การปราถนานิพพาน ทำให้ทรัพย์สินเราในปัจจุบันหมดลงไปด้วยหรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nongnewinbkk, 8 สิงหาคม 2014.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เงินทองก็จะไม่ขาดมือยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดีตทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ
     
  2. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    เมื่อไม่มีทรัพย์ มันเป็นอุปสรรค์อยู่บ้างคะ เชื่อว่า แต่ละบุคคล ความจำเป็นในทรัพย์แตกต่างกัน

    เชื่อว่า ทุกคนต้องการทรัพย์

    ที่ๆเราอยู่ เป็นที่อยู่อาศัย ใช้หลับนอน คือ ทรัพย์

    ไม่มีบ้าน จะอยู่อย่างไร
    ไม่มีวัด ไม่มีกุฏิ พระสงฆ์ จะอยู่อย่างไร
    ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีผ้าจีวร จะอยู่อย่างไร

    ไม่มีเงิน ซื้อหาวัสดุ มาสร้างวัด สร้างวิหาร สร้างพระ สร้างได้หรือ

    ไม่ต้องการจริงหรือ ละแล้วหรือ หากไม่มี ไม่เศร้าหมองจริงหรือ

    คอมพิวเตอร์ ที่ใช้ในการเข้าเวปนี้อยู่ หากต้องชำหรุด หรือหายไป ไม่มีอีกแล้ว ไม่เศร้าหมอง จริงหรือ

    มีเงินมากๆ ก็กังวล จะโดนลัก โดนขโมย หรือกังวลกลัวจะหมดลงไป กังวลในความปลอดภัยในทรัพย์

    ไม่มีก็เศร้าหมอง มีก็เศร้าหมอง นี่คือความจริงหรือไม่

    อะไรคือ ทางออกที่ไม่เศร้าหมองที่แท้จริง

    ถามเล่นๆ แต่คิดจริงๆ มันคิดยาก พูดยากนะ ถ้าเอาความจริง
     
  3. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    คำตอบของข้อความนี้ ก็คือต้องเข้าถึงนิพพาน รู้นิพพาน เข้าใจนิพพานให้ได้ก่อน คุณก็จะเข้าใจเรื่องทั้งหมดเอง ขออธิบายโดยเปรียบเทียบเรื่องที่คุณถามดังนี้นะ

    คนเรา เมื่อมีสิ่งใด รู้สิ่งใด แล้วหลงยึดมั่นในสิ่งใด สิ่งเหล่านั้นก็นำความไม่เข้าใจมาให้ นำทุกข์มาให้ ตามที่คุณถามมา

    แต่ถ้า คนเราเข้าใจนิพพาน เข้าใจในความไม่มีอะไร ขยายความว่า เมื่อคุณเป็นคนที่ไม่มีอะไร ไม่ยึดสิ่งใด และสิ่งใดไม่ยึดคุณ คุณเข้าถึง ความไม่เหลืออะไรเลยได้แล้ว(นิพพาน)คุณต้องอยู่กับความไม่มีอะไรนี้(พ้นสมมุติ)อยู่ได้แบบเข้าใจ ไม่หลงว่ามีทุกข์ไม่หลงว่ามีสุข(นั่นเพราะความไม่มีอะไรยังจะสร้างทุกข์สร้างสุขได้ยังไงกัน) ถ้าไม่ยึดมั่นสมมุติแล้วก็จะไม่มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยสร้างสุขสร้างทุกข์ให้คุณได้อีกนั่นเอง

    แล้วพอเข้าใจในความไม่มีอะไร(นิพพานอย่างแจ่มแจ้งว่าความจริงแล้วเมื่อไม่มีอะไรจริงๆสุขทุข์ก็ย่อมไม่มีตามไปด้วย ความหลงว่ามีสุขมีทุกข์ก็ย่อมไม่เกิด) แล้วทีนี้ พอเกิดมีอะไรขึ้นมา เช่น เงิน 1 บาท มีชื่อ นามสกุล มีคำจำกัดความว่าเป็นเพศหญิงชาย มีบทบาทว่าเป็น พี่ เป็นน้อง เป็นลูก เป็นพ่อเป็นแม่ พอเกิดมีสมมุติอีกครั้ง มันก็จะได้ไม่หลงไปในสมมุติได้อีก นั่นเอง นี่คือข้อดีของนิพพาน ของผู้ที่ได้นิพพานจริงๆ

    ก็คือไม่หลงมีสุขมีทุกข์ในสมมุติที่ต้องมีอีกครั้ง นั่นเอง
     
  4. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    คิดว่าจะได้ไปจริงชาตินี้รึเปล่าครับ ผมไม่ใช่ผู้รู้นะ เเต่เคยฟังอาจารย์มา
    อาจารย์ท่านเองก็ไม่ได้อยากไปนิพพานชาตินี้ เเต่ท่านก็พอรู้ ท่านบอกประมาณว่า

    คนที่อธิษฐานขอนิพพานชาตินี้ (รวมถึงคนที่อธิษฐานขออภิญญาด้วย)
    เจ้ากรรมนายเวรเขากลัวไม่ได้จองเวร 1 เลยต้องรีบกันโกยเข้ามาครับ
    เเละก็มาร พญามารอีก 1 ก็เอาจริงสำหรับคนพวกนี้ สำหรับกรณีอภิญญาคงน้อยกว่า
    ขอนิพพาน เพราะพวกอภิญญาไปอยู่พรหมโลกนานเเสนนาน เเต่เดวก็กลับมาเกิด
    เเต่นิพพานไม่กลับมาเกิด เขาเหล่านี้เลยต้องรีปเคลียบิลเป็นการด่วน
    จะโจมตีทุกๆ เรื่องทั้งการเงินการงาน ครอบครัว ที่อยู่อาศัย สารพัดที่จะโจมตีได้
    (เว้นเเต่จะออกบวช เพราะเขาก็ไม่รู้จะโจมตีอะไรได้มากนัก เงินทองก็เป็นของสงฆ์
    ที่อยู่ก็วัดอีก เเบบไม่รู้จะตีอะไร จะตีได้ก็เเต่เจ้าตัว ตีอะไรเกี่ยวกับเจ้าตัวไม่ค่อยได้)
    คิดดูว่าจริงมั้ย ถ้าคุณเป็นเจ้าหนี้ เเต่ลูกหนี้คุณจะหนีเข้านิพพานคุณจะทำยังไง
    อาจารย์ผมเลยสอนให้อธิษฐานว่า ขอให้ได้เข้าถึงนิพพานในอนาคตอันใกล้
    (อาจารย์คงดูจากสภาพลูกศิษย์อ่ะ...เเต่ละคนไปหาท่านเพราะอยากมีตังกันมากกว่า
    นิพพานอีกมั้ง 555+ มันก็เเล้วเเต่บุคคล อาจารย์ท่านก็จะถามว่า บารมี10เต็มรึยัง ทำครบมั้ย
    เเค่นี้ผมก็รู้ตัวเองล่ะ... เเค่ครบยังไม่ค่อยครบ อย่าว่าเต็มเลย เเละผมก็เชื่อว่าบารมีสำหรับคนบรรลุธรรม มันคงไม่ใช่ของลวกๆด้วย เช่นเมตตา บางทีผมก็เมตตานะ เเต่พอเล่นเกมออนไลน์สมัยนี้
    อดไม่ไหว ด่ากระจายเมตตาลงไปกองตรงไหนไม่รู้ ทั้งเมตตาทั้งขันติ เกมมีทั้งเกียนทั้งโปรโกงทนไม่ไหวปรี๊ดเหมือนกัน ด่าไปเยอะเหมือนกันบางทีก็เกียนกลับ) เเต่ถ้าใครคิดว่าบารมีพอ อยากอธิษฐานนิพพาน ไปเลยก็ไม่ว่ากัน เเต่สำหรับคนบารมีจิ๊ดริด กำลังใจไม่พอ อยากได้นิพพาน เหมือนเป็นการประกาศ ท้าทายเขาเหล่านั้นมาโจมตี ทั้งที่กำลังใจ บารมีไม่มั่นพอ

    ถ้าเป็นอย่างผม ผมจะอธิษฐานขอเเค่โสดาบันก็หรูล่ะ รู้ตัว กำลังใจน้อยนิด กิเลสยังเยอะอยู่
    ถ้าเจออะไรหนักๆเดวทำใจไม่ได้ อาจจะทำอะไรไม่ดีเป็นกรรมอีก
    เเต่ก็พยายามทาน ศีล ภาวนา อธิษฐานอยู่เนืองๆ เหมือนจะประมาท เเต่ก็ประมาทนั้นเเหล่ะ
    ถามว่าถ้าเจ้ากรรมนายเวรมาเยอะๆ มารมาเยอะๆ คนอย่างผมจะสู้มั้ย ตอบได้เลย ทะยอยกันมาเถอะ อย่ามา all เลย รับไม่ไหว

    ผมเจตนาจะเตือนเฉยๆนะครับ บางคนเจ้ากรรมนายเวรยังเยอะ เขาก็จัดหนัก
    บางคนน้อยพอรับไหว เเต่เหตุปัจจัยก็ไม่ได้พอที่จะบรรลุ เท่ากับเรียกเขามาให้รีบโจมตี
    ฉะนั้นอาจจะเปลี่ยนคำอธิษฐานเป็น นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ อนาคะเจอกาเล เเทนก็ได้
    (ไม่เน้นสะกดถูกเน้นอ่านถูก) เเต่ก็ทานศีล ภาวนาเหมือนเดิม
    เเต่ถ้าคุณจขกท. กำลังไหว คิดว่าไหว ก็เเล้วเเต่นะครับ ไม่ได้อยากห้ามนิพพานใคร ถ้าไหว
    ชาตินี้จริงๆก็อนุโมทนาด้วย

    โปรดใช้วิจารณญาณด้วยนะครับ
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819


    มีแต่ปัญหา ทำอะไรก็ไม่เหลือเลย ไม่ทราบว่าจะแก้กรรมนี้อย่างไร ?
     
  6. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ฝึกสติปัฏฐานสี่ เพื่อชำระตนเองให้ตนเองนิพพานได้ก่อน ถึงจะรับรู้นิพพานได้จริง
    แล้วเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในนิพพาน เมื่อนั้น กายใจของท่าน จึงจะไม่หลงไปกับสมมุติต่างๆ ของโลกได้อีก ไม่หลงสุขทุกข์ ในความมีและความไม่มี ของวัฏกะสงสาร นั่นเอง
     
  7. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    นิพพาน น่ะ ทุกคนรู้ว่าหมายถึงอะไร คือความไม่เหลือสมมุติใดใด
    นิพพาน น่ะ ทุกคนเข้าใจว่านิพพานแล้ว ก็ไม่กลับมาเกิดอีก นิพพานแล้วนิพพานเลย

    แต่ ตนเองเป็นนิพพาน ตนเองนิพพานหรือยัง เท่านั้นเอง ประเด็น
    และหลายคน ก็ไม่เข้าใจอีกด้วยนะว่า ได้นิพพานแล้วมันดียังไง
    นิพพานก็คือ ดับสมมุติทั้งปวง สมมุติในตน สมมุติจากตน แต่สมมุติของคนอื่นๆเขายังอยู่ เจ้ากรรมนายเวรก็ยังอยู่ ญาติพี่น้อง คนอื่นๆก็ยังอยู่ ความสุขความทุกข์ความหลงของคนอื่นๆก็ยังอยู่ ที่ไม่เหลือมีเพียงส่วนของเราเท่านั้น ดังนั้น เมื่อเรานิพพาน เราก็ยังคงรับรู้ ความสุขทุกข์หลงสมมุติทั้งปวงของคนอื่นๆอยู่นะ เพียงแต่เรา ไม่ได้หลงสุขหลงทุกข์เหมือนพวกเขาเหล่านั้น เท่านั้นเอง เราก็ยังไม่ตาย มีเพียงกายใจ ตามจริงที่เป็นอายตนะ เท่านั้น เพียงแต่เล่นตามสมมุติ ที่เคยเล่น เท่านั้น

    ดังนั้น เจ้ากรรมนายเวรมีอยู่มั้ย มี แต่เราไม่สะดุ้งสะเทือน ความตายมีอยู่กับเรามั้ย มี แต่เราไม่สะดุ้งสะเทือน เรื่องสมมุติทั้งหลายมีอยู่มั้ย มี แต่เราไม่สะดุ้งสะเทือน

    ทีนี้ นิพพานนี้ เกิดประโยชน์ใดล่ะ ก็ทำให้เราไม่หลงในสมุติใดใด ได้อีกต่อไป ชีวิตกายใจที่เหลือ ก็ จะเดินตามมรรค ทางสายกลางได้จริงๆ รู้ว่าตนเองกลางได้จริงๆ และรู้ผลของมรรคได้จริงๆ ก็ ใน ชีวิตกายใจที่เหลือ นี่แหล่ะครับ

    ที่เหลือก็คือ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก นั่นเอง
     
  8. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    การเดินตามมรรคหมายถึงอะไร
    ก็หมายถึง ชีวิตเก่าที่เคยหลงผิด ทำความผิด ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ชีวิตใหม่หลังนิพพาน ก็จะกลับมาแก้ไขในสิ่งที่เคยทำไม่ถูกเอาไว้ ให้มันถูกต้อง แก้ไขกรรมตนเองได้ โดยไม่หลงในสุขในทุกข์ไม่หลงในสมมุติ เพราะไม่หลงเลยแก้ไขความไม่ถูกให้ถูกได้ นี่ไง เคยมีหนี้ ก็ชดใช้หนี้ เคยผูกพัน ก็ปลดพันธนาการ เคยมีปัญหาก็แก้ไขปัญหา เมื่อ หมดสิ้นปัญหาแล้ว นี่คือ ชีวิตที่อิสระจากสมมุติใดใด ก็คือ พ้นสุขพ้นทุกข์พ้นจากความหลงพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น ก็คือ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ไงล่ะครับ
     
  9. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ดังนั้น นิพพาน มันจึงจำเป็นสำหรับทุกคน เลยล่ะครับ เพราะมันคือปัญญา
    เพราะมันคือ ความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐที่ทุกคนต้องเป็น ไงครับ ไม่งั้น คุณก็จะมีแต่ปัญหา นั่นเอง เพราะ ไม่มีปัญญาแก้ไขปัญหาของตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2014
  10. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    สำหรับผม นิพพาน ไม่ยากหรอกครับ
    เพราะถ้าทุกคนเข้าใจในนิพพาน รู้ว่านิพพานดียังไง รู้ว่า อะไรคือนิพพาน
    รู้ว่าถ้าตนเองนิพพาน แล้วเป็นยังไง นิพพานก็เป็นเรื่องไม่ยาก
     
  11. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    มาหาผมสิ ผมจะชี้ทางให้ฟรีๆ กับทุกคน
    มาพิสูจน์ได้นะครับ เอาแค่ ใจที่ปราถนานิพพานจริงๆ มา เพื่อรู้คำตอบด้วยตนเอง
     
  12. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ที่ไปอ่านเจอมา ก็ประมาณ ที่คุณGoonS ว่านี่แหละคะ

    พอปฏิบัติธรรม เริ่มตั้งจิต อธิฐานขอให้ได้ไปนิพพานด้วยเทอญ เท่านั้นแหละ ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นกระทันหัน มันมาพร้อมๆกันเลย

    มันน่าน่าแปลกใจอยู่นะคะ
    - เพื่อนห่างหาย
    - ทรัพย์หมด ไม่เหลือ
    - โรคภัย ไข้เจ็บรุมเร้า
    - อุปสรรค์ มากมาย

    มันมาพร้อมๆกัน

    แต่ในทางกลับกัน ที่เราปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ภาวนา สมาธิ
    สิ่งที่ได้มาคือ
    - จักระ ทั้ง 7 เปิด มีการรับพลังงาน ถ่ายเทพลังงาน ในตัวเรา อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเมื่อได้พบเจอกับตัวเองแล้ว ก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนแปลง

    - เวลานั่งสมาธิ ได้รับรู้ ถึงความสงบ นี่คือความสงบ หากแม้ในทางโลกเราเจออะไรเลวร้ายก็ตาม เมื่อเราปล่อยวาง เข้าหาความสงบ มันก็สุขได้ สุข เพราะ ไม่รับรู้ มีการเฉย ไม่สนใจอะไรเลย เฉยมาก เฉยต่อสภาพแวดล้อมรอบข้าง เฉยต่อคนรอบข้าง เฉยต่อสิ่งเลวร้ายทั้งปวง ไร้ซึ่งถึงความกังวล ไม่มีกิน ก็ไม่กังวล แม้แต่ความตายก็ไม่กังวล

    - สิ่งที่เรามีเพิ่มมา คือความเมตตา ความกรุณา เมตตาต่อสรรพชีวิตเลย แม้แต่เดิน เมื่อเจอมด ก็ต้องเดินหลบไม่ให้เหยียบมด เข้าห้องน้ำ เห็นแมลงตกอยู่ในอ่างน้ำ ทุรนทุราย ก็ช่วยเขา พูดคุยกับเขา เป็นขนาดนี่เลย

    - เมื่อไม่มีอะไรจะกิน บางครั้งร่างกายมันก็ไม่หิว มันเฉย เฉยได้ทั้งวัน สังเกตอยู่ว่าเมื่อไรมันจะหิว มันก็ไม่หิว มันไม่ต้องการอาหารเลย ในเมื่อไม่มี และไม่หิว ก็ไม่ต้องกิน อยู่ได้ทั้งวัน โดยไม่กิน

    ที่กล่าวมาข้างต้น มันมีได้ มีเสีย คนละอย่าง

    ชั่งมันเถอะ เสียอย่าง แต่ก็ได้อย่าง

    ไม่มีทรัพย์ ที่จะใช้เดินทางไป บวช ไปฏิบัติธรรมที่ใหนไกลๆ

    ก็นั่งสวดมนต์ อยู่ที่บ้าน นั่งสมาธิ อยู่ที่บ้าน ก็ดีอยู่

    ตอนนี้ยังไหว จะเจออะไร ก็คิดว่าไหวนะ เพราะเจอมาจะครบปีแล้ว ยังไม่เป็นอะไร ยังอยู่ได้ ยังปฏิบัติได้ สู้คะ

    ไม่สู้ได้อย่างไร เพราะสิ่งที่ฉันเจอ ยังไม่เท่ากับสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเจอเลย เทียบไม่ได้เลย

    กำลังใจที่มีอยู่ ที่ให้อยู่ได้ ได้มาจากการมองพระพุทธรูป มององค์พระศาสดาที่อยู่บนหิ้งพระ มองที่ไร กำลังใจมาเป็นกอง

    ฉันไม่ไปใหนเลย ฉันสวดมนต์ต่อหน้าพระองค์ ฉันนั่งสมาธิต่อหน้าพระองค์

    คิดเล่นๆ ถ้าฉันตาย ฉันคงตายต่อหน้าองค์พระศาสดา

    นี่ละมั้ง คือทางออกของฉัน
     
  13. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    มันเป็นเช่นนั้น จริงๆ

    1. พบความแสงสว่าง บริสุทธิ์ ที่ปลายทางรึยัง ดีกว่าไม๊ หมดภาระทางโลกหรือยัง ถ้าดี ไม่มีภาระใดๆอีกแล้ว ก็โดดเข้าทางธรรมเต็มตัว อย่างอื่นไม่มีอะไรอีกแล้ว ต้องกังวล มรรคมีองค์ 8 ก็จะบริบูรณ์ โดยเฉพาะ สัมมาสังกัปโป และ สัมมาอาชีโว

    2. ถ้ายังไม่พบแสง ที่ปลายทาง ก็ต้อง ดำเนินชีวิตทั้งทางโลก และทางธรรม ควบคู่กันไปก่อน เห็นแสงปลายทางเมื่อไหร่ ค่อยว่ากันอีกที ถ้าไม่มีภาระใดๆ ก็สามารถเข้าทางธรรมได้เต็มตัวเช่นกัน


    การทำสมาธิ เป็นการ ข่มกดกิเลส ไว้เฉยๆ เหมือนเอาตุ่มน้ำวางทับบนพื้นหญ้า บางครา มันเหมือนการหลบเข้าที่กำบัง โลกส่วนตัว กึ่งๆหนีปัญหา หลบซ่อนจากปัญหา ชั่วคราว
    ตัวที่จะทำให้ดีดออกจากกิเลส คือ การพิจารณาอย่างแยบคาย จนเกิด ความเบื่อหน่ายสุดซึ้ง โป๊ะ เข้าที่จิต (โป๊ะเฉะ ตัวนี้ ประสบเมื่อไหร่ มันทิ้งทุกอย่างทันที แม้แต่ขันธ์ ในวินาทีนั้นเลย แต่...อย่าลืมทรงพรหมวิหาร4 ให้เป็นนิสัยติดไปในกมลสันดานเลย อิอิ ถ้าไม่ยอมทิ้ง จะนั่งซึมกระทือ ไปหลายวันเลย แล้วแต่อำนาจแห่งกำลังฌาน คลายลง เกิดขณะลืมตาก็ได้ เห็นที่อ่านมา เป็นกันหลายท่าน กวาดๆ วัด แล้วบรรลุธรรมเลย เห็นใบไม้ตกบรรลุธรรมเลย เป็นลม ตื่นมาบรรลุธรรมเลย)

    จักระเปิดหมด จะนำไปสู่ทาง 3แพร่ง คือ การเข้าสู่โลกีอย่างสมบูรณ์แบบกู่ไม่กลับ หรือ การหลงอยู่กับที่ (จิตค้าง) หรือ การสลัดคืน ทางใครทางมัน ชี้บอกได้ แต่เลือกทางเดินให้ไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2014
  14. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    ไม่ทราบว่า มีกลุ่มเพื่อน ที่ปฏิบัติธรรม (เอาเฉพาะ ปฏิบัติดี) รึเปล่า

    ควร คบหากันไว้ นะ เป้นเสมือนหนึ่ง กัลญาณมิตรเช่นกัน เพื่อจะได้ ปรับสภาวะธรรม ให้
     
  15. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ดิฉันยังไม่มีเพื่อน ที่เป็นนักปฏิบัติ ที่ปฏิบัติได้ดีเยี่ยมเลยคะ

    จะมีก็แต่ นักปฏิบัติธรรมทั่วๆไป ที่ไปปฏิบัติธรรมกลับมาแล้ว ยังโมโห ยังโกรธ ยังด่าว่าคนในครอบครัวตัวเองอยู่ นี่ดิฉันเรียกว่า นักปฏิบัติธรรม ทั่วๆไป

    ส่วนตัวดิฉัน นักปฏิบัติ แบบใหน ไม่รู้ได้คะ

    รู้แต่ว่า ฉันโกรธน้อยลง อะไรๆ ก็ชั่งๆ เถอะแบบนี้

    ไม่ยุ่งกับใคร ไม่สนใจเรื่องราวชาวบ้านเหมือนเช่นก่อน เฉยๆๆๆๆ เฉยจนหูฉันไม่ได้ยิน คนเขาพูดอยู่ข้างๆ ตั้งหลายคน ฉันไม่ได้ยิน ถ้าไม่มาสกิด ฉันก็ไม่รู้เลยว่าเขาพูดกับฉันคะ


     
  16. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    เธอสวดยวดจริงๆ
    ผมอ่านแล้ว เกิดปีติ น้ำตาจะไหลพลอยอนุโมทนาไปด้วยนะครับ
    นี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้วครับ คนดีจริงๆฟเขาถึงกล้านั่งมองหน้าพระองค์ แล้ววางใจตนเองได้ว่า ตนเองก็ดีพอแล้วถึงกล้าทำได้แบบนี้ นี่คือ การพิสูจน์ใจตนเองครับ คุณผ่านครับ เรื่องความดี เรื่องสัมมาทิฐิ ผ่านแล้วครับ

    ก้าวต่อไปก็คือ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต
    คุณต้องบรรลุนิพพาน ให้ได้เร็วๆนะครับ ขออวยพร

    และผมขอให้พรกับคุณ ว่า ขอให้คุณพบพระนิพพานในชาตินี้ สมใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2014
  17. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ยังไม่ไปไหนเลยครับ
    ลองกลับมาอ่านที่เขียนดู
    แล้วลองพิจารณา ว่าปฏิบัติธรรมแล้วดูผลจากภายนอกหรือเปล่า
    จริงๆที่คุณประสบน่าจะเกิดจากกำลังสมาธิที่มากพอไประงับความรู้สึกได้ แต่มันโง่
    ต้องรู้สิว่าใครพูดยังไง. ต้องเข้าใจ และรู้ทัน. แต่ไม่เอามัน. คือไม่เอามาปรุงแต่งต่อ. นี่ต้องให้สะกิดอันตรายแล้วครับ. จะหลงไปผิดทางได้

    คือเคยประสบมาแบบนี้เหมือนกันต้องระวังเรื่องความเชื่อต่อจากนี้ถ้าจะปฏิบัติต่อควรเข้าหาพระสงฆ์ที่คุณศรัทธา อย่าไปเชื่อกับคนที่คิดหรือทำเหมือนเราหรือกับคนที่เราฟังอ่านแล้วชอบ อารมณ์ขณะนี้ของเราจะควบคุมยาก ต้องระวังให้มากๆครับ
     
  18. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    ไปเอาตรรกะ นี้ มาจากไหน คิดไปเองหรือป่าว เพราะการปฏิบัติ ธรรม เป็นการปฏิบัติทางจิต การสำรวม กาย วาจา ใจ ตามแบบองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และที่บอกได้ทรัพย์มาแล้วไม่เหลือ ไม่พอใช้จ่าย คุณได้ใช้วิชา การดำรงชีวิต ตามที่พระพุทธเจ้าสอนหรือไม่
     
  19. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ความจริงมันไม่มีตรรกะ อะไรหรอกครับ แค่ เขาเอาความเข้าใจของเขามาเล่าให้ฟัง และเขาก็ไม่ต้องการให้ใครมาตัดสินว่าถูกหรือผิด เพราะนี่คือความเข้าใจของเขา ซึ่งนี่ไม่ไช่ความเข้าใจแบบนี้แบบเดียว อาจเข้าใจอีกหลายเรื่องหลายแบบ แต่ไม่ได้เอามาเล่าหมด เท่านั้นเอง นี่แค่ความเข้าใจแบบเดียว คิดไปเองแบบเดียว ในส่วนที่คิดไปเองหลายแบบก็อาจมี แต่ยังไม่เล่ามั้งครับ

    ส่วนเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านสอนฆราวาสก็เรื่องหนึ่ง สอนพระก็เรื่องหนึ่ง สอนสามีภรรยาก็เรื่องหนึ่ง เพราะการดำรงชีวิตจริงๆในแบบของพระองค์นั้น พระองค์ไม่ได้สอนใคร แต่พระองค์ทรงกระทำตนเป็นตัวอย่างเลย คือสละสมมุติทั้งหลาย สมบัติทั้งหลาย ไปอยู่ไต้โคนไม้ เพื่อเข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริง ซึ่งก็คือพระนิพพานนั่นเอง

    นั่นคงไม่ต้องสงสัยนะครับ ว่า พระองค์ไม่ได้ ตรัสรู้โดยนั่งครองเมืองอยู่
     
  20. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ส่วนการแสดงความคิดเห็นของแต่ละท่านนั้น ตามที่ผมติดตาม ดูแล้ว ท่านเจ้าของกระทู้ รู้มากแล้วครับ เข้าใจเยอะมากแล้ว แค่ เอามาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งสิ่งที่ท่านเจ้าของเอามาแสดงนั้น ถ้าคนที่ไม่เคยผ่านมา ไม่เคยปฏิบัติมา เข้าไม่ถึง ก็ไม่รู้หรอกครับ อาจได้แค่ อยากแนะนำไปงั้นๆแหล่ะ เพราะ ท่านเจ้าของกระทู้ ท่านเชื่อในพระพุทธเจ้าไปแล้ว อย่าแนะนำพระสงฆ์ในทุกวันนี้ให้ท่านเลยครับ อายแทนสงฆ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...