยก เพราะนอกจากจะคุ้นเคยกับการฝึกของครูเปี๊ยกที่บ้านซอยสายลมแล้ว ก็ยังมีเก้าอี้สำหรับพระสงฆ์ให้นั่งด้วย ฝึกแบบสบายๆ ไม่ต้องกังวลกับขันธมารที่จะเกิดจากการนั่งขัดสมาธิหรือนั่งพับเพียบ


    วันนี้ครูเปี๊ยกฝึกการใช้อตีตังสญาณ ปัจจุปันนังสญาณ และอนาคตังสญาณเล็กน้อย ช่วงฝึกอตีตังสญาณ ได้ทราบว่า เคยเกิดในสมัยพุทธกาลและได้ถวายดอกบัวแด่พระพุทธเจ้า พร้อมกับตั้งความปรารถนาพระโพธิญาณเอาไว้


    หลังจากฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังเสร็จ ก็ไปนั่งฉันน้ำปานะกับเพื่อนๆ พระนวกะ เพื่อรอเวลาทำวัตรเย็น


    ตอนเย็น หลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ ก็จะเป็นช่วงนั่งกรรมฐาน โดยเปิดเสียงคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ประมาณ 30 นาที แล้วจึงนั่งกรรมฐานอีกประมาณ 30 นาที

    เนื่องจากวันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทางวัดได้จัดให้มีกิจกรรมพิเศษเพื่อเชิดชูพระเกียรติของในหลวง โดยเปิด CD รายการวิทยุรายการหนึ่งที่เป็นเรื่องเล่าของ "กษัตริย์ยอดกตัญญู" ให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร และญาติโยมทั้งหลายได้รับฟังกัน และเปิดวิดีโอเทปที่ในหลวงเสด็จมาวัดท่าซุง โดยหลวงพี่ชัยวัฒน์เป็นผู้บรรยายและเล่าเรื่องราวต่างๆ ในส่วนที่เป็นความสัมพันธ์และความเกี่ยวเนื่องกันมาในชาติภพก่อนๆ ระหว่างในหลวงและหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2007
  10. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    ก่อนอื่นต้องขอออกตัวซะหน่อยก่อนนะคะว่างานนี้ มีผู้ร่วมงานมหาศาลจริงๆ พิธีการต่างๆ ก็มีกำหนดเวลาและระยะเวลาจำกัด ทำให้ทั้งพระ ทั้งนาค ทั้งญาติและผู้ร่วมงานวิ่งวุ่นกันพัลวันประกอบกับสถานที่ก็คับแคบไปซะหมด ทำให้ไม่มีเวลาตั้งท่าตั้งทางถ่ายภาพกันมากนัก ต้องรัวชัตเตอร์กันไปตามมีตามเกิด ผลออกมาเป็นไงก็ต้องเชิญชมกันดูค่ะ...:p

    ก่อนอื่นใด ก็ต้องเริ่มด้วย พิธีบวงสรวง อันเป็นธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติของชาววัดท่าซุงกันไปแล้วค่ะ...^-^
    [​IMG]
    ต่อมาก็เป็นการขอขมาของบรรดานาคที่ศาลาพระพินิจ...อันเป็นบรรยากาศที่อลหม่านมากพอดู เพราะญาติก็หานาค นาคก็หาญาติ ต่างคนต่างหากันไม่เจอ แล้วช่วงนั้นก็เป็นเวลาใกล้รุ่งที่ยังขมุกขมัวอยู่ ก็เลยวุ่นวายกันพักใหญ่ queenie เองตามแม่ชีไปด้วย เพื่อจะไปเก็บภาพ จู่ๆ ก็มีคนมาถามว่ามีนาคหรือยัง เราก็ยังงงๆ นะ เขาเลยพาไปนั่งเป็นญาติให้นาคคนหนึ่ง ให้ขอขมาแล้วมอบผ้าไตร ไม่งั้นนาคจะบวชไม่ได้ เราก็เลยได้เป็นญาติด้ว แล้วมีเวลาขออนุญาตนาคมาถ่ายรูปแป๊บหนึ่ง อย่างที่เห็นแหละค่ะ...:boo:
    [​IMG]

    [​IMG]

    จากนั้นก็ตั้งขบวนแห่รอบพระอุโบสถ์ นำโดยน้องๆ วงดุริยางค์จากโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระ เพลงแรกจำได้ว่าเป็นเพลง "ปูนาขาเก" และเพลงสุดท้ายคือเพลง "ช้าง ช้าง ช้าง" ...น่ารักจัง...ว่าแต่...นาคตั้มอยู่หนายยยล่ะเนี้ย!

    [​IMG]

    [​IMG]

    จากนั้นก็ทยอยเข้าพระอุโบสถ์

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ท้องฟ้าดูงาม ราวกับเหล่าเทวดา นางฟ้ามาร่ายรำอยู่เบื้องบน ดีอกดีใจที่ได้เห็นลูกหลานของตนก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสต์อย่างเต็มตัว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2007
  11. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    แอ่น...แอ๊น....!

    [​IMG]

    อ๊ะๆ..ยังก่อน! ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นพระค่ะ...ต้องรอส่งเข้าพระอุโบสถ ที่วัดยางก่อนค่า....^-^

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    องค์ไหนน๊า...^-^

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ท้องฟ้าเจิดจรัส เทวดา นางฟ้ามาร่ายมารำด้วยเช่นเดิม


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    ตอนนี้...ว่าที่พระใหม่ทยอยกันมาเข้าคิวรอทำพิธี...แล้วพระนวกะก็เริ่มทยอยกันออกมา...เหล่าญาติโยมก็ถวายเงินใส่ย่ามกันถ้วนหน้า ดูลีลาพระใหม่กันเร้ว...:p

    [​IMG]

    (รูปที่มีรอยสัก คือรูปที่เราเป็นญาติให้นั่นเอง..อิอิ..อนุโมทนา สาธุ ด้วยค่ะท่าน ^-^ )
    ...อ้าว! พระใหม่ (เอี่ยม) ออกมาแล้ว...เย้...

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    จากนั้นก็เดินทางกลับวัด เพื่อเตรียมตัวทำวัตร

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. queenie

    queenie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +4,427
    แล้วการอุปสมบทหมู่ก็เป็นอันเสร็จพิธีในที่สุด....เราก็ได้มาทำวัตรเย็นร่วมกันพร้อมกับสมาทานถือธุดงค์

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (ไม่อยากจะบอกเลยว่าตอนถ่ายรูปนี้นะอายมากเลย เพราะคนอื่นเขากราบพระกันทั้งศาลา มีเรานั่งหัวโด่ถ่ายรูปอยู่คนเดียว...อ๊ายอายหล่ะ^-^ )

    เอ้าได้เวลออกธุดงค์กันแล้วเจ้าค่า...

    [​IMG]

    [​IMG]

    ฮั่นแน่...หลวงพี่เราก็มาแล้ว....พะรุงพะรังมาเชียว ^-^

    [​IMG]

    และแล้วขบวนพระใหม่ พระเก่า พระอาคันตุกะ
    ก็ออกเดินทางสู่ธุดงคสถาน...

    [​IMG]
    อ้าวหลวงพี่...อย่ามัวอยู่...เขาไปกันแล้วค่ะ...หลวงพี่!^-^

    [​IMG]

    [​IMG]

    คราวนี้ เมื่อพระไปแล้ว...ถึงคราวโยมไปมั่งหละค่ะ...:p

    [​IMG]

    [​IMG]

    โปรดญาติโยมที่มาเยี่ยม^-^

    [​IMG]

    ถ่ายภาพกับโยมแม่และหลวงพ่อ...

    [​IMG]

    ท้องฟ้าเจิดจ้า ชัดเจนแจ่มใสจัง...(evil)

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ก่อนที่จะเขียนเล่าเรื่องราวที่หลวงพี่ชัยวัฒน์ได้ถ่ายทอดให้พระภิกษุ สามเณร ตลอดจนญาติโยมทั้งหลายจำนวน 2,000 กว่าคนฟัง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช ก็ขอย้อนไปเล่าเรื่องที่ทำให้ดีใจสักนิดหนึ่งก่อนละกัน

    คือ ตอนที่กางเต้นท์เสร็จใหม่ๆ ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ปรากฏว่ามี miss call อยู่ 1 สาย จึงเรียกข้อมูลขึ้นมาดู พบว่าเป็นสายของหลวงพี่เล็ก จึงรีบโทรกลับทันที หลวงพี่เล็กบอกว่า มานมัสการสมเด็จองค์ปฐมที่วัดท่าซุง ก่อนจะเดินทางไปหาดใหญ่ และท่านได้เตือนให้ระวังรักษาสุขภาพ เพราะในป่าอากาศเย็น หากร่างกายไม่คุ้นเคยก็จะทำให้ป่วยได้ ผมก็น้อมรับคำเตือนด้วยความยินดียิ่งและอดตื้นตันใจไม่ได้ที่หลวงพี่เล็กท่านเป็นห่วงเป็นใย ช่วงเวลาตั้งแต่มาอยู่ที่วัดท่าซุง อากาศหนาวเย็นในตอนกลางคืนและตอนเช้า ทำให้ผมและนาคอีกหลายท่านมีอาการไข้หวัดถามหากันเป็นทิวแถว ผมก็ได้อาศัยยาแก้ไข้ที่นำติดตัวไปประทังอาการมาตลอดเพื่อไม่ให้เจ็บป่วยลงไปซะก่อนที่จะได้บวช


    เอาละ...มาต่อเรื่องราวย้อนยุคกันดีกว่า

    เรื่องที่หลวงพี่ชัยวัฒน์ท่านเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องราวของพระมหาโพธิสัตว์สองพระองค์ที่ได้บำเพ็ญบารมีร่วมกันมาอย่างใกล้ชิดโดยมีความเกี่ยวเนื่องกันในฉันบิดากับบุตรถึง 2 วาระ

    วาระแรกที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน เป็นสมัยของพระเจ้าตวันอธิราช ในช่วง พ.ศ.246 ซึ่งตรงกับสมัยสุวรรณภูมิ ในสมัยนั้น พวกเรา (บรรดาลูกหลาน ลูกศิษย์ลูกหา ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน) เชื่อกันว่า หลวงพ่อท่านเกิดเป็น "พระเจ้าตวันอธิราช" มีพระราชโอรสทรงพระนามว่า "พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า" พระมหาโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์นี้ได้บำเพ็ญบารมีร่วมกัน (พ่อ-ลูก) พระเจ้าตวันอธิราช กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุวรรณภูมิได้ทรงวางรากฐานการสร้างพระบารมีไว้ให้พระราชโอรสของพระองค์ ในฐานะที่จะทรงเป็นกษัตริย์สืบต่อไป

    ต่อมาวาระที่สอง ใน พ.ศ. 900 สมัยเชียงแสน พระเจ้าตวันอธิราช เกิดเป็น "พระเจ้าพรหมมหาราช" ส่วน พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ตามไปเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรกนามว่า "พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า" แต่สิ้นพระชนม์ในสมัยทรงพระเยาว์ พระราชสมบัติจึงตกแก่พระโอรสองค์รองคือ "พระเจ้าชัยสิริ" (หลวงปู่ธรรมชัย) พระเจ้าพรหมมหาราช มีพระเชษฐาคือ "พระเจ้าทุกขิตะ" (หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล)

    หมายเหตุ : แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=asupakitt&group=9


    หลวงพี่ชัยวัฒน์เล่าทิ้งค้างไว้แต่เพียงเท่านั้น ยังไม่ทันดับกระหายความอยากรู้ของพวกเรา ต่อมอยากรู้มันก็เต้นเอา...เต้นเอา ถึงจะเคยทราบเรื่องราวเหล่านี้มาบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอยากฟังอีก เผื่อจะมีข้อมูลบางแง่มุมที่เรายังไม่เคยรู้ก็เป็นได้ แต่ก็ได้เวลาที่ทางวัดจะทำกิจกรรมร่วมกับประชาชนทั้งแผ่นดินในการร่วมกันร้องเพลง "พ่อของแผ่นดิน" และเพลง "สดุดีมหาราชา" ซึ่งมีคณะนักเรียนจากโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาเป็นผู้ร้องนำ และจุดเทียนชัยถวายพระพรในหลวง หลวงพี่ชัยวัฒน์จึงต้องยุติเรื่องเล่าย้อนยุคไว้แต่เพียงเท่านั้น


    หลังจากพิธีเฉลิมพระเกียรติแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสร็จสิ้นลง ท่านพระครูปลัดอนันต์ เจ้าอาวาส ได้นำพระภิกษุ สามเณร และพราหม์ชาย หญิง ทั้งหลายกล่าวสมาทานธุดงค์ เสร็จแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับที่พัก


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2008
  15. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    การวางอารมณ์ใจของผมในระหว่างเดินกลับที่พักในป่าไผ่ ผมก็ทำเหมือนเช่นที่ผ่านมา คือ ภาวนาคาถาบารมี 30 ทัศ และจับภาพพระไปตลอดทางจนถึงประตูทางเข้าป่าไผ่ แล้วก็ตั้งจิตขออนุญาตเหล่าพรหม เทพ เทวา และท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าของสถานที่ เพื่อขออนุญาตเข้าพัก

    สภาพของป่าไผ่ในยามนี้ (เวลาประมาณ 21.00 น.) มืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากเทียนที่เจ้าหน้าที่ทหารที่มาคอยดูแลรักษาความเรียบร้อยจุดไว้เป็นระยะๆ อากาศหนาวเย็นเล็กน้อย น้ำค้างเริ่มลง จนทำให้อากาศค่อยๆ ชื้นขึ้น แสงไฟจากเทียนจะถูกดับลงเมื่อถึงเวลา 22.00 น. อันเป็นสัญญาณให้ทุกคนพักผ่อนหลับนอนได้แล้ว

    เมื่อเข้าเต้นท์และทำกิจส่วนตัวเสร็จ ผมก็สวดมนต์ไหว้พระและสวดบทกรณียเมตตสูตร กับบทวิรูปักเข ตามที่หลวงพ่อท่านได้สอนไว้ เพื่อเป็นการแผ่เมตตาและขอบารมีท่านท้าววิรูปักได้ช่วยคุ้มครองให้นอนหลับสบาย ปลอดภัยจากสิ่งรบกวนต่างๆ โดยตอนท้ายผมจะจบด้วยถ้อยคำของหลวงพ่อดังนี้

    "ขอท่านที่อยู่ที่นี้ทั้งหมด บรรดาอมนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย เทวดาหรือพรหมก็ดีที่รักษาที่นี้ เราขออาศัยสถานที่ท่านอยู่ เราขอยอมรับนับถือในท่าน ว่าท่านเป็นผู้มีสิทธิ์ ขอท่านได้โปรดคุ้มครองให้เรามีความสุข ปลอดภัยจากอันตราย แล้วก็ช่วยส่งเสริมในการเจริญสมณธรรมด้วยเถิด"


    เสียงสวดมนต์บทกรณียเมตตสูตร และบทวิรูปักเข ทยอยดังขึ้นจากกลดและเต้นท์ต่างๆ เป็นระยะๆ ด้วยต่างก็ปฏิบัติตามคำสอนที่หลวงพ่อท่านให้ไว้ และด้วยความกริ่งเกรงลึกๆ ในใจว่า อาจจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเยี่ยมเยือนในยามวิกาล จึงต่างขมีขมันท่องบทสวดกันเป็นการใหญ่ บางองค์สวดบทยอดพระกันฑ์ไตรปิฎกเพิ่ม ผมก็ได้แต่อนุโมทนาบุญด้วยที่ช่วยสวดให้แทน เพราะตัวเองสวดไม่เป็น ท่านได้บุญจากการสวด ผมก็ขอรับอานิสงส์ไปด้วย ไม่ต้องเหนื่อย...

    คืนนี้นอนหลับสบายตลอดคืน ไม่มีสิ่งใดมารบกวนใดๆ ทั้งสิ้น มีตื่นขึ้นกลางดึกบ้างครั้งสองครั้ง แต่พอตื่นขึ้นรู้ตัวปั๊บก็ภาวนา "พุทโธ" แล้วหลับต่อทันที


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2007
  16. คุณ 4

    คุณ 4 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +5,159
    อนุโมทนาด้วยคับ อ่านแล้วชื่นใจจริง ๆ

    ^^
     
  17. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    03.30 น. ตื่นนอนตอนเช้า รีบลุกมาล้างหน้าล้างตา แต่ไม่ได้สรงน้ำ เพราะเวลามีจำกัดและไม่ค่อยสะดวกเท่าไร จึงยกยอดไปสรงน้ำตอนกลางวันแทน

    เช้าวันนี้จะเป็นวันแรกที่จะเริ่มออกบิณฑบาต ระหว่างห่มผ้าจีวร ก็สวดบทอิติปิโส ทั้ง 3 ห้อง ตั้งแต่เริ่มจีบผ้าจีวรให้เป็นกลีบๆ ไปจนกระทั่งห่มเสร็จตามที่หลวงพ่อท่านได้สอนไว้ คว้าย่ามสะพายบาตรได้ก็ออกเดินไปสมทบกับพระนวกะองค์อื่นๆ ทยอยเดินมุ่งหน้าสู่บริเวณลานธรรม ระหว่างเดินก็ภาวนาบารมี 30 ทัศ และตั้งใจฟังเสียงเทศน์ของหลวงพ่อที่ทางวัดเปิดให้ฟังไปด้วย

    เมื่อไปถึงบริเวณลานธรรมก็เข้านั่งประจำตามหมายเลขที่กำหนดไว้ และนั่งฟังหลวงพี่ชัยวัฒน์แนะนำข้อควรปฏิบัติสำหรับพรหมณ์ชาย - หญิง ผู้มาอยู่ธุดงค์ และต่อด้วยเรื่องเล่าเกี่ยวกับการฝึกญาณ 8 โดยเฉพาะการฝึกอตีตังสญาณ หลวงพี่ชัยวัฒน์ได้นำประสบการณ์การฝึกอตีตังสญาณของหลวงพ่อมาเล่าให้พวกเราฟัง......

    .............. (เดี๋ยวมาเล่าต่อ)............


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2007
  18. DITCE

    DITCE ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    1,566
    ค่าพลัง:
    +13,073
    จะรออ่านครับ
     
  19. ATICHA

    ATICHA สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +22
    สาธุ..ขออนุโมทนา..สุขใจยิ่งแล้วเมื่อได้อ่านคำบอกเล่าจากหลวงพี่เจ้าค่ะ..
     
  20. เจี๊ยบ รักพ่อหลวงภูมิพล

    เจี๊ยบ รักพ่อหลวงภูมิพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,646
    ค่าพลัง:
    +4,272
    อ่านไปก็น้ำตาคลอไป มันปิติตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเลย สาธุ อนุโมทนาบุญกับคุณตั้มในครั้งนี้ด้วยค่ะ คงไม่ช้าเกินไปที่เข้ามาร่วมอนุโมทนาบุญนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...